มาวิเคราะห์คำทำนาย จากภัยธรรมชาติ

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย Falkman, 3 กรกฎาคม 2006.

  1. คนเหนือ ไทยใจจร

    คนเหนือ ไทยใจจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +265
    คุณครับ เรื่องนี้ มันจะเกิดขึ้นมา หลังจากพ้น พ.ศ. 5000 แล้วนะครับ
    อย่าตกใจ ไม่ใช่จะเกิดในวันนี้ พรุ่งนี้ เดือนหน้า หรือปีหน้า หรือ 10ปีข้างหน้า หรือ100ปีข้างหน้า หรือ1000ปีข้างหน้า ไม่ต้องเครียด นะครับ
    ******เชื่อพระพุทธเจ้าของเรานะครับ ท่านตรัสว่า อย่าไปคิดถึงอดีต อย่าไปคิดถึงอนาคต ให้คิดถึงปัจจุบัน ทำปัจจุบันให้ดีที่สุด ***
    แค่นี้เอง ผมหวังว่าท่านคงเข้าใจใน-คำสั่ง(ข้อห้าม)- ในคำสอน(ข้อที่ควรปฎิบัติตาม) ที่พระองค์ตรัสเอาไว้ จะว่าง่ายมันก็ง่าย จะว่ายากมันก็ยาก
    ***ธรรมทั้งหลาย มีใจเป็นหัวหน้า มีใจประเสริฐ สำเร็จที่ใจ***
     
  2. คนเหนือ ไทยใจจร

    คนเหนือ ไทยใจจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +265
     
  3. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    พุทธทำนาย ถอดความจากศิลาจารึก เขตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย

    หนังสือ " ศาสนาอยู่ที่ไหน " หน้า ๑๗๓ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน

    [​IMG]
    พุทธทำนาย ถอดความจากศิลาจารึก เขตมหาวิหาร สวนมฤคทายวัน ประเทศอินเดีย มีใจความว่า


    "สาธุ อรหันต์สัมมาสัมพุทธเจ้าผู้เป็นพระสัพพัญญูรู้แจ้งโลกทั้งในอดีตและในอนาคต ทรงมีเมตตากรุณาแก่สัตว์โลกเป็นล้นพ้นเมื่อครั้งพระองค์ดำรงพระชนม์อยู่ ได้ตรัสแก่พระอานนท์ว่า


    ดูก่อนอานนท์ เมื่อศาสนาของของตถาคตล่วงเลยไปถึง กึ่งพุทธกาล สัตว์โลกทั้งหลายที่เกิดในยุคนั้น จะพบแต่ความลำบาก ทุกชาติทุกศาสนา ตามธรรมชาติอันหมุนเวียนของโลก ที่หมุนไปใกล้ความแตกสลาย แผ่นดินแผ่นน้ำจะลุกเป็นไฟ มนุษย์และสัตว์จะได้รับภัยพิบัติสารพัดทั่วทุกทิศ คนในสมัยนั้นจะมีนิสัยโหด ดุจกำเนิดจากสัตว์ป่า อำมหิตจะรบราฆ่าฟันกันเองถึงเลือดนองแผ่นดินแผ่นน้ำ ส่วนเวไนยสัตว์ ผู้ขวนขวายในกุศลตามวจนะของตถาคตก็จะระงับร้อนไม่รุนแรง บ้านเมืองใดมีความเคารพยำเกรงในพระรัตนตรัยและคุณบิดามารดา เหตุร้ายภัยพิบัติจะเบาบาง แต่ก็จะหนีกฎธรรมชาติไม่พ้น

    เริ่มแต่พุทธศาสนาล่วงเลย ๒,๕๐๐ ปี เป็นต้นไป ไฟจะรุกลามมาทางทิศตะวันออก ไหม้วัดวาอาราม สมณะชีพราหมณ์จะอดอยากยากเข็ญ ลูกไฟจะตกจากฟ้าเป็นเพลิงผลาญ เหล็กกล้า จะทะยานจากน้ำ มหาสมุทธจะชอกซ้ำ สงครามจากทั่วทิศศึกจะติดเมือง ข้าวจะขาดแคลนทั่วแว่นแคว้นจะอดอยาก ผีโขมดป่าจะเข้าเมือง พระเสื้อเมือง ทรงเมือง จะหนีเข้าไพร ผู้เป็นใหญ่มีอำนาจ จะเรียกแมลงผีเสื้อเหล็กนับแสนตัว มาปล่อยไข่เป็นไฟผลาญ ยักษ์หินที่ถูกสาบเป็นเวลานาน จะตื่นขึ้นมาอาละวาดโลก ดินฟ้าอากาศจะแปรปรวน ตลิ่งจะพัง แผ่นดินจะถล่มเป็นทะเล โลกมนุษย์จะดิ่งสู่ความหายนะนักปราชญ์จะถูกทำร้ายให้สิ้นสูญในระยะนั้นศาสนาของตถาคตจะเสื่อมลงมาก เพราะพุทธบริษัทไม่ตั้งอยู่ในศีลธรรม เชื่อคำคนโกง กล่าวคำเท็จ ไม่เคารพรักธรรมนิยม คนประจบสอพลอได้รับความเชื่อถือในสังคม ผู้ที่มีศีลธรรม ประพฤติดี ประพฤติชอบ กลับไม่มีใคร เคารพยำเกรง


    พระธรรมจะเริ่งเปล่งรัศมีฉายแสงส่องโลกอีกวาระหนึ่งก็ต่อเมื่อ มีพระญาธรรมิกราชโพธิญาณบังเกิดขึ้น อยู่ในความอุปถัมภ์ของพระเถระผู้ทรงธรรมฤทธิ์ ทั้งสองพระองค์สถิตย์ ณ เบื้องต้นตะวันออกของมัชฌิมประเทศ จะเสด็จมาเสริมสร้างศาสนาของตถาคต ให้รุ่งเรืองสืบไปถึง ๕,๐๐๐ พระวัสสา

    ดูก่อนอานนท์ เวลานั้นพลโลกเหลือน้อย คำทำนายของตถาคตนี้ ย่อมยังเวไนยสัตว์ให้ตั้งอยู่ในความไม่ประมาท ผู้ใดรู้แล้วไม่เชื่อ นับว่าเป็นกรรมของสัตว์ ที่ต้องสิ้นสุดไปตามกรรมชั่วของตน ผู้ใดปรารถนารอดพ้นจากภัยพิบัติ ให้รักษาศิล ๕ ประการ เจริญเมตตาภาวนา ประกอบสัมมาอาชีพ มีใจสันโดษรู้จักพอ ไม่โป้ปดคดโกง ไม่หลงมัวเมาอำนาจและลาภยศ ตั้งใจปฏิบัติตน ตามคำสอนของตถาคต ให้มั่นคง จึงจะพ้นอันตรายในกึ่งพุทธกาล"

    [​IMG]
    พุทธทำนายนี้ ข้าพเจ้าพบเมื่อปี 2535 และปรากฏอีกครั้งในหนังสือ "ศาสนาอยู่ที่ไหน " หน้า ๑๗๓ หลวงตาพระมหาบัว ญาณสัมปันโน
    อหิงสะกะ / ๒๔ มิถุนายน ๒๕๔๖

    http://www.electoday.com/projects/nprotech/buddha/
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2006
  4. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    ตำนานพระญาธัมมิกราช

