หลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทอง และพระคณาจารย์สายต่างๆ (ข้อมูลวัตถุมงคล หน้า 1-8)....

ผมว่าไม่ใช่แค่หนุมานหรอกครับ ได้ข่าวว่าพระขรรค์ และวัตถุมงคลอย่างอื่นด้วยครับ

 

เช้านี้ได้ไปกราบพระนอน วัดโพธิ์ และสวดลายลักษณ์ถวายหลวงปู่
​

“พระพุทธไสยาส” หรือ “พระนอน” วัดโพธิ์ ได้รับการยกย่องว่าเป็น
พระพุทธไสยาสที่มีพุทธลักษณะงดงามเป็นอันดับต้นๆ แห่งสยามประเทศ
มีขนาดความยาวถึง ๔๖ เมตรด้วยกัน

รัชกาลที่ ๓ โปรดเกล้าฯให้สร้างขึ้น โดยสร้างองค์พระขึ้นก่อนแล้วจึงสร้างพระวิหารครอบในภายหลัง​

ดำเนินการสร้างโดยช่างสิบหมู่หลวง เชื่อกันว่าเป็นปางโปรดอสุรินทราหู เป็นพระพุทธรูปปูนปั้นปิดทองเหลืองอร่ามทั้งองค์ ในขณะที่พระพักตร์อิ่มเอิบ ดูขรึมขลังงดงามสมส่วน เปี่ยมไปด้วยพลังแห่งศรัทธายิ่งนัก​

 

๑ ในลายจำหลักมุกภาพมงคล ๑๐๘ ประการ ที่พระบาทพระพุทธไสยาส
" มีรูปนาคาเหรามังกร... "
​

​

 

ปางโปรดอสุรินทราหู​

ในกาลนั้นพระบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหาร ในพระนครสาวัตถี แคว้นโกศล อันมีพระเจ้าปเสนทิโกศลเป็นกษัตริย์ผู้ปกครอง ในครั้งนั้นยังมี อสุรินทราหูผู้เป็นอุปราช ผู้สำเร็จราชการของท้าวเวปจิตติอสุรบดินทร์ ผู้ครองอสูรพิภพ เมื่อได้สดับพระเกียรติคุณของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าจากสำนักเทพยดาทั้งหลายว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น เป็นพระอรหันต์ผู้ตรัสรู้เองโดยชอบ สมบูรณ์ด้วยวิชชาและจรณะ ทรงรู้แจ้งโลกมีพระเมตตาอนุเคราะห์ธรรมแก่เวไนยสัตว์ คือสัตว์ที่พึงอบรมสั่งสอนได้

เมื่อได้ฟังกิตติศัพท์ของพระบรมศาสดา อสุรินทราหูมีความประสงค์จะไปเฝ้าเพื่อฟังธรรมบ้าง แต่กลับคิดไปเองว่าพระผู้มีพระภาคเป็นมนุษย์มีพระวรกายเล็ก ตนเป็นผู้มีร่างกายยิ่งใหญ่ หากไปเฝ้าก็จะต้องก้มลงมองด้วยความลำบาก และอสุรินทราหูนั้นไม่เคยคิดก้มหัวให้แก่ผู้ใด ดังนั้นจึงไม่ยอมไปเฝ้าพระพุทธองค์เพื่อฟังธรรม แต่ครั้นเห็นเหล่าเทพยดาและพรหมทั้งหลายเหาะไปเฝ้าพระบรมศาสดาคราวละมาก ๆ ไม่อาจห้ามใจได้ วันหนึ่งจึงเหาะตามเทพยดาเหล่านั้นไป

พระพุทธองค์ทรงทราบด้วยพระอนาคตังสญาณ คือญาณที่สามารถหยั่งรู้เหตุการณ์ล่วงหน้าได้ จึงมีรับสั่งให้พระอานนท์พุทธอุปัฏฐากไปจัดสถานที่รองรับบริเวณพระคันธกุฎีโดยให้พระอานนท์ลาดบรรจถรณ์ คือปูที่นอน ไว้ ณ สถานที่แห่งนั้น พระบรมศาสดาทรงแสดงปาฏิหาริย์นิรมิตพระวรกายให้ใหญ่กว่าขุนเขาเสด็จไปสีหไสยาสน์ คือนอนอย่างราชสีห์ ได้แก่การนอนตะแคงข้างขวา เป็นการนอนอย่างมีสติของผู้มีกิเลสเบาบาง พระเศียรหนุนภูเขาต่างพระเขนย แม้พระบาททั้งสองข้างที่วางทับซ้อนกันอยู่ก็ยังสูงใหญ่กว่าอสุรินทราหูซึ่งเห็นพุทธปาฏิหาริย์ในครั้งนั้น ปรากฏแก่สายตาเพียงผู้เดียว แทนที่จะก้มลงมองดูพระพุทธองค์ อสุรินทราหูกลับต้องแหงนหน้าคอตั้งบ่าเพื่อชมพระพุทธลักษณะอันงดงามของพระมหาบุรุษตั้งแต่พระบาทจนถึงพระพักตร์ ทำให้เกิดความปิติปลาบปลื้ม

