เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    *** สวัสดีครับท่านนักคอลัมภ์นิสต์ธรรมะจากสื่อสิ่งพิมพ์ออนไลน์ระดับแถวหน้า

    ผมทราบว่าคุณเข้ามาอ่านมาหาบทความหาเรื่องหลวงพ่อตอบคำถามไปใช้ในงานที่คุณทำอยู่

    การที่คุณเข้ามาในเวบและในกระทู้นี้ลอกข้อมูลหยิบธรรมหลวงพ่อเอาไปลงในเวบในเพจคุณ มันเป็นงานเป็นหน้าที่หาเงินของคุณ มีแอดลงแทรกในบทความธรรมที่คุณนำไปลง มันเป็นธุรกิจหาเงิน ถึงแม้ว่าการเผยแพร่ธรรมเป็นเรื่องดี แต่ผมว่าคุณควรหัดให้มีมรรยาทในการให้เครดิตแหล่งข้อมูลที่คุณไปนำธรรมมาลงในเพจคุณดีกว่าครับ เกรงคนอ่านเขาจะทราบว่าเอาบทธรรมมาจากไหนแล้วตามมาอ่านแล้วไม่อ่านคอลัมภ์คุณหรือครับ ?

    การลอกข้อมูลไปผมไม่ว่าอะไรหรอกครับเป็นการเผยแพร่ธรรมแต่วิธีที่คุณทำนี่มันเป็นมรรยาทเลวนะครับ




    ถ้าไม่คุณก็ไปหาอ่านธรรมในหนังสือหลวงพ่อแล้วคัดลอกพิมพ์ด้วยตัวท่านเองแล้วนำไปลงในสื่อสิ่งพิมพ์ของท่านเอง


    DSC05666.jpg
    DSC05665.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 สิงหาคม 2019
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]

    (รูปข้างบนนี้นำมาจากหนังสือ " พระราชพรหมยาน " หน้า 381 เข้าใจว่าเป็นลายมือขององค์หลวงพ่อเองครับ)


    ในหนังสือ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า หน้า 140 หลวงพ่อได้เล่าไว้ว่า องค์ท่านได้จบกิจในพุทธศาสนาเมื่อวันที่ 5 สิงหาคม 2506 เวลา 4.00 น.

    แต่ไปอ่านบทความของอาจารย์ปริญญาในหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 2 หน้า 387 อาจารย์บอกว่าหลวงพ่อสำเร็จเมื่อ 10 กรกฏาคม 2504 เวลาบ่าย 2 โมง 10 นาที

    เลยสับสนว่าตกลงหลวงพ่อท่านสำเร็จเมื่อไหร่กันแน่ ได้กราบเรียนถามหลวงพี่ชัยวัฒน์ ท่านบอกว่าให้ยึดเอาเอกสารวัดเป็นหลัก อาจารย์ปริญญาตอนถามคงไม่ได้มาอ่านเอกสารทางวัดมาก่อน และบางครั้งหลวงพ่อท่านตอบโดยไม่ได้ใช้ฌาณ แต่ตอบจากความทรงจำ

    ได้ข้อสรุปว่า หลวงพ่อท่านสำเร็จ เมื่อ 5 สิงหาคม 2506 เวลา 4 น. ครับ

    ขอยกข้อความจากที่หลวงพ่อได้บันทึกเสียงไว้ซึ่งนำไปแกะเทปพิมพ์เป็นหนังสือ ปฏิปทาท่านผู้เฒ่า หน้า 140 ตามข้างล่างนี้ครับ


    " วันที่ 5 สิงหาคม 2506 เวลา 2.45 น. ตื่นจากหลับ คราวนี้เห็นจะอานละซิ นอนตื่นมา 2.45 น. เจริญสมณธรรมไปถึงตีสี่ พระมา คำว่าพระก็หมายถึงองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ได้มาแจ้งว่าเจ้าเจริญธรรมให้แจ้ง ถึงไม่รักในฐานะที่ควรจะรัก ไม่เกลียดไม่โกรธในฐานะที่ควรโกรธ ไม่ขัดเคืองในฐานะที่ขัดเคืองอย่างนี้ ชื่อว่าได้อริยผลสมบูรณ์แล้ว เจ้าเป็นพระขีณาสพตั้งแต่เวลา 4 น. วันนี้ (กลางเดือน 9 พอดี)

    เห็นไหมเหนื่อยไหมนี่ จำให้ดีนะ ผมชอบจำตอนสรุปนี่ น่ากลัวต้องเขียนติดไว้ที่หน้าผากเสียแล้ว แต่กระจกก็ไม่ได้ส่องเสียด้วย


    ท่านบอกว่าวันที่ 5 สิงหาคม 2506 เวลา 2.45 น. ตื่นจากที่นอน เจริญสมณธรรมทันทีจนถึงเวลา 4 น. เป๋ง สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพร้อมด้วยฉัพพรรณรังสีรัศมีหกประการอย่าลืม ได้มาแจ้งว่า เจ้าเจริญธรรมให้แจ้งจนถึงไม่รักในฐานะที่ควรรัก เจ้ามีอารมณ์ไม่เกลียดในฐานะที่ควรจะเกลียด เจ้าไม่โกรธในฐานะที่ควรจะโกรธ เจ้าไม่ขัดเคืองในฐานะที่ควรจะขัดเคือง อย่างนี้ชื่อว่าได้อริยผลสมบูรณ์แล้ว

    คำว่าสมบูรณ์นี่ต้องเป็นอรหัตผล

    ฉะนั้นเจ้าจึงชื่อว่าเป็นพระขีณาสพ

    คำว่าขีณาสพ หมายความว่าเป็นผู้มีอาสวะกิเลสสิ้นแล้ว คืออรหันต์นั่นเอง

    เจ้าเป็นพระขีณาสพตั้งแต่เวลา 4 น. วันนี้ คือกลางเดือนเก้าพอดี
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กุมภาพันธ์ 2016
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ฝันเห็นหลวงพ่อหยิบเหรียญให้


    ผู้ถาม : ฝันเห็นหลวงพ่อเข้ามาในห้องนอน

    หลวงพ่อ : เอ๊ะๆๆ เดี๊ยวคนที่ถามผู้หญิง หรือ ผู้ชาย ?

    ผู้ถาม : ผู้หญิงครับ !

    หลวงพ่อ : ชักจะยุ่งละซิ ! มีสามีหรือเปล่า ?

    ผู้ถาม : เขาบอกว่าแต่งงานแล้ว

    หลวงพ่อ : เออ...ว่าไปซิ

    ผู้ถาม : แล้วก็หยิบเหรียญที่เคยแจกให้เอามาพูดย้ำว่า "เก็บไว้เปล่าๆทำไม ไม่มีประโยชน์ เอามาใช้เสียสิ ! จึงจะเกิดผลอย่างรุ่งเรืองไพศาล"



    แต่ดิฉันมีเหรียญหลายอันไม่ทราบจะเอาอันไหนดีคะ ?

    หลวงพ่อ : ล่อทั้งหมดเลย ช่วยกันหลายๆองค์


    คือว่าทุกอย่างนี้ทำคราวเดียวกันนะ มีผลเหมือนกัน

    ที่ฉันแจกก็เหมือนกันนะ มีคุณค่าเท่ากันหมด ไม่มีอะไรแตกต่างกัน

    เมื่อเวลาพระพุทธเจ้าท่านทำ ท่านทำทุกอย่างแหละ..


    เออ...สำหรับ "เหรียญแหนบ" ที่แจกไปมากๆนั่นนะ เคยบอกให้ทำราวประดับเป็นยาวๆ แล้วก็เอากระจกติดไว้ให้เห็นง่ายๆ นะ เราเห็นครั้งหนึ่งจิตจะดีมีความรู้สึกว่าได้มาเพราะทำบุญเป็น อนุสสติ อย่างนี้ลงนรกไม่ได้ แน่นอนนะ ควรจะทำแบบนั้น

    ผู้ถาม : ใช้ราวห้อยหรือครับ ?

    หลวงพ่อ : ใช่ ! ยิ่งมากเท่าไร แสดงว่าเราได้เพราะการทำบุญแต่ละคราว มันจะกระตุ้นใจใช่ไหม นี่สำคัญมาก ที่ให้ไปนี่มีความมุ่งหมายเป็น อนุสสติ มากกว่า

    ผู้ถาม : แล้วมีบางคนอยากจะถวายเหรียญแหนบมีมากจะได้ไหมครับ ?

    หลวงพ่อ : ได้ๆ มาถวายได้ ฉันลงทุนน้อยหน่อย ได้ ! เอามาได้ ก็จะแจกต่อไปนะ แต่ก็อย่าไปลืมอีตอนที่หลวงพ่อตายแล้ว แหม กูไม่ให้ใครก็ดี มันชักจะแพงซิ !



    (จาก "หลวงพ่อตอบปัญหา" ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 377 เดือนสิงหาคม 2555)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 กรกฎาคม 2020
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2013
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2013
  6. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 11 เมษายน 2013
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 มีนาคม 2015
  8. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    สมเด็จพระสังฆราชและหลวงพ่อวัดสระเกศท่านเสด็จมาแสดงมุทิตาจิตเนื่องในงานทำบุญวัินเกิดของหลวงปู่วัดสามพระยาครับ

    แต่เป็นปี พ.ศ.ไหน ไม่ทราบได้ ดูภาพได้จากเพจ วัดสามพระยาในเฟสบุ๊คข้างล่างได้เลยครับ

    วัดสามพระยา วรวิหาร (WAT SAM PHRA YA) | Facebook
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    คุณวีระ งามขำ(ยกทรง)คุยกับสมเด็จวัดสามพระยา(เรื่องพระคำข้าวมหาลาภ)

    (คุณยกทรงเล่าเรื่องให้ฟัง)


    เรื่องสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์วัดสามพระยานี่ก็หลังจากหลวงพ่อกลับไปแล้ว ยกทรงก็นำอาหารไปถวายสมเด็จเป็นประจำ วันที่จะเป่าปลุกเสกวันที่ 29 ธ.ค. 33 ยกทรงก่อนจะเดินทางไป ท่านก็บอกว่า


    นี่พระสมเด็จมหาลาภคำข้าวของวัดท่าซุงน่ะ ไม่ใช่พระธรรมดานะ

    "ก็เรียนถามเป็นพระอะไรครับที่ไม่ใช่ธรรมดา"


    ท่านบอกที่อื่นๆส่วนมากพระล่างปลุกเสกกัน แต่ที่วัดท่าซุงนี่มีพระล่าง คือ หลวงพ่อปลุกเสก เข้าใจไหม ?

    "เอ..ไม่รู้ครับ"

    พระล่างก็หมายถึงหลวงพ่อหลวงปู่ปลุกเสกกัน ท่านอธิบายให้ฟัง พระบนก็หมายความว่าท่านก็หยุด แทนที่ท่านจะอธิบายต่อท่านก็คว้าหมากเอาปูนใส่ แล้วท่านก็ฉัน โอ๊ย ลีลาน่ารักอ่อนช้อย แล้วก็ท่านยืนยันเลยว่าพระมหาลาภคำข้าวรุ่นนี้น่ะท่านบอกว่าคงจะไม่ถึงตลอดปี 34 จะหมด เหตุผลก็คือ ท่านบอกว่าอย่างนี้

    ฉันจะเล่าให้ฟังฉันสร้างตัวอาคารที่อาคารพระปริยัติน่ะ 90 เมตรที่วัดน่ะ เป็นสิบ ๆ ล้านนะ ค่าแรงทั้งหมดน่ะ 6 ล้านบาท แล้ววัดปากน้ำนะเขาเลยถวายค่าแรง 6 ล้านบาท แล้วท่านก็บอกว่าเขามีเงินมาให้ 6 ล้านบาท เพราะวัดปากน้ำนี่เขามีของดีอย่างหนึ่งคือ ของไม่แห้ง

    "ผมถามว่าอะไรครับ ของไม่แห้ง ว่าแล้วคว้าหมากต่อ"


    ท่านบอกว่า สด ไงล่ะ เจ้าอาวาสเขาชื่อสด ตอนเป็นๆก็สดชื่น พระที่วัดไม่ต้องบิณฑบาตเงินทองไหลมาเทมา เพราะบารมีกรรมฐานธรรมกาย และที่ท่านตายไปแล้วก็ยังสดชื่น พระที่วัดไม่ต้องบิณฑบาต เงินทองไหลมาเทมา เวลาเทศกาลงานกฐินก็มีคนจองล่วงหน้า

    แล้วท่านก็เลยสรุปว่า เนี่ย เพราะท่านมีดีอย่างหนึ่งคือ ไม่แห้ง รุ่นที่รับพระสมณศักดิ์ราคาเป็นหมื่นเป็นพัน แต่ว่า..ท่านพูดแค่นั้นท่านก็หันหน้าเอาผ้าเช็ดปาก เอาน้ำบ้วนปากเสร็จแล้วนึกว่าท่านจะเล่าต่อ เปล่า ท่านเอาหมากมากินอีกคำ แล้วท่านก็เลยบอกว่า นี่คุณวีระ(ใหม่ๆ เรียกยกทรง ตอนนี้ไม่เอาแล้วเรียกคุณวีระเสียแล้ว) คุณน่ะอย่าลืมนะไปวัดท่าซุง ตุนเข้าไปเถอะ แพงแล้วหายากแล้ว หนักๆ เดี๋ยวก็ว่า แล้วหนักๆ แล้วท่านก็บอกว่า ต่อไปจะมีคุณค่ามาก ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป ท่านบอกให้ตุนไว้ เพราะว่ามีข้างบนลงมาปลุกเสกด้วย ท่านบอกว่าท่านยืนยันอย่างนั้น ที่ท่านพูดเช่นนี้ได้ใครจะว่ายังไงก็ตามแต่ท่านบอกท่านยืนยันอย่างนี้

    (หลวงพ่อ) ว่าเรื่อยไปเลย

    "แล้วท่านก็คุยต่อ"


    คือว่าอย่างนี้ สมัยที่ฉันหนุ่มๆนะ บังเอิญไปที่วัดพระพุทธชินราชที่พิษณุโลก เขาว่าพระพุทธชินราชที่พิษณุโลกนี่นะมีเทวดามาช่วยมาสร้าง ไอ้ฉันก็นั่งคิดๆ เพราะตอนนั้นก็ยังหนุ่มอยู่ แหม..ไม่จริงแน่ แต่พอฉันไปวัดท่าซุง ไปที่วิหารแก้ว 100 เมตร พอไปเห็นองค์พระพุทธชินราช ฉันเลยต้องบอกว่าฉันเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ว่าเทวดามีจริงมาสร้างมาช่วย อย่างที่วัดท่าซุงนี่ไม่ใช่วัดธรรมดาเป็นวัดล่างวัดบน

    แล้วท่านก็บอกว่า เนี่ย ฉันจึงยอมเชื่อว่าวัดท่าซุงนี่ถ้าไม่มีข้างบนมาช่วยนะ ไม่มีทาง ท่านบอกไม่มีทาง

    (หลวงพ่อ) มี ทางมีแต่ไม่มีกุฏิ

    "หลวงพ่อเถียงสมเด็จ ฯ เหรอ"

    ไม่ใช่เถียงสมเด็จ เถียงยกทรง ทางน่ะมีเพราะไม่มีวิหารจะสร้างไม่มีเงินสร้างมีทางเยอะแยะ เดี๋ยวนี้สิไม่มีทาง

    "เมื่อก่อนมีทางใช่ไหมครับ"

    ใช่

    "แล้วท่านก็เลยบอกว่าที่วัดท่าซุงน่ะ มีข้างบนเขามาช่วยเต็มที่ทั้งพระทั้งเทวดา ฉันเชื่อร้อยเปอร์เซ็นต์ เพราะฉะนั้นวัดนี้นะต่อไปจะมีความสำคัญมาก โดยเฉพาะอย่างยิ่ง (ท่านแนะนโยบายว่า) การที่จะไปทำบุญกับหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุง เราต้องมีเหลี่ยมกับท่านหน่อย เพราะพระองค์นี้ไม่เหมือนพระชาวบ้านชาวเมือง"