    <DD>[SIZE=-1]ตำนานพระญาธัมมิกราช หรือ ตำนานพระญาธัมม์ เป็นเรื่องที่กล่าวถึงพญาจักรพรรดิราช [/SIZE][SIZE=-1]คือ ผู้ที่จะมาสั่งสอนคนแทนพระพุทธเจ้าในกัลป์ที่ไม่มีพระพุทธเจ้ามาตรัสรู้ในโลกนี้ แต่ในตำนานสุวรรณคำแดงนั้นกล่าวว่า "ในครั้งนั้นพระญาธรรมปรากฏในเมืองฮ่อ" ทำให้เห็นว่า"พระญาธัมม์"หมายถึง กษัตริย์ผู้ทรงอานุภาพมากกว่าที่จะเป็น"พญาจักรพรรดิราช"ดังเช่นที่ปรากฏในไตรภูมิพระร่วง ทั้งนี้ ตำนานพระญาธัมมิกราช ซึ่งอ้างว่า"ได้จากเมืองพุก่ำมาแล" ซึ่งศูนย์ส่งเสริมและศึกษาวัฒนธรรมลานนาไทย วิทยาลัยครูเชียงใหม่ได้ปริวรรตไว้เมื่อ พ.ศ.๒๕๒๓ มีใจความกล่าวไว้ ดังนี้[/SIZE] <DD> <DD><DD>[SIZE=-1]ในตอนต้นเรื่อง กล่าวถึงความเดือดร้อนประการต่างๆ ที่เกิดมีในบริเวณเมืองเชียงใหม่กับลำพูน แล้วจึงกล่าวถึงพญาตนหนึ่งอยู่ทางฟากตะวันออกของน้ำแม่ระมิงคือน้ำแม่ปิง พญาดังกล่าวมีบุตร ๒ คน แล้วทั้ง ๓ ได้รบกันที่เชิงดอยอุจฉุคือดอยสุเทพ บุตรที่เกิดในปีฉลูได้เป็นพญาแทนพ่อ ต่อมาก็ถูกพญากัปปราชแห่งเมืองใต้ยกขึ้นมารบกวน ถัดจากนั้นพญาซึ่งอยู่ด้านตะวันออกและตะวันตกของน้ำแม่ปิงจะรบกัน หลังจากนั้นท้าวพญาทั้งหลายที่อยู่บริเวณขุนน้ำแม่ปิงจะหาศีลธรรมมิได้ ซึ่งเป็นเหตุให้พญาทาง"ฝ่ายสมุทร" หรือทางใต้ ยกรี้พลขึ้นมาตามลำน้ำแม่ระมิงแล้วรบกันที่เชิงดอยคำ เลือดจะตกในที่นั้นมากจนหนูข้ามไม่ได้[/SIZE] <DD> <DD><DD>[SIZE=-1]พญาธัมมิกราชจะปรากฏที่ "นาไร่หลวงแห่งเมืองหริภุญชัย" แล้วพญาธัมมมิกราชหรือพญาธัมม์จะเป็นผู้ห้ามการรบต่างๆ ครั้งนั้นจะเกิดมีปราสาทเกิดที่ผาก้อนใหญ่นอกเมือง พระอินทร์จะมาสรงน้ำและเป่าหอยสังข์ ท้าวจตุโลกบาล เทวดา ผีเสื้อ(อารักษ์) จะเอาของดีวิเศษต่าง ๆ ไปมอบให้เนื่องในการอภิเษกให้เป็นพญาธัมม์ พระวิษนุกัมม์จะมาเป็นสารถี พระอินทร์จะนำนางแก้วจากอุตตรกุรุทวีปมาให้ รวมทั้งธิดากษัตริย์ต่างๆ ในชมพูทวีปอีก ๑๘,๐๐๐ นาง แล้วพญาธัมมิกราชและพระอินทร์จะช่วยกันสร้างเมืองลำพูนให้เป็นมหานคร ให้ชื่อว่า"อินทาปราการ"และสร้างเครื่องประดับถวายพระธาตุหริภุญชัย แล้วขุมทรัพย์ทั้งหลายจะปรากฏขึ้น ซึ่งพญาธัมมิกราชจะได้แจกจ่ายแก่คนทั้งปวง [/SIZE]<DD> <DD><DD>[SIZE=-1]พญาธัมมิกราชไปเมือง "นครหลวง" ซึ่งมีรูปหมูทองคำอยู่ที่สี่มุมเมือง นำเอาคัมภีร์ทั้งหลายมาตรวจสอบ คัมภีร์ที่ผิดก็จะเผาเป็นมุกรักทำเป็นพระพุทธรูป ภิกษุที่ไม่ถูกตามวินัยก็จะทรงให้สึกเสีย ถัดนั้น พญาธัมมิกราชจะสอนคนทั้งหลายให้ตั้งอยู่ในธรรม แล้วไปบูรณะเมืองราชคฤห์ สาวัตถี และมัชฌิมปเทสแล้วจึงกลับสู่เมือง"อินทาปราการ" ใน พ.ศ.๑๙๒๐ ระฆังของพญาธัมมิกราชองค์ก่อน ที่จมอยู่ในแม่น้ำอจิรวดีก็จะผุดขึ้น หากธัมมิกราชไปในที่ใดก็สั่นระฆังนั้น พระองค์จะมีบุตรที่ดีเหมือนชาลีและกัณหา พระองค์จะสร้างเจดีย์และพระพุทธรูป เมื่อมีการเฉลิมฉลองนั้น จะมี "ฝนห่าแก้ว" คือฝนตกลงเป็นแก้วมณีลงมาในชมพูทวีป ซึ่งพระองค์จะป่าวให้คนทั้งหลายเก็บเอาแก้วมณีมีค่านั้นไปตามความปรารถนา[/SIZE] <DD> <DD><DD>[SIZE=-1]คนทั้งปวงจะอยู่เป็นสุข ไม่มีการทะเลาะกัน ทุกคนจะถือศีลบำเพ็ญภาวนาเคารพผู้เฒ่าผู้แก่ ดังที่อาจารย์กล่าวไว้เป็นอุบายว่า กาถามนกนางว่าทำไมมึงไม่กรอก นกยางว่าเพราะปลาไม่ออก ปลาเอ๋ยทำไมไม่ออก เพราะหญ้ารก หญ้าเอ๋ยทำไมจึงรกนัก เพราะวัวไม่กิน ทำไมวัวไม่กินหญ้า วัวว่าเจ้าเจ้าของไม่ปล่อยตน ทำไมเจ้าของวัวไม่ปล่อยวัว เจ้าของวัวว่าปวดท้อง ทำไมจึงปวดท้อง เพราะข้าวไม่สุก ทำไมข้าวไม่สุก เพราะไฟไม่ลุก ทำไมไฟไม่ลุก เพราะฟืนเปียก ทำไมฟืนเปียก เพราะฝนตกมาก ทำไมฝนตกมาก เพราะกบเขียดร้องเรียก ทำไมกบเขียดจึงร้อง เพราะงูจะกิน ทำไมงูจะกินกบเขียด เพราะกบเขียดเป็นอาหารของงู งูนั้นได้ทิ้งอีกาที่ฟักไข่ออกมาเป็นงูในเมืองนาค แม่กาป่วยตายและได้ให้เมืองนาคไว้แก่งู งูนั้นไม่รู้จักศีล งูนั้นไม่มีบุญ เมื่องูนั้นเกิดมาได้ ๕๕ ปี จะเกิดอุบาทว์ในเมืองนาคนั้น อาจารย์เจ้ากล่าวว่า อุปมาเหมือนปัญญาของงูก็เปรียบเหมือนอีกาและนกยางที่ไม่กรอก คือได้พญาที่ไม่สามัคคีกัน ปลาไม่ออกได้แก่พญาธัมมิกราชยังไม่บังเกิด หญ้ารกได้แก่มิจฉาทิฏฐิ วัวได้แก่พ่อเรือนที่ไม่รู้จักทำบุญให้ทาน เจ้าของวัวได้แก่พญาใจบาปที่ไม่ทำบุญให้ทาน ข้าวไม่สุกได้แก่กลียุคที่จะเกิดศึกแก่คนทั่วไป[/SIZE]<DD> <DD><DD>[SIZE=-1]เมฆเป็นสีเหลืองสีแดง เมฆเป็นเหมือนธงเป็นรูปเหยี่ยวอยู่ทางทิศตะวันออก ถือว่าเป็นเหตุอัศจรรย์ แร้งกาบินโฉบไปมา เหยี่ยวเกาะที่เรือน ก็เป็นอัศจรรย์ รูปเทวดาและพุทธรูปมีเหงื่อไหลก็เป็นอัศจรรย์ ดาวหางเกิดขึ้นก็เป็นอัศจรรย์ ต้นไม้ที่ไม่ควรมีดอกผลกลับมีดอกผลก็เป็นอัศจรรย์ ต้นไม้ที่ไม่หอมเกิดหอมก็เป็นอัศจรรย์ ไม้ตายแล้วมีแก่นหอมเหมือนไม้จันทน์ก็เป็นอัศจรรย์ แผ่นดินแข็งแต่เมื่อลมพัดกลับมีกลิ่นหอม คนใจบาปกลับใจบุญ คนใจบุญกลับใจบาป เมืองเดียวเกิดมีพญาชิงอำนาจกัน แต่นั้นคนก็เลยวิวาทฆ่าฟันกัน พระอินทร์จะมาเป่าสังข์ในอากาศทำให้คนตกใจกลัว คนจะโกหกกัน ภูติผีเข้าสิงคนให้ฆ่าฟันชิงทรัพย์แย่งลูกเมียกัน ถัดนั้น เทวดาจะพุ่งไต้ไปในอากาศ ๓ ครั้ง ทำให้เกิดแผ่นดินไหวสองครั้งในวันเดียว เมื่อมีเหตุดั่งนี้ส่อแสดงแล้ว ก็หมายความว่าองค์ธัมมิกราชจะมาบังเกิด[/SIZE] <DD> <DD>[SIZE=-1]
    ลักษณะของธัมมิกราชเมื่อจะเป็นพญานั้น มีกายสีขาวเหลืองเหมือนทองหยด ลักษณะดี ฟันงามมีเสียงนุ่มนวล มีขนขาวเส้นหนึ่งเป็นอยู่ที่ใบหน้าด้านซ้าย แต่ก่อนเป็นคนยากไร้แต่มีเพียร อยู่ที่ไหนมักถูกคนไล่ให้หนีจาก บวชสองครั้ง และเมื่อบวชนั้นเหล่าสงฆ์ก็ไม่ชอบ พอลาสิกขาบทแล้วอยู่ที่ไหนคนก็ไม่ชอบ ท่านให้ความเมตตาต่อคนยากไร้ รักคนใจบุญ ท่านมีบุตรหญิงชายอย่างละสอง ได้เรียนวิชาการมามาก มีใจกล้าหาญ เมื่อบวชนั้นอยู่ทางปลายน้ำแต่เมื่อลาสิกขาบทกลับอยู่ด้านเหนือน้ำ สง่างามเหมือนช้างเอราวัณ ตอนที่บวชนั้นนอนเหมือนลิงลม แต่เมื่อลาสิกขาบทแล้วนอนเหมือนนกพิราบ เมื่อจะได้เป็นพญาก็นอนเหมือนราชสีห์ ท่านจะมาสืบหาคนที่เกิดในปีงูเล็กตั้งแต่ "ปีเต่าเส็ดถึงปีกัดเป้า" เมื่อธัมมิกราชจะปรากฏเป็นพญานั้น จะมีม้าแก้วอยู่ที่ดอยอ่างสรงเชียงดาว พระแสงขรรค์ชัยศรีและแก้ววิเศษนั้น เทวดาจะนำมาให้ มีผีเสื้อพันหนึ่งเป็นบริวาร ผีเสื้อและฤาษีจะรื้อเอารางทองมาอภิเษก พระอินทร์จะให้น้ำอมฤต ทำให้ท่านมีรูปงามและรู้ปิฏกะทั้งปวง ท่านจะมาทำให้ศาสนารุ่งเรืองในหริภุญชัย เมืองฝาง เมืองละโว้และชำระคัมภีร์ทั้งปวง ทำให้คนทั้งหลายเป็นสุขด้วยข้าวของต่างๆ ถัดนั้น "หมู่หน้าแข็งตนขาว" จะเอา เมืองวิเทหะและจุฬนีมาถวาย จะมาสร้างปราสาทถวาย ธิดากษัตริย์ทั้งปวงจะมาถวายตัว ธัมมิกราชจะครองเมืองได้ร้อยปีและโอรสของท่านจะครองต่ออีกร้อยปี คนทั้งหลายจะมีความสุขทุกเมื่อ[/SIZE]

