อนุโมทนาบุญ

​

 

กราบอนุโมทนาค่ะคุณแอ๊ด....

 

... อ นุ โ ม ท น า ส า ธุ ... ดีแล้วชอบแล้ว<!-- google_ad_section_end -->

 

<TABLE cellPadding=6 width=404><TBODY><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>
(แนะนำ)ไปไหว้พระและทำบุญในเมืองอุบลฯ (มากกว่า) 9 วัดค่ะ

เนื่องในโอกาสปีใหม่ได้ไปทำบุญไหว้พระ
- บำรุงค่าน้ำ-ค่าไฟ
- ชำระหนี้สงฆ์
- บริจาคสมทบสร้างหอพระแก้วโกเมน
- บริจาคสมทบสร้างวิหารวัดป่าใหญ่







1. พระแก้วโกเมน (วัดมณีวนาราม)

วัดมณีวนาราม (วัดป่าน้อย) ตั้งอยู่ที่ถนนหลวงอยู่ระหว่างวัดมหาวนาราม
กับวัดทุ่งศรีเมือง สร้างเมื่อประมาณ พ.ศ. ๒๓๓๒ ผู้สร้างคือ
อุปฮาดก่ำ โอรสพระปทุมวรราชสุริยวงค์(เจ้าคำผง)
พระแก้วโกเมน เป็นพระบูชาปางมารวิชัยขนาดหน้าตัก กว้าง ๔ นิ้ว สูงประมาณ ๕ นิ้ว
สันนิษฐานกันว่าอุบัติขึ้นมาพร้อมกับพระแก้วบุษราคัม ซึ่งประดิษฐานอยู่
ณ วัดศรีอุบล รัตนาราม พระแก้วโกเมน เป็นพระพุทธรูปอัญมณีตระกูล
“ นพรัตนชาติ ”แก้วเก้าประการอันได้แก่ สีขาวผ่องเพชรดี ทับทิมสีมณีแดง
เขียวใสแสงมรกต เหลืองใสสดบุษราคัม แดงแก่ก่ำโกเมนเอก สีหมอกเมฆ นิลกาฬ
มุกดาหารหมอกมัว แดงสลัวเพทาย สังวาลสายไพฑูรย์​

<HR style="COLOR: #ffffff; BACKGROUND-COLOR: #ffffff" SIZE=1>

<!-- google_ad_section_start -->



พระประธาน"พระเจ้าใหญ่องค์หลวง"

2. วัดหลวง ตั้งอยู่บนริมฝั่งแม่น้ำมูล เป็นวัดที่เก่าแก่ซึ่งพระประทุมวรราช
สุริยวงศ์ (คำผง) เจ้าเมืองอุบลฯ คนแรก สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2337 เพื่อใช้เป็นศูนย์กลาง การปฏิบัติศาสนกิจดูแลปกครองคณะสงฆ์และเป็นสถานที่ถือน้ำพิพัฒน์สัตยา ภายในวัดมีเสนาสนะที่ล้ำค่า เช่น พระอุโบสถ หอแจก (ศาลาการเปรียญ) ที่ก่อสร้างด้วยไม้ตะเคียนทองทั้งหลังในรูปแบบของลาวหลวงพระบาง มี “โปง” หรือระฆังไม้โดยพระมหาราชครูหอแก้ว





พระประธานคือ"พระสัพพัญญูเจ้า"



ระฆังไม้ที่แกะสลักชาวอีสานเรียกว่า “โปง"

