เหรียญลูกเสือชาวบ้านลป.คำแสนป่าดอนมูลเหรียญพระปางซ่อนหา วัดกลางตลาดพลู ลป.โต๊ะเสกปี๒๐

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Jumbo A, 17 สิงหาคม 2022.

  1. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,344
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751233521602.jpg

    พระพุทธสิหิงยอดธง พรหมรังษี ปี ๒๕๑๒ วัดพรหมรังษี กรุงเทพ
    โบราณกาล พระยอดธงจะจัดสร้างเพื่อติดยอดธงเพื่อคุ้มครองคนรอบข้างเพราะบารมีและ พุทธคุณจะสามราถคุ้มครองได้ และมักสร้างเพื่อแจกกับแม่ทัพนายกองผู้นำพระพุทธสิหิงยอดธงนี้สร้างเมื่อ 2512 วัดพรหมรังษีซึ่งเป็นวัดที่สมเด็จพระพุฒธาจารย์โตท่านเคยมาพำนัก เป็นพิธีใหญ่เกจิในยุคนั้นมาร่วมกันปลุกเสกมากมาย เช่น หลวงปู่โตณะ วัดประดู่ฉิมพลี และได้ใช้รูปแบบพระพุทธสิหิงซึ่งเป็นพระพุทธรุปศักดิ์สิทธ์มาเป็นพระยอดธงพุทธคุณเด่นทางคุ้มครอง มหาอำนาจ
    วัดพรหมรังษี แสมดำ บางขุนเทียน มีประวัติเกี่ยวพันกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) โดยเชื่อว่าท่านได้เคยธุดงค์มาพักปักกลดที่บริเวณนี้ ทำให้ชาวบ้านเกิดความศรัทธาและร่วมใจกันสร้างวัดขึ้น ต่อมาจึงได้มีการตั้งชื่อวัดว่า "วัดพรหมรังษี" เพื่อเป็นเกียรติและระลึกถึง

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 300 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ(ปิดรายการ)

    IMG_20250704_190930.jpg IMG_20250704_191025.jpg IMG_20250704_190841.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 กรกฎาคม 2025 at 21:21
  2. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,344
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751635870848.jpg