    เหมือนยังไง คนละคน ไม่เหมือนกันหรอก สมเด็จผอมกว่าฉัน แล้วฉันต่ำกว่าสมเด็จ(หัวเราะ)

    "องค์นั้นไม่มีหนี้ องค์นี้เป็นหนี้"

    ไม่ก้อยฉันว่าเป็นหนี้ เป็นนะ เป็น

    "เขาเรียกว่าเป็นหนี้เงียบ ๆ นะครับ"

    ใช่ๆๆ

    "ฉะนั้นท่านถึงยอมรับว่าเพราะข้างบนข้างล่างมาร่วมกัน งานจึงสำเร็จเรียบร้อย ท่านบอกว่าอย่างนี้ คือว่าถ้าจะไปเช่า จะไปทำบุญหรือจะไปเช่าพระมหาลาภคำข้าวกับหลวงพ่อฤๅษีวัดท่าซุงน่ะ ต้องละเอียดกว่าท่านหน่อย ท่านแนะผมว่าอย่างนี้แล้วท่านก็เรียกลูกศิษย์ผู้หญิงท่านหนึ่ง หนูๆๆ เข้ามาๆ ฝากเงินคุณวีระไป 50 บาท ไปเช่าพระผง แต่เวลาเข้าไปน่ะ ให้เข้าไปทีละ 10 บาทได้องค์หนึ่ง แล้วก็ถอยออกมาแล้วไปต่อแถวที่เดิมอีกจะได้ 5 องค์ เพราะว่าเข้าไปทีเดียว 50 น่ะได้องค์เดียว

    "พอพูดแล้วท่านก็หัวเราะ ท่านดีใจว่าเหลี่ยมดีกว่าวัดท่าซุง"


    "นี่ แหละครับความจริงไปคุยทุกๆวัน วันละเรื่องๆนะ ที่พูดวันนี้ก็เพราะว่าเกี่ยวโยงกับพระคำข้าวมหาลาภ พยายามนะเก็บไว้

    องค์ไหนที่รับกับมือหลวงพ่อ องค์นั้นนะเก็บให้ดี ให้ติดกับตัว จะเลี่ยมหรือว่าจะใส่กระเป๋าสตางค์ก็ได้แยกต่างหาก เพราะว่าท่านไม่ได้แจกองค์เดียว

    ตอนนี้ยกทรงก็เผลอเถียง ไม่ได้เถียงนะ ค้าน แจกองค์เดียวครับขนาดแจกไปแจกมาที แรกก็มือแจกนะ หนักๆเข้าก็ต้องยื่นๆๆๆ แถมสโลโมชั่น สงสัยจะเหนื่อยนะ เราบอกไม่ใช่แจกองค์เดียวครับ ท่านก็ยังยืนยัน

    แต่ความจริงหลวงพ่อมีองค์ปฐมหรือองค์ปัจจุบัน ครับที่สงเคราะหลวงพ่ออยู่ เวลาแจกพระ"

    (หลวงพ่อ) เวลาแจกหรือ 1. องค์ปฐม 2. องค์ปัจจุบัน 3. พระพุทธทีปังกร 4. พระพุทธกัสสป และ 5. พระปัจเจกพุทธเจ้าที่อยู่เวลานี้นะ

    "อย่างนั้นก็ตรงที่สมเด็จท่านพูดเป็นนัยๆ ก็มาตรงกัน"

    ตรงกันเพราะท่านรู้เรื่อง

    "แล้วการปลุกเสกคราวนี้จะมีอะไรที่พอจะเล่าให้ลูกหลานฟังบ้างไหมครับ เพราะต้องผิดปกติแน่"

    มี ขาบวมทั้ง 2 ข้างขึ้นไปกุฏิขาบวมปูดเลย ไอ้ขาโต๊ะ เขาทำขยับขาไม่ได้ เขาทำเป็นชั้นมันต่ำ ขยับขาไม่ได้ ชาเด่ พอดีหมอคอยอยู่ หมอไปคอยอยู่ 2 วัน

    "นี่เป็นความอัศจรรย์"

    ใช่ๆๆๆๆ

    "บางครั้งมีเหตุการณ์ เกิดมีหมาหอน พอจะหอนก็หอนพร้อมกัน ตอนที่หลวงพ่อปลุกเสกน่ะ แล้วก็ไฟดับ หลวงพ่อลองเล่าดีกว่า ขาบวม ไม่เอาครับ"

    ไม่ใช่ขาบวม มันเป็นขามหาเศรษฐีน่ะ อ้าว แบบมันยืนไม่ไหว ขาบวมไง เออ ก้าวไม่ขึ้นหนัก

    ความจริงพระท่านมาเต็มที่ สมเด็จองค์ปฐมลอยเต็ม พระพุทธเจ้าล้อมเต็ม แต่ไม่เห็นของที่ปลุกเสกเลย แสงขึ้นนะสว่างมาก ของที่ปลุกเสกน่ะมองไม่เห็น

    "ก็แสดงว่าองค์ปฐมเป็นประธาน"

    ทั้งหมด พระพุทธเจ้าทุก ๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระอริยะทั้งหมด พรหม เทวดาทั้งหลาย พอเสร็จแล้วฉันตั้งเวลาไว้ 1 ชั่วโมง พอถึงเวลา 50 นาที ท่านบอกเต็มแล้วลูก

    แต่ว่าเวลาที่นั่งปลุกน่ะ ตามปกติมีพระโมคคัลลาน์ พระสารีบุตรคุมฉัน และปลุกพระคำข้าว กับพระหางหมากนี่องค์ปัจจุบันคุมฉันเอง เวลาท่านยืนคุมอยู่ท่านพุ่งแสงใจมา ที่กายฉันแสงสว่างเป็นลำนะ บอกให้นั่งเฉย ๆ 10 นาที อย่าคิดเห็นอะไรทั้งหมด ให้อยู่เฉยๆ นะ พอหลังจาก 10 นาที บอกดูได้ ดูได้เห็นพระพุทธเจ้าพรึ่บเต็มไปหมด พระอรหันต์เต็มไปหมด

    พอถึงคาถามหาลาภ ขึ้นเป็นแสงทองคำกระจายพรึ๊บเต็มบริเวณทั่วหมดไปถึงคนเลย ฉะนั้นวันนี้ท่านให้มาเก็บค่าครู(หัวเราะ)

    "แล้วเกี่ยวกับพระมหาลาภคำข้าวนี้ได้ข่าวแว่วๆว่าคราวนี้ทำไม่ทันได้แค่ล้านสามแสนกว่าๆหรือครับ"

    ใช่ๆๆ วันที่ 17 พ.ค. จะทำอีกประมาณสัก 2 ล้านเศษๆ เท่าที่เขาจะทำเสร็จนะ

    "งั้นแสดงว่ารุ่นนี้หนักกว่ารุ่นแรก"

    ทำแล้วก็เท่าๆกันนะ แต่ความจริงท่านมาเหมือนกันแต่ทำหนักมากเป็นพิเศษทีเดียว รุ่นนี้ถือว่าเป็นพิเศษทีเดียว ก็คงพิเศษอย่างนี้ไปทุกรุ่น ก็ต้องถือว่ารุ่นเดียวกัน ไม่ใช่พระหลายรุ่น

    "มานึกในใจ ทำไมราคาไม่เท่าไหร่ คนอื่นเขาออกเป็นร้อยเป็นพัน"

    เพราะท่านสั่งของท่านเอง องค์ปฐมนะ อย่างซุ้มประตูนี่ ซุ้มประตูทำใหม่นะราคาแสนห้าหมื่นเศษ แต่ว่ามีเจ้าภาพเขาให้เงินมาแสนบาทให้ทำ 2 ซุ้ม ท่านเลยให้เขียนว่าบริจาค 5 หมื่นบาท 2 ซุ้มแล้วอีกแสนห้าเก็บแถวนี้

    "เรื่องพระนี่คือว่าพระคำข้าวก็ดีพระหางหมากก็ดี ผลน่ะ ตุลิตะ ตุลิตัง เร็วๆไว ไม่ต้องรอเนิ่นนาน"

    รุ่นนี้เร็วมาก

    "ผมนึกในใจนี่ สงสัยจะสงเคราะห์ลูกหลานมากกว่า คนยากจน คนไม่จน คนอะไรก็ได้ทั้งนั้น"

    ท่านตั้งใจสงเคราะห์ทั้งคนทั้งวัด วัดรับไปให้เขาทำบุญราคามากกว่าช่วยสร้างวัดไงเล่า ทีนี้ชาวบ้านที่เอาไปก็สงเคราะห์ อย่างยกทรงเอามาใช่ไหม อย่างมากรุงเทพฯนี่ เอาใครเอาจากฉันก็ได้คนละร้อยบาท ลองคิดซิ 100 บาทนี่ไม่ได้แพงเลย ถ้าเขาจะเสีย 10 บาทที่วัดท่าซุง เขาเดินทางไปเดินทางมามันเกิน 100 บาท ใช่ไหม


    "นึกได้แล้ว คำสั่งของสมเด็จท่านสั่งว่าอย่างนี้ว่า พระมหาลาภที่รับจากมือหลวงพ่อ ท่านสั่งว่าให้ติดตัว บอกว่าเวลาแจกท่านไม่ได้แจกองค์เดียวแล้วไม่ได้ขยายความเสียด้วยซิ เวลาแจกไม่ได้แจกองค์เดียว ทีแรกผมก็นึกเอ๊ะจริงนี่หลวงพ่อแจกเยอะนี่ทีละองค์ๆๆๆ เกือบจะพูดอย่างนั้นแล้ว พอดีท่านก็รู้ไวนะครับ เพราะข้างบนท่านมาช่วยแจกด้วย ท่านเลยสงเคราะห์กลัวจะโง่มากเกินไป ท่านรู้ใจจริงๆ"

    เก่งมาก ยกล้อเลย องค์นี้นะ เจโตปริยญาณก็ดี ทิพพโสตญาณก็ดี ทิพพจักขุญาณก็ดี ดีหมดเก่งมาก ท่านดีอย่างเดียว ดีหมดเท่ากัน ก็มาจากทิพพจักขุญาณ

    "พอคุยถึงทิพพจักขุญาณ ท่านบอกว่าเมื่อสมัยก่อนนะ ฉันตั้งสำนักอบรมวิปัสสนา ท่านบอกฉันทำตามตำราเปี๊ยบเลย แล้วผมถามว่าได้ผลเป็นไงครับ ท่านบอก คุณวีระอย่าไปเล่าให้ใครฟังนะ ฉันทำมาได้ผลขนาดหนักเลย เลยถามว่าขนาดหนักของหลวงปู่เป็นไงครับ ปรากฏว่าลูกศิษย์ทุกคนน่ะปลาบปลื้ม ปีติ หายไปหมดเลย คนโน้นก็ไม่ได้ คนนี้ก็ไม่ได้ ฉันเลยเลิกไปเลย แล้วท่านก็บอกว่า

    เออ หลักสูตรใหม่ของวัดท่าซุง มโนมยิทธิ อย่างนี้เขาเรียกว่าทันสมัย เออ อาจารย์ดี ลูกศิษย์ก็ติด ครูก็ได้ ศิษย์ก็ได้ อย่างฉันกางตำราไม่ได้เรื่องเลย"

    (หลวงพ่อ) ใช้ตำราเดียวกันแต่ว่าลีลาการใช้ต่างหาก อันดับแรกก็ขึ้นอานาปานุสสติเหมือนกัน ต้องใช้ ต้องภาวนาเหมือนกัน จับภาพพระพุทธรูปเหมือนกันแต่ลีลาการใช้ต่างกัน

    "แล้วท่านก็บอกนะครับ ที่ฉันสอนว่า พุทโธๆๆๆๆ ไม่มีใครเห็นสักคน เลยเลิกกันไปเลย"

    ฉันเองก็ล่อมานานแล้ว หลายรูปแบบ



    (จากคอลัมภ์ "สนทนาที่สายลม" ธัมมวิโมกข์ เดือนกุมภาพันธ์ 2534 หน้า 45-49)


    a.jpg


    สมเด็จพระมหา รัชมังคลาจารย์ วัดปากน้ำ กำลังกราบเรียนถวายรายงานแด่หลวงปู่วัดสามพระยา ในพิธีเปิดการฝึกซ้อมอบรม และ สอบความรู้พระอุปัชฌาย์ รุ่นที่ 31 เมื่อ 26 มกราคม 2539 ณ ศาลาอบรมสงฆ์ วัดสามพระยา

    ด้านซ้ายมือของภาพ สมเด็จพระมหาธีราจารย์ วัดชนะสงคราม และ สมเด็จพระพุฒาจารย์ วัดสระเกศ

    247905.jpg


    วันปลุกเสกพระคำข้าว (รุ่น 2)

    ผู้ถาม : กราบเท้ามนัสการพระเดชพระคุณหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อวันที่ 29 ธ.ค. ปลุกเสกพระคำข้าวมหาลาภนั้น ลูกไม่มีโอกาสไปร่วมพิธี แต่ก็ฝากเงินทำบุญร่วมโมทนาด้วย แต่ที่จะกราบเรียนถามก็คือว่าอย่างนี้ ส่วนใหญ่ 80 เปอร์เซ็นต์ ไม่ได้เข้าไปร่วมพิธี ก็อยากเรียนถามหลวงพ่อว่าวันนั้นมีอะไรพิเศษที่พอจะเล่าให้ลูกหลานฟังได้บ้างหรือไม่ เช่น หมาหอน ไฟดับ เป็นต้นเจ้าค่ะ

    หลวงพ่อ : เขารู้แล้ว เขาถามหมาหอน ไฟดับ ที่ไม่รู้มีอยู่อย่าง ขาฉัน 1 ข้างขยับไม่ได้ คือว่า เอาอย่างนี้ก็แล้วกัน 1. มีฉัน 2. มียกทรง 3. ฉัน 4. ยกทรง (หัวเราะ)

    มียังนี้นะ ตามธรรมดาปลุกพระ ตามปกติที่ปลุกมาแล้วนะ ที่ผ่านมาก็มี พระโมคัลลาน์ พระสารีบุตร คุมฉัน คอยคุมอารมณ์ สูงไป เครียดไป ต่ำไป ให้พอดี

    แต่ว่าตั้งแต่ปลุกพระคำข้าวรุ่นก่อนก็ดี พระหางหมากก็ดี คำข้าวรุ่นนี้ก็ดี องค์ปัจจุบันคุมฉันเอง และวิธีคุมท่านไม่พูด ท่านใช้แสงออกจากกายท่านนะ แสงสว่างมาก พุ่งมาที่กายฉัน และสั่งห้ามขยับเขยื้นใจ ให้ทรงตัวนิ่งๆ ให้ใจนิ่งสัก 10 นาที แล้วก็อนุญาตดูได้

    พอดูได้ ก็เห็นสมเด็จองค์ปฐม นั่งขัดสมาธิองค์ใหญ่เบ่อเร่อเต็มวิหาร เหนือที่ปลุกเสกนะ และรอบๆนั้นก็พระพุทธเจ้าเต็มหมด แสงสว่างจ้า พระอรหันต์เต็ม

    ฉันไม่เห็นของที่ปลุกเสกเลย แสงหนามาก และแสงน่ะเปลี่ยน เป็นสีๆ อันดับแรก ท่านบอกคุณว่า อิติปิโส ไปครึ่งชั่วโมง ครึ่งชั่วโมงนี่ห้ามขยับเขยื้อน จิตใจขยับไหนไม่ได้เลยนะ

    ตอนถึงครึ่งท่านบอกว่าช่วงนี้ทำรอบตัวทุกอย่าง ทำทุกอย่างนะ

    ต่อไปหลังจากครึ่งชั่วโมงแล้วก็เปลี่ยน เปลี่ยนไปแต่ละอย่าง อย่าง ลาภบ้าง ป้องกันบ้าง อะไรบ้างว่าไป

    ในตอนลาภนี่สีแปลก แทนที่จะเป็นสีใส เป็นสีทองขึ้นท่วมเลย และกระจายพรืดไปทั่วคนทุกคนที่นั่ง

    ผู้ถาม : กระจายเฉพาะเขตในหรือรอบนอกด้วยรึเปล่าครับ

    หลวงพ่อ : ทั้งหมดน่ะ บริเวณวัดนะ แต่อีตอนไฟดับนั่น ตอนคาถาที่ข้าศึกไม่เห็นตัว พอถึงคาถาข้าศึกไม่เห็นตัว ไปดับปั๊บพอดีเลย ไอ้ที่ไปดับเพราะอะไรรู้ไหม ท่อน้ำแตก ท่อน้ำเขาซื้อใหม่ๆน่ะมันมีหลายเครื่องที่วัดนะ เขาต้องติดอีกเครื่องหนึ่งเลย อันนั้นท่อน้ำใหม่มาก เพิ่งซื้อใหม่ๆ เป็นเหตุน่าอัศจรรย์นะ ไม่งั้นไฟก็ไม่ดับ

    ผู้ถาม : ตรงคาถาว่าอะไรครับ

    หลวงพ่อ : ข้าศึกไม่เห็นตัว ถ้ามีความจำเป็นนึกถึงพระ ข้าศึกกวดมาจะไม่เห็นตัว

    ผู้ถาม : อย่างสมมติว่าจะฝ่าไฟแดงนี่ เราก็..