3. วัดสุปัฏนารามวรวิหาร เป็นวัดฝ่ายธรรมยุติกนิกายวัดแรกในอีสาน
ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำมูลด้านทิศเหนือบริเวณบ้านบุ่งกาแซว เป็นพระอารามหลวงวรวิหารชั้นตรี ด้วยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4
มีพระประสงค์จะวางรากฐานของธรรมยุตินิกาย และได้มีพระบรมราชโองการโปรดเกล้าฯ ให้พระพรหมวรราชสุริยวงศ์ (กุทอง) เจ้าเมืองอุบลฯ คนที่ 3 อาราธนาท่านพันธุโล (ดี) และท่านเทวธัมมี (ม้าว) สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2396 และพระราชทานนามว่า “วัดสุปัตน์” แปลว่าอาศรมของพระฤาษีชื่อดี ภายหลังเปลี่ยนเป็นชื่อ “วัดสุปัฏน์” ที่แปลว่าท่าน้ำดี และวัด สุปัฏนารามวรวิหาร มีพระวิหารสมเด็จเป็นศิลปะร่วมระหว่างไทยยุโรปและเขมร และมีระฆังไม้ที่แกะสลักชาวอีสานเรียกว่า “โปง” รวมทั้งทับหลังและศิลาจารึกที่เก่าแก่





4. วัดศรีอุบลรัตนาราม เดิมชื่อวัดศรีทอง เมื่อปี พ.ศ. 2398 อุปฮาด (โท) หนึ่งในคณะอาญาสี่ของเมืองอุบลฯ ได้อุทิศที่ดินเพื่อสร้างวัด เนื่องจากได้เกิดนิมิตเห็นแสงสว่างพวยพุ่งขึ้นในบริเวณสวนจึงถือเอานิมิตมงคลนี้ตั้งชื่อวัดว่า “วัดศรีทอง” ต่อมา คุณหญิงตุ่น โกศัลวิตร คหบดี ได้ก่อสร้างพระอุโบสถหลังใหม่แทนหลังเก่าที่ชำรุดทรุดโทรม ทูลเกล้าถวาย สมเด็จพระเจ้าลูกเธอ เจ้าฟ้าอุบลรัตนราชกัญญา สิริวัฒนาพรรณวดี และขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตเปลี่ยนนามเป็น “วัดศรีอุบลรัตนาราม” เมื่อวันที่ 12 มีนาคม 2511 วัดแห่งนี้เป็นที่ประดิษฐาน “พระแก้วบุษราคัม” ที่อัญเชิญมาจากกรุงศรีสันาคนหุต (เวียงจันทน์) ประเทศลาว ภายหลังเสร็จศึกการปราบกบฏฮ่อ



5. วัดมหาวนาราม หรือวัดป่าใหญ่ ที่ประดิษฐาน “พระเจ้าใหญ่อินทร์แปลง” หรือเจ้าใหญ่อินแปง พระพุทธรูปปางมารวิชัย เป็นพระคู่บ้านคู่เมืองที่ชาวอุบลราชธานีเคารพสักการะบูชาและเป็นศูนย์รวมและสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจจากหลักฐานศิลาจารึกที่ฐานข้างพระเจ้าใหญ่ฯ ว่า พระพรหมวรราชสุริยวงค์ (ท้าวทิดพรหม) เจ้าเมืองอุบลฯ คนที่ 2 เป็นผู้สร้างในนาม “วัดป่าหลวงมณีโชติศรีสวัสดิ์” ต่อมาพระมหาราชครูศรีสัทธรรมวงศา พาลูกศิษย์สร้างพระพทุธรูป
ก่ออิฐถือปูน ขนาดหน้าตักกว้าง 3 เมตร สูง 5 เมตร ชื่อว่า พระอินแปง เมื่อปี พ.ศ. 2485 สมเด็จพระมหาวีระวงค์ (อ้วน ติส โส) ได้เปลี่ยนเป็นชื่อ
“วัดมหาวนาราม” เนื่องจากดงอู่ผึ้งที่ตั้งเมืองอุบลฯ อยู่คู่กับดงใหญ่
ซึ่งเป็นที่ตั้งวัดและชาวบ้านเรียกกันว่าวัดป่าใหญ่



พระประธานในวิหารศรีเมืองชองวัดทุ่งศรีเมืองคือ"พระเจ้าใหญ่ศรีเมือง"



