เหนื่อย

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย klu, 13 สิงหาคม 2006.

  1. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            ที่นี่จะเน้นสอนให้เด็กเป็นคนดีมากกว่าเป็นคนเก่งแล้วเด็กที่มาเรียนเขาเข้าใจสิ่งนี้มั้ยคะ

            เราไม่ได้บอกอะไรเขาหรอก แต่พอเขาเข้าห้องพระ ฝึกสมาธิ สวดมนต์ทุกวัน ฟังนิทานธรรมะทุกวัน มีชั่วโมงคุณค่าความเป็นมนุษย์ และครูทุกคนก็บูรณาการเข้าไปในทุกวิชาโดยอัตโนมัติ เขากลายเป็นคนดี เราไม่ต้องไปบอกอะไรเขาหรอก คือถ้าเผื่อเราบอกว่าจะสอนธรรมะนะเด็กจะต่อต้าน แต่ถ้าเผื่อเป็นส่วนหนึ่งของชีวิตของวิชาคณิตศาสตร์หรือวิชาอะไรต่อะไรเขาไม่ต่อต้านอะไร เขาจะกลายเป็นคนเก่งเองด้วย ดีด้วย เพราะคนดีจะขยัน จะช่วยเหลือคนอื่นให้เป็นคนเก่งเหนือกว่าเขา คนดีนี่เขามีสมาธิในการเีรียน เพราะเขาฝึกสมาธิอยู่ จิตใจเขาสงบ ความจำก็ดีกว่าอะไรก็ดีกว่า ฉะนั้นในที่สุดเขาก็เก่ง
     
  2. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            การที่ทุกคนในโรงเรียนทานมังสวิรัตกันหมดเลย เป็นเพราะวิถีของอาจารย์ด้วยหรือเปล่า

            ผมทานมังสวิรัตก่อนที่จะมาตั้งโรงเรียน แต่ที่ให้เด็ก ๆ เขาทานกันนั้น เพราะต้องการให้เด็กมีความสงบ คนที่ทานผักกับคนที่ทานเนื้อสัตว์จะแตกต่างกันมาก คนที่ทานเนื้อสัตว์จะมีอารมณ์มากกว่า คล้าย ๆ รับความรู้สึกของสัตว์เข้ามาในตัวเรา ทานอะไรก็รับความรู้สึกที่อยู่ในนั้นมาใส่ในตัว ถ้าเผื่อเป็นสัตว์ที่ดุร้ายมันก็จะมีความดุร้ายอยู่ในตัวเรา สัตว์จะมีอะไรต่ออะไรหลายอย่าง แม้กระทั่งเรื่องเซ็กซ์เรื่องอะไรอย่างนี้ มันเป็นธรรมชาติของมัน เราก็รับเข้ามา ก็จะมีอารมณ์พวกนี้มากขึ้นเมื่อเราทานเนื้อสัตว์ แต่พอทานผักนี่จะสังเกตว่าสงบ ไม่หนักท้อง แล้วมันก็ไม่บูดเน่าในท้อง อีกอย่างหนึ่งดูสรีระของเราลำไส้นี่ยาวมาก ประมาณ 9 เท่าของความสูง ซึ่งทานอะไรเข้าไปก่อนที่เราจะถ่ายออกมาใช้เวลา 1 วันครึ่ง 2 วัน ถ้าเผื่อเราเอาเนื้อสัตว์มาตั้งไว้แค่ 3 ชั่วโมงก็เริ่มบูดแล้ว แต่ถ้าเป็นผัก สองวันไม่มีปัญหา ไม่บูด ไม่เน่า ไม่มีกลิ่นอะไร เพราะฉะนั้นเนื้อสัตว์ที่ทานเข้าไปมันจะเริ่มเน่าในลำไส้แล้ว เน่าแล้วยังไปดูดเอาอะไรต่ออะไรออกมาเป็นอาหาร จะทำให้เกิดความเสียหายต่อสุขภาพได้ ฉะนั้นถ้าเผื่อเราสังเกตดูสัตว์ที่ทานเนื้อสัตว์ลำไส้มันยาวประมาณ 3 เท่าของร่างกาย มันกินเข้าไปแล้วก็กลืนแล้วรีบถ่ายออกไป แต่ที่ทานมังสวิรัติอย่างช้าง วัว ควาย ลำไส้จะประมาณ 9 เท่าของร่างกายเหมือนกับเรา พวกนี้จะเคี้ยวอะไรต่อะไรให้ละเอียดก่อนกลืน มนุษย์เราก็ต้องเคี้ยว ฟันของเราเหมาะสำหรับการเคี้ยวเพราะว่าเรามีน้ำย่อยเริ่มต้นในปาก ฉะนั้นการย่อยอาหารนั้นเริ่มตั้งแต่อยู่ในปาก แต่พวกสุนัข แมว ฟันข้างหลังจะแหลมหมดเลย ไม่เรียบแบบเรา ฉะนั้นเขาจะไม่เคี้ยว เขาจะกลืน พอแมวจับหนูได้แป๊บเดียวกลืนเข้าไแล้ว สุนัขก็เหมือนกันตะครุบอะไรได้กลืนเลย แต่ของเราเริ่มย่อยเหมือนกับสัตว์ที่ทานผักทั้งหลาย แล้วก็ต้องให้ลำไส้ยาว เพราะผักมีประโยชน์ มีวิตามิน ต้องดูดทีละนิด ๆ ไปตลอดในลำไส้ของเรา แล้วไม่บูดเน่า ฉะนั้นเราก็ไม่มีกลิ่นทางร่างกาย ไม่มีกลิ่นของสัตว์ออกมาจากตัวเรา ที่โรงเรียนนี้มีงูจงอาง มีสัตว์อะไรที่เป็นพิษเป็นภัยต่อมนุษย์เยอะเลย แต่มันไม่เคยกัดเด็กของเรา ไม่เคยทำร้ายเด็กเพราะเราไม่มีใครมีกลิ่นสัตว์ ถ้าเผื่อมีกลิ่นสัตว์ พวกนี้มันจะรู้เลย แล้วมันจะป้องกันตัวมันเอง กัดเรา ต่อยเรา แต่เด็กของเราปลอดภัยเพราะเขารู้ว่าเราไม่ทำร้ายเขา
     
