พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    พุทธคุณ แปลได้ว่า #คุณของพระพุทธเจ้า
    เป็นอย่างไร ลองติดตามอ่านดู
    ส่วนพลังของพระพิมพ์ หรือ พระเครื่อง หรือ เครื่องรางต่างๆที่ พระภิกษุ และ/หรือ เทพเทวาองค์ต่างๆที่อธิษฐานจิต ผมใช้คำว่า พลัง #อิทธิคุณ ไม่ใช้คำว่า #พุทธคุณ เนื่องจากเหตุผลด้านล่างนี้ และ ผมได้รับการสอนมาจาก #ท่านอาจารย์ประถมอาจสาคร เรื่อง #พุทธคุณไม่มีในองค์พระเครื่อง ครับ
    .
    .*******************//////////////////////////*******************.
    .
    พระพุทธคุณ ๓ ประการ
    .
    เว็บไซต์พุทธะ
    18 ธันวาคม 2552
    .
    พระพุทธเจ้านั้น พระองค์เป็นผู้ทรงพระคุณอันประเสริฐเป็นอันมาก ยากที่จักพรรณนาให้สิ้นสุดได้โดยง่าย แต่เมื่อประมวลกล่าวเฉพาะพระคุณที่เป็นใหญ่เป็นประธานแห่งพระคุณทั้งปวง พระคุณอันยิ่งใหญ่นั้นมี ๓ ประการ คือ
    .
    พระปัญญาธิคุณ คือ พระพุทธองค์ทรงมีพระปัญญารอบรู้ถึงความจริงแห่งสิ่งทั้งหลายทั้งปวง ความเป็นจริงของสิ่งเหล่านั้นว่าเป็นอย่างไร ก็ทรงทราบชัดถึงความจริงเหล่านั้น และนำความจริงเหล่านั้นมาเปิดเผยชี้แจงแสดงแก่โลก ตามพื้นเพแห่งอัธยาศัยของบุคคลเหล่านั้น
    .
    พระบริสุทธิคุณ คือ พระพุทธองค์ทรงมีพระทัยบริสุทธิ์ สะอาดหมดจด จากอาสวะกิเลสเครื่องเศร้าหมองทั้งหลาย ไม่มีความขุ่นมัวเศร้าหมองภายในพระทัยทรงดำรงอยู่อย่างคงที่ ไม่แปรผัน ท่ามกลางอารมณ์ที่กระแทกกระทั้นจากภายนอก ไม่ว่าจะดีหรือร้ายแต่พระทัยของพระพุทธเจ้าก็บริสุทธิ์อยู่มั่นคงอยู่อย่างนั้นไม่แปรผัน
    .
    พระมหากรุณาธิคุณ คือ ทรงกอปรด้วยความกรุณาต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย ไม่ทรงเลือกชาติชั้นวรรณะแต่ประการใด แม้แต่ในศีลของพระองค์ก็ทรงบัญญัติให้คนงดเว้นไม่ทำสิ่งมีชีวิตให้ตกล่วงไป และทรงแนะให้แผ่เมตตาจิตต่อสรรพสัตว์ทั้งหลาย เพื่อให้อยู่ร่วมกันได้อย่างปกติสุข อันเป็นเป้าหมายของการดำรงชีวิตของสรรพสัตว์ทั้งหลา
    .
    ซึ่งเมื่อกล่าวโดยนัยที่รู้กันแพร่หลายทั่วไปแล้ว พระคุณของพระพุทธเจ้า ก็สรุปรวมลงไว้ที่นวหรคุณทั้ง ๙ ประการ อย่างที่สวดสรรเสริญว่า
    .
    “แม้เพราะอย่างนี้ อย่างนี้ พระผู้มีพระภาคเจ้า เป็นพระอรหันต์ ดับเพลิงกิเลส เพลิงทุกข์สิ้นเชิง ตรัสรู้ชอบได้โดยพระองค์เอง ทรงถึงพร้อมด้วยวิชชา คือ ความรู้ และจรณะ คือ ความประพฤติ เป็นผู้เสด็จไปแล้วด้วยดี เป็นผู้รู้โลกอย่างแจ่มแจ้ง เป็นผู้สามารถฝึกบุรุษที่สมควรฝึกได้อย่างไม่มีใครยิ่งกว่า เป็นครูผู้สอนของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบานด้วยธรรม เป็นผู้มีความจำเริญ จำแนกธรรมสั่งสอนสัตว์ ดังนี้…”
    .
    ที่มา : อธิบายหลักธรรมตามหมวด จาก นวโกวาท (ขุ.ขุ.๒๕/๑) : พระเทพดิลก (ระแบบ ฐิตญาโณ); วัดบวรนิเวศวิหาร กรุงเทพมหานคร
    .
    .************************************************
    .
    พุทธคุณ ๙
    .
    โพสโดย สาวิกาน้อย
    .
    คำว่า “พุทธคุณ” เป็นคำที่ชาวพุทธคุ้นหูกันเป็นอย่างดี แต่เชื่อว่าหลายคนยังไม่เข้าใจคำนี้ได้อย่างถูกต้องนัก ดังนั้นจึงขอนำมาอธิบายขยายความไว้ในที่นี้ โดยในพจนานุกรมพุทธศาสน์ของรองศาสตราจารย์ดนัย ไชยโยธา ได้ให้ความหมายไว้ว่า
    .
    พุทธคุณ ๙ คือ คุณความดีของพระพุทธเจ้า ๙ ประการ ดังที่นักปราชญ์ได้ร้อยกรอง เพื่อใช้เป็นบทสวดสรรเสริญพระคุณอันประเสริฐไว้ดังนี้
    .
    ๑. อรหํ เป็นพระอรหันต์ มีคำแปลและความหมายอย่างน้อย ๔ ประการ ดังนี้
    .
    ๑.๑ เป็นผู้ควร คือ ผู้ทรงสั่งสอนสิ่งใดก็ทรงทำสิ่งนั้นได้ด้วย เป็นผู้มีศีลบริสุทธิ์
    .
    ๑.๒ เป็นผู้ไกล คือ ผู้ทรงไกลจากกิเลสและบาปกรรม เพราะทรงละได้เด็ดขาดแล้วทั้งโลภ โกรธ และหลง
    .
    ๑.๓ เป็นผู้หักซี่กำแพงล้อสังสารวัฏ คือ ผู้ทรงตัดวงจรแห่งการเวียนว่ายตายเกิดอยู่ในสังสารวัฏได้แล้ว
    .
    ๑.๔ เป็นผู้ไม่มีข้อลี้ลับ คือ ผู้ทรงไม่มีบาปธรรมทั้งที่ลับและที่แจ้ง เป็นผู้ควรแนะนำสั่งสอนผู้อื่น และเป็นผู้ควรได้รับความเคารพของผู้อื่น
    .
    ๒. สมฺมาสมฺพุทฺโธ เป็นผู้ทรงตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง คือ ทรงตรัสรู้อริยสัจ ๔ อันได้แก่ ทุกข์ สมุทัย นิโรธ มรรค เป็นการค้นพบด้วยพระองค์เอง ไม่มีครูอาจารย์เป็นผู้สอน
    .
    ๓. วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน เป็นผู้ทรงเพียบพร้อมด้วยวิชชาและจรณะ คือ มีวิชชา ความรู้ตั้งแต่ความรู้ระดับพื้นฐาน จนกระทั่งความรู้ระดับสูงสุด และมีจรณะ ความประพฤติดีประพฤติได้ตามที่ทรงรู้ เช่น ความสำรวมในศีล เป็นต้น
    .
    ๔. สุคโต เป็นผู้เสด็จไปดี คำว่า “ไปดี” มีความหมายหลายนัย คือ
    .
    ๔.๑ เสด็จดำเนินตามอริยมรรคมีองค์แปด อันเป็นทางเดินที่ดี
    .
    ๔.๒ เสด็จไปสู่พระนิพพาน อันเป็นสภาวะที่ดียิ่ง
    .
    ๔.๓ เสด็จไปดีแล้ว เพราะทรงละกิเลสได้โดยสิ้นเชิง
    .
    ๔.๔ เสด็จไปปลอดภัยดี เพราะเสด็จไปบำเพ็ญประโยชน์แก่สัตว์โลก
    .
    ๕. โลกวิทู เป็นผู้ทรงรู้แจ้งโลก คือ ทรงรอบรู้โลกทางกายภาพ เช่น โลกมนุษย์ สัตว์โลก สังขารโลก โอกาสโลก และทรงรู้โลกภายใน คือทุกข์และการดับทุกข์
    .
    ๖. อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ เป็นสารถีผู้ทรงฝึกคนได้อย่างยอดเยี่ยม คือ พระองค์ทรงรู้นิสัย (ความเคยชิน) อุปนิสัย (มีแวว) อธิมุตติ (ความถนัด) อินทรีย์ (ความพร้อม) ของบุคคลระดับต่างๆ และทรงฝึกสอนด้วยเทคนิควิธีการที่เหมาะแก่ความเคยชิน แววถนัด และความพร้อมของเขาให้บรรลุมรรคผลเป็นจำนวนมาก
    .
    ๗. สตฺถา เทวมนุสฺสานํ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย คือ พระองค์ทรงประกอบด้วยคุณสมบัติที่ควรเป็นครูของบุคคลในทุกระดับชั้น เพราะพระองค์ทรงรอบรู้และทรงสอนคนได้ทุกระดับ ทรงสอนด้วยความเมตตา มิใช่เพื่อลาภสักการะและคำสรรเสริญ แต่ทรงมุ่งความถูกต้องและประโยชน์สุขของผู้ฟังเป็นใหญ่ ทรงสอนให้เหมาะสมกับอัธยาศัยของผู้ฟัง และทรงทำได้ตามที่ทรงสอนนั้นด้วย
    .
    ๘. พุทฺโธ เป็นผู้ตื่น ผู้เบิกบาน คือ พระองค์ทรงตื่นเองจากความเชื่อถือและข้อปฏิบัติทั้งหลายที่ยึดถือกันมาผิดๆ ด้วย ทรงรู้จักฐานะ คือ เหตุที่ควรเป็น เปรียบได้กับคนตื่นจากหลับ แล้วทรงปลุกผู้อื่นให้พ้นจากความหลงงมงายด้วย อนึ่งพระองค์ทรงตื่นแล้วเป็นอิสระจากอำนาจของโลภ โกรธ หลง แล้ว เมื่อทรงตื่นแล้วก็ทรงแจ่มใสเบิกบาน มีพระทัยบริสุทธิ์สะอาด
    .
    ๙. ภควา เป็นผู้มีโชค ผู้ทรงแจกแบ่งธรรม คือพระองค์ทรงเพียบพร้อมไปด้วยคุณธรรมทั้งหลาย อันเป็นผลสัมฤทธิ์แห่งพระบารมีที่ทรงบำเพ็ญมา นับเป็นผู้มีโชคดีกว่าคนทั้งปวง เพราะพระองค์ทรงทำการใดก็ลุล่วงปลอดภัยทุกประการ ส่วน “ภควา” แปลว่า “ทรงแจกแบ่งธรรม” หมายถึง มีพระปัญญาล้ำเลิศ จนสามารถจำแนกธรรมที่ลึกซึ้งให้เป็นที่เข้าใจง่าย และมีพระกรุณาธิคุณจำแนกแจกจ่ายคำสั่งสอนแก่เวไนยสัตว์ให้รู้ตาม
    .
    พระพุทธคุณทั้ง ๙ ประการนี้ สรุปลงเป็น ๓ ประการ คือ
    .
    ๑. พระวิสุทธิคุณ คือ ความบริสุทธิ์ อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๑, ๓ และ ๙
    ๒. พระปัญญาคุณ คือ ปัญญา อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๒, ๕ และ ๘
    ๓. พระมหากรุณาธิคุณ คือ พระมหากรุณา อันได้แก่ พระคุณข้อที่ ๔, ๖ และ ๗
    .
    ......................................................
    .
    ศัพท์ธรรมคำวัด : พุทธคุณ ๙ โดยผู้จัดการออนไลน์
    .
    ธรรมคุณ ๖ : คุณของพระธรรม ๖ ประการ
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=27033
    .
    สังฆคุณ ๙ : คุณของพระสงฆ์ ๙ ประการ
    http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=26&t=27032
    .
    ที่มา http://www.dhammajak.net/forums/viewtopic.php?f=87&t=53728
    .
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    มีหลายท่านสงสัยว่า ผมทราบได้อย่างไรว่า #พระภิกษุองค์ไหนเป็นผู้อธิษฐานจิต
    .
    เรื่องนี้เป็นผลพลอยได้จากการ #นั่งสมาธิ มาจนได้ระดับหนึ่ง
    .
    แต่การที่สามารถ #นั่งสมาธิแล้วเข้าไปดูถึงพระราชพิธีพุทธาภิเษกฯได้ ต้องปฎิบัติสมาธิมาเป็นอย่างมาก รวมถึงบุญ่บารมีที่เคยสะสมมาในอดีตชาติมานาน
    .
    ทางครูบาอาจารย์ผม และ เพื่อนใน #ชมรมพระวังหน้า สามารถเข้าไป #ดูในงานพระราชพิธีพุทธาภิเษกฯได้ , #สามารถคุยกับองค์ผู้อธิษฐานจิตได้
    .
    ซึ่งปกติ การดู #พลังอิทธิคุณขององค์ผู้อธิษฐานจิต ถ้าดูพื้นๆ จะดูได้แค่ว่า มี #กระแสเมตตา หรือ #แคล้วคลาด หรือ #คงกระพัน
    .
    เพิ่มเติม นอกเหนือจากนี้ เช่น การดูว่า มี #พลังอิทธิคุณเมตตามหานิยม เรื่องนี้ดูได้ยาก หรือ ดูว่า พระพิมพ์หรือพระเครื่อง องค์นี้ สร้าง และหรือ #อธิษฐานจิตในฤกษ์พิเศษ เช่น #อัศจรรย์โกลาฤกษ์ เรื่องเหล่านี้ ดูได้ยากมาก หากการปฎิบัติไม่มากเพียงพอ
    .
    เรื่องนี้เป็นเรื่องปัจจัตตัง เป็นเรื่องที่รู้เฉพาะตน
    .
    อาจารย์ผมเอง ผมยอมรับว่า ท่านเก่งมาก เก่งขนาด #อาราธนาองค์พยามัจจุราชได้ ต้องไม่ธรรมดา
    .
    ผมกับพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ในชมรมพระวังหน้า และ #คณะพระวังหน้า โดนอาจารย์ผมบอกมาว่า #องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าพระนามกกุสันโธ เคยเสด็จมาบอกกับอาจารย์ผมว่า ให้เลิกการ #ประมูลพระวังหน้า เพื่อนำเงินไปช่วย #สำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง ซึ่งตอนนั้น ทางสำนักสงฆ์บ่อเงินบ่อทอง กำลังลำบาก ไม่มีเงินที่จะเลี้ยงสามเณรที่ #หลวงพ่อแผนวัดบ่อเงินบ่อทอง ท่านนำมาจากภาคอีสาน ที่เด็กๆเหล่านี้ ไม่มีเงินเรียนหนังสือ #หลวงพ่อแผน ท่านนำมาเลี้ยงดูและให้บวชเป็นสามเณร เพื่อให้เรียนในด้านทางธรรม และ เรียนด้านฝีมือการช่างได้ด้วย
    .
    องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม #กกุสันโธ ท่านบอกกับอาจารย์ผมว่า ไม่สามารถนำพระวังหน้า มาประมูลเพื่อหาเงินได้ และองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนามกกุสันโธ ท่านบอกอีกว่า พวกนี้(หมายถึงผมและพี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ ใน ชมรมพระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า) เหมือนกับจับปูใส่กระด้ง จับตัวนี้เข้ากระด้งได้ พอจะไปจับอีกตัว ตัวที่อยู่ในกระด้ง ก็หนีออกมาจากกระด้ง
    .
    ผมบอกได้เพียงเท่านี้
    .
    อยากรู้ว่า เป็นอย่างไร ลองปฎิบัติสมาธิดู แต่การปฎิบัติสมาธิ ต้องมีวิธีในการปฎิบัติเช่นกัน
    .
    เนื้อหา สงวนลิขสิทธิ์
    .
     
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    วันอัฏฐมีบูชา
    .
    วันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ
    .
    ตรงกับวันแรม ๘ ค่ำแห่งเดือนวิสาขะ (เดือน ๖)
    .
    เนื่องด้วยอัฏฐมีคือวันแรม ๘ ค่ำ แห่งเดือนวิสาขะ (เดือน ๖) เป็นวันที่ถือกันว่าตรงกับวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระ เมื่อถึงวันนี้แล้ว พุทธศาสนิกชนบางส่วน ผู้มีความเคารพในพระพุทธองค์ มักนิยมประกอบพิธีบูชา ณ ปูชนียสถานนั้น ๆ วันนี้จึงเรียกว่า "วันอัฏฐมีบูชา"
    .
    ประวัติความเป็นมา
    .
    เมื่อพระพุทธเจ้าเสด็จปรินิพพานแล้ว ๘ วัน มัลลกษัตริย์แห่งนครกุสินารา พร้อมด้วยประชาชน และพระสงฆ์อันมีพระมหากัสสปเถระเป็นประธาน ได้พร้อมกันกระทำการถวายพระเพลิงพุทธสรีระ ณ มกุฏพันธนเจดีแห่งกรุงกุสินารา วันนั้นเป็นวันหนึ่งที่ชาวพุทธต้องมีความสังเวชสลดใจ และวิปโยคโศกเศร้าเป็นอย่างยิ่ง เพราะการสูญเสียแห่งพระพุทธสรีระ เมื่อวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ ซึ่งนิยมเรียกกันว่าวันอัฏฐมีนั้นเวียนมาบรรจบแต่ละปี พุทธศาสนิกชนบางส่วน โดยเฉพาะพระสงฆ์และอุบาสกอุบาสิกาแห่งวัดนั้น ๆ ได้พร้อมกันประกอบพิธีบูชาขึ้น เป็นการเฉพาะภายในวัด เช่นที่ปฏิบัติกันอยู่ในวัดมหาธาตุยุวราชรังสฤษฏิ์ เป็นต้น แต่จะปฏิบัติกันมาแต่เมื่อใด ไม่พบหลักฐาน ปัจจุบันนี้ก็ยังถือปฏิบัติกันอยู่
    .
    ความสำคัญ
    .
    โดยที่วันอัฏฐมีคือวันแรม ๘ ค่ำ เดือน ๖ เป็นวันที่มีเหตุการณ์สำคัญทางพระพุทธศาสนา ถือเป็นวันที่ตรงกับวันที่ตรงกับวันถวายพระเพลิงพระพุทธสรีระเป็นวันที่ชาวพุทธต้องวิปโยค และสูญเสียพระบรมสรีระแห่งองค์พระบรมศาสดา ซึ่งเป็นที่เคารพสักการะอย่างสูงยิ่ง และเป็นวันควรแสดงธรรมสังเวชและระลึกถึงพระพุทธคุณให้สำเร็จเป็นพุทธานุสสติภาวนามัยกุศล
    .
    พิธีอัฏฐมีบูชา
    ..
    การประกอบพิธีอัฏฐมีบูชานั้น นิยมทำกันในตอนค่ำและปฏิบัติอย่างเดียวกันกับประกอบพิธีวิสาขบูชา ต่างแต่คำบูชาเท่านั้น
    .
    คำถวายดอกไม้ธูปเทียนในวันอัฏฐมีบูชา
    .
    ยะมัมหะ โข มะยัง, ภะคะวันตัง สะระณัง คะตา, โย โน ภะคะวา สัตถา, ยัสสะ จะ มะยัง, ภะคะวะโต ธัมมัง โรเจมะ, อะโหสิ โข โส ภะคะวา, มัชฌิเมสุ ชะนะปะเทสุ, อะริยะเกสุ มะนุสเสสุ อุปปันโน, ขัตติโย ชาติยา, โคตะโม โคตเตนะ, สักยะปุตโต สักยะกุลา ปัพพะชิโต, สะเทวะเก โลเก สะมาระเก สะพรัหมะเก, สัสสะมะณะพราหมะณิยา ปะชายะ สะเทวะมะนุสสายะ, อะนุตตะรัง สัมมาสัมโพธิง อะภิสัมพุทโธ, นิสสังสะยัง โข โส ภะคะวา, อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ, วิชชาจะระณะสัมปันโน, สุคะโต โลกะวิทู, อนุตตะโร ปุริสทัมมะสาระถิ, สัตถา เทวะมะนุสสานัง, พุทโธ ภะคะวา สวากขาโต โข ปะนะ, เตนะ ภะคะวา ธัมโม, สันทิฏฐิโก, อะกาลิโก, เอหิปัสสิโก โอปะนะยิโก, ปัจจัตตัง เวทิตัพโพ วิญญูหิ. สุปะฏิปันโน โข ปะนัสสะ, ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อุชุปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ญายะปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ, อัฏฐะ ปุริสะปุคคะลา, เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ, อาหุเนยโย, ปาหุเนยโย, ทักขิเนยโย อัญชลีกะระณีโย. อะนุตตะรัง ปุญญักเขตตัง โลกัสสะ. อะยัง โข ปะนะ ถูโป(ปฏิมา) ตัง ภะคะวันตัง อุททิสสะ กโต (อุททิสสิ กตา) ยาวะเทวะ ทัสสะเนนะ, ตัง ภะคะวันตัง อะนุสสะริตวา, ปะสาทะสังเวคะปะฏิลาภายะ, มะยัง โข เอตะระหิ, อิมัง วิสาขะปุณณะมิโตปะรัง อัฏฐะมีกาลัง, ตัสสะ ภะคะวะโต สรีรัชฌาปะนะกาละสัมมะตัง ปัตวา, อิมัง ฐานัง สัมปัตตา, อิเม ทัณฑะทีปะธูปะ-, ปุปผาทิสักกาเร คะเหตวา, อัตตะโน กายัง สักการุปะธานัง กะริตวา, ตัสสะ ภะคะวะโต ยะถาภุจเจ คุเณ อะนุสสะรันตา, อิมัง ถูปัง(ปะฏิมาฆะรัง) ติกขัตตุง ปะทักขิณัง กะริสสามะ, ยะถาคะหิเตหิ สักกาเรหิ ปูชัง กุรุมานา.

