พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. Rei123

    Rei123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +266
    มีความเกี่ยวข้องแน่นอนครับ
    คนในพื้นที่เห็นกับตา ครับ
    เรื่องนี้เป็นเรื่องปัจจตัง ไม่สมควรพูดไปโทษทีจร้า
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เท่าที่ศึกษามา 10 กว่าปี ไม่พบว่า เกี่ยวข้อง

    ทั้งที่ได้ตรวจสอบกับผู้ทรงญาณหลายๆท่าน ไม่ว่าจะเป็นพระภิกษุ หรือ ฆารวาส ครับ
    ผมเองเคยสอบถามมาหลายครั้งแล้วครับ
    ผมการันตีได้ ผมไม่กล้าที่จะมุสาวาท ในเรื่องเหล่านี้


    แต่ท่านจะเชื่ออย่างไร เป็นสิทธิของท่านเอง
     
  3. Rei123

    Rei123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +266
    ครับ
    แล้วพอทราบจากครูบาอาจารย์ไหมครับ
    ปู่ใหญ่ที่ถือไม้เท้า ปู่น้อยถือแซ้ คนที่วัดเห็นกันท่านคือใครครับ
    ท่านพอทราบไหมครับ
     
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ไม่ทราบครับ ผมไม่เคยไปที่วัด

    ยังมีอีกหลายๆที่ ที่บอกว่า เป็นสถานที่ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร ไปอยู่
    หรือไปบ่อยๆ

    ผมไปมา ก็ไม่เห็นมีอะไร แถมมีรูปที่ไม่ควรมี ณ สถานที่นั้นๆด้วย
    ขออนุญาตไม่แจ้งว่า รูปที่ว่า คือรูปอะไร

    ไม่อยากยุ่งมาก ปล่อยให้เป็นกรรมของแต่ละบุคคลไป

    ใครทำอะไร ต้องได้เช่นนั้น
    ยิ่งในปัจจุบัน เรื่องมุสาวาท ทำได้ง่ายและเร็ว ที่สำคัญ โอกาสที่จะแก้ไข ทำไม่ได้เลยครับ
    เพราะคนอ่าน ก็จะส่งต่อกันไปเรื่อยๆ ผู้ที่ส่งคนแรก หากจะแก้ไข จากหนักเป็นเบา ต้องไปแก้ไขกับผู้อ่านทุกคน (ไม่เว้นคนที่ได้รับการส่งต่อมา) ซึ่งผู้ส่งคนแรกเอง ก็ไม่สามารถไปแก้ไขข้อมูลที่ถูกต้องได้

    องค์หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า (หรือ หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรือ หลวงพ่อกบ วัดเขาสาริกา) ท่านถือไม้เท้า ในสมัยรัชกาลที่ 4 หลวงปู่ฯท่านเคยไปที่วังหน้า มีผู้ถวายไม้เท้าให้หลวงปู่ฯ ไม้เท้าอันนั้น ปัจจุบันอยู่ที่บ้านผม

    ส่วนที่มีแจ้งว่า ถือแซ่ เรื่องนี้ไม่ทราบครับ
     
  5. Rei123

    Rei123 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2013
    โพสต์:
    332
    ค่าพลัง:
    +266
    ไม่น่าละ ทำไมเขาถึงบอกว่า เรื่องบางเรื่องไม่ควรเอามาพูด จะไม่ดีทั้ง 2 ฝ่าย
    สาธุครับ
     
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เรียน ทุกท่าน

    เริ่มตั้งแต่วันเสาร์ที่ 29 กรกฎาคม 2560

    รูปองค์หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรที่มีอักขระ ทั้งสองรูปที่ผมลงให้ดูในวันนี้
    เดิมเมื่อก่อนนี้ ผมเคยนำไปลงกระทู้พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... เว็บไซด์พลังจิต ซึ่งแจ้งไว้ว่า รูปที่ลง ผม สงวนลิขสิทธิ์ แต่ไม่ได้ระบุรายละเอียดอื่นๆ

    ผมขอแจ้งเพิ่มเติมในวันนี้ และนับตั้งแต่เวลาที่ลงไปนี้

    รูปหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า ที่มีอักขระ ทั้งสองรูป
    หากมีการนำไปลงที่ใด ผมขอผู้ที่นำไปลง ให้ระบุที่มาของรูปทุกครั้ง
    เพราะรูปจริงๆทั้งสองรูปที่มีการเขียนอักขระ อยู่ที่บ้านผม

    ให้ลงที่มาตามนี้

    ที่มา Sithiphong ชมรมพระวังหน้า
    เฟสฯหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร & พระวังหน้า
    กระทู้ พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้..... เว็บไซด์พลังจิต


    หากไม่ได้ระบุที่มา ผมถือว่าเป็นการลักทรัพย์

    ในกรณีที่ลักทรัพย์ ผมคิดค่าเสียหายครั้งละ 1 ล้านบาท โดยคิดดอกเบี้ย 5%ต่อปี จนกว่าจะมีการชำระหนี้ค่าเสียหายเสร็จ และค่าเงินในอนาคต หากมีการเปลี่ยนแปลงไป ให้คิดตามค่าเงินในอนาคตนั้นๆและเปรียบเทียบกับค่าเงินในปัจจุบัน (เช่นค่าเงินในปัจจุบัน 2 ล้านบาท ต่อมาอีก 20 ปี ค่าเงินใน 20 ปีข้างหน้าค่าเงินอาจจะเป็น 10 ล้าน ก็ให้ใช้ค่าเงินที่เป็นจำนวน 10 ล้าน)

    ค่าเสียหายนี้ ผมขอแบ่งเป็น 4 ส่วน
    ส่วนที่ 1 และ ส่วนที่ 2 ให้ชำระหนี้ให้กับศาสนาพุทธ ไม่ว่าในอนาคตจะเรีย กชื่ออย่างไร

    ส่วนที่ 3 ให้ชำระหนี้ให้กับศาสนาคริสต์ (ทำประโยชน์ทุกอย่างในศาสนาคริสต์)

    ส่วนที่ 4 ให้ชำระหนี้ให้กับศาสนาอิสลาม (ทำประโยชน์ทุกอย่างในศาสนาอิสลาม)

    ขอบรมพุทธานุญาต องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ , พระมหาโพธิสัตว์และพระโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ , องค์เทพเทวาทั้ง 16 ชั้นฟ้า 15 ชั้นดินทั้วโลก , องค์พยามัจจุราชเจ้า , นายนิริยบาลทั้ง 8 ท่าน , ท่านยมทูตทุกๆท่าน , พระแม่ธรณี , พระแม่คงคา , พระแม่โพสพ , พระเยซู (และหรือพระคริสต์) , พระเป็นเจ้า (อัลลอฮฺ)(และหรือ)เตาฮีต ได้โปรดมาเป็นสักขีพยานในการแจ้งสิทธิและเจตนาในเรื่องของรูปองค์หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า(เรื่องด้านบนนี้) ด้วยเทอญ
    สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ สาธุ

    lokudon 3-2.jpg lokudon 3-3.jpg
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    บุรพกรรมของพระพุทธเจ้า 12 ข้อ ตอน9 (การปวดศีรษะ)

    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้าที่ 231

    ปัญหาข้อที่ ๙ มีวินิจฉัยต่อไปนี้.