  3. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            อาจารย์ดูแข็งแรงมากเลยนะคะ ไม่ทราบว่ามีิวิธีดูแลตัวเองอย่างไร

            คือที่นี่เราได้เดินเยอะ เนื่องจากโรงเรียนกว้างใหญ่ มีเนื้อที่ถึง 300 ไร่ แล้วผมก็พยายามเดินไปเดินมา จากตรงนี้ไปโรงอาหาร จากโรงอาหารไปบ้านพัก จริง ๆ จะใช้รถก็ได้แต่ถ้าเราได้ออกกำลังกาย แล้วพยายามที่จะประหยัดพลังงานด้วย บางทีใช้จักรยาน พอไปตรวจงานข้างในที่ไกลพอสมควรต้องเดินในทุ่งนาเพราะไม่มีถนนหนทาง ฉะนั้นก็ได้ออกกำลังกายโดยอัตโนมัติ บางครั้งผมก็ว่ายน้ำกับเด็ก ๆ ส่วนกีฬาไม่ค่อยได้เล่นอะไรเท่าไหร่ นาน ๆ ทีจะเ่ล่นเทนนิสที บางทีก็ไปเตะบอลกับเด็ก ๆ เป็นครั้งคราว
     
  4. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            ไม่มีปัญหาสุขภาพ

            แข็งแรงครับ ไม่มีปัญหาอะไร แต่นอนน้อยไปหน่อย
     
  5. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            เป็นเพราะทำงานเยอะหรือเปล่าคะ

            คือตราบใดที่เด็กยังอยู่เราก็ต้องอยู่กับเขา นอกจากนั้นแล้วมีแขกมาเยี่ยมเราเยอะมาก อาทิตย์หนึ่งจะมีแขกเข้ามาประมาณ 200 กว่าคน แขกที่เข้ามาผมก็ต้องพูดคุยกับเขา ตรงนี้ทำให้ใช้เวลาเยอะ แล้วก็ติดต่อกับต่างประเทศเพราะโครงการของเราไม่ใช่โครงการเฉพาะที่จะช่วยคนในประเทศเท่านั้น แต่เราต้องการช่วยคนทั้งโลกด้วย เราดีอยู่ประเทศเดียวไม่ได้ ถ้าเผื่อประเทศอื่นเขาไม่ดีด้วย เราก็เดือดร้อน เขาจะแกล้งเรา เอาเปรียบเรา เพราะฉะนั้นถ้าเผื่อเราจะดีเราต้องสร้างคนดีอยู่รอบตัวด้วย เลยใช้เวลาไปกับการอบรมครูชาวต่างประเทศ เขาจะมาอยู่กับเรา มาเรียนรู้จากเรา เมื่อกลับไปเขาก็ไปตั้งโรงเรียนเหมือนกับเรา ใช้แผนการเรียนการสอนเหมือนกับเรา รูปแบบเดียวกัน ผมเลยมีหน้าที่ต้องไปตรวจ ไปช่วยอบรมในต่างประเทศก็เยอะมาก นอกจากนั้นแล้วเรายังกลายเป็นศูนย์อบรมของสหประชาชาติ เพราะเขาให้เราเป็นศูนย์สำหรับการอบรมครูแล้วก็มีองค์กรรัฐมนตรีการศึกษาของประเทศอาเซียนมาเยี่ยมเรา รัฐมนตรีศึกษาจากต่างประเทศมาเยี่ยมโรงเรียนนี้บ่อย ฉะนั้นเขาจะรู้จักเรา งานพวกนี้เข้ามาเยอะ แล้วตอนนี้มาเป็น ส.ว. อีก ก็ต้องยิ่งมีงานหนักเพิ่มขึ้นไปอีก แต่ถ้าเผื่อเราใจเย็น สงบ ๆ เราก็ทำอะไรต่ออะไรได้เยอะโดยที่ไม่ต้องไปเครียดกับมัน
     