    สาธุ โน ภันเต ภะคะวา, สุจิระปะรินิพพุโตปิ, ญาตัพเพหิ คุเณหิ, อะตีตารัมมะณะตายะ ปัญญายะมาโน, อิเม อัมเหหิ คะหิเต, สักกาเร ปะฏิคคัณหาตุ, อัมหากัง, ฑีฆะรัตตัง, หิตายะ, สุขายะ.
    .
    http://www.dhammathai.org/day/atthamibucha.php
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ก่อนพระปิ่นเกล้าฯ สวรรคต ทรงกราบทูล “ความลับ” เรื่องใดถวายรัชกาลที่ 4 ?
    .
    เผยแพร่ วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ.2562

    .
    เป็นที่ทราบดีว่าในรัชสมัยพระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 4 พระองค์ได้สถาปนาสมเด็จพระอนุชาธิราช เจ้าฟ้ากรมขุนอิศเรศรังสรรค์ ขึ้นเป็นพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เสมือนเป็นพระมหากษัตริย์อีกพระองค์หนึ่งของสยาม และปฏิเสธไม่ได้ เหตุนี้เป็นเรื่องของ “การเมือง” เพื่อคานอำนาจกับกลุ่มขุนนางอย่างแน่นอน
    .
    ขุนนางกลุ่มที่ทรงอิทธิพลในสมัยนั้นคือ “บุนนาค” ตระกูลขุนนางเก่าแก่ตั้งแต่สมัยอยุธยา ถวายงานรับใช้พระมหากษัตริย์ในพระบรมราชจักรีวงศ์มาทุกรัชกาล ได้ก้าวขึ้นสู่ “จุดสูงสุด” ของอำนาจในช่วงรัชกาลที่ 4 ถึงต้นรัชกาลพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 5 และผู้ที่ทรงอิทธิพลมากที่สุดคงจะหนีไม่พ้น เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ (ช่วง บุนนาค)
    .
    ใน “พระราชพงศาวดาร รัชกาลที่ 5” พระนิพนธ์ของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกไว้ว่า “เจ้าพระยาศรีสุริยวงศ์มีอำนาจมากยิ่งกว่าใคร ๆ ในแผ่นดิน เว้นแต่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวพระองค์เดียว” นั่นจึงก่อให้เกิดแรงสั่นคลอนต่อพระราชบัลลังก์ว่าเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จะไม่ซื่อตรงต่อสมเด็จพระเจ้าลูกยาเธอ เจ้าฟ้าจุฬาลงกรณ์ กรมขุนพินิตประชานาถ หากมีการผลัดแผ่นดิน พระปิ่นเกล้าฯ ก็เป็นอีกพระองค์หนึ่งที่หวั่นเกรงอำนาจของเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์อยู่ไม่น้อย
    .
    รัชกาลที่ 5 มีพระราชดำรัสเล่าให้สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ว่า ในขณะที่พระปิ่นเกล้าฯ ประชวรหนักอยู่นั้น รัชกาลที่ 4 และรัชกาลที่ 5 เสด็จฯ ไปพระที่นั่งอิศเรศร์ราชานุสรที่วังหน้า เพื่อเยี่ยมอาการพระประชวร เมื่อนั้น พระปิ่นเกล้าฯ มีพระราชดำรัสว่า “ใคร่จะกราบบังคมทูลความลับสักเรื่องหนึ่ง” แล้วทรงขับข้าราชบริพารออกไป เหลือแต่เพียง รัชกาลที่ 4 รัชกาลที่ 5 และเจ้าจอมมารดากลีบ พระมเหสีผู้พยาบาลและเป็นที่ไว้วางพระราชหฤทัยของพระปิ่นเกล้าฯ
    .
    จากนั้นทรงกราบบังคมทูลว่าจะทรงดำรงพระชนม์อยู่ไปได้อีกไม่กี่วัน จึงขอถวายปฏิญาณว่า การที่ได้สะสมกำลังทหารและอาวุธไว้มากนั้นมิได้คิดร้ายต่อรัชกาลที่ 4 เลยแม้แต่น้อย แต่เพราะไม่ไว้ใจเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ เพราะเกรงว่าหากรัชกาลที่ 4 สวรรคต เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จะคิดกำเริบ จึงได้เตรียมกำลังไว้ป้องกันพระองค์ และทรงกล่าวย้ำเตือนว่า หากพระองค์สวรรคตไปแล้ว “ขอให้พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงระวังต่อไปให้จงดี…”
    .
    รัชกาลที่ 4 จึงพระราชทานปฏิญาณว่า มิเคยสงสัยระแวงพระปิ่นเกล้าฯ ว่าจะทรงคิดร้ายต่อพระองค์ อย่างไรก็ดี สมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงบันทึกไว้ว่า รัชกาลที่ 4 มิได้มีพระราชดำรัสตอบถึงเรื่องของเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์แต่อย่างใด นอกจากนี้ รัชกาลที่ 5 ยังเล่าให้ทราบอีกว่า ข้าราชการในราชสำนักบางกลุ่มก็ไม่ไว้ใจเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ ถึงกับคิดเข้าเป็นพรรคพวกกันนัยว่าเพื่อป้องกันรัชกาลที่ 5
    .
    แม้เจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์จะเป็นที่หวั่นเกรงต่อหลายคนว่าจะเป็นภัยต่อพระราชบัลลังก์ แต่รัชกาลที่ 4 ก็ทรงเล็งเห็นว่าเจ้าพระยาผู้นี้เป็นคนเดียวที่สามารถเป็นผู้สำเร็จราชการแผ่นดินได้หากพระองค์สวรรคตก่อนที่รัชกาลที่ 5 จะมีพระชันษาสมบูรณ์พร้อมที่จะปกครองบ้านเมือง และได้ทรงปรึกษาเรื่องนี้กับเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์ตามตรง
    .
    และเมื่อมีการผลัดแผ่นดินแล้ว รัชกาลที่ 5 ก็ทรงเคารพยำเกรงเจ้าพระยาผู้นี้เสมอ ทรงเล็งเห็นว่าเป็นผู้ที่มีคุณูประการต่อบ้านเมือง จึงทรงสถาปนาบรรดาศักดิ์ขึ้นเป็น “สมเด็จเจ้าพระยาบรมมหาศรีสุริยวงศ์” ดำรงตำแหน่ง “สมเด็จเจ้าพระยา” คนสุดท้ายแห่งกรุงรัตนโกสินทร์
    .
    https://www.silpa-mag.com/history/article_33411
    .
     
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    Shade มัลแวร์เรียกค่าไถ่ ระบาดใหม่อีกรอบในไทย ติดไปแล้ว 700 ราย
    .
    Shade มัลแวร์เรียกค่าไถ่ กลับมาระบาดใหม่อีกครั้ง แพร่ผ่านไฟล์แนบในอีเมล ในไทยตกเป็นเหยื่อแล้วกว่า 700 ราย โดยหลังมัลแวร์ติดตั้งบนเครื่องคอม จะเปลี่ยนนามสกุลไฟล์เป็น .crypted000007 พร้อมทั้งเปลี่ยนพื้นหลังหน้าจอให้เป็นสีดำแสดงข้อความเป็นภาษารัสเซียและภาษาอังกฤษ รวมถึงสร้างไฟล์ README(ตัวเลข 1 – 10).txt เพื่อแจ้งเหยื่อส่งอีเมลติดต่อกลับเพื่อขอข้อมูลวิธีกู้ไฟล์กลับคืน
    .
    Shade มัลแวร์เรียกค่าไถ่ สายพันธุ์ใหม่แพร่กระจายผ่านอีเมล โดยมีลักษณะส่งลิงก์เพื่อให้กดเข้าไปดาวน์โหลดไฟล์ หรือแนบไฟล์ PDF หรือไฟล์ Zip ที่ข้างในจะมีไฟล์ JavaScript อันตรายฝังอยู่ ซึ่งหากเหยื่อหลงเชื่อคลิกเปิดไฟล์ดังกล่าวก็จะถูกดาวน์โหลดมัลแวร์เรียกค่าไถ่มาติดตั้งลงในเครื่อง เนื่องจากไฟล์ที่แนบมากับอีเมลนั้นไม่ได้เป็นไฟล์มัลแวร์จริงๆ แต่เป็นไฟล์ประเภท downloader ที่ใช้สำหรับดาวน์โหลดมัลแวร์จากเว็บไซต์ภายนอกมาติดตั้ง (ซึ่งเป็นเว็บไซต์ที่ถูกเจาะระบบเพื่อนำไฟล์มัลแวร์ไปวางไว้อีกทีหนึ่ง)
    .
    ทาง Palo Alto Networks ได้วิเคราะห์การเข้าถึง URL ของเว็บไซต์ที่ถูกใช้แพร่กระจายมัลแวร์ พบว่า URL เหล่านั้นถูกเรียกจากประเทศไทยจำนวน 723 ครั้ง เป็นไปได้ว่าอาจมีเครื่องคอมพิวเตอร์ในไทยตกเป็นเหยื่อมัลแวร์เรียกค่าไถ่ดังกล่าวไม่ต่ำกว่า 700 เครื่องด้วย
    วิธีป้องกันมัลแวร์เรียกค่าไถ่
    .

    • ควรสำรองข้อมูลสำคัญอย่างสม่ำเสมอ
    • หมั่นอัปเดตระบบปฏิบัติการ ซอฟต์แวร์ และฐานข้อมูลแอนติไวรัสให้เป็นเวอร์ชั่นล่าสุด
    • ระมัดระวังการเปิดไฟล์แนบในอีเมล
    .
    ข้อมูลจาก Palo Alto Networks , ThaiCERT
    .
    https://www.it24hrs.com/2019/shade-...XN5O5i2bLOOXSk1OcrOju5lxW5YTvxphvT7LnhI0_whz4
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949

    อานิสงส์ของการปรนนิบัติพระสงฆ์อาพาธ

    .

    ” โย โว ภิกฺขเว มํ อุปฏฺฐเหยฺย โส คิลานํ อุปฏฺฐเหยฺย “

    ” ผู้ใดปรารถนาจะอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงอุปัฏฐากภิกษุผู้อาพาธเถิด “

    .

    ปฐมบท

    .

    เรื่องที่1

    .

    สมัยหนึ่งพระพุทธเจ้าได้ทรงเสด็จไปตามเสนาสนะต่าง ๆ กับพระอานนท์ ท่านได้ทอดพระเนตรเห็นภิกษุอาพาธรูปหนึ่ง นอนจมกองมูตรกองคูถ(อุจจาระ ปัสสาวะ)ของตนอยู่จึงเสด็จเข้าไปใกล้ตรัสถามว่า “เป็นโรคอะไร? ทำไม ไม่มีใครพยาบาล? ” ภิกษุ นั้นทูลว่า “เป็นโรคท้องร่วง ที่ไม่มีผู้พยาบาลก็เพราะท่านไม่ได้ทำอุปการะแก่ภิกษุทั้งหลายไว้ ” เมื่อทรงทราบดังนั้นจึงรับสั่งให้ท่านพระอานนท์ไปตักน้ำมาถวาย แล้วพระองค์ทรงรดน้ำอาบให้ ท่านพระอานนท์ขัดสี พระพุทธองค์ทรงยกศีรษะ ท่านพระอานนท์ยกเท้า แล้ววางให้นอนบนเตียง และในวันนั้นเองพระพุทธองค์จึงรับสั่งท่านพระอานนท์ให้เรียกประชุมสงฆ์ ตรัสปรารภข้อที่ไม่มีใครพยาบาลภิกษุผู้อาพาธรูปนั้นเป็นต้นเหตุ แล้วทรงเทศนาว่า “ดูกรภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดจะพึงอุปัฏฐากเรา ผู้นั้นพึงพยาบาลภิกษุอาพาธเถิด”

    .

    “ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย มารดาบิดาผู้จะพึงพยาบาลพวกเธอก็ไม่มี ถ้าเธอไม่พยาบาลกันเอง ใครเล่าจักพยาบาล ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ผู้ใดต้องการจะพยาบาลเรา ก็พึงพยาบาลภิกษุไข้เถิด ถ้ามีอุปัชฌายะ อุปัชฌายะพึงพยาบาลเธอตลอดชีวิตจนกว่าจะหาย ถ้ามีอาจารย์ อาจารย์พึงพยาบาลเธอตลอดชีวิตจนกว่าจะหาย ถ้ามีสัทธิวิหาริก สัทธิวิหาริกพึงพบาลเธอตลอดชีวิตจนกว่าจะหาย ถ้ามีอันเตวาสิก อันเตวาสิกพึงพยาบาลเธอตลอดชีวิตจนกว่าจะหาย ถ้ามีภิกษุผู้ร่วมอุปัชฌายะ ภิกษุผู้ร่วมอุปัชฌายะพึงพยาบาลเธอตลอดชีวิตจนกว่าจะหาย ถ้ามีภิกษุผู้ร่วมอาจารย์ ภิกษุผู้ร่วมอาจารย์พึงพยาบาลเธอตลอดชีวิตจนกว่าจะหาย ถ้าไม่มีอุปัชฌายะ อาจารย์สัทธิวิหาริก อันเตวาสิก ผู้ร่วมอุปชฌายะ หรือผู้ร่วมอาจารย์ สงฆ์พึงพยาบาลเธอ ถ้าไม่พยาบาลต้องอาบัติทุกกฏ๒ ” วินัยปิฎก ๕/๒๒๖

    .

    เรื่องที่ 2

    .



    ครั้งหนึ่ง ท่านพระผัคคุณะอาพาธเป็นไข้หนัก ท่านพระอานนท์ได้ทราบจึงกราบทูลเชิญให้พระผู้มีพระภาคเจ้าเสด็จไปเยี่ยมท่าน ผัคคุณะ พระพุทธองค์ก็เสด็จไปเยี่ยม ตรัสถามถึงอาการป่วยไข้ของท่านผัคคุณะท่านพระผัคคุณะจึงทูลว่า ท่านมีอาพาธแรงกล้ามาก ไม่อาจอดทนได้มีทุกขเวทนาจัด ลมเสียดแทงศีรษะเจ็บปวดเหมือนคนมีกำลังเอามีดโกนอันคมมาเฉือนศีรษะ ปวดท้องเหมือนบุรุษฆ่าโคเอามีดชำแหละโคที่คมมาชำแหละท้องโค เจ็บปวดเร่าร้อนทั่วกาย เหมือนคนมีกำลัง ๒ คน จับแขนคนละข้างดึงไปลนย่างบนหลุมถ่านไฟ ฉะนั้น พระพุทธองค์ได้ทรงแสดงธรรม ทำให้ท่านพระผัคคุณะสำเร็จเป็นพระโสดาบัน

    .

    “ดูกรผัคคุณะ บุคคลเมื่อจะบัญญัติ พึงบัญญัติพระพุทธเจ้าผู้ตัดตัณหาเครื่องให้เนิ่นช้าแล้ว ตัดทางได้แล้ว ครอบงำวัฏฏะได้แล้ว ล่วงพ้นทุกข์ทั้งปวง ปรินิพพานล่วงไปแล้ว ด้วยจักษุใด จักษุนั้นไม่มีเลย ฯลฯ บุคคลเมื่อจะบัญญัติ พึงบัญญัติพระพุทธเจ้าผู้ตัดตัณหาเครื่องให้เนิ่นช้าแล้ว ตัดทางได้แล้ว ครอบงำวัฏฏะได้แล้ว ล่วงพ้นทุกข์ทั้งปวง ปรินิพพานล่วงไปแล้ว ด้วยใจใด ใจนั้นไม่มีเลย ฯ”

    .

    เรื่องที่ 3

    .

    ครั้งหนึ่งพระผู้มีพระภาคประทับอยู่ ณ พระเชตวันมหาวิหารใกล้นครสาวัตถี ท่านพระอานนท์ได้ทราบว่า ท่านพระคิริมานันทะอาพาธหนัก จึงเข้าเฝ้าพระพุทธเจ้า ทูลอาราธนาให้พระองค์เสด็จไปเยี่ยม พระพุทธองค์ตรัสใช้ให้ท่านไปเยี่ยมแทน และรับสั่งให้ท่านเรียนสัญญา ๑๐ ประการ เพื่อนำไปสวดให้ท่านพระคิริมานันทะฟัง เมื่อท่านเรียนจนจำคล่องแคล่วขึ้นใจแล้ว จึงทูลลาไปหาท่านพระคิริมานันทะ สวดสัญญา ๑๐ประการ ให้ฟัง ครั้นท่านคิริมานันทะได้ฟังสัญญา ๑๐ ประการ อาพาธของท่านก็สงบระงับลงทันที

    .

    อานนท์ ! ถ้าเธอจะเข้าไปหาภิกษุคิริมานนท์แล้ว กล่าวสัญญา ๑๐ ประการแก่เธอแล้ว ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือ ภิกษุคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว อาพาธอันเป็นทุกข์หนักของเธอ ก็จะระงับไปโดยควรแก่ฐานะ สัญญา ๑๐ ประการ นั้นคือ อนิจจสัญญา อนัตตสัญญา อสุภสัญญา อาทีนวสัญญา ปหานสัญญา วิราคสัญญา นิโรธสัญญา สัพพโลเกอนภิรตสัญญา สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา อานาปานสติ.

    .

    อานนท์ ! อนิจจสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?

    .

    อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ ว่า “รูป ไม่เที่ยง; เวทนา ไม่เที่ยง; สัญญา ไม่เที่ยง; สังขาร ไม่เที่ยง; วิญญาณ ไม่เที่ยง” ดังนี้ เป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงในอุปาทานขันธ์ทั้งห้า เหล่านี้อยู่ ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า อนิจจสัญญา.

    .

    อานนท์ ! อนัตตสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?

    .

    อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ ว่า “ตา เป็นอนัตตา รูป เป็นอนัตตา; หู เป็นอนัตตา เสียงเป็นอนัตตา; จมูก เป็นอนัตตา กลิ่น เป็นอนัตตา; ลิ้นเป็นอนัตตา รส เป็นอนัตตา; กาย เป็นอนัตตา โผฏฐัพพะเป็นอนัตตา; ใจ เป็นอนัตตา ธรรมารมณ์ เป็นอนัตตา” ดังนี้ เป็นผู้เห็นซึ่งความเป็นอนัตตาในอายตนะทั้งภายในและภายนอกหก เหล่านี้อยู่ ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า อนัตตสัญญา.

    .

    อานนท์ ! อสุภสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?

    .

    อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ เห็นโดยประจักษ์ซึ่งกายนี้ นี่แหละ แต่พื้นเท้าขึ้นไปถึงเบื้องบน แต่ปลายผมลงมาถึงเบื้องล่าง ว่า มีหนังหุ้มอยู่โดยรอบ เต็มไปด้วยของไม่สะอาดมีประการต่างๆ ; คือกายนี้มี ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ไต หัวใจ ตับ พังผืด ม้าม ปอด ลำไส้ ลำไส้สุด อาหารในกระเพาะ อุจจาระ น้ำดี เสลด หนอง โลหิต เหงื่อ มัน น้ำตา น้ำเหลือง น้ำลาย น้ำเมือก น้ำลื่นหล่อข้อ น้ำมูตร; เป็นผู้เห็นความไม่งามในกายนี้อยู่ ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า อสุภสัญญา.