พระอุโบสถหรือหอพระพุทธบาทมีพระพุทธบาทจำลอง





ในพระอุโบสถมีภาพวาดฝาผนังอันเก่าแก่



หอไตรที่สระกลางน้ำ โดยมีจุดประสงค์ ใช้เป็นที่เก็บรักษาพระไตรปิฎก คือ คัมภีร์ทางพระพุทธศาสนา และปรัชญาพื้นบ้าน รวมถึงตำราต่าง ๆ มากมาย

6. วัดทุ่งศรีเมือง สร้างขึ้นในสมัย พระบาทสมเด็จพระนั่งเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 3 โดยท่านเจ้าคุณพระอริยวงศาจารย์ญาณวิมลอุบลสังฆปาโมกข์ (สุ้ย) เจ้าคณะเมืองอุบลราชธานีในขณะนั้นมีสถาปัตยกรรมที่สำคัญคือ
หอพระบาทหรือพระอุโบสถ ลักษณะเป็นสถาปัตยกรรมและศิลปะผสมระหว่างเวียงจันทน์กับกรุงรัตนโกสินทร์ และศิลปะเวียงจันทน์ ภายในมีภาพจิตรกรรม
ฝาผนัง เน้นเนื้อหางานจิตรกรรมทางด้านพุทธประวัติและทศชาติ หอไตร
หรือหอพระไตรปิฎก เป็นสถาปัตยกรรมไม้ทั้งหลัง มีลักษณะของศิลปกรรม
ผสม 3 สกุลช่างคือ ไทย-พม่า-ลาว ลักษณะตัวอาคารเป็นแบบไทย
มีเรือนฝาปะกนขนาด 4 ห้อง ผนังภายในเขียนลายลงรักปิดทอง มีบานประตูหน้าต่างเขียนรูปทวารบาล ส่วนยอดหลังคาเป็นศิลปะไทยผสมพม่า
มีช่อฟ้าใบระกา หลังคาซ้อนกันหลายชั้น ในส่วนลวดลายแกะสลักบนหน้าบันทั้ง 2 ด้านเป็นลักษณะศิลปะลาวที่มีฝีมือชั้นสูงในระดับช่างหลวงจากเวียงจันทน์ บริเวณส่วนฝาประตูด้านล่างแกะสลักเป็นรูปสัตว์ประจำราศีต่าง ๆ และหอไตรนี้มีลักษณะพิเศษต่างไปจากที่อื่น คือคันทวยด้านซ้ายและด้านขวาประตูทางเข้าสลักเป็นรูปเทพพนม



7. วัดใต้พระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ เดิมชื่อวัดใต้เทิงเนื่องจากตั้งอยู่เคียงคู่กับ
วัดใต้ท่า (ยุบเมื่อปี พ.ศ. 2459 ปัจจุบันคือที่ตั้งของสำนักงานการไฟฟ้า)
จึงได้ชื่อว่า วัดใต้เทิ่ง ที่แปลว่าที่สูงหรือข้างบน สร้างขึ้นเมื่อปี พ.ศ. 2377 โดยญาติท่านบุญศรีเป็นผู้สร้าง เดิมเป็นวัดมหานิกาย เจ้าคุณปัญญาพิศาลเถระ (จิตปณโณ หนู) ได้เปลี่ยนแปลงเป็นวัดพระธรรมยุต ในสมัย พระอริยกวี
(อ่อน ธัมมรักขิโต) เจ้าคณะใหญ่เมืองอุบลฯ สิ่งสำคัญในวัดนี้ มีพระอุโบสถสร้างด้วยศิลปะ 3 ชาติ คือหลังคาเป็นทรงไทยประยุกต์ ส่วนฐานเป็นศิลปะขอมผสมเวียดนาม นอกจากนี้ยังเป็นที่ประดิษฐานพระพุทธรูปขนาดใหญ่
หนัก 1 ตื้อ จึงได้ชื่อว่าวัดพระเจ้าใหญ่องค์ตื้อ



