เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงพ่อสร้างวัด

    ขณะที่มาอยู่ตั้งแต่ พ.ศ. 2516 นั้น ทางวัดไม่มีเงินทองมาก ไม่มีพุทธบริษัทมาสงเคราะห์เหมือนสมัยนี้ ถือว่าอยู่กันตามอัตภาพ มีเงินก็ก่อสร้าง ถ้าประหยัดแรงงานได้พระก็ทำหันทุกวัน ไม่ได้ขาด ไม่มีวันพระ วันโกน อันที่จริงเรื่องทำงานนั้นเป็นงานที่สาธารณประโยชน์ เป็นงานการกุศล ทำแล้วก็ได้สบายใจ

    เมื่ออยู่กันไป พ.ศ. 2516 นั้น หลวงพ่อท่านจะสร้างโบสถ์เพิ่มขึ้นมาอีก 1 หลัง เพราะหลังเก่านั้น เป็นที่ทรุดโทรมมาก หลังคาก็รั่วโหว่ ฝาผนังก็ผุ ก็ดำริว่า ท่านจะสร้างพระอุโบสถ บูรณะของเก่า แต่ท่านเจ้าอาวาสผู้นิมนต์ท่านมานั้น ยอมให้สร้างเหมือนกันแต่ต้องควบคุมการเงินเอง

    ฉะนั้นเป็นสิ่งที่ผิดปรกติ ผิดปรกติ คือ ไม่ได้หาเงินเอง แต่จะเอาเงินไปเก็บเอง ในฐานะตัวเองเป็นเจ้าอาวาส การที่จะทำอะไรอย่างนี้ เป็นการที่ทำลายศรัทธาของคนผู้มีศรัทธา เพราะว่าผู้ที่เอาเงินมาให้คือ ผู้มีศรัทธานั้น เขาไม่ไว้ใจเจ้าอาวาส เพราะว่าเคยสร้าง สั่งของมาแล้วเป็น 10 ปี ยังทำไปไม่ถึงไหน แต่ออกเงินให้ชาวบ้านเขากู้ บริษัทของตัวเองก็กินเหล้าเมายา เป็นที่ไม่ไว้วางใจของคนดี คนดีที่มีศีลมีธรรม

    เมื่อท่านเจ้าอาวาสยืนยันมาอย่างนั้น หลวงพ่อท่านก็ไม่ตกลงด้วย เพราะว่าเจ้าของเงินที่บริจาคมานั้นเขาไม่ไว้ใจ เจ้าอาวาสท่านจึงสั่งซื้อที่ตรงข้ามกับวัด คือฝั่งถนนที่ปัจจุบันเขียนว่า ศูนย์ศิษย์หลวงพ่อปาน วัดบางนมโค นั่น 11 ไร่ ขณะนั้นยังเป็นป่า ป่ารกชัฏ เป็นป่าไผ่แถบหนึ่ง ตกลงมีโยมที่เป็นเจ้าของขายให้ในราคาถูก ไร่ละหมื่นบาท คือทำบุญด้วยเมื่อท่านตกลงซื้อที่จะสร้างพระอุโบสถขึ้นมาใหม่ โดยไม่ต้องผ่านเจ้าอาวาส

    เมื่อตกลงซื้อที่แล้ว ก็ต้องถากถางป่าที่ยังรกชัฏอยู่ อันที่จริงสมัยก่อนนั้นเราก็ไม่ค่อยมีเงินมาก ไม่ใช่ไม่มีเงินมาก คือ ไม่มีเงิน คือ ทำก่อนผ่อนทีหลัง จะหารถแทรกเตอร์มาดันป่าก็ไม่มี ฉะนั้นจึงต้องหาแรงงานชาวบ้านส่วนหนึ่ง จ้างเอามาฟัน ส่วนหนึ่งพระฟัน คือฟันป่าไผ่ให้เตียน เมื่อฟันป่าให้ล้มลงแล้ว ปล่อยให้แห้งสักช่วงหนึ่ง ก็จุดไฟเผาให้ลง เพื่อจะทำการวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ

    เมื่อป่าไผ่เตียนลงแล้ว ท่านก็ดำริขึ้นมาว่า ก่อนจะวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถนั้น ให้สร้างกำแพงรอบวัดก่อน ให้จ้างคนมา พระส่วนหนึ่ง ญาติโยมส่วนหนึ่ง มาทำกำแพงรอบวัด ทั้งหมด 11 ไร่ เมื่อทำกำแพงลงไปแล้ว ก็เริ่มสร้างกุฏิหลังแรก ฝั่งพระอุโบสถปัจจุบันนี้ คือ ตึกเศรษฐี อยู่ที่มุมเศรษฐีหลังแรกหลังใหญ่ ปัจจุบันทางขึ้นศาลา 3 ไร่ ศาลา 2 ไร่

    ตอนนั้นเมื่อลงขุดหลุมเสาแล้ว อาตมาเองก็ไปช่วยเขา ตั้งแต่ถมดินทุกอย่าง ก่ออิฐฉาบปูน ขนอะไรทุกอย่าง เมื่อสร้างหลังนั้นขึ้นมาแล้วก็สร้างกุฏิขึ้นพร้อมกันทีเดียว 10 หลัง ตั้งเสา เอาดินถมพื้น ขุดหลุม เทปูนทุกอย่าง ทำไปรวมกับช่างบางส่วน ขณะนั้นพระที่บวชอยู่ด้วยกันที่เป็นช่าง คือ พระวิเชียร ท่านเป็นช่าง เป็นหัวหน้าพระทำงานก่อสร้างครั้งนั้น พระก็ไม่มีกี่องค์ ก็มีอาตมา พระอนันต์ 2. หลวงพี่โอ หลวงพี่พระครูสมุห์พิชิต 3. พระวิเชียร 4. พระน้อม แล้วก็ 5. สามเณรสมศักดิ์ มีอยู่แค่นี้ที่ทำงานก่อสร้างกัน

    เมื่อขึ้นตึก 10 หลังนั้นทั้งหมดแล้ว ขึ้นเป็นเสา เสา ก็ถึงเวลาที่จะวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถ ในวันที่ 17 มีนาคม 2517 ตรงกับวันขึ้น 9 ค่ำ เดือน 4 ปี ฉลู การวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถนั้น ผู้ที่วางศิลาฤกษ์คือ หม่อมเจ้าสืบ ศุขสวัสดิ์ ทานบิดาของท่านเจ้ากรมเสริม ศุขสวัสดิ์ การวางศิลาฤกษ์พระอุโบสถนั้น ก่อนวางศิลาฤกษ์จะขอเล่า อาจจะนอกเรื่องไปบ้าง ขอท่านผู้อ่านอย่าถือว่า มันจะดีหรือไม่ดีเล่าสู่กันฟัง

    ก่อนวางศิลาฤกษ์นั้น หลวงพ่อท่านจะบวงสรวงก่อนงาน 1 วัน มีจัดพิธีกรรมก่อน เมื่อจัดพิธีกรรมมีเครื่องบวงสรวงจัดที่หน้าอุโบสถปัจจุบันนั้นยังเป็น ที่ดินยังรกขรุ ๆขระ ๆ เพราะยังไม่ได้เกรด ได้ปรับอะไร ก็มีเจ้าของโรงสีเจ้าอยู่ข้างวัดยาง แกจะสร้างโรงสีใหม่ คือ โรงสีข้าวที่ข้างวัดยางนั้น ก็เอาชิ้นส่วนของโรงสีนั้นมาร่วมพิธีบวงสรวงด้วย หลวงพ่อก็บวงสรวง พอบวงสรวงเสร็จ ท่านก็บอก

    “เฮ้ย.. เจ้าของโรงสีเอ๊ย เข้ามาใกล้ๆนี่ พระภูมิเจ้าที่ เขามาขอนะเดือนหนึ่งแกทำเป็นแปะซะให้เขาสักครั้งได้ไหม เทวดาเขามาขอแป๊ะซะสักตัวเดือนละครั้งได้ไหม”

    เจ้าของโรงสีก็บอก “ได้ครับ”

    ก็เป็นอันว่าบวงสรวงเสร็จก็เลิกกันไป เจ้าของโรงสีก็กลับไปสร้างโรงสีต่อ ต่อมาเมื่อสร้างโรงสีเสร็จก็มีโรงสีแข่งกันสองโรง โรงเก่ากับโรงใหม่ โรงใหม่ขณะนั้นคนเข้าเยอะ ทำอะไรก็เจริญรุ่งเรืองมาก มีความคล่องตัวทุกอย่าง โรงสีเก่านี้มีอยู่ต้องล้มกิจการไปโดยปริยาย

    นี่จะว่าบวงสรวงไม่มีผลก็ไม่ได้ เพราะว่าหลวงพ่อท่านพูดก่อนที่โรงสีจะเสร็จว่า เทวดา พระภูมิเจ้าที่เขามาขอแป๊ะซะเดือนละชุดท่านว่าจะช่วย ก็ตรงตามนั้น หลวงพ่อท่านเป็นผู้ที่รู้จริง อย่างอาตมานั้น รู้เหมือนกันแต่ไม่จริง รู้ตามเขาว่า รู้ตามท่านบอก อย่างหลวงพ่อท่านรู้จริง

    ฉะนั้นท่านสาธุชนที่อยู่เบื้องหลัง ด้านหลังจะขอบอกเสียเลยว่า พระในพุทธศาสนานั้น มีเป็นแสนๆองค์ หรือหลายแสนองค์ ที่รู้จริงๆจากใจ จากตัวท่านเองจริงๆ นั้น รู้จริงๆนั้นมีน้อย รู้ตามตำรานั้นมีมาก คือรู้ตามขี้ปากของคนพูดมาแล้วจำมาพูดต่อนั้นมีมาก ฉะนั้นท่านทั้งหลายเมื่ออ่านหนังสือแล้ว ก็อย่าตกใจ เพราะคนนั้นมีบารมีไม่เท่ากัน จะให้รู้เหมือนกันทุกคนนั้นเป็นไปไม่ได้

    แต่เมื่อท่านทั้งหลายเป็นผู้มีปัญญา เมื่อพบสิ่งที่ดี สิ่งที่ประเสริฐ สิ่งที่เป็นของจริงแล้ว จงนำไปประพฤติปฏิบัติ ก็จะถือว่า ท่านเป็นผู้ที่ประเสริฐตาม เป็นผู้ที่ประเสริฐไปด้วย ถ้าท่านไม่เอาคำสั่งสอนของผู้ที่ประเสริฐไปประพฤติปฏิบัติ ท่านคงจะชอบเดียรถีย์ก็ตามใจ


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 36-37)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มิถุนายน 2019
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ความดำริของหลวงพ่อท่านเจ้าคุณฯ
    สำหรับ อาตมานั้น เมื่ออยู่กับท่านมา 20 ปี รู้ว่าท่านเป็นผู้ประเสริฐ แต่ก็ไม่ขอพูดว่าท่านประเสริฐกว่าใครทั้งหมด หรือประเสริฐกว่าพระองค์ใดในตอนนี้ เพราะอาตมาพูดไม่ได้ เพราะเราไม่ทราบว่าพระองค์อื่นท่านทำอย่างไร แต่เมื่ออยู่กับพระเดชพระคุณท่าน ท่านสอนให้เราละความชั่วทุกอย่าง โดยท่านไม่ปรานีคนชั่ว

    ท่านลงสอนกรรมฐานทุกคราว ท่านจะตำหนิพระที่ทำไม่ดี ทำตัวเป็นเดียรถีย์ในพุทธศาสนา จะเรียกว่าพระไม่ได้ ท่านบอกพวกนี้เป็นโจร อาศัยผ้าเหลืองหุ้มห่อกายมาหากินในพุทธศาสนา เมื่อท่านปรารภอย่างนี้ทุกวัน เราเองก็ไม่ใช่พระที่ดี ก็ยังมีนิวรณ์เต็มอัตราคือ คิดชั่วอยู่เป็นประจำคิดชั่วในที่นี้คือ นิวรณ์คุมใจอยู่เป็นประจำคือ

    1. ชอบเสียงเพราะ กลิ่นหอม รสอร่อย สัมผัสที่นิ่มนวล นึกถึงคนสวยคนงาม ก็ตามคิดถึง อยู่เป็นนิจ อย่างนี้คือ นิวรณ์ ตัวที่ 1

    2. นิวรณ์ตัวที่ 2 คือมักโกรธ ใครทำไม่ถูกใจก็โกรธ มีใครทำไม่ถูกใจก็นึกว่า คนนั้นมัน ด่าเราวันนั้นวันนี้ อารมณ์ก็เร่าร้อน

    3. ง่วงเหงาหาวนอน

    4. อารมณ์ฟุ้งซ่าน คิดนอกลู่นอกทางเป็นประจำ

    5. สงสัยไม่หยุดหย่อน

    แล้วก็เมื่อท่านสอนท่านตำหนิอยู่อย่างนี้ทุกวัน จิตเราก็ชั่วเป็นประจำอย่างนี้ก็ละอายใจ เมื่อเห็นครูบาอาจารย์ก็หลบ เพราะจิตเราชั่ว ท่านบอกคนก็ดี พระก็ดี ถ้านิวรณ์คุมใจ เป็นทาสนิวรณ์นั้น จะเอาอะไรมาดี ความดีก็ไม่มีในตัว ห่มผ้าเหลือง ก็ไม่ใช่พระ เป็นเปรตอาศัยพุทธศาสนาหากิน เราก็นึกอยู่ในใจเพียงว่า เราเป็นเปรตทุกวัน เป็นเปรตอยู่ทุกวัน ครูบาอาจารย์ก็สอนให้เราระงับความชั่ว เราก็ระงับไม่ได้สักที อย่างนี้ก็อาศัยผ้าเหลืองเขาหลอกชาวบ้านหากินไปวันๆ

    แล้วความอายใจที่ท่านตำหนิอยู่อย่างนี้ทุกวัน คือ นึกว่า ชาตินี้จะพ้นนรกหรือเปล่าก็ยังไม่ทราบ แต่ก็นึกว่า เอา เอาล่ะ คนเราน่ะ เกิดมาจากท้องพ่อท้องแม่ มันจะดีเลยไม่ได้ ก็ต้องมาฝึกทำความดีกันต่อไป ถ้าจะลงนรกก็ยอมละ แต่ข้าขอปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ นึกเข้าข้างตัวเองว่า พระพุทธเจ้า ท่านก็บำเพ็ญบารมีมามาก 6 ปี กว่าท่านจะสำเร็จเป็นพระพุทธเจ้าได้ เราก็พึ่งบวชมาพรรษาเดียว 2 พรรษา จะให้เป็นอย่างงั้น ก็จะเก่งเกินพระพุทธเจ้าไป ก็นึกเข้าข้างตัวเอง ก็ฝืนทนมาว่า 6 ปีนี้

    ถ้าเราปฏิบัติแล้วไม่ได้มรรคได้ผลอะไรเลย ก็จะสึกเหมือนกัน สึกแล้วก็คงจะไปหาสิ่งที่ปรารถนาจะได้ ของสวยงามๆ อ่อนๆ นิ่มๆ ที่ทุกคนปรารถนาคือ รูปเสียงกลิ่นรสสัมผัส สิ่งที่ถูกใจ เมื่อบวชอยู่กับท่านต้นๆพรรษา 1 พรรษา 2 พรรษา 3 ก็ทำไปทำมาเป็นปกติ มองดูแล้วตัวเองไม่มีความเจริญทางด้านสมาธิ หรือปัญญาอะไรเลย มีแต่ความฟุ้งซ่านเข้ามาประทับจิตอยู่เสมอ

    ท่านทั้งหลาย ที่อ่าน ยังไม่ได้บวชอยากจะบวช ก็จงจำไว้ว่า ความตั้งใจนั้นเป็นสิ่งที่ดี การปฏิบัติธรรมนั้น แม้จะไม่ได้วันนี้ วันหนึ่งก็ต้องเป็นของเรา เมื่อบวชมาได้สัก 3 พรรษาได้ก็นึกเข้าใจ เอ๊! เรานี่บวชมาแล้ว ไม่มีความเจริญเลย สมาธิก็ไม่เคยทรงตัว เป็นภาพนิวรณ์ปกติหาความเจริญใส่จิตไม่ได้ ปกติเป็นคนขี้เกียจ อยากได้อย่างเดียวก็คือ สำเร็จโดยไม่ต้องออกแรง

    คิดอยู่อย่างนั้น ก็เกิดความละอายใจ พอเราบวชมาแล้วก็โกหกชาวบ้านเขาหากินอยู่เป็นประจำ มีอยู่วันหนึ่ง คิดอย่างนี้ก็ออกบิณฑบาตสายเรือ เรียกว่า ไปทางน้ำ ต้องพายกันไป 2 องค์ ระยะทางประมาณ 3 กิโลเมตรได้ ไปกลับเป็นสายเรือประจำของทางสายแม่น้ำสะแกกรัง

    เมื่อพาย ไปก็คิดไปว่า เรานี่ไม่อยากจะอยู่แล้ว ก็คิดไป เอ! บิณฑบาต เขาก็หาว่าเราเป็นพระ หาว่าเราเป็นผู้ประเสริฐ ยกมือไหว้เมื่อให้ก็ยกมือไหว้ เมื่อให้แล้วก็ยกมือไหว้ เราก็ยังเลวเต็มอัตราศึก ปกตินึกละอายใจก็พายเรือไป ก็นึก ก็มองเห็นแพผักตบชวาลอยน้ำ มีเรือวิ่งสวนมา มีคลื่นกระทบแรงๆ เรือเราก็เรือเล็กพอเรือเครื่อง เรือเร็วสวนมา เราก็ปรับเรือให้รับคลื่น ไม่ให้เรือเราล่ม ก็เอาสิ่งที่เห็นด้วยตานั้นมาคิดปรับกับตัวเองว่า ชีวิตตัวเราเองนั้นน่าจะเปรียบเหมือนกับกองสวะที่ลอยตามน้ำไปนี่

    เพราะกอสวะมันไม่มีหางเสือ มันไม่มีสมอง มันก็ลอยตามยถากรรมของมัน มันอาจจะแปะตรงนั้นก็ได้ มันอาจจะแปะตรงตลิ่งตรงนี้ก็ได้ พอลอยไปตามยถากรรม หาจุดหมายปลายทางไม่ได้ ชีวิตของตัวเราเองนั้นน่ะ เมื่อมีมันสมองแล้วนี่จะปล่อยให้ชีวิตล่องลอยเหมือนกอผักตบชวาอย่างนั้นรึ

    ใจ ก็มาตามคิด ไม่ใช่ เมื่อเรามีมันสมองแล้วนี่ ก็ต้องบังคับมันให้เข้าตามทิศทางสิ่งที่ดีได้ ไม่ใช่ปล่อยชีวิตเหมือนแพสวะ ลอยตามน้ำไปหาจุดหมายปลายทางไม่ได้ เมื่อเรามีมันสมองมีปัญญา เกิดมาเพื่อปรารถนาพระนิพพาน ปรารถนาพระนิพพาน เมื่อตั้งจิตปรารถนาอย่างนี้แล้ว ก็ต้องใช้ปัญญาของตัวเอง การจะไปพระนิพพานได้ ทำยังไง ก็ต้องมีศีลบริสุทธิ์ มีจิตตั้งมั่น ตัดสังโยชน์ 3 ได้ ก็จะเป็นพระอริยเจ้าเบื้องต้น

    เมื่อ มีแบบแผนอย่างนี้แล้ว เมื่อมีปัญญาก็ต้องหัดจิตของเราให้เข้าตามแบบแผน ที่พระพุทธเจ้าวางไว้ พอคิดได้อย่างนั้น ก็นึกว่า เอาล่ะ อดทน เมื่อเห็นแพสวะอย่างนี้แล้ว เราก็จะไม่เป็นแพสวะ เราต้องตั้งมั่นเป้าหมายของชีวิตว่า ชาตินี้ที่ปรารถนาคือพระนิพพาน แต่การปฏิบัติธรรมนั้นก็ต้องมีอุปสรรค มีสิ่งที่กระทบกระเทือนกระทั่งใจ มีความเบื่อหน่าย มีอุปสรรคนานาประการไม่เหมือนกันทุกคน

    อุปสรรคนั้นก็เหมือนเรือที่เราพายลอยตามน้ำไปตามนั้น ก็ต้องมีเรือที่เป็นเรือใหญ่กว่า มีลูกคลื่นกระทบมาที่เรือเรา เมื่อมีอุปสรรคกระทบกระแทกเรือเราอย่างนั้น เราก็ต้องมีความสามารถในการเอาตัวรอด ไม่ให้เรือร่มได้โดยใช้ความสามารถพิเศษที่มีอยู่ ฉะนั้นการปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ก็ต้องมีอุปสรรคในการกระทำความดีก็ต้องต่อสู้เหมือนกับเรือกระทบกับคลื่น ใหญ่

    เมื่อคิดอย่างนั้นแล้ว ก็ เออ! มีความชื่นใจขึ้นมาอีก พอพายเรือต่อไปเรื่อยๆ ก็จะถึงปลายทางก็คิดว่า การพายเรือนั้น ไม่ใช่พายทีเดียว จ้ำทีเดียวถึงจุดหมายปลายทาง มันต้องพายบ่อยๆ พายถูกทาง พายโดยอุตสาหะ ก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ก็คิดมาเปรียบเทียบกับชีวิตของตัวเองว่า เมื่อพายเรือไปบ่อยๆแล้ว ก็จะถึงจุดหมายปลายทาง ชีวิตเรายังมีเวลาอีกหลายปีอยู่

    การ ปฏิบัติธรรมก็เหมือนกัน ถ้าเราปฏิบัติไม่หยุดไม่หย่อน ปฏิบัติไปตามกำลังของเราเรื่อยๆ โดยไม่ผิดทาง ก็จะถึงจุดหมายปลายทางเหมือนเราที่กำลังพายเรือนี้เหมือนกัน ฉะนั้นเมื่อพายเรือกลับมาถึงวัด ก็มีความคิดว่า เออ เราจะอดทนต่อไป

    เมื่อ ฉันเช้าเสร็จแล้ว ก็เข้ามาที่กุฏิ ก็อธิษฐานต่อหน้าพระว่า เราจะบวชต่อไปอีกดีหรือเปล่า ถ้าจะบวชต่อไปอีกก็ขอให้หลวงพ่อปาน หลวงพ่อช่วยตอบให้ด้วย ก็ไปเปิดประวัติหลวงพ่อปาน อ่าน คือ เปิดไม่ได้เรียงหน้า 1 หน้า 2 เปิดหน้าไหนก็อ่านหน้านั้น เมื่ออธิษฐานเสร็จก็เปิด หลวงปู่ปานก็ตอบอกมาเลยว่า ถ้าอยากดี ก็อย่าใจร้อน จะเสียผลให้ปฏิบัติไปเรื่อยๆ มักได้ผลเอง ตรงนี้เป็นคำตอบที่ว่า ชื่นใจ เราก็ปิดหนังสือ เราไม่อ่านต่อ มีกำลังใจปฏิบัติต่อไปอีก

    เมื่ออยู่กันต่อไป ก็ทำงานกันเป็นปกติ ก็ขอวกมาเล่าถึงตอนที่วางศิลาฤกษ์พระอุโบสถแล้ว ซึ่งขณะนี้ พ.ศ. 2538 นั้นได้รื้อหลังเก่าออกหมด ได้สร้างเข้ามาแทนที่ใหม่ ช่วงหลัง 10 หลัง ตอนนั้นแต่ละหลังข้างบนเป็นไม้ ไม้ยาง ข้างล่างเป็นคอนกรีตฉาบปูน แต่ขณะนี้ได้รื้อแล้วทั้ง 10 หลังนั้น ได้สร้างเป็นคอนกรีต ทั้งบน ทั้งล่างหมด ขอให้ญาติโยมทั้งหลายทราบไว้ด้วย