  6. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            แต่หลายคนมักบ่นว่างานเยอะแต่เวลาน้อย จะมีปัญหาตามมา

            งานเยอะเวลาน้อย นี่คือโอกาสที่เราจะทำทุกอย่างให้มีประสิทธิภาพ ให้ประหยัดเวลา ทำอะไรต้องทำคล่องแคล่ว ว่องไว ทำอย่างรวดเร็ว ฉะนั้นเราต้องตั้งสติของตัวเองให้ดี
     
  7. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            ก่อนหน้าที่อาจารย์จะเจอท่านไสบาบา อาจารย์ตั้งเป้าหมายชีวิตไปในแนวทางไหนคะ

            คือก่อนหน้านั้นผมได้ทดลองชีวิตเป็นอาจารย์ที่จุฬาฯสอนเยาวชนโต ๆ แล้วทั้งนั้น เป็นนักวิทยาศาสตร์สร้างยานอวกาศไปลงดาวอังคาร อันนั้นเมื่อ 35 ปีก่อน นักธุรกิจก็เคยเป็นประธานบริษัทหลายบริษัท ผู้จัดการหลายบริษัท ทำอะไรต่ออะไรเยอะ ทางวิทยาศาสตร์ก็ทำเยอะ หลายโครงการทีเดียว ทุกอย่างถือเป็นการเรียนรู้ของผม แต่จริง ๆ แล้วตั้งแต่ ๆ เด็ก ๆ ผมฝึกสมาธิ แล้วผมก็คิดอยู่เสมอว่า เอ...เราทำอะไรในโลกนี้ มาอยู่ในโลกนี้ทำไม เพื่ออะไร ตอนเข้ามหาวิทยาลัยยังเป็นักศึกษาอยู่ผมก็คิดว่า ถ้าเผื่มีสวรรค์จริงผมไม่ไปสวรรค์หรอก ผมไปนรกดีกว่า เพราะสวรรค์มีแต่คนดี เราไปช่วยอะไรเขาไม่ได้ เขาดีอยู่แล้ว แต่คนที่อยู่ในนรกเป็นพวกต้องการความช่วยเหลือ ต้องการความเมตตา ฉะนั้นผมเลยตั้งปณิธานไว้กับตัวเองว่า ผมจะลงนรก ไม่ไปสวรรค์ และบอกกับตัวเองตั้งแต่อายุยังน้อยว่า ถ้าเกิดมีนิพพานจริงผมจะไม่เข้านิพพาน ผมจะอยู่อย่างนี้ เกิด แก่ เจ็บ ตาย... เกิด แก่ เจ็บ ตาย... เพื่อช่วยเหลือให้ทุกคนเข้านิพพานก่อน พอทุกคนเข้านิพพานแล้ว เอาละ...ผมถึงยอมเข้านิพพานผมถึงยอมเข้านิพพาน ก็คิดอย่างนี้มาตั้งแต่เล็ก ๆ ไม่รู้ว่าทำไมคิดได้อย่างนั้น ฉะนั้นเป้าหมายในชีวิตของผมจริง ๆ ก็คือช่วยเหลือเพื่อมนุษย์ ทำอะไรเพื่อช่วยเหลือคนอื่น แล้วก็ไม่มีอะไรดีกว่าการสร้างเด็กขึ้นมา ซึ่งอันนี้ได้รับแรงกระตุ้นจากท่านไสบาบา
     
  8. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            อาจารย์เคยบวชเรียนแล้ว

            เคยบวชครับ ตอนนั้นผมเป็นอาจารย์ที่จุฬาฯ ลาราชการไปเดือนเดียว ลานานไม่ได้ ผมตกลงกับองค์อุปัชฌาย์ ไปอยู่ในถ้ำอยู่ในป่า ขอฝึกปฏิบัติอย่างเคร่งครัดเพราะว่าเวลาีน้อย ท่านก็อนุญาต ยกเว้น 3 วันแรกต้องปฏิบัติภารกิจสงฆ์ให้ครบ และ 3 วันหลัง ถ้าจะสึกเมื่อไหร่ ต้องมาภารกิจของสงฆ์ ผมเลยทำอย่างนั้นแหละครับ เข้าไปอยู่ในป่า อยู่ในถ้ำ ฝึกปฏิบัิติอยู่ในชนบท ไม่ค่อยได้บิณฑบาต ยกเว้น 3 วันแรก 3 วันสุดท้ายครับ ชาวบ้านเห็นเข้าเอาอาหารมาตั้งให้ครับ เรานั่งปฏิบัติอยู่หน้าถ้ำบ้าง ใต้ต้นไม้ และตอนนั้นเองก็นั่้งสมาธิและตั้งคำถามว่า เช่น ตายแล้วไปไหน กรรมคืออะไร ก็แปลกครับ คือจิตสงบนิ่ง คำตอบมันแวบเข้ามา แล้วเราก็รู้คำตอบขึ้นมาเอง จะเรียกว่า ศีล สมาธิ ปัญญา ปัญญาบังเกิด และทำให้เราเข้าใจอะไรต่อะไรด้วยตัวเราเอง ก็เหมือนกับผมทำวิทยานิพนธ์ ผมได้ปริญญาเอกมา 2 ฉบับ แต่ละครั้งก็นั่งสมาธิ อยู่ ๆ คำตอบมันแวบเข้ามา เราสามารถจบได้ก่อนคนอื่นเขา ตอนที่ทำปริญญาเอกครั้งแรกก็นั่งสมาธิ เสร็จแล้วเห็นภาพของเครื่องมือที่เราจะเขียนอยู่ในวิทยานิพนธ์ แล้วเข้าใจทุกอย่าง เลยเขียนออกมาได้อย่างรวดเร็ว ครั้งที่สอง ส่วนหนึ่งก็มาจากการนั่งสมาธิ ผมไปนั่งสมาธิบนดอยสุเทพ อยู่ ๆ ก็รู้แนวทางที่เราจะใช้ในการสอนครู อบรมครู แนวทางที่จะใช้ในการเีรียนการสอน
     