    เหรียญรุ่นนี้..คณะศิษย์ลูกเสือชาวบ้าน บ้านสันโค้ง สร้างถวายบูชาคุณหลวงปู่..
    "หลวงปู่คำแสน" ท่านเป็นศิษย์รุ่นแรกของ "พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต" (รุ่นเดียวกับหลวงปู่แหวน สุจิณโณ) เพียงองค์เดียวที่อยู่ในมหานิกาย ไม่ต้องแปรญัตติใหม่เป็นธรรมยุติ...ปกติแล้ว หลวงปู่แหวน, หลวงปู่ตื้อ,หลวงปู่ขาว, หลวงปู่สิงห์ ซึ่งเป็นศิษย์ของ พระอาจารย์มั่น รุ่นเดียวกันหมด ต้องแปรญัตติใหม่เป็นธรรมยุติทุกองค์
    วัตถุมงคลของหลวงปู่คำแสน เด่นทางแคล้วคลาด เมตตามหานิยมเป็นเลิศ..
    หลวงปู่คำแสน...ได้มรณภาพในวันอาทิตย์ ที่ ๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๒ สิริอายุได้ ๘๖ ปี ๖๘ พรรษา
    ปฏิปทาบางส่วนของหลวงปู่ครูบาคำแสนน้อย
    สมัยที่ท่านได้ทราบข่าวจากชาวบ้าน ว่าทางราชการได้จับ ครูบาเจ้าศรีวิชัย
    ยอดนักบุญแห่งลานนาไทย มากักขังไว้ที่วัดศรีดอนไชย
    ตำบลช้างคลาน อำเภอเมือง จังหวัดเชียงใหม่
    หลวงปู่ครูบาคำแสนน้อย มีความเคารพและเลื่อมใสในท่านครูบาฯ เป็นอย่างยิ่ง
    ก็ให้รู้สึกเสียใจ และอยากจะไปกราบนมัสการให้กำลังใจท่าน
    ได้ชักชวนพระสงฆ์และชาวบ้านให้พากันไปเยี่ยม แต่คนทั้งหลายกลัวจะถูกตำหนิ
    หรือถูกกลั่นแกล้งจากทางราชการ ในที่สุดก็เดินทางไปกับเณรและลูกศิษย์เพียง ๒-๓ คนเท่านั้น
    ได้เดินทางประมาณ ๑๕-๑๖ กิโลเมตรกว่าจะถึงวัดศรีดอนไชย
    เมื่อเข้าไปภายในวิหารนั้น เขาใช้เชือกมนิลาเส้นโตผูกเสาวิหารไว้เป็นรูปสี่เหลี่ยมเหมือนคอกหมู
    ภายในคอกสี่เหลี่ยมนั้น มีพระสงฆ์รูปหนึ่งสูงอายุนั่งอยู่ด้วยอาการสงบ
    ในลักษณะขัดสมาธิ ห่มผ้าสีกลัก มีลูกประคำเส้นโตๆ คล้องคอ
    กำลังนับลูกประคำนั้นอยู่ จึงคลานเข้าไปกราบตรงหน้า
    ในขณะที่กราบลงไปนั้นก็เกิดอารมณ์อ่อนไหว จิตใจอ่อนแอจนร้องไห้ออกมาโฮใหญ่
    ด้วยอารมณ์สงสารใน]ครูบาเจ้าศรีวิชัยที่ต้องมาถูกจองจำ และจะถูกจับสึกที่กรุงเทพฯ
    เสียงร้องไห้สะอึกสะอื้นของพระคำแสนในขณะนั้น คงจะทำให้ท่านครูบาฯ ออกจากการปฏิบัติ
    เพราะได้เอื้อมมือมาตบที่ไหล่ พร้อมกับดุว่า ท่านเป็นพระจะร้องไห้ไม่ได้
    พระเป็นผู้ตัดแล้วซึ่งกิเลส เมื่อเป็นเช่นนั้นต้องระงับอารมณ์ ไม่ให้มีการร้องไห้เด็ดขาด
    ขณะเดียวกันก็เริ่มสอนให้นั่งขัดสมาธิ เอามือประสานกันวางไว้บนตัก
    หลับตาพร้อมกับท่องคำ นโม ในใจ หลายสิบหลายร้อยจบให้ท่องไปเรื่อยๆ
    พระคำแสนก็ปฏิบัติตามคำสั่ง ท่องไปท่องมาไม่นานอาการสะอื้น
    และน้ำตาก็หายไป ท่านครูบาฯ จึงสั่งให้ลืมตาขึ้น แล้วก็สอบถามว่าเป็นใครมาจากไหน
    พระคำแสนก้มลงกราบแทบเท้า และนมัสการว่ามาจาก อำเภอสันกำแพง
    ท่านครูบาฯ ได้เทศน์อบรมเกี่ยวกับขันติให้พระคำแสนฟัง
    พร้อมกับแนะนำสั่งสอนให้ศึกษาวิปัสสนาธุระ
    โดยเริ่มต้นปฏิบัติดังที่ได้ทำมาแล้วเมื่อสักครู่ แล้วก็ให้นมัสการลา
    จึงนับว่าเป็นบทเรียนบทแรกในชีวิตเกี่ยวกับการศึกษาวิปัสสนา
    และท่านก็ดิ้นรนหาลู่ทางจะศึกษาในเรื่องนี้ จากทุกแห่งที่มีข่าวว่ามีอาจารย์สอน