    <DD>
    <DD><DD>[SIZE=-1]"ตำนานธัมมิกราชอันนี้ ได้แต่เมืองพุกำ(พุกาม)มาแล" ผู้ใดที่ได้เขียน ได้รักษาและได้บูชาเหมือนกับบูชาธัมมิกราชแล้ว ก็จะได้เงินทองมากนัก "ตำนานธัมมิกราชจบเท่านี้ก่อนแล สกราชได้ ๑๓๑๗ ปีก่าไส้ พ.ศ.๒๔๙๗"

    http://www.lannaworld.com/story/legend/tamigraj.htm[/SIZE]

    <!-- / message -->
    </DD>
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2006
  5. คนเหนือ ไทยใจจร

    คนเหนือ ไทยใจจร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    39
    ค่าพลัง:
    +265
    ผมขออนุโมทนา ในการนำเอาพระธรรมที่พระพุทธเจ้าได้ตรัสเอาไว้ ให้ผู้แสวงธรรมได้รับรู้ ครับ
     
  6. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    ประมาณปี 2552 เป็นต้นไปจะมีการเรียน การสอนวิชาสามและวิชาหก โดยฆราวาส 4 ท่านที่มีบารมีและพลังจิตสูงมากซึ่งจะมีการเรียน การสอนกันอย่างแพร่หลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งการสอนการใช้โทรจิตติดต่อกันโดยไม่ต้องใช้โทรศัพท์มือถือหรือโทรศัพท์บ้าน

    สมุมมติว่าถ้าเกิดขึ้นจริงตามคำทำนาย
    พิจารณาตามคำทำนาย

    พระอริยเจ้าก็คงสอนตามปกติแบบพุทธศาสนาที่เคยสืบทอดกันมา แต่ช่วงนั้นอาจจะ นิยมสอนกัน
    แต่ว่า ท่านจะทดลองผลให้คนดูเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้คนทั่วไปรับรู้ไม่ได้ เพราะว่าจะผิดศิลของพระ

    คนสมัยเราและต่อไป จะมีแนวคิดแนววิทยาศาสตร์
    เวลาอ่าน เรื่องอภิญญา ตามพุทธ ก็จะสงสัยว่าสิ่งนั้นเป็นจริงไหม ถ้าฝึกแล้วผลจะได้ตามที่ในพระไตรบอกจริงไหม เกิดความสงสัย

    เช่น สงสัย เรื่องของอภิญญา
    กสินดิน เมื่อฝึกถึงฌาณ๔ แล้วจะสามารถ ย่อตัว ขยายตัวได้
    กสินลม ฝึกแล้วเหาะได้

    การพิสูจน์ให้คนทั่วไปได้ทราบ ก็ต้องเป็นฆาราวาตที่ทำได้ ออกมาพิสูจน์
    พอพิสูจน์ได้แล้ว ว่าผลออกมาเป็นจริง คนก็จะค่อยๆเริ่มยอมรับในสาธรณะและเป็นที่นิยมในวงกว้าง

    ฆาราวาต 4 คนคือใคร ?

    คนที่จะออกมาพิสูจน์

    1. ถ้าฆาราวาตเป็นระดับพระอาริยเจ้า ออกมาพิสูจน์ให้คนดู ก็เสี่ยงเหมือนกัน เสี่ยงตรงที่ว่า ถ้าท่านพิสูจน์ออกมาแล้ว บางคนอาจจะต่อว่าในแง่ต่างๆ คนอาจจะว่า บ้ามั่ง เพี้ยนมั่ง ลวงโลกมั่ง
    พอคนต่อว่าท่าน คนนั้นก็จะตกนรก เพราะว่าปรามาสท่าน

    2. คนที่พิสูจน์ ถ้าทำได้จริงๆ ก็จะดังมาก พอดังคนก็จะมากวน ทำให้ไม่ค่อยมีเวลาปฎิบัติธรรมต่อเพื่อให้บรรลุถึงนิพพาน

    3. ผมคิดว่า น่าจะเป็นพุทธภูมิ หนุ่ม
    3.1 เพราะว่าต้องอาศัยกำลังใจสูง การออกสู่สารณะต้องอาศัยกำลังใจสูง
    3.2 ไม่ใช่ พระอริยเจ้า เมื่อคนด่าว่า ก็ไม่บาปมากเท่าด่าว่าพระอาริยเจ้า
    3.3 ถ้าบารมีเข้มข้นมีได้อภิญญา เข้าฌาณ๔ ก็สามารถเรียกของเก่ามาใช้ได้


    ก็ไปสอดคล้องกับที่หลวงพี่บอกไว้ เรื่องอภิญญาในสาธารณะ คนที่จะมาสอน ก็คือ พุทธภูมิ

    ..เรื่อง..
    หลวงพ่อท่านเป็นผู้ปูพื้นฐานไว้เพื่อรับ "อภิญญาหก"

    "เพราะพวกอภิญญาหกเขาต้องมาอีกพวกหนึ่ง พวกสอนอภิญญาหกน่ะเขาจะมาอีกชุดต่างหาก พวกเราพวกปูพื้นฐาน พวกสอนนักเรียนเตรียม โน่น! อภิญญาหกเขาต้องหนุ่ม ไม่งั้นมันเล่นไม่ไหวหรอก จะมาจากพวกไหน พวก "พุทธภูมิ" ทั้งนั้นแหล่ะ! ก็ต้องเป็นพวก "พุทธภูมิ" ที่มีอารมณ์เข้ม!!... "

    http://www.palungjit.org/smati/books/index.php?cat=99

    4. เรื่อง โทรจิต น่าจะเกี่ยวข้องกับกลุ่มของ อ.เทพนมและกลุ่มเขากระลา
    คราวต่อไป อาจจะ โทรจิตแล้วเชิญ มนุษย์ต่างดาว ลงมาจอด ที่สนามหลวงแล้วออก TV ได้สำเร็จ