  9. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            เช่นเดียวกับที่อาจารย์คิดค้นเรื่องระบบลงจอดบนดาวอังคาร

            ครับ ไปนั่งสมาธิบนหุบเขาอยู่ในรัฐแคลิฟอร์เนียเพราะตอนนั้นทางมันตันหมดแล้ว ไม่รู้จะทำยังไง ก็ไปนั่งสมาธิ อยู่ ๆ ก็ได้คำตอบ ก็สร้างให้เขา สามารถช่วยให้ยานอวกาศลงไปบนดาวอังคารได้เป็นครั้งแรกในประวัติศาสตร์ของมนุษย์
     
  10. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            ซึ่งคนรุ่นใหม่ก็ได้รู้จักชื่อของดร.อาจองจากโฆษณาชิ้นนั้นที่บอกว่าคนไทยเก่ง เป็นผู้คิดค้นระบบลงจอดบนดาวอังคาร ทำให้มีคำถามต่อค่ะว่า ทำไมอาจารย์ถึงไม่ทำงานต่อในฐานะนักวิทยาศาสตร์ ที่จะช่วยสร้างชื่อเสียงให้คนไทยต่อได้

            มันอดีตนานมาแล้วครับ ยานอวกาศนั้นผมไปสร้างเมื่อ 35 ปีที่แล้ว การที่ผมไปสร้างยาานอวกาศนั่นเองทำให้ผมต้องมานั่งคิดว่า เอ...เราทำอะไร เราสามารถนำยานอวกาศไปไกลแสนไกล 250 ล้านไมล์ ไปถึงดาวอังคาร แต่มสุษย์ยังไม่สามารถเข้าไปในจิตใจของตัวเอง ซึ่งไม่กี่มิลลิเมตร ใกล้นิดเดียว อยู่ในตัวเราตรงนี้ แต่เรายังไปไม่ถึงเลย แล้วพยายามไปไกลแสนไกลเพื่ออะไรครับ ผมเลยคิดว่าต้องหาวิธีการที่จะช่วยให้ทุกคนเข้าไปสู่จิตใจของตัวเองดีกว่า จะได้ประโยชน์มากกว่า ช่วยเหลือโลกเราได้มากกว่า เพราะฉะนั้นจากการส่งยานอวกาศไปลงดาวอังคารเป็นบทเรียนสำคัญว่า เราต้องหันเหมาช่วยมนุษย์มากกว่าที่จะไปทางโน้น แต่เอาละ หลังจากที่ผมปฏิเสธไม่ทำงานในสหรัฐอเมริกา เขาก็พยายามดึงให้ผมทำงานให้เขานะครับ แต่ผมปฏิเสธ พอกลับมาแล้ว ผมก็ยังออกแบบอะไรต่ออะไร สร้างเครื่องไม้เครื่องมือ แล้วขายไปให้องค์การนาซ่า เราก็ส่งเครื่องมือพวกนี้ไป ที่สร้างในประเทศไทยและเขียนไว้ชัดเจนว่า เมดอินไทยแลนด์ ส่งไปเขาก็ใช้ ตอนนี้ก็ใช้ในดาวเทียมในยานอวกาศหลายจุด แต่ผมทำไปได้ซักพักหนึ่ง ก็เลิกแล้ว ปล่อยให้คนอื่นเขาทำไป
     
  11. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            ตอนนั้นอาจารย์เข้าไปทำงานกับองค์การนาซ่าได้ยังไงคะ