    ต่อมาเมื่อท่านได้เรียนกัมมัฏฐานจาก ท่านครูบาแก้ว ชยเสโน
    แล้วท่านก็ขอลาพระอาจารย์ออกเดินธุดงค์จาริกไปในที่ต่างๆ
    เมื่อถึงคราวเข้าพรรษา ท่านจึงจะกลับมาอยู่ที่วัดดอนมูล
    พออายุได้ ๓๔ ปี ๑๓ พรรษา ท่านเจ้าอาวาสก็มรณภาพลง
    ทางคณะศรัทธาจึงได้นิมนต์หลวงปู่ครูบาคำแสนน้อย เป็นเจ้าอาวาสแทนสืบต่อมา
    จนท่านมีอายุได้ ๓๙ ปี ๑๘ พรรษา มีพระธุดงค์ชื่อ ท่านพระอาจารย์แหวน สุจิณโณ
    เดินธุดงค์มาพักอยู่ที่อู่ทรายคำ ในเมืองเชียงใหม่ เมื่อหลวงปู่ทราบดังนั้น
    ท่านได้ให้โยมไปนิมนต์พระอาจารย์แหวน ให้มาเผยแผ่อบรมศรัทธาที่วัดดอนมูล
    ต่อมา ท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ได้มาพำนักอยู่ที่วัดเจดีย์หลวง
    ท่านพระอาจารย์แหวน และหลวงปู่ครูบาคำแสนน้อย
    ก็ได้ไปนมัสการและได้มอบกาย มอบจิตถวายเป็นศิษย์ของท่านพระอาจารย์มั่นแต่บัดนั้นมา
    ต่อมาท่านพระอาจารย์แหวน ท่านได้จาริกไปๆ มาๆ ในเมืองเชียงใหม่
    และไปจำพรรษาที่วัดป่าห้วยน้ำริน อำเภอแม่แตง
    ส่วนหลวงปู่ครูบาคำแสนน้อย หลังจากได้เรียนพระกัมมัฏฐานจากท่านพระอาจารย์มั่นแล้ว
    ท่านก็ออกเดินธุดงค์ไปยังประเทศพม่า ย่างกุ้ง หงสาวดี แล้วเดินย้อนกลับ
    เดินธุดงค์ไปสู่ภาคอีสาน ไปอยู่กับ ท่านพระอาจารย์สิงห์ ขนฺตฺยาคโม ที่โคราช
    แล้วกลับขึ้นไปทางเหนืออีก ที่ใดเป็นที่วิเวกเป็นป่าเปลี่ยวท่านก็ได้พักภาวนาตามอัธยาศัยของท่าน
    ระยะหลังๆ ท่านได้ไปอยู่ร่วมปฏิบัติธรรมกับท่านพระอาจารย์แหวน
    ตามวัดป่าต่างๆ ๑ พรรษาบ้าง ๒ พรรษาบ้าง
    แม้เมื่อท่านพระอาจารย์แหวนย้ายไปจำพรรษาอยู่ที่วัดป่าดอยแม่ปั๋ง อำเภอพร้าว จังหวัดเชียงใหม่
    หลวงปู่ฯ ก็ไปมาคารวะท่านพระอาจารย์อยู่เสมอๆ
    และสมัยหนึ่งที่หลวงปู่ฯ ท่านกำลังหนีคนไปสร้างวัดใหม่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากวัดเดิม
    ซึ่งเริ่มไม่สงบ ท่านเรียกว่า “วัดป่าดอนมูล” ลูกศิษย์ท่านเคยท้วงติง
    โดยถามท่านว่า ด้านหลังวัดอยู่ติดลำห้วย มีป่าโปร่งๆ อยู่นิดหน่อยกระหรอมกระแหรม
    ไหงหลวงปู่ตั้งชื่อเสียน่ากลัวว่า วัดป่า
    ท่านว่าป่าที่เอาเป็นชื่อวัดนั้น ไม่ได้หมายความตามอย่างที่ลูกศิษย์ท่านเข้าใจ
    ท่านหมายถึงป่าช้าต่างหาก เพราะเดิมที่ตรงนั้นเป็นป่าช้า
    เป็นอันว่าที่ท่านตั้งชื่อว่า “ป่า” ไม่ใช่เพื่อเพิ่มความขลังให้กับสถานที่
    แต่เพราะเดิมมันเป็นป่าช้า ได้ตัดคำว่า “ช้า” ออกไปเพราะเกรงว่ามันจะน่ากลัวเกินไปต่างหาก
    หลวงปู่ครูบาคำแสนน้อย มรณภาพ
    เมื่อวันที่ ๔ มีนาคม พ.ศ. ๒๕๒๒ เวลา ๑๐.๑๒ น.
    สิริรวมอายุได้ ๘๖ ปี พรรษา ๖๔
    เกร็ดประวัติหลวงปู่คำแสน คุณาลังกาโร
    .........................
    องค์นี้ภายหลังหลวงพ่อฯ ของเราเปิดเผยว่า เคยเป็นพี่ชายของท่านมาหลายชาติแล้ว ท่านเป็นคนใจบุญ ได้ทรัพย์ได้สมบัติมาเท่าใดก็ไม่สะสม เทออกทำบุญจนหมดสิ้น ทำบุญจนหมดตัวเหมือนกับท่านมหาทุกขตะยังไงยังงั้น แต่จริงๆแล้วสมัยเดิมโน้น...โน้น...โน้น ท่านเคยมีชื่อว่า “ท่านทุกขิตะ หรือ ท่านทุพภิกขะ”