    หลวงพ่อ : ถ้าฝ่าไฟแดงนะ เราก็ให้เราไม่เห็นตำรวจ (หัวเราะ) อ้าว! หลับตาเสียซิ ไอ้นั่นนะข้าศึก ไฟแดงไม่ใช่ข้าศึก นั่นเขาตามกฎหมายตามระเบียบเขา

    นี่หมายความว่าถ้าหนีเขาใช่ไหม เขามามากสู้ไม่ได้ นึกถึงพระ นั่งอยู่แต่มองไม่เห็น เว้นไว้แต่ว่าหนีเมียหนีเที่ยวไม่แน่นอนนักนะ ไปพ้นได้แต่กลับมาถูกสากกะเบือ (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : ช่วยได้ตอนขาไป

    หลวงพ่อ : ใช่ๆๆ

    ผู้ถาม : เรื่องไฟดับน่าอัศจรรย์! แล้วเรื่องหมาหอนนั่นล่ะครับ ?

    หลวงพ่อ : หมาหอนนั่น เขามาประชุมกันพร้อม มันจวนเวลาที่ท่านจะสั่งการ พอเสร็จเรียบร้อยแล้ว สมเด็จองค์ปฐม ท่านเรียก พระอินทร์ กับ สหัมบดีพรหม เข้ามาบอกว่า

    "พระของฉันและทุกอย่างที่ปลุกวันนี้ ไม่ใช่พระอย่างเดียวนะ แก้วก็มีเสร็จนะ ทุกอย่างถ้าอยู่กับใครก็ดี ให้สั่งให้เทวดาสักองค์หนึ่งตามอารักขาตลอดเวลา..."

    ผู้ถาม : เรียกว่าทุกชิ้นมีเทวดา..

    หลวงพ่อ : ใช่ๆๆ เว้นไว้แต่เวลาไม่บอกท่าน ระวังให้ดีนะ! เทวดาน่ะต้องบอกนะ!

    ผู้ถาม : ถ้าไม่บอกก็...

    หลวงพ่อ : ก็อย่างกับ ยกทรง ฉันบอก ยกทรง ไปวัดท่าซุง ไอ้ฉันบอกที่ไหน ฉันนั่งเฉยๆ ฉันไม่สั่งทำงานทำอะไร เทวดาไม่ใช่คนนะ ตรงไปตรงมานะ

    ผู้ถาม : อย่างนี้ต้องชัดเจน ขอให้ช่วยตลอดทุกวันนะ

    หลวงพ่อ : ก็ดีใช้ได้ๆ ฉันเคยเจอะเทวดา เรื่องตรงไปตรงมา จะเล่าให้ฟังเอาไหม..เรื่องมีอยู่ว่า เมื่อปี พ.ศ.2503 จำให้ดีนะ ฉันไปที่วัดต้นโพธิ์ ที่จังหวัดชัยนาท มันมีกุฏิเล็กๆ อยู่ 2-3 หลัง และมีศาลาย่อมๆ โปร่งๆ อาศัยเขานอน

    พอนอนไปประมาณสัก 4 ทุ่ม ก็เห็นผู้หญิงคนหนึ่ง เขาใช้ผ้าคาด 2 ข้างอย่างตะเบ็งมานนั่นน่ะ แล้วก็มีผู้ชายรัดคอดึงออกไป

    ฉันก็เลยบอกว่า "นี่มันผีผู้หญิงปล่อยมันเถอะ! อาจจะขอส่วนบุญละมั๊ง"

    เขาก็เลยปล่อย พอตอนตี 2 มันเจ็บหน้าอก 2 ข้างนี่ เจ็บยันตื่น เจ็บถึงข้างหลังเลย ลืมตามาเห็นยายคนนั้นนะ มันเอามือจี้ 2 ข้าง ก็เลยดิ้นไปดิ้นมาก็เลยหลุด เห็นเทวดา 4 องค์อารักขาอยู่ใช่ไหม ชั้นจาตุมหาราช

    บอก "พี่ชาย ทำไมไม่ขับออกไป?" แกก็เลยกระชากออกไป ไล่ตีไป

    ถามว่า "ทำไมปล่อยให้เข้ามา?"

    ท่านเลยบอกว่า "เมื่อตอนหัวค่ำ มันเข้ามาแล้วผมจับมันออกไป ท่านบอกให้ปล่อยไง"

    มันล่อเราเสียเกือบตาย นั่งดูเฉย (หัวเราะ) นี่ให้เข้าใจเรื่องเทวดา ตรงไปตรงมา ฉะนั้นขอให้ท่านอารักขาตลอดกาลก็แล้วกัน ถ้าทางที่ดีนะ

    ผู้ถาม : เรื่อง "พระมหาลาภคำข้าว" นี่เรื่องพุทธานุภาพปลุกเสกครั้งแรก ครั้งนี้ และครั้งต่อๆไปนี่ก็เหมือนกันใช่ไหมครับ?

    หลวงพ่อ : เหมือนกัน อาจจะผิดกันนิดหน่อย

    ผู้ถาม : ตอนที่ปลุกเสกที่วิหารแก้ว 100 เมตร รู้สึกว่ามีหมาหอนด้วย

    หลวงพ่อ : นั่นหมามันหอน ถ้าคนหอนนี่ผิดปกติ (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : คงจะเห็นอะไรต่ออะไร?

    หลวงพ่อ : ใช่! เขาเห็น อีตอนนั้นใกล้จะเลิก ท่านเรียกประชุม

    ผู้ถาม : พระที่ปลุกเสกที่ผ่านมานั้นกับที่เพิ่งผ่านมานี่ความสมบูรณ์แบบเหมือนกันหรือเปล่าครับ?

    หลวงพ่อ : เหมือนกัน แต่อานุภาพต่างกัน

    ผู้ถาม : ต่างกันยังไงครับ หลวงพ่อ?

    หลวงพ่อ : ฉันให้ หมอชนะ เช็ค หมอชนะ นั่นเก่ง ทิพยจักขุญาณ ท่านเก่งมาก หมอเขานั่งลืมตา ไม่ได้ดูพระนะ ให้เขาเช็คด้วยอารมณ์เฉยๆ ให้ถามพระบอก

    รุ่นแรกดี มีลาภมาก อย่างอื่นดี
    รุ่นที่สองดี มีลาภมาก อย่างอื่นดีเข้มข้นกว่า
    รุ่นสามดี มีลาภมาก ปืนแตก

    จะเล่าอะไรให้ฟังไหม อย่าไปลองกันนะ ห้ามลอง พ.อ.(พิเศษ)สถาพร ผู้บังคับการจังหวัดทหารบกพิษณุโลก มาเล่าให้ฟัง บอกลูกศิษย์แกมีรุ่นแรกไปองค์เดียวติดคอไป ไปถูกมีดเขาฟันหัวตรงนี้ ฟันเบาๆ ไม่แรงสลบเลย

    แกเลยถาม "มีอะไรบ้าง?"

    แกบอก "มีที่คอไว้องค์เดียวครับ พระคำข้าว"

    นี่อย่าลองนะ ลองเจ๊ง! เอาจริงๆ ไม่เป็นไร ลองไม่ได้ ถ้าจะใช้ปืนลองก็ไม่ยาก เอาพระห้อยคอใช่ไหม ปากกระบอกปืนใส่ปาก รับรองยิงไม่ออกทุกองค์ ไม่กล้าง้าง (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : ทีนี้ พระหางหมาก ทุกๆหน สองอย่างนี้คล้ายคลึงกันหรือว่า..

    หลวงพ่อ : คล้ายคลึงกัน แต่ถ้าเรื่องลาภ พระคำข้าว ลาภสูงกว่า อย่างอื่นเหมือนกัน



    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ ฉบับที่ 234 เดือน กันยายน 2543 หน้า 52-54)

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 22 มกราคม 2022
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    งานพิธีวันเสาร์ห้าที่ 20 ตุลาคม 2555


    ......เนื่องในวันที่ 20 ตุลาคม 2555 ตรงกับวันเสาร์ 5 ซึ่งทางวัดท่าซุง โดยหลวงพ่อเจ้าคุณพระภาวนากิจวิมล (อนันต์ พทฺธญาโณ) และคณะสงฆ์วัดท่าซุง จะทำพิธีพุทธาภิเศกภายในพระอุโบสถ

    เวลาประมาณ 16.00 น. หลวงพ่อท่านเจ้าคุณภาวนาฯ ประธานในพิธีจุดธูปเทียนที่ด้านหน้าพระประธาน พระเถระรองลงมาจะจุดธูปเทียนที่บายศรี และจุดเทียนรอบวัตถุมงคล จากนั้นเริ่มทำพิธีบวงสรวงด้วยเครื่องบายศรีครบชุด ตามพิธีกรรมที่ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน ทำไว้สมัยที่ยังมีชีวิตอยู่ หลังจากเปิดเทปหลวงพ่อบวงสรวงแล้ว พระสงฆ์สวดอิติปิโส 21 จบ นั่งสมาธิภาวนา "พุทโธ" ประมาณ 20 นาที

    ในขณะที่ทำพิธีอยู่ในโบสถ์ ญาติโยมที่อยู่ด้านนอกให้ภาวนา "พุทโธ" ไปด้วย กรณี ผู้ที่ไม่สามารถไปร่วมพิธีได้ ขอให้ทุกท่านอาบน้ำชำระกายให้เรียบร้อย จัดเตรียมเครื่องบูชาครูพร้อมแล้ว ให้จุดธูปเทียนบูชาพระรัตนตรัย ตั้งใจสมาศีล 5 ที่หน้าองค์พระ แล้วน้อมกราบอาราธนาบารมีคุณพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ และครูบาอาจารย์ อันมี หลวงปู่ปาน หลวงพ่อพระราชพรหมยาน เป็นที่สุด

    ขอได้โปรดแผ่พระบารมีครอบคลุมร่างกายของเรา ให้เป็นตาข่ายเหมือน "ยันต์เกราะเพชร" เพื่อเป็นสิริมงคลเหมือนกับที่ท่านเคยทำสมัยยังมีชีวิตอยู่


    ในขณะนั้นให้ตั้งเวลาไว้ประมาณ 30 นาที แล้วภาวนาคำว่า "พุทโธ" ไว้ตลอดเวลาด้วย

    ข้อสังเกต : ถ้า ใครมีความอาการหนักที่ศีรษะนิดๆ หรือคันยิบๆ หรือสัมผัสว่ายันต์ได้ครอบคลุมแล้ว ลักษณะที่กล่าวเป็นตัวอย่างเช่นนี้ ให้มั่นใจว่าผู้นั้นได้รับ "ยันต์เกราะเพชร" แล้วแน่นอน (บางคนได้รับยันต์แล้ว แต่ก็ไม่เกิดอาการดังกล่าว หรืออาจจะเกิดแตกต่างกันไปบ้างก็ขอให้มั่นใจ) ส่วนสตรีที่มีครรภ์ โปรดเตรียมดอกไม้ธูปเทียนไว้สำหรับลูกในท้องอีกชุดหนึ่งด้วย


    http://www.watthasung.com/wat/viewthread.php?tid=1579




     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    วันนี้แล้วนะครับ ถ้าพี่ๆน้องท่านใดไม่ได้ไปร่วมงานเองที่วัด ก็สามารถอาราธนารับยันต์เกราะเพชรได้เองที่บ้าน หรือ ที่ทำงาน

    ถ้าไม่สะดวกจริงๆ ดอกไม้ธูปเทียนไม่ต้องก็ได้ครับ ขอแค่ตั้งใจอาราธนาขอรับยันต์เกราะเพชร ตามวิธีด้านบนที่ทางวัดท่าซุงแนะนำมาให้ครับ


    เริ่มพิธีบ่าย 4 โมงนะครับสำหรับงานคราวนี้ แล้วทำสมาธิภาวนา พุทโธ ไปราวๆ 30 นาที


    ได้ผลหรือมีอาการเป็นยังไงบ้าง ตอนนั่งรับยันต์ เล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ



     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ทำบุญหน้าบูดหน้าบึ้ง

    ผู้ถาม : “หลวงพ่อคะ เวลาคนเราทำบุญหน้าบูดหน้าบึ้งอารมณ์เสียนี่ ผลบุญที่ทำไปจะได้รับอย่างไรคะ”

    หลวงพ่อ : คนหน้าบูดไม่มีนะ มันมีแต่ข้าวบูดขนมบูด หน้าอาจจะเปลี่ยนเป็นหน้าเบี้ยวหรือปากเบี้ยว ความจริงเขาบอกว่าถ้าทำบุญผสมโทสะ ใช่ไหม เรื่องนี้ฉันจะไปเจ๊งที่สมุทรสงครามเรื่องมีอยู่ว่า ไปเทศน์ที่ วัดท้องคุ้ง อ.อัมพวา ไปเทศน์ที่นั่นก็มีโยมผู้ชายคนหนึ่งแกชอบมาถามปัญหา ถามปัญหาทุกครั้งก็เป็นปํญหาที่เราเข้าใจตอบได้ มาครั้งหลังฉันข้าวเพลอยู่ โยมก็บอกว่า พระเดชพระคุณทั้ง 3 องค์ครับ ตอนนั้นไปเทศน์ 3 ธรรมาสน์นะ เจ้าคุณธรรมบาลด้วย มหาประยูร ด้วย แกบอกว่าอะไรที่ถาม พระเดชพระคุณทั้ง 3 องค์ก็ตอบได้ แต่เที่ยวนี้ผมมีข้อข้องใจว่าคนที่ทำบุญไปแล้วไปเกิดเป็นเทวดามีหน้าตาสดชื่น มีวิมานอยู่ มีกายเป็นทิพย์ ถ้าไปเกิดในอบายภูมิก็มีหน้ายุ่งมีแต่ความทุกข์


    อยากจะทราบว่าพวกอสูรมีวิมานอยู่เหมือนกัน มีร่างกายเป็นทิพย์เหมือนกันแต่หน้ายุ่งๆ ทำบุญอะไรครับ เจ๊งเลย ตอบไม่ได้ ต่างคนต่างมอง ฉันก็เลยมองหน้าเจ้าคุณธรรมบาล ท่านเป็นอาวุโส เจ้าคุณธรรมบาลก็ส่ายหน้า ท่านเป็นเจ้าคุณนี่ พูดไม่ออกแล้ว เสียศักดิ์ศรี มองหน้ามหาประยูร ท่านก็ส่ายหน้า เราอาวุโสอ่อนกว่า ทำไง หาทางออกไม่ได้ บอกโยม เรื่องนี้มีความสำคัญมาก ยังไม่มีใครเคยถาม ถ้าจะตอบให้โยมฟังเวลานี้ตอบได้
    แต่ก็จะมีความรู้แค่โยมคนเดียว อาตมาขอไปตอบบนธรรมาสน์ก็แล้วกัน แน่ะ ! เก่งนะ สุนัขขี้ไม่มีใครยกหาง(หัวเราะ)