พระบรมศาสดาได้แสดงปาฏิหาริย์พาอสุรินทราหูขึ้นไป ณ พรหมโลก บรรดาพรหมทั้งหลายที่พากันมาเข้าเฝ้า ล้วนมีร่างกายเล็กกว่าพระพุทธองค์ และต่างพากันเบิ่งตามองอสุรินทราหูเหมือนประหนึ่งมนุษย์จ้องมองมดปลวกตัวเล็ก ๆ แล้วกราบทูลถามว่า “ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญได้พาตัวอะไรมาด้วยหรือพระเจ้าข้า” อสุรินทราหูบังเกิดความกลัวต้องหลบอยู่หลังพระบรมศาสดา นับตั้งแต่นั้นมาก็ลดมานะทิฏฐิเลิกหลงทะนงอวดตัว หลังจากได้ฟังพระธรรมเทศนาจึงเกิดความเลื่อมใสในพระพุทธศาสนา ถือพระพุทธ พระธรรม และพระสงฆ์ เป็นสรณะ ไปตลอดชีวิต แล้วจึงกราบทูลลากลับไปยังพิภพของตน

 

สาธุ..ครับพี่ประพัฒน์ เป็นพระนอนที่สวยมากๆ ตั้งแต่เด็กๆผมเคยไปกราบหลายครั้งครับ และชอบยืนดูลายลักษณ์ทั้งสองนี้ และเคยมีความสงสัยว่ารูปที่ปรากฏที่ฝ่าพระบาทของพระพุทธรูปนี้ หมายความว่าอย่างไร จนได้มาเข้าใจก็ตอนที่ได้เข้ามากราบหลวงปู่พิศดู และท่านมีบทสวดลายลักษณ์พระพุทธบาท เบื้องขวา-เบื้องซ้ายนี่เองครับ
เป็นความคิดที่ดีมากๆครับ ไว้ผมต้องไปสวดบทลายลักษณ์ ถวายหลวงปู่ที่วัดโพธิ์บ้างแล้ว เวลาสวดก็มองภาพลายลักษณ์ไปด้วยน่าจะทำให้ใจชุ่มชื่นไม่น้อยเลยทีเดียว.. สาธุ

 

สาธุ.. พุทธประวัติตอนนี้ แสดงให้เห็นว่า อสุรินทราหู มีอยู่จริงนะครับ ทั้งท่านยังเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอีกด้วยครับ

 

พิธีอธิษฐานจิตรูปหล่อพระมหาอุปคุต ผมจะค่อยๆทยอยเขียนไปเรื่อยๆนะครับ






1. พิธีเททองรูปหล่อองค์พระมหาอุปคุต และรูปหล่อหลวงปู่พิศดู ณ สำนักสงฆ์เขาน้ำซับ โดยพระเกจิอาจารย์ต่างๆ อาทิ
- หลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ จ.กระบี่
- หลวงพ่ออั้น วัดธรรมโฆษก(โรงโค) จ.อุทัยธานี
- หลวงพ่อสิน วัดระหารใหญ่ จ.ระยอง
- หลวงพ่อเฮง จ.ปราจีนบุรี
- ...ฯลฯ