    เพราะฉะนั้นเมื่อประสบพบกัน ทั้งสององค์ก็คุยกันกระหนุงกระหนิง แต่โน่นแน่ะเป็นเรื่องราวสมัยพระเจ้าพรหมมหาราช มีโต้มีเถียงกันกระจุ๋มกระจิ๋มบ้างเรื่องยุทธการสมัยนั้น (แล้วพวกผมจะไปรู้เรื่องเรอะ..!)
    ตอนที่กำลังคุยรู้เรื่องกันเพียง ๒ องค์ ต่างองค์ก็แสดงทัศนะในเรื่องรายละเอียดของมหายุทธวิธีในยุคที่ว่านั้น หลวงปู่ว่าถ้าหลวงพ่อเชื่อท่าน ทำตามที่ท่านคิด เหตุการณ์จะเป็นอย่างนี้ หลวงพ่อฯก็ว่าท่านมีเหตุผลที่ดีกว่านั้น ถึงอย่างไรก็ต้องเป็นไปอย่างโน้น เฮ้อ ดีครับดี รู้เรื่องกันเพียง ๒ องค์ ตาเถรเณรยายชีไม่มีใครรู้เรื่อง บางตอนหลวงพ่อฯ ท่านก็หันมาถามท่าน พล.อ.ท. ม.ร.ว. เสริม ศุขสวัสดิ์ ที่พวกเรามักจะเรียกท่านว่า "ท่านเจ้ากรมเสริม" หรือ "ลุงเสริม" นั่นแหละ
    (ท่านที่ไม่เคยรู้จักมาก่อน จะไม่มีวันทราบเลยว่าท่านเป็นนายทหารใหญ่ครองยศถึงพลอากาศโท และเป็นเชื้อพระวงศ์ถึงหม่อมราชวงศ์ เพราะท่านวางตัวเป็นกันเอง มีเมตตาต่อพวกเราทุกคนเหมือนลูกเหมือนหลาน ไม่ถือเนื้อถือตัว ให้เกียรติและยกย่องผู้อื่น ยิ่งท่านทำตัวเป็นกันเองกับพวกเราเท่าใด พวกเราก็ยิ่งให้ความเคารพท่านมากขึ้นเท่านั้น และยิ่งท่านทำตัวเล็กลงเท่าใด ก็ดูเหมือนตัวท่านจะยิ่งโตใหญ่ขึ้นๆ เป็นทวีคูณ ท่านผู้นี้หลวงพ่อฯ ว่าเป็นเพื่อนเคียงบ่าเคียงไหล่กับท่านมาทุกยุคทุกสมัย)
    สมัยนั้นหลวงปู่ฯ ท่านกำลังหนีคนไปสร้างวัดใหม่อยู่ไม่ใกล้ไม่ไกลจากวัดเดิมซึ่งเริ่มไม่สงบ ท่านเรียกว่า “วัดป่าดอนมูล” ผมเคยท้วงติงโดยถามท่านว่าด้านหลังวัดอยู่ติดลำห้วย มีป่าโปร่งๆ อยู่นิดหน่อยกระหรอมกระแหรม ไหงหลวงปู่ตั้งชื่อเสียน่ากลัวว่า "วัดป่า"
    ท่านว่าป่าที่เอาเป็นชื่อวัดนั้นไม่ได้หมายความตามอย่างที่ผมเข้าใจ ท่านหมายถึงป่าช้าต่างหาก เพราะเดิมที่ตรงนั้นเป็นป่าช้า ไอ๊หยา! เป็นอันว่าที่ท่านตั้งชื่อว่า “ป่า” ไม่ใช่เพื่อเพิ่มความขลังให้กับสถานที่ แต่เพราะเดิมมันเป็นป่าช้า ได้ตัดคำว่า “ช้า” ออกไปเพราะเกรงว่ามันจะน่ากลัวเกินไปต่างหาก พอรู้แล้วผมก็หมดกังขาว่าเวลาวิกาล หลวงปู่ฯจะต้องได้ความสงบวิเวกอย่างเต็มที่เพราะท่านเข้าไปจำวัดอยู่ในป่าช้า คงไม่มีใครกล้าเข้าไปรบกวนหรอกครับ บรื๊อ...!
    และแล้ววันหนึ่งกรรมของผมก็มาถึง จำไม่ได้ว่าหลวงพ่อใช้ให้ไปหาเรื่องอะไร ก็ไปกันหลายคนกับรุ่นน้องๆ นี่ละครับ สมัยนั้นกำลังหนุ่มแน่น (ผมนะหนุ่มใหญ่ แต่น้องๆ เพิ่งจะสอนขัน แต่เพราะเพิ่งจะสอนขันก็เลยอยากจะขันบ่อยๆ)
    ดังนั้นแทนที่พวกเราจะรีบไปทำธุระให้หลวงพ่อ เจ้าลิงพวกนี้ก็เลยแวะโน่นแวะนี่ (ไม่เห็นเจ้าเห็นหลังคาบ้านเจ้าก็ชื่นใจแท้) เที่ยวกันจนดึกดื่น พอเลี้ยวควับเข้าเข้าไปที่วัดนอก (วัดดอนมูล) กะนอนที่วัดนอก ตายแล้วหลวงพี่ที่เราคุ้นเคยก็ไม่อยู่ หลวงปู่ก็ไปจำวัดอยู่ที่วัดป่า (ก็ที่ป่าช้านั่นแหละคุณ..!)
    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลทุกๆที่มาอย่างสูงครับ