หลวงปู่มั่น



หลวงปู่เสาร์



8. วัดเลียบ ตั้งอยู่ถนนตรงกันข้ามกับวัดใต้ สร้างขึ้นประมาณปี พ.ศ. 2391 ถูกทิ้งร้างไปครั้งหนึ่ง ต่อมาเมื่อปี พ.ศ. 2435 ในสมัย พระยาศรีสิงหเทพ ดำรงตำแหน่งข้าหลวงใหญ่เมืองอุบลราชธานีนั้น พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล พร้อมด้วยท้าวสิทธิสาร (บุญชู) และเพี้ยเมืองแสน (อุ่น) ได้ปฏิสังขรณ์ขึ้นแล้วขอพระราชทาน วิสุงคามสีมา เป็นวัดธรรมยุต ภายในวัดนี้มีอุโบสถ (สิมไม้) ที่พระประธานปางสมาธิสร้างจากไม้กันเกลา พระอุโบสถหลังใหม่สร้างเมื่อปี พ.ศ. 2506 ขนาดกว้าง 15 เมตร ยาว 35 เมตร และสูง 27.50 เมตร อีกทั้งมี “ต้นสาละ” ต้นไม้ในพุทธประวัติให้ดูชมอีกด้วย





9. วัดบูรพาราม ตั้งอยู่ทิศทางตะวันออกของเมืองอุบลฯ พระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ สร้างให้ พระสีทา ชยเสโน เนื่องจากศรัทธาที่เห็นท่านนั่งวิปัสสนากรรมฐาน ณ บริเวณนี้เป็นประจำ วัดนี้เป็นต้นกำเนิดของบูรพาจารย์สายวิปัสสนา เช่น อาจารย์มั่น ภูริทัตโต อาจารย์ลี ธัมมธโร อาจารย์เสาร์ กันตสีโล อาจารย์สิงห์ ขันตยคโป ฯลฯ ภายในวัดนี้มี หอไตร เป็นหอไตรบก (สร้างบนดิน) มีรูปลักษณะเรือนไม้ขนาด 3 ห้อง 2 หลังคู่ หน้าจั่วทำลวดลายรัศมีพระอาทิตย์ อาคาร โดยรอบตกแต่งด้วยลายบัวฟันยักษ์ประดับกระจกสีเหลืองขาวและเขียว สิมอีสาน มีลักษณะเป็นสิมทึบหันหน้าออกสู่แม่น้ำมูล ส่วนฐานอาคารก่อด้วยอิฐเป็นฐานแบบสิมอีสานทั่ว ๆ ไป



พระบูรพาจารย์ ๕ องค์ (วัดบูรพา)

วัดบูรพา ตั้งอยู่ถนนบูรพาใน อยู่ด้านทิศตะวันออกของเมืองอุบลฯ เดิมเป็นป่าโปร่งเงียบสงัดเหมาะแก่การปฏิบัติธรรม หลวงปู่สีทา หลวงปู่มั่นภูริทัตโต
ทราบข่าวจึงเดินทางมาฝากตัวเป็นศิษย์ร่วมปฏิบัติธรรม ณ สำนักสงฆ์แห่งนี้ กรมหลวงสรรพสิทธิประสงค์ ข้าหลวงต่างพระองค์ บังเกิดศรัทธาจึงบริจาคที่ดินและทรัพย์สินให้สร้างเป็น “วัดบูรพา” ซึ่งเป็นต้นกำเนิดวัดสายวิปัสสนากรรมฐาน พระอาจารย์สายวัดป่าทั่วประเทศได้มาปฏิบัติธรรม ณ
วัดบูรพาแห่งนี้นานนับ ๑๐๐ ปี เศษ
ปัจจุบันทางวัดบูรพาได้นำรูปหล่อหลวงปู่ ผู้เป็นบูรพาจารย์ ด้านวิปัสสนากรรมฐาน ๕ องค์มา
ประดิษฐานให้ลูกหลานชาวบ้านชาวเมืองและพุทธศาสนิกชนทั่วไปได้กราบไหว้บูชา
เพื่อเป็นสิริมงคลได้แก่รูปเหมือนของ...
๑. พระอาจารย์สีทา ชัยเสโน
๒.พระอาจารย์เสาร์ กันตสีโล
๓.พระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต
๔.พระญาณวิศิษย์ (สิงห์ ขันตญาคโม)
๕.พระสิทธรรมรังสีคัมภีร์เมธาจารย์ (ลี ธัมมธโร)