    อาพาธที่ศีรษะ คือเวทนาที่ศีรษะ ชื่อว่า สีสทุกขะ ทุกข์ที่ศีรษะ.
    ได้ยินว่า ในอดีตกาล พระโพธิสัตว์บังเกิดเป็นชาวประมง ในหมู่บ้าน
    ชาวประมง. วันหนึ่ง พระโพธิสัตว์นั้นกับพวกบุรุษชาวประมง ไปยัง
    ที่ที่ฆ่าปลา เห็นปลาทั้งหลายตาย ได้ทำโสมนัสให้เกิดขึ้นในข้อที่ปลาตาย
    นั้น แม้บุรุษชาวประมงที่ไปด้วยกัน ก็ทำความโสมนัสให้เกิดขึ้นอย่างนั้น
    เหมือนกัน. ด้วยอกุศลกรรมนั้น พระโพธิสัตว์ได้เสวยทุกข์ในอบายทั้ง ๔
    ในอัตภาพหลังสุดนี้ ได้บังเกิดขึ้นตระกูลศากยราช พร้อมกับบุรุษเหล่านั้น
    แม้จะได้บรรลุความเป็นพระพุทธเจ้าโดยลำดับแล้ว ก็ยังได้เสวยความ
    เจ็บป่วยที่ศีรษะด้วยตนเอง และเจ้าศากยะเหล่านั้น ถึงความพินาศกันหมด
    ในสงความของเจ้าวิฑูฑภะ

    โดยนัยดังกล่าวไว้ในอรรถกถาธรรมบท. ด้วย
    เหตุนั้น ท่านจึงกล่าวว่า
    เราเป็นลูกชาวประมงในหมู่บ้านชาวประมง เห็นปลา
    ทั้งหลายถูกฆ่า ได้ยังความโสมนัสดีใจให้เกิดขึ้น.

    เพราะวิบากของกรรมนั้น ความทุกข์ที่ศีรษะได้มีแก่เรา
    แล้ว ในคราวที่เจ้าวิฑูฑภะฆ่าสัตว์ทั้งหมด (คือเจ้าศากยะ)
    แล้ว.

    พระสุตตันตปิฎก ขุททกนิกาย อปทาน เล่ม ๘ ภาค ๑ - หน้าที่ 232
    https://www.facebook.com/dhamma.tru...0oWwyzhXfQg7wJesauodfb1FuSFeh1l_3Jhlc&fref=nf

    --------------------------------------------

    เป็นเรื่องเตือนใจกันว่า อย่าสร้างกรรมกัน

    เพียงแค่ "ดีใจ ในการสร้างกรรม"

    ยังต้องไปชดใช้กรรม

    ถึงแม้ว่า เป็นองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า แล้วก็ตาม

    .
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    25 ความเปลี่ยนแปลงของชีวิต ที่เราควรเรียนรู้จากพระพุทธเจ้า
    http://yakultza.com/change-of-life/

    1. ความรัก รักษาทุกสิ่ง
    ความเกลียดชังไม่อาจสิ้นสุดได้ด้วยความเกลียดชัง แต่สิ้นสุดได้ด้วยความรักอันเป็นกฎชั่วนิรันดร์

    2. สิ่งที่คุณทำ อธิบายตัวตนได้ดีกว่าสิ่งที่คุณพูด
    คนเราจะไม่ถูกยกย่องว่าเป็นผู้มีปัญญาเพราะพูดเยอะ แต่ถ้าเขามีความสงบ มีความรัก และไม่มีความหวาดกลัว เขาผู้นั้นก็สมควรถูกเรียกว่าเป็นผู้มีปัญญา สุนัขจะไม่ถูกพิจารณาว่าเป็นสุนัขที่ดี เพียงเพราะเห่าเก่งดังนั้นเขาผู้นั้นก็จะไม่ถูกพิจารณาว่าเป็นคนดีเพราะพูดเก่งเช่นกัน

    3. เคล็ดลับการมีสุขภาพดีคือการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบัน
    อย่ามัวแต่คร่ำครวญถึงอดีต อย่ามั่วแต่ฝันถึงอนาคต จงเพ่งความคิดอยู่กับปัจจุบัน เคล็ดลับของสุขภาพทั้งกายและใจที่ดีคือการไม่นั่งโศกเศร้ากับอดีต หรือกังวลเกี่ยวกับอนาคต แต่คือการใช้ชีวิตอยู่กับปัจจุบันอย่างมีสติและด้วยความตั้งใจจริง

    4. คนที่ตื่นรู้ คือคนที่เห็นตัวตนข้างใน
    หนทางไม่ได้อยู่บนท้องฟ้า แต่อยู่ในหัวใจของเรา

    5. คำพูดมีพลังในการรักษาและทำลาย
    คำพูดทั้งหลายมีพลังทั้งในการทำลายและการรักษา เมื่อคำพูดนั้นเป็นความจริงและอ่อนโยน ก็จะเปลี่ยนแปลงโลกของเราได้

    6. ปล่อยมันไป แล้วมันจะเป็นของคุณตลอดกาล
    คุณจะสูญเสียก็ต่อเมื่อคุณยึดติด

    7. ไม่มีใครเดินบนทางของคุณได้
    ไม่มีใครช่วยเราได้นอกจากตัวเรา ไม่มีใครสามารถและไม่มีใครที่อาจทำได้
    เราจึงต้องเดินไปตามทางของเราเอง

    8. การแบ่งปันไม่ทำให้ความสุขลดน้อยลง
    เทียนนับพันสามารถถูกจุดได้โดยเทียนเล่มเดียว และชีวิตของเทียนจะไม่มีวันสั้นลงความสุขไม่มีวันลดลงด้วยการแบ่งปัน

    9. จงมีน้ำใจกับทุกคน
    จงเลือกอ่อนโยนกับเด็ก เห็นใจกับคนมีอายุ มีน้ำใจกับคนที่ต้องดิ้นรน และอดทนกับคนที่อ่อนแอและผิดพลาดในชีวิตของเรา บางครั้งคุณอาจได้พบเจอกับสิ่งเหล่านี้ จงเห็นใจกับทุกคน ไม่ว่าจะคนรวยหรือคนจน ทุกคนก็ล้วนแล้วแต่ทุกข์ทรมานเหมือนกัน บางคนทุกข์มาก บางคนทุกข์น้อยจงสอนความจริง 3 สิ่งนี้กับทุกๆคน จิตใจที่กว้างขวาง คำพูดที่อ่อนโยน และชีวิตที่ช่วยเหลือและเห็นใจ คือสิ่งที่เปลี่ยนแปลงมนุษยธรรม