    เหรียญลูกเสือชาวบ้านกะไหล่ทอง หลวงปู่คำแสนวัดป่าดอนมูล ๒๕๒๐

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250704_200500.jpg IMG_20250704_200539.jpg
     
  3. ktv

    ktv เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 มีนาคม 2015
    โพสต์:
    1,184
    ค่าพลัง:
    +1,220
    จอง พระพุทธสิหิงยอดธง พรหมรังษี ปี ๒๕๑๒ วัดพรหมรังษี กรุงเทพ
     
  4. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,344
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751233521602.jpg

    เหรียญพระปางซ่อนหา พระเหนือพรหม วัดจันทรารามวรวิหาร วัดกลาง ตลาดพลู กรุงเทพมหานคร ปปี๒๕๒๐ เนื้อทองแดง หลวงปู่โต๊ะวัดประดู่ฉิมพลี ปลุกเสก
    พระพุทธรูปปางนี้มาจากเรื่องราวพระพุทธเจ้ากับผกาพรหม ผกาพรหมนี้มีทิฐิว่ากูเก่งที่สุดเลย กูเป็นสยมภู เกิดก่อนคนอื่น ไม่มีใครมีความรู้ดีเท่าเรา
    พระพุทธเจ้าก็ไปทรมานพรหมนี้ ก็ไปท้ากันว่า ผลัดกันเล่นซ่อนหา
    พระพุทธเจ้าบอกให้พรหมไปซ่อนก่อน
    พรหมจะไปซ่อนอยู่ในโลกไหน พระพุทธเจ้ารู้หมดเลย ตามได้หมด
    พอถึงเวลาที่พระพุทธเจ้าซ่อน พระพุทธเจ้าไปซ่อนอยู่บนเศียรของพรหม
    พรหมดูเท่าไรๆ ก็หาพระพุทธเจ้าไม่เจอ
    มันแปลว่าอะไร?

    ถ้ามัวแต่ดูที่อื่น ก็จะหาพุทธะไม่เจอ
    คือพรหมส่งจิตออกนอก เที่ยวไปดูที่โน่น ดูที่นี่ ดูที่โน่น ไม่เคยย้อนมาดูตัวเอง
    เมื่อไม่ย้อนมาดูตัวเอง จะไม่เห็นพุทธะ
    ถ้าย้อนมาดูตัวเอง ถึงจะเห็นพุทธะ
    ถ้าเราดูพระเหนือพรหมเป็น เราจะรู้เลย เป็นคำสอนอันหนึ่ง สอนให้ดูตัวเอง
    ถ้ามัวแต่ดูที่อื่น ก็จะหาพุทธะไม่เจอ หาจิตที่หลุดพ้นไม่เจอ
    เพราะฉะนั้น การที่จิตใจเราอยู่กับเนื้อกับตัวเรื่องสำคัญ
    ย้อนมาดูตัวเองบ่อยๆ ถ้าไม่ดูตัวเอง ไม่มีทางจะบรรลุมรรคผลเลย
    จะไปรู้ทั้ง 3 โลก ก็ไม่เห็นพุทธะ เหมือนพรหมมองไปทั้ง 3 โลกเลย
    ทั้งนรก-สวรรค์อะไร ดูไล่ไปหมด 31 ภูมิ หาพระพุทธเจ้าไม่เจอ เพราะมัวแต่ดูออกข้างนอกไม่ได้ดูตัวเอง
    ทีนี้ถ้าเราอยากค้นพบพุทธะในตัวของเราเอง ก็ให้จิตใจอยู่กับตัวเอง
    คอยเรียนรู้กายเรียนรู้ใจ สิ่งที่เรียกว่าตัวเราก็มีกายกับใจ คือรูปกับนามเท่านี้เอง
    เพราะอย่างนั้น พยายามรู้สึกตัว อย่าใจล่องลอยไป
    ส่วนหนึ่งของพระธรรมเทศนา หลวงพ่อปราโมทย์ ปาโมชฺโช

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 200 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250704_200632.jpg IMG_20250704_200704.jpg
     
  5. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,344
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751639994874.jpg FB_IMG_1751640053155.jpg