พิธีนี้จัดขึ้นที่ สำนักสงฆ์เขาน้ำซับ อ.แก่งหางแมว จ.จันทบุรี ในวันเสาร์ที่ 2 กุมภาพันธ์ 2556 อันเป็นวันคล้ายวันเกิดขององค์หลวงปู่พิศดู ครบรอบอายุ 90 ปี จึงได้จัดพิธีพุทธาภิเษกวัตถุมงคล และเททองหล่อรูปหล่อหลวงปู่พิศดู ขนาดหน้าตัก 32 นิ้ว และในพิธีนี้ได้เทรูปหล่อพระมหาอุปคุตปางปราบมาร ขนาดห้อยคอ เนื้อนวโลหะด้วย จำนวนทั้งหมด 1,200 องค์ แบ่งเป็นแบบธรรมดา 1,000 องค์ และแจกกรรมการอีก 200 องค์ โดยได้นิมนต์พระเกจิอาจารย์ผู้ทรงวิทยาคุณนั่งปรกประจำทิศต่างๆ อาทิ หลวงพ่อจำเนียร วัดถ้ำเสือ หลวงพ่ออั้น วัดธรรมโฆษก(โรงโค) หลวงพ่อสิน วัดระหารใหญ่ หลวงพ่อเฮง จ.ปราจีนบุรี ฯลฯ พร้อมด้วยพระสงฆ์สวดเจริญพระพุทธมนต์อีกรวม 90 รูป ซึ่งจำนวนพระดังกล่าวนี้ ถือเอาเท่ากับจำนวนอายุขององค์หลวงปู่พิศดู ที่ครบ 90 ปีในปีนั้น
ในพิธีนี้ยังได้ทำพิธีพุทธาภิเษกสมโภชน์พระกริ่งสุขังเสติ และทำพิธีชุบตัวหนุมานมหาฤทธิ์ ในน้ำมันอนันตคุณ108 อีกด้วย โดยได้ตั้งปรัมพิธีบวงสรวงตามแบบราชประเภณีแบบโบราณ เพื่ออัญเชิญบารมีธรรมของพระมหาเถรอุปคุต องค์หลวงปู่พิศดู ธัมมะจารี และครูบาอาจารย์ และเทพยาดาทั้งหลาย ให้มาร่วมประสิทธิความศักดิ์สิทธิ์ เป็นศิริมงคลแด่วัตถุมงคล และผู้เข้าร่วมพิธีทั้งหมด
และหลวงพ่อจำเนียร พระวิปัสนาจารย์ชื่อดัง แห่งวัดถ้ำเสือ ได้นำชนวนโลหะ และวัตถุมงคลอันล้ำค่าที่มีมูลค่านับล้านบาท ซึ่งหลวงพ่อได้ตั้งใจเบิกออกมาจากธนาคาร มามอบให้เพื่อใส่ลงในเบ้าหลอม ที่จะเททองหล่อรูปเหมือนองค์หลวงปู่พิศดูโดยเฉพาะอีกด้วย..

http://palungjit.org/threads/หลวงปู...ะสบการณ์-ปาฏิหาริย์-วัตถุมงคล.292037/page-427
​

 

พึงไปมาครับเจอลูกสุนัขสีขาวพันธ์ราบาดอร์ตัวพ่อสีดำเงียบสงบเจอหลวงพี่กับพี่คนขับรถตอนหลังเลยหยอดตู้สร้างมหาเจดีย์1000บาทซื้อไส้กรอกไปเลยได้กินด้วยกันกับเจ้าราบาดอร์ตัวเล็กน่ารักมาก

 

ลืมบอกครับไปวัดเทพธารทองลืม

 

ไม่ทราบว่าในภาพถ่ายคณะศิษย์ท่านพ่อลี ปี๒๕๐๓ มีหลวงปู่พิศดู ร่วมอยู่ด้วยหรือไม่ครับ
ในปีพ.ศ. ๒๕๐๓ หลวงปู่พิศดู อายุ ๓๗ ปี (พรรษา ๑๖)
หลวงปู่อ่อนพรรษากว่าท่านพ่อเฟื่อง แต่พรรษามากกว่าหลวงปู่ฟัก _/\_
​

 

เมื่อวานไปร่วมงานหล่อพระที่วัดสันติวนาราม หลวงพ่อบุญส่ง
และพบท่านทุเรียนทอดเพื่อรับพระอุปคุต สวยสมดังที่รอคอย

 

สาธุ.. โมทนาบุญด้วยครับ

 