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 38-40)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2020
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735


    0001.jpg

    0003.jpg
    สอนกรรมฐาน

    เมื่อหลวงพ่อท่านได้สร้างพระอุโบสถนั้น พ.ศ. 2517 คือพรรษานั้นคือพรรษาที่พระบวชกันร่วม 20 องค์อยู่ร่วมกันเพราะท่านปรารภไว้ว่าจะสอนพระกรรมฐาน 40 กลางวันพร้อมทั้งมหาสติปัฏฐานสูตรด้วย คือสอนเป็นวิชาการ สอนกลางวันเวลาบ่ายโมง

    หลวงพ่อจะสอนเป็นแบบอย่าง ท่านบอกว่าแม้พวกเราจะไม่รู้ ไม่เข้าใจทั้งหมดจะได้รู้เป็นแบบอย่างว่ากรรมฐานนั้นไม่ใช่มีกองเดียวไม่ได้มีแบบเดียว ต่อไปภายภาคหน้าถ้าข้าตายไปแล้ว พวกแกจะได้ไม่ทะเลาะกับคนอื่นเอา อย่าทำตัวเป็นตาบอดคลำช้าง คือคนตาบอดนี้ บอดต่อบอดคุยกันก็จะเถียงกัน ภาษาชาวบ้านเขาว่า โง่ต่อโง่คุยกันก็จะเถียงกัน คนรู้กับผู้รู้ เขาจะไม่เถียงกัน ที่เถียงกันในการปฏิบัติพระกรรมฐานนั้น คนโง่ต่อคนโง่ คนตาบอดกับคนตาบอดคลำช้างเหมือนกันมาเถียงกัน คนตาบอดคนหนึ่งมาคลำช้างจับช้าง ก็จะบอกว่าช้างนี่เหมือนไม้กวาด ไอ้บอดอีกคนตาบอดอีกคนมาคลำช้างก็จะเข้าใจว่าช้างนี่เหมือนปลิง อีกคนตาบอดมาคลำช้างอีกก็จะบอกว่าช้างเหมือนเสา

    ฉะนั้นการปฏิบัติพระกรรมฐานก็เหมือนกัน ถ้ารู้ไม่ครบ รู้นะไม่ใช่ปฏิบัติได้ทั้งหมด ที่ปฏิบัติได้ทั้งหมด ต้องพระพุทธเจ้า หรือผู้ที่มาจากพุทธภูมิ ถ้ารู้ไม่ครบหรือไม่เข้าใจจะเถียงกันเหมือนตาบอดคลำช้าง ดังนั้นพระเดชพระคุณหลวงพ่อจึงลงมือสอน กรรมฐาน 40 กับ มหาสติปัฏฐานสูตรสลับกัน ท่านสอนที่ตึกเสริมศรีปัจจุบัน

    ตอนกลางวันนั้น บ่ายโมงท่านสาธุชนคิดดูบ่ายโมงเวลาที่ง่วงนอนดีที่สุด คือ พระฉันเพล 5 โมง พัก 2 ชั่วโมง ก็ลงมาฟังคำสอน หลวงพ่อสอนสนุก ท่านสอนทุกวันเสาร์อาทิตย์เว้นวันพระ ที่ท่านกำหนด สอนตอนบ่ายวันเสาร์และอาทิตย์ก็เพื่อให้ญาติโยมที่อยู่ทางกรุงเทพได้มีโอกาสมารับคำสอนด้วย สอนพื้นฐานเมื่อสอนเสร็จท่านก็สั่งติดลำโพงขยายเสียงในห้องทุกห้องที่มีอยู่ ตอนเย็นๆก็เปิดเสียงตามสายออกมาให้ญาติโยมฟัง

    ท่านบอกว่าให้ผ่านหูผ่านตาไปเรื่อยๆ เมื่อฟังเข้าใจบ้าง ไม่เข้าใจบ้าง ก็ไม่เป็นไร จิตจะไปจดไปจำ เมื่อใครเขามาสอบมาถามก็ยังมีความเข้าใจบ้างเป็นการยัดเยียดให้เกิดปัญญา กระทั่งปัจจุบันนี้ 20 กว่าปีแล้วก็ยังทำอยู่ คือเปิดเสียงตามสายไปยังห้องทุกห้อง ตอน 4 โมงเย็นครั้งหนึ่ง ตอน 3 ทุ่มครั้งหนึ่ง ตอนตี 4 ครั้งหนึ่ง เพื่อให้ญาติโยมที่มาประจำอยู่ที่วัดนั้นรับทราบข้อวัตรปฏิบัติและธรรมะก่อนนอนก็เป็นบุญ ตื่นมาก็เป็นบุญ เอาไม้กวาดลานวัดก็เป็นบุญ อยู่ในวัดถ้าไม่ชั่วจริงๆ มันตกนรกไม่ได้ แต่ก็ยังมีผู้ที่ต้องการตกนรกยังอยู่อีกเยอะ

    ฉะนั้นท่านสาธุชนผู้ที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบคงไม่หนักใจ เล่าย้อนไปย้อนมา อาจจะไม่ได้สาระอะไรมาก ก็ขอเล่าต่อเลยว่าเมื่อท่านสอนกรรมฐาน 40 และมหาสติปัฏฐานสูตรเสร็จภายในพรรษา ออกพรรษานั้นก็สอนพระธรรมวินัยพระวินัยอีก เพื่อให้พระอยู่ในศีลในธรรมกัน พระวินัยตอนนั้นมีประมาณ 4 ม้วน คือม้วนละ 90 นาที

    เมื่อสอนพระวินัยแล้ว มีตอนหนึ่งที่อาตมาจำไม่ลืมก็คือ คนในวัดก็ดี พระในวัดก็ดี ท่านบอกว่า แม้นข้าจะตายไปจากร่างกายแล้ว พวกที่อยู่เบื้องหลังนั้นถ้ามันยังทำเลวกันอยู่ ข้าจะไม่ปล่อยให้พวกเดียรถีย์นี้อยู่ในวัดนี้ เมื่อข้าตายไปแล้วก็จะคอยดู มันทำความดีกันรึเปล่า ถ้าไม่ทำความดีข้าจะจัดการมันทุกคน เป็นสิ่งที่อาตมาเองก็กลัวเหมือนกัน กลัวว่ามันจะเลวจนท่านจะไม่รับให้อยู่ในวัดนี้

    ฉะนั้นท่านทั้งหลายเมื่อเข้ามาอยู่ในสถานที่นี้แล้วก็ขอให้ตั้งจิตตั้งสติ ตั้งความดีไว้ว่าจะประกอบแต่ความดี อันที่จริงไม่ใช่ขู่ แต่เล่าตามความเป็นจริงที่อาตมาอยู่มานาน ไม่ใช่อยู่มานานแล้วจะเป็นผู้ที่ประเสริฐ อยากจะประเสริฐเหมือนกันแต่ยังอดเลวไม่ได้


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 40-41)





























     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2019
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ความเป็นอยู่สมัยแรก


    หลวงพ่อสมัยก่อนท่านอยู่ที่วัดก็มีลูกศิษย์นิดๆหน่อยๆ แต่ก็สอนกรรมฐานทุกวัน ถึงท่านจะแก่คนไปมากไปน้อยก็สอนกรรมฐานทุกวัน พอสอนไปตอนหลังนี่ท่านแก่มาก ก็สั่งอาตมาบอกว่า นันต์ แกอย่าลืมนะว่าวัดนี่ที่ข้าสร้างมาได้หลายร้อยล้านนี่ ข้าไม่ได้สร้างด้วยอะไรเลย สร้างด้วยกรรมฐาน แกอย่าทิ้งกรรมฐานนะ ถ้าแกทิ้งกรรมฐานเมื่อไหร่ วัดจะพัง เพราะข้าสร้างมาข้าสร้างด้วยกรรมฐานนะวัดนี้

    ท่านบอกว่า ท่านสร้างไปนี่ถ้าเราทำจิตดีนี่เทวดาท่านก็ช่วยเกื้อ หนุน พระท่านก็ช่วย มีรุ่นก่อนๆ ที่ท่านสร้างเขาเรียกว่า ตึกริมน้ำ ท่านไม่มีลูกศิษย์มากนี่ พ.ศ. 2513 นี่ยังไม่มีลูกศิษย์ การเงินก็ยังได้วันใช้วัน อะไรอย่างนี้ กฐินทีก็ใช้หนี้เขาทีหนึ่ง ท่านเล่าให้ฟังว่า เมื่อสร้างกุฏิหลังนี้ไม่มีเงินเลย พระอินทร์มาบอกว่า คุณเทวดาน่ะร้อนไปทั้งดาวดึงส์แล้วนะ ท่านช่วยยังไงล่ะ ช่วยหาเงินเพราะเป็นหนี้เขานี่ เป็นหนี้เขากฐินทีก็ใช้เขาที กฐินทีก็จ่ายหนี้ทีหนึ่ง

    แต่ช่างช่วงนั้นก็เรียกว่าไม่ มีเงินก็เชื่อเครดิตพระก็ปล่อย ปล่อยทำไปเรื่อย ช่างแถวนั้นรวยทุกคนที่ปล่อยเครดิตให้นะ รวยทุกคนเพราะหลวงพ่อนี่ท่านไม่ค่อยทิ้งคน ท่านไม่ทิ้งผู้มีบุญคุณกับท่าน อย่างโยมกิมกียังงี้ให้มาขายในร้านในวัดเลยเพราะว่าหลวงพ่อแต่ก่อนไปอยู่วัด ใหม่ๆ บิณฑบาตไม่ได้ก็ต้องผูกปิ่นโตเขา

    อาจารย์ยกทรง : นี่รุ่นเก่าเหมือนกันหรือโยมกิมกีนี่

    พระครูปลัดฯ : ใช่รุ่น 1 เลย ทำอาหารถวายหลวงพ่อท่าน เช้าก็ไปเอาอาหารมา

    อาจารย์ยกทรง : ตอนที่จะเริ่มสร้างวัดใหม่นี่ ท่านพระครูเจ้าอาวาสนี่มาอยู่กับหลวงพ่อหรือยังครับ

    พระครูปลัดฯ : อยู่แล้ว ฝั่งนั้นนะ ไปอยู่พรรษานั้น พ.ศ. 2516

    อาจารย์ยกทรง : เริ่มยังไงก่อนครับ

    พระครูปลัดฯ : มาอยู่กำลังสร้างตึกเสริมศรีพอดี ฝั่งเก่านะ ฝั่งใหม่ยังไม่มีอะไรเลย ยังเป็นป่าเป็นดงอยู่ เพราะแถวโบสถ์เป็นที่ลุ่มทั้งนั้น ลุ่มแค่คอเรานี่ถมพื้นดินขึ้นมาตั้งร่วม 2 เมตรได้มั้ง

    อาจารย์ยกทรง : ริเริ่มรุ่นนั้นใหม่ๆนี่พระทุกองค์เจริญกรรมฐานแล้วต้องทำงาน หรือเปล่าครับ หรือว่าเจริญกรรมฐานแล้วไม่ต้องทำงาน

    พระครูปลัดฯ : โอ้โฮ้ ทำเหมือนกรรมกรนี่แหละ

    อาจารย์ยกทรง : พระรุ่นนั้นนะเหรอ

    พระครูปลัดฯ : ใช่ ทำจนคนไปวัดว่า เฮ้ย ใช่พระรึเปล่าหว่า เขาคุยกัน คือเราใส่งอบกันกลางวันแสกๆ นี่ใส่งอบกันเพราะหัวล้านนี่หลวงพ่อก็ไปซื้องอบมาให้ใส่กัน ชาวบ้านบอก เฮ้ย ใช่พระรึเปล่าวะ เราก็ทำไม่รู้ไม่ชี้ หลวงพ่อท่านสอนไม่ให้พระสำอาง สำอางคือว่า นอนจนตัวขาวแล้วไม่ทำอะไร ดีแต่พูดปากก็ว่าไอ้นั่นไม่ดีไอ้นี่ไม่ดี ท่านไม่ชอบคนพูด ส่วนมากท่านชอบคนทำงาน สังเกตดูท่านชอบคนทำ ถ้าคนดีแต่พูดไม่ค่อยเอา

    อาจารย์ยกทรง : แหม...เรียกว่ารุ่นแรกนี่เหนื่อยมากที่สุดนะ

    พระครูปลัดฯ : คือทำงานทุกวันนะทุกวันต้องออกมาแต่เช้ายันเพล พอเพลก็มาพักสักครึ่งชั่วโมง

    อาจารย์ยกทรง : พอฉันเพลเสร็จแล้วก็ต่ออีกยังงั้นเหรอครับ

    พระครูปลัดฯ : ทำงานเอง เดี๋ยวนี้ถึงติดพวกล้างชามเองยังงี้ ไม่ว่าอะไร ฉันแล้วก็ล้างเองอะไรเอง ลูกศิษย์ลูกหาไม่ต้องไปสนเพราะไม่มีเราก็ทำเองได้เลย

    อาจารย์ยกทรง : หัดให้ช่วยตัวเองมาตั้งแต่ต้น ตอนที่อยู่กับหลวงพ่อใหม่ๆ อาหารการขบฉันสบายดีเหรอครับ”

    พระครูปลัดฯ : เรื่องอาหารนี้มันก็ตอนนั้นเราไม่รู้หลวงพ่อจ่ายยังไง อาหารก็ทำเสริมตอนกลางวันอย่างสองอย่าง อาหารพอฉัน เพราะพระมีน้อย 5 องค์ 10 องค์

    อาจารย์ยกทรง : อ้อ แค่นั้นเองเหรอครับ

    พระครูปลัดฯ : ใช่ เพิ่งขยับมาตอนนี้ ประมาณ 57 องค์ ก็ฉันมื้อเดียวเสียบ้าง อะไรบ้าง เวลากลางวันก็เหลือโหรงเหรง

    อาจารย์ยกทรง : มื้อเดียวนี่ไปติดใจธุดงค์หรือยังไงครับ

    พระครูปลัดฯ : ติดใจธุดงค์ แต่ไม่ใช่ว่าฉันมื้อเดียวแต่โอวัลติน 5 แก้วนะ ตอนธุดงค์ใหม่ๆ จะนั่งกรรมฐาน ตอนเที่ยงก็แก้วหนึ่ง ก่อนจะนั่งแก้ว ขากลับอีกแก้ว ขากลับอีกแก้ว เวลาจะสวดมนต์เย็นนั่งกรรมฐานอีกแก้ว ร้านอาหารเขาก็เลี้ยงดีฉันเท่าไหร่ก็ไม่ว่าอะไรก็ดีเหมือนกัน

    อาจารย์ยกทรง : บ่ายจัดๆ รู้สึกหิวเหมือนกับฉัน 2 มื้อ ไหมครับ หรือว่ายังไง

    พระครูปลัดฯ : ไม่หิว เหมือนปกติเลยนะ หรือว่าไม่ได้ทำงานหนักก็ไม่รู้

    อาจารย์ยกทรง : ได้ข่าวว่าท่านอาจารย์ประทีปเป็นเจ้าอาวาสชั่วคราวเหรอครับ

    พระครูปลัดฯ : ใช่ เพราะไม่มีใครเลย ไม่มีพระเหลือองค์เดียว ธุดงค์หมดก็ดีอันที่จริงก็เป็นดำริของหลวงพ่อท่านเคยไปตรวจงานเหมือนกัน บอกว่าต่อไปสถานที่นี้เป็นที่ธุดงค์พวกแกก็เปลี่ยนกันมาซี จะให้อยู่เป็นเดือนเลยด้วยซ้ำ ใครอยากจะอยู่ก็อยู่ไปเลยสักเดือนครึ่งเดือนก็เปลี่ยนกันไป เปลี่ยนกันทำงาน เปลี่ยนกันทำ

    อันที่จริงก็คงจะเป็นท่านคอยช่วยด้วย เพราะเราไม่เคยคิดเลยในใจ เพราะเราไม่ค่อยรู้เท่าไหร่ พอตรวจงานพระสุรจิตนี่จะรู้ไปตรวจงานท่านจะดำริ พระสุรจิตท่านควบคุมงานก่อสร้างอยู่ ไปกับหลวงพ่อก็เล่าให้ฟังว่าตรงนี้ต่อไปจะเป็นสถานที่ธุดงค์นะ พวกแกก็เปลี่ยนกันมา

    พอท่านมรณภาพแล้วก็ เอ๊..จะคิดอะไรนะที่ทำให้คนมาวัดแล้วกลับไปได้บุญมากที่สุด เรื่องอะไรท่านก็ทำหมดแล้วใช่ไหม ก็มาเรื่องปฏิบัติธรรมนี่นะถึงจะตรง ต้องรักษาจิตใจของคน ถ้าจิตคนดีวัดก็ทรงตัวอยู่ได้ กิจกรรมอะไรถึงจะทำให้คนรวมตัวกัน เราก็คิดว่าคนจนไปวัดได้ ก็คิดได้เรื่องธุดงค์นี่แหละ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 3 กรกฎาคม 2019
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงพ่อก่อนออกรับแขก

    ก่อนออกรับแขกนี่หลวงพ่อจะดูคนมาก่อน บางทีท่านก็เล่าให้อาตมาฟังวันนี้จะมีคนมาหา เป็นคนระดับไหน หมายความว่ามีความดีระดับไหนแล้วจะพูดยังไงจะทักมันยังไง พูดทุกคำมีเหตุมีผลหมด บางทีแม้แต่จะฉันอาหารวันนี้จะทักกับใครทักยังไง บางทีทัก “เออ ลูกสาวเอ้ย” เพราะว่าเป็นลูกสาวแม่เขาให้มาบอกอย่างงี้ บางทีออกรับแขกท่านกวาดตามองหาคนที่แม่เขาบอกมารึเปล่า

    อย่างท่านแม่ศรีมาบอกว่า ลูกคนนี้มาให้ทักมันเสียหน่อย มีอยู่คราวหนึ่งแขกมารอข้างล่าง ก็เข้าไปกราบเรียนท่าน “หลวงพ่อครับแขกมา” ท่านบอกยังไงรู้มั้ย “ปล่อยมันก่อนไอ้นี่มันแอ๊ค แอ๊คว่ามันรวย มันใหญ่โตมาก” ขนาดยังไม่ลงนะท่านรู้แล้ว ปล่อยให้รอไปก่อน ท่านก็ไม่ยอมลงหลวงพ่อท่านรู้จริงๆ

    คราวหนึ่งประมาณ พ.ศ. 2524 หรือ 2525 เห็นจะได้ เป็นตอนที่พระสมุห์บัญชาและพระชัยศรี (ขณะนั้นยังบวชอยู่)เพิ่งเข้ารับหน้าที่เกี่ยวกับการจัดสถานที่รับแขกของหลวงพ่อที่ศาลานวราช มีอยู่วันหนึ่งหลวงพ่อท่านมีอาการป่วยค่อนข้างมาก ทั้งสององค์ก็ได้ปรึกษากันว่าวันนี้อยากให้หลวงพ่อได้พักผ่อนสักวัน ถ้ามีแขกน้อยก็จะพยายามบอกให้แขกกลับไปก่อน

    เผอิญวันนั้นมีแขกมาสองคนแกไม่ยอมกลับจะพบหลวงพ่อให้ได้ ตามปกติที่หลวงพ่อจะลงรับแขกท่านจะต้องโทรศัพท์มาถามก่อนเสมอว่ามีแขกมารอหรือยัง พระสมุห์บัญชากับพระชัยศรีก็ปรึกษากันไว้ว่าถ้าหลวงพ่อโทรศัพท์มา (โทรศัพท์มี 2 เครื่องที่อยู่ห้องโถงเป็นที่สำหรับแขกหนึ่งเครื่องและอยู่ห้องข้างหลังอีกหนึ่งเครื่อง) เราจะเข้าไปรับโทรศัพท์ข้างในให้แขกนั่งรออยู่ข้างนอกแล้วบอกหลวงพ่อว่าวันนี้ไม่มีแขกครับ เมื่อท่านโทรศัพท์มาถามก็บอกไปตามที่ตกลงกันไว้ ก็มีเสียงตวาดทางโทรศัพท์ว่า

    “แล้วไอ้ที่เขานั่งคอยข้างนอก 2 คนนั้นใครวะ” เท่านั้นทั้งสององค์หน้าซีดเป็นไก่ต้มเหมือนขโมยที่ถูกจับได้คาหนังคาเขา

    แสดงว่าหลวงพ่อท่านมีสายตาที่ยาวไกลมองได้ไกลมากเพราะศาลานวราชกับตึกอินทราพงษ์ที่ท่านพักไม่ได้อยู่ใกล้กันเลย อยู่คนละฟากถนนและท่านก็อยู่ในห้องที่มิดชิด ท่านยังรู้ว่าที่ศาลานวราชมีใครบ้าง

    หลวงพ่อเองนี่รู้อะไรแล้วไม่ใช่ว่าจะเชื่อง่ายๆ เคยไปอ่านหนังสือของท่านเรื่องท่านทองดี พ่อของรัชกาลที่ 1 มาบอกกับท่านว่าแถวนี้นะเป็นบ้านเก่า ริมฝั่งแม่น้ำสะแกกรังตรงข้ามวัด หลวงพ่อบอกว่ามันต้องมีหลักฐานที่พิสูจน์ได้ด้วยตาเห็น มือจับได้จะให้เชื่อเลยน่ะเชื่อไม่ได้หรอก

    ท่านทองดีก็บอกว่า พรุ่งนี้นะฝั่งข้างโน้น เขาจะรื้อบ้านกันตอนสายๆ ตอน 4 โมงเขาจะเอาเงินพดด้วงมาให้ท่าน ก็เป็นจริงตามนั้นนี่แสดงว่าเทวดาพูดก็เป็นจริงตามนั้น พูดเฉยๆ ไม่มีหลักฐานก็เชื่อยากเหมือนกัน แต่หลวงพ่อท่านไม่ได้เชื่องมงาย ต้องพิสูจน์ให้เห็นด้วยตาท่านจึงจะเชื่อ

    พวกเราอย่าให้ใครเขาหลอกลวงก็แล้วกัน เขาพูดอะไรก็เชื่อเสียเงินไปเรื่อยๆก็เสีย ครูบาอาจารย์สอนมาดีแล้วเราอย่าเชื่ออะไรง่ายๆ


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 45-46)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 มีนาคม 2018
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    เจอผีที่ตึกกลางน้ำ


    ที่ ตึกกลางน้ำมีอยู่หลายคราว เวลาหลวงพ่อมากรุงเทพ เราเฝ้าตึกองค์เดียว นอนดูเหมือนตึกทั้งตึกมันโยก เราก็เปิดไฟดูเท้าเราก็ส่าย ก็นึกเอ..แผ่นดินไหวรึไง อีก ๒-๓ วันหลวงพ่อมา บอก เมื่อคืนนี้เทวดาเขามาเดิน แสดงให้รู้ว่าเขานี่อยู่ยามนะ ดูแลทรัพย์สมบัติสงฆ์อยู่

    หลวงพ่อนี่รู้แล้วว่าเทวดามา อยู่ยาม เราก็นึกอ๋อ..นึกว่าเพ้อไปคนเดียว เขาทำให้ดูว่าเขามาอยู่ยาม ตึกไหวทั้งหลังเลย ไม่ใช่เรานึกเองนะ มันโยกให้เห็นเลยแต่ไม่รู้สึกกลัวนะ เขาคงทำไม่ให้กลัว เทวดานี่ทำให้กลัวก็ได้ ไม่ให้กลัวก็ได้ นี่คงจะไม่อยากให้กลัวนะ แต่พระวิรัชนี่เห็นทั้งตัวเลย คือไปนอนอยู่ตึกกลางน้ำเหมือนกัน เห็นแต่งตัวเป็นเทวดาขาวแว๊บเลย