    พระปิดตาจัมโบ้ เนื้อผงพุทธคุณ หลวงพ่อสิน วัดละหารใหญ่ จ.ระยอง ออกเป็นที่ระลึกในงานปิดทองฝังลูกนิมิต ปี พ.ศ.๒๕๕๘ หลวงพ่อสินท่านเป็นหนึ่งในลูกศิษย์ของหลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ รวมทั้งยังเป็นศิษย์ของหลวงปู่เพ่ง วัดละหารใหญ่ และหลวงพ่อลัด วัดหนองกระบอก วัตถุมงคลของท่านทำตามครูบาอาจารย์ เน้นมวลสาร และปลุกเสกตามหลักที่ท่านได้รับถ่ายทอดมา
    "พระครูสุภัททาจารคุณ" หรือที่ชาวบ้านมักเรียกขานว่า "หลวงพ่อสิน ภัททาจาโร" ด้วยเป็นนามที่คุ้นเคยต่อการเรียกขานของบรรดาคณะศิษยานุศิษย์ รวมทั้งผู้ใกล้ชิดที่เลื่อมใสศรัทธาต่อท่าน
    หลวงพ่อสิน เป็นพระสงฆ์ที่เคร่งครัด มีจิตที่เปี่ยมด้วยความเมตตาและคุณธรรม เป็นที่พึ่งของชาวบ้านและสาธุชนโดยทั่วไป
    ชื่อเสียงของท่าน เป็นที่รับรู้กันทั่วเมืองระยองถึงความขลังความศักดิ์สิทธิ์ของวัตถุมงคล ที่สามารถพลิกผันสถานการณ์อันเลวร้าย ให้กลับกลายเป็นดีได้อย่างน่าอัศจรรย์
    หลวงพ่อสิน เป็นพระเกจิชื่อดังแห่งภาคตะวันออก เป็นศิษย์สืบสายธรรมของหลวงปู่เพ่ง สาสโน อดีตเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ และหลวงพ่อรัตน์ วัดหนองกระบอก
    ปัจจุบัน หลวงพ่อสิน ภัททาจาโร สิริอายุ 82 ปี พรรษา 59 ดำรงตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่ ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง
    อัตโนประวัติ มีนามเดิมว่า สิน สุขมาก เกิดวันที่ 21 กุมภาพันธ์ 2471 ปีมะโรง ณ ต.หนองบัว อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โยมบิดา-มารดา ชื่อ นายเซี้ย และนางจัน สุขมาก ครอบครัวประกอบอาชีพทำนา
    ชีวิตในวัยเด็ก เป็นคนที่เรียบง่าย อ่อนน้อมถ่อมตน นิสัยชอบเข้าวัดฟังธรรม ผิดกับเด็กอื่นวัยเดียวกัน ที่วันๆ เอาแต่วิ่งเล่นสนุกสนาน
    กระทั่งอายุย่าง 20 ปี ได้เข้าเกณฑ์ทหารเป็นระยะเวลา 2 ปี ก่อนปลดประจำการ
    ครั้นเมื่ออายุ 24 ปี ท่านได้เข้าพิธีบรรพชาอุปสมบท เมื่อวันที่ 14 กรกฎาคม 2494 เวลา 15.30 น. ณ อุโบสถวัดละหารไร่ ต.หนองละลอก อ.บ้านค่าย จ.ระยอง โดยมีพระครู วิจิตรธรรมานุวัต (หลวงพ่อรัตน์) เป็นพระอุปัชฌาย์, พระอธิการเพ่ง สาสโน เป็นพระ กรรมวาจาจารย์ และพระครูเกลี้ยง เป็นพระอนุสาวนาจารย์ สังกัดมหานิกาย ได้รับฉายา ภัททาจาโร
    วัดละหารใหญ่ มีพื้นที่ตั้งวัดอยู่ใกล้กับวัดละหารไร่ ดังนั้นจึงมีโอกาสได้ไปกราบนมัสการและรับใช้หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ เจ้าตำรับพระขุนแผนพรายกุมาร อยู่เสมอในสมัยที่หลวงปู่ทิมยังมีชีวิตอยู่ พร้อมทั้งได้ร่ำเรียนวิทยาคมไปด้วย
    อีกทั้งท่านยังได้ร่ำเรียนวิทยาคมโดยตรงจากหลวงปู่เพ่ง อดีตเจ้าอาวาสวัดละหารใหญ่และหลวงพ่อรัตน์ วัดหนองกระบอก ผู้สืบทอดพุทธาคมจากหลวงพ่ออ่ำ วัดหนองกระบอก เจ้าตำรับแพะเมตตาอันลือลั่นแห่งเมืองระยอง
    หลวงพ่อสิน เป็นพระที่ใฝ่รู้ศึกษาค้นคว้าทางพระเวทวิทยาคมด้านต่างๆ ท่านได้ศึกษาอยู่กับหลวงปู่เพ่ง ศึกษาวิทยาคมพื้นฐาน ศึกษาวิชาสร้างแพะมหาเสน่ห์และโชคลาภ และศึกษาวิชาสร้างหนุมาน, ขุนแผน, ชูชก ฯลฯ
    ในครั้งนี้ท่านได้พบกับสหธรรมิกคนสำคัญท่านหนึ่ง คือ หลวงพ่อสาคร วัดหนองกรับ จ.ระยอง ในฐานะเป็นศิษย์หลวงปู่ทิม วัดละหารไร่ เหมือนกัน
    หลวงพ่อสิน ได้รับแต่งตั้งเป็นพระอุปัชฌาย์ เมื่อปี พ.ศ.2542 และต่อมาได้รับพระราชทานสมณศักดิ์เป็นพระครูสัญญาบัตรที่ พระครูสุภัททาจารคุณ