    *****************

    ปี 2552 อีก 2ปีว่าๆเอง ไม่นาน
    ฆาราวาต 4 คน ผมคิดว่า ต่อไปพวกเราจะรู้จัก
    อาจจะเคยหรืออาจจะมา ที่เว็ปพลังจิตเพราะว่าเว็ปเกี่ยวเนื่องกับเนืองนี้ แล้วเราอาจจะได้คุยกับเขา

    หรือถ้าเขาไม่ได้เล่นเน็ต ก็อาจจะไม่มา เราก็อาจจะได้เห็นเขาตามสื่อต่างๆ
     
  7. Tossaporn K.

    Tossaporn K. เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    1,565
    ค่าพลัง:
    +7,747
    เรียนคุณเว็บสโนว์

    ผมเห็นด้วยครับกับสิ่งที่คุณคาดว่ามันน่าจะเป็น แต่ผมว่าตอนนี้ฆาราวาสทั้ง 4 ท่านคงยังไม่มาปรากฏให้พวกเราๆท่านๆได้เห็นในช่วงนี้หรอกครับคงต้องผ่านช่วงเวลาวิกฤตของภัยธรรมชาติครั้งใหญ่ก่อนครับเพราะถึงตอนนั้นผู้คนจะเริ่มเรียนรู้ที่จะอยู่ร่วมกันโดยมีน้ำใจช่วยเหลือกันและกันอย่างเต็มที่ แล้วฆาราวาสทั้ง 4 ท่านถึงจะปรากฏตัวครับ ผมว่าตอนนี้ยังไม่ต้องสนใจหรอกครับว่าทั้งสี่ท่านเป็นใครเราน่าจะสนใจฝึกปฏิบัติธรรมของตัวเราเองให้พร้อมในการเตรียมตัวรับการสอนจากท่านใดท่านหนึ่งในสี่ท่านก่อนดีไหมครับ หรือถ้าเราสามารถไปพระนิพพานได้ก่อนเลยก็ยิ่งดีไม่ต้องมาเกิดใหม่อีก

    เป็นแค่ความคิดเห็นส่วนตัวครับขออนุโมทนาในความมุ่งมั่นปราถนาพระนิพพานของคุณเว็บสโนว์ด้วยครับ สาธุ สาธุ

    ทศพร
     
  8. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193
    อภิญญา โดย อ.ศักดา สกุลพนารักษ์

    อภิญญา แปลว่า ความรู้อย่างยิ่งสูงกว่า ญาณมี 6 อย่าง
    เมื่อเราฝึกการใช้ฌาณทั้ง 7 จนคล่องแคล่วชำนาญดีแล้ว อภิญญาจะค่อยๆ เกิดตามมา อภิญญาทั้ง 6 ได้แก่

    1. อิทธิฤทธิ์ แสดงฤทธิ์ต่างๆ ได้ เช่น อยู่ยงคงกระพัน ล่องหนหายตัว ย่นระยะทางได้ เหาะเหินเดินอากาศ ดำดิน เดินบนผิวน้ำ หรือเดินลงไปในน้ำได้
    2. ทิพยโสต มีหูทิพย์ สามารถฟังเสียงในที่ไกลหรือเสียงอมนุษย์ ได้ยินเสียงสัตว์ เสียงเทพ เสียงพรหม รู้เรื่อง
    3. จุตูปปาตญาณ รู้การตายและการเกิดของคนและสัตว์ แต่รู้หมดทุกภพทุกชาติ ถ้าฌาณธรรมดาจะรู้เพียง 4-5 ชาติ แต่อภิญญารู้หมดทุกภพทุกชาติ
    4. เจโตปริยญาณ รู้วาระจิต รู้ความคิดในใจของคนและสัตว์ได้
    5. ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ระลึกชาติต่างๆ ของคนหรือสัตว์ได้ทุกภพทุกชาติ
    6. อาสวักขยญาณ ปัญญาที่ขจัดอาสวกิเลสตัณหาให้หมดสิ้นไป อภิญญาข้อนี้เองจะเป็นหนทางให้หลุดพ้นจากการเวียนว่ายตายเกิดได้

    กสิณโลกธาตุทั้ง 4 ดิน น้ำ ลม ไฟ

    หลวงปู่เทพโลกอุดร ได้มานิมิตขอให้พวกเราฝึกกสิน โลกธาตุทั้ง 4 คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ โดยกำหนดให้ข้าพเจ้าฝึกกสินดิน ปฐวีกสิณัง เพ่งธาตุดิน คุณสุนทรฝึกกสินน้ำ อาโปกสิน เพ่งธาตุน้ำ คุณปรางทิพย์ฝึกกสินลม ส่วนคนจงรักษ์ ฝึกกสินไฟ เตโชกสิน เพ่งไฟ
    ความจริงพวกเราค่อนข้างจะดื้อ และขี้เกียจกันทุกคนไม่ค่อยอยากจะฝึก เพราะไม่รู้จะฝึกไปทำไม ถามท่าน(หลวงปู่เทพโลกอุดร) ท่านก็บอกว่าเอาไว้ช่วยคน พลังโลกธาตุทั้ง 4 นี้ถ้าฝึกได้สำเร็จจะมีคุณค่ามหาศาลสามารถช่วยรักษาโรคร้ายและ หยุดยั้งภัยพิบัติต่างๆ ได้ แต่ต้องรวมพลังกัน

    เราใช้เวลาฝึกอยู่ 2 ปีเต็ม วันนั้นเดือนสิงหาคม พ.ศ.2537 ท่านสั่งให้เรากลับบ้านดอยสะเก็ดแต่วัน เราออกจากโรงธรรม-โรงทานมังสวิรัติสี่แยกสันป่าข่อยประมาณ 4 โมงเย็น กลับบ้านสวดมนต์กันแต่วัน แล้วฝึกกสินกันเลย ท่านให้พวกเรานั่งล้อมวง ประสานมือกันภาวนาองค์กสินของแต่ละคนในใจ ทันใดนั้นพวกเราทั้ง 4 รู้สึกเหมือนตัวโยกลอยขึ้นจากพื้น เราพยายามจับมือกันไว้แน่นแล้วภาวนากสินไปเรื่อยๆ

    ทันใดนั้นฟ้าได้ผ่าลงมาที่บ้านถึง 3 ครั้งติดต่อกันเกิดพายุหมุนปั่นป่วน ฝนตกลงมาอย่างหนัก แผ่นดินไหวสะเทือน 3 ครั้ง เหตุเกิดเฉพาะบริเวณบ้านเราเท่านั้น จ่าเสมได้รีบถ่ายรูปพวกเราไว้ เมื่อล้างภาพออกมา ไม่มีพวกเราทั้ง 4 คน กลายเป็นดิน น้ำ ลม ไฟ ไปหมด น่ามหัศจรรย์ฝนฟ้าและลมพายุพัดอยู่ประมาณ 10 นาทีก็สงบ พวกเราฝึกได้สำเร็จพลังแห่งโลกธาตุทั้ง 4 โดยใช้เวลาฝึกประมาณ 2 ปีเต็ม

    ปัจจุบันพวกเรายังคงใช้กสินโลกธาตุทั้ง 4 ช่วยรักษาโรคร้ายต่างๆ ให้กับผู้คนที่เจ็บป่วยอยู่ทุกวัน โดยไม่เรียกร้องเงินทองหรือค่ารักษาพยาบาลใดๆ ทั้งสิ้น

    (คัดลอกมาจาก หนังสือสวดมนต์ทำวัตร เช้า-เย็น แปล การปฎิบัติธรรม สมถะวิปัสสนากรรมฐาน และกาฝึกกสินโลกธาตุทั้ง 4 ของอาจารย์ศักดา สกุลพนารักษ์ )