            ช่วงนั้น ผมเป็นอาจารย์สอนที่คณะวิศวกรรมศาสตร์จุฬาฯ พอสอนไปได้สัก 2 ปี รู้สึกว่าวิทยาการของโลกก้าวล้ำหน้าไปแล้ว แต่ความรู้ของเรายังล้าสมัย เลยเดินทางไปสหรัฐอเมริกาเพื่อหาความรู้เพิ่มเติม บังเอิญมีประกาศเกี่ยวกับยานอวกาศขององค์การนาซ่าที่จะไปสำรวจดาวอังคาร ผมก็นำเสนอโครงการเข้าไปในนามของบริษัท Micromega ที่ผมทำงานอยู่ แต่ทางนาซ่าปฏิเสธ ไม่รับคนต่างชาติ เพราะเกรงว่าความลับทางเทคโนโลยีจะรั่วไหลไปสู่ประเทศคู่แข่ง แต่ผมไม่ละความพยายาม ในที่สุดพบว่ามันมีช่องโหว่ทางกฎหมายที่เขาจะรับคนต่างชาติได้ ในกรณีที่ขาดแคลนคนที่มีความรู้ด้านนั้น
            ช่วงนั้นอเมริกากับรัสเซียพยายามส่งยานอวกาศไปลงที่ดาวเคราะห์ แต่ยังล้มเหลว พอส่งไปถึงมันจะตกลงไปกระแทกพื้น เพราะอยู่ห่างไกลจากโลก ไม่สามารถควบคุมการร่อนลงจอดได้จากโลก จึงจำเป็นต้องเป็นระบบที่สามารถควบคุมการร่อนลงจอดได้เองโดยอัตโนมัติ ซึ่งสหรัฐฯยังไม่เคยประสบความสำเร็จ ผมเลยเสนอโครงการเข้าไปว่าจะสร้างชิ้นส่วนที่จะควบคุมยานอวกาศให้ร่อนลงโดยอัตโนมัติสู่พื้นผิวของดาวอังคารอย่างปลอดภัย เขาเลยสนใจและให้ผมได้ไปร่วมกับโครงการยานอวกาศ แต่ไม่ใช่กับองค์การนาซ่าโดยตรง เพราะนาซ่าไม่ได้สร้างยานอวกาศด้วยตัวเอง แต่จะทำหน้าที่กำหนดนโยบาย วางแผนโครงการ และควบคุมยานอวกาศที่จะส่งออกไปนอกโลก ซึ่งจะจ้างบริษัทต่าง ๆ ในการผลิต ผมเลยต้องไปทำงานกับบริษัทในสหรัฐอเมริกา
     
  12. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            แต่กว่าจะคิดค้นจนสำเร็จได้ก็ใช้เวลาเป็นปี

            ครับ ผมก็ทำวิจัยสร้างต้นแบบหลายต้นแบบ จำลองการร่อนลงของยานอวกาศว่าจะสามารถลงไปแตะพื้นผิวได้อย่างปลอดภัยหรือไม่ แต่ปรากฏว่าไม่สำเร็จ ใช้การไม่ได้ ต้องนำมาแก้ไขใหม่ จนล่วงเลยไป 1 ปี ผมก็คิดว่าถ้าใช้วิธีแบบอเมริกันคงไม่สำเร็จแน่ เลยคิดว่าใช้วิธีทางตะวันออกดีกว่า คือการไปนั่งสมาธิให้เกิดปัญญา จึงตัดสินใจไปนั่งสมาธิ จิตสงบนิ่งที่สุด นั่งเฉย ๆ ปล่อยวางไม่ไดสนใจอะไร อยู่ ๆ แวบเข้ามา เกิดการหยั่งรู้ด้วยตนเองว่าจะสร้างยังไง
     
  13. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            การเริ่มต้นนั่งสมาธิของอาจารย์ เกิดจากการปฏิบัติเองหรือว่ามีวิปัสสนาจารย์สอนคะ

            ตอนที่ผมเริ่มต้นครั้งแรก ตอนนั้นอยู่ในประเทศอังกฤษ เป็นนักเรียนอายุ 15 ผมอยู่ในโรงเรียนซึ่งไม่มีชาวพุทธอยู่ ไม่มีพระ ไม่มีใครที่จะสอนได้ เพราะฉะนั้นผมเลยใช้วิธีอ่านตำรา ดูตำราจากพุทธศาสนา และเจอบทความเกี่ยวกับการฝึกสมาธิโดยใช้อานาปานุสสติ ตั้งสติอยู่ที่ลมหายใจครับ เริ่มฝึกด้้วยตนเองตอนนั้น ฝึกไปพักใหญ่ เสร็จแล้วเริ่มพบบุคคลที่มีความรู้ มีพระที่บวชในเมืองไทยเป็นชาวอังกฤษ แล้วไปจำวัดอยู่ที่อังกฤษ แต่ตอนนั้นยังไม่มีวัดครับ เรียกว่าแค่วิหาร หลังจากนั้นพระองค์นั้นก็มาอยู่ที่อุดรฯ อยู่กับท่านอาจารย์มหาบัว เป้นรองเจ้าอาวาสอยู่ที่วัดบ้านตาด ท่านสอนผมตอนเริ่มเข้ามหาวิทยาลัยที่ประเทศอังกฤษ
     
  14. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            ตอนที่อาจารย์ไปบวชคุณพ่อคุณแม่คงกลัวอาจารย์บวชไม่สึก