    .

    อานนท์ ! อาทีนวสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?

    . อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์อย่างนี้ ว่า “กายนี้มีทุกข์มาก มีโทษมาก; คือในกายนี้มีอาพาธต่างๆ เกิดขึ้น, กล่าวคือ โรคตา โรคหู โรคจมูก โรคลิ้น โรคกาย โรคที่ศีรษะ โรคที่หู โรคที่ปาก โรคที่ฟัน โรคไอ โรคหืด ไข้หวัด ไข้มีพิษร้อน ไข้เซื่องซึม โรคกระเพาะ โรคลมสลบ ลงแดง จุกเสียด เจ็บเสียว โรคเรื้อรัง โรคฝี โรคกลาก โรคมองคร่อ ลมบ้าหมู โรคหิดเปื่อย โรคหิดด้าน คุดทะราด โรคละออง โรคโลหิต โรคดีซ่าน เบาหวาน โรคเริม โรคพุพอง ริดสีดวงทวาร อาพาธมีดีเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีเสมหะเป็นสมุฏฐาน อาพาธมีลมเป็นสมุฏฐาน ไข้สันนิบาต ไข้เพราะฤดูแปรปรวน ไข้เพราะบริหารกายไม่สม่ำเสมอ ไข้เพราะออกกำลังเกิน ไข้เพราะวิบากกรรม ความไม่สบายเพราะความหนาว ความร้อน ความหิว ความระหาย การถ่ายอุจจาระ การถ่ายปัสสาวะ” ดังนี้; เป็นผู้เห็นโทษในกายนี้อยู่ด้วยอาการอย่างนี้ : นี้เรียกว่า อาทีนวสัญญา.

    .

    อานนท์ ! ปหานสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?

    . อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง กามวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป; ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง พ๎ยาปาทวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป; ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง วิหิงสาวิตก ที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป; ไม่ยอมรับไว้ซึ่ง อกุศลธรรมทั้งหลาย อันเป็นบาปที่เกิดขึ้นแล้ว ย่อมละ ย่อมบรรเทา กระทำให้สิ้นสุด ให้ถึงความไม่มีอีกต่อไป; นี้เรียกว่าปหานสัญญา.

    .

    อานนท์ ! วิราคสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?

    .

    อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์ อย่างนี้ว่า “ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่น ประณีต : กล่าวคือ ธรรมชาติอันเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความจางคลาย เป็นความดับเย็น” ดังนี้ : นี้เรียกว่า วิราคสัญญา.

    .

    อานนท์ ! นิโรธสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?

    . อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ไปสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง พิจารณาอยู่โดยประจักษ์ อย่างนี้ว่า “ธรรมชาตินั่นสงบ ธรรมชาตินั่น ประณีต : กล่าวคือ ธรรมชาติอันเป็นที่ระงับแห่งสังขารทั้งปวง เป็นที่สลัดคืนซึ่งอุปธิทั้งปวง เป็นที่สิ้นไปแห่งตัณหา เป็นความดับ เป็นความดับเย็น” ดังนี้ : นี้เรียกว่า นิโรธสัญญา.

    .

    อานนท์ ! สัพพโลเกอนภิรตสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?

    . อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้อนุสัย (ความเคยชิน) ในการตั้งทับ ในการฝังตัวเข้าไปยึดมั่นแห่งจิตด้วยตัณหา อุปาทานใดๆ ในโลก มีอยู่, เธอละอยู่ซึ่งอนุสัยนั้นๆ งดเว้น ไม่เข้าไปยึดถืออยู่ : นี้เรียกว่า สัพพโลเกอนภิรตสัญญา (ความสำคัญในโลกทั้งปวงว่าเป็นสิ่งไม่น่ายินดี).

    .

    อานนท์ ! สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา เป็นอย่างไรเล่า ?

    .

    อานนท์ ! ภิกษุในกรณีนี้ ย่อมอึดอัด ย่อมระอา ย่อมเกลียดชัง ต่อสังขารทั้งหลายทั้งปวง : นี้เรียกว่า สัพพสังขาเรสุอนิจจสัญญา (ความสำคัญว่าไม่เที่ยงในสังขารทั้งปวง).

    .

    อานนท์ ! อานาปานสติ เป็นอย่างไรเล่า ?

    . อานนท์ ! ในกรณีนี้ ภิกษุไปแล้วสู่ป่า สู่โคนไม้ หรือสู่เรือนว่าง ก็ตาม นั่งคู้ขาเข้ามาโดยรอบ ตั้งกายตรง ดำรงสติเฉพาะหน้า มีสติหายใจเข้า มีสติหายใจออก. เมื่อหายใจเข้ายาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้ายาว, เมื่อหายใจออกยาว ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกยาว; เมื่อหายใจเข้าสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจเข้าสั้น, เมื่อ หายใจออกสั้น ก็รู้ชัดว่าเราหายใจออกสั้น; เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งกายทั้งปวง หายใจออก”; เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำกายสังขารให้รำงับ หายใจออก”; เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งปีติ หายใจออก”; เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งสุข หายใจออก”; เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิตตสังขาร หายใจออก”; เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตตสังขารให้รำงับ หายใจออก”; เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้รู้พร้อมเฉพาะซึ่งจิต หายใจออก” ; เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่ง หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปราโมทย์ยิ่ง หายใจออก”; เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่น หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ตั้งมั่นหายใจออก”; เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้ทำจิตให้ปล่อยอยู่ หายใจออก”; เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความไม่เที่ยงอยู่เป็นประจำ หายใจออก”; เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความจางคลายอยู่เป็นประจำ หายใจออก”; เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความดับไม่เหลืออยู่เป็นประจำ หายใจออก”; เธอย่อมทำการฝึกหัดศึกษาว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจเข้า”, ว่า “เราเป็นผู้เห็นซึ่งความสลัดคืนอยู่เป็นประจำ หายใจออก”; นี้เรียกว่า อานาปานสติ.

    .

    อานนท์ ! ถ้าเธอจะเข้าไปหาภิกษุคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญาสิบประการเหล่านี้แก่เธอแล้ว ข้อนี้เป็นฐานะที่จะมีได้ คือภิกษุคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว อาพาธอันเป็นทุกข์หนักของเธอก็จะระงับไป โดยควรแก่ฐานะ.

    ลำดับนั้นแล ท่านอานนท์จำเอาสัญญาสิบประการเหล่านี้ ในสำนักของพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้ว เข้าไปหาท่านคิริมานนท์ แล้วกล่าวสัญญาสิบประการแก่ท่าน เมื่อท่านคิริมานนท์ฟังสัญญาสิบประการแล้ว อาพาธก็ระงับไปโดยฐานะอันควร. ท่านคิริมานนท์หายแล้วจากอาพาธ และอาพาธก็เป็นเสมือนละไปแล้วด้วย แล.

    .

    (รูปนี้คือเหตุการณ์ที่มีมาในพระสูตร กล่าวคือพระพุทธองค์ทรงดูแลพระอาพาธที่มีอาการเนื้อตัวเปื่อยเน่า (ฝีตามตัวแตกเน่าเหม็น) อีกทั้งกระดูกในตัวก็แตกหัก สรุปทั้งหมดทั้งสิ้น จัดได้ว่าเป็นเหตุการณ์ที่พระพุทธองค์ทรงดูแลพระภิกษุผู้อาพาธด้วยพระองค์เอง แต่ในเวลาจะสร้างเป็นพระพุทธรูปปางพยาบาลภิกษุอาพาธนั้น ช่างโดยมากจะสร้างในรูปแบบที่ดูแลพระติสสะ คือเป็นรูปที่พระติสสะนอนอยู่บนตักของพระพุทธเจ้า (ซึ่งพระองค์แสดงโพชณงคปริตรให้ฟัง))

    .

    Credit : from http://arsramsiyaraya.blogspot.com/

    .

    http://xn--82ca5c8ae2d9ab2k1e.com/forum.php?mod=viewthread&tid=1775

    .

    .

    .

    .

    พระพุทธเจ้าทรงตรัสว่า “ โย ภิกขเว มํ อุปฏฐเหยย โส คิลานํ อุปฏฐเหยย ”

    ” ผู้ใดปราถนาจะอุปปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นพึงอุปัฏฐากภิกษุอาพาธเถิด “

    .

    ตามพระพุทธดำรัสที่กล่าวมาข้างต้นนั้น การที่เราดูแลช่วยเหลือปรนนิบัติต่อพระภิกษุผู้อาพาธ เท่ากับว่าเราได้สร้างกุศลต่อพระพุทธองค์โดยตรงเลยทีเดียว ดังนี้ ผลบุญมหาศาลจักบังเกิดขึ้นแก่เราผู้ได้ปรนนิบัติอุปัฏฐากพระภิกษุสงฆ์ผู้อาพาธ เปรียบเสมือนเราได้ถวายทานต่อพระพุทธเจ้านั่นเอง ดังนั้นการที่เรามีโอกาสหรือตั้งใจที่จะปรนนิบัติดูแลช่วยเหลือพระภิกษุสงฆ์ที่ป่วยไข้ อาพาธ แล้วเราน้อมจิตของเราระลึกถึงองค์พระสัมมาสัมพุทธเจ้า จะส่งผลต่อจิตใจอันเป็นกุศลเป็นอย่างมาก และอานิสงส์ดังกล่าวนั้น บุญจากการอุปัฏฐากพระพุทธองค์ย่อมมีกำลังกุศลมหาศาล หากตั้งจิตธิษฐานว่า “ขอให้เราเจริญในธรรมในพระศาสนาของพระพุทธองค์” แล้วกำลังแห่งความตั้งใจนั้นก็ย่อมมีมากมายและส่งผลให้เราก้าวหน้าในธรรม มีพละและอินทรีย์ เพื่อความหลุดพ้นในโอกาสภายหน้าได้เป็นแน่แท้ เหตุดังนั้นพวกเราอย่ามัวประมาทอยู่เลย พึงกระทำมหากุศลดังกล่าวให้เกิดขึ้นแก่ตัวเอง ครอบครัว และสหธรรมิกของเราโดยพลัเทอญ

    .

    อานิสงส์การบริจาคเงินบำรุงพระภิกษุ-สามเณรอาพาธ

    .

    (เสมือนอุปัฏฐากพระพุทธเจ้า ดังพระพุทธพจน์ที่ว่า “ผู้ใดต้องการอุปัฏฐากเราตถาคต ผู้นั้นจงไปอุปัฏฐากภิกษุไข้เถิด”)

    .



    - อกุศลกรรมในอดีตชาติ จะเปลี่ยนจากหนักเป็นเบา จากเบาเป็นสูญ ถือเป็นการสะเดาะเคราะห์อย่างหนึ่งได้

    .

    - เจ้ากรรมนายเวรในอดีตชาติ เมื่อได้รับส่วนบุญนี้จะเลิกจองเวรจองกรรม ช่วยให้พ้นเวรพ้นกรรม

    .

    - สิ่งศักดิ์สิทธิ์คุ้มครอง เทวดารักษา สรรพวิญญาณเมตตาปราณี

    .

    - เหล่าวิญญาณร้ายไม่อาจเบียดเบียนบีฑาได้

    .

    - จิตใจสงบร่มเย็น ปวงภัยไม่เกิด ฝันร้ายไม่มี มีสง่าราศีผ่องใส สุขภาพเเข็งเเรง กิจการงานเป็นมงคล แก่ตัว อายุยืนยาว ไม่เจ็บไข้ได้ป่วย

    .

    - คุณธรรมเจริญมั่นคง ปฏิบัติธรรมก้าวหน้า ปัญญาเกิด

    .

    - ไม่พลัดพรากจากคนรัก ของรัก ก่อนเวลาอันควร

    .

    - ชื่อว่าได้อุปถัมภ์บำรุงพระพุทธศาสนาให้มั่นคง ยั่งยืน

    .

    - ถือเป็นการทำสังฆทานอย่างหนึ่ง เพราะเป็นการถวายการอุปัฏฐากบำรุงแก่พระภิกษุสงฆ์จำนวนมาก

    .

    - จะไม่ไร้ญาติขาดมิตร เวลาแก่ เวลาเจ็บไข้ได้ป่วยจะมีคนคอยดูเเล ไม่ถูกทอดทิ้งให้อยู่คนเดียว

    .

    - มีเดชบารมีมาก มียศวาสนา เป็นใหญ่เป็นโต ไม่มีใครข่มขี่เบียดเบียนได้

    .

    - จะเป็นที่รักแก่คนทั้งปวง ไปที่ใดจะมีผู้คอยช่วยเหลือเกื้อหนุน ไม่ถูกปล่อยให้ขัดข้องในเรื่องทั้งปวง

    .

    - จะมีสมบัติมาก และสมบัติจะไม่ถูกทำลายโดยราชภัย โจรภัย อัคคีภัย อุทกภัย วาตภัย ฯลฯ

    .

    - จะได้พบพระอริยสงฆ์ ได้พบพระอรหันต์ ได้พบพระดี ได้พบพระเครื่องพระบูชาที่มีความศักดิ์สิทธิ์ ไมเจอพระปลอม ไม่เจอพระเก๊ พระทุศีล

    .

    - จะได้ฟังธรรมจากพระอริยเจ้า และเข้าถึงธรรมได้โดยง่ายดาย

    .

    - จะได้เจอครูบาอาจารย์และเพื่อนที่ทรงคุณธรรม

    .

    - ด้วยบุญที่อุปัฏฐากภิกษุอาพาธนี้จะเป็นปัจจัยแก่สวรรค์และนิพพาน

    .

    - ด้วยบุญที่อุปัฏฐากภิกษุอาพาธนี้ สามารถอธิษฐานให้เป็นปัจจัยแก่การบรรลุเป็นพระมหาสาวก พระอัคสาวก พระปัจเจกพุทธเจ้า และพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ในอนาคตกาลได้

    .

    .