    อ.ศักดา สกุลพนารักษ์เคยเตือนภัยไว้ดังนี้

    นับตั้งแต่ วันที่ 11 มีนาคม 2548 เป็นต้นไป จะเกิดภัยพิบัติอย่างร้ายแรง ทั้งจากเบื้องล่างและเบื้องบน......เบื้องล่าง คือ แผ่นดินไหว-แผ่นดินแยก-แผ่นดินทรุด น้ำท่วม (ระดับน้ำสูง 4-6 เมตร) เขื่อนพัง คลื่นขนาดใหญ่พัดเข้าหาฝั่ง ก่อให้เกิดความเสียหายแก่ชีวิตและทรัพย์สินจำนวนมาก ......ภัยจากเบื้องบน จะเกิดลมพายุพัดกระหน่ำ เป็นพายุหมุน ที่มีความเร็วสูง ทำลายอาคาร บ้านเรือน เรือกสวนไร่นา ชีวิตและทรัพย์สินเสียหายอย่างร้ายแรง......-จังหวัดที่จะได้รับความเสียหาย คือ เชียงใหม่ และลำพูน

    -ภาคกลาง กรุงเทพ และปริมณฑล

    -ภาคตะวันออก จังหวัดที่อยู่ชายฝั่งทะเล ให้ระวังภัยบริเวณภาคใต้ฝั่งตะวันออกและตะวันตก จังหวัดที่อยู่ใกล้ชายทะเล ให้เตรียมตัวให้พร้อม อย่าได้ประมาท.......ควรจะหาที่อยู่สำรอง ในกรณีที่จำเป็นจะต้องอพยพหลบภัย ออกจากที่อยู่ในปัจจุบัน ให้พยายามหาที่อยู่บนที่สูง ให้เตรียมเสบียงอาหารสำรองไว้ให้พร้อม รวมทั้งน้ำมันเชื้อเพลิง ถ้ามียานพาหนะ เติมน้ำมันให้เต็ม เพื่อที่จะได้เดินทางออกจากสถานที่เกิดภัยพิบัติให้ไกลที่สุด........

    ถ้าท่านยังไม่มีสถานที่พักสำรอง

    -ภาคใต้......ให้ไปพักที่พระธาตุเจดีย์สันติสุข ควนหินแท่น เส้นทางพัทลุง-หาดใหญ่ หลัก ก.ม.ที่ 41-42 ก่อนถึง อ.หาดใหญ่ บ้านทุ่งนารี อ.ป่าบอน โทร.074-211499

    -ภาคกลาง....ไปที่พระธาตุเจดีย์สันติสุข อ.บ้านไร่ จ.อุทัยธานี ถ้ำใหญ่ เขาวง หมู่ 11 บ้านหนองใหญ่ อ.บ้านไร่ (สอบถามเส้นทาง ไปพระธาตุ โทร.09-2304523 และ 07-8442755)

    -ภาคตะวันออก....ไปที่พระธาตุเจดีย์สันติสุข บ้านวังแซ้ม อ.มะขาม จ.จันทบุรี (โทร.ถามทาง 05-1707214)

    -ภาคอีสาน....โรงธรรม-โรงทานมังสวิรัติ พนารักษ์10 ถ้ำพระกายสิทธิ์ บานวังมน อ.ภูผาม่าน จ.ชัยภูมิ เส้นทางชุมแพ-หล่มสัก (โทร.06-6418771)

    -ภาคเหนือ....พระไตรรัตนเทวะสถาน ถนนสายเชียงใหม่-เชียงราย หลัก ก.ม.ที่ 25 อ.ดออยสะเก็ด จ.เชียงใหม่ (โทร.09-5826926)
    -จังหวัดน่าน........พระธาตุเจดีย์สันติสุข ภูลังกา เส้นทางดอกคำใต้ ไปบ้านสะเกิน ต.ยอด อ.สองแคว จ.น่าน (โทร.06-0162706และ 054-779094)

    สถานที่ดังกล่าว อ.ศักดา ได้เตรียมไว้สำหรับให้เป็นที่พักของผู้ที่อพยพหลบภัยพิบัติ เชิญท่านมาพักได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใดๆทั้งสิ้น......."ภัยที่เกิดขึ้น นอกเหนือจากการตัดไม้ทำลายป่า ทำลายธรรมชาติแล้ว เกิดจากการที่เราได้เข่นฆ่าชีวิตผู้คนนับ 1,000 คน ในการปราบปรามยาเสพติด เพราะมีผู้บริสุทธิ์ ไม่ได้ทำความผิด ถูกฆ่าตายและถูกยึดทรัพย์สินไปจำนวนมาก และเกิดจากการฆ่าสัตว์ 30 กว่าล้านตัว เพื่อป้องกันไข้หวัดนก นับเป็นการทำบาปอย่างร้ายแรง จึงทำให้เกิดภัยพิบัติขึ้นมา มันเป็นกรรมของแผ่นดินอย่างแท้จริง!!!"

    ................ อ.ศักดา สกุลพนารักษ์.โทร.09-2304523...................
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 6 กรกฎาคม 2006
  9. Nirvana

    Nirvana เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กุมภาพันธ์ 2005
    โพสต์:
    8,188
    ค่าพลัง:
    +20,865
    เลอะเทอะกันใหญ่
    จะเชื่ออะไรให้มีโยนิโสมนสิการ

    พวกนี้หากินกับความตื่นกลัวของมนุษย์ ไม่เห็นมีที่ถูกตรงๆแบบหวย 3 ตัวซะที
    หลอกได้แต่พวกกระต่ายตื่นตูม ผู้รู้หลอกไม่ได้
    เป็นการทำการตลาดแบบเก่าๆ

    โตๆกันแล้ว พิจารณากันเอง
     
  10. ยายทองประสา

    ยายทองประสา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 สิงหาคม 2005
    โพสต์:
    805
    ค่าพลัง:
    +3,069
    คนเรานี้ก็ชอบ คำทำนายเรื่องภัยพิบัติกันเนาะ
    เมื่อก่อนผมก็ชอบ และก็อยากเป็นพระศรีอาริย์ด้วย

    แต่ตอนนี้รู้สึกไม่ชอบ เพราะรู้สึกว่าอนาคตช่างไม่มั่นคงเอาเสียเลย
    แล้วเราจะทำมาหาเลี้ยงชีพยังไงต่อไปดี... ฯลฯ

    ใครจะเป็นพระศรีอาริย์รู้สึกไม่ค่อยสนเท่าไหร่ เพราะส่วนใหญ่ก็เห็นหลงตัวเองทั้งนั้น (มีช่วงหนึ่งที่อยากเป็นพระศรีอาริย์ จนกระทั่งคิดว่าตัวเองต้องเป็นพระศรีอาริย์แน่ แต่พอมาดูคุณสมบัติของตัวเองแล้ว มันช่างห่างไกลกันหลายอสงไขยนัก)

    ขอประทานอภัยนะครับ ถ้าผมเป็นพระศรีอาริย์ผมอาจจะไม่บอกใครเลยว่าผมเป็นใคร เพราะทำความดีไม่ต้องประกาศหรอก

    สรุป
     
  11. NiNe

    NiNe เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 มกราคม 2005
    โพสต์:
    4,780
    ค่าพลัง:
    +7,482
    ตกลงว่าฆราวาส 4 คนนี้คือ อ.ปริญญา(กสิณดิน),คุณสุนทร(กสิณน้ำ),คุณปรางทิพย์(กสิณลม),คุณจงรักษ์(กสิณไฟ) คือผู้มีอภิญญาตามที่ว่ามาตั้งแต่ต้นรึ?

    สงสัยอีกแล้ว...!!!
     