            ใช่ครับ (หัวเราะ) คือจริง ๆ ตั้งแต่เล็ก ๆ แล้วน่ะครับ ผมขอร้องคุณพ่อคุณแม่บอกขอบวช และตั้งใจบวชตลอดชีวิตด้วย ไม่ได้สนใจทางโลกเท่าไหร่ แต่คุณพ่อคุณแม่ก็รู้ว่าถ้าเกิดผมบวชตอนนั้นไม่สึกแน่ คุณพ่ออยากจะให้อยู่ช่วยเหลือสังคม รับใช้สังคมมากกว่า เลยพยายามทำทุกอย่างไม่ให้ผมได้บวช คือพยายามจัดให้พบกับผู้หญิงสวย ๆ น่ารักกันทุกคนในสังคม จัดงานปาร์ตี้ให้ ตอนนั้นผมยังไม่ค่อยได้สนใจครับ จนกระทั่งเริ่มเข้าสู่การเรียนปริญญาเอก ตอนนั้นผมนั่งสมาธิ และรู้ตัวว่ายังไม่ถึงเวลา เราไม่ใช่ชีวิตของนักบวช เป็นชีวิตที่ต้องอยู่ในสังคม ทำประโยชน์ให้แก่สังคม ผมนอนหลับฝันไปว่าพบนักบุญอยู่ใต้ต้นไม้ใหญ่ ท่านก็ยืนยันว่าชีวิตนี้ของผมไม่ใช่ชีวิตนักบวช หลังจากนั้นก็เจอโยคีพวกที่ฝึกปฏิบัติไปไกลทีเดียว พวกนี้ก็ยืนยันกับผมว่า ชีวิตนี้เป็นชีวิตของการรับใช้ช่วยเหลือผู้อื่น มีการยืนยันหลายฝ่าย ในที่สุดเลยตัดสินใจ เราก็แต่งงานซะ (ยิ้ม) จะได้เป็นฆราวาส และอยู่อย่างฆราวาส
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 สิงหาคม 2006
  15. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            ปัจจุบันภรรยาอาจารย์ใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนด้วยหรือเปล่าคะ

            ภรรยาผมเป็นครูสอนภาษาจีนอยู่ที่นี่ เขาก็ติดตามผมมาอยู่ด้วยกัน เขาจบอักษรศาสตร์จุฬาฯ รู้หลายภาษาเลยช่วยสอนภาษาจีน นอกจากนั้นยังช่วยจัดการเกี่ยวกับเรื่องสถาบันที่เกี่ยวข้องกับชาวต่างประเทศด้วย
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2006
  16. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            ที่อาจารย์พูดไว้ในหลายสื่อว่าอีก 12 ปีโลกจะเกิดการเปลี่ยนแปลง จะเกิดความสงบสุขขึ้นในโลก ความเปลี่ยนแปลงที่เราต้องเจอนั้นคืออะไรบ้าง