    10. อย่าเชื่อในทุกสิ่งที่ถูกบอกให้เชื่อ
    อย่าเชื่อสิ่งต่างๆโดยง่ายเพียงเพราะคุณได้ยินมา เพราะคำพูดและข่าวลือเหล่านั้นถูกส่งต่อมาโดยคนมากมาย อย่าเชื่อสิ่งต่างๆโดยง่ายเพียงเพราะคุณค้นพบมันในหนังสือโดยทั่วไป อย่าเชื่อในสิ่งที่ครูหรือคนเฒ่าคนแก่บอกมาเพียงเท่านั้น อย่าเชื่อในประเพณี เพราะมันถูกสืบทอดต่อมาจากคนหลายรุ่นแต่จงเชื่อจากการสังเกตและวิเคราะห์ เมื่อคุณค้นพบสิ่งที่สมเหตุสมผล ซึ่งนำไปสู่สิ่งที่ดี และประโยชน์กับผู้คน ค่อยยอมรับมันและใช้ชีวิตไปตามข้อเท็จจริงนั้น

    11. สิ่งที่คิดสามารถเป็นจริงได้
    สิ่งที่เราเป็นคือผลลัพท์ของความคิด ซึ้งค้นพบในความคิดและถูกสร้างขึ้นโดยความคิดของเรา ถ้าเราพูดหรือแสดงออกด้วยความคิดร้ายๆ ความทุกข์ทรมานก็จะติดตามไปเหมือนกับวงล้อที่หมุนตามเท้าของสัตว์ที่ลากรถ แต่ถ้าเราพูดหรือแสดงออกด้วยความคิดดีๆ ความสุขก็จะติดตามไปเหมือนเงาที่ไม่เคยจางหายไป

    12. ปลดปล่อยความกลัว
    ความลับของการมีชีวิตอยู่คือการไม่หวาดกลัว อย่ากลัวในสิ่งที่คุณจะกลายเป็น อย่าใช้ชีวิตขึ้นอยู่กับใคร มีแค่ช่วงเวลาที่คุณปฎิเสธเท่านั้นที่จะช่วยให้คุณเป็นอิสระ

    13. ความจริงจะเปิดเผยตัวเองเสมอ
    3 สิ่งที่ไม่สามารถหลบไว้ได้นานคือ ดวงอาทิตย์ ดวงจันทร์ และความจริง

    14. ควบคุมความคิด ไม่เช่นนั้นความคิดจะควบคุมคุณ
    ความสุขของการมีสุขภาพดีนั้นนำพาความสุขมาสู่ครอบครัว เพื่อจะนำความสงบสุขมาให้ทุกคน คุณต้องฝึกฝนและควบคุมความคิดให้ได้ ถ้าเราสามารถควบคุมความคิดได้เราก็จะพบหนทางแห่งความรู้แจ้ง ปัญญาและคุณธรรมจะมาหาเราเองโดยธรรมชาติสิ่งที่จะพาเราไปสู่หนทางแห่งความชั่วร้าย คือความคิดของเราเอง ไม่ใช่ศัตรูที่ไหน

    15. จงสงสัยในความแตกแยก และเชื่อในความเป็นหนึ่งเดียว
    ไม่มีอะไรที่น่ากลัวไปกว่านิสัยแห่งความสงสัย ความสงสัยแยกผู้คนออกจากกัน ความสงสัยคือยาพิษที่ทำลายมิตรภาพ และทำลายความพึงพอใจในความสัมพันธ์ เป็นขวากหนามที่รบกวนและสร้างความเจ็บปวด และเป็นดาบที่ปลิดชีวิต

    16. ไม่มีใครสมควรได้รับความรักจากคุณ มากกว่าตัวคุณเอง
    ไม่ว่าคุณจะค้นหาคนที่สมควรได้รับความรักและความพึงพอใจจากคุณมากกว่าตัวคุณเอง ผ่านไปอีกกี่จักรวาล คุณก็จะไม่พบคนๆ นั้นอยู่ดี ตัวคุณคือคนเดียวในจักรวาลนี้เท่านั้นที่สมควรได้รับความรักและความพึงพอใจจากตัวคุณเอง

    17. การรู้จักผู้อื่นคือปัญญา การรู้จักตัวเองคือการรู้แจ้ง
    การชนะตัวเองนั้นดีกว่าชนะศึกนับพัน เพราะชัยชนะนั้นจะเป็นของคุณเอง ไม่มีใครพรากมันไปได้ ไม่ว่าจะนางฟ้าหรือซาตาน สวรรค์หรือนรก

    18. จิตวิญญาณไม่ใช่ความฟุ่มเฟือย แต่คือสิ่งจำเป็น
    เทียนไขไม่อาจจุดได้โดยไม่มีไฟ คนเราก็ไม่อาจใช้ชีวิตอยู่ได้หากไร้จิตวิญญาณ

    19. แทนความอิจฉาด้วยความชื่นชม
    อย่าอิจฉาคุณค่าอันดีงามของผู้อื่น แต่จงชื่นชนและรับสิ่งดีๆนั้นมาสู่ตนเอง

    20. มองหาความสงบภายในตัวเอง
    ความสงบที่แท้จริงนั้นมาจากภายใน อย่าค้นหาโดยปราศจากมัน

    21. ปล่อยวางการยึดติด
    เพื่อใช้ชีวิตอย่างไม่เห็นแก่ตัว เราต้องไม่นับอะไรเป็นของเราเลย แม้จะอยู่ท่ามกลางความอุดมสมบูรณ์

    22. เลือกคบเพื่อนอย่างชาญฉลาด
    เพื่อนที่ไม่จริงใจ หรือเพื่อนที่ร้ายกาจนั้นน่ากลัวกว่าสัตว์ป่าเสียอีก สัตว์ป่าอาจทำร้ายร่างกายของคุณ แต่เพื่อนที่ร้ายกาจจะทำร้ายจิตใจของคุณ

    23. หนทางไปสู่ความสุขไม่มีจริง
    ความสุขต่างหากคือเส้นทาง ไม่มีทางเดินไปสู่ความสุข ความสุขคือทางเดิน

    24. เลิกแบ่งแยก
    บนท้องฟ้าไม่มีความแตกต่างระหว่างตะวันออกหรือตะวันตก ผู้คนสร้างความแตกต่างให้กับความคิด และเชื่อว่าสิ่งเหล่านั้นเป็นจริง

    25. ความรัก ชีวิต และการปล่อยวาง
    ในท้ายที่สุดแล้ว สิ่งที่สำคัญที่สุด คือคุณสามารถรักได้ดีแค่ไหน คุณใช้ชีวิตได้เต็มที่แค่ไหน คุณปล่อยวางได้มากแค่ไหน

    สำหรับคุณแล้ว ข้อไหนคือคำตอบที่ใช่สำหรับ และบทเรียนไหนที่คุณได้เรียนรู้บ้าง…

    แหล่งที่มา : http://variety.teenee.com
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    บทเรียนจากการเป็นหนี้บัตรเครดิต

    11th August 2017 หนี้บัตรเครดิต
    https://moneyhub.in.th/article/credit-card-debt-effect/