  12. ภูตัง

    ภูตัง เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    61
    ค่าพลัง:
    +187
    แค่ไตรลักษณ์ปรากฏชัดนะ อย่าตกใจ เอ้ารีบๆกันหน่อย

    ไตรลักษณ์ไม่ได้เป็นกฏเหล็กที่คลอบคลุมเฉพาะโลกมนุษย์น่ะครับ แต่คุมไปจนถึงชั้นพรหมโน้นแน่ะ อยากล่วงพ้นไตรลักษณ์(เกิดขึ้น เปลี่ยนแปลง ดับไป)แดนนิพพานเลยครับพระพุทธองค์สร้างบันไดแก้วพร้อมประทีปนำทางไว้เสร็จสรรพ ที่ต้องทำก็แค่หมั่นก้าวเข้าน่ะครับ เอ้าช่วยกันๆ ธรรมของเราไม่เป็นเครื่องเนิ่นช้าพระพุทธองค์ตรัสไว้ ฉนั้นรู้วันนี้ทำตอนนี้น่ะครับ ช้าไปภัยตามจี้มาแล้วน่ะเห็นป่ะ ไปล่ะ โอ้ยอยู่ไม่ไหววิ่งหนีแบบหนุกๆ อย่าเครียสกัน
     
  13. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    "เคล็ดลับ"หรือ "หนทางรอดของมนุษย์"

    "อย่าทำอันตรายพื้นแผ่นดิน ทะเล หรือต้นไม้ จนกว่าเราจะประทับตราผู้รับใช้พระเจ้าของเราไว้ที่หน้าผาก" (วิวรณ์ บทที่ 7: 1-3)

    เนื้อหากล่าวถึงช่วงหนึ่งของมหัตภัยใหญ่ ที่มีทูตสวรรค์รีบเร่งมาประทับตราบนหน้าผากมนุษย์ การประทับตราบนหน้าผาก มีความหมายถึงให้มนุษย์ รู้แจ้งเห็นจริงโดยเร็ว หรือการที่"ตาที่สาม"(ต่อมไพนีล)ได้ถูกเปิดออกใช้ได้ทันการ มนุษย์ผู้นั้นก็จะเป็นผู้รอด

    "พระเยซูทรงเรียกเด็กคนหนึ่งให้เข้ามายืนตรงหน้าพวกเขา แล้วตรัสว่า

    "จงจำข้อนี้ไว้ ท่านจะเป็นประชากรในอาณาจักรของพระเจ้าไม่ได้เลย นอกจากท่านจะทำใจให้เหมือนเด็กๆ"

    "ปล่อยพวกเด็กๆเข้ามาหาเราเถิด อย่าห้ามเขาเลย เพราะเด็กๆเหล่านี้แหละที่จะได้เข้าไปอยู่ในอาณาจักรของพระผู้เป็นเจ้า"

    พูดได้ว่าท่านหวังเป็นอย่างยิ่งให้ผู้คนทั้งหลายกลับคืนจิตใจที่เป็นเด็กทารก สู่รากฐานภูมิเดิม หรือ"ความบริสุทธิ์ของจิตเดิมแท้ " นั่นเอง
    สัญญลักษณ์ ไม้กางเขน ของท่านที่จริงก็หมายถึงตำแหน่งจิตเดิมแท้นั้นเอง (ลองเอาไม้กางเขนทาบบนใบหน้ามนุษย์ จุดตัดนั้นตรงกับตำแหน่งไหน....ท่านได้บอกใบ้ไว้แล้ว)

    พระเยซูเคยกล่าวไว่ว่า "นัยน์ตาเปรียบเสมือนตะเกียงของร่างกาย ถ้านัยน์ตาของท่านเห็นไม่ชัดเจนแล้ว ต้วของท่านก็จะมืดไป จะยิ่งมืดมิดสักเพียงใด"

    ทำให้นึกถึงเหตุการณ์ตอนหนึ่งในพระพุทธศาสนา ณ เขาคิชกูฎ พระพุทธเจ้า ทรงชูดอกไม้ขึ้นมาแสดงต่อคนทั้งปวง ทรงสัมผัสที่หว่างคิ้ว ทั้งมนุษย์และเทวดามากมาย ต่างไม่เข้าใจความหมาย มีเพียงพระมหากัสสปะ ที่ยิ้มหัวเราะเล็กน้อย พระพุทธเจ้าก็ใชจีวรคลุมรอบๆประทานหลักธรรมแห่งจิตเดิมแท้ แล้วตรัสว่า

    "ข้าพเจ้ามีหลักธรรมแท้จริงซ่อนไว้นัยน์ตา เป็นจิตเดิมแท้ (พุทธะ)จิตเดิมแท้ ไร้สภาวะ เป็บวิถีบรรลุธรรม ช่างลึกซึ้งแยบยล เป็นวิถีอยู่เหนือการบันทึกตัวอักษร ตรรกวิทยาและทฤษฎี ไม่มีการถ่ายทอดในคัมภีร์ศาสนา ประทานแก่ท่านมหากัสสปะ"
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 กรกฎาคม 2006
  14. หนูน้อย

    หนูน้อย เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    144
    ค่าพลัง:
    +1,038
    จากที่คุณ mead บอก เหมือนการรับอนุตตรธรรมมารดาเลยค่ะ มีช่วงก่อนปี พ.ศ. 2542 (ค.ศ. 1999) ที่เคยมีการทำนายทำนองนี้ แล้วจะมีการพาผู้คนไปรับอนุตตรธรรมมารดาเพื่อให้รอดจากภัยพิบัติต่างๆ
     
  15. เกษม

    เกษม ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 พฤศจิกายน 2004
    โพสต์:
    24,696
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +77,193

    ยังไม่ทราบแน่ชัดครับ เพราะเท่าที่ได้รับฟังมาบางท่านก็บอกว่าจะมี 4 สำนักใหญ่ในอนาคตที่ให้การสอนเรื่องอภิญญานี้ อาจารย์ศักดา สกุลพนารักษ์ก็อาจจะเป็นหนึ่งในสี่สำนักใหญ่ที่ว่านี้ก็ได้ครับ
     
  16. axzon47

    axzon47 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    23 มิถุนายน 2006
    โพสต์:
    737
    ค่าพลัง:
    +3,155
    เราเคยฝันว่าดวงอาทิตย์ขึ้นทางทิศตะวันตกมาหลายครั้งแล้ว ฝันเห็นคลื่นยักษ์สูง100เมตรมาตั้งแต่ยังเด็กๆ และฝันเห็นดวงอาทิตย์ตอนเที่ยงคืนก้หลายครั้ง
     
  17. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    การจุติของพระศาสดาเอกของโลก

    พระศาสดาแต่ละพระองค์ ทรงมีเมตาต่อพี่ๆน้องๆผองมนุษย์ทั้งหลายเป็นอย่างยิ่ง ได้ทรงสลับเปลี่ยนเวียนผันกัน ขันอาษาเข้ามา "สร้างสติทางวิญญาณ" ให้แก่มวลมนุษย์โลก ผู้กระทำผิดบาป บกพร่องต่อหน้าที่ทางจิตวิญญาณ ให้เกิดการเรียนรู้และการมีสำนึกที่ถูกต้อง ในที่จะนำไปสู่การเป็น"คนสองมิติ"ที่สมบูรณ์ หรือ สมดุลแท้จริงให้ได้

    ในจักรวาลอันไพศาลนี้ มนุษย์แห่งเผ่าดาวโลกนี่เองที่จัดได้ว่า เป็นผู้ได้รับพระเมตตาจากพระศาสดาเปลืองเป็นที่สุด นับได้ 24 พระองค์เข้าไปแล้ว และตามกำหนดหมาย มนุษย์โลกยังคงมีอีกเพียงพระองค์เดียวพระองค์สุดท้ายในยุคพลังงานใหม่ ที่ตนจะได้พึ่งพาพระเมตตาบารมีคือ "องค์พระศาสดาศากยมุนีศรีอารยเมตไตรย"เท่านั้น

    ในช่วงระหว่างที่โลกกำลังเปลี่ยนจากยุคพลังงานเก่า เข้าสู่ยุคพลังงานใหม่ อันเป็นยุคที่จิตวิญญาณซึ่งเป็นตัวตนแก่นแท้ของมนุษย์ทั้งหลายในปัจจุบัน ผู้ได้รับโอกาสให้มาเกิด เพื่อทำหน้าที่เป็นมนุษย์แห่งโลกเสรี ยุคละไม่เกิน 60,000 ปี บัดนี้ได้ถึงกำหนดวาระที่จะต้องเดินทางกลับบ้านเกิดเมืองนอนของจิตวิญญาณ หรือ "นิพพาน"เพื่อเปิดโอกาสให้จิตวิญญาณรุ่นใหม่ๆที่ยังไม่เคยเกิดเป็นมนุษย์มาก่อน เป็นผู้ได้รับโอกาสให้มาเกิดเป็นมนุษย์แห่งโลกเสรี เข้ามารับหน้าที่แทนต่อไป...

    คำเฉลย ทั้งหลายได้ถ่ายทอดคลื่นความคิดมาไว้ให้แล้ว ที่จะช่วยสลายความไม่รู้ของมวลมนุษย์ ในปลายยุคสุดท้ายนี้ ในอันที่จะนำไปสู่การเป็นมนุษย์ร่วมยุคสมัยเป็นแบบอย่างที่ดีต่อเด็กๆยุคพลังงานใหม่ ผู้ไม่เคยเกิดเป็นมนุษย์มาก่อน และจะช่วยนำพามนุษย์ยุคนี้ (ที่ตกค้าง)ไปสู่การเป็นผู้บังเกิดแสงสว่างทางปัญญาญาณ จนสามารถรู้แจ้งทุกสิ่งด้วยตนเองได้ แล้วรีบเร่งเดินทางกลับบ้าน คือ นิพพานกันให้ได้ในภพชาตินี้ในที่สุด...