10. วัดกลาง ตั้งอยู่ถนนราชวงศ์ ริมฝั่งแม่น้ำโขงสร้างเมื่อ พ.ศ.2325 โดยเจ้าราชวงศ์ (ก่ำ)
เป็นผู้สร้างใกล้กับคุ้มหรือ “โฮงราชวงค์” ตามคตินิยมกันมาแต่โบราณที่เสาะหาทำเลใกล้แม่น้ำ
สร้างเมืองแล้วสร้างวัดควบคู่กันชื่อวัดเรียกตามทางน้ำไหล วัดที่เจ้าราชวงศ์สร้างอยู่ระหว่าง
“วัดเหนือท่า”(บริเวณ สนง. การไฟฟ้าฯ ปัจจุบัน) จึงได้ชื่อว่า“วัดกลาง”

พระบทม์ เป็นพระประธานในวิหารเก่าแก่ตั้งแต่ครั้งสร้างวัดเป็นพระพุทธปฏิมาปามารวิชัยที่งดงามมากขนาดหน้าตักกว้าง ๗๘ นิ้ว(๑.๗๘ ม)สูง ๑๐๘ นิ้ว(๒.๗๕ ม.) สร้างด้วยอิฐดินเหนียวผสมเกสรดอกบัว
จึงได้มีชื่อว่า “พระบทม์” มาจากคำว่า ปทุม-ปทม-บทม์ หมายถึง “พระ ดอกบัว”ได้แก่ บัวหลวง
มีสีแดง กลิ่นหอม เป็นพระพุทธรูปที่ประสาทพรเกื้อกูล ให้เกิดความสำเร็จตามแรงแห่งสัจจาธิษฐานปรารถนา
สมัยก่อนผู้เฒ่าผู้แก่รุ่นปู่ย่า ตายาย เมื่อได้พบเห็นสิ่งที่หมดจดงดงามสดสวย
มักจะอุทานเปรียบเทียบว่า “ จะแม่นงามปานพระบทม์”



11. วัดพระธาตุหนองบัว สร้างขึ้นเนื่องในวาระมงคลพุทธศตวรรษที่ 25 โดยกลุ่มพุทธศาสนิกชนมีความปรารถนาที่จะสร้างวัดให้เป็นสถานที่ปฏิบัติธรรมในที่ดินของ นายฟอง สิทธิธรรม มีธาตุเจดีย์ศรีมหาโพธิ์ ซึ่งภายในบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ โดยจำลองแบบพระเจดีย์พุทธคยา ประเทศอินเดีย มีความกว้างด้านละ 17 เมตร องค์พระธาตุทั้ง 4 ด้านแกะสลักพระประจำวันเกิดและกลีบบัวประดับ ฐานล่างแกะสลักรูปพระพุทธเจ้าปางประสูติ ตรัสรู้ ปฐมเทศนาและปรินิพพาน ส่วนยอดฉัตร 5 ชั้นทำด้วยทองคำหนัก 31 บาท เป็นรูปดอกบัวตูมลงรักปิดทอง



Focus Event

 

อนุโมทนาบุญค่ะ....<!-- google_ad_section_end --> ไปเที่ยวเหนือมาเหรอคะคุณแอ๊ด....