    เชื่อว่าสถานการณ์ของคนอีกเป็นจำนวนมากที่หลงใช้บัตรเครดิตกันอย่างฟุ่มเฟือยไร้วินัยและขาดการจัดระบบระเบียบก็คงไม่แตกต่างกันนัก นั่นก็คือการลงเอยด้วยการเป็นหนี้บัตรเครดิตจนหนี้ท่วมและต้องติด แบล็คลิส รวมถึงเครดิตบูโรในที่สุด แต่สิ่งที่กระทบมากไปยิ่งกว่าการกลายเป็นคนไร้เครดิตไม่น่าเชื่อถือก็คือ การที่ต้องล้มเหลวในชีวิตส่วนตัวหลาย ๆ ด้านและพบกับอุปสรรคในการใช้ชีวิตอีกมาก ผลเสียจากบัตรเครดิตที่กระทบต่อชีวิตที่ได้รวบรวมมาให้เห็นชัดเจนได้แก่




    1 ใช้เงินฟุ้งเฟ้อ

    ไม่ใช่ว่าทุกคนจะเหมาะกับการใช้บัตรเครดิต เพราะคนหลายคนไม่รู้จักการจัดสรรและวางระบบในการใช้จ่ายเงิน บัตรเครดิตจึงกลายเป็นจุดอ่อนที่ทำให้การใช้จ่ายเงินล้มเหลวเร็วขึ้น ด้วยความที่ใช้จ่ายและไม่ได้เห็นตัวเงินที่จ่ายผ่านมือไป ทำให้ไม่ได้ฉุกคิดหรือยังยั้งชั่งใจ คนที่ล้มเหลวและเป็นหนี้บัตรเครดิตส่วนใหญ่ใช้เงินโดยไม่ได้วางแผนไว้ล่วงหน้า ว่าจะจ่ายไปกับอะไรและจะหาเงินจากส่วนไหนมาจ่ายคืนทดแทน ถูกหลอกด้วยการคิดว่าเงินจำนวนนั้นในบัตรเครดิตเป็นสิทธิที่เจ้าของบัตรจะใช้ได้ แท้ที่จริงคือการเดินก้าวเข้าสู่การเป็นหนี้ก้อนโต เป็นการใช้เงินของคนอื่นไม่ใช่ของตนเอง และจำเป็นที่จะต้องชดใช้พร้อมดอกเบี้ยสูง





    2 ตกอยู่ในวงจรการผ่อนใช้หนี้

    เมื่อใช้เงินในบัตรเครดิตจนเต็มวงเงิน และทำบัตรเครดิตเพิ่มอีกเรื่อย ๆ ก็กลายเป็นหนี้ที่พอกพูนมากขึ้นเรื่อย ๆ การมีบัตรเครดิตหลาย ๆ ใบไม่มีผลดีใด ๆ เลย บัตรเครดิตนั้นมีได้ แต่ว่าควรจำกัดจำนวนและวงเงินทั้งหมด ส่วนใหญ่แล้วไม่ควรมีเกิน 2 ใบเว้นเสียจากว่าคุณเป็นคนที่มีระบบการจัดสรรเงินดีมาก ถือบัตรเครดิตหลาย ๆ ใบเพื่อใช้สิทธิพิเศษของบัตร และรูดบัตรในวงเงินที่สามารถชำระเต็มได้ในสิ้นเดือน คุณจะใช้บัตรเครดิตได้อย่างชาญฉลาดและคุ้มค่า สำหรับคนที่เป็นหนี้บัตรเครดิตเต็มวงเงินหลายใบ เหตุการณ์ที่เกิดขึ้นเหมือน ๆ กันหมดก็คือ การจ่ายเฉพาะขั้นต่ำของบัตรทุกใบและการกดเงินสดและรูดบัตรมาใช้วนไป ซึ่งมีแต่พอกพูนให้หนี้สินจากบัตรเครดิตเพิ่มขึ้นทุกวันไม่มีทางลด การผ่อนขำระหนี้ขั้นต่ำแทบไม่มีผลใด ๆ ตกอยู่ในวงจรเหมือนหนูติดจั่นที่วิ่งเหนื่อยอยู่ในวงล้ออย่างเหนื่อยเปล่าไม่ได้ประโยชน์อะไรเลย




    3 สูญเสียความน่าเชื่อถือและชื่อเสียงจากคนรอบข้าง

    สิ่งที่ตามมาก็คือเริ่มจ่ายหนี้บัตรเครดิตไม่ไหว จ่ายไม่ทันและไม่มีเงินพอจ่าย เกิดการทวงหนี้ทำให้เสียความน่าเชื่อถือในสังคม ที่ทำงาน คนรอบข้าง เสียภาพพจน์ ซึ่งสิ่งเหล่านี้เมื่อเสียไปแล้วก็เสียเลยไม่มีทางกู้กลับคืนมาได้




    4 ชีวิตขาดความสงบ สุขภาพจิตแย่

    เมื่อเกิดผลกระทบต่อชีวิตและสังคมก็ทำให้ขาดความสุขสงบในชีวิตไป และกระทบต่อสุขภาพจิตที่ย่ำแย่จากการทวงหนี้ จากสายตาและคำพูดคนรอบข้าง นอนไม่หลับ กลุ้มใจ ขาดอิสระในชีวิต สมองก็ไม่ปลอดโปร่งทำอะไรก็ไม่ราบรื่น





    5 กระทบต่อการงานและการดำรงชีวิต (ครอบครัวล่มสลาย)

    หลายครั้งที่การเป็นหนี้บัตรเครดิตและถูกทวงถามถึงที่ทำงาน ทำให้คนหลาย ๆ คนตัดสินใจลาออกเปลี่ยนงานเพราะทนแรงกดดันไม่ได้ ขาดเสถียรภาพและความมั่นคงในชีวิตไป เปลี่ยนงานไปเรื่อย กระทบต่อชีวิตครอบครัวเมื่อเกิดความเครียด ทะเลาะกับคู่สมรสคนในบ้าน พาลให้ระยะยาวชีวิตครอบครัวอาจจะล่มสลายได้ เพราะสำหรับครอบครัวแล้วปัญหาการเงินและภาวะอารมณ์มีผลกระทบเป็นอย่างมาก

    บทเรียนและข้อสรุปในการรับมือกับหนี้บัตรเครดิต

    จากการเป็นหนี้บัตรเครดิตและรายละเอียดที่ได้กล่าวถึงผลกระทบจากหนี้บัตรเครดิตนั้น มีบทเรียนที่นำมาฝากและข้อสรุปที่เป็นประโยชน์ก็คือ


    1 สำหรับผู้ที่ชีวิตยังไม่พังไปเพราะบัตรเครดิต และยังคงมีบัตรเครดิตใช้ควรหันกลับมาพิจารณาการใช้บัตรของเรา จัดระบบการใช้เงินเสียใหม่ พยายามหาเงินมาโปะบัตรให้หมดและใช้เมื่อจำเป็นต้องใช้จริง ๆ