    ความจริงมันไปไม่รอดแล้ว ใช่ไหม ก็เป็นอันว่าโยมก็ยอม ก็คิดในใจว่าเมื่อขึ้นธรรมาสน์เราไม่พูดเสียอย่างเดียว ใครจะว่าอะไร ไม่มีทาง ทีนี้ก็ลงไปศาลา อันดับแรกเขาถวายผ้าไตรก็ต้องสรงน้ำก่อน ตอนที่มานั่งคอยที่ญาติโยมมารดน้้ำนั่น แหละ ได้ยินเสียงลงมาจากอากาศ เสียงชัดมาก เสียงกังวานเพราะ ท่านบอกว่า นักเทศน์ต้องรู้ทุกอย่าง ก็เลยนึกในใจบอกว่า สิ่งนี้ไม่เคยรู้ จะรู้ได้อย่างไร ท่านบอกว่า ต้องรู้ ให้ตอบเขาว่าอย่างนี้


    คนที่เคยไปเป็นอสูรมีวิมานเป็นทิพย์ มีร่างกายเป็นทิพย์ ทุกอย่างเป็นทิพย์หมดเหมือนเทวดา แต่หน้าตายุ่งยิ่งไม่สวย ใช่ไหม ท่านบอก ทำบุญผสมความโกรธ ขณะที่ยังทำบุญ จะรักษาศีลก็ตาม ให้ทานก็ตาม คนมาสะกิดบ้าง โมโหในช่วงนั้น ท่านบอกตายแล้วเป็อสูรหน้ายุ่ง

    (จากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่มที่ 32 หน้า 3-4 )
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 13 มีนาคม 2020
  13. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงปู่ครูบาธรรมชัยและหลวงพ่อ


    ท่าน ผู้อ่านคงจำได้ว่า เมื่อตอนที่เขียนถึงหลวงปู่คำแสนเล็ก ได้เคยกล่าวถึงพระสงฆ์องค์หนึ่งที่หลวงปู่คำแสนเล็กทั้งดุและเอ็นดู และเมื่อตอนที่แล้วของหลวงปู่ชุ่มในพิธียกฉัตรจำลองที่พระธาตุจอมกิตติ ได้เอ่ยชื่อพระสุปฏิปันโนองค์สุดท้ายในรายชื่อพระที่ไปร่วมพิธีบวงสรวงครั้ง สำคัญ พระองค์นั้นคือ “หลวงปู่ธรรมชัย” แห่งวัดทุ่งหลวง อ.แม่แตง จ.เชียงใหม่ นั่นเอง

    ท่านผู้อ่านที่รัก ถ้าจะมีพระดีสักองค์ที่รักและเคารพพ่อของเรา (หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ วัดท่าซุง) อย่างสุดที่จะรักได้ และแสดงความในใจออกมาทางกายได้เหมือนใจที่สุด องค์นี้แหละเป็นอย่างที่กล่าวนั้น

    ผู้เขียนพบหลวงปู่ครูบาธรรมชัยครั้งแรกในงานบวงสรวงยกฉัตรพระเจดีย์ ธาตุจำลองที่วัดพระธาตุจอมกิตติ อ.เชียงแสน จ.เชียงราย เมื่อเกือบจะ 30 ปี โน้น แต่บุคลิกภาพของท่านยังชัดเจนไม่เคยเลือนราง ยังต่อเนื่องภาพลำดับเหตุการณ์ของหลวงปู่ ไม่เคยจางหาย เช้าวันนั้น...พวกเราชาววานรชาญสมรชาญบุรุษทั้งหลาย นั่งล้อมรอบพ่อรอเวลาฤกษ์จะบวงสรวงยกฉัตร ขณะนั้นก็มีพระร่างเล็กห่มดองครองสีกรัก ใส่ประคำคอเม็ดใหญ่ มือถือไม้สั้นอย่างทะนุถนอมแต่โอ่อ่าดุจถือคฑาประจำยศ ใบหน้าท่านเกลื่อนเกลี่ยด้วยรอยยิ้มเต็มใบหน้า เดินค้อมไหล่นิดๆ เข้ามากราบองค์พระเจดีย์จำลอง กราบนุ่มนวลนบนอบกอบใส่เกล้า

    เรานี่... ดูท่านแล้วต้องน้อมใจ ก้มหัวนึกกราบตามกอบตามท่านชนิดห้ามใจไม่อยู่ เสร็จแล้วท่านก็มากราบพ่อแทบเท้า ยิ้มสบตาพ่อด้วยรอยยิ้มเหมือนเด็กดีใจ โอยนี่มันคืออะไร... พ่อก็มองหน้ารับยิ้มตอบเหมือนท่านผู้ใหญ่จับตาพบเด็กน้อยที่คอยหา เอาล่ะ....เท่านี้ก็พอที่จะกระตุ้นความอยากของผู้เขียนให้ชนะความสำรวม มารยาทได้ทันที เมื่อเลี่ยงเข้าไปถามท่านว่า

    “หลวงปู่กราบสวยจังครับ ตอบกราบเจดีย์ยิ่งงามมาก...” (กำลังจะถามต่อว่า หลวงปู่กราบอะไร เห็นอะไร ทำนองนั้นแหละ) ท่านก็หันมายิ้มตอบว่า

    “หลวงปู่กราบพระบรมสารีริกธาตุพระพุทธเจ้า แสงรังสีสวยงามเหลือเกิน เป็นบุญมากน๊อ...” ก็หายสงสัยคลายอารมณ์คัน ผู้เขียนน่ะไม่ได้เห็นแสงฉัพพลัณณรังสีเหมือนหลวงปู่ แต่รู้แน่ชัดเพราะเห็นพ่อบรรจุพระบรมสารีริกธาตุนั้นกับตาของตัวเองตามที่ เขียนเล่าในตอนหลวงปู่ชุ่ม

    หลวงปู่ธรรมชัยองค์นี้ จะเรียกว่าพระอภิญญาหรือเปล่า ไม่ชัดเจนนัก แต่ด้านทิพจักขุญาณนี่ว่องไวไม่ทันกำหนดจิต หลวงปู่เป็นพระหมอ สงเคราะห์ผู้คนด้านรักษาโรคและกฎของกรรมพิสดารพ้นวิสัยเยียวยาของแพทย์สมัย ปัจจุบัน เวลาท่านตรวจอาการของโรค จะให้คนไข้จับไม้คฑาที่ท่านถือคู่กายอยู่ตลอดเวลานั่นแหละ คนไข้จับด้านปลาย หลวงปู่จับทางด้าม ลืมตาบอกเสียงจะแจ้งเลย...

    “เป็นโรคกษัย....ไม่ใช่มะเร็ง... ป่วยมา 3 ปี 4 เดือน 12 วัน มีอาการปวดเอียว (ผู้เขียนช่วยท่านจดฉลากยาในบางครั้งต้องย้ำถาม จึงได้ความว่าปวดเอว ภาษาเหนือนี่ลืมไปหลายชาติแล้ว) ...ให้กินยามะขางโหด... ยา...(โอย...จำชื่อไม่ได้ มันนานมาแล้ว เกือบ 30 ปี แล้วก็มีมากมายหลายขนาน) ... รักษา 29 วัน หาย!”

    แล้วท่านก็ยิ้มเต็มหน้าเมตตาล้นใจ มองหน้าคนไข้ ผู้เขียนเห็นเขากราบ หน้าเบิกบานมีความสุข ยังนึกว่าคงจะหายโรคก่อน 29 วัน ด้วยซ้ำไป เอ้า...คนอื่นต่อไป... ทยอยเข้ามายาว...แถวยาว...

    สมัยแรกๆ หลวงปู่ธรรมชัยจะรักษาคนไข้ที่บ้านซอยสายลม... มีอยู่วันหนึ่งกำลังทำงานง่วนอยู่ในห้องสอนกรรมฐานปัจจุบันของซอยสายลมนี่ แหละ นั่งกันอยู่ในห้อง มีฝามีผ้าม่านปิด ท่านรีบบอกผู้เขียน

    “นี่....รีบไปเข็นรถลูกหลวงปู่มาเร็ว เอามาเร็วๆ เข้ามาก่อนใครๆ เขาไข้หนักหนานัก”

    ผู้เขียนรีบตาลีตาลานออกไปนอกห้อง หน้าบ้านก็ไม่มี โน่น ! ที่ถนนหน้าบ้านสายลมโน่น....กำลังเปิดประตูท้ายรถแวนเข็นทุลักทุเลลงจากรถ ผู้เขียนรีบเข้าไปช่วยด้วยความงงมากกว่าความสงสาร ....นี่ ขนาดนี้เชียวหรือ ท่านเห็นได้ รู้ได้ยังไง โอย...พาเข้าไปตรงหน้าหลวงปู่ นั่งหน้าเหลืองเหมือนศพ มีสายเสียบจากเอว จากท้อง จากอะไร เขียนว่าอะไรดี....ไอ้ที่ใช้ปัสสาวะน่ะ ระโยงระยางแยงลงในขวด ในถุงพลาสติกที่แขวนรอบรถ ญาติคนป่วยบอกว่าหมอเชิญให้กลับมาตายที่บ้าน หลวงปู่มอง...ยิ้ม....โคลงหน้าจังหวะสั้นๆ สุภาพเชียว

    “ไม่ตาย...ไม่ตาย... ไปอยู่กับปู่ที่เชียงใหม่ รับรองเดือนเดียวหาย...”

    ข่าวที่แน่ชัดในเวลาต่อมาอีก 2 เดือน ก็คือ กวาดวัด ทำงานได้ มอบกายถวายชีวิตให้หลวงปู่เรียบร้อยไปแล้ว

    หลวงปู่ธรรมชัยมาปรากฏกายสงเคราะห์ศิษยานุศิษย์ที่วัดท่าซุงในปี 2519 ซึ่งเป็นปีที่ 2 ของงานประจำปี ท่านมาทีหลังหลวงปู่องค์อื่นแต่ทำงานมากกว่าทุกองค์รวมกัน ทั้งรักษาโรค ทั้งแก้วิบากกรรม (แก้ไขให้ผ่อนหนักเป็นเบา) ทั้งพยากรณ์ให้กำลังใจ หลังฉันอาหารเช้า (ฉันมื้อเดียว ประมาณ 10.00 น.) ก็ลงมือรักษาไปจนโน่น....ดึกเลย จะพักบ้างก็สรงน้ำตอนเย็น ใบหน้ายิ้มตลอดเวลา ผู้เขียนไม่เคยเห็นท่านทำหน้าบึ้งเบื่อหน่าย ไม่เคยได้ยินคำบ่นจากปากว่าเหน็ดเหนื่อย ทั้งๆ ที่คนไข้ก็มีอาการป่วยมากมายหลายประเภท ท่านก็รักษาช่วยเหลือเขาได้

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง.... ทีนี้โรคใจ...

    คนนี้เป็นผู้หญิง สวยเสียด้วย เป็นนางงามและดาราภาพยนตร์สมัย 20 ปี กว่าโน้น เธอเข้ามากราบ... กราบ.... กราบ... กราบ... พอเงยหน้ามองหลวงปู่เท่านั้นแหละ... หน้าสวยๆ นี่...เบะเบ้เลย ร้องไห้โฮลั่นห้อง ไม่อายใคร

    “หลวงปู่เจ้าขา....ฮือ...ฮือ....หลวงปู่....”

    ตาฉ่ำน้ำ ตามองหน้าหลวงปู่เหมือนจะกลืน เหมือนจะกลัว

    “พระอรหันต์มีจริงนะเจ้าคะ....หลวงปู่...”

    “ผมอยากบวชครับ หลวงปู่...”

    อ้าว.... ผู้หญิงหรือผู้ชายกันแน่ เธอก็รำพันของเธอต่อไป ....ยิ่งร้องไห้ น้ำมูกนี่ไหลเปรอะหมดงามกันเลยล่ะ

    หลวงปู่ก็ยิ้ม..ม... พยักหน้าน้อยๆ แล้วพยักหน้าให้ผู้เขียนพาเธอไปล้างหน้าล้างตา กลับออกมายิ้มแป้นสวยกว่าเดิม เพราะตอนนี้ยิ้มแบบมีความสุข สงบจากปิติโลดโผนนั้นแล้ว หันหน้าไปคุยกับพี่ ป้า น้า อา ผู้หญิงที่นั่งประดาหน้าหลวงปู่อยู่ด้วยกัน หลวงปู่ธรรมชัยหันมาพูดกับผู้เขียนเบาๆ ว่า

    “คนนี้ชาติก่อนเขาชื่อ สุทัศน์ บวชเป็นศิษย์หลวงปู่คู่กับเรานี่แหละ”

    อ้าว...มาเกี่ยวข้องกับเราด้วย อย่างนี้นี่เอง ตอนพาไปชี้ห้องน้ำล้างหน้าถึงได้เดินเกาะผู้เขียนไปเหมือนสนิทกันนักหนา ทั้งที่เพิ่งพบหน้ากันครั้งเดียวนี้เอง แล้วหลวงปู่ก็เล่าต่อ

    “บวชแล้วก็ทำความเพียรเคร่งครัด ได้ฌานสมาบัติเก่งพอตัว แต่ยังไม่ทันได้เป็นพระอริยะก็เกิดเรื่องเสียก่อน คือ พอคลายความเพียรนั่งพักอยู่หน้ากุฏิ ชาวบ้านเขาแห่นางงามชนะการประกวดผ่านหน้าไป ใจสุทัศน์กำลังสบายอยู่ก็นึกไปว่า “เขามีบุญนะที่เกิดมาสวยได้เป็นนางงาม..... เกิดสิ้นชีวิตในช่วงอารมณ์นั้น... ก็เลยต้องมาเกิดเป็นนางงาม ตายจากชาตินี้จะขึ้นไปอยู่ชั้นดุสิต จะลงมาเกิดอีกครั้งที่เกาะภูเก็ตพร้อมหลวงปู่ ในสมัยศาสนาครบ 5,000 ปี โน่น...”

    โอ้โฮ...ท่านพูดคล่องไม่ต้องตั้งท่าหลับตาสักนิด....!

    สำหรับตัวผู้เขียนเอง จากการสัมผัสเกี่ยวข้องกับหลวงปู่ธรรมชัยมา มีความคิดเห็นเป็นส่วนตัวว่า ถึงจะพบจะเห็นหลวงปู่มาก แต่ความมักคุ้นจะมีน้อยกว่าองค์อื่นๆ ทั้งนี้เห็นจะเป็นเพราะหลวงปู่ไม่ได้มุ่งสอนพระกรรมฐาน มุ่งในด้านสงเคราะห์ แบ่งเบาทุกข์หยิบยื่นสุขแก่สุขภาพทางกายที่ได้รับวิบากกรรมทุกข์ทรมานเสีย เป็นส่วนใหญ่ การเข้าไปนั่งถามนั่งฟังนานๆ จึงไม่มีโอกาสนัก เพราะระยะนั้นผู้เขียนมีความปรารถนาบวชรุนแรงมาก คิดแบบไฟแรงจัดว่า เราจะสนใจเฉพาะอารมณ์ตัดอารมณ์ละเพื่อพระนิพพานเท่านั้น ก็เลยได้เรื่องหลวงปู่ธรรมชัยมาเล่าค่อนข้างน้อย

    สิ่งสำคัญที่สุดที่ผู้เขียนรู้สึกได้คือ ความเมตตากรุณาและความอ่อนน้อมที่สูงส่งไม่มีประมาณ ความเมตตานั้นเห็นชัดเจนใจที่ท่านสงเคราะห์ประชาชน ใบหน้าบ่มสุข สายตานุ่มนวลยิ้มฉายเชื่อมสายตาคนไข้ให้ตื้นตันปิติ การพยักหน้าที่สุขุมเชื่อมั่นที่ทำให้ผู้คนอบอุ่นใจได้ว่า ได้ที่พึ่งที่วางใจได้สนิท คนหนึ่งจบภาระจากไป ก็ส่งสายตาตามปิดงานสงเคราะห์อย่างหมดจดงดงาม อีกคนหนึ่งเข้ามาเฉพาะหน้าก็เงยหน้าฉายแววอบอุ่นต้อนรับเป็นอย่างนี้เสมอ มา.... ไม่เคยแสดงอาการเหน็ดเหนื่อยเบื่อหน่ายให้ผู้คนเห็น

    ในด้านความอ่อนน้อมนั้นเห็นได้ที่ตัวหลวงปู่ การเดินที่เนิบนาบ ค้อมไหล่ การแย้มยิ้มที่อาบอิ่มกระแสใจ คำพูดที่ซื่อตรงสบายอารมณ์สบายหู ....แต่ถ้าจะดูให้ชัดเจนต้องดูเวลาที่ท่านกราบพ่อ (หลวงพ่อฤๅษีฯ) จากเท้าและเข่าที่กระโหย่งถึงมือและเศียรเกล้าที่กรานกราบแนบพื้น จากมือที่พนมถวายคำพูดและสนทนาปราศรัย มือนั้นงามนอบน้อมเหมือนช่อดอกไม้ที่ประคองบูชา ไม่เคยตกต่ำลงมาจนกว่าคำพูดนอบน้อมจะจบลง นั่นก็ยังไม่น่าอัศจรรย์ใจ เพราะพระดีที่มีความสุขแล้ว ท่านก็ทำกันอย่างนั้นทุกองค์ ที่ประทับใจผู้เขียนไม่มีลืมกลับเป็นตอนนี้....