    หลวงพ่อสิน เป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีชีวิตความเป็นอยู่อย่างสมถะ เรียบง่าย ไม่ยึดติดใน ลาภยศสรรเสริญใดๆ ท่านมักจะพร่ำสอนญาติโยมที่เข้ามากราบไหว้เสมอๆ ว่า
    "คน เราจะมีความสุขสงบในสังคมได้ ต้องถือศีล 5 เพราะทำให้สังคมสงบสุข ปิดกั้นภัยเวรต่างๆ ได้ แต่ที่พวกเรารู้สึกว่าทำได้ยากหรือขัดกับชีวิตประจำวัน เป็นเพราะตาใจของเรามันบอกแสงหรือเจ้ากรรมนายเวรมาบังจิตบังใจเรา"
    การสร้างวัตถุมงคลของหลวงพ่อชาญ ไม่ได้จัดสร้างบ่อยนัก นานครั้งในวาระพิเศษ จึงจะมีการจัดสร้างสักครั้งหนึ่ง ท่านจะเน้นคำสอนให้ลูกศิษย์นำไปปฏิบัติมากกว่า แต่จะอนุญาตให้ศิษย์ใกล้ชิดสร้างขึ้นเป็นพิเศษ ทำให้วัตถุมงคลของท่านมีจำนวนไม่มากนัก แต่ปรากฏว่าได้รับความนิยมไม่แพ้กัน
    เช่น เหรียญรูปเหมือนรุ่นแรก หนุมานเนื้อโลหะ รุ่นแรก พิมพ์นั่งยองแบบหลวงปู่ทิม พระขุนแผนรุ่นแรก ปี"49 พิมพ์ใหญ่และพิมพ์เล็ก และอื่นๆ เป็นต้น
    หลวงพ่อสิน เป็นพระสุปฏิปันโน เป็นพระแท้ ที่น่าเลื่อมใสศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง ชื่อเสียงของหลวงพ่อสินโด่งดังมานาน เป็นที่กล่าวขานในหมู่ศิษย์ชาวระยอง และภาคตะวันออกเป็นยิ่งนัก ถึงความขลังความศักดิ์สิทธิ์ และจริยาวัตรของหลวงพ่อ ทำให้ท่านได้รับกิจนิมนต์ไปนั่งปรกปลุกเสกวัตถุมงคลในพื้นที่ภาคตะวันออกและ พิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคลสำคัญทั่วประเทศ
    สำหรับวิทยาคมของท่านที่มีประสบการณ์โดดเด่นที่สุด ได้แก่ วิชาสร้างหนุมานทหารเอกของพระราม วิชาแคล้วคลาด คงกระพัน เมตตามหานิยม เป็นต้น
    หลวงพ่อสิน ปรารภว่า "วัตถุมงคลจะมีความเข้มขลังหรือไม่ ขึ้นอยู่กับความเชื่อของแต่ละบุคคล ใครที่เชื่อหรือศรัทธาในวัตถุมงคลก็จะบังเกิดความเป็นสิริมงคลแก่ตนเอง ทำให้บังเกิดความเชื่อมั่น สามารถประสบความสำเร็จได้ง่ายกว่าคนที่ไม่มีวัตถุมงคลยึดเหนี่ยว ด้วยทำให้มีกำลังใจในการทำสิ่งต่างๆ"
    "แต่วัตถุมงคลก็มีข้อเสีย คือ คนดีหรือคนชั่วก็สามารถนำไปใช้ได้เหมือนกัน อาจมีการนำไปใช้ในทางที่ผิด ถ้านำติดตัวไปสร้างความเดือดร้อนหรือรังแกผู้อื่น ก็จะเกิดความเสียหายต่อสังคมได้"
    "คนที่มีวัตถุมงคลแต่ไม่หมั่นบูชา ก็ไม่เกิดผลใดๆ แม้จะแขวนพระมากมาย แต่ก็มีสิทธิ์ประสบหายนะได้ ถ้านำพระไปใช้ในทางที่ผิด ไปเบียดเบียนผู้อื่น แบบนี้พระท่านก็ไม่อยากคุ้มครอง"
    เมื่อหลวงพ่อสินเข้าสู่วัยชราแล้ว เป็นเจ้าอาวาสวัดอยู่ที่วัดละหารใหญ่ จนถึงปัจจุบัน
    กว่ากึ่งศตวรรษแห่งการครองสมณเพศ หลวงพ่อท่านได้สั่งสมประสบการณ์ รู้หนาวรู้ร้อน ผ่านกาลฝนมามาก มีประสบการณ์ทุกอย่าง
    เกียรติคุณของหลวงพ่อสิน เป็นที่รู้จักศรัทธาเลื่อมใส เป็นพระที่เปี่ยมด้วยเมตตาธรรม ความชราไม่เป็นปัญหากับหลวงพ่อสิน ด้วยความเมตตาที่เปี่ยมล้น หากมีใบฎีกานิมนต์มาท่านไม่เคยปฏิเสธ
    บางครั้งลูกศิษย์ของท่านเองต้องขอร้อง เพราะเป็นห่วงเรื่องสุขภาพ
    แต่เชื่อมั่นได้เลยว่าวัตถุมงคลที่หลวงพ่อสินอธิษฐานจิตแล้วมีอิทธิคุณสูง ส่ง แคล้ว คลาดคงกระพันชาตรี มีโชคลาภและมากด้วยประสบการณ์ บางเรื่องไม่อาจเปิดเผยได้เพราะเกี่ยวข้องกับบุคคลสำคัญ รู้กันดีในหมู่คณะศิษย์
    ณ วันนี้ หลวงพ่อสิน มีวัยกว่า 82 ปี แต่สุขภาพร่างกายของท่านยังคล่องแคล่วแข็งแรง
    เกียรติคุณบารมี รวมทั้งพุทธาคมอันศักดิ์สิทธิ์พลังจิตของท่าน ทำให้ท่านได้รับการยกย่องว่าท่านเป็นพระเกจิอาจารย์ที่มีบารมีทางกระแสจิต แก่กล้า ระดับแนวหน้าของจังหวัดระยองอีกรูปหนึ่ง