    2 ถ้ายังคงจ่ายชำระขั้นต่ำอยู่ให้ชำระตรงเวลาและหารายได้หรือเงินมาโปะบัตรให้หมดทีละใบเริ่มจากใบที่มีดอกเบี้ยสูงสุดก่อน เมื่อชำระปิดบัตรแล้วให้หักบัตรทิ้ง เหลือไว้สัก 1-2 ใบก็พอ


    3 หากไม่สามารถจ่ายดอกเบี้ยขั้นต่ำได้ อย่าหนีหาย เปลี่ยนหรือปิดมือถือ บล็อกช่องทางการติดต่อ เพราะสิ่งเหล่านี้จะยิ่งทำให้เกิดความเดือดร้อนกับคุณมากกว่าเดิม ให้กล้าเผชิญหน้าเจ้าหน้าที่ พูดคุยและเจรจาต่อรองหาข้อตกลงให้ได้


    4 ต้องกล้ายอมรับความจริง เผชิญปัญหาด้วยสติไม่ใช้อารมณ์ความรู้สึก และอย่าเครียด ค่อย ๆ หาทางแก้ไขผ่อนหนักเป็นเบา และเริ่มต้นใหม่กับชีวิตให้ได้ โดยนำบทเรียนครั้งนี้มาเรียนรู้และปรับปรุง


    บัตรเครดิตก็เหมือนเหรียญสองด้านที่มีทั้งประโยชน์และโทษ การมีบัตรเครดิตไม่ใช่เรื่องไม่ดี แต่อาจจะต้องพิจารณาว่าเราเหมาะที่จะใช้บัตรหรือไม่ ก่อนที่จะสายเกินไปและก่อนที่เจ้าบัตรพลาสติกใบเล็ก ๆ จะทำลายความสุขและชีวิตของคุณไป ตราบใดที่ยังไม่พร้อมก็ไม่ควรทำมาใช้ หรือถ้าแก้ปัญหาล้างหนี้ได้เรียบร้อยก็ไม่ควรนำมาใช้ให้เป็นกับดักในชีวิตอีก


    จากกระทู้ https://pantip.com/topic/36673683
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    Vcommerce.co.th The e-Commerce Academy
    8 กันยายน เวลา 11:39 น. · g_kf1vXYV_O.png


    "ถ้าคุณไม่กล้าเปลี่ยนแปลง
    .
    ชีวิตคุณก็จะเหมือนเดิม
    .
    แต่ถ้าคุณลองลุยกับมันหน่อย
    .
    อย่างน้อยคุณก็ยังมี "ความหวัง"
    .
    Jack Ma
    ผู้ก่อตั้ง Alibaba
    .
    Subtitle by #Vcommerce

    https://www.facebook.com/Vcommerce.co.th/?hc_ref=ARS9WnkXMzdi4VxFvfK1vdSCaRCODzLzphB4g5SZMM6gMo7z8jGkPlxS7ZAR2oHLtz4&fref=nf
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    “ปัตตานุโมทนามัย”

    ที่มา

    “ปัตตานุโมทนามัย” นั้น เป็น บุญกิริยาวัตถุ กล่าวคือ การยินดี การพลอยอนุโมทนาบุญ ที่พึงทราบด้วยสามารถแห่งการอนุโมทนาส่วนบุญที่ผู้อื่นให้แล้ว หรือ อนุโมทนาบุญที่ผู้อื่นทำแล้วต่อใครๆก็ตามทั้งสิ้น ว่า "สาธุ (ดีแล้ว)"

    (ข้อความบางตอนจาก ...อรรถกถา ขุททกนิกาย อิติวุตตกะ ปุญญกิริยาวัตถุสูตร)

    บุญกิริยาวัตถุ มีความหมายในขอบเขตว่า หลักแห่งการทำบุญ หรือที่ตั้งแห่งการทำบุญ บุญกิริยาวัตถุ โดยย่อมี ๓ อย่าง คือ
    ๑. ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน
    ๒. สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา

    หมายความว่า วิธีหรือหลักแห่งการทำบุญในพระพุทธศาสนา เมื่อพูดโดยย่อแล้วมีเพียง ๓ อย่าง คือ ทาน ศีล และภาวนา
    แต่ถ้าขยายความให้กว้างออกไป บุญกิริยาวัตถุมี ๑๐ ประการ คือ
    ๑. ทานมัย บุญเกิดจากการให้ทาน
    ๒. สีลมัย บุญเกิดจากการรักษาศีล
    ๓. ภาวนามัย บุญเกิดจากการเจริญภาวนา
    ๔. อปจายนมัย บุญเกิดจากการอ่อนน้อมถ่อมตนต่อผู้ใหญ่
    ๕. เวยยาวัจจมัย บุญเกิดจากการขวนขวายในกิจที่ชอบ
    ๖. ปัตติทานมัย บุญเกิดจากการให้ส่วนบุญ
    ๗. ปัตตานุโมทนามัย บุญเกิดจากการอนุโมทนาส่วนบุญ
    ๘. ธัมมัสสวนมัย บุญเกิดจากการฟังธรรม
    ๙. ธัมมเทศนามัย บุญเกิดจากการแสดงธรรม
    ๑๐. ทิฏฐุชุกัมม์ การทำความเห็นให้ตรงกัน

    ดังนั้นการอนุโมทนาในส่วนบุญ ที่ผู้อื่นแบ่งให้ หรือพลอยยินดีด้วยในส่วนบุญที่ผู้อื่นกระทำไม่ว่ากับใครก็ตาม ชื่อว่า "ปัตตานุโมทนา" ซึ่งเป็นบุญกิริยาวัตถุในข้อ ๗ นั่นเอง ครับ

    การอนุโมทนาบุญที่มีผู้แบ่งให้

    คาถาธรรมบท พราหมณวรรค เรื่องพระโชติกะเถระ แสดงไว้ว่า กฎุมพีสองพี่น้อง ในกรุงพาราณาสี ทำไร่อ้อยไว้เป็นอันมาก วันหนึ่งกฎุมพีผู้น้องไปไร่อ้อย ถือเอาอ้อยมาสองลำคิดจะให้พี่ชายด้วย ได้เห็นพระปัจเจกพุทธเจ้า ก็มีจิตเลื่อมใสได้ถวายอ้อยในส่วนของตนลงในบาตร ตั้งความปรารถนาว่า "ด้วยผลแห่งรส (อ้อย) อันเลิศนี้ ข้าพเจ้าพึงได้เสวยสมบัติในเทวโลก และมนุษยโลก ในที่สุดพึงบรรลุธรรมที่ท่านบรรลุแล้วนั่นแล"