    วันนั้นหลวงปู่มาธุระที่กรุงเทพฯ มาพักที่บ้านซอยสายลม ซึ่งเป็นช่วงเวลาที่พ่ออยู่ที่วัดท่าซุง พี่อ๋อย (ที่จริงผู้เขียนน่าจะเรียกแม่ ถึงตอนที่เขียนถึงท่านจะเรียกให้สมใจ) ก็ให้จัดหลวงปู่พักบนห้องพ่อ เราก็พาท่านขึ้นไปกราบเรียนว่า

    “หลวงปู่... พักบนเตียงหลวงพ่อนะขอรับ ผมเปลี่ยนที่นอนให้เรียบร้อยแล้ว”

    เท่านั้นแหละผู้อ่านเอ๋ย.... หลวงปู่ธรรมชัยถึงกับคุกเข่าลงบนพื้นหน้าเตียงนอน กราบลงบนพรมวางเท้าแล้วพูดเสียงน่าสงสารว่า

    “จะฆ่าหลวงปู่หรื๊อ.... จะให้หลวงปู่ตกนรกหรื๊อ.... หลวงปู่ขอนอนตรงนี้ก็พอแล้ว...”

    แล้วท่านก็กราบชี้ตรงที่วางเท้าหน้าเตียงนอนพ่อ ก็ต้องรื้อฟูกลงมาปูตามที่ท่านยืนยันขันแข็ง

    หลวงปู่ธรรมชัยน่าจะปีเดียวกับพ่อ (หลวงพ่อฤๅษีฯ) แต่มารยาทการแสดงออกนั้น เสมือนลูกที่กระทำต่อพ่อที่ตนรักและเกรงกลัว

    ....ยิ่งหลวงปู่อ่อนน้อมและค้อมต่ำ ก็ยิ่งส่งให้ท่านดูสูงส่ง มั่นคงในความดีไม่มีประมาณ และยิ่งชี้ชัดให้พระคุณของพ่อเด่นกระจ่าง แม้จะพยายามปกปิดซ่อนเร้นให้เห็นแต่ความธรรมดาสามัญตลอดมาก็ตาม...

    จนเวลานี้.... แม้พระคุณทั้งสองจะทิ้งร่างลาโลกไปแล้วก็ยังส่งมอบมรดกธรรมล้ำค่าไว้ให้ลูกหลานทัศนาใช้สอย นั่นก็คือ ความ อ่อนน้อมถ่อมตน และการปกปิดความดีไม่อวดอ้าง เหมือนจันทร์เพ็ญเด่นกระจ่าง แม้จะเอาเมฆนุ่มหนามาบดบังเอาไว้ก็ยังครองใจชาวโลกให้จดจ่อระลึกถึงอยู่ไม่ มีเวลาเสื่อมสลายคลายศรัทธา.


    (จากหนังสือ " เส้นทางพระโยคาวจร " หน้า 136 - 144)


    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 30 มกราคม 2016
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    หลวงตาเล่าถึงหลวงปู่ดาบสแห่งสำนักไผ่มรกต จังหวัดเชียงราย

    [​IMG]



    ครั้งหนึ่ง ตอนบวชได้พรรษา ๒ หลวงตาได้เที่ยวไปพบพระดีเข้าอีกองค์หนึ่งที่จังหวัดเชียงราย คือ หลวงปู่ดาบส สุมโน แห่งสำนักไผ่มรกต ที่กล้าเรียกท่านว่าพระดี ก็เพราะว่าท่านดีต่อหลวงตา และได้มอบความดีให้หลวงตาประมาณไม่ได้และความดีศรีสุขอันนั้นมันเกี่ยวกับ หลวงพ่อฤๅษี ฯ โดยตรงเสียด้วย

    ครั้งแรกที่ไปกราบหลวงปู่ดาบส ท่านก็ทักถูกใจเราทันทีว่า

    "อยู่กับหลวงพ่อฤๅษี ฯ สอนมโนมยิทธิหรือ?"

    "ครับผม"

    "อภิญญาสมาบัติที่ทรงอยู่ คล่องดีแล้วใช่ไหม?"

    ตอนนี้หลวงตาตกใจ เพราะเข้าใจว่าเรื่องอภิญญาสมาบัติเป็นเรื่องใหญ่เกินกว่าตัวเองจะยอมรับว่า "ทำได้คล่อง" จึงตอบไปว่า

    "ไม่ใช่ขอรับ ผมยังไม่ได้อภิญญา ผมพยายามทำตามที่หลวงพ่อท่านสอน และแนะนำคนอื่นเท่าที่จะนึกได้"

    "นั่นแหละ เขาเรียกว่าอภิญญา พระอรหันต์ทั้งหลายท่านก็ใช้อย่างนี้ พระพุทธเจ้าก็ทรงใช้อย่างนี้ ใช้แบบวิธีเหมือนกันแต่ความบริสุทธิ์ไม่เหมือนกัน ความมั่นใจไม่เท่ากัน ใจที่บริสุทธิ์มาก มั่นคงมั่นใจมาก ก็ใช้ได้คล่องแคล่วชัดเจนมาก บริสุทธิ์ถึงที่สุด มั่นคง มั่นใจไม่สงสัย ก็ใช้ได้ถึงที่สุด เป็นเรื่องธรรมดา"

    หลวงตาเข้าใจ แต่ยังไม่มั่นใจ

    แล้วหลวงปู่ดาบสก็มองหน้าหลวงตา พูดเสียงชัดเจนว่า

    "ออกจากวัดท่าซุง มาอยู่ด้วยกันไหม มาหาที่สงบซุ่มปฏิบัติธรรมให้สมใจ สมวาสนาบารมี"
    "พอสบายจบกิจแล้วจะได้ตั้งสำนักใหม่ สอนพระกรรมฐานให้มีชื่อลือลั่น ไว้ชื่อครูบาอาจารย์ ว่าเรานี่แหละลูกศิษย์หลวงพ่อฤๅษีฯ"

    "...................................."

    หลวงตาตกใจ เจ้าประคุณเอ๋ย ความในใจที่อุตริคิดฝังไว้ก้นบึ้งดวงใจไม่เคยเล่าสู่ใคร ไม่เคยถามไถ่แม้แต่หลวงพ่อฤๅษี ฯ คิดซ่อนเร้นไว้กว่า ๑๐ ปี ถึง ๔ ข้อ บัดนี้ได้ถูกหลวงปู่ดาบสไขออกมาไม่มีเหลือ กำลังใจขณะนั้นได้ตอบท่านไปใน ๒ ข้อแรก (และรับรู้ใน ๒ ประการหลัง ซึ่งจะไม่บอกใครจนวันตาย)

    "ไม่เอาครับ หลวงปู่ ผมจะไม่ไปไหน ผมจะอยู่กับหลวงพ่อในวัดท่าซุงตลอดไป"

    "ดีแล้ว" ท่านยิ้มยืนยันว่า
    "ถูกต้องแล้ว อยู่ที่นั่นไม่ต้องไปที่ไหน"

    "เรื่องธุดงค์บางองค์ก็ไม่ต้องธุดงค์หรอก การที่พระสงฆ์ท่านออกธุดงค์กันในที่ต่างๆ ก็เอาคำสอนครูบาอาจารย์ที่น้อมรับเอาไปใส่ใจ แล้วก็ประคองใจอันนั้น ไปหาต้นไม้ หาถ้ำ หาที่วิเวกเหมาะกับจิตใจ เอาเป็นที่บำเพ็ญความเพียรพิจารณาธรรมอันนั้นจนได้มรรคได้ผล แล้วก็ต้องกลับไปอยู่กับผู้คนแทนคุณพระศาสนา

    แต่ที่วัดท่าซุงนะ มีต้นไม้ใหญ่อยู่ต้นหนึ่ง คือ ต้นหลวงพ่อฤๅษี ฯ ร่มรื่น ร่มเงาเย็นสบาย ผลไม้อริยผลก็ออกดอกเต็มต้น ไปนั่งนอนเดินยืนอยู่ใต้ต้นไม้นั้น อย่าจากไปไหน แล้วก็ประคองมือเอื้อมเด็ดผลไม้ มากินให้หวานชื่นใจด้วยความเคารพ ก็จะบรรลุมรรผลได้ในชีวิตนี้"

    ลูกหลานเอย..หลวงตาต้องกล้าเขียนต่อ บอกแล้วว่ามันยากที่จะเล่าให้ฟังตามตรง ๆ ที่หลวงปู่พูดถึงหลวงพ่อฤๅษีฯ ว่า

    "พระคุณเจ้าองค์นั้นเป็นอรหันต์ องค์เอกองค์หนึ่งของโลกในปลายศาสนา ๕๐๐๐ ปี จะหาใครสอนเสมอเหมือนพระคุณท่านหาไม่ได้แล้ว พระคุณท่านองค์นั้นสอนได้คล้ายพระพุทธเจ้าสอน เพราะท่านปรารถนาพระโพธิญาณ ถ้าท่านไม่ลาพุทธภูมิหักใจเป็นพระอรหันตสาวกเสียก่อน ท่านเทศน์คราวไร เรา..พวกเรานี้ที่บำเพ็ญบารมีตามท่านมา ก็จะฟังเทศน์จากท่านเพียงครั้งเดียวก็จะเป็นพระอรหันต์ตามได้

    จำไว้นะ ! กลับไปฟังคำสอนของพระคุณท่าน ฟังเทปของท่าน ดูวีดีโอของท่าน ให้ส่งจิตคิดตามเสียงท่านประหนึ่งว่าเป็นเสียงในใจเรา ก็อาจจะบรรลุมรรคผลได้ตามที่ตัดสินใจ ตามเสียงนั้นเฉพาะหน้า เหมือนฟังจากพระพุทธเจ้านั่นแหละ องค์นี้หาใครสอนได้เสมือนท่านยากนักหนาแล้ว"

    นี่หลวงตาเล่าให้ฟังตามที่ได้พบเห็นได้ยินมาเฉพาะตัวหลวงตาเอง ท่านใดจะชื่นชมสมใจหรือแหนงหน่าย อึดอัดก็โปรดเป็นไปตามกฎธรรมดา ตามปรารถนาเถิด..

    แล้วหลวงตาก็กลับวัด ก่อนลาหลวงปู่กลับ ก็ถ่ายรูปร่วมกับท่านมาภาพหนึ่ง กลับมาถึงก็เล่าให้พี่น้องบรรพชิตและฆราวาสฟังว่า มีหลวงปู่ดาบส แห่งสำนักไผ่มรกต จังหวัดเชียงราย ท่านพูดถึงพ่อเราอย่างนั้นอย่างนี้ แล้วท่านก็งามนักหนา ทั้งหน้าตามารยาท ถ้าพ่อเราเป็นพระอาทิตย์เต็มองค์ทรงกลด หลวงปู่ดาบสก็งามเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญที่ไม่มีเมฆหมอกมาบดบัง แล้วก็เอารูปของท่านออกมาอวดไปทั่ววัด

    ก็อวดมาถึงหลวงพี่วิรัช ท่านก็เอาไปเล่าอวดหลวงพ่อพร้อมรูปใบนั้น พ่อเราฟังไป ดูรูปไป ก็ส่งรูปคืนให้หลวงพี่วิรัช พร้อมกับพูดลอย ๆ ออกมาว่า

    "เออ.. ๒๐ ปีแล้วซีนะ"

    หลวงพี่วิรัชก็กลับมาบอกคืนหลวงตาว่า คงเป็นเพื่อนหลวงพ่อ ไม่ได้พบกัน ๒๐ ปีกระมัง

    พอตอนเย็น ไปทำวัตรเย็นและปฏิบัติกรรมฐาน หลวงพี่อนันต์ เรียกหลวงตาเข้าไปหาแล้วบอกว่า

    "หลวงพ่อให้บอกท่านว่า พระเจ้าของรูปนั้นได้อรหันต์มา ๒๐ ปีแล้ว"


    (จากหนังสือ"มรดกพระดี" วัดถ้ำนารายณ์)



    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 กุมภาพันธ์ 2016
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]
     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 21 พฤษภาคม 2014
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ถูกต้อง.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กุมภาพันธ์ 2020
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    " บอกให้ไป...ไปไหนก็ได้ นรกที่ไหนก็ได้ ถอยไปห่างๆเลย "


    มรดกพระดี ตอนที่ 7


    ลูกหลานเอย......ก่อนที่หลวงตาจะเล่าให้เห็นอภิญญาบริสุทธิ์ที่พ่อแสดงฝากไว้ในโลกพระพุทธศาสนา อันเป็นมรดกพระดีที่พ่อเมตตามอบไว้ให้พวกเรา หลวงตาอยากจะอวดอะไรสักหน่อย ไม่อวดทนไม่ได้อกแตกตายแน่..คือเมื่อวันที่ 11 กุมภาพันธ์ 2544 อันเป็นงานทักษิณานุปทานที่วัดเขาวงจัดถวายกุศลให้พ่อของเรา(หลวงพ่อฤาษีฯวัดท่าซุง) และพลอยจัดเสริมแสดงมุทิตาจิตต่อพระครูภาวนาพิลาศไปในตัวด้วยนั้น


    งานก็ผ่านไป แต่สิ่งที่ยังทรงสถิตใจหลวงตาไม่อยากสลัดออก ก็คือทั้งท่านพระครูปลัดอนันต์ พทฺญาโณ หลวงพี่อาจินต์ ธมฺมจิตโต และคณะสงฆ์วัดท่าซุงรวม 21 รูป ที่เมตตามาร่วมงานนั้น...ยังไม่ได้พูดถึงท่านเจ้าคุณพระเทพสิริภิมณฑ์ซึ่งมาแทนหลวงพ่อสมเด็จฯ วัดสระเกศ ท่านเจ้าคุณพระธรรมปิฏกเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี และพี่น้องต่างวัดอีกหลายองค์ ที่มาร่วมงานในวันนั้น ทุกองค์พูดว่า.. " วัดเขาวง สวย สะอาด สงบ "

    ความกังวลที่สุมใจหลวงตามา 7 ปีเต็มหลุดหายไป มีความมั่นใจโปร่งใจเข้ามาแทนที่ เพราะเราได้ทำมา.เดินตามแนวทางที่เรา มุ่งมั่นมาตั้งแต่ออกจากวัดท่าซุง บัดนี้ได้มาถึงจุดที่พี่น้องและผู้บังคับบัญชาเข้าใจและยอมรับแล้ว ทำให้ก้าวต่อจากนี้ไปจนวันตาย...เป็นก้าวที่มั่นใจ..ที่จะยังประโยชขน์สุขให้เกิดแก่ประชาชน ที่จะถวายความเชิดชูชื่อเสียงพระคุณครูบาอาจารย์ ที่จะฝังใจปรนนิบัติบูชามรดกพระดี ที่พ่อมอบให้พวกเราไว้เพื่อประโยชน์สุขของเราเองเป็นเบื้องต้น