    ที่มา https://kuakiddeedee2.wordpress.com/2016/02/24/59956545365/

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ขอเชิญชวนร่วมทำบุญกันครับ
    .
    ทำบุญได้ที่ หลวงพ่อแผน( เจ้าอาวาส)
    เบอร์โทรศัพท์ 081-9408541
    .
    ธนาคารทหารไทย เลขบัญชี 494-2-21276-4
    ชื่อบัญชี พระขุนแผน เกิดทอง
    .
    .
    *********************************************
    .
    .
    วัดบ่อเงิน บ่อทอง
    13 กรกฎาคม 2562
    .
    ขอบอกบุญถึงวันที่ 16 กรกฎาคม 2562 นะจ๊ะ
    .
    วัดบ่อเงินบ่อทอง จ.ฉะเชิงเทรา
    เรียนเชิญญาติโยมทุกท่าน ร่วมงานบุญวันอาสาฬหบูชา วันที่ 16 กรกฎาคม 2562 ทำบุญวันเข้าพรรษา
    .
    สร้างพระพุทธปฏิมากร สมเด็จองค์ปฐม หน้าตัก 4 ศอก เพื่อชำระหนี้เวรหนี้กรรมหนี้สงฆ์ ที่เคยล่วงเกินมาแล้วในอดีตชาติและในชาติปัจจุบันนี้ และเพื่ออุทิศส่วนกุศล ให้แก่ท่านผู้มีพระคุณที่ได้ล่วงลับไปแล้ว
    .
    รับเป็นเจ้าภาพปูนหล่อองค์พระถุงละ 125 บาท ใช้ปูนประมาณ 150 ถุง หินทรายคิวละ 300 บาท หรือร่วมบริจาคทำบุญตามอัธยาศัย
    .
    กำหนดวันสร้างพระพุทธปฏิมากร
    .
    วันอังคาร ที่ 16 กรกฏคม 2562
    .
    เวลา 09.29 น. บวงสรวงเพื่อความเป็นศิริมงคลแก่ทุกท่านที่มาร่วมงาน เวลา 09.59 น. เริ่มเทคอนกรีตหล่อพระพุทธปฏิมากร สมเด็จองค์ปฐมจนเสร็จพิธี
    .
    ขออนุโมทนาบุญทุกๆท่าน ที่ได้ร่วมบุญ ขอผลานิสงส์ผลบุญนี้ จงเป็นปัจจัยให้ญาติโยมทั้งหลาย มีความสุข ความเจริญในอาชีพการงาน ปราศจากโรคภัยใข้เจ็บทั้งปวง ปราศจากภัยอันตรายทั้งปวง ทำมาหากินให้คล่องตัว มีความร่ำรวยๆๆในชาติปัจจุบันนี้ เทอญ ขอเจริญพร
    .
    ธนาคารทหารไทย เลขบัญชี 494-2-21276-4 ชื่อบัญชี พระขุนแผน เกิดทอง เบอร์โทรศัพท์ เจ้าอาวาส 081-9408541
    .
    หมายเหตุ จะใช้แบบพิมพ์พระที่ญาติโยมได้ส่งปัจจัยมาร่วมสร้างเป็นองค์แรก จ๊ะ
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    #ระวังอย่าตกเป็นเหยื่อ
    .
    #ระวังอย่าถูกหลอก
    .
    #ข้าถูกอุปโลกน์ให้เป็นเทพทันใจ
    .
    #เทพทันใจ #โบโบยี #พ่อปู #พ่อใหญ่ #นัต ( #Nat ) #กึ่งเทพกึ่งผี
    .
    #โบโบยี’ แปลเป็นไทยว่า #พ่อปู หรือ #พ่อใหญ่
    #คนมอญสร้างรูปโบโบยีเพื่อรำลึกคุณงามความดีตามตำนาน
    #แต่คนพม่าสร้างรูปโบโบยีในฐานะนัตNatกึ่งเทพกึ่งผี
    .
    .
    .***************************************.
    .
    .
    ข้าฯ ถูกอุปโลกน์ให้เป็น “เทพทันใจ”
    .
    ผู้เขียน อาโด๊ด
    .
    เผยแพร่ วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ.2562
    .
    “ข้าฯ ไม่ใช่เทพทันใจ ข้าฯคือ ‘โบโบยี’ แปลเป็นไทยว่า ‘พ่อปู’ หรือ ‘พ่อใหญ่’ คนมอญพม่านับถือข้าฯ มาช้านาน คนมอญสร้างรูปข้าฯ เพื่อรำลึกคุณงามความดีตามตำนาน แต่คนพม่าสร้างรูปข้าฯ ไว้ทั่วไปทุกย่านบ้านเรือน ในฐานะนัต (Nat) กึ่งเทพกึ่งผี…”
    .
    หากตะแกพูดได้แกคงจะพูดเช่นนี้!
    .
    คนพม่านับถือผีนัต (Nat) มาก่อนการยอมรับนับถือพุทธศาสนา ทุกวันนี้ก็ยังคงศรัทธาฝังหัวไม่เปลี่ยน ในบรรดานัตหลากหลาย นัตยอดนิยมตนหนึ่งชื่อว่า “โบโบยี” ใบหน้ายิ้มแย้ม ท่าทางใจดี มือซ้ายถือไม้เท้า มือขวาชี้ไปข้างหน้า คนไทยพากันเรียกว่า “เทพทันใจ” ถ้าไม่ถูกไกด์พม่าหลอก ก็สร้างเรื่องหลอกตัวเอง หรือปนๆ กันไป
    .
    รู้กันในหมู่นักท่องเที่ยวไทยว่า ใครที่ต้องการขอพร ให้หาเครื่องบูชาที่มีวางขายเป็นชุด ประกอบด้วย กล้วย มะพร้าว หมาก เมี่ยง ดอกไม้ ใบหว้า และฉัตรธงสักการะ จากนั้นนำธนบัตรใส่มือนัต 2 ใบ ไหว้ขอพรแล้วดึงกลับมาเก็บไว้ใบหนึ่ง หยอดตู้บริจาคใบหนึ่ง (คล้ายสูตรหลวงพ่อคูน) เสร็จแล้วก้มให้หน้าผากสัมผัสนิ้วชี้ของนัต ดูจากของเซ่นไหว้ล้นเหลือ นัตตนนี้ดูท่าจะได้รับความนิยมกว่าใคร เห็นทีว่าคงจะต้องบันดาลพรตลอดเวลา ไม่มีวันหยุด และที่แน่นอนคือเงินจากนักท่องเที่ยวไทยมากพอสำหรับค่าไอโฟน 8s เครื่องใหม่ของหลวงพี่ ค่าน้ำ ค่าไฟ ค่าแอร์ เลี้ยงพระทั้งวัดได้สบายๆ ตลอดปี
    .
    เรื่องจริงที่ไม่จริงซึ่งนักท่องเที่ยวไทยไม่ตระหนักก็คือ เดิมนั้นเทพองค์นี้มาจากตำนานพระเจดีย์เละเกิ่ง (ชเวดากอง) กล่าวคือ หลังจาก ตปุสสะ ภัลลิกะ (ตะเป๊า ตะปอ) พ่อค้าวาณิชมอญสองพี่น้องได้รับพระราชทานพระเกศาธาตุจากพระพุทธเจ้า 8 เส้นแล้วก็ได้นำกลับมายังบ้านเมือง ถวายพระเกศาธาตุดังกล่าวแก่พระเจ้าอุกกะลาปะ กษัตริย์มอญผู้ครองเมืองอุกกะลาปะ (ชื่อโบราณของเมืองเละเกิ่ง หรือย่างกุ้ง) ระหว่างค้นหาสถานที่อันเหมาะสมเพื่อสร้างพระเจดีย์ประดิษฐานพระเกศาธาตุ บทบาทเทพอุ้มสมก็ได้ปรากฏขึ้น
    .
    เนื่องจากมีเพียง “พ่อปู่” หรือพระอินทร์แปลงองค์เดียว ที่รู้สถานที่ประดิษฐานพระธาตุของอดีตพระพุทธเจ้า 3 พระองค์ก่อน จึงเหาะลงมาชี้ทางไปยัง “เขาสิงคุตระ” ที่สมควรบรรจุพระเกศาธาตุของพระพุทธโคดมไว้ในที่เดียวกัน…
    .
    ไอ้ที่ชี้นิ้วนั่น ชี้ไปยังสถานที่สร้างเจดีย์ประดิษฐานพระธาตุ!!!
    .
    พระอินทร์ยังงงไม่หาย ทำไมคนไทยจึงเลือกที่จะแต่งเรื่องแล้วเชื่อถือฝังหัวงมงายเสียเอง สนุกสนานกับการขอกันถึงปานนั้น แต่ที่แน่ๆ ทางวัดพม่าคงดีใจ คนไทยบินข้ามน้ำข้ามทะเลไปยืนเข้าแถวส่งเครื่องบรรณาการให้ในรูปแบบใหม่
    .
    “ข้าฯ รักคนไทย คนไทยใจดี ลูกหลานของข้าฯ ทั้งมอญพม่าว้ากะเหรี่ยงไทใหญ่ไปทำงานเมืองไทยเป็นล้านคน คนไทยก็ดูแลพวกเขาอย่างดี ให้งานทำ ข้าฯ จึงรักคนไทย อยากบอกแก่ท่านทั้งหลายว่า อย่าพยายามให้ข้าฯเป็นเทพทันใจเลย คนไทยมีธรรมะที่ดีที่สุดของพุทธองค์อยู่แล้ว ข้าฯ ก็เป็นผู้หนึ่งที่ศรัทธาในพระธรรมคำสอนเหล่านั้น สิ่งที่ข้าฯ มีให้คนไทยอย่างล้นเหลือ คือ ความปรารถนาดี…จะนำหน้าผากมาสัมผัสนิ้วข้าฯ ก็ยินดี แต่จงเข้าใจว่า ข้ามิได้มีพรวิเศษใด (ไม่เช่นนั้น ข้าฯคงช่วยลูกหลานข้าฯ ให้รวยสมใจกันทุกคน ไม่ต้องข้ามน้ำข้ามทะเลไปทำงานเมืองไทย) แต่เพื่อเป็นการเตือนตน ขอท่านจงมีสติและตระหนักรู้ ตามหนทางหลุดพ้นอันประเสริฐแห่งพุทธองค์เถิด”
    .
    ขอบคุณข้อมูลจากเพจ: รามัญคดี – MON Studies
    .
    https://www.facebook.com/RamannMon/?_rdc=1&_rdr
    .
    ที่มา https://www.silpa-mag.com/culture/article_33024
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    #งานหล่อพระชำระหนี้สงฆ์สมเด็จองค์ปฐม ที่ วัดบ่อเงินบ่อทอง 16 กค 2562
    .
    รูปจากเพจฯวัดบ่อเงินบ่อทอง ครับ
    .
    ขออนุโมทนาบุญคณะท่านเจ้าภาพคุณศิรพชร์ โฉมศรี และโยมทุกท่านที่ได้เดินทางมาร่วมงานบุญในครั้งนี้
    .
    และอนุโมทนาบุญกับญาติโยมทุกท่าน ที่ได้บริจาคปัจจัยมาร่วมบุญในครั้งนี้ สาธุๆๆ
    .
    ที่มา
    .
    #หล่อพระชำระหนี้สงฆ์
    #สมเด็จองค์ปฐม
    #วัดบ่อเงินบ่อทอง
    #หลวงพ่อแผน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • b00.png
      b00.png
      ขนาดไฟล์:
      998.5 KB
      เปิดดู:
      155
    • b01.png
      b01.png
      ขนาดไฟล์:
      416.3 KB
      เปิดดู:
      166
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    สำหรับท่านใดเว้นว่างจากภาระกิจ ขอเรียนเชิญไปร่วมทำบุญกัน
    .
    อยากจะบอกว่า ทำบุญกันแบบนี้ หายากมาก
    .
    เพียงแค่เราร่วมทำบุญกับทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธอาจารย์ประถม อาจสาคร เงินที่ท่านร่วมทำบุญจะได้ทำบุญถวาภัตตาหาร(โดยถวายเป็นสังฆทาน) กับพระสงฆ์ที่อาพาธ ในเดือนนี้มีทั้งหมด 110 รูป
    .
    และเงินของทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธอาจารย์ประถมอาจสาคร(ที่หลายๆท่านได้ร่วมทำบุญกัน) นำไปทำบุญกับโรงพยาบาลสงฆ์ด้วย อีกทั้งยังส่งเงินไปช่วยเหลือพระสงฆ์อาพาธในโรงพยาบาลในต่างจังหวัดอยู่หลายๆโรงพยาบาลด้วยเช่นกัน
    .
    การทำบุญ ไม่ว่าจะทำบุญด้วยเงินจำนวนมาก หรือ เงินจำนวนน้อย ได้บุญเช่นกัน อยู่ที่เจตนาในการที่เราทำบุญ หากเราทำบุญ 100 บาท เราแจ้งเจตนาว่า ขอทำบุญถวายภัตตาหารพระสงฆ์ 110 รูป และร่วมเป็นค่าใช้จ่ายของพระสงฆ์ที่อาพาธในโรงพยาบาลในต่างจังหวัด(ที่ทางทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธฯ ได้ส่งเงินไปช่วยเหลือ) ครับ
    .
    ขอบคุณ คุณปุ๊ ที่แจ้งข่าว(ด้านล่าง) มาให้ครับ
    .
    .
    ***************************************
    .
    .
    ♡กราบเรียนเชิญพี่ๆและเรียนเชิญเพื่อนๆน้องๆทุกท่าน
    .
    ในวันอาทิตย์ที่ 28 กรกฎาาคม 2562 นี้
    .
    จะมีการทำบุญถวายภัตตาหารและบริจาคเงินที่โรงพยาบาลสงฆ์ประจำเดือนกรกฎาคม จึงขอเรียนเชิญและเชิญทุกๆท่านมาร่วมงานบุญนี้ด้วยกันนะครับ
    .
    ●ยอดพระสงฆ์อาพาธที่จะถวายภัตตาหารเดือนกรกฎาคมนี้มีจำนวน 110 รูป ครับ

    ●ท่านใดที่ประสงค์จะนำสิ่งของ ขนมนมเนยมาร่วมถวาย ด้วยกันก็ยินดีนะครับ

    ●นัดหมายเจอกันที่โรงอาหาร ของร.พ.สงฆ์เวลา 7.30-8.30น. นะครับ
    .
    #ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธอาจารย์ประถมอาจสาคร
    #ทุนนิธิสงเคราะห์สงฆ์อาพาธอาจารย์ประถม
    #สงฆ์อาพาธ
    #โรงพยาบาลสงฆ์
    #อาคารกัลยาณิวัฒนา
    #ชมรมพระวังหน้า
    #คณะพระวังหน้า
    #พระวังหน้า
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    รูปงานบุญที่หลายๆท่านได้ร่วมกันทำมา ในวันอาสาฬหบูชาที่ 16 กรกฎาคม 2562 และ วันเข้าพรรษาที่ 17 กรกฎาคม 2562 ที่ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร ต.ธาตุนาเวง อ.เมือง จ.สกลนคร
    .
    ผมนำรูปมาให้ชมกัน
    ขอบคุณพี่แอ๊ว ที่ส่งรูปมาให้ครับ
    .
    ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ได้ร่วมทำบุญในงานบุญนี้
    .
    #อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
    #หลวงปู่เทพโลกอุดร
    #หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
    #หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า
    #หลวงปู่อิเกสาโร
    #ชมรมพระวังหน้า
    #คณะพระวังหน้า
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ระมัดระวังตนเองไว้