    เมื่อท่านฉันแล้ว เขาจึงได้ถวายอ้อย ส่วนที่สอง อันเป็นส่วนของพี่ชายลงในบาตรอีก ด้วยคิดว่า เราจักให้มูลค่าหรือส่วนบุญแก่พี่ชาย พระปัจเจกพุทธเจ้าอนุโมทนาแล้ว เหาะไปสู่ภูเขาคันธมาทน์ ถวายน้ำอ้อยนั้นแก่พระปัจเจกพุทธเจ้าอีก ๕๐๐ องค์ที่ภูเขานั้น กฎุมพีผู้น้องเห็นเหตุการณ์นั้นเกิดปีติ กลับไปเล่าให้พี่ชายฟัง ถึงเหตุนั้น ถามพี่ชายว่า "พี่จักรับเอามูลค่าอ้อยนั้น หรือจักรับเอาส่วนบุญ" พี่ชายมีจิตเลื่อมใส ไม่รับเอามูลค่า ขออนุโมทนาส่วนบุญจากกกฎุมพีผู้น้องด้วยใจโสมนัส ตั้งความปรารถนาว่า "ขอเราพึงได้บรรลุธรรมที่พระปัจเจกพุทธเจ้าเห็นนั้นเถิด"

    นี่คือตัวอย่างของการที่มีผู้แบ่งบุญให้ที่ชื่อว่า "ปัตตานุโมทนา"

    การพลอยยินดีด้วยในบุญที่ผู้อื่นกระทำ

    ในขุททกนิกาย วิมานวัตถุ ความย่อมีว่า พระอนุรุทธะถามนางเทพธิดาว่า "ท่านมีวรรณะงามยิ่งนัก มีรัศมีสว่างไสวไปทั่วทุกทิศ เหมือนดาวประกายพรึก เมื่อท่านฟ้อนอยู่ เสียงอันเป็นทิพย์น่าฟังรื่นรมย์ใจ ย่อมเปล่งออกจากอวัยวะน้อยใหญ่ทุกส่วน ทั้งกลิ่นทิพย์อันหอมหวลก็ฟุ้งออกจากกายทุกส่วน เสียงของเครื่องประดับ ช้องผมที่ถูดรำเพยพัดก็กังวานไพเราะดุจเสียงดนตรี แม้พวงมาลัยบนเศียรเกล้าของท่าน ก็มีกลิ่นหอมชวนเบิกบานใจ หอมฟุ้งไปทั่วทุกทิศ ดูกร นางเทพธิดา อาตมาขอถามว่า นี้เป็นผลแห่งกรรมอะไร"

    นางเทพธิดาตอบว่า "ข้าแต่พระคุณเจ้า นางวิสาขามหาอุบาสิกา ผู้สหายของดิฉัน ที่อยู่ในเมืองสาวัตถี ได้สร้างวิหารถวายสงฆ์ ดิฉันได้เห็นวิหารนั้น มีจิตเลื่อมใสอนุโมทนาพลอยยินดีด้วยในบุญนั้นของนาง ก็วิมานและสมบัติทุกอย่างที่ดิฉันได้แล้วนี้ เพราะการพลอยยินดีโมทนาบุญของสหายนั้น ด้วยจิตอันบริสุทธิ์อย่างเดียวเท่านั้น"

    จากพระสูตรนี้จะเห็นได้ว่า เพียงจิตเลื่อมใสอนุโมทนาในบุญที่ผู้อื่นที่ได้กระทำแล้ว ยังให้ผลเห็นปานนี้ แม้ว่าจะยังไม่มีใครบอกบุญให้ก็อนุโมทนาเช่น เห็นคนกำลังใส่บาตร มีจิตยินดีอนุโมทนาด้วยในบุญนั้น ก็นับเป็นบุญที่ชื่อว่า "ปัตตานุโมทนา"

    อานิสงค์แห่งการโมทนามัย พระพุทธเจ้าก็ทรงสรรเสริญว่าเป็นความดี โดยมูลเหตุแห่ง ตันหา ๓ ประการ อันได้แก่
    ๑. ความทะยานอยาก ไม่ปรุงแต่งให้มีขึ้น
    ๒. มีขึ้นแล้ว อยากให้ทรงตัวอยู่นานๆ
    ๓. มีขึ้นแล้วไม่อยากให้เสื่อมสลายไป

    ซึ่งมูลเหตุแห่งตันหา ๓ ประการ อาจเป็นเหตุให้เกิดอุปทานขันธ์ว่า
    ๑.เราดีกว่าเขา
    ๒.เราเสมอเขา
    ๓.เราเลวกว่าเขา

    เมื่อจิตเริ่มหมกมุ่นกับอุปทานขันธ์ มากเข้าจะมีการแสดงผล ทาง ใจ วาจา กาย เป็นลำดับดังนี้
    ๑. แสดงผลอย่างอ่อน คือ มีจิตอิจฉาริษยา
    ๒. แสดงผลอย่างกลาง คือ อาฆาตพยาบาท
    ๓. แสดงผลอย่างแรงคือ ด้วยการละเมิดศีล

    ดังนั้นการอนุโมทนากุศลนั้นจึงมีอานิสงค์มากเพราะเหตุว่า โดยปกติคนทุกคนมักมีอารมณ์จิตที่มี "อุปทานขันธ์" เป็นของตนอยู่มากตามด้านบนที่กล่าวไว้ เมื่อใดที่บุคคลอื่นได้ดีเหนือตน หรือทำความดีมากกว่าตนก็มัก มีการนำตนเองไปเปรียบเทียบความดี กับคนนั้นคนนี้ เสมอ...จนทำให้จิตของตนเองนั้นเศร้าหมองไป และบางครั้งจิตของตนเองก็เศร้าหมองจนเกินไป (ซึ่งหากตายในวาระจิตที่เศร้าหมองแบบนั้น ย่อมนำไปสู่อบายภูมิ) จนเกิดเป็นความ "อิจฉาริษยาอยู่ในใจ" ครับ
    ดังนั้น
    "ก็ในเมื่อดี ก็อยู่ที่ใจ" และ "ก็ในเมื่อเลว ก็อยู่ที่ใจ"

    ถ้าหากคนดีสามารถที่จะละความเลวของใจได้ ก็ถือว่าเป็นกุศลใหญ่ เท่ากับว่าได้ละ.อุปาทานขันธ์. ได้ วาระหนึ่งแล้ว
    การอนุโมทนาในกุศลที่บุคคลอื่นได้กระทำดีแล้วด้วยความจริงใจนั้น" จึงมีอานิสงค์มาก " เพราะในขณะนั้นถือว่า "จิตได้ว่างจากกิเลสแล้ว ชั่วขณะจิตหนึ่ง" ครับ

    การที่ มีบางท่านได้กล่าวไว้ว่า " น่าจะเป็นความเชื่ออย่างหนึ่งว่าได้อนุโมทนาแล้วสบายใจมั้ง " เห็นว่าเป็นคำตอบที่ นักปรัชญาเขาคาดการณ์กันครับ ซึ่งไม่ตรงนักในความเป็นจริง เพราะว่าแท้จริงแล้วในส่วนของกำลังใจของผู้ที่เข้าไปอนุโมทนาในกุศลนั้นมีความยินดีในการทำความดีเทียบเท่ากับผู้ที่ทำกุศลเองเลยครับ จึงมีกำลังใจเกือบเต็ม คือ ๙๙ เปอร์เซนต์ ขาดอยู่อีกเพียงเปอร์เซนต์เดียว คือ เพียงแต่ไม่ได้ทำความดีนั้นด้วยตนเองเท่านั้น ครับ