    (เพราะเป็นภพชาติสุดท้ายแล้วของผู้ที่มาเกิดตั้งแต่ต้นๆในรอบหกหมื่นปีนี้ ..แต่บางคนก็เพิ่งมาใหม่ มาตามคนเก่าๆกลับบ้านก็มีครับ..)

    ด้วยเหตุที่ พระศาสดาแต่ละพระองค์เสด็จมาจุติ เพื่อสร้างสติทางวิญญาณให้แก่มวลมนุษย์โลกแต่ละยุคแต่ละสมัยกัน ต่างก็ทรงมีเงื่อนเวลาและโอกาสในการสื่อสอน มากน้อยไม่เท่ากันอีกด้วย

    ข้อจำกัดเหล่านี้เอง ที่ยังผลให้พระศาสดาแต่ละพระองค์ทรงมีประเด็นของการสื่อสอนและสาระเนื้อหาพระธรรมคำสอนที่เป็นข้อสัจธรรมแตกต่างกันออกไป ยุคสมัยนั้นๆ มนุษย์โลกบกพร่องเหลวไหลกระทำผิดบาปกันมากในเรื่องใด พระศาสดาก็จะทรงหยิบยกเอาเรื่องนั้นๆมาเน้นเป็นพิเศษ ต่างยุคสมัยกันข้อผิดพลาดบกพร่องเหลวไหลก็แตกต่างกันออกไป สัจธรรมคำสอนของพระศาสดาก็ย่อมแตกต่างกันไปเป็นธรรมดา

    อันสัจธรรมตั้งมากมายนั้น จะถ่ายทอดกันให้หมดสิ้นโดยศาสดาพระองค์เดียว ย่อมเป็นไปไม่ได้ เพราทรงมีเงื่อนไขข้อจำกัดที่คล้ายคลึงกัน คือ

    - มีระยะเวลาจำกัดที่จะสื่อสอน

    - มีบางเรื่องสำคัญ ที่ต้องเน้นสอนเฉพาะมนุษย์ในยุคนั้นมากกว่าเรื่องอื่นๆ บางเรื่องสอนน้อย บางเรื่องจึงมิได้กล่าวสอนเอาไว้เลย...

    แต่ความแตกต่างที่ว่านี้ถึงแม้จะเป็นคนละบทคนละตอน แท้แล้วหลากล้วนก็เป็นเรื่องเดียวกัน หากมนุษย์จะศึกษาประวัติศาสตร์แต่ละยุคสมัย จะพบว่าพระศาสดาหลายๆพระองค์ จะทรงเฉลยคำตอบในเรื่องราวต่างๆไว้แล้วครบถ้วนเท่าที่มีบันทึกเป็นลายลักษณ์อักษร
    -บางองค์เน้นเรื่อง มนุษย์เป็นใคร มาจากไหน
    -บางองค์เน้นเรื่อง มนุษย์เป็นใคร มีหน้าที่ต้องทำสิ่งใดบ้าง
    - บางองค์เน้นว่า ตนเองนั้นเกี่ยวข้องกับโลกที่ตน ยืนเหยียบอย่างไรอีกต่างหากด้วย

    มนุษย์ที่ฉลาดเรียนรู้ และสามารถเข้าถึงการใช้ปัญญาญาณของตนเองได้เท่านั้น จึงจะเข้าใจและเข้าถึงความจริงที่จริงแท้ในกรณีของ ศาสดาทุกพระองค์ล้วนเป็นหนึ่งเดียวกัน มิใช่การยึดติดอยู่ว่า ศาสดาของตนต้องมีเพียงพระองค์เดียว เท่านั้น และไม่สนใจเรียนรู้ศาสนาอื่น กลับเอาแต่กล่าวว่าต่างๆนาๆ ด้วยความไม่รู้ของตนเอง อยู่เช่นนั้น...

    ถ้ามนุษย์สามารถเรียนรู้และรับเอา ข้อสัจธรรมคำสื่อสอน ของศาสดาทุกๆพระองค์ เพื่อสร้างแสงสว่างทางปัญญาสู่การรู้แจ้งด้วยตนเองให้จงได้แล้ว มนุษย์จะไม่บกพร่องหน้าที่ทั้งทางโลก และทางจิตวิญญาณจนสร้างความวิกฤตหวาดหวั่นกันดังเช่นทุกวันนี้ และการเดินทางสู่การหลุดพ้นของจิตวิญญาณในมนุษย์แต่ละคน ย่อมเปิดกว้างสว่างไสวกว่าที่ผ่านมา...

    ถ่ายทอดคลื่นความคิดจากจิตจักรวาลโดนอาจารย์ปริญญา ตันสกุล
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2006
  18. mead

    mead เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 เมษายน 2005
    โพสต์:
    8,134
    ค่าพลัง:
    +62,441
    เมื่อเบิกโลกใหม่ๆ...มีพระพุทธเจ้ารับโองการมาสอนและปกครองธรรมกาลทั้งหมด 10 พระองค์...

    เริ่มรอบแรก ปีชวด บรรยากาศภายนอกที่ห่อหุ้มธาตุคละเคล้า กลุ่มใหญ่ได้เริ่มกระจาย เรียกว่า เบิกฟ้า
    รอบ ปีฉลู เริ่มเกิดดิน
    รอบ ปีขาล เป็นการกำเนิดมนุษย์คนเดิมได้ลงมายังโลก ปลูกฝังรากฐานมนุษยชาติ
    ในครั้งนั้นญาณเดิมใดลงมาสถิตย์อยู่ในร่างคนใหม่ๆ ร่างกายยังมีขนรุงรัง แยกคนกับสัตว์ไม่ออก มนุษย์เป็นเพียงสัตว์ป่าที่โง่เขลา ไม่สามารถปกครองโลกได้ มีคนก็เหมือนไม่มีคน โลกจึงไม่เป็นโลก

    จนถึงรอบ ปีเถาะ เบี้องบนจึงได้ส่งพุทธบุตรลงมาปกครองโลก นับตั้งแต่นั้น..


    พระพุทธเจ้าทั้ง 7 พระองค์ที่เสด็จลงมาดูแลโลก มีดังนี้...

    พระนามพระพุทธเจ้า--------ลงมาเกิด-------ณ.ทิศ ครองธรรมกาล

    พระวิปัสสีพุทธเจ้า------------ใต้---------------6,000 ปี
    พระสิขีพุทธเจ้า-------------เหนือ--------------4,800 ปี
    พระเวสสภูพุทธเจ้า--------ตะวันออก------------3,720 ปี
    พระกกุสันธะ--------------ตะวันตก------------7,080 ปี
    พระโกนาคมน์--------ตะวันตกเฉียงเหนือ--------5,284 ปี
    พระกัสสป------------ตะวันออกเฉียงใต้---------5,516 ปี
    พระโคดม-----------ตะวันออกเฉียงเหนือ--------5,800 ปี

    และพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ ที่ลงมาเก็บงานให้สมบูรณ์ ดังนี้...

    พระนามพระพุทธเจ้า----------ธรรมกาล--------ครองธรรมกาล

    พระทีปังกรพุทธเจ้า-----------ยุคเขียว-----------1,500 ปี
    พระศากยมุนีพุทธเจ้า--------- ยุคแดง-----------3,000 ปี
    พระศรีอารยเมตไตรยพุทธเจ้า---ยุคขาว---------10,800 ปี


    เมื่อถึงกาลกำหนด ปีมะแม ก็สิ้นสุดวาระการปกครองโลกครบถ้วน
    กำหนดกาล ปีวอก เก็บญาณเดิมคืนไป
    กำหนดกาล ปีระกา มนุษย์โลกคืนสู่ความว่างเปล่า
    ถึงกำหนดกาล ปีกุล โลกจักวาลคืนสภาพ เป็นธาตุคละเคล้าอลวนอีกคำรบหนึ่ง จึงครบรอบโคจรในหนึ่งธรรมกาล 129,600 ปี

    ก่อนรัชสมัยสามกษัตริย์ ธรรมะถ่ายทอดสู่ "กษัตริย์ ขุงนาง ผู้ปกครองทั่วหล้า" ในครั้งนั้นเป็นธรรมกาล ยุคเขียว (ใบบัว)อมิตพุทธ

    หลังจากนั้นธรรมะถ่ายทอดสู่ "นักบวช ปัญญาชน ปราชญ์" สามศาสนาใหญ่ เริ่มทยอยเกิดขึ้น ต่างถ่ายทอดไปคนละทิศ เรียกธรรมกาล ยุคแดง (ดอกบัว)

    ปัจจุบันเป็นช่วงรอยต่อ ยุคสามสุดท้ายยุคขาว (สีรากบัว)วัฒนธรรมนับวันเสื่อมทราม ภัยภิบัติ เกิดขึ้นทุกแห่งหน หากไม่มีธรรมะมาฉุดช่วย คนทั้งหลายอาจไม่สามารถกลับคืนสู่ฟ้าได้

    "พระศรีอารยเมตไตรย" ลงมาปกครอง ธรรมกาลยุคขาว เป็นยุคสุดท้าย "ธรรมะลงสู่สามัญชน" พระศรีอารยเมตไตรย รับชะตาบุญวาระ โปรดทั่วไป เป็นการโปรดทั้ง 3 โลก เพื่อเก็บงานครั้งสุดท้ายในรอบ 60,000 ปี ที่ผ่านมา เพื่อพ้นการเวียนว่ายตายเกิดในยุคสุดท้ายข้างหน้านี้..