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2019
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    6.jpg

    สร้างวัดต่อ


    เมื่อผ่าน พ.ศ. 2520 มาแล้ว หลวงพ่อก็ดำริกับอาตมาว่า “นันต์ ต่อไปนี้เราก็ควรจะหยุดสร้างกันแล้ว เบากัน ที่เหนื่อยพักผ่อนไว้ไปเยี่ยมเขาวัดโน่นวัดนี่ ที่เขาเคารพนับถือดีกว่า ไม่เหนื่อย การก่อสร้างของเราจึงทุเลาลง ท่านจึงให้อาตมาเอากระเบื้องที่โรงงานสระบุรีถวายมาจำนวนมาก ให้เอาไปถวายวัดสุขุมาราม ที่ อ. บางมูลนาก จ.พิจิตร จำนวน 1 คันรถหกล้อ เพราะว่าวัดเราหมดความจำเป็นที่จะสร้างแล้ว

    เมื่ออาตมาเอาสิ่งก่อสร้างบางส่วนไปถวายวัดอื่นเสร็จไม่กี่เดือน หลวงพ่อก็มีดำริว่า พระพุทธเจ้าท่านให้ลงมือสร้างต่อไป โดยขยายที่ไปทางข้างโรงพยาบาล ซื้อที่ข้างนั้น 30 กว่าไร่ และซื้อที่รอบศาลา 3 ไร่ปัจจุบัน ศาลา 2 ไร่ ซื้อที่ครบไปเลย ตอนนี้เองเมื่อลงมือก่อสร้างรุ่นหลังนี้ท่านสร้างคราวเดียวพร้อมกันใช้ช่าง หรือคนงานประมาณ 300 คน เห็นจะได้ เพราะขึ้นทีเดียวพร้อมๆกัน ท่านเล่า "สมเด็จ" คือ พระพุทธเจ้า ให้ท่านสร้างให้ลุยงานไปเลย

    ท่านบอกเรื่องเงินท่านจะหาให้ หลวงพ่อท่านก็สั่งเกรดที่ปรับที่ คือ ตัดต้นไม้ที่ไม่มีความจำเป็นออก ใช้รถแทรกเตอร์ไถลุยสิ่งที่ไม่จำเป็นออก เหลือไว้แต่ต้นไม้ใหญ่ๆ ตรงที่ศาลา 3 ไร่ ปัจจุบันก็ดี ตึกอำนวยการและพระจุฬามณีก็ดี ตึกกลางน้ำก็ดี แถวนั้นเป็นที่ลุ่มบ้าง ท่านก็สั่งแทรกเตอร์ขุดลานดินขึ้นไปถมเป็นเนิน ทำเป็นสระแล้วปลูกอาคารในสระที่ท่านเรียกว่า ตึกกลางน้ำก็ดี ตึกธัมมวิโมกข์ก็ดี ตึกอำนวยการก็ดี พระจุฬามณีก็ดี ศาลาพระนอนก็ดี ขึ้นพร้อมกันเลย ใช้คนงานมากหลายช่าง ท่านลุยงานใหญ่ทำพร้อมกันเลยทีเดียว เป็นสิ่งที่มหัศจรรย์มาก

    เมื่อทำงานอย่างนั้นแล้วคนเข้า มารายงานก็มาก คนเริ่มสนใจพระกรรมฐานเพิ่มขึ้น คนปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบเพิ่มขึ้น จนการทำงานกฐินแต่ละคราว ที่พระพินิจอักษรปัจจุบันนั้นเต็ม ไม่พอต้อนรับญาติโยม ท่านเลยดำริสร้างศาลา 2 ไร่ขึ้นอีก 1 หลัง คือใช้เนื้อที่ 2 ไร่เพิ่มขึ้น เมื่อการก่อสร้างเพิ่มขึ้น คนปฏิบัติธรรมเพิ่มขึ้น ก็จำเป็นต้องก่อสร้างสาธารณประโยชน์ ห้องพัก เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ เมื่อหลวงพ่อสร้างเพิ่มขึ้นอย่างนั้น ก็เริ่มสร้างพระขึ้นมา เรียกว่า พระชำระหนี้สงฆ์ คือ สร้างไว้ตามกำแพงที่วัด เริ่มแรกข้างศาลา 3 ไร่ ก่อน

    เรื่องพระชำระหนี้สงฆ์นั้น เป็นพระที่สร้างชำระหนี้สงฆ์ในอดีตทั้งหมดของตัวเอง คือ คนเราเกิดมานั้น ไม่ทราบว่า จะมีกรรมอะไรมาเบียดบังทำให้เกิดความขัดข้องหมองใจ ความขัดข้องในการทำธุรกิจ ความขัดข้องใจอยู่ไม่เป็นสุขก็ดี อาจเนื่องมาจากเคยหยิบเอาของสงฆ์มาใช้ในอดีต องค์สมเด็จพระบรมครูจึงแนะนำหลวงพ่อให้สอนวิธีชำระหนี้สงฆ์ ให้แก่ลูกศิษย์

    สมัยก่อนหลวงพ่อจะปรารภอยู่เสมอว่า การฝึกกรรมฐานก็ดี การปฏิบัติธรรมก็ดีมีอยู่ด้วยกัน 4 แบบคือ

    - สุกขวิปัสสโก
    - เตวิชโช
    - ฉฬภิญโญ
    - ปฏิสัมภิทัปปัตโต

    คือสุกขวิปัสสโกเป็นการปฏิบัติธรรมแบบเรียบๆ มีมรรคมีผล แต่ไม่มีความรู้พิเศษ ส่วนเตวิชโช หรือวิชชา 3 นั้น ปฏิบัติธรรมมีมรรคมีผลเหมือนกัน แต่จะมีความรู้พิเศษ มีทิพจักขุญาณ คือ มีความรู้เป็นทิพย์สามารถจะรู้ว่า คนเกิดมาจากไหนมาเป็นต้น คือมีญาณ 8 ประการ ส่วนฉฬภิญโญนั้น เป็นผู้ที่มีฤทธิ์มาก สามารถจะแสดงฤทธิ์ได้ 5 อย่าง ถ้า 6 อย่างก็จะได้อภิญญา 6 คือหมดกิเลสไปด้วย

    แต่อีกอย่างหนึ่งเขาเรียกว่า ปฏิสัมภิทัปปัตโต คือ ปฏิสัมภิทาญาณ คือ จะมีความรู้พิเศษกว่าองค์อื่นๆ สามารถจะรู้ภาษาสัตว์ ภาษานกภาษากา ภาษาสัตว์ต่างๆทุกชนิด มีความเฉลียวฉลาดในการสอนธรรม หรือปฏิบัติธรรมกว่าองค์อื่น แต่ขณะนี้ที่พูดอยู่นี้ที่เขียนหนังสืออยู่นี้ วัดท่าซุงหรือวัดจันทราราม ที่พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยานท่านสอนไว้ ก็คือสอนกรรมฐานทั้งหมด 40 กอง พร้อมด้วยมหาสติปัฏฐานสูตร

    แต่ก็มีพิเศษอย่างหนึ่งคือ การฝึกมโนมยิทธิ คือ มีฤทธิ์ทางใจ บางคนก็มาพูดว่าสอนนอกลู่นอกทาง จะไม่ขอวิจารณ์คนอื่น แต่จะขอพูดให้ญาติโยมเข้าใจว่า มโนมยิทธินั้นพระพุทธเจ้าสอนมาก่อน ขอให้ท่านผู้เป็นมิจฉาทิฎฐิไปอ่านในพระไตรปิฎก เรื่องอภิญญา ไม่ใช้เพ้อฝันหรือแต่งขึ้นมาเอง เป็นการถอดอทิสสมานกาย ออกไปเที่ยวท่องตามภพต่างๆได้ ตามที่พระพุทธเจ้าสอน ขออย่าให้ท่านได้โง่เหมือนอาตมาว่า ตาบอดคลำช้าง คือ รู้ไม่ทั่ว ไม่ใช่ที่พูดนี่จะรู้ทั่ว ถึงฟังมาทั่ว ครูบาอาจารย์สอนมาทั่ว แต่ปฏิบัติไม่ทั่ว

    ฉะนั้นขณะนี้ก็จึงสอนมโนมยิทธิเป็นบางเวลา ส่วนมากก็จะสอนกรรมฐาน 40 ไม่ใช่อาตมาสอน คือ หลวงพ่อราชพรหมยานท่านสอนให้ไว้ครบ ทั้งเป็นวีดีโอเทปก็ดี ทั้งเป็นคาสเซทก็ดี ท่านสอนไว้ครบถ้วนทุกอย่าง ถ้าอาตมาจะสอนเองก็จะพาญาติโยมที่มีศรัทธาแล้วเข้ารกเข้าทางเข้าป่าจะหาทางไปพระนิพพานไม่เจอ เพราะผู้สอนอย่างอาตมานั้นก็ยังเป็นผู้คลำทางอยู่ไม่เหมือนครูบาอาจารย์ท่าน เป็นผู้ที่พบพระนิพพานแล้วจะง่ายในการแนะนำ ขอท่านทั้งหลายจงนำไปประพฤติปฏิบัติเองก็แล้วกัน

    เมื่อท่านสร้างศาลา 2 ไร่เสร็จ ก็มาสร้างศาลา 3 ไร่ เมื่อสร้างศาลา 3 ไร่เสร็จ ก็มาจบที่ป่าไผ่ เป็นโรงอาหารแถวนั้น ให้สร้างกุฏิรอบนอกเสร็จ ก็ซื้อที่หลังวัดไปอีกเป็น 100 ไร่ เรียกว่าป่า 100 ไร่ ท่านก็สั่งให้สร้างหอไตร มีพระยืน 30 ศอก เมื่อช่างสร้างผนังแล้ว ก็ให้สร้างอาคารใช้พื้นที่ 25 ไร่ 3 แถวขึ้น และสั่งทำกำแพงล้อมรอบวัด การทำกำแพง (มันอาจจะเล่าไม่ติด ไม่ต่อกัน ขอท่านทั้งหลายก็อย่าเวียนหัวไปด้วยก็แล้วกัน นึกอย่างไรได้ก็เล่ากัน)

    การสร้างกำแพงวัดมีประวัติว่ารอบวัดด้านนอกนี่ยาวประมาณร่วม 2 กิโลเมตรละมัง ประมาณนั้นเพราะที่คดๆ เคี้ยวๆ ที่ซื้อหลายเจ้าของไม่ติดไม่ต่อกัน แต่เมื่อติดต่อกันแล้วก็เป็นที่คดๆเคี้ยวๆ ก็สร้างกำแพงรอบนอก หลวงพ่อเล่าให้ฟังว่า ที่สร้างกำแพงรอบนอกเป็นเขตวัดนั้น ท่านว่า ภายภาคหน้าจะมีปัญหา พระท่านมาสั่งให้สร้างเมื่อสร้างเสร็จ ก็สร้างรอบนอกชั้นเดียวไปก่อน ก็ให้สร้างเลาะพื้นที่ไปเลยเทลาดยาวรอบนอก รอบที่รอบรั้วกำแพงวัด

    ท่านเล่าให้ฟังภายหลังว่าเมื่อสร้างเสร็จก็จะมีเทวดาที่ปกปักรักษาสมบัติของพระเจ้าจักรพรรดิจะขนสมบัติเข้ามาในพื้นที่วัดทั้งหมด เพื่อจะให้ฝากไว้ในเขตของสงฆ์จะได้ดูแลง่าย ไม่ต้องดูแลว่าใครจะมาเอาสมบัติพระเจ้าจักรพรรดิไปใช้ ท่านจะช่วยเงินด้วย เมื่อท่านทำกำแพงรอบนอกเสร็จชั้นเดียว คือสูงประมาณ 2-3 เมตร เสร็จแถวเดียวก่อน หลวงพ่อบอกว่า พระมาบอกให้เสร็จสองชั้น ให้ทำทางเดินรอบ หลวงพ่อท่านก็บอกว่า เหนื่อยไม่อยากทำ ท่านก็ทำชั้นเดียวไปก่อน

    เมื่อทำช่วงนั้นเสร็จท่านก็มาเทพื้นคอนกรีตทั้งหมด ในวัดที่มีส่วนอยู่ สร้างศาลา 12 ไร่ขึ้นมา สร้างศาลา 4 ไร่ ติดกับ 2 ไร่เพิ่มขึ้นมา สร้างอาคารรอบ สร้างรั้ว สร้างรอบหมด ท่านพุทธบริษัท หรือญาติโยมที่อยู่ภายหลังอาจจะอยู่หลังหลายสิบปี หรืออาจจะล้มตายสูญหายไปหมด แต่จะมีหนังสือที่เป็นประวัติวัดอยู่ ขอให้ทราบว่า หลวงพ่อสร้างศาลา 2 ไร่ก็ดี คนก็เต็มแน่น เมื่อเวลามีงานกฐินก็ดี เป่ายันต์เกราะเพชรก็ดี คนจะแน่นมาก จนจัดขึ้น 2 รอบ 3 รอบ เมื่อ 2 รอบ 3 รอบก็แน่นแล้ว สร้างศาลา 4 ไร่ขึ้น คนก็เต็มอยู่ดี ก็ยังแน่น แน่นชนิดกราบไม่ได้ 2 รอบ 3 รอบเหมือนกัน

    เมื่อคนเต็มอย่างนี้แล้วก็ไปสร้างศาลา 12 ไร่ คือมีพื้นที่คลุม 12 ไร่ก็จัดงานพิธีกรรมทีหนึ่ง เช่นงานเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งหนึ่ง หรือกฐินครั้งหนึ่ง คนก็จะมากันเต็ม เต็มศาลา เป่ายันต์เกราะเพชรครั้งหนึ่ง 2 รอบ ก็เต็มศาลา 12 ไร่ ทั้ง 2 รอบ ถ้าท่านอยู่เบื้องหลังนานเข้าหลายปีก็จะสงสับว่าทำไม สร้างทำไมศาลาใหญ่โต ก็จงตอบเขาไปได้เลยว่า ครั้งที่หลวงพ่อพระราชพรหมยานเป็นเจ้าอาวาสวัดท่าซุงอยู่นั้น พอมีงานคราวหนึ่ง เป็นกฐินก็ดี เป่ายันต์เกราะเพชรก็ดีคนจะเต็มหาช่วงกราบไม่ได้

    เมื่อหลวงพ่อท่านสร้าง สร้างส่วนศาลา 25 ไร่ยังไม่เสร็จ ท่านก็สร้างโรงเรียนฝั่งตรงข้ามพระจุฬามณี มีหอพักรับนักเรียนมาอยู่ประจำมีการให้ทุนการศึกษา เมื่อจบมัธยม 6 แล้ว ถ้าเด็กสอบติดมหาวิทยาลัยของรัฐ ก็จะให้ทุนเด็กนั้นคนละ 7 หมื่น 2 พันบาท จนจบปริญญาตรี 4 ปี แต่ทยอยให้เดือนละ 1,500 ตลอดไป แต่เด็กนั้นจะต้องประพฤติดี ปฏิบัติชอบตั้งใจเล่าเรียน

    ท่านสาธุชนคงพอทราบเมื่อสร้างโรงเรียนยังไม่ทันเสร็จก็ซื้อที่หลัง โรงพยาบาลประมาณ 27 ไร่ สร้างพระมหาวิหาร 100 เมตรขึ้นปัจจุบันนี้ โดยสร้างใช้เวลา 2 ปีเสร็จ มีกำแพงล้อมรอบ มีพระพุทธรูป มีวิหาร มีมณฑปแก้วหน้าพระวิหาร 2 หลัง เทพื้นคอนกรีต ทั้งหมดหน้าพระวิหารใช้เวลา 2 ปี โดยช่าง 3-4 ช่างรวมกัน ใช้คนงานประมาณ 100 คน เมื่อสร้างมหาวิหาร 100 เมตรเสร็จ ก็มีดำริจะสร้างมณฑปวิหารสมเด็จองค์ปฐม มีการหล่อรูปสมเด็จองค์ปฐม

    หลวงพ่อนั้นท่านสับเปลี่ยนย้ายกุฏิมาเรื่อยๆ สมัยก่อนๆนั้นท่านอยู่ท่านจำวัดอยู่ที่ตึกริมน้ำ ภาษาชาวบ้านว่า "ตึกริมน้ำ" อยู่ที่วัดเก่าคือ ตรงข้ามกับพระอุโบสถ ฉันอาหารที่นั้นแล้วก็จำวัดที่นั่น ทำงานที่นั่นทั้งหมด เมื่อท่านสร้างตึกกลางน้ำขึ้น จึงเปลี่ยนที่จำวัดคือ ย้ายมาที่ตึกกลางน้ำตอนเย็นๆ ก็จะมาจำวัดที่ตึกกลางน้ำ ฉันเช้าที่ตึกกลางน้ำเสร็จก็จะไปทำงานที่ตึกอินทราพงศ์อยู่ริมน้ำ

    เมื่อตอน 5 โมงเช้า ก็จะฉันภัตตาหารที่ตึกริมน้ำ คืออินทราพงศ์ นั้นแล้วก็จะทำงาน เสร็จจากนั้นก็จะรับแขกที่ตึกรับแขก สมัยก่อนหลวงพ่อรับแขกทีแรกๆเลย รับแขกที่ใต้ถุนหอกรรมฐานเก่า และต่อมาก็มารับแขกที่ตึกนวราช เมื่อรับแขกที่ตึกนวราชได้ 2-3 ปี ก็มารับแขกที่ตึกกองทุน เมื่อตึกกองทุนไม่สะดวกก็ย้ายไปรับแขกที่ ตึกนวราชใหม่ที่ข้างโบสถ์เก่าและพระวิหารเก่าฝั่งแม่น้ำ

    คราวหนึ่งเมื่อสร้างมหาวิหาร 100 เมตรเสร็จ พ.ศ. 2532 ก็เป็นสิ่งที่จะต้องจำกันว่าในวัดทั้งหมดนั้น หลวงพ่อท่านเป็นผู้ชี้แนะให้สร้างทำทั้งหมด พวกเราเป็นผู้ช่วยสนับสนุนท่าน สนับสนุนหมายความว่า เป็นผู้ดูแลช่างบ้าง เป็นผู้เช็คงานที่ท่านสั่งทำบ้าง เป็นผู้ช่วยงานที่เราทำได้บ้าง แต่คำสั่งนั้นหลวงพ่อเป็นผู้สั่งแต่เพียงผู้เดียว เมื่อท่านสร้างมหาวิหาร 100 เมตรเสร็จ ก็มีส่วนหนึ่งที่หล่อรูปหลวงพ่อยืนไว้ในวิหาร 100 เมตรนั้น ที่ข้างรูปหล่อ หล่อยืนนั้นนะเป็นทองเหลือง หล่อสมัยท่านยังมีชีวิตอยู่เป็นภาพที่เหมือนมากกว่า 90 เปอร์เซ็นต์ หลวงพ่อท่านรูปร่างอย่างนั้น

    ปรกติแล้วในวิหาร 100 เมตร เป็นที่เจริญพระกรรมฐานของญาติโยม สมัยท่านหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่จะนั่งกรรมฐานกลางวันเหมือนปัจจุบัน ตอนเย็นก็เหมือนกัน นั่งเป็นปรกติเหมือนปัจจุบันคือตอนเที่ยงนั่งครั้งหนึ่งเลิกบ่าย 2 โมง ตอนเย็นก็นั่งสวดมนต์ ทำวัตร 5 โมงเลิกประมาณ 1 ทุ่ม บางคราวหลวงพ่อก็มาร่วมเจริญพระกรรมฐานด้วย แต่ส่วนมากท่านป่วย ป่วยมาก

    ตอนหลังนั้นเมื่อทำพิธีพุทธาภิเษกก็มาทำในมหาวิหาร 100 เมตร มีญาติโยมมาร่วมเข้าพิธีกันแน่นไปหมด แน่นจัดโดยอากาศก็ระบายไม่ค่อยออกเพราะคนแน่น ไอตัวคนก็ขึ้นสูง มานั่งแต่ละคราวก็มีคนจำนวนมาก การทำพุทธาภิเษกนี้ก็มีหลายวาระ คือพระก็ดี สมเด็จองค์ปฐมก็ดี ตอนหลังๆนั้นทำที่นี่ทั้งหมด

    เมื่อทำพิธีกรรมอะไรที่นี่ทั้งหมดแล้ว มีอยู่คราวหนึ่งท่านออกตรวจงานก็มาดูในพระวิหาร อาตมาก็ถาม หลวงพ่อครับตรงหลวงพ่อข้างหลวงพ่อยืนนี้ หลวงพ่ออนุญาตให้เป็นที่เก็บศพหลวงพ่อใช่ไหมครับ ท่านบอกว่า เออ เราก็เสนอหน้าไปถามแบบไหนครับ หลวงพ่อก็หยุด ท่านหันมามอง นี่ ข้าบอกเอ็งซะเลยนะ ข้าไม่สร้างที่เพื่อบูชาตัวข้าเองหรอกนะ ใครจะสร้างก็สร้างไปเถอะ ข้าไม่สร้างเพื่อบูชาตัวข้าเอง นี่เป็นการที่ครูบาอาจารย์บอกกับอาตมาเอง


    เมื่อหลวงพ่อพูดอย่างนี้ เราก็นึกว่า เออ ลูกศิษย์ชั้นเลวนี่มันคือเราเอง ไม่เคยเฉลียวใจว่า จะสร้างให้หลวงพ่อนี่ไม่เคย จะสร้างให้ท่าน จะสร้างบูชาท่านไม่มีเลย จิตเรานี่เลวจริงๆ เมื่อคิดได้ดังนี้ก็ไปปรึกษาผู้ใหญ่ มีท่าน ดร. ปริญญา นุตาลัย มีท่านผู้ใหญ่หลายท่าน ทุกท่านที่ไม่ได้เอ่ยนามในที่นี้ก็คงทราบเพราะเป็นศิษย์มีความอาวุโสมากหลาย ถ้าจะกล่าวในที่นี้มันก็เยอะ แต่ไม่ใช่เฉพาะศิษย์ผู้อาวุโสเท่านั้น..