    ลูกหลานอ่านแล้วหลับตาบ้างลืมตาบ้างคิดนึกภาพตามไปด้วย ตามไปดูพ่อแสดงฤทธิ์กัน วันนั้นเป็นพรรษา 2 ที่หลวงตาบวช ตอนนั้นกำลังปฏิบัติพระกรรมฐานหัวค่ำกัน....เกิดมีพายุใหญ่รุนแรงมาก ต้นสะตือใหญ่ริมท่าน้ำที่เลี้ยงปลาแรดในปัจจุบัน เกิดหักลงมา...ถ้ามองต้นสะตือที่คลุมหอฉันปัจจุบันให้ดีจะเห็นว่ามันเคยมีพี่น้องฝาแฝดที่ใช้ต้นขาเดียวกัน แต่แยกออกเป็นสองเอวสองลำตัวเหมือนฝาแฝดอินจันนั่นแหละ แฝดน้องชายเกิดเอวหักหัวฟาดลงมาล้มทับบ้านหลังเล็กและโรงเลี้ยงก๋วยเตี๋ยวหลังคามุงสังกะสี...พังหมดตลอดหลัง ปล่อยให้ต้นพี่ชายยืนงงเดียวดายจนทุกวันนี้

    รุ่งเช้าพ่อก็ไปยืนดู ท่านถือไม้ตะพดยืนมาดมั่นใส่อังสะตัวเดียว(ไม่ห่มจีวร) หลวงตาสงสารแทนลูกหลานรุ่นหลัง ที่ไม่มีโอกาสเห็นบุคลิกภาพของพ่อ ก็จะขอเล่าให้ฟังเสียด้วย คือพ่อเรานี่.ตัวสูงปานกลา ลำตัวไม่ใหญ่นัก แต่พอดีสมส่วน ยิ่งตอนพ่อแก่ตัวลงร่างกายจะอ้วนขึ้น นึกเอาเถอะลูก พ่อผู้ใจดีมีอำนาจยืนยืดกายตรงลงพุง อังสะพลิ้วชายไสว ยืนชี้ไม้ตะพดไปที่ต้นไม้ใหญ่ขี่ทับหลังคา จนหลังหักหมดสภาพอยู่ตรงหน้าท่านชี้ให้ช่างชิดที่ยืนรับคำสั่งอยู่ข้างกาย


    " เอาคนมาทอนเป็นท่อนๆ..." แล้วก็ทำท่าสับไม้ตะพดลงที่ต้นไม้...เดี๋ยวก่อนลูกหลานท่านให้เอาคนงานมาฟันต้นไม้ทอนเป็นท่อนๆ ไม่ใช่ให้เอาคนมาสับเป็นท่อนเป็นชิ้น

    " แล้วก็ขนออกไปให้หมด เอาไปเผาถ่านหรือทำอะไรก็ได้ "

    แล้วพ่อก็ตวัดปลายตะพดขึ้นสูงประกอบคำสั่ง..เราก็ยังไม่ได้สะดุดใจอะไร

    หลังจากนั้นอีก 3 วันทั้งต้นไม้ ซากโรงก๋วยเตี๋ยวและบ้านหลังน้อยก็หายวับไป เหลือพื้นที่โล่งว่างเปล่า พ่อก็มายืนดูอีก ชี้ไม้ตะพดทำท่าสั่งงาน

    " นี่..ช่างชิด ขุดหลุมเป็น 4 แถว แล้ววิ่งแนวยาวไปถึงต้นสะตือโน่น..." พ่อจี้ไม้ตะพดไปตามแนวหลุม

    " เสร็จแล้วเทเสาปูนขนาดตึก 3 ชั้นไปเลย ชั้นล่างเป็นหอฉัน ชั้นที่ 2 เป็นที่พักอาคันตุกะผู้ใหญ่มาท่านจะได้พักสบายอิริยาบท ดาดฟ้าเป็นคอนกรีตเอาไว้ตากผ้าตากจีวรกัน "

    พูดไปพ่อก็กวาดปลายตะพดไปจนเราฟังอยู่นี่เห็นภาพในใจชัดเจนไปด้วยเลย

    สั่งงานเสร็จพ่อก็เข้าพัก รุ่งขึ้นก็ไปสงเคราะห์บ้านซอยสายลมตามวาระงานปรกติ ลูกหลานเอย..จากวันนั้นมาอีกประมาณ 6 เดือน ก็ปรากฏตึก 3 ชั้นสีเหลืองสดติดปลายไม้ตะพดขึ้นมาตั้งอยู่ในโลกเขตพระพุทธศาสนา พระสงฆ์วัดท่าซุงมีหลวงตาองค์หนึ่งด้วย (คุยซะหน่อย) พากันย้ายวงฉันมาที่หอฉันหลังใหม่สีใสสด ภายใต้ร่มเงาตึกฉัน ภายในสายลมเย็นจากท่าน้ำสะแกกรัง...ขณะอยู่ในความอิ่มสบายท้องหลังฉันอาหาร หลวงตาได้ยินเสียงที่ดังผ่านอารมณ์สบาย เข้ากระทบใจ

    " นี่แก...ผู้บวชเข้ามาในพระศาสนา อยากได้ฤทธิ์อยากได้อภิญญา แกรู้หรือว่าฤทธิ์แท้ตามความหมายของฉันคืออะไร... "

    ใครหนอ เสียงนุ่มนวลมีอำนาจนัก เสียงนั้นไม่ได้ผ่านประสาทหู แต่ดังเข้าถึงความเข้าใจเอาเลยทีเดียว หลวงตาต้องเลื่อนตัวเองลงจากม้านั่งยาวลงนั่งพับเพียบกับพื้น

    " แกคิดใช่ไหมว่า..ฤทธิ์อภิญญาที่เก่งกาจนั้นต้องเหาะได้ หายตัวได้ รู้ใจคนอื่นทายใคนได้แม่นยำว่าใครคิดอะไร ทำอะไรมา...? "

    ลูกเอ้ย..เสียงนั้นสกดใจสยบอารมณ์หลวงตาจนไม่อยากฝืนความรูสึกสัมผัสนั้น สภาวะอารมณ์ขณะนั้นเหมือนนั่งอยู่เฉพาะพระพักตร์สมเด็จพระบรมศาสดา หลวงตากราบลงบนพื้นหอฉันแห่งวัดท่าซุงด้วยความสุขสำรวมใจ

    " ลูกเอ้ย..อย่าไปเอาของไม่เที่ยงแท้แน่นอนนั้น มาวัดความประณีตของธรรมที่พ่อสอนเลย..."

    แปลกหนอ...ยิ่งใจเรานุ่มนวลอ่อนน้อมยอมสยบเพียงใด ภาษาใจนั้นก็ยิ่งมีความเมตตาการุณมากขึ้นเพียงนั้น

    "......การแสดงฤทธิ์เหาะเหินได้ การรู้อารมณ์ใจคนอื่นทายได้แม่นยำได้นั้นไม่ใช่ผลสูงสุดของการปฏิบัติ คนเก่งจริงมีฤทธิ์จริงนั้น ต้องสามารถตัดอารมณ์เศร้าหมองทุกข์ร้อนออกจากใจเสียได้ ตามใจปรารถนา ต้องอาจหาญมั่นใจในศีลที่ตัวทรงอยู่ได้เป็นปรกติ มั่นใจขนาดกล้าเอาใจประกาศไปในมนุษย์โลก เทวโลก พรหมโลกว่า ..เราผู้นี้ไม่ว่าจะไปยืนเดินนั่งนอนอยู่ ณ ที่ใด จะไม่มีสัตว์ มนุษย์ พรหม เทวดา ผู้ใดต้องเดือดร้อนเพราะการประทุษร้ายร่างกาย หรือละเมิดน้ำใจจากเราให้ท่านทั้งหลายสะเทือนใจเลย..."

    ลูกหลานเอย...ใช่เสียงจากดวงจิตอันผ่องใสพิสุทธิ์ของพระบรมศาสนดาสัมมาสัมพุทธเจ้าไหมหนอ

    "....ที่สำคัญที่สุดก็คือ ต้องสามารถนึกถึงพระพุทธเจ้าและพระอริยสงฆ์ครูบาอาจารย์ได้โดยไม่ลำบาก ไม่ยากแม้แต่น้อย ต้องสามารถเข้าถึงท่านด้วยใจทันที ทุกขณะจิตที่นึกลูกต้องต้องใช้คำว่า ใช้อารมณ์ว่า...พอนึกก็ถึงแล้ว จึงจะเก่งแท้..."

    ".....และที่สำคัญกว่าสำคัญที่สุด ก็คือสามารถตั้งกำลังที่บริสุทธิ์ด้วยศีล ที่เข้าถึงสถิตอยู่กับพระพุทธเจ้าได้เป็นธรรมดาสบายๆ นั้นจับร่างกายมาพิจารณา สังหารอารมณ์ผูกพันกับร่างกายทั้งหลายให้ขาดสิ้นไปโดยไม่ครั่นคร้าม ไม่อาลัยใยดี ทำอย่างงี้ได้จึงจะเก่งแท้ จึงจะมีฤทธานุภาพปราบสามโลกเสียได้ อภิญญาเหนือฤทธิ์ทั้งหลายอย่างนี้เขาเรียกว่า บุญฤทธิ์ ฤทธิ์ที่เกิดด้วยบุญบริสุทธิ์ ลูกเอ้ย..."


    หลวงตากราบแนบหน้ากับพื้นหอฉัน ไม่มีใครมาเห็นเราแล้ว ณ ที่นั้นเอง ในอารมณ์สบายๆ แบบธรรมดานั้นเอง หลวงตานึกถึงพ่อ (หลวงพ่อฤาษีฯ) เต็มอารมณ์ในทันทีนั้น

    ....เห็นพ่อสับไม้เท้าแล้วตวัด ต้นไม้และซากโรงเรียนก็ปลิวหาย

    ....เห็นพ่อชี้เขตหลุมเสา วาดไม้เท้าวางแนวอาคาร พลันตึกเหลืองกระจ่างก็ตั้งสถิตบนธรณีวัดท่าซุง ได้อาศัย ได้นั่งดื่มนั่งฉันจากวันนั้นถึงวันนี้ ตึกหอฉันตั้งมาได้ 18 ปี และจะยังอยู่อำนวยประโยน์สุขแก่พระภิกษุสามเณรและญาติโยมผู้มาเลี้ยงพระศาสนา....ไปอีกเท่านาน

    ลูกหลานคงอยากถาม...แล้วมันใช่อภิญญาตรงไหน ใครๆก็ชี้สั่งให้ช่างสร้างได้ไม่ใช่หรือ...แน่ใจว่าจะถามอย่างนี้ ใช่ไหมลูก ทำไมลูกหลานไม่ถามเพิ่มเติมอีกนิดว่า...ถ้ามีฤทธิ์จริง ทำไมพ่อท่านไม่เสกชี้ปั๊บตึกโผล่ปุ๊บเหมือนการ์ตูนเล่า.... ช่วยถามเพิ่มอย่างนั้นนะลูก หลวงตาจะได้ตอบเสียทีเดียว

    ลูกหลานต้องจำได้แน่นอนว่า สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงสั่งสอนให้พระสาวกทั้งหลาย....ฝึกจิตตนเอง ให้ใคร่ครวญฝังใจ ใฝ่ซักซอกอารมณ์ใจของตนเอง โดยยึดหลักหัวใจพระพุทธศาสนาคือ....ต้องละล้างความชั่วอารมณ์เศร้าหมองให้หมดไป ต้องสั่งสมความดี อารมณ์กุศลให้เข้ามาแทนที่ให้เต็มพร้อม...ต้องมุ่งความบริสุทธิ์ผ่องใสของอารมณ์ใจ ให้อิ่มเอิบเบาสบายเป็นผลสูงสุด ฉะนั้น..ทุกสิ่งทุกอย่างที่พ่อ(หลวงพ่อฤาษีลิงดำ วัดท่าซุง) ท่านปฏิบัติและสั่งสอนพวกเราทั้งหลายก็ต้องอยู่ในหลักอันนี้.. ต้องเอาหัวใจพระพุทธศาสนานี้ เป็นเกณฑ์การถามเป็นหลักการตอบปัญหาสำหรับใจเราเองและพุทธสาวกทั้งหลาย

    พ่อของพวกเรา เป็นผู้หนักแน่นเข้าถึงเนื้อแท้ของพระธรรมคำสังสอนของพระพุทธเจ้า ท่านได้พระสงฆ์ที่เป็นพระแท้ เป็นสรณะ ครูบาอาจารย์ท่านจึงมุ่งฝึกจิต ภาวนาเสกอารมณ์ใจ เป่าปัดความสกปรกเศร้าหมอง จนจิตท่านมีแต่อารมณ์ที่ผ่องใสบริสุทธิ์พ้นวิเศษ เมื่อพระคุณท่านปลอดภัยพ้นทุกข์สิ้นเชิงแล้ว จิตของท่านจึงเป็นทิพย์พิเศษกายสิทธิ์ มีพลานุภาพเกินจะประมาณด้วยความคิดคำนึงของพวกเราได้ ซึ่งแน่นอนท่านจะพิเศษเกินพระพุทธเจ้าไปไม่ได้ แต่ท่านต้องดีตามธรรมชาติของพระบริสุทธิคุณ พระปัญญาธิคุณ และพระมหากรุณาธิคุณ ไมมีอะไรจะต้องสงสัย พระดีทุกองค์ ทุกสำนักปฏิบัติก็เป็นอย่างนี้

    ใจท่านทั้งหลายเหล่านั้น ได้ทำความชั่วมัวหมองให้หมดสิ้นไปจากใจ....ท่านทำความดีมากมายถึงพร้อมแล้ว ใจท่านจึงผ่องใสไม่มีเชื้อมลทินเหลือค้างใจของท่านจึงเป็นหัวใจของพระพุทธศาสนา มีความรู้จริงอย่างยิ่ง มีกำลังอันบริสุทธิ์ไม่มีประมาณ ใจอย่างนี้คงเรียกว่าใจมีอภิญญา ใช่ไหมลูกหลาน ?


    ฉะนั้นเมื่อท่านมีกำลังใจปราถนาให้ประชาชน ภิกษุ สามเณรเป็นสุขเต็มกำลังใจของท่าน คนที่มีเชื้ออยากดีมีสุขตามท่านจึงรับรู้น้ำใจท่านเข้าไปในใจตัวเอง เมื่อท่านสั่งให้เคลื่อนย้ายต้นไม้ จึงมีคนมาทำให้ปลิวหายทันตาเห็นด้วยแรงศรัทธา เมื่อท่านปราถนาสร้างอาคารให้ลูกหลานได้มีความสุขสะดวกใจ สบายกายในการทำความดี อาคารหลังสีเหลืองสดก็สำเร็จขึ้นมาด้วยแรงบุญ

    เพียงน้ำใจและน้ำคำของพ่อ...เงินจากทั่วแผ่นดิน ทรายจากชัยนาท ไม้จากนครสวรรค์ ปูนเหล็กจากกรุงเทพฯ น้ำใจศรัทธาจากดวงจิตจากทั่วทุกทิศก็หลั่งไหลมาผสมกับแม่น้ำสะแกกรัง และการเอาใจใส่คุมงานของพระสงฆ์วัดท่าซุง ทุกดวงใจทุ่มเทเพ่งพินิจลงไปในงานที่พ่อสั่ง งานนั้นจึงสำเร็จขึ้นด้วยใจของผู้มีศรัทธา เสร็จขึ้นมาประดุจเสกเป่า

    ลูกหลานเอย..พ่อท่านเสกตึก หรือเสกใจพวกเราหนอ...

    ใช่ว่าใจเป็นใหญ่เป็นประธาน ทุกสิ่งสำเร็จด้วยใจไหมหนอ....

    สิ่งก่อสร้างก่อสำเร็จประโยชน์ ใจอิ่มเอิบเบิกบานสมบูรณ์สมปราถนา

    บุญฤทธิ์หรืออภิญญาความรู้ยิ่งอย่างนี้ ใช่อภิญญาที่แท้ตามที่พระพุทธเจ้าทรงต้องการให้เราใช้...ใช่หรือไม่ ? ฝากให้คิดกันดู....