    ไม่เกิดเหตุ ไม่เป็นไร

    ถ้าเกิดเหตุ จะได้ไม่เจ็บตัวมาก
    .
    .
    .
    .***********************************
    .
    .
    .
    ผู้โพส คุณทวีสุข ธรรมศักดิ์
    โพสเมื่อ 09/08/2562
    .
    'พอล ครุกแมน'นักเศรษฐศาสตร์ เจ้าของรางวัลโนเบล ปี 2551
    .
    กล่าวในงานสัมมนา World Government Summit 2019 ที่นครดูไบ ว่า มีความเป็นไปได้มากที่จะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในช่วงปลายปีนี้ หรือ ปีหน้า จึงเตือนรัฐบาลทุกประเทศเตรียมหามาตรการรับมือภาวะถดถอยทางเศรษฐกิจอย่างมีประสิทธิภาพ
    .
    15 กุมภาพันธ์ 2562-"พอล ครุกแมน" นักเศรษศาสตร์ชื่อดัง คอลัมนิสต์หนังสือพิมพ์นิวยอร์กไทมส์ ผู้เคยทำนายวิกฤติเศรษฐกิจเอเชียได้อย่างแม่นยำกว่า 2 ทศวรรษที่แล้ว ได้กล่าวระหว่างการบรรยายในหัวข้อ "Global Trade : Future Foresight and Analysis for Goverments" ว่า มีเหตุผลที่มีน้ำหนักมากพอที่คาดการณ์ว่าจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยทั่วโลกในปีนี้ เมื่อดูจากอัตราการเติบโตทางเศรษฐกิจของหลายภูมิภาคที่ปรับตัวลง ค่าจ้างแรงงานที่แทบจะไม่ปรับขึ้น ความเหลื่อมล้ำทางสังคมที่ยังคงขยายตัว และการขาดความมั่นใจของบรรดาผู้นำกลุ่มธุรกิจ พร้อมทั้งอ้างถึงช่วงปลายสัปดาห์ที่แล้ว ที่คณะกรรมาธิการยุโรป (อีซี) ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์การเติบโตทางเศรษฐกิจของกลุ่มประเทศที่ใช้สกุลเงินยูโร (ยูโรโซน) ในปี 2562 และ 2563 ว่า น่าจะขยายตัวในอัตราลดลงจาก 1.9% ในปี 2561 เหลือเพียง 1.3% ในปีนี้ (2562) จากนั้นคาดว่าเศรษฐกิจจะฟื้นตัวกลับมาเติบโตเพิ่มขึ้นที่อัตรา 1.6% ในปี 2563
    .
    อัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกขณะนี้เริ่มแผ่วลง แต่บรรดาผู้กำหนดนโยบายในประเทศต่าง ๆ ยังคงคาดหวังว่า เศรษฐกิจจะไม่ถดถอยอย่างรุนแรง การที่บรรดาเจ้าหน้าที่กำหนดนโยบาย รวมถึงธนาคารกลางสหรัฐอเมริกา (เฟด) และธนาคารกลางยุโรป (อีซีบี) ไม่มีเครื่องมือเหลืออยู่สำหรับการรับมือกับภาวะเศรษฐกิจขาลง อาจกลายเป็นปัจจัยที่ทำให้ภาวะเศรษฐกิจขาลงที่เกิดขึ้นแล้วยิ่งเลวร้ายมากขึ้นกว่าเดิม เขากล่าวว่า โดยทั่วไปแล้ว ผู้กำหนดนโยบายทางเศรษฐกิจมักจะขาดความเตรียมพร้อมสิ่งที่น่าเป็นห่วงโดยหลัก ๆ คือ เมื่อเศรษฐกิจชะลอตัว เรามักจะรับมืออย่างไร้ประสิทธิภาพ และดูเหมือนจะขาดมาตรการรองรับเพื่อป้องกันผลกระทบอยู่เสมอ (Safety Net)
    .
    บ่อยครั้งที่ธนาคารกลางประเทศต่าง ๆ ขาดเครื่องมือป้องกันแรงกระแทก เมื่อตลาดเกิดความปั่นป่วน นอกจากนี้ การวางแผนป้องกันความเสี่ยงก็มีน้อยมาก ยิ่งโลกกำลังเผชิญภาวะสงครามการค้าและนโยบายตั้งกำแพงปกป้องตัวเอง ก็ทวีความเข้มข้นมากขึ้น รัฐบาลต่าง ๆ ก็มักจะถูกดึงความสนใจและทรัพยากรต่าง ๆ ออกไปจากสิ่งที่เป็นปัญหาจำเป็นเร่งด่วนอย่างแท้จริง "ดูเหมือนจะมีปัญหาเล็ก ๆ น้อย ๆ สะสมอยู่ แต่รัฐบาลส่วนใหญ่ก็ไม่มีนโยบายที่ดีมารับมือ" ครุกแมน กล่าวและว่า เฟดเหลือช่องว่างให้ลดดอกเบี้ยลงได้อีกไม่มาก ส่วนนโยบายการคลังถ้าเตรียมให้พร้อม ก็ยังจะพอมีพื้นที่ (ให้รับมือ) เหลืออยู่บ้าง แต่ในช่วงเวลานี้ก็เป็นเรื่องยากที่จะเห็นการตอบสนองอย่างฉับไวได้ ดังนั้น จึงเดิมพันได้เลยว่า โลกจะเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอยขึ้นมาอย่างแน่นอน
    .
    ครุกแมน วิเคราะห์ด้วยว่า กลุ่มยูโรโซนเผชิญกับภาวะชะลอตัว ที่อีกนิดเดียวก็จะเป็นการถดถอยแล้วอย่างชัดเจน และไม่เหลือเครื่องมือที่จะนำมาใช้ จะลดดอกเบี้ยลงอีกก็ไม่ได้แล้ว เพราะอัตราดอกเบี้ยในปัจจุบันก็ตกอยู่ในแดนลบอยู่แล้ว "ยุโรปกำลังเป็นจุดอันตรายที่อาจจะรุนแรงขึ้นเทียบเท่ากับจีน" ครุกแมนทำนาย
    .
    อนึ่ง "Recession" คือ "ภาวะถดถอย" ทางเศรษฐกิจ โดยเทคนิค คือ การเปรียบเทียบอัตราการขยายตัวของ GDP ในแต่ละไตรมาส เทียบกับไตรมาสก่อนหน้านั้น ถ้าติดลบ 2 ไตรมาสติดต่อกัน ก็ถือว่าเป็นเศรษฐกิจถดถอย
    .
    ด้าน นางคริสติน ลาการ์ด กรรมการผู้จัดการกองทุนการเงินระหว่างประเทศ (ไอเอ็มเอฟ) กล่าวในงานสัมมนาเดียวกันว่า รัฐบาลนานาประเทศควรเตรียมความพร้อมรับมือกับพายุเศรษฐกิจ เนื่องจากเศรษฐกิจโลกอาจชะลอตัวมากกว่าที่เคยคาดการณ์ไว้ จากเหตุปัจจัยหลัก 4 ประการ ซึ่งได้แก่ ความขัดแย้งทางการค้าและการตั้งกำแพงภาษี การเพิ่มความเข้มงวดด้านการเงิน ความไม่แน่นอนเกี่ยวกับเบร็กซิทและผลกระทบที่จะตามมา รวมถึงการชะลอตัวของเศรษฐกิจจีน
    .
    นายไมเคิล สโตรแบค หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนระดับโลกของธนาคารเครดิต สวิส เปิดเผยว่า เครดิต สวิส ได้ปรับลดมุมมองต่อหุ้นทั่วโลกสู่ระดับ Neutral จากเดิมที่ระดับ Overweight ซึ่งการปรับลดมุมมองดังกล่าวมีสาเหตุจากการที่ตลาดเผชิญความเสี่ยงระยะสั้นจากหลายปัจจัย รวมถึงความขัดแย้งทางการค้าระหว่างสหรัฐฯ และจีน และความตึงเครียดทางการเมืองในยุโรป พร้อมตั้งข้อสังเกตว่า การพุ่งขึ้นของตลาดหุ้นตั้งแต่ในช่วงต้นปีนี้ ถูกผลักดันจากการปรับการประเมินมูลค่าหุ้นใหม่ มากกว่าที่เกิดจากแนวโน้มผลประกอบการที่สดใส
    .
    "ถึงแม้ว่า เรายังคงคาดการณ์ว่า ผลตอบแทนโดยรวมจากการลงทุนในหุ้นทั่วโลกยังคงน่าดึงดูดใจในปีนี้ แต่เราก็ยอมรับว่า มีความเสี่ยงระยะสั้นหลายประการ"
    .
    http://www.thaitribune.org/contents...to6R9MYaIheJwNIvKDl8RQbp4v_aIVWz0pnzcz5C2vTwk
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ทำไมคนไทยสมัยก่อนไม่เอา“พระพุทธรูป”เข้าบ้าน ไม่ใส่“พระเครื่อง”ที่ตัว ?
    .
    เผยแพร่ วันอาทิตย์ที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ.2562
    .
    ทุกวันนี้การเล่นพระเครื่องหรือพูดอย่างตรง ๆ ว่าการซื้อขายพระเครื่องนั้น เกิดการขยายตัวกันอย่างมากมายทั้งในกรุงเทพและต่างจังหวัด อย่างไม่มียุคไหนสมัยไหนเสมอเหมือนก็ว่าได้ จนทําให้เกิดความพิศวงอย่างไรพิกลในความเป็นไปของ สังคมไทยในทุกวันนี้
    .
    เพราะมองด้านหนึ่งก็คือความรุดหน้าทางเศรษฐกิจอุตสาหกรรมที่พัฒนาไปพร้อม ๆ กับเทคโนโลยีแบบไฮเทคอันเป็นเรื่องของความทันสมัยทันโลกที่ใคร ๆ ก็ยอมรับ แต่เหตุไฉนบ้านเมืองจึงเต็มไปด้วย วัตถุที่เป็นเครื่องรางของขลังที่เป็นสัญลักษณ์ของความงมงายไร้เหตุผล อันมักพบเห็นในสมัยที่บ้านเมืองยังล้าหลังและด้อยการศึกษา
    .
    จากปรากฏการณ์ทางสังคมเช่นนี้ทําให้คิดว่าน่าจะมีอะไรบางอย่างที่เกิดความไม่ สมดุลขึ้นในระบบวัฒนธรรมของคนไทยสมัยนี้ จึงเป็นเรื่องที่น่าจะนํามาวิเคราะห์เพื่อทํา ความรู้จักและเข้าใจสภาวะการเปลี่ยนแปลงของสังคมและวัฒนธรรมไทยในขณะนี้เป็นอย่างยิ่ง
    .
    แต่การที่จะทําความเข้าใจถึงปรากฏการณ์ทางสังคมในเรื่องพระเครื่องนี้ ก็จําเป็นต้องย้อนอดีตกันพอสมควรทีเดียว
    .
    ถ้ามองเพียงแค่วัตถุ พระเครื่อง กับ พระพิมพ์ ก็คืออย่างเดียวกัน แต่ถ้าเป็นเรื่องของอายุ พระเครื่องเป็นของเกิดใหม่ มีอายุเก่าแก่ที่ไม่เกินสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ในขณะที่พระพิมพ์คือของขนานแท้ แต่ดั้งเดิมที่อาจย้อนหลังขึ้นไปถึงพุทธศตวรรษที่ 10 หรือที่ 11 ได้
    .
    เมื่อมาถึงตรงนี้ก็อาจมีผู้โต้แย้งได้ว่า พระเครื่องที่มีมาแต่ก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ก็มีตั้งแยะ เช่น พระรอด พระเปิม พระหูยาน อะไรต่ออะไรอีกมากมายที่มีอายุอยู่แต่สมัยลพบุรีขึ้นไป
    .
    ข้าพเจ้าก็ใคร่อธิบายในที่นี้ว่าแท้จริงแล้ว พระเหล่านั้นคือพระพิมพ์ แต่มาถูกกําหนดให้เป็นพระเครื่องกันในสมัยรัตนโกสินทร์นี้เอง
    .
    ขณะนี้เราไม่อาจทราบได้ว่าสมัยเมื่อมีการสร้างพระเหล่านี้ขึ้นนั้น ผู้ที่สร้างเขาเรียกว่าอะไร แต่ที่เรียกว่าพระพิมพ์ก็เพราะดูจากการที่เป็นของผลิตมาจากแม่พิมพ์เป็นสําคัญ เพราะพระเหล่านี้มักพบรวมอยู่กับแม่พิมพ์ และการที่เขาพิมพ์พระดังกล่าวนี้ขึ้นมาก็มีวัตถุประสงค์เพื่อการบุญเป็นสําคัญ ดังเห็นได้จากการฝังหรือเก็บไว้ในสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ในศาสนา หาได้เอามาเก็บไว้เป็นของส่วนตัวในบ้านเรือนไม่
    .
    สิ่งที่ยืนยันให้เห็นว่าเป็นเรื่องของการทําบุญได้ดีก็คือ มีกล่าวในศิลาจารึกในสมัยอยุธยาว่า สร้างพระเท่าจํานวนวันเกิด แล้วฝังในพระเจดีย์เพื่อการต่ออายุของตัวเอง หรือไม่ก็เพื่อการต่ออายุของพระพุทธศาสนา โดยการทําพระพิมพ์เป็นเรือนพันเรือนหมื่นฝังในพระเจดีย์ ซึ่งก็ตรงกับความเป็นจริงที่บรรดาพระพิมพ์ที่เรียกเป็นพระเครื่องทั้งหลายเหล่านั้น ล้วนเป็นของที่ได้มาจากการขุดกรุพระเจดีย์แทบทั้งสิ้น พระพิมพ์บางกรุพบเป็นจํานวนมากเรือนพันเรือนหมื่นที่เดียว มีทั้งพิมพ์ – เล็ก ๆ พิมพ์ใหญ่และรูปแบบต่าง ๆ กัน ที่เป็นเช่นนี้ก็ เพราะมุ่งหวังเอาจํานวนปริมาณเป็นสําคัญ
    .
    การขุดกรุนี้มีทั้งผิดกฎหมายและไม่ผิดกฎหมาย ที่ว่าผิดกฎหมายเพราะเป็นการลอบลักขุดกรุโดยคนร้าย แต่ที่ไม่ผิดกฎหมายนั้นเพราะเป็นการกระทําโดยผู้ที่ถือกฎหมาย เช่น พวกข้าราชการและคนในเครื่องทั้งนี้ รวมทั้งหน่วยราชการที่เกี่ยวข้องที่ขุดพระมาให้ประชาชนเช่าด้วย
    .
    ความหมายของพระเครื่องที่เรียกกันอยู่นี้คง มาจากคําว่าเครื่องรางของขลังนั่นเอง หรือจะเรียกรวม ๆ เอาว่าพระเครื่องรางก็ได้
    .
    เครื่องราง เป็นของที่มีมานาน อาจคู่มากับพัฒนาการของมนุษย์ทุกชาติทุกภาษาก็ว่าได้ เพราะเรื่องของความเชื่อเป็นสถาบันอย่างหนึ่งที่สัมพันธ์กับความเป็นมนุษย์ของคนเรา เป็นสิ่งจําเป็นในการป้องกันภัยอันเกิดจากการกระทําของสิ่งนอกเหนือธรรมชาติ ที่มนุษย์ควบคุมไม่ได้ด้วยวิธีการที่เป็นเหตุเป็นผลทางวิทยาศาสตร์
    .
    ในสังคมไทยการนําพระพิมพ์มาเป็นเครื่องรางที่ เรียกว่าพระเครื่องนี้ เป็นของที่เกิดทีหลังก็เพราะไม่พบหลักฐานทางเอกสารที่กล่าวถึงในสมัยกรุงศรีอยุธยาแต่อย่างใด ดังเห็นได้ง่าย ๆ จากวรรณคดีเรื่องขุนช้างขุนแผนที่คาบลูกคาบดอกกัน ระหว่างสมัยอยุธยากับกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น เมื่อกล่าวถึงการใช้คาถาอาคมในการสู้รบของขุนแผน พลายงาม พลายชุมพล ตลอดจนคนอื่นที่เป็นคู่ต่อสู้ ดังเช่น การเตรียมตัวของพลายชุมพลตอนปลอมตัวเป็นมอญใหม่เพื่อไปรบกับ พระไวยว่า “ใส่เสื้อลงยันต์ย้อมว่านยา”
    .
    เรื่องเสื้อลงยันต์นี้ลักษณะเหมือนกับเสื้อกั๊ก คือ ไม่มีแขน เป็นของมีมาช้านาน ดังปรากฏให้เห็นในภาพสลักของทหารขอมในกองทัพบนผนังระเบียงคดที่ ปราสาทบายนในประเทศกัมพูชา เป็นต้น ภาพจิตรกรรมฝาผนังของวัดไทยแต่สมัยกรุงศรีอยุธยาลงมาก็แสดงรูปทหารที่ใส่เสื้อลงยันต์ดังกล่าวเช่นกัน นอกจากภาพสลักนครวัดและภาพจิตรกรรมฝาผนังแล้ว ก็ยังมีข้อมูลในพงศาวดารครั้งกรุงศรีอยุธยากล่าวถึง ตอนที่โกษาปานไปฝรั่งเศสได้มีการแสดงความอยู่ยง คงกระพันโดยให้ทหารไทยยืนแอ่นอกให้ทหารฝรั่งเศสยิ่ง ก็เป็นเรื่องที่ไม่มีการกล่าวถึงพระพิมพ์และพระเครื่องแม้แต่น้อย
    .
    แต่ข้อความที่เด่นชัดเห็นจะได้แก่การสู้รบของทหารไทยกับพม่าตอนใกล้จะเสียกรุงที่กล่าวถึง นายฤกษ์ซึ่งเป็นอาจารย์ทางอยู่ยงคงกระพัน อาสานํากองทหารไทยนั่งเรือไปขับไล่พม่าที่มาตั้งค่ายล้อมกรุงอยู่ที่วัดท่าการ้องริมลําน้ำเจ้าพระยา นายฤกษ์แต่งกายใส่เสื้อสงยันต์โพกผ้าประเจียดและมีเครื่องรางต่าง ๆ รำป้ออยู่ที่หัวเรือท้าทายพม่าให้ออกมาสู้รบ ปรากฏว่า พม่าไม่สู้ด้วยแต่เอาปืนยิงนายฤกษ์ตกน้ำตาย กองทหารไทยก็เลยถอยเรือกลับ ข้อความที่กล่าวถึง เครื่องรางของขลังของนายฤกษ์นั้นไม่มีเรื่องของพระเครื่องแต่อย่างใด
    .
    เท่าที่กล่าวมานี้ก็พอเห็นว่าความเชื่อเรื่องพระเครื่อง เป็นสิ่งไม่พบเห็นในสังคมไทยสมัยกรุงศรีอยุธยา และก็ไม่น่าจะมีในสมัยกรุงธนบุรีและกรุงรัตนโกสินทร์ตอนต้น ๆ ด้วย ถ้าจะให้เดากันตามความรู้ความเข้าใจของข้าพเจ้าในขณะนี้ ก็เชื่อว่าคง เกิดขึ้นราวสมัยรัชกาลที่ 4 ลงมาเพราะสมัยรัชกาลที่ 5 นั้นมีกันแล้ว
    .
    แต่ก่อนที่จะมาพูดกันถึงเรื่องพระเครื่องในที่นี้ก็ ควรที่จะตั้งคําถามก่อนว่า ทําไมจึงไม่มีพระเครื่องในสมัยอยุธยาและก่อนหน้านี้ขึ้นไป
    .
    ข้าพเจ้าอยากเสนอในที่นี้ว่า สมัยก่อนที่จะมีพระเครื่องนั้น คนไทยไม่นิยมเอาพระพุทธรูปเข้าบ้าน เพราะเป็นของศักดิ์สิทธิ์ที่บริสุทธิ์ควรอยู่ที่วัด ไม่ใช่ในบ้านเรือน การนําเข้ามาอาจทําให้เป็นอัปมงคลได้
    .
    นั่นก็คือ คนในสมัยก่อนนั้นเน้นกาลเทศะใน เรื่องอะไรที่ศักดิ์สิทธิ์และอะไรที่สาธารณ์
    .
    โดยเหตุนี้เวลาสํารวจและศึกษาหลักฐานทาง โบราณคดีแต่สมัยก่อนกรุงรัตนโกสินทร์ขึ้นไป จึงไม่พบเห็นบรรดาวัตถุศักดิ์สิทธิ์ในบริเวณที่อยู่อาศัยของบุคคลที่เป็นสามัญชนเลย แม้กระทั่งบริเวณที่เชื่อกันว่าเป็นวังของกษัตริย์และเจ้านาย ยกเว้นแต่ว่าวังหรือพระราชวังนั้นจะถูกยกให้เป็นวัด เช่น พระราชวังนารายณ์ราชนิเวศน์ตอนสิ้นรัชกาลของสมเด็จพระ นารายณ์เป็นตัวอย่าง ทํานองตรงข้ามเรามักจะพบว่า ในเขตวัดหรือบริเวณศาลเจ้าที่อยู่ตามชายหมู่บ้านมัก เป็นที่มีผู้นําเอาวัตถุที่เกี่ยวกับความเชื่อที่แตกหักหรือ ชํารุดมาวางไว้ในลักษณะที่สะสมเสมอ เพราะไม่กล้าที่จะทําลายเลยต้องถวายวัดหรือถวายเจ้าไป
    .
    ข้าพเจ้าคิดว่าจนกระทั่งสมัยรัชกาลที่ 3 เอง ความเชื่อในเรื่องไม่เอาพระเข้าบ้านเรือนก็น่าจะยังสืบ เนื่องอยู่จนกระทั่งรัชกาลที่ 4 จึงมีการเปลี่ยนแปลง เพราะอิทธิพลแนวคิดใหม่ ๆ ที่มาจากทางตะวันตก ดังจะเห็นได้ว่ารัชกาลที่ 4 เองก็ทรงมีบทบาทหลายอย่างในการเปลี่ยนแปลงประเพณีพิธีกรรมบางอย่าง โดยทรงอ้างเหตุผลที่เป็นวิทยาศาสตร์ประกอบ ดังเช่นที่ทรงอธิบายเรื่องพระบรมธาตุปาฏิหาริย์ว่าเป็น ปรากฏการณ์ธรรมชาติเป็นต้น
    .
    ข้าพเจ้าเข้าใจว่าในสมัยนี้เองที่มีการเคลื่อนย้ายพระพุทธรูปและรูปเคารพที่ศักดิ์สิทธิ์ตามวัดวาอารามที่ร้างและจากที่ต่าง ๆ มา ยังกรุงเทพฯอย่างกว้างขวาง โดยเฉพาะพวกเจ้านายและขุนนางก็มีส่วนร่วมด้วย ซึ่งอันที่จริงการย้ายพระพุทธรูปและของศักดิ์สิทธิ์เหล่านี้ก็เคยมีมาแล้ว เช่นใน สมัยรัชกาลที่ 1 ที่โปรดให้ย้ายพระพุทธรูปจากเมืองสุโขทัยและเมืองอยุธยามาเก็บไว้ที่วัดโพธิ์เป็นต้น แต่นั้นก็ไม่ใช่เป็นการเอาของเข้าบ้านแต่อย่างใด ครั้นครั้งรัชกาลที่ 4 นี้คงมีการนําเอาของเหล่านี้เข้าวังและเข้าบ้านกันแล้ว และระยะนี้เองก็เกิดความนิยมในเรื่อง เล่นของเก่ากันขึ้น
    .
    จริงอยู่ที่บางท่านอาจจะเอาเข้ามาในบ้านเรือน เพื่อการเคารพบูชา โดยจัดสร้างห้องหับให้เป็นหอพระขึ้นและมีโต๊ะหมู่บูชาสําหรับตั้งอย่างสวยงาม แต่หลาย ๆ คนก็มองเห็นว่าเป็นของเก่าที่มีราคาค่างวดตามไปด้วย ก็คงจะทึกทักเอาในที่นี้ว่าการเล่นของเก่า คือสาเหตุสําคัญที่ทําให้มีการเอาพระเข้าบ้านกันขึ้น
    .
    แต่สิ่งที่สัมพันธ์กับการเล่นของเก่าที่สําคัญ ก็คือ การขุดกรุพระเจดีย์ร้างและโบสถ์ร้างกันขึ้นอย่างแพร่หลาย แต่ก่อนเป็นการขุดเพื่อหาสมบัติ คือเอาแก้วแหวนเงิน ทอง พระพุทธรูปก็เอา เพราะมีพวกใจบาปหยาบช้าที่มักเอาไปหลอมทําโลหะขายอยู่แล้ว แต่ในตอนนี้ไม่หลอมสู้เอาไปขายแก่พวกนักเล่นของเก่าดีกว่า พระที่นําไปขายหรือลักไปขายเหล่านี้เรียกกันว่า พระบูชา เพราะเอาไปบูชาก็ได้หรือเอามาเก็บไว้เป็นของเก่าก็ได้ แต่การขุดกรุแต่ละทีนั้นหาได้แต่พระบูชาและแก้ว แหวนเงินทองเท่านั้นไม่ ยังพบพวกพระพิมพ์รวมอยู่ด้วย ก็เกิดเป็นพระเครื่องเป็นผลตามมา เพราะฉะนั้นการขุดกรุแต่ละครั้งจึงมุ่งที่แสวงหาพระพิมพ์และพระเครื่องเป็นสําคัญ
    .
    เหตุที่พระพิมพ์กลายเป็นพระเครื่องไปก็ เพราะมีการเปลี่ยนแปลงบางอย่างในระบบการทําเครื่องรางของขลังขึ้นในช่วงเวลานั้นหรือก่อนหน้านี้ นั่นก็คือเกิดความนิยมในเรื่องพระกริ่งขึ้น นัยว่ามาจากทางพวกเขมรก่อน เช่นพระกริ่งตั๊กแตน เป็นต้น ทําให้ต่อมามีการทําพระกริ่งแบบไทยขึ้นคือ พระกริ่งปวเรศเป็นต้น มีกิตติศัพท์เลื่องลือในเรื่องอยู่ยงคง กระพันและการตัดรุ้งขาด เป็นต้น
    .
    ในเรื่องนี้อาจมีบางท่านโต้แย้งได้ว่าการเกิดพระเครื่องขึ้นในระยะนี้จะเกี่ยวกับสมเด็จพระพุฒาจารย์ (โต พรหมรังสี) ในการสร้างพระพิมพ์สมเด็จวัดระฆัง ขึ้นให้คนมีไว้บูชา
    .
    ในเรื่องนี้ข้าพเจ้าไม่แน่ใจเพราะว่าพระพิมพ์สมเด็จวัดระฆังนี้ สมเด็จพระพุฒาจารย์สร้างแล้วบรรจุ ไว้ในกรุเช่นเดียวกันกับประเพณีการสร้างพระพิมพ์ที่มีมาแล้วในอดีต แต่ในขณะเดียวกันข้าพเจ้าก็ยอมรับว่า สมเด็จพระพุฒาจารย์นั้นท่านมีความคิดริเริ่มแปลกๆ ที่อาจสร้างอะไรใหม่ ๆ ขึ้นมาให้คนเชื่อได้ โดยเฉพาะการสร้างพระพิมพ์สมเด็จนั้น มีผู้กล่าวว่าท่าน พยายามสร้างให้ครบ 84,000 องค์ เพื่อสืบพระ พุทธศาสนา เป็นต้น
    .
    ข้อมูลจาก
    .
    ศรีศักร วัลลิโภดม. พระเครื่องในเมืองสยาม, สำนักพิมพ์มติชน 2537
    .
    https://www.silpa-mag.com/history/article_28309
    .
    Silapawattanatham - ศิลปวัฒนธรรม
    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    สวัสดียามเช้า วันเสาร์สุขสันต์
    .
    นำมาให้ชมอีกรอบ
    .
    พระพุทธที่เป็นรูปหล่อลอยองค์ เนื้อทองคำ
    สร้างขึ้นในสมัยสุโขทัย สร้างโดย พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ และ พ่อขุนผาเมือง
    วัตถุประสงค์การสร้าง เพื่อเฉลิมฉลองที่ได้ขับไล่ #ขอมสบาดโขลญลำพง ออกไปจากกรุงสุโขทัยได้สำเร็จ
    ผู้อธิษฐานจิต คือ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ และ พระมหาโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์