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 60-64)
    12096622_10153723657974329_5080984066111141357_n.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 เมษายน 2019
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    พระสายเหนือ

    เมื่อ พ.ศ. 2518 หลวงพ่อท่านก็ป่วยมาตลอด ก็ให้จัดงานหล่อรูปหลวงปู่ปานกับรูปหลวงปู่ใหญ่ ที่อยู่ด้านหน้าพระอุโบสถนั้น 2 องค์ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว กับสมเด็จพระนางเจ้าพระบรมราชินีนาถ สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา และสมเด็จเจ้าฟ้าหญิงจุฬาภรณ์ เสด็จมาในงานเททองหล่อรูปหลวงปู่ปาน

    ก่อนจะจัดงานนั้นขึ้น หลวงพ่อได้พาลูกศิษย์ไปกราบนมัสการพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ สายทางเหนือ เรียกว่าสายพระเหนือ ท่านบอกว่า พระให้พาลูกศิษย์ไปรู้จักกับพระสายเหนือ โดยที่ท่านเจ้ากรมเสริม ได้พิมพ์หนังสือออกจำหน่ายในภายหลัง คือ หนังสือเรื่องล่าพระอาจารย์ มีอยู่แล้ว ถ้าเล่าไปก็อาจจะผิดพลาดบ้าง เพราะไม่ได้ไปในเหตุการณ์ ถ้าท่านทั้งหลายอยากทราบก็ไปหาซื้อหนังสือนี้อ่าน

    ก็ขอเล่าแต่เฉพาะที่ว่า เมื่อพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบมาที่วัดท่าซุง ก็มี


    หลวงปู่บุดดาถาวโร นี่พระอรหันต์องค์หนึ่ง

    หลวงปู่คำแสนเล็ก วัดดอนมูล

    หลวงปู่คำแสนใหญ่ (พระครูสุคันธศีล) วัดสวนดอก

    ครูบาอินทจักรรักษา วัดบ่อน้ำหลวง

    หลวงปู่สิม พุทธาจาโร วัดถ้ำผาปล่อง

    หลวงปู่กล่อม (พระธรรมวราลังการ) วัดบุปผาราม

    หลวงปู่ชุ่มโพธิโก วัดวังมุย และ

    ครูบาธรรมชัย ธัมมชโย วัดทุ่งหลวง พร้อมด้วย

    ครูบาชัยวงศาพัฒนา วัดพระบาทห้วยต้ม


    เมื่อท่านมาที่วัดพวกเราผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้า เป็นผู้ที่ตั้งใจปฏิบัติความดี ก็มีความซาบซึ้งปิติยินดี เป็นอย่างมาก เมื่อนิมนต์ท่านมาแล้วนี่ หลวงพ่อให้จัดกุฏิ 10 หลัง อยู่ที่ด้านหลังพระอุโบสถนั้นเป็นที่รับรอง จะมีเจ้าหน้าของวัด ขณะนี้บวชอยู่หลายองค์ ขณะนั้นยังไม่ได้บวชเป็นผู้มีความเลื่อมใส ปฏิบัติรับใช้ท่านประจำองค์ มีญาติโยมที่ขณะนี้ก็ยังมีชีวิตอยู่หลายท่าน ที่มรณภาพไปแล้วก็หลายองค์ หลายท่านเป็นแม่ครัวจัดอาหารถวายท่านเป็นสำรับ เป็นชุดๆ

    เมื่อพระสุปฏิปันโนมาตอนเช้าๆ มีการใส่บาตรกัน ท่านก็จะมารับบาตร มีหลวงปู่ครูบาชัยวงศ์ เป็นต้น ท่านนั่งรับบาตรอยู่ด้านหลังพระอุโบสถ พวกเราก็เอาอาหารคาวหวานไปถวายท่าน ท่านก็นั่งกันเป็นแถว ไม่ได้ลุกเดิน นั่งเก้าอี้ถือบาตร พวกเราเป็นพระก็ดี เป็นญาติโยมก็ดี ก็ไปใส่บาตรตอนเช้า เมื่อใส่บาตรเสร็จแล้ว ท่านก็ไปฉันภัตตาหารในกุฏิ มีลูกศิษย์ที่วัดจัดไว้ปรนนิบัติรับใช้ ก็เอาอาหารคาวหวานไปถวายท่าน อย่างนี้เป็นประจำทุกวันตลอดงาน

    พวกเรานี่เป็นผู้มี ศรัทธา เคารพนับถือดีอยู่แล้วภัตตาหารของหลวงพ่อ หลวงปู่ทั้งหลาย ก็มีคนจัดมาถวาย แต่พวกเราลูกศิษย์ก็เยอะ เมื่อหลวงพ่อ หลวงปู่ทั้งหลายฉันภัตตาหารเสร็จ ก็มีพวกลูกศิษย์เอาไปรับประทานกัน หลังจากครูบาอาจารย์ฉันภัตตาหารเสร็จ ถือว่าของเหลือนั้นเป็นมงคล เป็นสิ่งที่เป็นทิพย์ เป็นมงคล เป็นกำไรชีวิต อิ่มด้วย คงจะรสเลิศ

    เมื่อญาติโยมทุกท่านที่นำอาหารไปถวายพระสุปฏิปันโนที่มาในงานเสร็จ ก็จะยกสำรับมาคืนญาติ ก่อนจะถึงญาติผู้ใหญ่ พวกที่ถือมานั่นก็จะชิมเสียก่อนแล้ว ก่อนจะมาถึงปลายมือก็เหลือน้อยถือว่าเป็นยา เป็นทิพย์ เป็นมงคล ก็จะแบ่งกันกินกันถ้วนหน้า คนที่ถือต้นมือจะได้มาก คนที่ถือปลายมือก็จะได้น้อยหน่อย

    องค์ไหนที่เป็นพระ อรหันต์ ที่ครูบาอาจารย์บอกว่า พระอรหันต์ ก็จะเป็นที่เพ่งเล็งเป็นจุดสนใจของบรรดาลูกศิษย์ที่มีศรัทธาแก่กล้า มีอยู่คราวหนึ่ง เป็นสำรับของหลวงปู่บุดดา ถาวโร ซึ่งลูกศิษย์ได้ยกมาหลังจากท่านฉันภัตตาหารเสร็จแล้ว ก็มีอาหารที่เหลือจากท่านถือว่าเป็นมงคลอันสูง ก็ค่อยแบ่งกันกิน เหมือนพี่เหมือนน้อง แบ่งกันคนละเล็กละน้อย กว่าจะถึงแม่ครัวปลายมือก็จะเหลือน้อยแล้ว ก็บอกว่า

    นี่ นี่..สำรับของหลวงปู่บุดดา ใครจะเอาก็มา ใครจะเอาก็มาแบ่ง คนมาทีหลังได้อะไรก็เอาทุกอย่าง ก็มีอยู่ชามหนึ่งที่เหลืออยู่ คนส่วนมากก็จะ เข้าใจว่า เป็นน้ำลิ้นจี่ ลิ้นจี่กระป๋อง แต่เนื้อนั้นนะ มีผู้เอาไปหมดแล้ว ก็เหลือแต่น้ำ แต่ถึงเหลือแต่น้ำ ก็ไม่ว่ากัน เป็นยา เป็นมงคล บางคนก็ดื่มไปบ้าง แบ่งให้คนอื่นดื่มบ้าง ดื่มไปหลายคน ไม่มีใครว่าอะไร

    พอมาถึงคนที่ช่างสังเกต ช่างสงสัย พอดื่มเข้าไปหน่อย ก็ออกปาก นี่มันอะไรว่ะ น้ำลิ้นจี่อะไรวะ ไม่หวานเลย ทุกคนที่กินเข้าไปหลายคนแล้ว แต่ไม่มีใครปรารภขึ้น พอมีผู้อาวุโสทักว่า นี่น้ำอะไรวะ ไม่หวานเลยน้ำลิ้นจี่ ลูกศิษย์ที่อยู่ก้นกุฎิอยู่ในเหตุการณ์ก็ว่า ไหนไหนไหน ผมขอดูหน่อย เมื่อลูกศิษย์ก้นกุฏิที่ถือมาขอดู ก็บอกว่า นี่น้ำลิ้นจี่ที่ไหนครับ มันจะหวานได้อย่างไรละครับ ก็นี่มันน้ำล้างฟันปลอมหลวงปู่นี่ แต่พวกเราก็ซัดกันไปหลายอึ๊ก

    แล้วพอพูดว่าน้ำล้างฟัน ปลอมหลวงปู่เท่านั้น ผู้ที่มีศรัทธาแก่กล้า ถือว่าเป็นมงคลก็เกิดอาการลำไส้ปั่นป่วน ก็ดึงของเก่าที่กินอยู่เบื้องแรกออกมา พุ่งออกมา โอกอาก โอก พุ่งเป็นหลาวออกมาจากลำไส้ แสดงถึง (หัวเราะ) ศรัทธาที่มีอยู่นั้นมันปั่นป่วน จึงดึงน้ำล้างฟันปลอมหลวงปู่ออกมาหมด ท่านสาธุชนคิดดู ก็เป็นการที่ฮือฮา หัวเราะกันน้ำตาไหล ว่านี่นะ

    การดื่มน้ำฟันปลอมของหลวงปู่นั้นมีฤทธิ์มาก เขาวิจารณ์กัน บอกแล้วว่า กูนึกแล้ว น้ำลิ้นจี่อะไรวะ กูเห็นมีพริกลอยอยู่ กูนึกแล้วว่า มันทำไมถึงไม่หวาน แต่พวกที่ดื่มไปก่อนนั้นแล้วก็หลายคน ก็นึกหัวเราะว่า ศรัทธานั้นดี พระพุทธเจ้าสรรเสริญ แต่ปัญญาน้อยไป เลยเป็นอย่างที่เล่ามานี้แหละ

    การทำบุญกับพระสุปฏิปันโน นั้น เราก็ทำกันเฉพาะกลางวัน ส่วนกลางคืนเราก็ปิดประตูสนทนากัน ไปกราบไปภาวนากันเป็นปกติ เมื่อหลวงพ่อท่านนิมนต์อย่างนี้ ท่านก็ถวายจตุปัจจัยทุกอย่างให้ท่าน ไปบูรณะวัดของท่านทุกองค์

    ฝั่งพระอุโบสถปัจจุบันนั้น หลวงพ่อท่านสร้างพร้อมๆกัน เกือบทั้งหมด เมื่อสร้างพระอุโบสถแล้ววางศิลาฤกษ์ แล้วก็สร้างกุฏิ 10 หลัง สร้างอาคารธรรมสถิต สร้างศาลานวราช สร้างศาลาพระพินิจอักษร อยู่ในคราวเดียวกันเลย เมื่อขึ้นก่อสร้าง พร้อมๆกันเหล่านั้น ก็มีการใช้จ่ายมาก แต่ถึงกฐินที เราก็จะชำระหนี้สินครั้งหนึ่ง

    วันอาทิตย์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2520 เป็นวันที่พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวเสด็จครั้งนั้นอีกวาระหนึ่ง รายละเอียดนั้นหลวงพ่อเราเคยเล่าไว้ในหนังสือ พระเมตตา เมื่อท่านไปอ่านก็จะรู้ ประวัติที่ท่านคุยกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนั้นเป็นเช่นไร อาตมาอ่านมาเที่ยวเดียวก็จำไม่หมด หากท่านสนใจก็จะรู้ บ้านเมืองเราตอนนั้นยังไม่สงบมากนัก

    แต่ท่านก็รับรองกับสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า บ้านเราไม่เป็นขี้ข้าใคร จะค่อยๆเจริญรุ่งเรืองตามลำดับ ขณะนี้ พ.ศ. 2538 เมื่อมองย้อนไปถึง พ.ศ. 2520 ก็จะรู้ว่าขณะนั้นกับขณะนี้ บ้านเมืองเจริญขึ้นมามาก ก็จะตรงกับที่ท่านพูดกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวว่า บ้านเมืองเราจะค่อยๆเจริญเหมือนแสงอาทิตย์เริ่มขึ้น

    เมื่อพ.ศ. 2520 นั้น ที่มีความสำคัญก็เพราะว่า หลวงปู่ชุ่มโพธิโก ที่เป็นพระอรหันต์องค์หนึ่ง ที่เข้านิโรธสมาบัติ เป็นพระที่มีความสำคัญในสายเหนือองค์หนึ่ง หลวงปู่ชุ่มนั้น เป็นผู้ที่เคารพรักกับหลวงพ่อมาแต่อดีตกาล ตั้งแต่หลายแต่ชาติมาแล้ว ได้ไปเยี่ยมหลวงพ่อเราที่กุฏิ โดยที่ท่านขอไปเยี่ยมเอง ท่านเล่าว่า ได้ขึ้นไปบนกุฏิท่าน ท่านบอกว่า ห้องของน้องสวยงาม นั่งอยู่ก็มาเยี่ยม แต่จริงๆ แล้วท่านจะมาพูดธุระส่วนตัว

    หลวงพ่อเล่าให้รู้ภายหลังว่า ท่านมาหาแล้วก็บอกว่า น้องต้องอยู่ช่วยบ้านเมืองต่อไปอีก แต่พี่จะมรณภาพก่อน ขอมอบลูกแก้วจักรพรรดิ์ ที่เป็นของตระกูลเรา ที่รักษาไว้ให้น้องรักษาต่อไปจะได้บูรณะวัด สร้างวัดได้ตามประสงค์ ฉะนั้น หลวงปู่จึงได้มอบลูกแก้วจักรพรรดิ์ ให้หลวงพ่อได้สร้างวัดต่อไป


    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 57-59)


    326930_3144773501109_1318149757_3083116_651204784_o%20(1).jpg 12004678_10153731148744329_8036444688120418173_n.jpg 12087986_10153703835354329_1765207288910610663_n.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 29 มีนาคม 2018
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงพ่อสร้างวัดต่อ(2)


    ลูก ศิษย์ทุกคนเนี่ย พร้อมใจกันสร้างถวายก็มีคนให้เงินมา คนละเป็นแสนก็มีหลายคน แต่เมื่อหลวงพ่อยังมีชีวิตอยู่จะไปสร้างก็เหมือนไม่งาม เหมือนการแช่งให้ครูบาอาจารย์ให้ตาย ก็คิดกันหยาบๆ ก็ไปให้ ดร. ปริญญาไปออกแบบ เมื่อออกแบบที่เก็บพระศพท่านออกมา แล้วก็นำมาถวายให้หลวงพ่อท่านเลือก

    ท่านบอกว่า อย่าให้คนตายเลือกเลย ชอบแบบไหนก็เอาแบบนั้นก็แล้วกัน ดร.ปริญญาก็บอกว่า งั้นผมเอาแบบนี้ ท่านก็ว่า ดี เอา พระพุทธเจ้าไว้ข้างบน พระโมคคัลลาน์และพระสารีบุตรอยู่ ๒ ข้าง เมื่อคนมากราบจะได้กราบพระรัตนตรัยด้วย จะถึงพระพุทธเจ้า จะถึงพระธรรมพระสงฆ์ จะได้ได้บุญมาก

    ท่านบอกว่า ศพของท่านนั้น จะมีพระที่มีความสำคัญมาช่วยดูแล เมื่อใครมากราบแล้วก็จะเป็นมงคล เหมือนท่านยังมีชีวิตอยู่

    หลวง พ่อพระราชพรหมยาน ท่านสร้างระเบียบสร้างคำสอนการปฏิบัติพระกรรมฐานเอาไว้ครบถ้วนทุกอย่าง ท่านหวังว่าจะให้โยมทุกท่านที่สนใจในธรรมมีความเข้าใจในพุทธศาสนาอย่างแท้ จริง ท่านจึงสร้างคำสอนของท่านไว้ครบถ้วนทุกอย่าง ต่อไปนี้ก็จะขอสรุปเรื่องลัดๆ ตามอารมณ์อยากจะพูดอยากจะเขียนตามใจนึก

    มี อยู่คราวหนึ่งหลังจากหลวงพ่อของเราได้มรณภาพลงแล้ว ปีพ.ศ. ๒๕๓๖ เดือนมีนาคมได้จัดงานประจำปีที่ศาลา ๒ ไร่ ได้นิมนต์พระผู้ใหญ่ที่หลวงพ่อเคารพนับถืออยู่มาหลายองค์ มีสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ วัดสามพระยา มีสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ มีสมเด็จพระพุทธชินวงศ์ วัดเบญจมบพิตร

    คราวนั้น หลวงพ่อท่านมรณภาพลงใหม่ๆ เราจัดงานกันเฉพาะลูกศิษย์เด็กๆ ทั้งนั้น เมื่อจัดงานก็ต้องเอาของไทยทานไปถวายพระผู้ใหญ่ อาตมาเองในฐานะตัวแทนสงฆ์ของวัดท่าซุง ก็เอาตำราที่ ดร.ปริญญา รวบรวมคำสอนของหลวงพ่อมาทำเป็นหนังสือเล่ม ทำรวมทำเล่ม เอาคำสอนของท่านทุกอย่างเอามารวมเป็นเล่มใหญ่ เอาไว้เป็นตำราทางวัดหรือของญาติโยม มาจัดรวมกับไทยทาน

    นำไปถวายท่านเจ้าประคุณสมเด็จวัดสามพระยา เจ้าประคุณสมเด็จองค์นี้ ท่านเป็นผู้มีความรอบรู้พระธรรมวินัยทุกอย่าง เป็นผู้ที่รู้จริง ท่านก็บอกกับอาตมาว่า นี่คุณ หนังสือที่ท่านเจ้าคุณเขียนนี่ ที่ท่านเจ้าคุณพูด คุณถือว่าเป็นตำราในพุทธศาสนาได้นะ ถือว่าเป็นตำราได้เลย เราก็ตอบว่าครับ สิ่งเหล่านี้นี่ พระผู้ใหญ่ท่านเป็นกองตำราอยู่แล้ว

    เมื่อท่านอ่าน ท่านเป็นนักปฏิบัติ ท่านเป็นนักปริยัติ ท่านรับรองอย่างนี้ ก็ตรงกับที่หลวงพ่อพูดไว้ว่า เป็นคำสอนที่พระพุทธเจ้าให้นำมาสอน พูดอย่างนี้จะหาว่า หลวงพ่อเราอวดอุตริวิเศษกว่าคนอื่นทั้งหมด ถ้าพูดอย่างนี้ เข้าใจอย่างนี้ จะผิดสักหน่อย เพราะพระที่ท่านปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ท่านก็พูดเหมือนกันอย่างนี้หลายองค์

    ฉะนั้น ท่านทั้งหลายที่เอาหนังสือคำสอนของหลวงพ่อที่ทางวัดพิมพ์แจก ก็ขอให้มั่นใจได้ว่าไม่ผิดแบบไม่ผิดแผน สามารถจะนำไปปฏิบัติได้ ถ้าปฏิบัติได้ก็จะมีมรรคผล ตามที่กล่าวไปแล้ว

    อาตมาอยู่ วัดตั้งแต่ พ.ศ. ๒๕๑๖ อยู่ร่วมกับท่านสมัยพ.ศ. ๒๕๑๖-๒๕๑๗ ก็มีพระไม่มาก มีพระประมาณ ๑๐ กว่าองค์ ออกพรรษแล้วก็เหลือประมาณ ๕-๖ องค์ ก็นั่งเจริญพระกรรมฐานกันทุกวันหลังจากจบภารกิจก่อสร้างตอนเย็นๆ เมื่ออยู่ร่วมกับครูบาอาจารย์ คือหลวงพ่อท่านก็ลงสอนตอนทุ่มครึ่งหรือ ๒ ทุ่ม ทุกวัน

    การสอนของท่านก็มีคนมีชาวบ้านแถวนี้ แถววัดท่าซุงนี่มานั่งกันประมาณ ๕-๖ คน เย็นๆก็เดินมาถือพวกหมากกระทายหมากมั่ง หรือถือของใช้ส่วนตัวมาฟังธรรมตอนเย็นๆ มานั่งกรรมฐาน เช้าก็เดินกลับ พวกเรามีกัน ๕-๖ องค์ก็นั่ง เช้าก็บิณฑบาต เสร็จตอนกลางวัน ตอน ๕ โมงเข้าก็ฉันร่วมกันแล้วก็ออกทำงาน ตอนเย็นๆก็ทำวัตร สวดมนต์ นั่งรอหลวงพ่อนั่งมั่งนอนมั่ง จนกว่าหลวงพ่อจะลงมาตอน ๒ ทุ่ม

    ท่านสอนที่ตึกเรียกว่า ตึกขาว พอกลางปี ๒๕๑๗ ก็ย้ายมาสอนที่ตึกเสริมศรี ท่านสอนอย่างนี้ทุกวัน

    เมื่อสอนที่ตึกเสริมศรีนั้น ท่านสอนเรื่อง ระเบียบวินัยและธรรมะข้อปฏิบัติ สอนกรรมฐาน ๔๐ จนจบ ๑ รอบ สอนต่อเนื่องกันไป เมื่อจบกรรมฐาน ๔๐ ก็สอนมหาสติปัฏฐานสูตรอีก ๑ รอบจบไป เมื่อสอนมหาสติปัฏฐานสูตร แล้วก็มาสอน จริต ๖ คำสอนของท่านนี่ สอนจบกองของกรรมฐานทุกกอง สอนจบถ้าปฏิบัติได้ตามก็จะเป็นพระอรหันต์ไปแล้ว แต่ผู้พูดผู้เขียนไม่เคยจบตามนั้น ยังมีกิเลสพอกเต็มเหมือนเดิม แต่ก็อยู่ด้วยความพอใจว่า วันหนึ่งกิเลสจะต้องเบาบางไปบ้าง

    ฉะนั้น ท่านสาธุชน ผู้อ่านก็ดี จงเข้าใจว่า หลวงพ่อนั้นเป็นผู้ที่มีระเบียบวินัยสำคัญองค์หนึ่ง ท่านสอนให้เรามีสติสัมปชัญญะทุกอย่าง และการรักษาของสงฆ์ก็ดี รักษาตัวก็ดี ท่านทำเป็นแบบอย่างทุกอย่าง

    มีอยู่คราวหนึ่ง พระตอนเย็นนั้นจะฉันพวกน้ำปานะ ก็เอากระติกน้ำร้อนมาวางไว้ที่บันไดคิดว่า หลังกรรมฐานแล้วขากลับจะเอากระติกกลับกุฏิด้วย เมื่อท่านจะสอนพระกรรมฐานก็จะต้องเดินผ่านทางนั้น

    เมื่อ ท่านเห็นกระติกน้ำร้อน สมัยก่อนเป็นแก้วข้างในถ้าหล่นก็จะแตก เมื่อท่านขึ้นไปเทศน์ท่านก็จะบอก เทศน์เรื่องกระติกเลย เรื่องสติสัมปชัญญะว่าอะไรควรไม่ควร ของนั้นยังไม่เสียหาย แต่อาจเสียหายเมื่อภายหน้า

    คือ กระติกอาจไว้ที่เชิงบันได สนุขเดินผ่านไปผ่านมาอาจจะกระทบกระทั่ง ทำให้ล้มได้ จะเกิดของเสียหาย ของญาติโยมถวายเป็นของส่วนตัวก็ดี ด้วยเงินที่เขาต้องแลกด้วยแรงกายมันสมอง เอาทรัพย์ส่วนนี้ไปซื้อวัตถุมาถวาย

    เพื่อให้พระได้ใช้ได้ฉัน ด้วยความสะดวกสบาย แต่พระนั้นขาดสติ ขาดสัมปชัญญะ ไม่รู้ค่าของของว่า เขาถวายด้วยความเคารพรัก ด้วยศรัทธาด้วยแรงกายและแรงใจ แต่เราไม่รู้จักว่า จะรักษาของนั้นให้นาน เรียกว่า ขาดปัญญา ขาดความคิด ขาดสติสัมปชัญญะ ไม่ดูแลว่ามันจะเสียหาย

    ท่านบอกว่า ถ้าขาดสติอย่างนี้ ก็คงไม่ใช่พระ ฆราวาสชั้นเลวเขายังไม่ทำกัน พอเทศน์จบพระที่อยู่ในอาคารตึกเสริมศรีก็นั่งกันเหงื่อแตก ทำให้พระได้เข็ด เข็ดขั้นอายญาติโยม เพราะญาติโยมก็อยู่ในตึกด้วย นั่งกรรมฐานร่วมกัน การสอนของท่านมีหลายแบบ หลายแบบมาก สอนให้เราระมัดระวัง ว่าจะเสียหายหรือเป็นอะไรอีก มาอยู่กับท่านนานๆ เราทั้งรักและเกรงกลัวว่า ครูบาอาจารย์นั้นจะตำหนิอีก ก็ระมัดระวังจิตระวังกาย เพราะครูบาอาจารย์นั้นรู้จริง เราจะไปทำผิดที่ไหนโดยไม่ต้องบอกใคร เมื่อท่านขึ้นเทศน์หรืออบรมกรรมฐานก็จะเอามาเทศน์มาสั่งสอน