    การทำบุญในพระพุทธศาสนามี ๑๐ อย่างที่กล่าวไว้ข้างต้นเท่านั้น ครับ ไม่ได้มากไปกว่านี้ ถ้านอกไปจากนี้ไม่ใช่บุญในพระพุทธศาสนา
    ส่วนอานิสงค์ของการอนุโมทนาบุญหรืออนุโมทนาส่วนบุญ จะตรงกับการทำบุญในพระพุทธศาสนาในบุญกิริยาวัตถุ ข้อ๗. ปัตตานุโมทนามัย
    ซึ่ง ปัตตานุโมทนามัย นี้เป็นบุญอันเกิดจากการอนุโมทนาส่วนบุญ การอนุโมทนาหรือการยินดีส่วนบุญที่คนอื่นให้ หรือส่วนบุญที่คนอื่นทำ ก็เป็นบุญ

    สำหรับผู้ที่ไม่ได้ทำกุศลด้วยตนเอง แต่ชื่นชมยินดีด้วย ในกุศลที่ผู้อื่นได้กระทำ จิตที่ชื่นชมยินดีในกุศลของผู้อื่นนั้น ไม่ประกอบด้วยโลภะ โทสะ ความริษยา หรืออกุศลกรรมใดๆ การชื่นชมยินดีในกุศลของผู้อื่นนั้นเป็นกุศลอย่างหนึ่งที่มีกุศลของผู้อื่น เป็นเหตุให้เกิดขึ้น
    กุศลชนิดนี้ คือกุศลที่เป็น "ปัตตานุโมทนา"คือ กุศลที่อนุโมทนาชื่นชมด้วย ในกุศลที่ผู้อื่นได้กระทำแล้ว.

    ฉะนั้น ถึงแม้ว่าไม่ได้ทำกุศลอย่างใดอย่างหนึ่งด้วยตนเองเพียงแต่ไม่มีจิตริษยา แต่ชื่นชมยินดีในความดีหรือในการกระทำกุศลของผู้อื่น ขณะนั้น จิตก็เป็นกุศลโดยไม่ต้องสละวัตถุอะไรให้ใครเลย ครับ

    นอกจากนั้น ยังมีกุศลอีกทางหนึ่ง ที่เมื่อได้ทำทานกุศลแล้ว กุศลจิตก็ยังเกิดต่อขึ้นไปอีก เมื่อระลึกถึงทานกุศลที่ได้กระทำแล้ว ด้วยจิตที่สงบผ่องใส ถ้าเป็นผู้กระทำกุศลอยู่เป็นนิจ แล้วระลึกถึงทานกุศลที่ได้เคยกระทำแล้วเสมอๆจิตนั้นก็ย่อมสงบผ่องใส มั่นคงขึ้น และบางท่านจิตก็สงบมั่นคงเป็นสมาธิถึงขั้น "อุปจารสมาธิ (สมาธิเฉียดๆ หรือสมาธิจวนจะแน่วแน่ : access concentration: ซึ่งเป็นสมาธิขั้นระงับนิวรณ์ได้ ก่อนที่จะเข้าสู่ภาวะแห่งฌาน)" ก็มีครับ ดังนั้น การระลึกถึงทานกุศลที่ได้เคยกระทำแล้วเสมอๆ หรือ ความดีที่ตนสร้างไว้ เป็นการอบรมเจริญสมถภาวนาที่เป็น "จาคานุสสติ" ครับ

    สรุป “ปัตตานุโมทนามัย”

    ผู้ที่ได้เจริญกุศลแล้ว มีเจตนาที่จะอุทิศส่วนกุศลที่ตนเองได้กระทำแล้ว ให้บุคคลอื่นรับรู้แล้วเกิดกุศลจิตอนุโมทนาชื่นชมยินดีในกุศลที่เราได้กระทำนั้นเป็นบุญประการหนึ่ง คือ "ปัตติทานมัย (บุญสำเร็จการให้ส่วนบุญ หรืออุทิศส่วนกุศล)"
    ผู้ที่รับรู้แล้วเกิดกุศลจิต "อนุโมทนา" ย่อมเป็นกุศลจิตของบุคคลนั้นเอง ซึ่งก็เป็นบุญประการหนึ่งเช่นกัน คือ "ปัตตานุโมทนามัย (บุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาในกุศลที่บุคคลอื่นได้กระทำ)" แต่ถ้าไม่ได้อนุโมทนาหรือไม่ยินดีในกุศลที่บุคคลอื่นได้กระทำในขณะนั้นจิตจะเป็นกุศลไม่ได้เลย ครับ

    อานิสงส์ของการกล่าว คำว่า " สาธุ "

    "กลิ่นปากของพระมหาเถระหอมฟุ้งไปทั่วพระราชวัง ดังกลิ่นการบูรและพิมเสนผสมกฤษณา หอมยิ่งกว่าดอกบัวนิลุบล ปรากฏการณ์นี้ปรากฏแก่ชนทั้งหลายในพระราชวัง"

    ซึ่งสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า ได้ทรงตรัสตอบอธิบายข้อความดังกล่าวไว้ว่า

    "เพราะบุพพชาติปางก่อน พระมหาเถระภิกษุรูปนี้ได้ฟังพระสัทธรรมไพเราะจับใจ เต็มตื้นด้วยปีติยินดี จึงออกวาจาว่า "สาธุ" เท่านั้น อานิสงส์แห่งการฟังพระสัทธรรมให้ผลจึงได้มีกลิ่นปากหอมดังนี้"

    ปัจจุบันนี้ทั้งผู้ฟังธรรม และผู้รับศีลออกจะละเลยคำว่า "สาธุ" ต่างพากันนั่งเฉย ๆ ทั่วไป หน้าที่ผู้เป็นชาวพุทธ และครูบาอาจารย์จะได้แนะนำความเป็นมาเรื่อง "สาธุ" ไปเล่าสู่ลูกศิษย์และบุตรหลานของตนเพื่อนำวัฒนธรรมอังดีงามดั้งเดิมของเรากลับคืนมาครับ

    คำว่า "สาธุ" ในภาษาไทยก็แปลว่า ดีแล้ว เห็นชอบแล้ว เท่ากับเป็นการทำบุญข้อหนึ่งในบุญกิริยาวัตถุ ๑๐ ประการ มีอยู่ข้อหนึ่งในจำนวน ๑๐ ข้อคือ ปัตตานุโมทนามัย แปลว่าบุญสำเร็จด้วยการอนุโมทนาส่วนบุญ ดังนี้