    ลูกหลานเอย...หลวงตานั่งคิดย้อนหลังไป ย้อนไปถึงเวลาแรกที่พบพ่อ ความมุ่งมั่นฝันใฝ่ตอนนั้นคืออยากได้พระอภิญญามาเป็นอาจารย์ ว่าท่านจะได้ช่วยชี้ช่วยทำช่วยนำให้เราได้คุณธรรมสูงสุดเสียโดยเร็ว จะได้รีบถวายชีวิตให้พระศาสนาจึงได้เฝ้าจ้องมองพ่อมาแต่บัดนั้นว่าองค์นี้ใช่ไหมหนอ...เมื่อไหร่ท่านจะแสดงฤทธิ์ให้เราดูประจักษ์ตากระชับใจ จะได้ลงมือปฏิบัติพระกรรมฐานแบบถวายชีวิตเสียที น่าจะทายใจเราให้ถึงก้นบึ้งสักครั้ง... น่าจะเหาะน้อยๆลอยก้นเหนือพื้นสักคืบก็ยังดี.. น่าจะอย่างโน้นอย่างนี้..จนวันดีคืนดีท่านก็แสดงให้ดู ทายถึงใจเลย !

    "....นี่ไอ้บ้านี่..อย่ามานั่งขวางทางคนทำงาน อย่านั่งรอฤทธิ์รอเดชเอาไว้เหาะไปนรกขุมไหน คนที่ใจมีฤทธิ์นี่ เขากล้าทำขยันทำดีผิดมนุษย์ทั่วๆไป เขามีน้ำใจรักศีลยิ่งกว่าชีวิตของตัวเอง เขาคิดทีละอย่าง แล้วทำให้เสร็จไปทีละอย่าง...ทำให้มันเห็นฤทธิ์ขยันซะบ้าง นี่ฤทธิ์น้อยๆ เขาคิดกันทำกันอย่างนี้ พอจะเข้าใจไหม ถอยไป...ถอยไป...."

    โอย...ตายเลย...ตายเลย เล่นด่าอย่างนี้อายตายเลย....จริงสินะ เพียงแค่จะมีกำลังใจยกร่างกายให้พ้นที่นอนขึ้นมานั่งกราบพระ เพียงจะเดินจงกรมสัก 10 ก้าว 10 รอบ มีกำลังทำไหม ? เพียงแต่จะนึกถึงลมหายใจที่มันมีอยู่แล้ว ไม่ต้องลงทุนซื้อหา นึกตามลมไปลมมา พร้อมกับนึกเอ่ยพระนามพระพุทธศาสดาจารย์ว่า พุทโธ...พุทโธ นี่ ทำได้นานต่อเนื่องแค่ไหน ถ้าแค่นี้ยังไม่มีกะใจจะทำ....จะเอาอะไรไปเหาะ ไปหายตัว ไปทายใจคนอื่น ทั้งที่ใจตัวเองยังเป็นไอ้บ้าเพ้อละเมอฤทธิ์ เลอะเลือนอยู่...ก็ยังไม่รู้จักใจตัวเอง !

    ช่างเหมือนหนอนมนุษย์ที่เกียจคร้านนอนฝันว่า เราจะเป็นพระเจ้าจักรพรรดิ แต่แค่เลื้อยไปกินอุจจาระที่หุ้มห่อตัวเองอยู่ก็ยังไม่มีกำลังใจเลื้อย !

    ลูกหลานนึกทุเรศตัวเองเหมือนหลวงตาไหม...

    ก็นึกย้อนไปทวนไปมาหาเรื่องเขียน...เอาเรื่องจริงที่หลวงตาเห็นพ่อแสดงอานุภาพปราบมารเกเร เล่าไปเขียนแสดงความเห็นประกอบเรื่อยๆ ดีกว่า ไม่อย่างนั้นจะเครียดเขียนไม่ออก มีอยู่ครั้งหนึ่ง...ก่อนหลวงตาจะบวช ว่างจากงานเมื่อไหร่ก็จะมานั่งขายหนังสือและวัตถุมงคลที่ซอยสายลมเป็นปรกติ วันนั้นมีสามีภรรยาคู่หนึ่ง ขับรถมาจากอีสานโดยตรงเพื่อมาซื้อหนังสือหรืออะไรก็ได้ทั้งนั้นที่เกี่ยวกับพ่อ มาถึงก็พูดเสียงใสได้ปลื้มว่าได้อ่านเรื่องหลวพ่อฤาษีลิงดำ ในหนังสือ " ขวัญเรือน " รายสัปดาห์หรือรายเดือนจำไม่ได้ แต่จำได้ว่าแกถือหนังสือเปิดอวดว่า นี่ไง...นี่ไง เรื่องหลวงพ่อ (อวดเราที่อยู่กับหลวงพ่อนี่แหละ)

    " ผมเลื่อมใส ขนลุกไปอ่านไป อยากเอาธรรมะทุกอย่างของท่านไปอ่านไปฟังให้สมใจ พี่จัดให้ผมด้วย ผมรักท่านมาก..." อะไรอีกหลายอย่างที่พูดออกมาด้วยใจเป็นสุข ตกลงวันนั้นทั้งหนังสือ เทป วัตถุมงคล รวมแล้วก็กว่าสองหมื่นบาท ก่อนแกจะกลับ หลวงตาก็บอกแกว่าพรุ่งนี้หลวงพ่อก็มาสอนกรรมฐานแล้ว จะมาหาท่านไหม..

    " มาสิครับพี่...ผมอยากฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อเป็นที่สุด "

    หลวงตาก็โมทนาน้ำใจแกด้วย สงสารด้วย อยากให้ได้พบพ่ออย่างใกล้ชิด ก็เลยนัดหมายให้สัญญานกันว่า

    " พี่จะนั่งอยู่ข้างหลวงพ่อ ดูจังหวะว่างคนแล้วจะพยักหน้าให้สัญญานเข้าไปกราบ คอยดูก็แล้วกัน..."

    จำได้ว่าแกชื่อคุณสมาน ชื่อภรรยาไม่ได้ถาม ทั้งคู่มานั่งอยู่เฉียงหน้าที่พ่อรับแขกในวันรุ่งขึ้น คุณสมานก็มองหน้าพ่อแล้วมองหน้าหลวงตาหาจังหวะลุกลี้ลุกลนตลอดเวลา ขณะนั้นพ่อกำลังคุยเสริมกำลังใจให้นักศึกษาหญิงคนหนึ่งอยู่ว่า

    " เออ..ลูกสาวเอ้ย...เป็นคนดีนะลูก ลูกทำได้อยู่แล้วนี่ ศีล 5 บริสุทธิ์ใช่ไหม..(เจ้าค่ะ..ร้องไห้ปลื้มใจไปรับโอวาทไป) เคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เป็นที่พึ่งอันนี้แน่ใจนะลูก (เจ้าค่ะ..ฮือๆ) อือ ดีๆ ลูกตายแล้วอย่าเกิดอีกเลยนะลูก โลกมันเป็นทุกข์ไปนิพพานเสียเลยนะลูก (เจ้าค่ะ..เป่าปี่มีความสุข เช็ดน้ำตาป้อยๆ)

    ทีนี้คุณสมานพระเอกของเรื่อง เกิดความปลื้มใจจนลืมสัญญานจากหลวงตา แกก็เลยทะลุกลางปล้องขึ้นมาว่า

    " หลวงพ่อครับ.. ผมขอฝากตัวเป็นศิษย์หลวงพ่อ....."

    เท่านั้นแหละ สายตาที่อ่อนโยน เสียงที่นุ่มนวลของพ่อก็เปลี่ยนไป เปลี่ยนเป็นแข็งขันและเขียวกล้า สะบัดมือไล่มาทางคุณสมาน

    " ถอยไป...ถอยไป...ออกไปห่างๆ เลย "

    แล้วท่านก็หันไปหาทางเด็กนักศึกษานั้นอีกครั้ง

    " เออ..ลูกสาวจำไว้นะลูก ลูกเป็นคนมีบุญทำมาดีแล้ว พร้อมแล้ว อย่าให้เสียเวลาที่เกิดมาพบพระพุทธศาสนา รีบทำความดี ลูกเอ๋ย...รีบทำ "

    " หลวงพ่อครับ ผมขอมอบกายถวายขีวิตกับหลวงพ่อ..."

    คุณสมานผู้ของขึ้นหยุดไม่อยู่แล้ว คุกเข่าประนมมือประกาศ แต่...ลูกหลานเอย...หลวงตาก็ดี คุณสมานและภรรยาก็ดีมีอันต้องตะลึงขึงอารมณ์ เมื่อพ่อหยิบกระโถนขึ้นมาถือในมือพร้อมตวาดว่า

    " บอกให้ไป...ไปไหนก็ได้ นรกที่ไหนก็ได้ ถอยไปห่างๆเลย "

    ลูกหลานเอย....คุณสมานทรุดนั่งก้มหน้า ภรรยาร้องไห้ น้ำตาไหล หลวงตาทำยังไงจำไม่ได้ รู้แต่ว่าใจแทบขาด..ส่วนพ่อหยิบหมากขึ้นมาเคี้ยวบ้วนน้ำหมากตามปรกติ ผู้คนทั้งหลายในห้องเงียบกริบ เป็นช่วงเวลาที่หลวงตาเป็นทุกข์ที่สุด คุณสมานและภรรยาถอยไปนั่งด้านหลังผู้คนไกลออกไป แต่สายตาคุณสมานจ้องมาที่หลวงตา คล้ายจะบอกให้รู้ว่า

    " ..ผมจะคอยพี่ ผมจะไปส่งพี่ที่บ้าน..ผมจะถามอะไรพี่สักอย่าง...."

    โอย...เอาไว้ฉบับหน้าค่อยคุยกันเถอะลูก..ใจยังหายวูบวาบทุกครั้งที่นึกถึงเหตุการณ์ตอนนั้น เล่าเรื่องอภิญญาเรื่องฤทธิ์ ก็ต้องตื่นเต้นอย่างนี้แหละ

    หลวงตาไปก่อนล่ะลูก..ตัวใครตัวมัน


    (จากหนังสือ มรดกพระดี หน้า 71-83)

    มีต่อตอนจบในตอนที่ 8 ครับ

    ภาพข้างล่างซ้ายมือเป็นธัมมวิโมกข์ปีที่ 4 ฉบับที่ 37 (เล่มขนาดหนังสือพ๊อกเก็ตบุ๊ค)ขวามือธัมมวิโมกข์ปีที่ 7 ฉบับที่ 64 (เล่มขนาดในปัจจุบัน)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 12 กุมภาพันธ์ 2016
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    " บอกให้ไป...ไปไหนก็ได้ นรกที่ไหนก็ได้ ถอยไปห่างๆเลย (2) "


    มรดกพระดี ตอนที่ 8 (ตอนจบเรื่องคุณสมาน)


    ก็...มาฟังมาอ่านกันต่อ

    เล่ามาถึงตอนไหนแล้วหนอ... ถึงตอนที่คุณสมานชาญสมรและภรรยาผู้ต้องฤทธิ์พระคุณพ่อ จนหลั่งน้ำตาจ้องหน้า คาดคั้นเอาเรื่องกับหลวงตาจนตะครั่นตะครอพอๆกัน จากวันนั้นถึงวันนี้ ที่เขียนต้นฉบับเล่าเรื่องนี้อยู่ ...ยังไม่มีเหตุการณ์อันใดจะทำให้หลวงตาอับจนปัญญาบารมีได้เกินกว่าเหตุการณ์นั้น อย่างมากที่เพียงพอเสมอกันได้อีกสัก 3 ครั้ง แล้วจะทยอยเล่าให้ลูกหลานฟังตามลำดับไป



    เอาตอนนี้ก่อน...คืนนั้นหลังเลิกพระกรรมฐาน คุณสมานและหลวงตา(ผู้ยังไม่ได้บวช) นั่งหน้าบูดคนหนึ่ง หน้าจืดคนหนึ่งอยู่เบาะด้านหน้า คุณภรรยาของทั้งคู่ก็นั่งหน้าหมองหน้าเฉยมาด้านหลัง คุณสมานขับรถมาได้เพียง 100 เมตรจากบ้านสายลม แกทนไม่ไหวระเบิดภาษาใจออกมาว่า



    " พี่ก็รู้นะครับ...ว่าผมเคารพหลวงพ่อแค่ไหน พี่ตอบผมหน่อยได้ไหม ว่าทำไมท่านทำกับผมอย่างนั้น ? "

    กูนึกแล้ว !... เอ้ย หลวงตานึกอยู่แล้วว่าแกต้องพูดอย่างนั้น โอย... โธ่เอ๋ย... แม่เจ้าประคุณภรรยายังผสานเสียงร้องไห้ ถามออกมาเสียงชัดเชียวว่า...

    " นั่นซิคะ...พี่... เรารักท่าน ท่านน่าจะทราบ พี่(สมาน)เขาไม่เคยทุ่มน้ำใจให้พระองค์ไหนขนาดนี้ เมื่อไม่รับแล้วทำไมต้องฆ่ากันด้วย ! "

    โอย.....เอาเข้าไป ใครจะไปตอบได้ ความทุกข์ของหลวงตาผู้รักเคารพเชื่อมั่นในองค์ครูบาอาจารย์ แต่ตอบเขาไม่ได้ว่าทำไมท่านทำกับเขาอย่างนั้น.... ลูกหลานคงทราบว่ามันทุกข์ระดับไหน


    (วงเล็บให้สักหน่อย : คนรู้เรื่องเดิมแล้วก็ข้ามไป ไม่ต้องอ่าน เผื่อไว้สำหรับคนที่ลืมเรื่องเดิมหรือคนที่เพิ่งมาอ่านเป็นครั้งแรกฉบับนี้ เดี๊ยวงุนงงขาดรสชาติไป.... คือคุณสมานและภรรยาเคารพศรัทธาหลวงพ่อฤาษีฯ... พ่อของผู้เขียนเป็นที่สุด มาฝากตัวเป็นลูกศิษย์กลับโดนพ่อตวาดด่าว่า ให้ถอยออกไปห่างๆ ถอยไปไหน ก็ได้ห่างๆเลย ไปนรกเสียเลยก็ได้.... คุณสมานก็ถอยออกมาร้องไห้กับภรรยา คอยหลวงตาจากบ่าย 3 โมงจนเลิกกรรมฐาน 3 ทุ่ม... แล้วก็ถามหลวงตาอย่างที่เขียนให้ฟังนี่แหละ...)

    ลูกหลานเอย...หลวงตาขณะนั้นก็คือคนธรรมดาๆ หาความวิเศษอะไรไม่ได้(ตอนนี้พระแก่ธรรมดาหาอะไรดีไม่ได้) จึงต้องรีบนึกถึงพ่อ...ช่วยจับใจจับปากกาลูกด้วย ถ้าตอบเขาไม่ได้วันนี้ พ่อคงจะไม่เป็นอะไร แต่ลูกจะขาดใจตายอยู่แล้ว ตอนนั้นในใจนึกเห็นภาพอู่ซ่อมรถชัดเจนในใจ จึงพูดออกไปตามภาพ... พูดเต็มเสียง เต็มใจเลย....

    " คุณสมานใช้รถมากี่คัน..."

    " หลายคัน พี่ถามทำไม " เสียงแกไม่น่ารักเลย สะบัดๆ บูดๆ

    " เคยใช้รถเก่าไหม..."

    " เคยซิพี่...ผมไม่ใช่คนรวยกับเขานี่... ที่พี่ถามมันเกี่ยวอะไรกับที่หลวงพ่อด่าผมด้วย ! "

    เอายิ่งกระแทกแดกดันคันหู แต่หลวงตากลับรุกต่อ

    " รถเก่านี่..ถ้าจะเปลี่ยนสี ต้องเอาสีเก่าออกก่อน ใช่ไหม "

    เงียบ !

    " ....เขาต้องเอาลวดเหล็กมาฟาดเคาะสะเดาะสี เอาเกรียงเหล็กมาไถมาแทงให้สีหลุด ใช่ไหม..."

    เงียบ !