    มีอยู่คราวหนึ่ง พระผู้ซึ่งบวชใหม่ ห่วงโลก คือ โลกเขาคุยกันยังไง พระก็คุยกันอย่างนั้น คุยกันสารพัด โดยที่ครูบาอาจารย์ไม่อยู่ก็ดี หรืออยู่ห่างไกลก็ดี พวกเราก็จะคุยกันสารพัดเรื่อง พอตอนเย็นก็มานั่งกรรมฐานกันปกติ วันดีคืนดีท่านก็จะอบรมพิเศษสักครั้งหนึ่ง แต่นี่ก็บ่อยนะ บ่อยครั้ง แต่ว่าเป็นพิเศษนั้น

    ท่าน พูดให้ฟังว่า พระก็ดี ญาติโยมก็ดี พระถือว่าเป็นผู้ประเสริฐ ท่านก็อบรมไปเรื่อยๆ ประเสริฐก็อยู่ที่มีศีลดี บริสุทธิ์ มีใจสงบระงับจากนิวรณ์ มีปัญญาลดละกิเลส มีสังโยชน์ ๓ เป็นต้น

    ได้ ก็ถือว่าเป็นผู้ประเสริฐแล้ว แต่พระของเรา หรือผู้ห่มผ้าเหลือง หัวโล้นห่มผ้าเหลือง ยังทำตัวเหมือนฆราวาส คือ ชอบพูดสิ่งที่ไม่เกิดประโยชน์ กับการปฏิบัติธรรม เรียกว่าเดรัจฉานคาถา อย่างนี้จะเรียกว่าเป็นผู้ประเสริฐไม่ได้ แม้นจะห่มผ้าเหลืองก็ถือว่า ไม่ใช่พระเป็นผู้ขวางแห่งธรรม พูดเป็นเชื้อโรคก็พูด พูดเหมือนสัตว์เดรัจฉาน จะเป็นพระได้ยังไง เห็นหัวก็รู้แล้ว ได้ยินชื่อก็รู้แล้วว่าเป็นสัตว์นรก ตายแล้วก็ต้องไปตกนรก เมื่อครูบาอาจารย์พูดเฉียดหัวไป ภาษาชาวบ้านเขา เรียกว่า เฉียดหัวใกล้ตัวเข้ามาทุกที นี่เราคุยกันอยู่ที่ไหน ในป่าในที่ทำงานครูบาอาจารย์ก็รู้

    กลางคืนเทศน์ ท่านก็จะเอาที่เราพูดนั้นมาสอนเราว่า พูดอย่างนี้มันไม่ดี ฝึกจิตต้องภาวนาอย่างนั้นอย่างนี้ ถึงจะดี เมื่อเทศน์ตำหนิบ่อยๆ ความเกรงกลัวก็เกิดกลัวครั้งหนึ่งแล้วก็ไม่ได้กลัวตลอดไป ครั้งใหม่ก็จะทำอีก ทำในนี้หมายความว่า ระงับนิวรณ์จากใจไม่ได้

    เมื่อ ครูบาอาจารย์ตำหนิอย่างนี้ ก็ไม่ค่อยเข้าหน้าท่าน เพราะวัวมันสันหลังหวะเสียแล้ว พอครูบาอาจารย์เข้ามาใกล้ ก็ต้องหลบเพราะแผลมันใหญ่ กลัวท่านจะตำหนิอีก เป็นการกลัวกันจริงๆ เมื่อครูบาอาจารย์ตำหนิอย่างนี้แล้ว รุ่งขึ้นเราก็คุยกันใหม่ว่า ผมบอกแล้วว่า ท่านนี่คุยอย่างนี้ โดนเลยเห็นไหม เมื่อคืนโดนเลย อย่าทำอีกเลยอย่างนั้นอย่างนี้ เราก็คุยกันภายในไม่ได้บอกใคร

    พอ ตกคืนที่สอง ท่านก็เทศน์ใหม่อีก ท่านก็บอกว่า ที่พูดไปนี่ ไม่ได้หวังเพื่อความตำหนิ หวังว่าจะเอาไปเพื่อแก้ตัวหรือประพฤติปฏิบัติ ถ้าพูดอย่างนี้แล้วก็คิดว่าเป็นสิ่งตำหนิคนนั้นคนนี้นี่ไม่ถูก ถ้าคิดอย่างนี้ก็เลว ที่ถูกจริงๆต้องดูตัวเอง

    เมื่อพูด ไปแล้วให้ไปประพฤติปฏิบัติก็ต้องดูตัวเอง ไม่ใช่โทษคนนั้นคนนี้เลว ตัวเราน่ะ เลวแล้วดูตัวเองเสียบ้าง ว่านี่มีศีลไหม ศีลครบบริบูรณ์ไหม วันนี้นิวรณ์กินใจหรือเปล่า ระงับนิวรณ์ได้ขนาดไหน วันนี้พยายามละสังโยชน์ตัวไหนบ้างไหม ให้คิดโจทย์ความผิดของตัวเอง ไม่ใช่ไปโจทย์คนอื่น โจทย์ความผิดของคนอื่นแล้วมันเลวหาที่สุดไม่ได้

    เพราะ มันไม่เกิดประโยชน์กับตัวเอง ถ้าจะเกิดประโยชน์ก็ต้องโจทย์ความผิดของตัว และแก้ความผิดนั้นทันทีถึงจะถูกต้อง ไอ้คนที่โจทย์ความผิดของผู้อื่นนะ มันเลวหาที่สุดไม่ได้อยู่แล้ว คืน ๒ ท่านก็เทศน์ซ้ำเข้าไปอย่างนั้น ตานี้พวกเราจะเรียกพวกอะไรดี

    เรียกว่าพวกลูก ลูกลิงก็คงจะถูก เพราะลอกแลกมาก เคารพท่านเหมือนพ่อ ก็ให้หงอยอย่างกะอะไรละ ลิงเป็นไข้ (หัวเราะ) เหมือนกับสัตว์ไก่เป็นไข้ หัวตก ไปไหนก็คุยกันไม่ค่อยออก มาอยู่กับครูบาอาจารย์นี่ท่านรู้จริง ฉะนั้นเราจะคิดอะไร คิดสิ่งที่ไม่ดีไม่งาม ท่านจะคอยประคับประคอง ตำหนิติเตียนให้เราลดละ

    มีอยู่คราวหนึ่ง ปลายๆประมาณ พ.ศ. ๒๕๓๐ ได้ อาตมาเดินบิณฑบาตอยู่ คิดในใจว่า ถ้าหลวงพ่อมรณภาพนี่ จะมีเงินบูรณะวัดรึเปล่า แล้วจะอยู่กันยังไง คิดเสมอ คิดฟุ้งซ่านไปตามอารมณ์ของตัวเราเอง ก็คิดว่า ลูกศิษย์หลวงพ่อนี่เป็นร้อยเป็นพันอาจจะถึงหมื่น อาจจะถึงแสน แม้อยู่ใกล้อยู่ไกลก็ดี แต่ปกติถ้าเราบอกบุญกึ่งบังคับ

    เมื่อ หลวงพ่อมรณภาพไปแล้วนี่ คิดในใจว่า อยากจะขอร้องญาติโยมที่เคารพรักนี่ทำเป็นสมาชิกของวัดที่อุปการะวัดเลย เป็นผู้ที่บำรุงวัดว่า ปีหนึ่งจะขอเขาคนละร้อยบาท ๑๐๐ คนก็ได้หมื่นบาท ๓๐๐ คนก็ได้ ๓๐,๐๐๐ บาทต่อปี พันคนก็ได้แสนบาท หมื่นคนก็ได้ล้านบาทต่อปี แสนคนก็ได้๑๐ ล้านบาทต่อปี ให้เขาส่งเงินมา ปีละ ๑๐๐ บาท ต่อปีต่อทุนเป็นสมาชิกจนกว่าจะตายจากกัน

    ก็เราทำอย่างนี้ก็จะมีเงินมาบำรุงวัดโดยแน่นอน ถ้าปีละ ๑๐๐ ต่อคนเขาก็ไม่หนักใจ เมื่อคิดอย่างนี้ก็อยู่ในใจตลอด ก็คิดไปเรื่อย ก็หมื่นคนก็ได้ปีละตั้ง ๑ ล้าน แสนคนก็อาจจะปีละ ๑๐ ล้าน สมาชิกอย่างนี้นะถ้ามีอย่างนี้นี่ปีละ ๑๐ ล้าน เราก็ทราบว่ามีเงินพอจะดูแลวัดไม่ให้สลายตัวง่าย เมื่อคิดอย่างนี้ก็อยู่ในใจ ไม่ได้บอกใคร อยู่ในใจเสมอ

    เวลา ผ่านไปตั้งเป็นเดือน ท่านก็มาคุยลอยๆว่า เฮ้ย คนเราถ้าคิดจะทำอะไร ที่คิดไว้น่ะ ไม่ต้องไปทำหรอกนะ รบกวนเขาเกินไป ท่านพูดลอยๆ ไม่ได้พูดกับเรา เราก็นึกว่า โอย นี่ถูกต้องแล้ว ครูบาอาจารย์ก็รู้ว่าเราคิด ห้ามเราทำเป็นการรบกวนญาติโยมเกินไป เขาจะรำคาญ นี่การคิดในใจเฉยๆ ไม่ได้บอกใคร ท่านยังรู้

    ฉะนั้น เมื่อเรามาพบครูบาอาจารย์ คือหลวงพ่อของเรา อย่างนี้ก็ขอให้ท่านทั้งหลายได้ภูมิใจเลยว่า สมแล้วไม่เสียชาติในการเกิดในชาตินี้ คือ พบพระแท้ พระที่สามารถจะสอนให้เราพ้นทุกข์จากวัฏฏะได้ อันที่จริงพระในพุทธศาสนา ในประเทศไทย เราก็มีมากเป็นผู้ที่ประเสริฐ สามารถที่จะให้เราพ้นทุกข์ได้เหมือนกัน แต่เราก็มีความศรัทธาเคารพในคำสอนที่ท่านสอนเรา เช่นหลวงพ่อได้แนะนำเราไว้ทุกอย่างโดยไม่ปิดบัง

    ท่าน ทั้งหลาย มีอยู่คราวหนึ่งท่านพูดไว้ว่า คนเราจะลงมาเกิดจากเทวดา จากพรหมนั้นจะเกิดเพื่อบำเพ็ญบารมีหวังมรรคหวังผล เกิดเพื่อความพ้นทุกข์จากวัฏฏะ เมื่อท่านทั้งหลายเกิดมาพบพระพุทธศาสนา คนที่จะได้มรรคได้ผลนี่บุญจะให้ได้พบพระดี

    สำหรับท่าน เอง สมัยก่อนพอท่านบวชมา จริงๆพระก็เยอะ แต่มีความพอใจในหลวงปู่ปาน มีความเคารพ เมื่อท่านจะบวชก็มีคู่สวดพร้อมอุปัชฌาย์ที่เป็นพระอรหันต์ คือ อุปัชฌาย์ท่านอยู่วัดบ้านแพน เป็นพระอรหันต์ เป็นอุปัชฌาย์ เป็นผู้สั่งสอนให้

    เมื่ออยู่กับหลวงปู่ปาน หลวงปู่ปานก็พุทธภูมิเต็มก็สอนทั้งสมถะ วิปัสสนา และให้ไปหาอาจารย์ที่เป็นพระอริยะเจ้าให้ไปเรียนกับหลวงพ่อโหน่ง หลวงพ่อเนียมท่านก็พอใจ เมื่อท่านเข้ามาเรียนในกรุงเทพก็มาพบสมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดอนงคาราม ท่านก็เป็นพระอรหันต์ ก็มีความพอใจ

    ฉะนั้นท่านจึงสรุปว่า คน เรานะถ้าต้องการมรรคต้องการผล ในการปฏิบัติดีแล้วนี่ จะพอใจครูบาอาจารย์ที่มีมรรคมีผลทั้งสิ้น สำหรับท่านจะพอใจเฉพาะพระที่มีมรรคมีผล พระที่ไม่มีมรรคไม่มีผล เป็นหมื่นเป็นแสนก็ยังไม่พอใจ จิตมันไม่ยอม จิตมันพอใจเฉพาะพระที่มีมรรคมีผล

    ฉะนั้นท่าน สาธุชนหรือลูกศิษย์หรือหลวงพ่อเราที่อยู่ร่วมกันนี้ ที่มาพบกัน ที่เป็นลูกศิษย์อยู่ไกลก็ดี อยู่วัดก็ดี อยู่ใกล้ก็ดี อยู่ต่างจังหวัด ต่างอำเภอ ต่างประเทศก็ดี ขอจงถามจิตตัวเองว่าท่านพอใจในคำสอนไหม พอใจในการปฏิบัติไหม พอใจในการลดละกิเลสไหม พอใจในมรรคผลเพื่อไปพระนิพพาน ไม่ต้องการมาเกิดไหม

    เมื่อท่านพอใจอย่าง นี้ ขอให้ภูมิใจได้ว่า ชาตินี้ท่านเดินใกล้พระนิพพานเข้ามาแล้ว เดินถูกทางแล้ว อย่าได้เขว อย่าได้เถลไถลไปเสียที่ไหน

    ลวง พ่อท่านเคยพูดอยู่เหมือนกันว่า ลูกของท่านทุกคนที่ลงมาเกิดนั้น ไม่ใช่เป็นผู้หมดบุญมา เป็นผู้มาเกิดตามกันไปเพื่อจะพ้นทุกข์จากวัฏฏะสงสาร ทุกคนที่ตามลงมาเกิดต้องการจะไปพระนิพพาน ท่านบอกว่าลูกของฉันทุกคนน่ะ แม้จะโต๋เต๋ไปบ้างระหว่างท่ามกลาง เมื่ออกุศลกรรมเข้าก็จะเขวไปบ้าง แต่บั้นปลายแล้ว ลูกของฉันไปนิพพานหมด นี่จงภูมิใจว่า พ่อแม่เรารักเรา หวังจะต้องการสั่งสอนเราให้พ้นจากวัฏฏะสงสาร

    ท่าน เคยปรารภไว้ในศูนย์อารมณ์ คือฟังได้บ้าง จำได้คร่าวๆว่า ท่านปรารภกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวรัชกาลปัจจุบันว่า อาตมา ร่างกายตอนนี้ป่วยเหลือเกิน ป่วยทุกลมหายใจ แต่พวกเราก็ดี เป็นผู้ที่ปรารถนาความพ้นทุกข์ สนใจปฏิบัติธรรม หวังการไม่เกิดอีก ถ้าลูกปรารถนาดีอย่างนี้ ก็จะขอทนทรมานสังขารสักระยะหนึ่ง เพื่อให้ใจมั่นคงในพระพุทธศาสนา มีความมั่นคงในการปฏิบัติความดี มีความมั่นคงในพระนิพพานแล้ว

    เมื่อถึงวาระนั้น ท่านบอกว่า อาตมาก็จะขอลาญาติโยม และพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวไปหาที่ที่ตัวเองจะต้องไป นี่เป็นคำปรารภ คือ ปรารภกับพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวก็เป็นจริงตามนั้นทุกประการ


    หลวง พ่อก่อนจะมรณภาพก็ปรารภว่า ลูกของฉันน่ะมาหมดแล้ว ลูกของฉันมั่นคงแล้ว งานก่อสร้างทุกอย่างในวัดก็สร้างครบหมด จะเป็นโรงเรียนก็ดี จะเป็นโรงพยาบาลก็ดี จะเป็นวัดก็ดี ส่วนไหนที่ขาดไม่ได้ทำไม่มี อบรมธรรมก็ดี ทำจนถึงที่สุด


    จะขอพูดเรื่องบั้นปลายหลัง จากอยู่กับท่าน ท่านป่วยทุกวัน หลวงพ่อนี่กินยาทุกวัน กินยาต่ำกว่า ๑๐๐ เม็ดไม่มี ต่อวันนะ กินเพื่อพวกเรา ผู้อยู่เบื้องหลัง กินเพื่อให้ร่างกายทรงตัวอยู่ชั่วขณะ เพื่อจะได้อบรมธรรมเป็นกำลังใจแก่เรา ท่านปรารภกับอาตมาอยู่เป็นคราวๆว่า เมื่อสร้างวัดครบหมดแล้วนี่ก็ไม่มีอะไร เรื่องวัดก็ดี เรื่องโรงเรียนก็ดี ก็สั่งเสียไว้หมดทุกอย่าง ก็ทำหนังสือสั่งให้ปฏิบัติตามนั้น

    ก่อนท่านจะมรณภาพ ๒๐ วัน ก่อนงานกฐินครั้งสุดท้าย พ.ศ. ๒๕๓๕ ตอนเย็นๆนั้นน่ะ อาตมาจะไปช่วยดูแลท่านชั่วสักประมาณชั่วโมงหรือ ๒ ชั่วโมง ท่านกลับจากรับแขกก็มีเจ้าหน้าที่มาสั่งบางครั้ง หลวงพ่อต้องหามขึ้นกุฏิ คือหาม คือหมายความว่า ใส่เก้าอี้แล้วจัดเจ้าที่ ทหารก็ดี ตำรวจก็ดี ที่อยู่ที่วัดช่วยกันยกขึ้น

    เพราะเดินไม่ไหว แรงไม่มี ป่วยตลอด อาตมาก็ไปช่วยท่านบ้างเล็กน้อย อันที่จริงเจ้าหน้าที่ตำรวจทหารที่ช่วยนี่มีมาก มีอยู่คราวหนึ่งก็ขอเล่า อาจจะก่อนหน้าเป็นเดือน เป็นปีก็ได้ ท่านไปที่สายลม รับแขกที่สายลม วันนั้นแขกคงจะมาก อาตมาก็ไปบ้างไม่ได้ไปบ้าง คือเปลี่ยนกันไป เมื่อพระไปแล้วก็มาเล่าให้ฟังว่า จำวันที่ไม่ได้

    เพราะ เมื่อสายลมรุ่นนี้มาเล่าให้อาตมาฟัง บอกสายลมคราวนี้หลวงพ่อป่วยมาก บอกป่วยยังไง เมื่อรับแขก ตอนเช้าป่วยแล้วก็เข้าไปพักตอนบ่าย ๔ โมง เมื่อบ่าย ๔ โมงอาบน้ำอาบท่า แล้วท่านก็นอนพักร่างกายจะลงอีกประมาณ ๑ ทุ่ม เมื่อท่านนอนไปถึง ๑ ทุ่ม ท่านก็ยังไม่ตื่น มีพระใบฎีกาประทีปไปด้วย

    พอ ได้เวลาแล้วก็จับเท้าท่านเขย่าน้อยๆ ท่านก็ไม่ตื่น ตัวแข็ง ก็นึกว่าหลวงพ่ออาจจะมรณภาพไปแล้วหรือยัง ก็ไปดู ก็ว่ายัง เมื่อปลุกไม่ตื่น ก็พัก แขกเข้ามาเต็มอยู่ที่บ้านพลอากาศโทหม่อมราชวงศ์เสริม ศุขสวัสดิ์ หรือที่ชาวบ้านเขาเรียกว่า บ้านซอยสายลม แขกก็มารออยู่เต็มประมาณเป็นพัน หรือเต็มห้อง ๓ ห้อง เต็มชั้นบนชั้นล่าง

    ทำไงหมวดตระกูล ขณะนั้นเป็นนายดาบอยู่ เรียกดาบตระกูล ก็ไปบอกว่า หลวงพี่ผมเอง ก็ไปช่วยเขย่าตัวหลวงพ่อ กลับไปกลับมาก็ไม่ตื่น ดาบตระกูลบอกว่า อย่างนี้ผมไม่เอาแล้ว แล้วสักพักท่านก็ตื่น ตื่นก็รับแขกปกติ เมื่อพระเล่าให้ฟังอย่างนั้น อาตมาก็รอจังหวะดี เมื่อจังหวะดีมาที่วัด พอหลวงพ่อคุยสบายใจก็กราบเรียนหลวงพ่อ บอก

    หลวงพ่อครับ หลวงพ่อป่วยมากใช่ไหมครับ ไปสายลมคราวนั้นพระบอกว่า หลวงพ่อไม่ตื่นเลย เพลียมากใช่ไหมครับ หลวงพ่อก็ปรารภกับอาตมาว่า นิโรธลึกไปหน่อย นี่พอพูดนิโรธสมาบัตินี่ ญาติโยมผู้อ่านอย่าพึ่งตำหนิท่านไม่ได้ปรารภกับใครคุยกันภายในให้เรารู้ว่า พระที่เข้านิโรธสมบัติได้ก็มี นี่คราวหนึ่งที่ท่านปรารภให้อาตมาฟัง

    คราว หนึ่งท่านป่วย ป่วยมากเหมือนกันอยู่ที่วัด ที่จริงพระใบฎีกาประทีปนี่จะไปเฝ้าอยู่ อาตมาก็ไปเปลี่ยนบ้าง มีอยู่คืนหนึ่งที่อาตมาไปเฝ้า แล้วท่านก็ตื่นมาประมาณตี ๒ ก็เข้าห้องน้ำ อาตมาก็ประคองเข้าห้องน้ำ เสร็จกิจแล้วก็ประคองนั่งที่เตียง ท่านป่วยมากก็ปรารภบอกว่า

    วันนี้พระพุทธเจ้าให้เข้า นิโรธสมาบัติไปตั้งแต่ค่ำเลย อาตมาก็บอก หลวงพ่อท่านไม่ได้พักเลยนี่ครับ ท่านบอก ไอ้ขี้หมา เอ็งอย่าเรียกว่าพัก พักบรรเทาทุกขเวทนา อาตมาก็นึกในใจ โอ้โห ถ้าเราทำบุญคนเดียวนี่เรารวยตายเลย แต่ไม่มีเงิน พอคิดในใจอย่างนั้น ท่านบอก ไม่เป็นไร เพื่อประโยชน์ส่วนรวม ใครมาทำบุญก็จะมีบุญใหญ่

    แล้ว สักครู่หนึ่ง ท่านก็บอกว่า นันต์ จะสร้างปราสาททอง ก็ถามบอก หลวงพ่อสร้างตรงไหนครับ ก็บอกว่า สร้างตรงโรงอิฐ ก็บอกว่า ครับ ก็พูดแค่นั้นไม่ได้ซัก เพราะหลวงพ่อป่วยก็ไม่อยากซักท่าน ก็นึกในใจ โอ..ท่านคงจะสร้างเป็นแก้วไว้เยอะแล้วจะสร้างเป็นทองบ้าง ฉะนั้น เมื่อท่านพูดอย่างนี้ ท่านก็ไม่ได้พูดที่อื่นอีก เราก็จำบอกกับพระบอกว่า หลวงพ่อท่านอยากจะสร้างปราสาททอง ก็อยู่กันแค่ในใจเท่านั้น หลวงพ่อป่วยอย่างนี้ป่วยประจำเข้า หนักบ่อยเข้า
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2019
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735

    0001 (3).jpg
    หลวงพ่อปลงสังขาร

    จะเล่าอีกเรื่องหนึ่งมีอยู่วันหนึ่งท่านเล่าให้ฟังบอกว่า “เมื่อคืนนี้ได้คิด” การคิดของท่านไม่ได้บอกว่าคิดอย่างไร แต่บอกว่า “พอคิดอย่างนี้เท่านั้นแหละ เทวดาวุ่นกันทั้งดาวดึงส์เลย พอคิดอย่างนี้ท่านปู่พระอินทร์มาทันที มากันเต็มหมด” ท่านปู่พระอินทร์ก็บอกว่า “คุณ อย่าคิดอย่างนี้อีกนะ”