    ข้อมูลนี้ ได้มาจากหนังสือ "พงษาธรรมสายทอง" ของสำนักอนุตรธรรม จากจีนไต้หวัน (มหายาน)
    หากมีสิ่งใดที่คลาดเคลื่อน หรือไม่ตรงกันบ้าง คงไม่ว่ากันนะครับ...
    นำมาเสนอเพราะเห็นว่ามีความสอดคล้องกับข้อมูลข้างบน ของอ. ปริญญาอยู่ครับ.. แต่ระยะเวลาของธรรมกาลพระพุทธเจ้า ไม่ใช่ 5,000 ปี ซึ่งไม่ตรงกับที่เรารู้มาเท่านั้นเอง..อย่างอื่นก็รับฟังไว้ก่อนได้ครับ..
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 8 กรกฎาคม 2006
  19. อาณัติ

    อาณัติ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 เมษายน 2006
    โพสต์:
    6,079
    ค่าพลัง:
    +22,266
    ....โพสทั้งหลายนี้ดีครับจะได้ระมัดระวัง ไม่ประมาทและผมเรียกญาติพี่น้อง กลับสู่เหย้าทุกคนแล้ว โดยเฉพาะที่อยู่แถวสมุทรปราการ สมุทรสาคร แม้ว่าครูบาอาจารย์ท่านได้ไปสร้างปราการกั้นน้ำแล้วก็ตาม

    มีเรื่องเล่า......อยากฝากครับ

    ผมป่วยเป็นโรคคอพอกเป็นพิษ ก่อนจะทำการให้ยาเคมีหรือผ่าตัดมีการสแกนดูขนาดต่อมไธรอยด์ก่อน เพื่อหาขนาดความโตของต่อมไธรอยด์ และคนส่วนใหญ่จะสแกนครั้งเดียว แล้วเริ่มรักษาตามที่คุณหมอท่าน ซึ่งการสแกนนี้สามารถบอกให้รู้ว่ามีเนื้องอกหรือไม่ ผมโชคดีกว่าคนอื่น เมื่อคุณหมอท่านเดินมาบอกว่าช่วงบ่ายต้องสแกนเป็นครั้งที่ 2 ......วันนั้นผมไปคนเดียว ช่วงรอเวลาสแกนรอบที่ 2 นี้ ความรู้สึกผมสับสนมาก ไม่อยากบอกว่าต้องถูกตัดสินอยู่หรือไป พระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ พ่อแม่ครูบาอาจารย์ ผมเรียกหามาหมด แต่ไม่สามารถทำให้ใจสงบลงได้ ไม่มีที่พึ่งเลยแล้วหากเมื่อคุณหมอบอกว่าผมอาจเป็นมะเร็งต่อมไทรอยด์ ผมจะทำอย่างไรต่อดี หมดหนทาง......... เมื่อหมดทางเลือก เลยลองปลอบใจให้สติตัวเองระลึกถึงคำสอนของพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ว่า "สัตว์โลกย่อมเป็นไปตามกรรม" "ธรรมทั้งหลายมีใจเป็นใหญ่เป็นประธาน" "สติสัมปชัญญะ" เลยหยุดนึกหยุดคิด งเอาบุญกุศลที่เคยทำมาเป็นที่พึ่ง แล้วภาวนาพุทโธ ทุกลมหายใจ เข้า-ออก ปลอบใจตัวเองว่าเราก็ศิษย์อาจารย์หนึ่งบ้าง.........แล้วทุกอย่างก็ผ่านไปได้ด้วยดี

    ถึงทุกวันนี้เลยได้ข้อสรุปในวันนั้น

    1.ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน มันเป็นการรบภายในใจของเรา

    2.ใจต้องมีหลักยึด พอไม่มีทางจริง ผมยึดพุท- โธ และพ่อแม่ครูบาอาจารย์ที่นึกขึ้นได้

    3.สติทำให้รอดวิกฤติได้คมสติให้มั่น

    4.บุญกุศล ความดี ช่วยเราได้จริง
    ..........................

    ส่วนเรื่องภัยพิบัติ หากมีจริงๆ หวังว่าเราคงได้เห็น 11- 24 ปี ไม่นาน??????????????
     
  20. ท่าข้าม

    ท่าข้าม เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    27 เมษายน 2006
    โพสต์:
    466
    ค่าพลัง:
    +2,513
    ความตายไม่น่ากลัว ถ้าเราถือศีล 5 เป็นปกติ รู้จักละอายและเกรงกลัวต่อบาป หมั่นฝึกสมาธิให้เกิดปัญญา เคารพพระรัตนตรัยด้วยจิตที่มั่นคง ไม่ประมาทในความตาย(เกิดมาแล้วย่อมต้องตายเป็นธรรมดา แถมยังเกิดแล้วตายมาแล้วไม่รู้ตั้งกี่แสนล้านโกฎิครั้ง ความตายมันเรื่องใกล้ตัว เดินๆอยู่ อาจหัวใจวายตาย หรือหลับแล้วไม่ตื่นอีกเลยก็ยังมี) ถ้าจะมีเรื่องร้ายๆขึ้นมา จิตที่ฝึกดีแล้ว จะสัมผัสความเมตตา-และการสงเคราะห์จาก สิ่งศักดิ์สิทธิ์ได้เอง ท่านจะมาบอกว่า ควรทำอย่างไร ความตายไม่น่ากลัวเลย...ประเด็นสำคัญอยู่ที่ คุณควรมีศีล 5 ละอายและเกรงกลัวต่อบาป หมั่นฝึกสมาธิให้เกิดปัญญา ไม่ประมาทในความตาย(มัวประมาทคิดว่า ฉันจะตายตอน70 เลยคิดว่าเรื่องบุญไว้ทำตอนแก่ หยั่งงี้ไม่ได้นา บอกแล้วว่าคนเรามันจะตายไม่จิ้มฟันแทงเหงือกยังเสือกตายหรือ มดกัดก็ตายได้)เคารพพระรัตนตรัยด้วยจิตที่มั่นคง ถ้าคุณมีประเด็นเหล่านี้ในชีวิตอยู่เสมอ คุณมีเกราะคุ้มกันภัยพิบัติทั้งปวงแล้ว ถึงคุณไม่รอดตาย แต่คุณมีภพ-ภูมิที่ดีที่แน่นอนรอคุณอยู่ อย่างน้อยก็สวรรค์แหล่ะจ้า ไม่ต้องเป็นวิญญาณเร่ร่อน ไม่ต้องไปใช้กรรมในนรก อย่ากลัวเลยความตาย..บางคนอาจกลัวว่าจะเจ็บปวดก่อนตาย ก็อธิษฐานขอให้พระพุทธเจ้าท่านช่วย ขอให้ท่านสงเคราะห์ว่า ก่อนตายขออย่าให้ข้าพเจ้ามีความเจ็บปวด มีทุกข์เวทนาเลย ขอตายแบบจิตเป็นสุข มีสติไปสู่ภพ-ภูมิที่ดี (แต่คุณต้องฝึกสมาธิให้มาก จิตจึงจะมีสติ-มีปัญญามาก) ความตายไม่น่ากลัว...ขอแค่อย่าประมาทในความตาย หมั่นทำความดีไว้เป็นเกราะป้องกันตนเองจากภัยทั้งปวงเถิด
     

แชร์หน้านี้

Loading...