            ตอนนี้ก็เหลืออีก 11 ปี เพราะพูดมา 1 ปีแล้ว (ยิ้ม) คือผมมั่นใจว่าโลกของเราในที่สุดจะต้องมีความสงบสุข และสังเกตมาโดยตลอด รวมทั้งการนั่งสมาธิของตัวเองว่า มนุษย์จะยอมเปลี่ยนต่อเมื่อมีวิกฤต เราจะไม่ยอมเปลี่ยนแปลง ถ้าอยู่กันสบาย ๆ เพราะฉะนั้นจะเห็นได้ว่า มีอะไรที่เป็นปัญหาใหญ่ของโลก การเปลี่ยนแปลงมันจะค่อยเกิดขึ้น พอเกิดสึนามิคนตายไป 2 แสนกว่าคน ในประเทศไทยเราก็เจอปัญหามาก คนตายไปเยอะ จะเห็นว่าพอมันเกิดขึ้นปุ๊บ คนเริ่มมีความเมตตาต่อกัน ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน เงินทองไหลมาเทมา คนบริจาคเข้ามา อาสาสมัครมาจากทั่วโลก ฉะนั้นเราจะเห็นว่าเมื่อเกิดวิกฤต จิตใจคนเปลี่ยน และทำให้เราเริ่มเปลี่ยนเป็นคนดี ช่วยเหลือซึ่งกันและกัน ตอนนี้ผมเห็นว่ากำลังเกิดวิกฤตขึ้นมาในโลกของเราหลายด้าน อันหนึ่งคือระดับน้ำทะเลกำลังสูงขึ้น ผมคุยกับนักวิทยาศาสตร์หลายคน เขาบอกว่าตอนนี้มันสูงขึ้นประมาณ 2-3 มิลลิเมตรต่อปี 2-3 มิลลิเมตรเราก็บอกว่านิดเดียวเอง แต่เนื่องจากว่ามหาสมุทรของเราใหญ่มาก โดยเฉพาะมหาสมุทรแปซิฟิก ถ้าเกิดขึ้นไปอยู่บนดวงจันทร์ ถ่ายภาพลงมาตรงกลางมหาสมุทรแปซิฟิก เราจะเห็นว่าเกือบทั้งโลกเลยนะครับเป็นมหาสมุทร อเมริกาอยู่ขอบหนึ่ง ประเทศไทยเราอยู่ข้างหนึ่งของโลก ตรงกลางเป็นมหาสมุทรแปซิฟิก จริงอยู่พอไปอีกข้างหนึ่งมีแผ่นดินเยอะ มีอัฟริกา เอเชีย แต่ด้านหนึ่งจะมีน้ำเยอะ เพราะฉะนั้นถ้าระดับน้ำทะเลสูงขึ้น 2-3 มิลลิเมตร มันมาถ่วงน้ำหนักด้านหนึ่งมากกว่าอีกด้านหนึ่ง โลกของเรากำลังหมุนเวียนอย่างเป็นระบบอยู่ในอวกาศ พอน้ำหนักเพิ่มขึ้นข้างหนึ่ง มันจะเริ่มแกว่ง ตอนนี้ไอ้ 2-3 มิลลิเมตรตอปี ถ้าเราเกิดลองคำนวณน้ำหนักของมันที่มาถ่วงด้านหนึ่ง มันมหาศาล เพราะมหาสมุทรใหญ่โตมาก ไม่ใช่แค่ตันสองตัน เป็นพันเป็นแสนตัน เพราะฉะนั้นเมื่อเป็นอย่างนี้ โลกของเราจะต้องปรับตัวเร็วขึ้น โลกของเราประกอบด้วยเปลือกโลก ซึ่งลอยอยู่บนความร้อนสูง ก็ต้องปรับเพื่อให้น้ำหนักมีสมดุลขึ้นมาใหม่ เพราะฉะนั้นเปลือกโลกต้องเคลื่อนไหว แผ่นดินไหวก็เกิดขึ้น ซึ่งเราก็เห็นว่าแผ่นดินไหวเพิ่มขึ้นผิดปกติ มีมากขึ้นเยอะ พายุที่รุนแรงมากขึ้น อเมริกาไม่เคยโดนพายุเฮอริเคนมากมายก็โดน ทุกแห่งเจอแผ่นดิไหวเพิ่มขึ้น มีปัญหามากขึ้นกับดินฟ้าอากาศ พวกนี้จะกลายเป็นวิกฤตที่กำลังเกิดขึ้น และจะทำให้พวกเราหันมาคิดกันว่า เรามาสามัคคีกันดีกว่า มีประโยชน์อะไรที่จะทะเลาะกัน เราต้องช่วยเหลือซึ่งกันและกัน และป้องกันไม่ให้สิ่งเหล่านี้เป็นภัยอันตรายที่จะคุกคามมนุษย์ ฉะนั้นจากวิกฤตอันนี้เองจะทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในโลกของเราค่อนข้างจะเร็ว แต่น่าเสียดายที่เราต้องรอให้เกิดวิกฤตเสียก่อน ถึงจะรู้ตัว ถึงตอนนั้นก็เริ่มสายไปบ้างแล้ว เพราะว่าอย่างสึนามิคนตายไปตั้ง 2 แสนกว่าคน จริง ๆ ถ้าเกิดเรามีเมตตาต่อกัน สึนามิมันไม่เกิด ถ้าเราเกิดช่วยเหลือกันพยายามลดก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ ที่ทำให้ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น ทำให้เกิดแผ่นดินไหวมากขึ้น เราสามารถจะป้องกันได้ แล้วยิ่งมีเมตตราสูงนะครับ ต้นไม้จะโตเร็วมาก ผมเคยทดลองปลูกต้นไม้โดยใช้แผ่เมตตา ต้นที่ได้รับความเมตตาจะโตเร็ว ถ้าเราสามารถปลูกป่าและให้มันโตเร็ว ถ้าเผื่อพวกเรามีเมตตาสูง จะช่วยทำให้ก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์น้อยลงอุณหภูมิในโลกจะลดน้อยลง เพราะฉะนั้นที่ผมทำนาย 12 ปี ก็จากเหตุการณ์ที่กำลังเกิดขึ้น ระดับน้ำทะเลสูงขึ้น นักวิทยาศาสตร์หลายคนบอกว่า 12 ปี เป็นไปไม่ได้ เขาบอกปลายศตวรรษนี้ น้ำทะเลจะขึ้นไปถึง 2-3 เมตร เพราะฉะนั้นช่วงนี้ยังไม่มาก แต่ผมคำนวณออกมาแล้วแค่ 2-3 มิลลิเมตร น้ำหนักมันมหาศาล ที่ถ่วงข้างหนึ่งให้มากกว่าอีกข้างหนึ่ง เพราะฉะนั้นการเปลี่ยนแปลงจะเกิดขึ้นเร็วกว่าที่มนุษย์เราคิด เลยทำนายออกมาว่า 12 ปีเมื่อปีที่แล้ว ก็มีเหตุผลทางวิทยาศาสตร์บ้าง แต่นักวิทยาศาสตร์หลายคนไม่เห็นด้วย แต่ผมก็นั่งสมาธิด้วย และพยายามดูเหตุการณ์อะไรต่ออะไรประกอบด้วย
     