    “ท่านคิดอะไรครับ”

    คงคิดจะปลงสังขารนี่แหละ ตอนคืนทวารเปิดนั้นแหละ ตอนเช้าท่านก็เล่าให้เราฟังบอกว่า เมื่อคนนี้คุยกับพระ พระถามหลวงพ่อว่า “คุณตัดสินใจแล้วหรือ” พูดอย่างนี้ หมายความว่าหลวงพ่อตัดสินใจแล้ว

    หลวงพ่อบอกว่า “ผมตัดสินใจแล้วครับ” พระพุทธเจ้าบอกว่า “มณฑปองค์ปฐม คุณยังสร้างไม่เสร็จนี่” ท่านถามอย่างนี้ แสดงว่าพระพุทธเจ้าจะเอาหลวงพ่ออยู่นะ

    หลวงพ่อก็บอกว่า “ผมจะหาเงินให้พระครับ” พระพุทธเจ้าถามว่า “พระจะทำได้หรือ” หลวงพ่อบอก “ผมจะหาเงินให้พระครับ”

    ตอนเป่ายันต์เกราะเพชรครั้งสุดท้าย ตอน 6 โมงก็ขึ้นไปรับท่าน ท่านก็คุยดีทุกอย่างและคุยบอกว่าพระมหากัสสปเรียกท่านไปพบ พอไปถึงหลวงพ่อถามว่า “เรียกผมมาทำไมครับ” พระมหากัสสปบอกว่า “คุณนี่ดื้อจัง” บอกหลวงพ่อดื้อ “พระพุทธเจ้าจะเอาคุณอยู่ คุณก็จะตายท่าเดียว” หลวงพ่อบอกว่า “ถ้าร่างกายผมดี ผมไม่เกี่ยงหรอกครับ แต่นี่ร่างกายมันไม่ไหวจริงๆ” แสดงว่าหลวงพ่อท่านเตรียมตัวจะไปอยู่เสมอเลย

    ตอนที่ท่านมรณภาพอาตมาอยู่ที่สายลมกลัวคนจะมาสายลมแล้วไม่รู้ ก็มาดักอยู่เวลาประมาณ 3 โมงเย็น สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ท่านให้คนโทรศัพท์มา บอกว่าให้ทางวัดทำพิธีสะเดาะเคราะห์ โดยเอาสบงจีวรหรือผ้าที่หลวงพ่อใช้เครื่องครบชุด ให้สวดมาติกาบังสุกุลก่อน 4 โมง 4 โมงเย็นให้เผาทันที อาตมาก็โทรศัพท์ไปทางวัด ทางวัดก็จัดพิธีกัน พอ 4 โมงพระสมุห์บัญชาโทรมาบอกว่า “หลวงพี่ครับทางวัดจัดพิธีตามที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์สั่งไว้เรียบร้อยแล้วครับ” เลยบอก “ขอบใจมากนะ”

    พอ 4 โมง 10 นาที หมอที่โรงพยาบาลโทรศัพท์มาบอก จะพูดกับหลวงพี่นันต์ พอรับโทรศัพท์หมอบอกว่า “หลวงพ่อมรณภาพแล้วเวลา 4 โมง 10 นาที” เราก็เข่าอ่อนเลย ที่เคยว่องไวก็ไม่ว่องไว ค่อยๆเก็บของ ถามพระวิรัช “วิรัช ถ้าไปโรงพยาบาลเราจะร้องไห้ไหมนี่” ก็คุยกันไปในรถ

    พอไปถึงโรงพยาบาล เขาไปในห้อง CCU พอเห็นหลวงพ่อเท่านั้นแหละ ชะโงกดูหน้าท่านก็นอนอยู่ เห็นท่านยิ้มแก้มปริออกมา ไอ้เราก็ตกใจ พระวิรัชบอก “หลวงพ่อยิ้มแล้วๆ” หมอก็รีบมาดูใหญ่ พยาบาลเห็นก็บอกว่า “เมื่อกี้ยังไม่เห็นยิ้มเลยนี่ตอนนี้ยิ้มแล้ว” มาดูกันใหญ่

    พอ 6 โมงเย็นจะเคลื่อนศพ ก่อน 6 โมงสัก 10 นาทีได้ สมเด็จพระพุทธโฆษษจารย์ให้คนโทรศัพท์มา สั่งให้ไปหาด่วน พอไปหาท่าน ก็บอกกับท่านว่า “ผมไม่เคยจัดงานแบบนี้ครับ งานของพระผู้ใหญ่ ถ้าจะจัดให้ดีผมก็ไม่เป็นครับ” เจ้าประคุณสมเด็จฯก็บอก “ข้าจัดเป็นที่ไหน ข้าก็ใช้เขา นี่เรียกเจ้าคุณวัดพลับพลาชัยมาให้ช่วยแก”

    ท่านสั่งงานให้ทุกอย่าง สั่งอย่างเรียบร้อยหมด ท่านเจ้าคุณวัดพลับพลาชัยก็ไม่เคย บอกให้เตรียมของไปเลย พอไปเห็นสถานที่ศาลา 12 ไร่ โอ้โฮ ตกใจสถานที่กว้างขวางมาก ต้องใช้ผ้ามาก จ่ายเงินไป 1 แสนห้าหมื่นบาท ต้องจัดให้สมเกียรติพิธีหลวงพ่อก็ไม่เคยจัด เป็นพระยังไม่รู้เลย เขาสวดพิธีหลวงกันยังไง แต่เสร็จแล้วงานก็เรียบร้อยดีทุกอย่าง

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 60-64)


    13.jpg


















     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 กรกฎาคม 2019
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ศพหลวงพ่อ

    เรื่อง ศพของหลวงพ่อนี่ เมื่อสมัยท่านมีชีวิตอยู่ ท่านเคยบอกกับเราว่า “เมื่อข้าตายแล้วให้ดูศพข้าใน ๗ วัน ๑๕ วัน” ท่านบอกว่าท่านขอพรข้างบนไว้แล้วแต่ไม่บอกว่าใคร ทีนี้เมื่อท่านมรณภาพแล้ว เราไม่ให้ฉีดฟอร์มาลีนปล่อยให้ศพเป็นธรรมชาติอยู่อย่างนั้น แต่ศพของหลวงพ่อ ๗ วันแล้วก็ยังไม่มีกลิ่นเลย ยังไม่มีน้ำเหลืองออกจากร่างกายเหมือนคนนอนหลับธรรมดา


    เรา ก็นึกว่า เออ..หลวงพ่อคงจะกลับ เพราะว่าปกติพระอรหันต์ปฏิสัมภิทาญาณ สามารถจะเข้านิโรธสมาบัติได้ ๗ วัน หรือ ๑๕ วัน โดยไม่ต้องฉันอาหารเลย เมื่อ ๗ วันแล้วร่างกายของหลวงพ่อยังงอแขนได้ ยกได้เป็นปกติ เราก็นึกว่าหลวงพ่อคงจะกลับ พอ ๗ วันแล้วไม่กลับ แต่ร่างกายก็ยังปกติอยู่ ก็คิดว่า เอ พระอรหันต์ในสมัยพุทธกาล ยังเข้านิโรธสมาบัติได้ถึง ๑๕ วัน ก็ยังมั่นใจว่าหลวงพ่อจะกลับใน ๑๕ วันอีก เมื่อเรามั่นใจอย่างนี้แล้ว เราก็ไปดูศพท่านศพท่านก็ยังปกติอยู่ ไม่มีน้ำเหลืองออกใน ๑๕ วันนี้ ปกติทุกอย่าง

    หลัง ๑๕ วันแล้วศพของท่าน ยุบลงหน่อยมีสีขาวขึ้น บางคนก็ว่าเชื้อรา หมอที่อยู่ที่วัดบอกไม่ใช่เชื้อรา เพราะบางครั้งก็หายไป แล้วก็ปรากฏขึ้นอีก แต่เดี๋ยวนี้ถึงแม้ศพหลวงพ่อยุบลง แต่ยังมีกล้ามเนื้ออยู่ แต่มีท่อนแขนเท่านั้นที่แข็งขึ้น แต่คนก็ยังลุ้นว่าหลวงพ่อจะกลับ แต่ท่านคงไม่กลับแล้วละ

    แต่ มีส่วนที่ว่า จะเป็นมงคลกับเรา คือมีคนไปทำความสะอาดใบหน้า คือโกนแล้วเอาเซลผิวหนังเอาไปแจกกัน เดี๋ยวนี้ขาวเป็นแก้วแล้ว เขาเอาไปให้กันทางสุพรรณฯ

    เมื่อท่านมีชีวิตอยู่ ท่านบอกว่า พระมหากัสสปที่อยู่เชียงตุง จะมาช่วยดูแลเกี่ยวกับศพท่าน ท่านบอกว่าถ้าใครไปกราบศพท่านจะเป็นมงคล เหมือนกับที่ท่านมีชีวิตอยู่ เพราะพระมหากัสสปจะมาช่วยเกี่ยวกับศพท่าน
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 23 กรกฎาคม 2019
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงพ่อไปแล้วทำให้เราไปนิพพานง่าย


    อันที่จริงหลวงพ่อไปนิพพานแล้ว เอาพูดเข้าข้างตัวเรานะ ก็จะทำให้พวกเราไปนิพพานง่ายเข้า มันเหมือนกับคนที่รักไปรออยู่ข้างหน้าเรา เมื่อเราจะตาย ถ้านึกถึงท่านนิดเดียวเท่านั้นเอง ท่านจะมาปรากฏให้เราเห็นตรงหน้า มันเหมือนคนที่รักกันมากแล้วจากกันไปนาน เมื่อเห็นภาพแจ่มชัดมันจะเกาะทันที หลวงพ่อท่านสอนวิปัสสนาญาณให้เราเต็มที่แล้วนี่ จิตจะจับท่านไม่ปล่อยเลย

    เหมือนครั้งหนึ่งท่านเล่าถึงจ่าพัว จ่าพัวคนนี้เคยพิมพ์หนังสือมหาสติปัฏฐานสูตรถวายหลวงพ่อสมัยก่อน ตอนหลังป่วยมากก็ไม่นึกว่าตัวเองจะไปไหนได้หรอกก็ภาวนา พระพุทธเจ้าก็เสด็จมาพอดี จ่าพัวก็ไปกอดที่เท้า ตรัสว่า “พัวไปนิพพานกับพ่อไหมลูก” “ไปครับ แต่ผมกลัวไปไม่ได้”

    ท่านก็ชี้มาดูข้างล่างให้จ่าพัวดูร่างกาย “เป็นทุกข์ไหม” “ทุกข์ครับ” “ร่างกายไม่ดีอย่างนี้ยังรักอยู่เหรอ” “ไม่รักครับ” “งั้นก็ไปนิพพานกับพ่อ” เท่านี้เอง จ่าพัวไปหลังจากตายแล้วหลวงพ่อก็คุยกับจ่าพัว ถามว่าไปยังไง บอกว่าพระพุทธเจ้าเสด็จมาก็เกาะที่เท้าท่านแน่นเลย

    อย่างพวกเราหายใจเป็นหลวงพ่อ พอจากกันไปนานๆเช่นนี้ พอเจอครั้งเดียวเท่านั้นก็เกาะแน่น ถึงว่าจะไปนิพพานง่ายนะ นี่เป็นความเห็นส่วนตัวนะ เพราะมีตัวอย่างเช่นจ่าพัว ถ้าได้มโนมยิทธิยิ่งดีใหญ่

    ถ้าจิตขึ้นไปปุ๊บอยู่ใกล้พระพุทธเจ้าแล้วมองมาข้างล่างก็จะพิจารณาเห็นว่าร่างกายไม่ใช่ของเรา มันจะเห็นเป็นตัวสองตัว ตัวที่นั่งอยู่ข้างบนอยู่กับพระพุทธเจ้าผ่องใส ตัวข้างล่างเป็นยังไงก็พิจารณาดู ต้องอาบน้ำเพราะสกปรกใช่ไหม ไม่อยากแก่มันก็แก่ใช่ไหม ไม่อยากตายมันก็ตายใช่ไหม ฉะนั้นได้มโนมยิทธิมันเห็นง่าย

    อันที่จริงพูดง่ายนะแต่เวลาวาง วางยากเหมือนกัน แต่ที่จริงท่านก็สอนให้ยอมรับความเป็นจริงเท่านั้นนะ

    พอ ปี 2535 ก่อนเดือนตุลาคม ท่านก็เริ่มป่วย ป่วยของท่านนี่ป่วยทุกวัน วันไหนที่ท่านร่างกายดี ไม่มีจริงๆ จะขอลัดลงมาเลยว่าท่านป่วยครั้งสุดท้ายนี่ ปรกติป่วยนี่จะเกี่ยวกับเรื่องท้องส่วนใหญ่ ก่อนจะป่วยท่านจะบอกกับเราว่า เห็นสีแดงแจ๊ด ช่วงเข่านี่จะปวดเข่า ช่วงท้องก็จะเป็นเรื่องท้อง ถ้าช่วงตรงไหนก็จะเป็นตรงนั้น สีแดงนี่ไม่ใช่โทษ เขามาทำเป็นสัญลักษณ์ว่าจะป่วยช่วงไหน

    แต่ก่อนมรณภาพนี่ ท่านบอกว่าป้ายสีแดงแช้ดทั้วตัวเลย แต่เป็นมันป้ายเป็นมันพิเศษ เราก็นึกในใจว่าหลวงพ่อป่วยขอให้หาย หลวงพ่อป่วยเดี๋ยวก็หาย แต่เอาจริงท่านป่วยมากจนไม่มีแรง ล้างท้อง 2 วัน ก็ไม่มีแรงให้น้ำเกลือไม่ได้ เพราะน้ำในร่างกายมีน้อยมาก พอให้น้ำเกลือไม่ได้นี่ก็ไม่มีแรง เมื่อไม่มีแรงมาก ก็ต้องเข้าประคับประคองกัน ประคับประคองมากๆ

    มีอยู่คืนหนึ่งใกล้จะมรณภาพ ท่านก็บอกกับทหารว่า โอ..ทวารเปิดหมดแล้วลูก จะอยู่ยังไง ทหารก็โทรศัพท์มาเรียก ก็ไปหาก็ไปดูใจกัน ไปช่วยดูใจหลวงพ่อ พอไปถึงหลวงพ่อนอนเงียบหมดแล้ว เงียบ เรานึกว่าหลวงพ่อมรณภาพแล้ว แต่เห็นนอนตะแคงอยู่ก็ยังอุ่นใจว่ายังไม่เป็นไรพอหลวงพ่อพลิกตัว เราก็เปิดไฟสว่างหมดเลย

    คือ
    ปรึกษากับพยาบาลว่าให้มาให้น้ำเกลือ เมื่อหลวงพ่อลืมตาขึ้นมาก็ขออนุญาตท่านให้น้ำเกลือ หลวงพ่อเพลีย พยาบาลก็แทงไป 7 เข็มถึงจะได้ พอให้น้ำเกลือได้สัก 2-300 ซีซีก็แจ้งพอดี

    แจ้งท่านก็ให้ถอดเข็มออก บอกว่า นันต์ เมื่อคืนนี้คุยกับพระ พระท่านถามว่า คุณตัดสินใจแล้วหรือ ฉันก็บอกว่าตัดสินใจแล้วครับ พระถามว่าคุณ วิหารสมเด็จองค์ปฐมคุณยังสร้างไม่เสร็จนี่ หลวงพ่อก็บอกว่า ผมจะหาเงินให้พระครับ พระท่านก็บอกว่าพวกนี้จะทำได้รึ หมายถึงพวกอาตมา หลวงพ่อก็บอก ผมจะหาเงินให้พระครับ


    ตั้งแต่นั้นมาท่านก็อาการหนักขึ้นมาตลอด เมื่ออาการหนักขึ้น ท่านก็ไปพักที่ตึกอินทราพงศ์ ก็จะขออนุญาตให้พระเข้าไปกราบท่านดูแลท่าน เมื่อเวลา 4 โมงเช้าอาตมาเข้าไป ท่านก็ทักว่านันต์เหรอ พูดตาไม่ค่อยลืม ตาลอย ปลัดวิรัชเหรอ ก็คุย ยิ้ม พูดอ้อแอ้ อ้อแอ้ แล้วก็ไม่ให้พระไปเยี่ยม เราก็บอกให้พระไปฉันเพลได้ เดี๋ยวบ่ายโมงค่อยไปเยี่ยมท่านที่ตึกรับแขก

    แต่ก่อนจะไปนั้นก็บอกว่าบ่ายบอกให้ปลุก แต่เราไม่ปลุก ปล่อยให้ท่านนอนจำวัดไป ตัวเขียวหมด ผู้อำนวยการโรงพยาบาลอุทัยธานีมา เอาหมอโรคหัวใจมาดูก็บอกว่าไม่ไหวแล้วอย่างนี้ต้องเข้าโรงพยาบาล แต่เมื่อท่านลืมตามา เมื่อประมาณบ่าย 2 โมง ท่านก็ไม่ยอมไป ไม่ยอมเข้าโรงพยาบาล ก็หามท่านไปรับแขก เพราะว่าท่านจะไป

    เราก็เอาเก้าอี้โซฟา เอาทหารหามไปรับแขก คนเห็นอาการของท่านก็ร้องไห้ ทุกคนก็เสียใจสลดใจ เมื่อพระไปกราบท่าน ท่านก็บอกให้พระไปทำงานตาม หน้าที่ไม่ต้องห่วง ร่างกายเป็นแบบนี้ ร่างกายเกิดมาแล้วต้องป่วย ร่างกายเป็นอนิจจังไม่เที่ยง ขอให้ทุกคนไปทำงานได้ เมื่อพระไปทำงานแล้ว อาตมาอยู่เฝ้ากันอยู่ เมื่อเลิกเวลารับแขก ก็หามไปเอ็กซ์เรย์ที่โรงพยาบาลที่วัด เมื่อไปโรงพยาบาลที่วัดแล้ว ก็หามกลับไปที่กุฏิ ตอนเย็นๆก็มีหมอมาให้น้ำเกลือ 3-4 คน

    อันที่จริงหลวงพ่อท่านไม่อยากเข้าโรงพยาบาล แต่จะไปรับแขกที่สายลม เพราะคนเขาจะไม่รู้กัน เป็นห่วงคนแก่ที่สายลมจะมาทำบุญไม่ได้ ปรารภที่จะไปสายลม แต่คืนนั้นอาการก็โคม่ามาก จึงเอาท่านส่งโรงพยาบาลศิริราช ข้างล่างที่ชุลมุนวุ่นวาย อาการของท่านก็หนักมาก พอจะเอาขึ้นรถ หมาก็หอนใหญ่ เต็มวัดหมด หอนเสียงก้องไปหมด พอเข้าไปถึงโรงพยาบาลระหว่างคืนนั้น ไปถึงโรงพยาบาลศิริราชก็ประมาณตี 5 แล้ว หลังจากนั้นอยู่อีก 2-3 วันที่ห้องCCU ท่านก็มรณภาพเมื่อวันที่ 30 ตุลาคม พ.ศ. 2535 เวลา 4 โมงเย็น 10 นาที

    ท่านทั้งหลายที่สนใจปฏิบัติความดีนั้น ครูบาอาจารย์หรือหลวงพ่อพระราชพรหมยานนั้นได้ทำคำสอนไว้ครบถ้วนทุกอย่าง ถ้าท่านต้องการทำความดีก็มาหาได้ที่วัดท่าซุงหรือวัดจันทาราม จังหวัดอุทัยธานี มีตำรับตำราให้ท่านทุกอย่างให้ท่านครบทุกจริต ทุกนิสัย ทุกความต้องการ ดังที่สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ รับรองว่า หนังสือของท่านเจ้าคุณถือเป็นตำราแบบแผนได้ทุกประการ

    หลวงพ่อพระราชภาวนาโกศล(อนันต์ พทฺธญาโณ)

    (จากหนังสือประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน หน้า 72-74)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 กรกฎาคม 2019
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    0.000.jpg


    มาอยู่กับหลวงพ่อ


    อาตมาเองบวชเมื่อพ.ศ. 2516 ได้มาอยู่ร่วมกับท่านประมาณเดือนตุลาคม พ.ศ. 2516 อาตมาเองนั้นไม่ใช่ผู้ถึงผู้นับถือศาสนามากนัก เป็นผู้ที่ชาวบ้านเรียกว่า มิจฉาทิฐิ เต็มอัตรา แต่ความที่เป็นมิจฉาทิฐินั้น คือ เป็นผู้ที่เห็นผิด เห็นผิดเพราะเราเคยเจอแต่พระที่ไม่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ เราเป็นผู้โง่เขลาบาปัญญา ก็เห็นพระในพุทธศาสนาที่ห่มผ้าเหลือง ที่บิณฑบาตชาวบ้านกินนั้น เป็นพวกเลวทั้งหมด


    นี่เป็นความผิดอย่างมหันต์ ที่ท่านทั้งหลายที่อยู่เบื้องหลังไม่ควรนำมาเป็นตัวอย่าง เพราะว่าพระในพุทธศาสนานั้นที่ห่มผ้าเหลือง ชาวบ้านเรียกว่า พระผู้ประเสริฐ แต่พระพุทธเจ้ารับเองนั้น คือพระอริยเจ้าตั้งแต่พระโสดาบันขึ้นไป ถ้าพระอย่างเราที่ห่มผ้าเหลืองนั้น ท่านเรียกว่า สมมติสงฆ์ คือ เอาผ้าเหลืองมาหุ้มห่อกาย ทำตัวแบบพระ เป็นผู้ซึ่งกำลังจะปฏิบัติตัวให้เป็นพระ ถ้าจะปฏิบัติตัวให้เป็นพระก็ยังพอไหว้ พอกราบกันได้ อย่างพระผู้ที่หวังว่า จะให้กิเลสหมดไปเสียจากใจ


    แต่ส่วนหนึ่งที่อาตมาได้พบนั้น ก็จะเป็นพวกที่พอกพูนสะสมโลภโมโทสันเยี่ยงฆราวาสเขาทำ เมื่อเรามาพบเช่นนั้น ก็หมดความนับถือพระในพุทธศาสนาทั้งหมด เพราะเราเป็นผู้เลวเอง เป็นผู้ขาดปัญญาเอง เป็นผู้มีอกุศลกรรมสิงใจเอง จึงทำให้เราไม่พบพระที่ประเสริฐ ไม่พบพระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบ ก็พาให้เราฝังใจ ไม่เคารพ ไม่เชื่อฟัง ไม่ปฏิบัติตามเรื่อยมา


    จนครั้นเมื่อมาบวชด้วยมีศรัทธานิดเดียว แต่ก็ยังดีเมื่อบวชแล้วด้วยความที่เราเป็นมิจฉาทิฐินั้น ก็ค้นคว้าหาสิ่งที่เป็นสัมมาทิฐิ คือ มาพบพระรูปหนึ่งท่านแนะนำพระซึ่งท่านได้แนะนำว่า พระที่ปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบนั้นมีอยู่ ผู้ที่แนะนำนั้น จะขอกล่าวนามท่าน ก็คือ พระครูสุรินทร์ หรือที่ท่านเรียกกันว่าพระครูวิจารณ์วิหารกิจ อยู่วัดสุขุมาราม อำเภอบางมูลนาก จังหวัดพิจิตร