    .
    1.#พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ หรือพระนามเต็ม #กมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์ พระนามเดิม #พ่อขุนบางกลางหาว เป็น #ปฐมกษัตริย์แห่งราชวงศ์พระร่วง กรุงสุโขทัย
    .
    2.#พ่อขุนผาเมือง หรือ พรญาผาเมือง เป็นเจ้าเมืองราด
    .
    .
    .
    พระสมเด็จ เนื้อทองคำ
    สร้างขึ้นในสมัยกรุงรัตนโกสินทร์ ตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 และ รัชกาลที่ 5
    การสร้าง สร้างในหลายๆวาระ
    องค์ผู้อธิษฐานจิตมีหลายองค์ ก็มี หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร และหรือ สมเด็จพระพุฒาจารย์โต พรหมรังสี และหรือ กลุ่มองค์อภิญญาใหญ่ (ผมอธิบายไว้ด้านล่างแล้ว)
    .
    .
    .
    และ พระสมเด็จเนื้อเงิน
    องค์แรก สร้างขึ้นในสมัยกรุงศรีอยุธยาตอนปลาย
    องค์ที่สอง สร้างขึ้นในสมัยรัชกาลที่ 4
    .
    .
    .
    รูปสงวนลิขสิทธิ์
    .
    .
    .
    หมายเหตุ (ที่มา วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี )
    .
    พ่อขุนผาเมือง หรือ พรญาผาเมือง เป็นเจ้าเมืองราด ผู้ร่วมกับพ่อขุนบางกลางหาวขับไล่ขอมที่ก่อการจลาจลวุ่นวายให้ออกไปจากเมืองสุโขทัย แต่พระองค์ไม่ทรงขึ้นครองราชย์เป็นกษัตริย์สุโขทัยต่อจากพระราชบิดา หากแต่ทรงมอบราชสมบัติ พระนาม พระแสงขรรค์ไชยศรีเครื่องแสดงสิทธิอำนาจให้แก่พ่อขุนบางกลางหาวแทน เหตุเพราะทรงมีความใกล้ชิดกับทางราชสำนักเขมรและมีพระชายาพระราชทานเป็นพระราชธิดาในกษัตริย์ขอม พ่อขุนผาเมืองมีน้องสาวชื่อนางเสือง พระมเหสีให้พ่อขุนบางกลางหาว (ต่อมาเฉลิมพระนามเป็นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์)
    .
    พ่อขุนผาเมืองทรงเป็นพระราชโอรสของพ่อขุนศรีนาวนำถม ทรงอยู่ในสถานะองค์รัชทายาทแห่งราชอาณาจักร และได้เสด็จไปครองอยู่เมืองราด ซึ่งเป็นเมืองอยู่ทางด้านตะวันออกของเชลียงในลุ่มแม่น้ำน่าน คนในชั้นหลังยังปรากฏเรียก "เมืองราดเก่าหั้น" สืบมาไม่นานก่อนการสร้างเขื่อนขนาดใหญ่ปิดกั้นลำแม่น้ำน่าน
    .
    นอกจากนั้นยังปรากฏหลักฐานในนิทานโบราณคดีของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ที่ทรงสันนิษฐานว่าเหตุจะเกิดเมืองหล่มเก่า เห็นจะเป็นด้วยพวกราษฎรที่หลบหนีภัยอันตรายในประเทศล้านช้าง มาตั้งซ่องมั่วสุมกันอยู่ก่อน แต่เป็นที่ดินดีมีน้ำบริบูรณ์เหมาะแก่การทำเรือกสวนไร่นาและเลี้ยงโคกระบือ จึงมีพวกตามมาอยู่มากขึ้นโดยลำดับจนเป็นเมือง แต่เป็นเมืองมาครั้งสุโขทัย มีปรากฏในจารึกพ่อขุนรามคำแหงว่า เมืองลุ่ม ต่อมาภายหลังมาเรียกว่าเมือง หลุ่ม และยังเป็นอีกท่านที่กอบกู้แผ่นดินเอาไว้
    .
    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เมื่อครั้งยังเป็นพ่อขุนบางกลางหาวได้ร่วมมือกับพ่อขุนผาเมือง เจ้าเมืองราดแห่งราชวงศ์ศรีนาวนำถุม รวมกำลังพลกัน กระทำรัฐประหารขอมสบาดโขลญลำพง โดยพ่อขุนบางกลางหาวตีเมืองศรีสัชนาลัยและเมืองบางขลงได้ และยกทั้งสองเมืองให้พ่อขุนผาเมือง ส่วนพ่อขุนผาเมืองตีเมืองสุโขทัยได้ ก็ได้มอบเมืองสุโขทัยให้พ่อขุนบางกลางหาว พร้อมพระขรรค์ชัยศรีและพระนาม "ศรีอินทราทิตย์" ซึ่งได้นำมาใช้เป็นพระนาม ภายหลังได้คลายเป็น ศรีอินทราทิตย์ การเข้ามาครองสุโขทัยของพระองค์ ส่งผลให้ราชวงศ์พระร่วงเข้ามามีอิทธิพลในเขตนครสุโขทัยเพิ่มมากขึ้น และได้แผ่ขยายดินแดนกว้างขวางมากออกไป แต่เขตแดนเมืองสรลวงสองแคว ก็ยังคงเป็นฐานกำลังของราชวงศ์ศรีนาวนำถุมอยู่
    .
    ในกลางรัชสมัย ทรงมีสงครามกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ทรงชนช้างกับขุนสามชน แต่ไพร่พลของพระองค์ ได้เตลิดหนีดังคำในศิลาจารึกว่า "ไพร่ฟ้าหน้าใสพ่อกู หนีญญ่ายพ่ายจแจ๋น"(หนี-ยอ-ย่าย-พ่าย-จอ-แจ้น) ขณะนั้นพระโอรสองค์เล็ก (รามราช) มีพระปรีชาสามารถ ได้ขับช้างแซงขึ้นไปชนช้างชนะขุนสามชน ภายหลังจึงทรงเฉลิมพระนามพระโอรสว่ารามคำแหง
    .
    ในยุคประวัติศาสตร์ชาตินิยม มีคติหนึ่งที่เชื่อกันว่า พระองค์ทรงเป็นผู้นำชาวสยามต่อสู้กับอิทธิพลขอมในสุวรรณภูมิ ทรงได้ชัยชนะและประกาศอิสรภาพตั้งราชอาณาจักรสุโขทัยขึ้น และทรงเป็นปฐมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย แต่ภายหลัง คติดังกล่าวได้รับการพิสูจน์แล้วว่าไม่จริง เพราะพระองค์ไม่ได้เป็นปฐมกษัตริย์ อีกทั้งยังมีพ่อขุนศรีนาวนำถุม ครองสุโขทัยอยู่ก่อนแล้ว
    .
    จบ หมายเหตุ (ที่มา วิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี )
    .
    .
    .
    .
    .
    #พระวังหน้า
    #พระวังหลวง
    #พระเนื้อทองคำ
    #พระเนื้อเงิน
    #พระพุทธรูป
    #พระสมเด็จ
    #กรุงสุโขทัย
    #กรุงศรีอยุธยา
    #อยุธยาศรีรามเทพนคร
    #กรุงรัตนโกสินทร์
    #องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    #พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์
    #พระอรหันต์ทุกๆพระองค์
    #พระมหาโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์
    #หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
    #หลวงปู่เทพโลกอุดร
    #หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า
    #หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า
    #หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ( หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร )
    #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า ( หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา )
    #หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า ( หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสีวัดโอภาสี )
    #สมเด็จพระพุฒาจารย์โตพรหมรังสี
    #กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ (เช่น #หลวงพ่อเงินวัดบางคลาน #หลวงปู่ศุขวัดปากคลองมะขามเฒ่า #หลวงปู่บุญวัดกลางบางแก้ว #หลวงปู่ภูวัดอินทรวิหาร #หลวงปู่กรมพระยาปวเรศวัดบวรนิเวศ #ท่านเจ้ามาวัดสามปลื้ม เป็นต้น)
    กลุ่มหลวงปู่องค์อภิญญาใหญ่ ปัจจุบันท่านอยู่ที่ พรหมชั้นสุทธาวาส ที่เป็นพรหมชั้นสุดท้ายก่อนเข้าแดนพระนิพพาน ซึ่งท่านสามารถเข้าแดนนิพพานได้ทุกขณะ แต่ท่านยังห่วงลูกหลานลูกศิษย์ของท่านอยู่ ท่านจึงยังไม่เข้าแดนนิพพาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ในวาระแห่งกาลกฐินประจำปี 2562 นี้
    .
    ขอเรียนเชิญญาติธรรมทั้งหลายร่วมเป็นเจ้าภาพทอดกฐินสามัคคี ณ ที่พักสงฆ์อาศรมศรีชัยรัตนโคตร ในวันอาทิตย์ที่ 27 ตุลาคม 2562 เวลา 10.00 น.
    .
    สำหรับปีนี้เป็นกฐินปีที่ 3 ของอาศรมฯ ซึ่งได้รับความเมตตาจากท่านพระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. (หลวงพ่อเล็ก) เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน รับเป็นประธานเจ้าภาพกฐินสามัคคี
    .
    ในการร่วมสร้างมหากุศลกฐินทานในปีนี้ อาศรมฯศรีชัยรัตนโคตร ได้จัดเตรียมวัตถุมงคล เพื่อมอบแด่เจ้าภาพทุกท่าน โดยมีพระบูชาหลวงปู่ เทพโลกอุดร และ ผ้ายันต์ธงมหาลาภ
    .
    สามารถโอนเงินร่วมทำบุญได้ที่
    .
    บัญชีเลขที่ 045-8-22037-9
    ชื่อบัญชี พระธวัชชัย นิลสุวรรณชาต
    บมจ.ธนาคารกสิกรไทย
    .
    .*******************************.
    .
    ส่วนท่านใดที่จะร่วมทำบุญและรับวัตถุมงคล
    ขอให้โอนเงินทำบุญเข้าบัญชีนี้
    .
    บัญชีเลขที่ 983-2-94326-4
    ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
    บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2
    .
    เริ่มต้นทำบุญตั้งแต่วันที่ 16 ตุลาคม 2562 เป็นต้นไป
    สิ้นสุดทำบุญในวันเสาร์ที่ 26 ตุลาคม 2562 เวลา 18.00 น.
    .
    เนื่องจากผมจะต้องตรวจสอบยอดเงินที่ร่วมทำบุญและต้องการที่จะรับพระและวัตถุมงคล ครับ
    .
    //////////////////////////////////
    .
    วัตถุมงคล มีดังนี้
    .
    พระบูชา หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่โลกอุดร องค์ที่ 3)
    เนื้อบรอนซ์ 5 นิ้ว เป็นเจ้าภาพกองกฐิน กองละ 10,000 บาท
    .
    พระบูชา หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่โลกอุดร องค์ที่ 3)
    เนื้อทองแดงนอกชุบทอง 1 นิ้ว เป็นเจ้าภาพกองกฐิน กองละ 2,500 บาท
    .
    พระบูชา หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า (หลวงปู่โลกอุดร องค์ที่ 3)
    เนื้อบรอนซ์ 1 นิ้ว เป็นเจ้าภาพกองกฐิน กองละ 2,000 บาท
    .
    ยันต์ธงผ้าจีวร 17 ปี (หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน กาญจนบุรี)
    เป็นเจ้าภาพกองกฐิน กองละ 3,500 บาท (มี 200 กอง)
    .
    ยันต์ธงผ้าจีวรแห่งความสำเร็จ (หลวงพี่เล็ก วัดท่าขนุน กาญจนบุรี)
    เป็นเจ้าภาพกองกฐิน กองละ 3,000 บาท (มี 1,500 กอง)
    .
    หมายเหตุ หากท่านร่วมทำบุญและต้องการวัตถุมงคล ขอให้ท่านรีบโอนเงินร่วมทำบุญและรีบแจ้งมาที่ผม ผมจะได้แจ้งพี่แอ๊ว เพื่อจองวัตถุมงคลให้ก่อน แต่หากท่านร่วมทำบุญมาช้า และวัตถุมงคลหมด ผมถือว่าท่านร่วมทำบุญและไม่รับวัตถุมงคล ครับ
    .
    โมทนา สาธุ ครับ
    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    รวมคำพิพากษาศาลฎีกา สู้คดีลักทรัพย์นายจ้าง
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12888/2558
    .
    ประธานกรรมการโจทก์ร่วมรู้ว่าจำเลยที่ 1 โกงเงินของโจทก์ร่วมไปตั้งแต่วันที่จำเลยที่ 1 ทำบันทึกคำรับสารภาพให้ไว้เมื่อวันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2550 แล้ว แต่โจทก์ร่วมฎีกาว่าไม่รู้เรื่องความผิดตั้งแต่วันดังกล่าว เนื่องจากยังไม่ได้ตรวจสอบรายละเอียดว่าจำเลยที่ 1 โกงเงินโจทก์ร่วมไปเมื่อใด จำนวนเท่าใด และโกงอย่างไร แต่เมื่อโจทก์ร่วมมิได้นำสืบให้ชัดแจ้งว่าโจทก์ร่วมรู้เรื่องความผิดตั้งแต่วันใดที่มิใช่วันที่ 9 กุมภาพันธ์ 2550 ที่จำเลยที่ 1 ทำบันทึกคำรับสารภาพไว้ และรู้เรื่องความผิดก่อนไปแจ้งความร้องทุกข์ไม่เกิน 3 เดือน คดีจึงไม่ปรากฏชัดว่าโจทก์ร่วมรู้ตัวผู้กระทำผิดและรู้เรื่องความผิดตั้งแต่เมื่อใดก่อนวันที่ 14 กรกฎาคม 2550 อันเป็นวันร้องทุกข์ไม่เกิน 3 เดือน กรณีไม่อาจทราบแน่ชัดว่าคดียังไม่ขาดอายุความ หรือไม่แน่ชัดว่าโจทก์ร่วมมีสิทธิฟ้องคดีได้หรือไม่ จึงสมควรยกประโยชน์ให้แก่จำเลยทั้งสองว่าสำหรับข้อหาฉ้อโกงนั้น คดีขาดอายุความแล้ว โจทก์ร่วมไม่มีสิทธิฟ้องคดีข้อหานี้
    .
    ความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้องคดีนี้บรรยายว่าจำเลยทั้งสองรับเงินจากธนาคารตามเช็คไปเป็นของจำเลยทั้งสองโดยทุจริตอันครบองค์ประกอบความผิดฐานลักทรัพย์ เป็นการบรรยายฟ้องรวมการกระทำอื่นซึ่งอาจเป็นความผิดได้อยู่ในตัวเอง ศาลจะลงโทษจำเลยทั้งสองในการกระทำผิดอื่นนั้นตามที่พิจารณาได้ความก็ได้ ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย เมื่อศาลอุทธรณ์ภาค 5 มิได้พิจารณาลงโทษความผิดของจำเลยทั้งสองตามที่พิจารณาได้ความ ศาลฎีกาก็มีอำนาจพิจารณาตามมาตรานี้โดยอาศัย ป.วิ.อ. มาตรา 215 และมาตรา 225 ได้เพราะข้อเท็จจริงยุติว่าจำเลยที่ 1 ได้มอบเช็คให้จำเลยที่ 2 ไปขึ้นเงินที่ธนาคารจากบัญชีเงินฝากของโจทก์ร่วม ได้เงินของโจทก์ร่วมมาจำนวน 125,616 บาท โดยไม่ปรากฏหลักฐานว่าจำเลยที่ 2 มอบเงินดังกล่าวให้แก่จำเลยที่ 1 และจำเลยที่ 1 มอบเงินคืนให้โจทก์ร่วมแล้วดังที่จำเลยทั้งสองนำสืบต่อสู้ จำเลยที่ 1 ซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมจึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างตาม ป.อ. มาตรา 335 (7) (11) วรรคสอง ส่วนจำเลยที่ 2 มิได้เป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วม ย่อมไม่อาจร่วมกับจำเลยที่ 1 กระทำความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างได้ จำเลยที่ 2 จึงมีความผิดตาม ป.อ. มาตรา 335 (7) วรรคแรก ซึ่งมิใช่ความผิดอันยอมความได้และมีอายุความ 10 ปี คดีโจทก์จึงยังไม่ขาดอายุความ แม้ความผิดฐานฉ้อโกงตามฟ้องรวมการกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างด้วย ซึ่งศาลมีอำนาจลงโทษในความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคท้าย ประกอบมาตรา 215 และ 225 ก็ตาม แต่ศาลฎีกาไม่อาจกำหนดโทษจำเลยทั้งสองให้สูงกว่าโทษที่ศาลชั้นต้นพิพากษามา เพราะจะเป็นการพิจารณาเพิ่มเติมโทษจำเลยทั้งสอง โดยที่โจทก์ร่วมมิได้ฎีกาขอให้เพิ่มเติมโทษ
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12675/2558
    .
    ความผิดฐานยักยอกตาม ป.อ. มาตรา 352 เป็นความผิดอันยอมความได้ โจทก์ร่วมต้องร้องทุกข์ภายใน 3 เดือน นับแต่วันรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิด มิฉะนั้น คดีเป็นอันขาดอายุความ ตาม ป.อ. มาตรา 96 คดีนี้ข้อเท็จจริงปรากฏตามคำเบิกความของโจทก์ร่วมเองว่า เมื่อวันที่ 10 มกราคม 2555 จำเลยยอมรับกับโจทก์ร่วมว่าได้ยักยอกเงินค่าจำหน่ายสินค้าของโจทก์ร่วมไปจริง ดังนี้ จึงเท่ากับโจทก์ร่วมได้รู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดตั้งแต่วันดังกล่าวแล้ว การที่โจทก์ร่วมให้จำเลยนำเงินมาชดใช้คืนและจะตรวจสอบบัญชีเพื่อทราบยอดเงินที่สูญหายไปให้ชัดแจ้งอีกครั้งดังที่อ้าง เป็นเรื่องที่โจทก์ร่วมยอมผ่อนผันหรือให้โอกาสแก่จำเลยในฐานะที่เคยเป็นลูกจ้างของตนเท่านั้น ไม่ทำให้สิทธิในการร้องทุกข์ของโจทก์ร่วมขยายออกไป ดังนั้นเมื่อโจทก์ร่วมเพิ่งไปร้องทุกข์เมื่อวันที่ 19 มิถุนายน 2555 จึงพ้นกำหนด 3 เดือน นับแต่วันที่โจทก์ร่วมรู้เรื่องความผิดและรู้ตัวผู้กระทำความผิดแล้ว คดีของโจทก์และโจทก์ร่วมในความผิดฐานยักยอกจึงขาดอายุความตาม ป.อ. มาตรา 96 สิทธินำคดีอาญามาฟ้องของโจทก์และโจทก์ร่วมย่อมระงับไปตาม ป.วิ.อ. มาตรา 39 (6) พนักงานอัยการโจทก์จึงไม่มีสิทธิเรียกทรัพย์สินหรือราคาแทนโจทก์ร่วมได้
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5215/2557
    .
    จำเลยมิได้เป็นลูกจ้างของผู้เสียหาย แม้จำเลยร่วมกับ น. ซึ่งเป็นลูกจ้างของผู้เสียหายลักทรัพย์ของผู้เสียหายก็ตาม จำเลยก็ไม่มีความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างตาม ป.อ. มาตรา 335 (11) ทั้งนี้เพราะความเป็นลูกจ้างเป็นเหตุเฉพาะตัวของ น. จึงไม่มีผลไปถึงจำเลยด้วย ปัญหานี้แม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3859/2557
    .
    จำเลยที่ 1 มีหน้าที่นำน้ำมันของโจทก์ร่วมไปขายและรับเงินค่าขายน้ำมันจากลูกค้า ถือว่าจำเลยที่ 1 ได้รับมอบเงินดังกล่าวไว้ในครอบครองในฐานะตัวแทนโจทก์ร่วมและมีหน้าที่ส่งมอบเงินดังกล่าวให้แก่โจทก์ร่วม เมื่อจำเลยที่ 1 เบียดบังเอาไปบางส่วน จึงเป็นการยักยอกเงินค่าขายน้ำมันของโจทก์ร่วม เป็นความผิดฐานยักยอก แม้โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง ก็ไม่ถือว่าข้อเท็จจริงตามที่ปรากฏในการพิจารณาแตกต่างกับข้อเท็จจริงดังที่กล่าวในฟ้องในสาระสำคัญและจำเลยที่ 1 ไม่ได้หลงต่อสู้ ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ตามที่พิจารณาได้ความได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม ประกอบมาตรา 215, 225 ปัญหานี้เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย แม้จำเลยที่ 1 ไม่ได้ฎีกา ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 3562/2556
    .
    พ.ร.บ.จัดตั้งศาลแรงงานและวิธีพิจารณาคดีแรงงาน พ.ศ.2522 มาตรา 54 วรรคหนึ่ง บัญญัติหลักเกณฑ์และวิธีการไว้เป็นการเฉพาะให้คู่ความอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแรงงานได้เฉพาะในข้อกฎหมาย ไม่มีบทบัญญัติยกเว้นกรณีหนึ่งกรณีใดให้คู่ความอุทธรณ์ในข้อเท็จจริงได้ จึงนำหลักการอุทธรณ์กรณีผู้พิพากษาสมทบฝ่ายลูกจ้างทำความเห็นแย้งตาม ป.วิ.พ. มาตรา 224 วรรคหนึ่ง มาใช้กับการอุทธรณ์คำพิพากษาหรือคำสั่งของศาลแรงงานไม่ได้
    .
    ตามวิธีปฏิบัติงาน เรื่อง การดำเนินการเกี่ยวกับน้ำมันเชื้อเพลิง ระบุการเติมน้ำมันเชื้อเพลิงรถยนต์โดยสารแต่ละคันเติมด้วยยอดจำนวนเต็มหรือตามที่กำหนดในแต่ละสาย เมื่อครบจำนวนตามกำหนดพนักงานเติมน้ำมันจะดึงหัวจ่ายออกแล้วเก็บไว้ในที่เก็บและปิดฝาถังน้ำมันรถยนต์โดยสาร แสดงให้เห็นว่าน้ำมันที่ยังค้างอยู่ในหัวจ่ายเป็นน้ำมันของจำเลย แม้จะมีการตัดยอดจ่ายน้ำมันแล้ว แต่จำเลยก็ไม่มีระเบียบให้ทิ้งน้ำมันดังกล่าว การที่โจทก์ซึ่งเป็นพนักงานเติมน้ำมันเทน้ำมันที่ค้างอยู่ที่หัวจ่ายใส่ถังน้ำมันและเอาไว้เป็นส่วนตัวจึงเป็นการลักทรัพย์นายจ้างซึ่งเป็นความผิดอาญาและจงใจไม่ปฏิบัติตามวิธีปฏิบัติงาน เป็นการกระทำผิดวินัยร้ายแรงตามข้อบังคับของจำเลย ฉบับที่ 46 จำเลยมีอำนาจไล่โจทก์ออกได้ตามข้อบังคับ
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1694/2555
    .
    จำเลยทั้งสองร่วมกันลักทรัพย์ของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างเมื่อวันที่ 16 เมษายน 2550 และร่วมกันปลอมใบส่งของ เล่มที่ 3/3 เลขที่ 18 ลงวันที่ 16 เมษายน 2550 อันเป็นเอกสารสิทธิของผู้เสียหาย แล้วนำใบส่งของที่ทำปลอมขึ้นไปแสดงต่อ ส. กรรมการผู้จัดการของผู้เสียหายในวันเดียวกัน แม้การปลอมเอกสารดังกล่าวจะกระทำภายหลังจากจำเลยทั้งสองลักทรัพย์สำเร็จ แต่ก็เป็นการกระทำที่เกี่ยวเนื่องกันโดยจำเลยทั้งสองมีเจตนาที่จะใช้เอกสารปลอมที่ทำขึ้นเป็นหลักฐานเพื่อปกปิดการกระทำของตนที่ได้ลักทรัพย์ของผู้เสียหายไป ความผิดฐานร่วมกันปลอมเอกสารสิทธิและใช้เอกสารสิทธิปลอมกับความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง จึงเป็นการกระทำโดยมีเจตนาเดียวกัน เป็นการกระทำกรรมเดียวเป็นความผิดต่อกฎหมายหลายบท ต้องลงโทษฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง ซึ่งเป็นบทที่มีโทษหนักที่สุดตาม ป.อ. มาตรา 90 แม้จำเลยที่ 2 จะไม่ฎีกาในปัญหานี้แต่เป็นปัญหาข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกาเห็นสมควรแก้ไขให้ถูกต้องตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบมาตรา 225 และกรณีเป็นเหตุอยู่ในส่วนลักษณะคดี ศาลฎีกามีอำนาจพิพากษาไปถึงจำเลยที่ 1 ซึ่งมิได้ฎีกาด้วยตาม ป.วิ.อ. มาตรา 213 ประกอบมาตรา 225
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 10787/2554
    .
    จำเลยเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วม มีหน้าที่ดูแลการขายรถยนต์และรับเงินค่าขายรถยนต์จากลูกค้าของโจทก์ร่วม การที่จำเลยปกปิดข้อเท็จจริง ละเว้นไม่รายงานจำนวนรถยนต์ของโจทก์ร่วมที่ขายให้แก่ลูกค้าและไม่รายงานการนำรถยนต์ออกไปจากโกดังตามหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายจนทำให้การกระทำความผิดสำเร็จ ถือได้ว่าจำเลยเป็นตัวการ แม้ต่อมาภายหลังจะรายงานจำนวนรถยนต์ต่อโจทก์ร่วมตามความเป็นจริง ก็เป็นการรายงานหลังจากที่ตรวจพบถึงการละเว้นไม่ปฏิบัติหน้าที่ตามที่ได้รับมอบหมายแล้ว ไม่อาจทำให้การกระทำของจำเลยกลับกลายไม่เป็นความผิด
    .
    ส. และจำเลยรับมอบเงินค่าขายรถยนต์ของโจทก์ร่วมจากลูกค้า เป็นเพียงการรับเงินไว้ในระหว่างการปฏิบัติหน้าที่ในฐานเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วม เงินดังกล่าวจึงเป็นเงินของโจทก์ร่วมและยังอยู่ในความครอบครองของโจทก์ร่วม เมื่อจำเลยร่วมกับพวกเอาเงินดังกล่าวของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนายจ้างไปโดยทุจริต จึงเป็นความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์ของนายจ้างตาม ป.อ. มาตรา 335 (11) วรรคแรก มิใช่เป็นความผิดฐานยักยอก
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 12793 – 12794/2553
    .
    เมื่อคนไข้นอกไปพบแพทย์ผู้ตรวจ แพทย์จะออกใบสั่งตรวจและใบสั่งยาให้คนไข้นำไปยื่นที่แผนกการเงินเพื่อชำระเงินค่าตรวจรักษาและค่ายา เงินที่คนไข้นอกจ่ายให้โรงพยาบาลย่อมตกเป็นกรรมสิทธิ์ของโรงพยาบาล การที่จำเลยซึ่งเป็นเจ้าหน้าที่การเงินของโรงพยาบาลเอาเงินนั้นไปเป็นประโยชน์ส่วนตนโดยมิชอบด้วยกฎหมาย จึงเป็นการกระทำความผิดในทางอาญาต่อโรงพยาบาล โรงพยาบาลย่อมเป็นผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 2 (4) โจทก์จึงมีอำนาจฟ้อง