    ที่มา หนังสือพิมพ์ข่าวสด http://www.khaosod.co.th/view_news.php?newsid=TUROd01ERTJNRE13TURVMU13PT0=

    ขอขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250704_200751.jpg IMG_20250704_200827.jpg
     
  6. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,344
    ค่าพลัง:
    +21,398
    วันนี้ จัดส่ง

    1751645108324.jpg

    ขอบคุณครับ
     
  7. Jumbo A

    Jumbo A เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    13,344
    ค่าพลัง:
    +21,398
    FB_IMG_1751685582325.jpg

    อันตรายของจิตนั้นมิได้เกิดจากบุคคล หรือจากสิ่งภายนอกมาทำร้ายคิดร้าย แต่เกิดจากภายในจิตใจเอง
    ราคะหรือโลภะ โทสะ โมหะ ทั้งหมดนี้ คืออันตรายของจิตที่เกิดขึ้น ภายในจิตเอง ดังนั้น การระวังรักษาจิตจึงมิใช่การระวังรักษามิให้ผู้ใด หรือสิ่งใดเข้าไปทำร้าย แต่เป็นการรักษาจิตเอง มิให้ตกอยู่ใต้อำนาจของกิเลส
    สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร
    สมเด็จพระญาณสังวร
    กรมหลวงวชิรญาณสังวร
    ขอบคุณท่านเจ้าของบทความข้อมูลที่มาอย่างสูงครับ
    พระลีลาทุ่งเศรษฐีปี๒๕๓๑
    พระผงเจ้าแม่กวนอิมปิดทอง ปี๒๕๓๕
    สมเด็จญาณสังวรพระสังฆราชวัดบวรเมตตาอธิษฐานจิตปลุกเสก ๒ องค์คู่

    ให้บูชา 150 บาทค่าจัดส่งด่วน 30 บาทครับ

    IMG_20250703_204019.jpg IMG_20250703_204102.jpg
     

แชร์หน้านี้

Loading...