    ท่าน เป็นพระที่เคารพ หลวงปู่ปาน เป็นชีวิตจิตใจ เป็นผู้ที่เคารพ หลวงพ่อราชพรหมยาน เป็นชีวิตจิตใจ อาตมาบวชประมาณ 1 เดือน หรือ 2 เดือน ท่านก็มาคุยว่า พระที่ปฏิบัติดีอย่างนี้มีอยู่ แต่ท่านก็ไม่ได้คุยมาก เป็นผู้แนะนำว่า ให้อ่านหนังสือเล่มนี้ดูซิ คือ ประวัติหลวงพ่อปาน วัดบางนมโค


    เมื่ออ่านแล้วนี้ ก็มีความซาบซึ้ง จิตที่เคยเห็นผิดนั้น ก็มีความสนใจขึ้น คิดว่าพระในพระพุทธศาสนานี้ ที่ดีมีอยู่ เรายังไม่ได้พบท่านเอง เรามีกรรมหนาเอง ท่านเป็นผู้จุดแสงสว่างให้เราได้พบ เมื่ออ่านประวัติหลวงพ่อปานแล้ว ก็มีความเร่าร้อนจิต อยากจะพบหลวงพ่อ


    ขณะนั้นชาวบ้านเขาเรียกว่า หลวงพ่อมหาวีระ ถาวโร ก็ อยากจะพบหลวงพ่อมหาวีระ เมื่ออ่านหนังสือมากขึ้น ก็มีความเคารพรักท่านมากขึ้น ก็อยากจะมาพบ เมื่อออกพรรษาแล้ว อาตมาอยู่ที่วัดปากคลองบางปลากด อำเภอชุมแสง จังหวัดนครสรรค์ เมื่อออกพรรษแล้วก็มาพบขออยู่กับท่าน อันที่จริงๆมาก่อนออกพรรษแล้วไม่ทราบว่าวันที่เท่าไหร่ (ไม่นึกเลยว่าจะมาพูดเล่าประวัติตัวเอง ไม่นึกจะมาพูดเรื่องการทำหนังสืออย่างนี้)


    แต่เมื่อมาแล้วมาพบท่านแล้ว วันนั้นมาถึงประมาณ 4 โมงเช้า เห็นพระที่ออกพรรษาแล้ว ก็เตรียมตัวจะสึกกัน ที่จะอยู่ต่อพรรษาต่อไปก็เหลือน้อย เมื่อถึง 5 โมงแล้ว ท่านฉันอาหารเพล ก็รอพบท่าน ท่านฉันอาหารเพลแล้วก็เข้าไปกราบท่าน ท่านก็ทักขึ้นมาว่า “ไอ้คนที่บวชเป็นพระน่ะ ไอ้บวชเพื่อที่จะมีเมียนี่ ข้าไม่อยากคบเลย” ท่านพูดเปรยๆ มาเฉยๆ แต่แทงใจดำพอดี


    แล้วท่านก็ถาม “คุณ ระงับนิวรณ์ 5 ได้หรือยัง” ไอ้เราเองขณะนั้นยังไม่ทราบเลยว่า นิวรณ์ 5 เป็นยังไง เพราะไม่ได้สนใจ แล้วก็ไม่ทราบว่านิวรณ์เป็นยังไงด้วยซ้ำ ตอบท่านว่า “ยังครับ” พระครูสุรินทร์ ก็แนะนำว่า “พระท่านสนใจปฏิบัติพระกรรมฐาน อยากจะมาอยู่กับหลวงพ่อด้วย”


    ท่านก็บอกว่า “ถ้าอยู่กับฉัน ต้องเอาจริงนะ อย่าสนใจเสียงนกเสียงกา เสียงเห่าเสียงหอนของหมา ให้ตั้งใจปฏิบัติ” เมื่อท่านพูดแบบนั้นแล้ว ท่านก็คุยเรื่องอื่นต่อ แต่เราดูท่านแล้วนี่เป็นผู้ที่น่าเกรงขาม ไม่เหมือนกับพระทั่วไปที่เคยสัมผัสมา ท่านก็บอกให้เราไปหาที่พักให้เรียบร้อย ตกเย็นๆก็จะมีการทำวัตร สวดมนต์ นั่งกรรมฐานกันเป็นปกติ


    ขณะนั้นมันก็ใกล้จะหนาวๆ แล้วนี่ ถึงเย็นๆ ก็ต้องไปนั่งฝึกกรรมฐานกันที่ตึก ที่เราเรียกว่า ตึกขาว ที่เขาป้ายข้างตึกที่เขาเขียนว่า ตึกอะไรหล่ะ เรียกว่า ตึกสุขุมวัฒนี นวพันธ์นี่ ซึ่งตึกนี้เป็นตึกเจริญพระกรรมฐานของวัดรุ่น พ.ศ. 2516 เมื่อตอนเย็นขึ้นไปนั่งพระกรรมฐานแล้ว จิตของเราไม่เคยฝึกมันก็ดิ้นรน ฟุ้งซ่าน ไปตามอารมณ์ของกิเลสทุกอย่างที่มีอยู่ในตัว


    ท่านก็สอนว่า ต้องตัดความกังวลห่วงใยทั้งหมดที่มีอยู่ อย่าตามคิดถึง อย่าสนใจจริยาของผู้อื่น ให้สนใจจริยาของเรา เมื่อท่านเทศน์จบท่านก็ให้แผ่พรหมวิหาร 4 ไปในทิศทั้งปวง ท่านก็บอกว่า ไม่ใช่เขียนหนังสือแต่ว่า เมตตา กรุณา มุทิตา อุเบกขา ต้องทำจิตใจให้รักคนอื่นเหมือนรักตัวเรา มีความเมตตาสงสารคนอื่นเหมือนสงสารตัวเรา ให้มีศีลบริสุทธิ์ผุดผ่อง


    เมื่อท่านสอนเสร็จ ก็ให้นั่งกรรมฐาน จิตของเราก็ฟุ้งซ่าน เต็มอัตราศึกสุดที่จะฟุ้งซ่านได้ เมื่อนั่งกรรมฐานเสร็จ ก็อุทิศส่วนกุศลก่อนที่จะอุทิศส่วนกุศล ท่านก็บอกว่า พระใหม่เอ๊ย พระใหม่ที่มาใหม่ ก็คือ เรา ตอนนั้นมีพระนั่งกรรมฐานซัก 7-8 องค์ได้ บอก


    "..พระใหม่เอ๊ย พระมาบอกว่า ให้เดินเข้ามหาสติปัฏฐานสูตรนะ มีหนังสือไหม มีหนังสือไหม มีหนังสือมหาสติปัฏฐานสูตรไหม


    บอกไม่มีครับ มหาสติปัฏฐานสูตร เราเองนะไม่เคยอยู่ในหัวในสมองเลย เพราะไม่เคยรู้จัก ไอ้ความที่เราไม่เคยสนใจมาก่อน จึงไม่รู้จักหนังสือธรรมะทุกอย่าง ท่านบอกว่า ไม่มีให้ไปขอครูนนทาเขา ให้ครูนนทาเขาหยิบให้ เมื่อหยิบมาเมื่อสั่งแล้วท่านก็เลิกกรรมฐาน


    เราก็มาเอาหนังสือที่ ครูนนทาให้มา ก็มาอ่าน อ่านแล้วก็รู้สึกว่าหนังสือเล่มนี้ไม่มีฤทธิ์ ไม่มีเดชเลย เป็นหนังสือสุขวิปัสสโก หาฤทธิ์หาเดชไม่ได้ ไม่ชอบใจในจิต เพราะเราอยากได้ฤทธิ์และเดช อยากมีตาทิพย์หูทิพย์ จะได้ไปคุยโม้อวดชาวบ้านเขาได้ว่า เราก็เก่งเหมือนกันสามารถมีหูทิพย์ตาทิพย์ได้ นี่มันเป็นกิเลสเต็มขั้น ท่านสาธุชนหรือผู้อ่านอย่าเอาเป็นเยี่ยงอย่าง เรื่องความอยากห้ามกันไม่ได้ แต่อย่าผิดธรรมนองคลองธรรมอย่างอาตมานะ ข้อควรอย่าเข้าไปใกล้ มันทางแห่งการลงอบายภูมิทั้งนั้น


    เมื่ออยู่กับท่าน ตั้งแต่บัดนั้นมาก็นั่งกรรมฐานกันเกือบทุกวัน งานการทางวัดมีอยู่ก็ทำ ทำเป็นกิจวัตร คือ ทำวัตร ฉันเช้า แล้วก็ลงมือทำงาน มีการก่อสร้าง ขณะที่มาตอนนั้นกำลังขัดหิน ขัดอยู่ที่พื้นที่วงศานุสรณ์นั้น ไปช่วยเขากวาดน้ำ ขัดพื้น เป็นงานที่ทำร่วมกัน ทั้งพระภิกษุและฆราวาส


    (จากหนังสือ "ประวัติหลวงพ่อพระราชพรหมยาน" หน้า 33-35)



    323355_3144771621062_1318149757_3083114_1674388007_o.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 มีนาคม 2018
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]
     
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    IMG_20180211_074935.jpg

    เรื่องพระสึกเพราะกลัวเมียมีผัวใหม่

    (เรื่องนี้โยมเหลี่ยมเล่าให้ฟังว่ามีพระองค์หนึ่งบวชมาสิบพรรษาแล้ว ตอนหลังนี่คิดจะสึก ก็บอกว่าหลวงพ่อมาถามตรงจุดเลยว่าจะสึกเพราะว่ากลัวเมียจะมีผัวใหม่หรือไงเล่า พอพูดถึงเรื่องนี้แล้วพระครูปลัดอนันต์ก็เลยมีเรื่องถึงหลวงตาองค์หนึ่งจะเล่าให้ฟังดังต่อไปนี้)

    หลวงตา แม่เขาจะขายควายแล้วนะ

    " ขายไปเหอะกูไม่ห่วงแล้ว ขายไปเลย "

    พอบอกหลวงตา แม่เขาจะมีผัวใหม่แล้วนะ

    " ใครว่ากูไม่สึกวะ " (หัวเราะ) อีตรงนี้คงจะจริงนะ

    " แหม..สำคัญนะไอ้ความผูกพันในเรื่องนี้นะ (หัวเราะ) แหม..โชคดีที่เจ้าอาวาสไม่มีพันธะเรื่องนี้นะ เยี่ยมเลย...ไม่ต้องกลัวขายวัวขายควายนะ "

    คือบวชตั้งแต่วันแรกเลย ไม่ใช่ว่าเราดียังงั้นนะคือคิดตั้งแต่วันแรกเลย คิดว่า

    " คิดว่ายังไงครับ "

    คิดว่า เอ๊ะ..เราจะไปก่อเหตุไอ้เรื่องปัญหาวันข้างหน้านี่ ไอ้เราเป็นตัวก่อเหตุคนเดียวนี่ ถ้าเราไม่ตบมือมันก็ไม่ดัง ปัญหาก็ไม่เกิด ก็นึกว่าเออ...กูจะไปสร้างทำไมวะไปสร้างทุกข์ทำไม มันคิดเองไม่มีธรรมะธัมโม อะไรหรอกนะ คิดเองคิดตั้งแต่วันแรกเลย

    " วันที่จะบวชหรือไงครับ "

    วันที่บวชวันแรกก็คิดคือเจอประวัติหลวงปู่ปานนี่เล่มหนึ่ง พอเจอประวัติหลวงปู่ปานก็อ่าน อู๊ย...วางไม่ลง แหม..เปิดปุ๊บอ่านพอสบายใจก็ปิด

    โยมเหลี่ยมเป็นยังไงบ้างเดี๊ยวนี้ปฏิบัติธรรม คุยเรื่องปฏิบัติธรรมดีกว่า คุยกันถึงเรื่องปฏิบัติธรรม อะไรๆ ก็คิดเป็นธรรมะได้ มีอยู่คราวหนึ่งออกจากกุฏิกำลังจะไปฉันเพล มีกะละมัง เขาเรียกกะละมังอาหารหมา จะเอาน้ำให้หมากิน พอจะออกไปข้างนอก เราก็รินน้ำให้หมา ก็ปล่อยน้ำแรง มันก็ซ่าออกไปนอกกะละมังมั่งอะไรมั่ง เราก็มอง เอ๊ะ...เมื่อไรมันจะเต็มว๊ะนี่ เพราะเราจะรีบไปก็เอ๊ะ ปล่อยซ่ามันก็กระเซ็นออกไปนอกกะละมังมั่ง ลงกะมังมั่งอะไรมั่ง ก็คิดเออ...การปฏิบัติธรรมของคนนี่กว่าจะบรรลุมรรคผล กว่าจะสำเร็จเป็นพระอรหันต์ได้นี่ มันก็ต้องมีออกนอกลู่นอกทางไปบ้าง แต่น้ำนี่ส่วนมากมันจะอยู่ในกะละมัง บางส่วนจะกระเซ็นออกไปนอกกะละมังบ้าง

    " ไอ้ที่เหลืออยู่มันจะมากกว่า "

    ใช่ ถ้าเราทำใจอดทนได้เดี๊ยวมันก็เต็มเอง ถ้าเราอดทนได้น้ำมันก็เต็มฉันใด นึกถึงการปฏิบัติธรรมของคนเรานี่อาจจะเขวไปบ้างแชไปบ้างอะไรบ้าง แต่ส่วนมากจะเกาะหลักไว้ มันก็สามารถจะทำกำลังใจเต็มได้ฉันนั้นเหมือนกัน

    " ไอ้คิดอย่างนี้มันก็ดีอย่าง เป็นกำลังใจของคนที่ปฏิบัติทุกวันนี้ มันมีขาดๆเกินๆเสียหายๆ หกตกหล่น "

    แต่ทีนี้ถ้าเราไม่แชเลย มุ่งอยู่จุดเดียวเหมือนปล่อยน้ำให้มันเต็มไม่มีกระเซ็นเลย ประเดี๊ยวมันก็จะเต็มไว

    " แหมนี่เวลานี้นี่เรียกว่าทรงธัมมานุสสติกรรมฐานแล้วนะ " (หัวเราะ)

    อันที่จริงธรรมะทุกอย่างนี่หลวงพ่อท่านเฉลยไว้หมดแล้วนะ คำตอบทุกอย่างนี่มันอยู่ที่เรากระทำเท่านั้นเอง ทั้งโจทย์ทั้งวิธีทำ บอกหมดทั้งคำตอบนี่ เรียนคณิตศาสตร์นี่เขาไม่ได้บอกคำตอบเราก่อนหรอกนะ เขาตั้งโจทย์มาเราก็ทำไปเลย คำตอบอะไรก็ไม่รู้ ทีนี้หลวงพ่อตั้งโจทย์วิธีทำคำตอบไว้ให้เสร็จเลย มีเสร็จทุกอย่างนี่อยู่ที่เราทำตามที่ท่านบอกเท่านั้นเอง ใช่ไหม

    สังเกตุดูสิท่านตั้งโจทย์แนะวิธีทำคำตอบให้เสร็จแล้ว อยู่ที่เรานี่กระทำตามที่ท่านว่าเท่านั้นเอง

    " วันนี้มาเล่าหลายคน บอกว่ามันมีปัญหาทางใจ ไปถามก็ไม่ถูกใจ ก็พอดีไปเปิดตอบปัญหา เดี๊ยวนี้ออกถึงเล่ม 9 นะ เปิดโดยไม่ได้ตั้งใจนะว่าจะหน้าไหน เปิดแพล๊บ..ตรงกับไอ้ที่ตัวเองกำลังข้องใจอยู่พอดีเลย คำตอบก็มีอยู่ในนั้นเสร็จเลย "

    หนังสือของท่านของหลวงพ่อนี่ เขียนด้วยสติและปัญญาสมบูรณ์ คือไม่มีคำที่โมเม ไม่พูดโมเม เพราะสติและปัญญานี่มันอยู่ในสมองสมบูรณ์อยู่ตลอดยี่สิบสี่ชั่วโมง อย่างเรานี่มีสมาธิดีก็พูดธรรมะเข้าใจดี ถ้าฟุ้งซ่านก็พูดกันไม่รู้เรื่อง ไม่เข้าใจ ของท่านนี่ทรงอยู่ตลอด 24 ชั่วโมง และพระพุทธเจ้าท่านก็คุม อย่างจะมาสายลมนี่พระพุทธเจ้าคุมสามองค์สี่องค์ แต่องค์ไหนจะเป็นหัวหน้าเท่านั้นเองสติก็สมบูรณ์อยู่แล้วพระพุทธเจ้าก็คุมอีกชั้นหนึ่ง ทีนี้การเป็นหนังสือท่านก็ดี เป็นคำถามคำตอบท่านก็ดี อาจจะมีตลกบ้างอะไรบ้าง เพื่อให้เข้าใจง่ายขึ้น เป็นธรรมะบันเทิงแต่ว่าเป็นธรรมะที่ถูกต้องที่สุด ที่ว่าหายากนะ

    " หาไม่ได้แล้ว หาไม่ได้ "

    เราไปฟังที่อื่นทำไมถึงจืด บางทีอ้อมทุ่งผักบุ้งโหรงเหรง ไม่รู้ว่าเอาตรงไหนวะ ไอ้สรุปบางทีเราต้องมาสรุปเองจะเอาตรงไหนอะไรอย่างนี้ หลวงพ่อนี่ท่านตั้งต้น เนื้อน้ำสรุปให้เอง ไปฟังคนอื่นเออกูจะสรุปตรงไหนวะ จะเอาตรงไหนวะ (หัวเราะ) เราต้องมาสรุปเองแทนพระ

    " อันนี้หลวงพ่อเคยบอกว่า เคยเตรียมตัวมาจะพูดเรื่องนั้นเรื่องนี้ พอเวลานั่งพูดจริงของเราไม่มีเลย นั้นก็แสดงว่าหลวงพ่อก็ไม่ได้พูดน่ะสิ "

    ท่านจะบอกว่าวันนี้พระองค์นั้นมา พระองค์นี้มา สมัยก่อนท่านจะเทศน์สอนกรรมฐานนะ เทศน์ด้วยตัวของท่านนะ เทศน์ปุ๊บก็อัดเลย เทศน์เสร็จก็มาเปิดฟังพูดอะไรบ้างก็มาทวนวันนี้เทศน์อะไรบ้าง

    มีอยู่เล่มที่ด๊อกเตอร์พิมพ์ เล่มไหนก็ไม่รู้คือสอนกลางวันสอนมหาสติปัฏฐานกับกรรมฐาน 40 กลางวัน ไปถึงก็สอนกันเลยไม่ได้เตรียม ไปถึงก็นั่งกันอย่างนี้ เราก็ไม่มีเทปไปอัดนอกสถานที่ ท่านบอก..นันต์ข้าไม่ได้เตรียมตัวเลยเป็นเรื่องของพระพุทธเจ้าท่าน สักประเดี๋ยวก็ให้ช่างมาติดลำโพงลงทุกห้อง บอกเราจะเปิดเสียงตามสายออกไปนี่แกผ่านหูบ้าง ฟังหูซ้ายทะลุหูขวาบ้าง ต่อไปนี่จะเป็นตำราพวกแกอยู่ต่อไปจะได้ไม่ทะเลาะกับคนอื่นเขา เขาสอนอย่างนั้นมาแกจะได้รู้ว่าเขาสอนกรรมฐานกองไหน ไม่ใช่ว่าของเราพุทโธ ใครสัมมาอรหังผิดหมด ใครนะมะพะธะผิดหมด ไม่ใช่อย่างนั้น การภาวนาเป็นการโยงจิตเท่านั้น การโยงจิตให้สงบเป็นอุบายในการโยงจิตให้สงบ ไม่ใช่ว่าเก่งอวดดีกันแค่องค์ภาวนา

    ท่านก็สอนกรรมฐาน 40 มาครบ มหาสติปัฏฐานอีก สอนกลางวันนี่หลวงพ่อสอน คิดดูบ่าย่โมงนี่ถ้าสอนไม่ดีจริงนี่ตาปรือตาลอย กลัวท่านบ้างก็ตาแป๋วแต่หลับในไปแล้ว ฉันเพลใหม่ๆ นี่กำลังดีแล้ว แต่ท่านก็สอนดีนะ สอนอสุภกรรมฐาน ก็..ถาม " อาจารย์วันนี้กินข้าวกับอะไร" ปลาครับ " อ้าว..แกกินศพไปนี่หว่า " ไม่ใช่ครับ ปลาครับ (หัวเราะ) " ก็ศพปลาไงเล่า " ท่านก็หยอกไปเรื่อย เวลาใครนั่งง่วงท่านก็หยอกซักที ตาก็สว่างขึ้นมา แต่ห้ามจดนะท่านไม่ให้จด จะมาจดนี่ไม่ได้ ต้องฟังก่อนเทปอัดไว้ แล้วให้มันได้เดี๋ยวนั้นสักรอบหนึ่งก่อน ท่านก็อุตส่าห์สอนกลางวันมาซักร่วมพรรษาหนึ่งมั้ง ตอนนั้นนะ

    " สอนเสาร์-อาทิตย์ เพราะว่าญาติโยมจากรุงเทพฯ ขึ้นไปฟังด้วย "

    " ในระยะต้นๆ นี่่ค่อนข้างเข้มหรือว่า "

    โอ้โฮ คนไปฟังนี่เอ๊ หลวงพ่อทำไมอยู่วัดถึงดุจังเลย ถ้ามาสายลมกรรมฐานสายลมง่ายจัง อู้หูที่วัดทำไมถึงยากจังเลยที่วััดนี่ (หัวเราะ) ที่วัดนี่อะไรก็ผิดไปหมด ไปนั่งกรรมฐานที่สายลมดีกว่าสบายใจจังเลย (หัวเราะ) เขามาพูดให้ฟังใช่ไหม ทำนิดก็เป็นบุญ ทำหน่อยก็เป็นบุญ เป็นบุญทั้งนั้น พอมาวัดนี่ ทำผิดนิดก็เป็นบาป ทำผิดหน่อยก็เป็นบาป ก้าวขาไม่ออกอะไรอย่างนี้ ตรงกันข้ามเลย

    เขายังมาลือบอก สายลมกรรมฐานง่าย สบายไม่ลำบากเหมือนที่วัดเลย ที่่่วัดนี่เดินมาเห็นแกว่งแขนก็ "แค่เห็นได้ยินชื่อก็รู้แล้วมันจะดีหรือมันจะเลว พอเห็นท่ามันเดินก็รู้แล้ว ยิ่งรู้มากเข้าไปอีกไม่ต้องเห็นหน้า"

    " เรียกว่าเข้าประตูนี้ออกประตูนู้น ใช่ไหม "

    " หลวงพี่ยังไม่ได้เฉลยเลยว่าทำไมมาสายลมถึงได้ใจดีมาวัดถึงได้ดุ เพราะอะไรครับ "

    ตอนนั้นพูดถึงตรงไปตรงมาเลยว่า กำลังใจคนเข้าถึงธรรมะกัน พอเริ่มเข้าถึงธรรมะ ต้องทำให้ง่ายๆเอาไว้ก่อนพูดให้ง่าย เหมือนดึงกำลังใจคน จะฟื้นศรัทธาไว้ก่อน กำลังใจคนยังอ่อนนี่ไปเล่นหนักๆ เข้าก็เผ่นหมดน่ะสิ พอแข็งแล้วก็สังเกตุดูสายลมนี่ปัจจุบันนี่ก็เหมือนกัน ท่านจะเทศน์วันที่หนึ่งนะเอาพวกทานพวกศีลพวกภาวนาไปก่อน วันสองก็วิปัสสนาญาณ วันสามถึงจะนิพพาน ใช่ไหม จะเข้มไปตามวัน คนที่มานี่อาจจะมาสามระดับของคน