    " ถ้าสีเก่าพอกหนาน่าเกลียดมาก ก็ต้องเอาไฟช่วยเป่า เอากระดาษทรายหยาบขัด กระดาษทรายละเอียดขัด เอาสีพื้นใหม่โป๊ะโป๊วลงไป ขัดออกให้เรียบ..."


    " พี่...พูดต่อ...พี่พูดต่อ !...." เอาแล้ว คุณสมานไม่รู้คิดอะไรได้ขึ้นมา เสียงเริ่มใสมีชีวิตชีวาขึ้นมาเชียว


    " ...แล้วจึงลงสีใหม่ พ่นเคลือบจนสวยงามตามต้องการ ใช่ไหม คุณสมาน ! "


    ถนนแทบแตก ! คุณสมานเบรครถหยุดชิดขอบถนนซอยสายลม ประนมมือกลับไปทางบ้านสายลมที่พ่อพักอยู่


    " หลวงพ่อครับ...ผมขอขมาหลวงพ่อ... ผมมันคนเลว หยาบหยามจนไม่เข้าใจความเมตตาของหลวงพ่อ... "


    แกร้องไห้ดังเลย ภรรยานั่งข้างหลังรถตกใจเลิกร้องไห้ทันที แล้วแกก็รำพันต่อนองน้ำตา


    " ...ผมมันคนมานะหนามานาน ผมไปหาครูบาอาจารย์มามาก ทั้งหลวงพ่อชา หลวงปู่เทสก์ หลายๆ องค์....ฮือ....."


    หลวงตางง...ยังจับต้นชนเหตุการณ์ไม่ถูก


    " ...ฮือ...ทุกองค์ชมผมดีหมด..."


    ฮือไป เช็ดขี้มูกด้วย ตอนนี้น่าเอ็นดูขึ้นมาก


    " ...ทุกองค์บอกว่า ผมทำบุญมาดีแล้ว ถ้าไม่ละความเพียร ก็สามารถไปนิพพานในชาตินี้ได้ ฮือ....ก็มีหลวงพ่อนี่แหละที่เจอหน้าก็ด่าเลย หลวงพ่อไม่กลัวผมเสียใจเลย หลวงพ่อฟาดสีทิฏฐิมานะหลงตัวเองที่พอกใจผมมานานแล้ว ฮือ.."

    ตอนนี้ร้องดังกว่าเดิม แม่ภรรยาร้องตาม...


    " หลวงพ่อครับ ฟาดผม เฆี่ยนผมเถอะครับ ลอกสีเก่าผมเถอะครับ พรุ่งนี้ลูกจะไปกราบพ่อผู้รู้ใจ ให้เมตตาลงสีใหม่ให้ผม ผมขอมอบกายถวายชีวิต ฮือ.."


    โอย..หลวงตาโล่งใจ เป็นสุขใจ ที่สุดในชีวิต


    ยังไม่จบ....รุ่งขึ้นคุณสมานและภรรยาก็รีบมา ตั้งแต่เที่ยงกว่า ๆ ตอนนั้นพ่อฉันเพลเสร็จก็นั่งรับแขกอยู่ตามปกติ พอคุณสมานและภรรยาเข้ามาในห้อง พ่อก็กวักมือเรียกทันที

    " ลูกชายลูกสาวเอ๊ย มา เข้ามาใกล้ ๆ พ่อ เออ คิดได้อย่างนี้เป็นคนดี ควรมอบกายถวายชีวิตให้พระพุทธเจ้าได้ ควรเป็นศิษย์เป็นครูกันได้ "

    โฮ..เลย โห่ร้องไห้ระงมสมใจกลั้นเลย น้ำหูน้ำตาน้ำมูกนองหน้ากันเลย หน้ายังงี้บานเหมือนพระจันทร์วันเพ็ญกันเลยละ เมื่อวานนี้ร้องรันทดแทบขาดใจ มาวันนี้ร้องปิติเต็มใจสมปรารถนา


    หลวงตาก็มีความสุขที่คุณสมานและภรรยามีความสุข

    หลวงตาสบายใจและมั่นใจในตัวพ่อ....เจ้าประคุณพ่อเอย...ใจที่หยั่งรู้ของพ่อนั้นลึกล้ำยาวไกลหนักหนา วิธีการสอนทรมานศิษย์ก็แยบยลกล้าประมาณไม่ได้ ช่างไม่กลัวศิษย์จะขาดใจตายหรือโกรธจนเป็นมิจฉาทิฏฐิไปเสียก่อน


    แล้วพ่อก็สอนหัวข้อธรรมให้คุณสมานด้วยเสียงเบา ๆ ด้วยสีหน้าท่าทางที่สบาย ๆ


    หลวงตาฟังไม่รู้เรื่อง...ใจเรานี่เบิกบานซ่านไปสุดขอบฟ้า


    พ่อเอย..ความหยั่งรู้เอย ความงามแห่งสีหนาทบันลือเอย


    แต่ค่อนข้างจะ..กราบขอประทานอภัยจะ..แรงฤทธิ์แรงเกินกว่าที่ใจมนุษย์มะนาเขาจะรับได้เสียจริงหนอ....


    ลูกหลานเอย...ใช่ว่าพ่อสอนด้วยอภิญญาสมาบัติไหมหนอ ?


    อ่านมาถึงตอนนี้ ลูกหลานหลายคนที่สงสัยว่าทำไมหลวงตาจึงกลัวพ่อนักหนา ก็คงพอเข้าใจบ้างแล้ว


    ลูกหลานเอย...มนุษย์ในโลกส่วนใหญ่ก็ถูกความกลัวครอบงำกันทั้งนั้น บางคนก็กลัวลำบาก กลัวคนมีอำนาจ


    คนบางพวกกลัวคนดี กลัวความดี

    อย่างหลวงตานี่แหละ..กลัวคนดี กลัวหลวงพ่อฤาษีฯ....


    สมัยโน้น... ปี 2517...18 โน่น...! วัดท่าซุงยังแคบและมีอาคารน้อย คือขนาดเดินหลบพ่อไม้พ้นนั่นแหละ...หัวอกหลวงตาเอย...คนอื่นคนไกลเขามาที่วัด เขาก็มาหาพ่อ นั่งมองหน้าฟังเสียงที่ท่านบันลือธรรม ไม่มีใครเขาอยากจะลุกไปจากคลองสายตา เพราะว่าท่านที่มาที่กล้ารอหน้าบันเทิงอารมณ์เขาเป็นคนดีกัน...


    พ่อสอนอย่างไร เขาปฏิบัติใจประพฤติตัวตามคำสอน

    เขาก็มีความสุข มีศรัทธาหาญกล้าไม่คิดจะสงสัย


    จะได้ดีเร็วช้ามากน้อยอย่างไร ก็ทรงกายทรงใจอยู่กับท่านได้ด้วยดีเสมอมา...หลวงตาเองนี่ก็กล้าพูดคับฟ้าว่ารักและศรัทธาพ่อ ถวายชีวิตให้พ่อไม่เคยกินแหนงแคลงใจ แต่ว่า..ลายมันคอยจะออก

    แล้วก็ไม่ใช่ลายเสือเสียด้วย...


    ตอนนั้น หลวงตาบวชได้พรรษาแรก

    ก็อย่างที่รู้ๆ กันในหมู่พระลูกๆ ของพ่อว่าใจของพวกเรานี่ ยังมีพลานุภาพมหาศาล คาใจอยู่อย่างน้อยก็หนึ่งอย่าง


    นั่นก็คือความอยากเป็นพระอรหันต์


    แล้วไม่ใช่พระอรหันต์แบบธรรมดา (ขอประทานอภัยท่านที่ไม่ได้คิดเลวๆ หยาบๆ อย่างหลวงตา) ต้องเป็นพระทรงอภิญญา สำหรับหลวงตานี่อยากเป็นปฏิสัมภิทาญาณไปโน่น.... ถึงขนาดนั้นนั่นแหละ.... โอยอายมือผู้เขียน อายสายตาท่านผู้อ่านแล้วก็คิดว่าการที่จะบรรลุมรรคผลขนาดนั้นจะต้องเป็นพระที่ได้ใกล้ชิดพ่อ ได้รับคำรับรองจากพ่อ


    ภาพที่ออกมาก็คือ คอยจะเสนอหน้า สบตา กระดิกหู คอยสดับเสียงให้พ่อทักว่าพระดีมาแล้วหรือ...(หลวงตาต้องขอชมตัวเองที่กล้าเขียนถึงขนาดนี้)


    แต่ผลก็คือ พ่อไม่เคยมองหน้าสักแว้บเดียว

    เออ..เราก็เสียใจ พี่น้องท่านอื่นเขานั่งล้อมหน้าดาหลังอุ่นหนาฝาคั่ง เราทำไมเกิดมาเงียบเหงา..อย่างนี้หนอ ?


    อย่าว่าแต่พระหรือฆราวาสคนอื่นเขาเลย แม้แต่หมาอย่างสิงห์ดอกกับโคล่า ยังมีโอกาสเดินตามนั่งพินอบหมอบนอนให้ท่านทักปราศัย วาสนาหลวงตานี่..เทียบหมาแล้วยังไม่บังอาจจะเปรียบได้


    แต่ใจมันมีกำลังความอยาก


    อยากให้พ่อทักทายเรียกใช้ใกล้ชิด


    อยากให้พ่อพยากรณ์เนรมิตให้เราเป็นพระอรหันต์


    แล้ววันที่หลวงตารอคอยก็มาถึง..


    วันนั้นพ่อนั่งอยู่ใต้ร่มหูกวางหลังโบสถ์ ริมบันไดทางขึ้นไปศาลา 12 ไร่ มีพระสงฆ์นั่งห้อมล้อมหน้าอิ่มเอิบเบิกบานบารมีกันถ้วนหน้า หลวงตาก็เดินมาจากศาลานวราชหน้าโบสถ์จะกลับที่พักกุฏิทรงไทยด้านหลังโบสถ์ ก็ต้องเดินผ่านพ่อผู้นั่งสบายอิริยาบถอยู่


    ใจหนึ่งอยากจะแวะเข้ากราบให้ท่านเห็น


    ใจหนึ่งบอกว่าให้หลีกเลี่ยงเข้ากุฏิเสีย


    เสียงพ่อทักดังชัดเจนมาอย่างนี้...


    " สิงห์ดอกหรือลูก...เอ้อ..หายไปไหนมาหว่า มา.มา เข้ามานั่งใกล้ๆ พ่อ.. " ท่านตบหัวลูบหลังหมาตัวโปรด


    " เออ..คนเก่งของพ่อเชียวนี่..เป็นนายยามใกล้ชิดตัวเดียวเลยละนี่ เอ้อ...นี่ ! ต้องเข้าใกล้กันจึงจะเก่งจึงจะดี เออ...นี่ละคนเก่ง เขาเป็นกันอย่างนี้.."


    โอย..พูดไปก็ลูบหลังตบหัวหมาไป แต่เสียงท่านทำไมมันวิ่งดังเข้าไปกินแก้วหูเรา พูดจบก็เงยมองมาทางเราพอดี


    " อ้าว...! (เรียกชื่อหลวงตา) ...หรือไปไหนมาหว่า...เออ อยู่กุฏิหลังไหนนี่.."


    " กุฏิ 3 ครับผม..." ตอบพลางไหว้พลางเดินเข้ากุฏิดิ่งไม่ว่อกแว่ก กลัวท่านจะทักต่อ (กลัวทักต่อว่า..เออ เข้ามานั่งใกล้ๆ....คนเก่งเชียวนี่..อะไรทำนองนี้)


    วันนั้นจึงเพิ่งรู้ว่าตัวเรานี่อยากเป็นหมา เป็นหมาของพ่อที่คอยให้พ่อปลอบโยนทายทัก....นี่ไม่ได้บังอาจพูดกระทบน้อง พี่ ครูอาจารย์ที่นั่งล้อมรอบสนองงานพ่อเป็นประจำ วาสนาบารมีหน้าที่อันอธิษฐานกันมาอย่างไร ก็ต้องทำอย่างนั้นนี่...พูดเล่าถึงอารมณ์เลวของหลวงตาที่ไม่รู้จักวาสนา ไม่ใช้ปัญญา แต่ไปเทียบบารมีกับพี่น้องต่างหน้าที่ ก็ไปริษยามานะเอากับท่านจนเสียเวลาทำความดีไปนานหลายปีนัก...

    .............................


    พอมาอยู่ที่วัดเขาวงจึงนึกขึ้นได้ว่า..พ่อเคยถามว่าตอนนี้ทำ(หน้าที่)อะไรอยู่....ก็กราบเรียนว่ากวาดทำความสะอาดโบสถ์ สวดปาติโมกข์ และสอนพระกรรมฐานตามที่พ่อสั่งทราบอยู่ ท่านก็พูดขึ้นมาในตอนนั้นว่า


    " เออ..ขณะที่ยังไม่ได้เรียกใช้ ไม่ได้มอบหมายหน้าที่อื่น ก็ไม่ต้องไปหางานอื่นทำ รีบทำความเพียรให้มากที่สุดไปก่อน เมื่อถึงเวลาใช้ทำงาน จะได้เหนื่อยแต่กาย แต่ใจเป็นสุข.."

    พอนึกออก จึงได้เข้าใจว่าตัวเองนี่ โง่ยิ่งกว่าหมา

    คำสอนอันแยบยล คือมรดกธรรมอันล้ำค่า

    ยากเกินกว่าที่คนน่ารักน่าชังแบบหมา ๆ จะเข้าใจได้จริง ๆ


    จนมาถึงทุกวันนี้ ณ ที่เขียนบันทึกอยู่ที่วัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) จังหวัดสระบุรี คนโง่อย่างหลวงตาจึงพอจะรู้ว่า คนที่จะทำการประสบความสำเร็จในสิ่งใดก็ตาม คนนั้นจะต้องมีต้นแบบ มีตัวบุคคล ที่ใจของตนจะต้องรัก ศรัทธา อยู่ในใจและเต็มใจตลอดเวลา ต้องเห็นมา และเข้าใจงานของท่านที่ทำสำเร็จประโยชน์ต่อโลก ต่อส่วนรวม ต่อตนและคนของท่าน และวิธีวิถีทางของยอดคนนั้น มันเข้าได้กับทางของเรา เข้าได้เสียสนิทใจเต็มใจ..จนยินยอมพร้อมใจจะทำตามจนกว่าสำเร็จไปทีละสิ่ง แต่ละจุดหมายของชีวิต ตามวิถีที่ท่านประทับนำทาง ทำอย่างมั่นใจว่า คนของท่านคนนี้ต้องได้..



    หลวงพ่อฤาษีฯ...พ่อของหลวงตาท่านมีศรัทธาในพระพุทธเจ้า ในพระอริยสงฆ์ครูบาอาจารย์ มีหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคเป็นที่สุด ท่านมั่นใจในพระธรรม มรรควิถีที่ครูท่านสอน ท่านมอบกายถวายชีวิตทำความดีนั้นไม่ลังเลท้อถอย


    ทั้งงานก่อสร้าง วิหารทานให้เป็นสมบัติพระพุทธศาสนา งานสาธารณสงเคราะห์ช่วยเหลือประชาชนผู้ยากจนตามความสามารถที่ทำได้


    ทั้งงานสั่งสอนอบรมพระกรรมฐานแก่ศิษยานุศิษย์ และที่สำคัญที่สุดท่านฝึกฝนตัวเองจนมั่นใจที่จะวางใจตัวเองและสอนผู้อื่นได้ สั่งสอนด้วยกุศโลบายและกำลังใจอ่อนโยนด้วยเมตตาและความเข้มแข็งแรงกล้าเกินธรรมดา ด้วยอำนาจจิตที่หยั่งรู้และสามารถสอน พ่อทำได้ตลอดมา..ผ่านมาและผ่านไป จนจบกิจกรรมพ้นวิเศษไปแล้ว เพราะว่าพ่อมีศรัทธาอันบริสุทธิ์และมากมายไม่ต้องประมาณดังกล่าวแล้ว




    (จากหนังสือ มรดกพระดี หน้า 85-95)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 มีนาคม 2024

แชร์หน้านี้

Loading...