    .
    การที่จำเลยซึ่งมีหน้าที่รับเงินค่ารักษาพยาบาลจากคนไข้แทนผู้เสียหายแล้วส่งต่อให้เจ้าหน้าที่เก็บรักษาเงินของผู้เสียหายในแต่ละวัน เป็นเพียงการยึดถือเงินของผู้เสียหายไว้ชั่วระยะเวลาทำการเท่านั้น ผู้เสียหายหาได้มอบเงินให้อยู่ในความครอบครองของจำเลย เมื่อจำเลยเอาเงินไปเป็นของตนโดยไม่มีสิทธิอันเป็นการทุจริต จำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้าง และการที่จำเลยลักทรัพย์ของผู้เสียหายในวันเวลาที่ต่างกัน จำเลยย่อมกระทำไปในแต่ละครั้งโดยอาศัยเจตนาในการกระทำความผิดคนละเจตนาแยกต่างหากจากกันตามโอกาสที่มีให้กระทำ การกระทำของจำเลยจึงเป็นความผิดหลายกรรมต่างกัน
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 5454/2553
    .
    คดีนี้โจทก์บรรยายฟ้องกล่าวหาจำเลยว่า จำเลยปลอมเอกสารและนำ เอกสารปลอมไปลักทรัพย์ของนายจ้าง โดยเหตุเกิดเมื่อระหว่างวันที่ 14 กรกฎาคม 2548 เวลากลางคืนหลังเที่ยง ถึงวันที่ 2 ตุลาคม 2548 เวลากลางคืนหลังเที่ยงอันเป็นการบรรยายฟ้องที่ไม่ยืนยันการกระทำความผิดของจำเลยว่าเกิดขึ้นในเวลากลางวันหรือเกิดในเวลากลางคืน อันเป็นเหตุฉกรรจ์ที่ทำให้จำเลยต้องได้รับโทษหนักขึ้น เมื่อจำเลยให้การรับสารภาพว่ากระทำความผิดตามฟ้อง ข้อเท็จจริงก็คงรับฟังได้เพียงว่าจำเลยลักทรัพย์นายจ้างตามฟ้องเท่านั้น แต่ไม่อาจจะรับฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยกระทำความผิดในเวลากลางวันหรือกลางคืน ถือว่าจำเลยไม่ได้ให้การรับสารภาพในส่วนนี้โดยชัดแจ้ง จึงเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องนำพยานหลักฐานเข้าสืบพิสูจน์ความผิดของจำเลยดังกล่าว เมื่อปรากฏว่าโจทก์แถลงไม่ติดใจสืบพยาน ศาลจะรับฟังข้อเท็จจริงให้เป็นโทษแก่จำเลยไม่ได้ คงฟังข้อเท็จจริงว่าจำเลยกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางวันเท่านั้น ที่ศาลล่างทั้งสองปรับบทลงโทษจำเลยว่ากระทำความผิดฐานลักทรัพย์ในเวลากลางคืนตาม ป.อ. มาตรา 335 (1) ด้วยจึงไม่ชอบ ปัญหาข้อนี้เป็นปัญหาข้อกฎหมายเกี่ยวกับความสงบเรียบร้อยของประชาชนแม้ไม่มีคู่ความฝ่ายใดฎีกา ศาลฎีกาก็มีอำนาจหยิบยกขึ้นวินิจฉัยและแก้ไขให้ถูกต้องได้
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 394/2553
    .
    การกระทำที่จะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์จะต้องเป็นการเอาทรัพย์ของผู้อื่นไปโดยพลการโดยทุจริต มิใช่ได้ทรัพย์ไปเพราะผู้อื่นยินยอมมอบให้เนื่องจากถูกหลอกลวง จำเลยซึ่งเป็นลูกจ้างของโจทก์ร่วมมีหน้าที่เบิกจ่ายเงินของโจทก์ร่วมให้กับลูกค้าของโจทก์ร่วมได้ใช้โอกาสในหน้าที่ดังกล่าวจัดทำใบเบิกจ่ายล่วงหน้าระบุว่ามีค่าใช้จ่ายเป็นเบี้ยประกันภัย ค่าผ่านท่าและค่ารถยก อันเป็นข้อความเท็จ หลอกลวงโจทก์ร่วมจนโจทก์ร่วมหลงเชื่อยินยอมมอบเงินค่าใช้จ่ายดังกล่าวให้จำเลยไปจำนวน 353 ครั้ง จึงมิใช่การเอาเงินของโจทก์ร่วมไปโดยพลการโดยทุจริตอันจะเป็นความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างตาม ป.อ. มาตรา 335 (11) หากแต่เป็นการหลอกลวงพนักงานและกรรมการของโจทก์ร่วมด้วยการแสดงข้อความอันเป็นเท็จในใบเบิกเงินทดรองจ่ายว่าต้องนำเงินไปชำระค่าใช้จ่ายดังกล่าว การอนุมัติให้จำเลยเบิกเงินไปเกิดจากการที่พนักงานและกรรมการของโจทก์ร่วมหลงเชื่อข้อความในเอกสาร จึงเป็นความผิดฐานฉ้อโกงตาม ป.อ. มาตรา 341 แม้โจทก์จะฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยในความผิดฐานลักทรัพย์ ศาลมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยในความผิดฐานฉ้อโกงได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 192 วรรคสาม
    .
    คำขอบังคับในคดีนี้กับคดีของศาลแรงงานกลางแม้จะมีลักษณะอย่างเดียวกัน คือขอให้จำเลยใช้ค่าเสียหาย แต่ข้ออ้างที่อาศัยเป็นหลักแห่งข้อหาในคดีนี้โจทก์ฟ้องและขอให้คืนหรือใช้ราคาทรัพย์เนื่องมาจากการกระทำความผิดอาญา ส่วนคดีของศาลแรงงานกลางที่มีมาจากมูลกรณีการผิดสัญญาจ้างแรงงาน โจทก์ไม่อาจอาศัยสิทธิในเรื่องของสัญญาจ้างแรงงานมาเป็นข้ออ้างในคำขอส่วนแพ่งได้ จึงมิใช่เป็นกรณีที่เป็นการฟ้องคดีในเรื่องเดียวกัน อันเป็นการฟ้องซ้อนตาม ป.วิ.อ. มาตรา 15 ประกอบ ป.วิ.พ. มาตรา 173 วรรคสอง (1)
    ขณะที่จำเลยกระทำความผิดในคดีนี้และในคดีอื่นนั้น จำเลยเป็นพนักงานของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นผู้เสียหายในทุกคดี โดยจำเลยถือโอกาสที่เป็นพนักงานกระทำความผิดเกี่ยวกับทรัพย์โดยมีเจตนาฉ้อโกงเงินของโจทก์ร่วมไป คดีนี้และคดีอื่นจึงมีความเกี่ยวพันกันจนอาจฟ้องเป็นคดีเดียวกันได้ตาม ป.วิ.อ. มาตรา 160 วรรคหนึ่ง การนับโทษต่อจึงต้องอยู่ในบังคับมาตรา 91 (1) กล่าวคือ เมื่อลงโทษจำคุกทุกกระทงทุกคดีแล้วจะเกิน 10 ปี ไม่ได้ คดีนี้จำเลยถูกลงโทษเกินกำหนดดังกล่าวแล้วจึงย่อมไม่อาจนำโทษคดีนี้ไปนับต่อจากคดีอื่นได้
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1638/2551
    .
    โจทก์บรรยายฟ้องว่าจำเลยเป็นคนร้ายร่วมกับพวกลักทรัพย์นายจ้าง หรือร่วมกันรับของโจรและพาอาวุธมีดไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร การที่ศาลชั้นต้นบันทึกคำให้การของจำเลยโดยใช้แบบพิมพ์ของศาล ซึ่งมีข้อความเป็นตัวพิมพ์ว่าข้าพเจ้าขอให้การรับสารภาพตามฟ้อง และมีถ้อยคำที่เขียนด้วยปากกาตกเติมต่อจากข้อความดังกล่าวว่าในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง ดังนี้ พอแปลความหมายของคำรับสารภาพของจำเลยได้ว่า จำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง แต่เนื่องจากคำฟ้องของโจทก์ระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกลักทรัพย์นายจ้างหรือร่วมกันรับของโจร ดังนั้นที่ศาลชั้นต้นเขียนถ้อยคำเพิ่มเติมต่อท้ายว่า ในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง ก็เพื่อเป็นการระบุให้แน่ชัดว่าจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาใดระหว่างความผิดในสองข้อหาดังกล่าว กรณีจึงพอถือได้ว่า จำเลยให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างและพาอาวุธมีดไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุสมควรตามฟ้องแล้ว ซึ่งการแปลความหมายเช่นนี้ย่อมเป็นการตีความให้ตรงตามเจตนาที่แท้จริงของจำเลยและเป็นธรรมแก่คู่ความทุกฝ่าย
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1638/2551
    .
    โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยเป็นคนร้ายร่วมกับพวกลักทรัพย์นายจ้าง หรือร่วมกันรับของโจรและจำเลยพาอาวุธมีดไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ศาลชั้นต้นบันทึกคำให้การของจำเลยว่า ข้าพเจ้าขอให้การรับสารภาพตามฟ้องในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง และบันทึกรายงานกระบวนพิจารณาต่อท้ายคำให้การของจำเลยว่าอ่านและอธิบายฟ้องให้จำเลยฟังแล้ว จำเลยให้การรับสารภาพ คำให้การของจำเลยดังกล่าวเป็นแบบพิมพ์ของศาล ซึ่งมีข้อความเป็นตัวพิมพ์ว่า ข้าพเจ้าขอให้การรับสารภาพตามฟ้องและมีถ้อยคำที่เขียนด้วยปากกาตกเติมต่อจากข้อความดังกล่าวว่าในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง เมื่อพิจารณาแล้วพอแปลความหมายคำรับสารภาพของจำเลยได้ว่าจำเลยให้การรับสารภาพตามฟ้อง แต่เนื่องจากคำฟ้องของโจทก์ระบุว่าจำเลยเป็นคนร้ายที่ร่วมกับพวกลักทรัพย์นายจ้างหรือร่วมกันรับของโจร การที่ศาลชั้นต้นเขียนถ้อยคำเพิ่มเติมต่อท้ายว่า ในข้อหาลักทรัพย์นายจ้าง ก็เพื่อเป็นการระบุให้แน่ชัดว่าจำเลยให้การรับสารภาพในข้อหาใดระหว่างความผิดในสองข้อหาดังกล่าว กรณีจึงพอถือได้ว่าจำเลยได้ให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง และพาอาวุธมีดไปในทางสาธารณะโดยไม่มีเหตุอันสมควร ซึ่งก็ตรงกับคำให้การรับสารภาพของจำเลยในชั้นสอบสวนด้วย ทั้งการแปลความหมายเช่นนี้ ย่อมเป็นการตีความตรงตามเจตนาที่แท้จริงของจำเลยและเป็นธรรมแก่คู่ความทุกฝ่าย
    .
    โจทก์บรรยายฟ้องว่า จำเลยใช้กระเป๋าของกลางในการปิดบังซุกซ่อนทรัพย์ที่คนร้ายลักมาเท่านั้น จำเลยมิได้ใช้กระเป๋าเป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์ จึงถือไม่ได้ว่ากระเป๋าเป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1) ที่ศาลล่างทั้งสองสั่งริบมานั้นไม่ถูกต้อง ปัญหาดังกล่าวแม้ไม่มีฝ่ายใดฎีกา แต่เป็นข้อกฎหมายที่เกี่ยวกับความสงบเรียบร้อย ศาลฎีกามีอำนาจยกขึ้นวินิจฉัยได้เองตาม ป.วิ.อ. มาตรา 195 วรรคสอง ประกอบด้วยมาตรา 225
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1798/2550
    .
    โจทก์ฟ้องว่าจำเลยทั้งสามร่วมกันกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร แสดงว่าโจทก์ประสงค์จะให้ลงโทษจำเลยทั้งสามในข้อหาใดข้อหาหนึ่งเพียงข้อหาเดียว เพราะความผิดฐานลักทรัพย์กับความผิดฐานรับของโจรเป็นความผิดคนละฐานกัน จะลงโทษจำเลยทั้งสามทั้งสองฐานความผิดดังกล่าวย่อมไม่ได้ คำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสามที่ว่า ขอให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการนั้นไม่ชัดเจนพอที่จะชี้ขาดว่าจำเลยทั้งสามได้กระทำความผิดฐานใด แม้จะปรากฏว่าโจทก์บรรยายฟ้องด้วยว่าในชั้นสอบสวน จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างก็ตาม แต่การที่จำเลยทั้งสามให้การชั้นสอบสวนอย่างไรไม่เกี่ยวข้องกับคำให้การในชั้นพิจารณาของจำเลยทั้งสาม กรณีจึงไม่อาจถือได้ว่าการที่จำเลยทั้งสามให้การรับสารภาพตามฟ้องโจทก์ทุกประการนั้นเป็นการให้การรับสารภาพข้อหาร่วมกันลักทรัพย์นายจ้าง ดังนี้ เมื่อคำให้การรับสารภาพของจำเลยทั้งสามไม่สามารถรับฟังได้แน่ชัดว่าจำเลยทั้งสามกระทำความผิดฐานลักทรัพย์หรือรับของโจร จึงมิใช่กรณีที่ศาลจะพิพากษาไปได้โดยไม่สืบพยานตาม ป.วิ.อ. มาตรา 176 วรรคหนึ่ง และเป็นหน้าที่ของโจทก์ที่จะต้องสืบพยานให้ได้ความถึงการกระทำความผิดของจำเลยทั้งสาม เมื่อโจทก์ไม่สืบพยานศาลจึงลงโทษจำเลยทั้งสามไม่ได้
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 1375/2545
    .
    เมื่อจำเลยที่ 2 ให้การรับสารภาพตามคำฟ้องของโจทก์ข้อเท็จจริงจึงฟังเป็นยุติตามคำฟ้องโจทก์ที่บรรยายไว้อย่างชัดเจนแยกการกระทำของจำเลยทั้งสองที่ร่วมกันลักเช็คของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างไป ปลอมเช็ค และใช้เช็คที่ปลอมนั้นไปยื่นต่อธนาคารเพื่อขอรับเงิน ซึ่งการกระทำแต่ละอย่างมีลักษณะที่แตกต่างกันต่างเป็นความผิดสำเร็จในตัว และเป็นการกระทำความผิดโดยอาศัยเจตนาแยกต่างหากจากกัน การกระทำของจำเลยที่ 2 จึงเป็นความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างกระทงหนึ่งและฐานปลอมตั๋วเงินและใช้ตั๋วเงินปลอมซึ่งต้องลงโทษฐานใช้ตั๋วเงินปลอมอีกกระทงหนึ่งตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 268 วรรคสอง
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2544
    .
    จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสายไฟฟ้าเก่าของผู้เสียหายที่วางอยู่ตามพื้นโรงงานมาวางบนเหล็กร้อน ทำให้เปลือกสายไฟฟ้าไหม้ ละลายหมดเหลือแต่ลวดทองแดงที่เป็นซากของสายไฟฟ้าเพื่อความสะดวกในการเอาทรัพย์นั้นไปขาย แต่ก็มิใช่แปรสภาพไปเป็นของอื่น ถือว่า เริ่มลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นับแต่ที่นำสายไฟฟ้าไปวางบนเหล็กร้อนแล้ว และเป็นความผิดต่อเนื่องกันมาจนกระทั่งขนย้ายลวดทองแดงออกจากโรงงานไปขึ้นรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่นอกรั้วโรงงาน แต่จำเลยที่ 1 รออยู่ห่างจากจุดที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โยนทรัพย์ออกมาประมาณ 100 เมตร ไม่อาจช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที ไม่ใช่แบ่งหน้าที่กันทำในส่วนที่เป็นการกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการคงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เท่านั้น
    .
    การที่จำเลยทั้งสามคบคิดกันลักลวดทองแดงของผู้เสียหายโดยให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้โรงงาน เพื่อบรรทุกทรัพย์ไป ย่อมเล็งเห็นเจตนาได้ว่า ประสงค์จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อการพาทรัพย์นั้นไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 336 ทวิ ส่วนจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ดังกล่าว
    สายไฟฟ้าของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยลักนำไปเผาลอกเอาเปลือกออกยังคงเหลือซากที่เป็นลวดทองแดงอยู่ มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรสภาพไปเป็นของอื่นแล้ว เมื่อผู้เสียหายได้รับลวดทองแดงคืนแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาเต็มของสายไฟฟ้าแก่ผู้เสียหายตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 43อีกไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำสายไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่
    .
    จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเพื่อจะใช้ เป็นพาหนะบรรทุกลวดทองแดงที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลักไปไม่ได้ใช้ เป็น เครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์โดยตรงจึงถือไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์ เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบได้ ตาม ประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 33(1)
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 16/2544
    .
    จำเลยที่ 2 และที่ 3 นำสายไฟฟ้าเก่าของผู้เสียหายที่วางอยู่ตามพื้นในโรงงานมาวางบนเหล็กร้อน ทำให้เปลือกสายไฟฟ้าไหม้ละลายหมดเหลือแต่ลวดทองแดงที่เป็นซากของสายไฟฟ้าเพื่อความสะดวกในการเอาทรัพย์นั้นไปขายก็มิใช่แปรสภาพไปเป็นของอื่น ถือว่า จำเลยที่ 2 และที่ 3 เริ่มลงมือกระทำความผิดฐานลักทรัพย์นับแต่ที่นำสายไฟฟ้าไปวางบนเหล็กร้อนและเป็นความผิดต่อเนื่องกันมาจนกระทั่งขนย้ายลวดทองแดงออกจากโรงงานไปขึ้นรถจักรยานยนต์ของจำเลยที่ 1 ที่นอกรั้วโรงงาน แต่จำเลยที่ 1 รออยู่ห่างจากจุดที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 โยนทรัพย์ออกมาประมาณ 100 เมตร ไม่อาจช่วยเหลือกันได้ทันท่วงที ไม่ใช่แบ่งหน้าที่กันทำในส่วนที่เป็นการกระทำความผิด จำเลยที่ 1 จึงไม่มีความผิดฐานเป็นตัวการ คงมีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการกระทำความผิดของจำเลยที่ 2 และที่ 3 เท่านั้น
    .
    การที่จำเลยทั้งสามคบคิดกันลักลวดทองแดงของผู้เสียหายซึ่งเป็นนายจ้างโดยให้จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้โรงงานเพื่อบรรทุกทรัพย์ไปย่อมเล็งเห็นเจตนาได้ว่า ประสงค์จะใช้รถจักรยานยนต์เป็นยานพาหนะเพื่อการพาทรัพย์นั้นไป จำเลยที่ 2 และที่ 3 จึงมีความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างในเวลากลางคืนโดยใช้ยานพาหนะตาม ป.อ. มาตรา 336 ทวิ ส่วนจำเลยที่ 1 มีความผิดฐานเป็นผู้สนับสนุนการลักทรัพย์ดังกล่าว
    .
    สายไฟฟ้าของผู้เสียหายที่ถูกจำเลยลักนำไปเผาลอกเอาเปลือกออกยังคงเหลือซากที่เป็นลวดทองแดงอยู่ มิได้ถูกทำลายสูญหายไปทั้งหมดหรือแปรสภาพไปเป็นของอื่น เมื่อผู้เสียหายได้รับลวดทองแดงคืนแล้ว พนักงานอัยการโจทก์จะขอให้คืนหรือใช้ราคาเต็มของสายไฟฟ้าแก่ผู้เสียหายตาม ป.วิ.อ. มาตรา 43 อีกไม่ได้ แม้ผู้เสียหายจะได้รับความเสียหายอันเกิดจากการกระทำความผิดของจำเลยเนื่องจากนำสายไฟฟ้าไปใช้ประโยชน์ตามวัตถุประสงค์เดิมไม่ได้ ก็เป็นเรื่องที่ผู้เสียหายจะต้องไปว่ากล่าวเรียกค่าเสียหายจากจำเลยเอาเองเป็นคดีใหม่
    .
    จำเลยที่ 1 ขับรถจักรยานยนต์มารออยู่ใกล้ที่เกิดเหตุเพื่อจะใช้เป็นพาหนะบรรทุกลวดทองแดงที่จำเลยที่ 2 และที่ 3 ลักไป จำเลยที่ 1 ไม่ได้ใช้รถจักรยานยนต์เป็นเครื่องมือหรือส่วนหนึ่งในการลักทรัพย์โดยตรง จึงถือไม่ได้ว่ารถจักรยานยนต์เป็นทรัพย์สินที่ใช้ในการกระทำความผิดอันจะพึงริบ ตาม ป.อ. มาตรา 33 (1)
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 7264/2542
    .
    จำเลยเป็นพนักงานของธนาคารผู้เสียหาย มีหน้าที่รับจ่ายเงินสดแทนผู้เสียหาย จำเลยมีอำนาจยึดถือเงินสดของผู้เสียหายไว้เพียงชั่วระยะเวลาทำการพฤติการณ์เช่นนี้ เป็นการที่จำเลยยึดถือเงินสดเพื่อผู้เสียหาย ผู้เสียหายหาได้ส่งมอบเงินสดให้อยู่ในความครอบครองของจำเลยไม่ เมื่อจำเลยเอาเงินสดนั้นไปเป็นของตนโดยไม่มีสิทธิ อันเป็นการทุจริต จำเลยจึงมีความผิดฐานลักทรัพย์นายจ้างตาม ป.อ.มาตรา 335 (11)
    .
    .
    .
    คำพิพากษาศาลฎีกาที่ 6178/2541
    .
    จำเลยอุทธรณ์ว่า ศาลชั้นต้นไม่มีอำนาจแก้ไขเปลี่ยนแปลงโทษจำคุกจำเลยที่ได้อ่านคำพิพากษาในครั้งแรกให้จำคุกจำเลยคนละ 2 ปี มาเป็นจำคุกคนละ 6 ปีเพราะเป็นการเพิ่มโทษจำเลยโดยไม่มีกฎหมายบัญญัติให้ทำได้ เป็นการแก้ไขคำพิพากษาโดยไม่ถูกต้องตามกฎหมายและเป็นกระบวนพิจารณาอันเป็นการขัดต่อความสงบเรียบร้อย เมื่อปรากฏตามคำพิพากษาศาลอุทธรณ์ว่าศาลอุทธรณ์ยังไม่ได้วินิจฉัยข้ออุทธรณ์ดังกล่าวให้ ดังนี้การที่ศาลอุทธรณ์ยังมิได้วินิจฉัยปัญหาข้อกฎหมายตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าว ซึ่งเป็นอุทธรณ์ที่มิได้ต้องห้ามตามกฎหมายคำพิพากษาศาลอุทธรณ์จึงไม่ชอบด้วยประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 186(6)ประกอบมาตรา 215 ศาลฎีกาเห็นสมควรวินิจฉัยปัญหาตามอุทธรณ์ของจำเลยดังกล่าวโดยไม่ย้อนสำนวนไปให้ศาลอุทธรณ์วินิจฉัยตามประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความแพ่งมาตรา 243(1) และมาตรา 247 ประกอบประมวลกฎหมายวิธีพิจารณาความอาญา มาตรา 15 โจทก์ฟ้องขอให้ลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5ในความผิดฐานร่วมกันลักทรัพย์นายจ้างรวม 3 กรรมต่างกันโดยระบุในคำฟ้องข้อ 1 ก. ข้อ 1 ข. และข้อ 1 ค.สำหรับความผิดแต่ละกรรม ดังนี้คือ วันที่ 28 กรกฎาคม 2539เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันลักเอากุ้งแช่แข็งจำนวน 24 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 7,680 บาทของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนายจ้างไปโดยทุจริต วันที่ 8 สิงหาคม 2539 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ร่วมกันลักเอากุ้งแช่แข็งจำนวน 10 กิโลกรัม คิดเป็นเงิน 3,250 บาท ของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนายจ้าง ไปโดยทุจริต และวันที่ 14 สิงหาคม 2539 เวลากลางวัน จำเลยที่ 1 ที่ 4และที่ 5 ร่วมกันลักเอากุ้งแช่แข็งจำนวน 12 กิโลกรัม ปลาหมึกหอมจำนวน 25 กิโลกรัม และเนื้ออกไก่จำนวน 6 กิโลกรัม คิดเป็นเงินรวม 7,882 บาทของโจทก์ร่วมซึ่งเป็นนายจ้างไปโดยทุจริต จำเลยที่ 1ที่ 4 และที่ 5 ให้การรับสารภาพตามฟ้อง ดังนี้เท่ากับจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 รับว่าได้กระทำความผิดทั้งสามกรรมดังกล่าวจริง ศาลชั้นต้นย่อมมีอำนาจพิพากษาลงโทษจำเลยที่ 1 ที่ 4 และที่ 5 ทั้ง 3 กรรมเป็นกระทงความผิดไปได้ ตามประมวลกฎหมายอาญา มาตรา 91 จำเลยฎีกา และศาลฎีกาเห็นว่า การกระทำความผิดฐานลักทรัพย์ทั้งสามกรรมตามฟ้อง ทรัพย์ที่จำเลยลักไปมีราคา เป็นเงิน 7,680 บาท 3,250 บาทและ 7,882 บาทซึ่งล่างทั้งสองพิพากษายืนโดยใช้ดุลพินิจลงโทษจำคุกจำเลย เท่ากันทุกกระทงความผิดอันเป็นโทษที่หนักเกินไปและไม่เหมาะสมกับสภาพความร้ายแรงแห่งการกระทำความผิดในแต่ละกรรม ศาลฎีกาย่อมมีอำนาจกำหนดโทษที่จะลงแก่จำเลย ให้เหมาะสมแก่สภาพความร้ายแรงแห่งการกระทำความผิดแต่ละกระทงตามที่โจทก์บรรยายในคำฟ้องได้
    .
    .
    .
    มีปัญหาคดีความปรึกษาทีมงานทนายกฤษดาโทร 089-142-7773 ไลน์ไอดี @Lawyers.in.th
    .
    ที่มา https://www.lawyers.in.th/2019/10/1...XlKDoBM8zE-op1TNUpJUET2PxPXONw7pqLM2fx-jjFpcw
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เรียนญาติธรรมทุกท่าน