  17. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            เด็ก ๆ ที่โรงเรียนล่ะคะ อาจารย์ได้บอกอะไรพวกเขากับระยะเวลา 11 ปีที่จะเกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นในโลก

            คือเราแค่เตรียมชีวิตของเขา ผมไม่ได้ไปพูดอะไรเกี่ยวกับเรื่องวิกฤตมากมาย แต่ผมสอนเกี่ยวกับเรื่องปัญหาที่เกิดขึ้นเกี่ยวกับสิ่งแวดล้อมของเรา ปัญหาที่น้ำทะเลสูงขึ้น เหตุผลว่าทำไมมันถึงเกิดขึ้น สิ่งเหล่านี้ก็เตรียมตัวเขา แล้วให้เขาแผ่เมตตากันเยอะ ๆ เพื่อต้นไม้จะได้โตเร็วแล้วมันจะได้ดูดเอาก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ไปใช้เยอะ ๆ หน่อยเพราะฉะนั้นเขาจะเข้าใจเรื่องสิ่งแวดล้อม จะมีเมตตา เขาจะช่วยเหลือทุกคนครับ
     
  18. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            ถ้าอาจารย์เข้าไปในสภา เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นเรื่องที่อาจารย์อยากทำด้วยไหม

            เรื่องสิ่งแวดล้อมเป็นส่วนหนึ่ง และแน่นอนผมจะช่วยเรื่องของการที่เราจะใช้พลังงานอย่างเหมาะสม ไม่ใช่เผาผลาญพลังงานกันอย่างเดียว โดยเฉพาะน้ำมัน เพราะนี่จะสร้างปัญหาให้กับสิ่งแวดล้อมอย่างมาก เราต้องหาพลังงานทดแทน ตอนนี้ก็ทดลองอยู่ในที่นี่ในโรงเรียน ทดลองพลังงานนั้น พลังงานนี้ ที่จะไม่ทำให้สิ่งแวดล้อมเสียหาย ซึ่งไม่ใช่น้ำมัน
     
  19. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            อายุ 60 ปีแล้วของหลายคนคือเกษียณอายุการทำงานแต่อาจารย์อายุ 66 แล้วยังทำงานอยู่เลย

            ผมจะเกษียณก็วันตาย (หัวเราะ)
     
  20. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            ช่วงนี้อาจารย์มีหนังสือออกมาด้วย เรื่องแนวทางแห่งความสุข เล่มนั้นต้องการบอกอะไรกับคนอ่านคะ

            ในเล่มนั้นจะเป็นคล้าย ๆ บทเรียนทีละบท ๆ วิธีการที่เราจะสร้างความสุขให้กับตัวเอง เราจะดูทุก ๆ วันครับ จริง ๆ ผมอยากให้คนอ่านวันละบท ๆ ซึ่งเป็นบทสั้น ๆ อ่านไม่ยากนักแต่ปรากฎว่าหลายคนตะลุยอ่านหมดเลย (หัวเราะ) ก็เกรงอยู่อย่างเดียวว่าอ่านหมดเลยแล้วมันอาจจะสนุก เพราะมีนิทานเยอะ แต่ไม่ได้เอาไปปฏิบัติที่ผมต้องการคืออ่านทีละบทแล้วนำมาคิดวิเคราะห์ว่า สิ่งที่พูดเป็นยังไงเราสามารถนำไปใช้ในชีวิตของเราอย่างไร วันรุ่งขึ้นอ่านอีกบทหนึ่ง คิดวิเคราะห์ต่อมนุษย์ เราต้องเป็นผู้เชี่ยวชาญ 2 อย่าง อันหนึ่งคือเรื่องที่เราจะใช้ในการทำมาหากิน แต่อีกอันสำคัญกว่าเยอะ คือเราต้องทำในสิ่งที่จิตใจเราปรารถนามากที่สุด นั่นคือความสุขไม่มีใครไม่อยากได้ความสุข แต่ปรากฎว่ามนุษย์ไม่รู้วิธีการเลยไม่รู้จะสร้างความสุขให้กับตัวเองได้อย่างไร ตรงกันข้ามเรากลับสร้างความทุกข์ให้ตัวเองตลอด เพราะฉะนั้นเราต้องกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในการสร้างความสุขให้กับตัวเอง อันนี้สำคัญต้องควบคู่กันไปกับวิชาการที่เราต้องเรียนรู้เพื่อทำมาหากิน แต่อย่างที่ผมบอกแล้วว่า เราไม่ได้มีการศึกษาเพื่อจะทำมาหากิน แต่เพื่อชีวิตเราต้องรู้จักดำรงชีวิตของเราอย่างถูกต้องการมีความสุขคือสิ่งสำคัญที่สุดสำหรับมนุษย์เรา เล่มนี้ก็จะเป็นประโยชน์กับหลาย ๆ คนทีเดียวตั้งแต่เด็ก ๆ จนถึงผู้ใหญ่อ่านได้ทั้งนั้น
    [FONT=&quot]<o></o>[/FONT]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 25 สิงหาคม 2006

แชร์หน้านี้

Loading...