    "และทีนี้ที่วัดนี่ล่ะครับว่าทำไมถึงได้เข้มข้นนัก เพราะว่าพระเป็นปูชนียบุคคล "

    ใช่

    "หรือท่านจะรักพระมากกว่ารักโยมมั้ง"

    (หัวเราะ) คือเดี๋ยวนี้ก็จางไปเยอะ จางไปเยอะเพราะว่าไม่ทัน สมัยก่อนนี่เปิดธรรมะ จะออกมาเดินเพ่นพ่านไม่ได้เชียวนะ พระมาเดินไขว่อย่างนี้ เดี๊ยวเอาตายเลยละ เวลาท่านคุยธรรมะอยู่จะไปถามจะไปพูดแทรกไม่ได้ ยิ่งเปิดเสียงตามสายออกไปนี่ พระออกไปเดินเพ่นพ่านไม่ได้หรอก

    " อู้ฮู..ถึงขนาดนั้นเชียวหรือเนี่ย"

    เพราะว่ามันมีพระวินัยอยู่ข้อหนึ่งปรับ เขาว่าไม่เอื้อเฟื้อในพระธรรมวินัย ท่านเอาตัวนี้มาปรับ ถ้าทำอย่างท่านว่าจะดีมากจะสวยงามมาก จะมีผลมาก ดีทุกอย่าง หยาบเกินไปมันก็ไม่เห็นตัวนี้ใช่ไหม

    "โอ้โห..ละเอียดถึงขนาดนี้เลยหรือ แค่เปิดเสียงตามสายออกไปเดินก็ไม่ได้"

    มีอีกองค์ท่านขยัน พอเปิดเสียงตามสาย ท่านก็ไปทำงาน ป๊อก ป๊อก ป๊อก พอท่านเห็นก็ "ไอ้ขยันก็รู้แล้วแต่ไม่รู้จักกาลเวลา ขยันอย่างนี้ขยันลงนรก" (หัวเราะ)

    "ยกย่องเลยเหรอ"

    ใครปฏิบัติสายสุกขวิปัสสโกนี่นะ ไม่มีทิพจักขุญาณนี่นะ ตอนประมาณซัก 3-4 เดือนก่อนที่หลวงพ่อจะมรณภาพ เคยคุยให้ฟังบอกว่า ถ้าใครสายสุกขวิปัสสโกก็ไม่มีทิพจักขุญาณ ไม่มีฤทธิ์ไม่มีเดชอะไร ให้พิจารณาไปเรื่อยๆจะมีปัญญาแก้ไปเอง พอบารมีมันเต็มมันจะคิดเองตัดเองไปหมดโดยจิตไม่ต้องเตือน ก็ค่อยๆทำไป ถึงรวมตัวมันจะไม่ต้องเตือนจิต

    แต่จริงๆธรรมะนี่ หลวงพ่อเคยพูดว่า ไม่ได้สอนอะไรสอนแค่ปลายผมยันปลายเท้าเท่านั้นเอง ทำอย่างไรให้จิตมันยอมรับ ใช่ไหม ไอ้ร่างกายหรือขันธ์ 5 นี่ปลายผมยันปลายเท้านี่ วิจัยไม่ต้องวิจัยข้างนอกวิจัยในตัวเรานี่ มโนมยิทธิที่หลวงพ่อสอนเรานี่มันง่ายที่สุดเรื่องการปฏิบัติธรรมนี่ มันแยกหรือมันเห็นจริงง่าย มันเป็นภาพที่มันเห็นจริงง่าย

    อย่างเวลาที่เราปวดจริงๆ นี่มันคิดไม่ออกหรอกนะ มันคิดอะไรก็คิดไม่ออก ไอ้เราก็ดิ้นรนให้หายปวด จิตของคนเรามันจะดิ้นรนให้หายปวด ไอ้ร่างกายไม่ใช่ของเรามันคิดไม่ออก มันก็ปวดอยู่นั่นแหละ

    " แล้วทำอย่างไรถึงจะเลิกละครับ "

    เวลาสมมุติเราทำได้มโนมยิทธินี่ก็ให้ถอดไปหน่อยหนึ่ง หลุดจากนี้สักหน่อยหนึ่ง ไม่ต้องขึ้นไปสูงถึงอะไร ให้้มันหลุดไปสักหน่อยหนึ่ง ไม่ใช่ว่ามันจะหายปวดแต่จิตมันจะเห็นเลยว่ามันปวดเองนี่หว่า กูไม่อยากให้มึงปวด มึงปวดของมึงเองนี่ มึงแก่เองอยู่เรื่อย จิตพอละวางสักกายทิฏฐิจะเห็นเองว่า อ้อ ไม่ใช่ของเรานี่

    คือมโนมยิทธิจะมาใช้ตรงนี้ มันจะไวกว่าถ้าเราพิจารณามันปวดอยู่ว่าไม่ใช่ของเรา มันก็ไม่ยอมรับมันปวดอยู่นั่นแหละ จิตมันมาเคล้าอยู่กับตัวมันนี่ พอขยับเคลื่อนมันจะเห็นชัด ทั้งๆที่ร่างกายมันปวดแต่จิตมันเห็นชัดจิตมันวาง จิตมันเป็นสุข ไอ้กายปวดมันก็ปวดของมันไป เพราะมันยอมรับความเป็นจริง

    "ทีนี้ถ้าสุกขวิปัสสโกจะทำยังไง มันปวด อยู่นี่จะทำยังไงครับ"

    เอ๊ เราก็ไม่เคยทำซะด้วยเรื่องนี้นี่ เคยปวดเหมือนกันแต่ไม่คิดแก้ไข (หัวเราะ) หลวงพ่อท่านบอกว่าเวลาปวดจริงๆ นี่มันภาวนาไม่อยู่หรอก ท่านยงยุทธ์นี่ไปป่วย ยงยุทธนี่ก็บอกว่า เอ๊ะไอ้ผมนี่บวชมาตั้งร่วม 20 พรรษายังไม่ได้อะไรเลย ปวดทนไม่ไหวเลย ไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง หลวงพ่อบอก ไอ้ขี้หมา ใครเขาภาวนากัน มันภาวนาไม่อยู่หรอก มันปวดมากๆนี่ต้องพิจารณา ไอ้เรามันก็ไม่ถึงขั้นหนักแ่ต่เราก็ไม่ถึงขั้นหนัก แค่ปวดเล็กปวดน้อยนี่ฝึกไปเลย ปวดเมื่อยนิดๆหน่อยๆ นี่ขยับฝึกไว้เลย ฝึกจะตายไว้เลย ไม่ต้องรอให้มันถึงแขม็บๆถึงจะมาคิดกันอย่างนั้น ปวดเล็กปวดน้อยนี่ต้องคิดว่ามันจะตายเดี๋ยวนี้เสมอเลย
    พระพุทธเจ้าถึงบอกว่าคิดทุกลมหายใจเข้าออกใช่ไหม ซ้อมตายน่ะ(มรณานุสสติ) ไอ้เราแค่วันนึง 3-4 ครั้งก็ดีแล้ว หนักเข้าก็จะมากเอง จิตจะรวมตัวเอง

    แต่ไม่มีใครทำขยับอย่างนี้นะ ลองขยับเออ...มันดีนี่หว่า ปัญญามันวางง่าย ยังงั้นมันไม่ยอม มันรั้นมันอยากจะหายปวด ดิ้นอยู่นั่นน่ะจะให้หายปวดท่าเดียว ดิ้นเท่าไรก็ไม่หาย

    "ทีนี้ก็มีคนถามต่อว่าก็ในเมื่อพระเดชพระคุณหลวงพ่อเองเนี่ยท่านก็เป็น ทุกอย่างหมดแล้ว ทำไมท่านถึงไม่หนีซะบ้าง ทำไมถึงต้องทนทุกข์ทรมาน มันปวดนี่ มันเมื่อยนี่ มันเสียดนี่ มันยอกเสียทุกอย่างนี่ทำไมเพราะอะไรครับ"

    เอ๊..ต้องไปถามหลวงพ่อสิ มาถามฉันไม่ได้ ไปตอบแทนหลวงพ่อเอ๊ะ..เป็นหลวงพ่อหรือไงถึงตอบเหมือน ตอบไม่ได้หรอก ต้องถามหลวงพ่อสิอย่างนี้

    พูดถึงคุณโยมด๊อกเตอร์ปริญญาก็แล้วกัน คุณโยมเคยถามหลวงพ่อว่า หลวงพ่อครับ พระอรหันต์นี่ครับ ป่วยเขาหนีหรือเปล่าครับ ? พอป่วยปุ๊บหนีไปเลย ไม่ยอมลงมาแล้ว ร่างกายมันหายถึงค่อยลงมาอะไรอย่างนี้ ท่านบอกพระอรหัต์ไม่หนี ไม่หนี มันเป็นธรรมดา ธรรมดาร่างกายมันต้องปวด ที่เรามันต้องปวด ต้องป่วย ต้องเจ็บ ต้องแก่ ต้องตาย ถ้าได้มโนมยิทธิลองถอดไปเหอะ พอถอดไปนี่มันจะรู้ธรรมชาติของกาย มันป่วยเองหิวเองนี่ ปัสสาวะ อุจจาระเองนี่ ถ้าจิตเราไปฝืนมันเองจิตเราไปคานมันไม่อยากให้มันเป็นอย่างนั้น ไม่อยากให้มันเป็นอย่างนี้ ธรรมชาติของมันต้องเป็นของมันเองอย่างนั้น ถ้าจิตใจมันยอมรับมันก็ไม่ทุกข์ไม่ดิ้นรนนะสิ

    "นี่ญาติโยมเห็นไหม หลวงพี่ฝีมือท่านเป็นยังไงนี่"

    เปล่า..นี่อ่านหนังสือนะ

    "ยอมรับว่าตำราที่หลวงพ่อสอนถูกต้องตามความเป็นจริง"

    (หัวเราะ)

    "วัดเดียวกันน่า วัดเดียวกัน"

    พอยอมรับมันก็เป็นสุขใช่ไหม มันก็ไม่ดิ้นรน

    "อย่างคนที่่มีครอบครัว เมียจะด่าก็เป็นเรื่องธรรมอย่างนั้นเหรอ มีคำแนะนำอะไรไหมครับ แหม..บางทีมันซอยเช้า ซอยบ่าย ซอยเย็นเลย ด่าไม่เลิกเลยไม่ขาดม้วนเลย"

    เราก็ตั้งอัดเทปไว้เลยเวลานอนไม่หลับก็เปิดฟัง แต่เรื่องด่าอะไรนี่มันเป็นบุพกรรมนะ แม้แต่หลวงพ่อเองนี่นอนอยู่นี่ จะฉันยาก็เทมาใส่มือ หล่นเป๊ะไปซักเม็ดหนึ่งและ แหมกะไอ้แค่ฉันยามันก็ยังเอาเรื่อง ท่านบ่นอย่างนั้น ไอ้ยาที่มันหล่นลงไปนี่ท่านบ่นแล้ว หลวงพ่อครับเรื่องอะไรครับ เนี่ยบุพกรรม กระทั่งเราจะฉันยาให้ร่างกายมันหายนี่มันก็มาตัดรอน เอานิดหน่อยเอามากไม่ได้

    ฉะนั้นคนเราที่มีเรื่องกระทบกระทั่ง มันต้องมีเวรกรรมต่อกันทั้งนั้นแหละ แต่ถ้าเราไปยอมแพ้ไอ้บุพกรรมอย่างนี้นะ ไม่ต้องทำความดีต่อ คือแพ้มารไปเลย

    " อย่างนี้ก็ต้องยอมรับมันเป็นบุพกรรมที่เราทำไว้ แหม...น่าจะบอกซะตั้งนานแล้ว ไม่งั้นเราก็ฮึดสู้เรื่อย กูขนาดนี้มาว่ากูได้"

    บุพกรรมต่อเนื่องกัน แต่หากว่าผ่านบุพกรรมได้นี่บารมีเข้มดีนะ ผ่านอุปสรรคนี่ ว่าแล้วไม่หวั่นไหวเราต้องทำความดี

    "ถ้าด่าเราสามเวลาหลังอาหารนี่ เราไม่หวั่นไหวนี่ใช้ได้นะ "

    "เปิดเทปที่อัดไว้ให้ฟังก็ได้ เดี๊ยวก็หัวเราะไปเอง (หัวเราะ)"


    (จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ กรกฏาคม 2537)


    spec.jpg



    http://palungjit.org/threads/นานาเรื่องราวต่อองค์หลวงพ่อพระราชพรหมยาน.310631/page-14
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กุมภาพันธ์ 2018
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    2-27.jpg


    วันนี้วันที่ 26 กรกฏาคม เป็นวันคล้ายวันมรณภาพของหลวงปู่ปาน ของพวกเราครับ หลวงปู่ท่านได้มรณภาพเมื่อวันที่ 26 กรกฏาคม 2481 รวมสิริอายุ 63 ปี 43 พรรษา
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 กรกฎาคม 2019
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ถูกคนกลั่นแกล้ง

    ผู้ถาม : นึกถึงความกลั่นแกล้งเป็นเวลา 10 ปีมาแล้ว ต้องร้องไห้ทุกที ภาวนาก็ไม่หาย ทำบุญทีไรก็ไม่เป็นเรื่อง ขอบารมีหลวงพ่อช่วยเปลื้องความที่คนอื่นมากลั่นแกล้งด้วยเถิดเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : โธ่เอ้ย ! เฉยๆ ไว้ อุเบกขา ช่างมันๆๆ ไอ้การถูกกลั่นแกล้งนี่ ฉันโดนมาขนาดหนักนะ


    ผู้ถาม : อะไรครับ ! เป็นพระสงฆ์ยังโดนอีกหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : ยิ่งกว่าพวกนี้เยอะ โดนมาหนักเลย เพิ่งจะมาเบาๆ แค่ 2 ปีนี่เอง เมื่อก่อนโดนมาตลอด ฉันถือว่าการแกล้งเป็นเรื่องของคนแกล้ง ถือคาถาบทเดียวว่า " ช่างมันๆๆ "

    แล้วผลที่สุด คนแกล้งก็พังทุกราย พังย่ำแย่เลยนะ

    ผู้ถาม : โอ...หลวงพ่อนี่แตะไม่ได้เลยนะ

    หลวงพ่อ : แตะไม่ได้หรอก....ล้ม ! ไม่แตะยังล้มเลย (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : ใช้ สัมปจิตฉามิ หรือครับ ?


    หลวงพ่อ : เมื่อก่อนใช้เฉยๆ ไม่ยอมรับ ถ้าเราไม่ยอมรับมันกลับไปหาเจ้าของเขา ถ้าย้อนกลับไปมันแรงกว่า มันมากระทบเรา ไม่ต้องไปแช่งเขานะ ไปแช่งเขาไม่มีผลกำลังเราตก

    ถ้าเป็นฆราวาสเวลาสวดมนต์เสร็จ อุทิศส่วนกุศลกรวดน้ำให้

    ผู้ถาม : ให้คนที่เราไม่ชอบใจนี่หรือครับ ?

    หลวงพ่อ : ใช่ๆ ทำจิตใจให้เป็นสุข เมื่อมันตายแล้วจะได้รับ

    ผู้ถาม : อ๋อ...โมทนาให้เขาเลย

    หลวงพ่อ : คิดว่าเขาตายแล้วไงล่ะ เรากรวดน้ำให้เขาเป็นสุข ไม่ช้าก็พัง รับรองว่าไม่เกิน 1 ปี ของฉันนี่พังมาแล้ว ไม่รู้กี่ร้อยรายแล้ว

    แต่เราต้องทำเฉยๆ นะ ทำจิตเป็นสุข ไม่โกรธ ห้ามใจเสีย บูชาพระด้วยจิตเป็นสุข หลังจากนั้นจึงอุทิศส่วนกุศลกรวดน้ำให้เลย อย่างนี้ขอยืนยันว่า ถ้าเอาจริงๆ นะ ไม่เกิน 3 เดือน จอดแน่ๆเลย




    (จาก "หลวงพ่อตอบปัญหา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 300 เดือนมีนาคม 2549 หน้า 92)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 กรกฎาคม 2020
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    2616b826.jpg


    หลวงพ่อบูชาพระพุทธเจ้าอย่างยิ่ง

    มีเกร็ดอยู่เกร็ดหนึ่งคือมาวิเคราะห์กันเรื่องของแจก ของแจกนี่เรามาวิเคราะห์กันแล้วมันแพง ทีนี้ก็ปรึกษากับพระวิรัช เพราะพระวิรัชเป็นคนทำเรื่องวัตถุมงคล บอกวิรัชว่าของที่จะแจกนี่มันแพง ถึงครึ่งต่อครึ่งนี่ตั้ง 80 กว่าบาท

    จึงถามหลวงพ่อว่าหลวงพ่อครับ ของที่จะแจกนี่เอาพระผงไม่ดีหรือครับ


    หลวงพ่อบอกว่า “แป๊ะ..นันต์..ของนี่นะ นี่มันรูปข้า แต่พระผงเป็นรูปพระพุทธเจ้า เป็นของสูงแกรู้ไหม รูปพระพุทธเจ้าเป็นของสูง สูงยิ่งที่สุดแล้ว”

    เราก็โอ้โฮ นึกไม่ถึง เรานึกว่าของถูกก็แจกตามถูก แต่เรามันหยาบไม่คิดถึงคุณค่าของความดี ถึงบางอ้อตอนนั้นเอง

    หลวงพ่อท่านบูชาพระพุทธเจ้าจริงๆ เราแค่มองเพียงวัตถุ นี่เป็นตำราอย่างดีเลย



    สถานที่ที่เป็นอุดมมงคล



    สถานที่ไหนที่มีพระเข้านิโรธสมาบัติถือว่าสถานที่นั้นเป็นอุดมมงคล

    อันที่จริงหลวงพ่อเรานี่ ท่านเข้านิโรธสมาบัติที่นี่ (บ้านสายลม) นับจำนวนมากกว่า 100 ครั้ง อาจจะเข้าทุกครั้งที่มาสายลม แต่เข้าช่วงขณะๆนะ

    ท่านหวังผลให้ญาติโยมมีความเป็นอยู่คล่องตัว และต้องการให้เข้าถึงธรรม

    มีอยู่คราวหนึ่งเข้าไปปลุกท่าน ท่านแข็งหมดทั้งตัวเลย พระประทีปก็เข้าไปปลุก "หลวงพ่อครับๆ" หลวงพ่อก็ไม่ตื่น ดาบตระกูลบอกผมเองๆ ไปเขย่ากลิ้งไปกลิ้งมาไม่ตื่นอีก ดาบตระกูลบอก กูไม่เอาแล้วโว้ยเพราะไปไกล พอกลับไปที่วัดก็ไปเล่าให้หลวงพ่อฟัง เรื่องปลุกหลวงพ่อ

    หลวงพ่อบอก "มันเพลียมาก เลยเข้านิโรธสมาบัติลึกไปหน่อย"

    (จากคอลัมภ์ จากคำบอกเล่า ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 152 เดือนตุลาคม 2536 หน้า 94-95)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ตุลาคม 2020
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    จิตชอบปรามาสพระ

    ผู้ถาม : กราบเรียนหลวงพ่อที่เคารพ ในระยะ 2-3 วันมานี้ พอผมไหว้พระเคารพระรัตนตรัย ก็ปรากฏว่าจิตใจมันใฝ่เลว ชอบปรามาสพระรัตนตรัย แถมปรามาสหลวงพ่อด้วย อาการอย่างนี้เคยขอขมาพระรัตนตรัยแล้วก็ยังแก้ไม่ตก ก็จะมาขอหลวงพ่อว่า จะมีวิธีอย่างอื่นหรือไม่ครับ ?

    หลวงพ่อ : ก็ทำแบบนั้นนะ มันมีกับคนหลายคน ไมใช่คนนี้คนเดียว แม้แต่ฉันในช่วงเจริญฌานโลกีย์ มันก็มีเหมือนกัน ก่อนจะขึ้นอันดับสูงนะ นี่มันก็มีอาการอย่างนี้เป็นของธรรมดา ที่ท่านบอกว่ากิเลสมารเข้าครอบงำจิต เรายอมแพ้มันเราก็ตกต่ำแน่นอน มันอาจจะเผลอ ขอขมาแล้วก็ว่ากันไป มีสติใหม่ก็ตั้งใจขอขมาใหม่ ว่ากันแบบนี้ละนะ ไม่ช้ามันก็เลิก ในเมื่อเราไม่ยอมให้มันเลิกยังดีนะ ยังต่ำนะ

    อาจารย์ฉัตร ลูกศิษย์หลวงพ่อปานหนักกว่านี้ ไม่ใช่อารมณ์ด่าใครหรอก นั่นป่วย แบบท่าน โคธิกะ เลยบวมทั้งตัว 1 ปี ไม่ขยายตัว หลวงพ่อปานบอกว่าคุณฉัตรเอ้ย ลดกรรมฐานสัก 1 วันได้ไหม มันจะได้หาย อาการอย่างงี้ไม่ใช่อาการไข้ปกติ มันเป็นเรื่องกิเลสมาแกล้ง อาจารย์ฉัตรบอกว่าผมพยายามทำมาตั้งหลายปี ยอมแพ้กิเลสมารวันเดียวผมยอมไม่ได้ ผมยอมตายพร้อมกับธรรมะดีกว่า พอปฏิญาณแบบนั้นวันรุ่งขึ้นหาย มันสู้ไม่ได้มันเลยเลิก กลัวคนบ้า

    ไอ้นี่ก็เหมือนกัน อาการอย่างงี้ต้องสู้กันหลายวันหน่อย เพราะมันอารมณ์ทางจิตใจนะ นั่นมันครอบงำทางกายด้วย เปลื้องง่ายกว่า



    ลูกไม่อยู่ในโอวาท

    ผู้ถาม : แม่ของกระผมชอบทำบุญ ทำกุศล ไม่จองเวรจองกรรมกับใครเลย ปัจจุบันนี้มีลูกหลายคน แต่ปรากฏว่าลูกแต่ละคนไม่อยู่ในโอวาท อยากจะเรียนถามว่า จะให้แม่ทำอย่าไรครับ ?

    หลวงพ่อ : แม่ถืออุเบกขา " ช่างมัน ช่างมัน ช่างมัน " ไม่งั้นมันก็กลุ้ม เขาไม่อยู่ในโอวาท สั่งสอนเขาไม่รับฟังใช่ไหม ถ้าเราเอาจิตเข้าไปข้อง ความกังวลก็มีมากขึ้น ความลำบากก็มีมากขึ้น ฐานะเป็นแม่เราก็เป็นแล้ว ทุกอย่างที่เราจะพึงทำให้เราก็ทำแล้ว เวลาเขารักษาตัวไม่ได้ก็ช่างเขา เราเอาตัวรอดก็แล้วกัน ต้องเป็นอย่างนั้นนะ ถ้าไปกังวลมากเกินไปจะกลุ้มหนัก จิตจะกังวลซิ

    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ มีนาคม 2538)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 31 มีนาคม 2019
  20. Way Paramaphurich

    Way Paramaphurich Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    6
    ค่าพลัง:
    +32
    อ่านเพลิน จนนำ้ตาเล็ดนำ้ตาไหล T-T ขออนุโมทนาผู้ที่เอามาลงให้อ่านด้วยนะครับ คุณได้ทำบุญใหญ่จริง ๆ... อย่างน้อยก็ผมคนนึงที่จิตผ่องใสและรู้สึกมั่นคง มั่นใจขึ้นอีกมากครับหลังจากได้อ่านเพลินๆทบทวน ขอบคุณครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...