คิดว่าในกลุ่มนี้ไม่น่าจะมีหลวงปู่พิศดูนะครับ เพราะกลุ่มนี้น่าจะเป็นชุดบุกเบิกสร้างวัดอโศการามครับ แต่ว่าในปี 2503 หลวงปู่พิศดูท่านไปอยู่ที่วัดทรายงาม ช่วงนั้นท่านเร่งความเพียรอย่างหนัก และไม่คลุกคลีกับหมู่เลย จนท่านพ่อลีมรณภาพ ในปี 2504 หลวงปู่เล่าให้ฟังว่าตอนท่านพ่อลีมรณภาพ ท่านพ่อลีได้มาปรากฏกายให้ท่านเห็น แล้วบอก ว่า" เราไปก่อนนะ ฝากวัดทรายงามด้วย... " หลวงปู่ท่านอยู่วัดทรายงามอีกหลายปี จนวัดทรายงามเริ่มมีความเจริญแล้ว ท่านจึงตัดสินใจเดินออกธุดงค์ไปอยู่ป่า ในช่วงเวลาเข้าพรรษา ท่านก็กลับมาจำพรรษาที่วัดทรายงามบ้าง วัดเขาน้อยท่าแฉลบบ้าง พอออกพรรษาท่านก็จาริกอีกธุดงค์ต่อ ต่อมาจึงได้มาอยู่ที่วัดเขาสุกิม โดยการนิมนต์ของหลวงพ่อสมชาย ฐิตวิริโย อยู่วัดเขาสุกิมได้ 2 พรรษา จึงได้ย้ายไปอยู่ที่วัดเนินดินแดงอีก 2 พรรษา ต่อมาคณะสงฆ์จึงได้นิมนต์ท่านมารักษาการเจ้าอาวาส วัดเทพธารทอง เมื่อปี 2520 ท่านจึงได้อยู่วัดเทพธารทองตั้งแต่บัดนั้นมา...

 

ยิ่งโชว์ ยิ่งเขียน เหมือนทำมาขายเลยครับ...แพงด้วย....

 

นี่แหละครับสิ่งที่อยู่ในใจผม ผมถึงไม่ค่อยอยากเขียนอะไรมาก คณะผู้จัดสร้างทำของออกมาก็เพราะอยากจะให้คนเอาไปใช้ เจตนาหลักอันดับแรกก็อยากให้คนที่ได้ไปเอาไปคล้องกันจริงๆครับ แต่ถ้าตั้งใจทำออกมาถึงขนาดนี้ก็ต้องพยายามเขียนอธิบายให้ทุกคนได้ทราบถึงความตั้งใจไปพร้อมๆกัน.. ในการสร้างของแต่ละครั้งนั้นไม่ใช่ทำแบบง่ายๆเลยครับ เราเป็นผู้ถ่ายทอดจะหยุดเขียนตอนนี้ก็ไม่ได้ เพราะเรื่องที่เขียนยังไม่จบเดี๋ยวข้อมูลในความทรงจำจะสูญหายไปตามกาลเวลาเสียเปล่า คิดอะไรออกจึงต้องพยายามบันทึกเอาไว้ในนี้ เพื่อให้ทุกท่านได้ศึกษากัน แต่ผลข้างเคียงมันก็แบบนี้แหละครับ พอมีคนชอบ ก็ต้องมีคนขาย มันเป็นเรื่องของคนสองคน ส่วนเรื่องราคาก็แล้วแต่เขาจะตกลงกัน คณะผู้สร้างทุกคนไม่มีส่วนเกี่ยวข้องแน่นอน ผมรับรองครับ และก็มีทั้งคนเข้าใจเจตนา และไม่เข้าใจในเจตนาครับ ผมเองก็โดนมาพอสมควร แต่เราก็ไปห้ามความคิดของใครไม่ได้.. จริงๆอยากจะเขียนชี้แจงตั้งนานแล้ว แต่ยังไม่มีโอกาส วันนี้จึงขอแสดงเจตนาจริงๆให้ทุกท่านได้ทราบกันเลยครับ..

 

วันที่ 22 ก.พ. ได้ไปร่วมพิธีเททองวัดเขาน้ำตกเหมือนกันค่ะ คนเยอะมากจริงๆค่ะ ได้นำทองคำและโลหะไปร่วมหล่อพระประธานด้วยค่ะ วันนั้นรู้สึกอิ่มบุญอิ่มใจ ได้ข่าวว่าวันที่ 1 มี.ค.จะมีการหล่อช่วงฐานพระประธานอีกครั้ง ถ้าไม่ติดธุระอะไรว่าอยากจะไปร่วมงานอีกค่ะ

 

ข้าพเจ้าขอนอบน้อมกราบนมัสการบูชาพระคุณ องค์หลวงปู่พิศดู ธรรมจารีย์ ครับ

^*^ มาให้กำลังใจครับผมพี่ชาย

ขออนุโมทนาบุญ กับ ทุก ๆ งานบุญ
ทุก ๆ มหากุศล ทุก ๆ บุญกุศล ที่พี่เอ็กซ์
และ คณะศิษย์หลวงปู่พิศดู ธรรมจารีย์
ได้กระทำ ครับผม สาธุ สาธุ