 

อนุโมทนาทุกประการครับ พี่แอ๊ด สาธุ
ปีใหม่นี้ ก็ขอให้ พี่แอ๊ด มีความสุขความเจริญ สมหวังตลอดปี 2554 และ ตลอดไปครับ

 

อนุโมทนากับ ผู้ไม่ปล่อยให้เวลาล่วงเลยโดยมิได้สร้งสมบารมี สาธุ สาธุ สาธู

 

<TABLE cellPadding=6 width=500><TBODY><TR><TD align=middle></TD></TR></TBODY></TABLE>


[MUSIC]http://palungjit.org/attachments/a.1205298/[/MUSIC]

 

ขออนุโมทนาบุญทั้งปวงค่ะ..คุณแอ๊ด

​

 

อนุโมทนาด้วยค่ะ มีทั้งรูปสวยๆ และความรู้ด้วย
คงต้องหาโอกาสไปบ้างแล้วค่ะ

 

ทำบุญโรงทาน"อาจาริยบูชา"ถวายแด่หลวงปูชา
วัดหนองป่าพง อ.วารินชำราบ จ.อุบลฯ วันที่ 12-17 มกราคม 2554

 

ร่วมโครงการ "ปฏิทินตั้งโต๊ะเก่าของคุณมีค่าอย่าทิ้ง"

ปฏิทินตั้งโต๊ะเก่ามีค่า !!!อย่าทิ้ง!!! เชิญบริจาคทำเป็นบัตรคำอักษรเบรลล์ สื่อการสอน
ให้กับโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพ บริจาคได้ตั้งแต่วันนี้ - 31 มกราคม 2554

ปฏิทินตั้งโต๊ะที่รวบรวมได้ สามารถส่งไปที่ โรงเรียนสอนคนตาบอด กรุงเทพฯ
420 ถนนราชวิถี ทุ่งพญาไท เขตราชเทวี กรุงเทพฯ 10400
...
สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่
คุณสมศักดิ์ Tel 02 - 3548365
โทรสาร 0-2354-8369
www.blind.or.th

E-mail : school@blind.or.th

ปล.ทางเจ้าหน้าที่ปลายสายแจ้งว่า...รับเฉพาะปฏิทินตั้งโต๊ะอย่างเดียว

ขอบคุณทุกคนที่จะมีส่วนช่วยเหลือให้กับโรงเรียนสอนคนตาบอดกรุงเทพนะคะ
สาธุ ขอร่วมอนุโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ร่วมกันบริจาค

หมายเหตุ...ได้รับเมลส่งต่อมาค่ะ

 

อนุโมทนา สาธุ ด้วยค่ะ พี่แอ๊ด พอมีบ้างค่ะ เดี๋ยวจะรวบรวมค่ะ ^_^

 

อนุโมทนาค่ะ สาธุ สาธุ สาธุ​

 

เมื่อปลายปีส่งไป 3-4 เล่มให้กับคุณติงติงไป (ถ้าจำไม่ผิด) เพื่อใช้เป็นสื่อการเรียนการสอนซะแล้วค่ะ เพราะเสียดายภาพสวยๆ ไม่อยากให้เด็กและโรงเรียนหยิบซื้ออะไรที่สำเร็จรูป โดยไม่นำสิ่งใกล้ตัวมาใช้ให้เกิดประโยชน์น่ะค่ะ แต่ไม่เป็นไรเด่วจะไปเรี่ยไรลูกค้ากับเพื่อนๆ มาให้แล้วกัน อนุโมทนาในสิ่งที่มาบอกอีกครั้งนะคะคุณแอ๊ด เป็นการลดสภาวะโลกร้อนด้วย แล้วนำสิ่งที่เราอาจไม่เห็นคุณค่าทางสายตาในสิ่งที่ใช้แล้ว แต่กลับมีค่ากับคนกลุ่มนึงในโลกมืดมากมาย..
.