    .

    ขอประกาศข่าวบุญด่วน เปิดให้ร่วมบุญภายใน 1 วัน คือวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ เวลา 16.00 น.ค่ะ

    (รับร่วมทำบุญไม่เกินเวลา 16.00 น.ของวันนี้)

    .

    ในระหว่างวันที่ 5-7 พย. ศกนี้ พระอาจารย์นิล จะเดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาอธิปไตยของชาติ และ ทอดกฐิน 9 วัด โดยในปีนี้ จะเป็นวัดในอำเภอต่างๆของจังหวัดนราธิวาส

    .

    เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่ ทำให้การประสานงานเป็นไปแบบเร่งด่วนโดยได้นิมนต์พระสงฆ์จากวัดในอำเภอต่างๆ ของจังหวัดนราธิวาส ที่ยังไม่ได้รับกฐิน มารวมกัน ณ วัดประชุมชลธารา อ.สุไหงปาดี

    .

    .------------------------------------

    .

    ท่านที่ประสงค์ จะร่วมบุญกฐิน 9 วัด

    สามารถโอนปัจจัยร่วมทำบุญได้ที่

    พิชญ์สินี ชาญปรีชญา

    บัญชีเลขที่ 177-229-7638 ธ.ไทยพาณิชย์

    .

    .------------------------------------

    .

    ภาพเก่าเล่าเรื่อง ปี พศ .2561 เมื่อครั้งพระอาจารย์นิลนำคณะทอดกฐินที่ จ.ยะลาและทอดผ้าป่ายุทโธปกรณ์ให้ ตชด.ที่ค่ายรามคำแหง จ.สงขลา
    .
    .
    ./////////////////////////////////////////////////////
    .
    .
    ผมนำเงินที่ร่วมทำบุญบรรจุพระวังหน้า ทั้งสองแห่ง
    และเงินของหลายๆท่านที่โอนเงินมาให้ผม ที่ให้ผมทำบุญให้
    และเงินของผมเอง

    ร่วมทำบุญงานกฐินตกค้างภาคใต้ ปี 2562

    รวมจำนวน 2,500 บาท

    ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ

    มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    7 พฤศจิกายน 2562

    @ วัดประชุมชลธารา อ.สุไหงปาดี จ.นราธิวาส

    .

    ขอน้อมนำบุญทอดกฐิน ภาคใต้ 9 วัดอันสำเร็จดียิ่งแล้วมาฝากญาติธรรมทุกๆท่านค่ะ

    .

    พระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธัมโม เป็นประธานและเป็นผู้แทนของพุทธบริษัททั้งหลาย นำผ้าไตรกฐิน พร้อมปัจจัยบริวาร น้อมถวายแด่พระภิกษุสงฆ์ จาก 9 วัด ในอำเภอต่างๆของ จ.นราธิวาส ซึ่งยังไม่ได้รับผ้าไตรกฐินประจำปีนี้

    ถือเป็นกฐินตกค้าง ซึ่งมีอานิสงส์แก่พระภิกษุสงฆ์ที่จำพรรษาครบถ้วนไตรมาส และ เป็นมหากุศลยิ่งแก่ผู้ที่ได้ร่วมบุญในครั้งนี้

    .

    ท่านพระเทพศีลวิสุทธิ์ เจ้าคณะจังหวัดนราธิวาส เป็นประธานสงฆ์ รับผ้ากฐินตกค้าง พร้อมด้วยเจ้าอาวาส ที่รับนิมนต์มาเพื่อการนี้

    .

    สรุปภารกิจเพื่อการสงเคราะห์ ผู้ทำหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของแผ่นดิน

    .

    วันที่ 5-6 พฤศจิกายน 2562

    .

    @นราธิวาส

    @ยะลา

    @ปัตตานี

    .

    กรมทหารพรานที่41

    อ.รามัน จ.ยะลา

    .

    กรมทหารพรานที่42

    อ.ปะนาเระ จ.ปัตตานี

    .

    กรมทหารพรานที่43

    อ.หนองจิก จ.ปัตตานี

    .

    กรมทหารพรานที่ 45

    อ.ระแงะ จ.นราธิวาส

    .

    กรมทหารพรานที่ 49

    อ.ศรีสาคร จ.นราธิวาส

    .

    .

    ยอดวัตถุมงคลคุ้มครองป้องกันภัย ที่พระอาจารย์นิล ได้นำแจกแก่ พระภิกษุสงฆ์ และผู้ปฏิบัติหน้าที่ปกป้องอธิปไตยของแผ่นดิน รวมทั้งสิ้น 3,600 ชุด

    (ผ้ายันต์ครอบจักรวาลและตะกรุด)

    .

    ******************************************

    .

    จากที่พี่แอ๊ว แจ้งข่าวงานบุญมาให้ทราบ

    .

    กฐินภาคใต้ ปี 2562

    .

    เรียนญาติธรรมทุกท่าน

    .

    ขอประกาศข่าวบุญด่วน เปิดให้ร่วมบุญภายใน 1 วัน คือวันที่ 4 พฤศจิกายนนี้ เวลา 16.00 น.ค่ะ

    .

    (รับร่วมทำบุญไม่เกินเวลา 16.00 น.ของวันนี้)

    .

    ในระหว่างวันที่ 5-7 พย. ศกนี้ พระอาจารย์นิล จะเดินทางลงพื้นที่ 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ เพื่อสงเคราะห์ผู้ปฏิบัติหน้าที่ในการดูแลรักษาอธิปไตยของชาติ และ ทอดกฐิน 9 วัด โดยในปีนี้ จะเป็นวัดในอำเภอต่างๆของจังหวัดนราธิวาส

    .

    เนื่องจากสถานการณ์ในพื้นที่ ทำให้การประสานงานเป็นไปแบบเร่งด่วนโดยได้นิมนต์พระสงฆ์จากวัดในอำเภอต่างๆ ของจังหวัดนราธิวาส ที่ยังไม่ได้รับกฐิน มารวมกัน ณ วัดประชุมชลธารา อ.สุไหงปาดี

    .

    ขอบคุณพี่แอ๊วที่แจ้งมาให้ทราบ ครับ

    .

    ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ

    .

    มาโมทนาบุญร่วมกัน

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • 01  5-11-62.jpg
      01 5-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      364.5 KB
      เปิดดู:
      221
    • 02  5-11-62.jpg
      02 5-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      126.8 KB
      เปิดดู:
      140
    • 03  5-11-62.jpg
      03 5-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      209.7 KB
      เปิดดู:
      141
    • 04  5-11-62.jpg
      04 5-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      186.6 KB
      เปิดดู:
      239
    • 05  5-11-62.jpg
      05 5-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      288.1 KB
      เปิดดู:
      229
    • 06  5-11-62.jpg
      06 5-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      260.8 KB
      เปิดดู:
      222
    • 07  5-11-62.jpg
      07 5-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      208.8 KB
      เปิดดู:
      265
    • 08  5-11-62.jpg
      08 5-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      257.6 KB
      เปิดดู:
      247
    • 10  7-11-62.jpg
      10 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      321.2 KB
      เปิดดู:
      238
    • 11  7-11-62.jpg
      11 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      282.4 KB
      เปิดดู:
      172
    • 12  7-11-62.jpg
      12 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      266.6 KB
      เปิดดู:
      157
    • 13  7-11-62.jpg
      13 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      220.4 KB
      เปิดดู:
      156
    • 14  7-11-62.jpg
      14 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      263.8 KB
      เปิดดู:
      148
    • 15  7-11-62.jpg
      15 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      254.6 KB
      เปิดดู:
      218
    • 16  7-11-62.jpg
      16 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      142.6 KB
      เปิดดู:
      242
    • 17  7-11-62.jpg
      17 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      85.6 KB
      เปิดดู:
      236
    • 18  7-11-62.jpg
      18 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      245.6 KB
      เปิดดู:
      256
    • 19  7-11-62.jpg
      19 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      216.3 KB
      เปิดดู:
      179
    • 20  7-11-62.jpg
      20 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      192.7 KB
      เปิดดู:
      176
    • 21  7-11-62.jpg
      21 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      193.2 KB
      เปิดดู:
      251
    • 22  7-11-62.jpg
      22 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      195.7 KB
      เปิดดู:
      129
    • 23  7-11-62.jpg
      23 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      224.1 KB
      เปิดดู:
      158
    • 24  7-11-62.jpg
      24 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      189.3 KB
      เปิดดู:
      175
    • 25  7-11-62.jpg
      25 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      224.7 KB
      เปิดดู:
      246
    • 26  7-11-62.jpg
      26 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      153 KB
      เปิดดู:
      134
    • 27  7-11-62.jpg
      27 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      152.3 KB
      เปิดดู:
      253
    • 28  7-11-62.jpg
      28 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      155.4 KB
      เปิดดู:
      230
    • 29  7-11-62.jpg
      29 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      167.1 KB
      เปิดดู:
      237
    • 30  7-11-62.jpg
      30 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      164.1 KB
      เปิดดู:
      232
    • 31  7-11-62.jpg
      31 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      147.6 KB
      เปิดดู:
      230
    • 32  7-11-62.jpg
      32 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      197.2 KB
      เปิดดู:
      240
    • 33  7-11-62.jpg
      33 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      189.6 KB
      เปิดดู:
      226
    • 34  7-11-62.jpg
      34 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      187.4 KB
      เปิดดู:
      239
    • 35  7-11-62.jpg
      35 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      172.4 KB
      เปิดดู:
      249
    • 36  7-11-62.jpg
      36 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      175.6 KB
      เปิดดู:
      183
    • 37  7-11-62.jpg
      37 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      177.1 KB
      เปิดดู:
      215
    • 38  7-11-62.jpg
      38 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      196.6 KB
      เปิดดู:
      263
    • 39  7-11-62.jpg
      39 7-11-62.jpg
      ขนาดไฟล์:
      265.1 KB
      เปิดดู:
      237
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ต้องเตรียมตัวกันไว้ก่อน

    ยังต้องปรับตัวเองให้มากที่สุด

    ศึกษาในเรื่องต่างๆให้เยอะมากที่สุด

    จะได้ไม่เจ็บตัวเยอะ ครับ

    เพิ่มเติม

    อย่าใช้จ่ายฟุ้มเฟือย

    เรียนรู้เรื่องการลงทุนประเภทต่างๆ ให้มากๆด้วย

    *********************************************

    บทความของ ดร.วชิรศักดิ์ จึงสถาพร

    เตรียมตัวกันยัง?
    ปีหน้าชัดเจนขึ้นแน่นอน

    2G ทำให้
    โทรเลขเลิกใช้ถาวร

    3G มา Email
    ก็มาแทนจดหมาย
    โทรศัพท์บ้านหดหาย...

    4G E- book มา
    ธุรกิจสื่อสิ่งพิมพ์ร่วง!

    E- commerce
    จะทำให้ห้างสรรพสินค้าพัง!

    E- Banking ธนาคารจะปิดสาขาเกิน 50%

    Operation
    กำลังจะตกงานอีกมาก

    5G จะมาปี 2020
    มาพร้อม Fintech , Blockchain,
    และ Digital Business
    and Robotic

    Download หนังยาว 2 ชั่วโมง ไม่เกิน 2 นาที

    E-Learning
    ถล่มมหาวิทยาลัยแน่นอน!

    Logistic มีแต่ Robot

    คำถาม
    แล้วคนจะทำงานอะไร?
    คำตอบ:
    ทุกคนจะเป็นนายตัวเอง
    ผลิตสินค้าหรือขายบริการ
    แบบ freelance ....

    มีพนักงานเท่าที่จำเป็น
    เพราะทุกอย่าง
    จะ run บน internet
    และระบบ automation

    จะเกิดอาชีพใหม่ๆ
    สินค้าใหม่ๆ มากขึ้น
    และทุกคนจะซื้อขายกัน
    ภายใต้ระบบblockchain
    โดยไม่ต้องผ่านธนาคาร
    อีกต่อไป ....

    ดังนั้น ทุกคนต้องหาตัวเองให้เจอ แล้วทำในสิ่งที่รักที่ชอบให้ดีที่สุด !
    เสาะหาความรู้เรื่อง technology เพราะเราเราต้องอยู่กับมัน !
    เรียนรู้การทำธุรกิจออนไลน์
    รู้ภาษาอังกฤษ, ภาษาจีน
    เพื่อเปิดโลกทรรศน์...
    และอย่าลืมดูแลร่างกายและจิตใจของเราด้วย เพราะมันคือ

    ต้นทุนอันประเมินค่าไม่ได้!

    ผู้เขียน : ดร.วชิรศักดิ์ จึงสถาพร
     

แชร์หน้านี้

Loading...