    การที่เราได้เห็นบุคคลหนึ่งบุคคลใดกระทำความดี ถึงแม้ว่าเขาจะไม่ได้อุทิศให้บุคคลอื่นเลย แต่เราก็สามารถที่จะอนุโมทนาชื่นชมในความดีที่บุคคลนั้นกระทำได้ครับ เพราะขณะที่อนุโมทนาชื่นชมยินดีในกุศลของคนอื่นนั้น ย่อมเป็น "กุศลจิต" ซึ่งเป็นจิตใจที่อ่อนโยนไม่แข็งกระด้าง ถึงแม้ว่าจะไม่ได้กล่าวว่า "ขออนุโมทนาด้วยนะ" ก็ตาม ครับ

    เจริญพร

    วัดราชาธิวาสวิหาร
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • p01.png
      p01.png
      ขนาดไฟล์:
      55.9 KB
      เปิดดู:
      109
    • p02.png
      p02.png
      ขนาดไฟล์:
      81 KB
      เปิดดู:
      90
    • p03.png
      p03.png
      ขนาดไฟล์:
      55.3 KB
      เปิดดู:
      86
    • p04.png
      p04.png
      ขนาดไฟล์:
      74.8 KB
      เปิดดู:
      82
    • p05.png
      p05.png
      ขนาดไฟล์:
      78.4 KB
      เปิดดู:
      87
    • p06.png
      p06.png
      ขนาดไฟล์:
      60.3 KB
      เปิดดู:
      101
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงพระผนวชเป็นพระภิกษุ


    .
    ในหลวงทรงผนวช(หาดูยาก)


    .
    สารคดีเฉลิมพระเกียรติชุดทรงพระผนวช


    .
    ในหลวงสนธนาธรรมกับพระอาจารย์ฝั้น


    .
    หลวงพ่อพูดเรื่องในหลวง


    หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม

    .
    หลวงตามหาบัวให้ความเห็นเกี่ยวกับในหลวงอย่างไร
    https://www.youtube.com/watch?v=UF2QtBh-_cQ

    .
    จะเป็นอยางไรเมื่อในหลวง ร.9 สนทนาธรรมกับพระอรหันต์
    https://www.youtube.com/watch?v=MY2qg--VqqU

    .
    หลวงพ่อพุธ กล่าวว่า รัชกาลที่ 9 ทรงเป็นพระโพธิสัตว์
    | FaithThaistory.com

    https://www.youtube.com/watch?v=CxfmpAjobkk

    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    พระราชประวัติในหลวงของเรา


    .
    สารคดี My King ในหลวงของเรา


    .
    ภาพยนตร์ส่วนพระองค์ ในหลวง รัชกาลที่ 9 ราชินี พระราชโอรส (รัชกาลที่ 10) พระราชธิดา ภายในวังสวนจิตรฯ


    .
    ในหลวง ร.9 กับพระอริยสงฆ์ 2หลวงปู่ ผู้ไม่รู้จักพ่อหลวง รัชกาลที่9


    .
    อยากให้คนไทยทุกคนได้เห็น ในหลวง และ หลวงตาบัว


    .
    ในหลวงถอดจิต - เล่าถึงวิบากกรรมที่เสียดวงตามาหลายชาติ
    https://www.youtube.com/watch?v=mrgOuKCZ8n8

    .
    บทสัมภาษณ์ในหลวงเกี่ยวกับการทรงงานของท่าน
    https://www.youtube.com/watch?v=wIyVEJ5BT5g

    .
    ในหลวง ดูแล้ว น้ำตาไหลไม่รู้ตัว
    https://www.youtube.com/watch?v=908XT_tBnMU

    .
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    แจ้งข่าวงานกฐินตกค้างใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้
    และ วัดห้วยมงคล จ.ประจวบคีรีขันธ์
    รบกวนอ่านเงื่อนไขก่อนร่วมทำบุญครับ
    .
    เริ่มต้นวันที่ 30 ตุลาคม 2560
    สิ้นสุด 2 พฤศจิกายน 2560 ก่อนเวลา 12.00 น.
    (เนื่องจากต้องรวบรวมปัจจัยและจัดเตรียมบริวารกฐิน นำลงไปยัง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้)
    .
    บัญชีร่วมทำบุญกฐิน/ผ้าป่าตกค้าง 3 จังหวัดชายแดนภา คใต้ และวัดห้วยมงคล หัวหิน
    .
    บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 044-0-22999-5
    ชื่อบัญชี พระธวัชชัย ชาครธัมโม
    บมจ.กรุงไทย สาขาท่าดินแดง
    .
    .
    เรียนญาติธรรมทุกท่านค่ะ
    ขอประกาศบุญด่วนเรื่องกฐินตกค้างสำหรับวัดใน 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้ ที่ได้เคยร่วมทำบุญกันมาทุกปี แต่เนื่องจากสถานการณ์ที่เปลี่ยนแปลง ทำให้รูปแบบ และการจัดการในพื้นที่เปลี่ยนแปลงไปเช่นกัน แต่ทหารยังคงเป็นหลักในการจัดการเช่นเดิม ด้วยเรื่องความปลอดภัยของพระสงฆ์และพุทธศาสนิกชน

    จากการประสานข้อมูลกับ จนท.ทหาร ผู้ดูแลโครงการ ได้แจ้งว่า ทางกองทัพภาคที่ 4 ได้จัดหาเจ้าภาพทอดกฐิน ในแต่ละจังหวัด ทยอยมาตั้งแต่ต้น โดยปีนี้ทางทหารมีภารกิจหลัก ในการดูแลพื้นที่เตรียมรับงานพระราชพิธีถวายพระเพลิงในหลวง ร.9 ดังนั้นจึงจัดหาเจ้าภาพในแต่ละพื้นที่ เพื่อความปลอดภัย

    สำหรับท่านที่ตั้งใจในการร่วมทำบุญกฐินตกค้างใน 3 จว.ชต. ยังมีวัด และสำนักสงฆ์ ที่ได้รับแจ้งจากทางทหารว่ายังไม่มีเจ้าภาพ 5 แห่ง อยู่ในจ.นราธิวาส ยะลา และสงขลา

    วัดใน3 จว.ชต. ที่รับแจ้งจาก จนท.ทหาร ว่ายังขาดเจ้าภาพ มีดังนี้
    1. วัด บ.กม.26 นอก
    อ.บันนังสตา จ.ยะลา
    2. วัดนาม่วง
    อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา
    3. สำนักสงฆ์บ้านเก่า อ.นาทวี จ.สงขลา
    4.สำนักสงฆ์ถ้ำครก
    อ.สะบ้าย้อย จ.สงขลา
    5.วัดบ้านทุ่งกง
    อ.เมือง จ.นราธิวาส

    ในปีนี้ เนื่องจากวัดห้วยมงคล หัวหิน ยังไม่มีเจ้าภาพหลัก มาปวารณา พระอาจารย์นิลจึงขอให้พวกเรา ได้ร่วมเป็นเจ้าภาพ ถวายผ้าไตรกฐิน ณ วัดห้วยมงคลด้วย ถือเป็นอานิสงส์บุญหล่นทับ ที่พวกเราจะได้มีโอกาส เป็นเจ้าภาพกฐิน ณ วัดห้วยมงคล ที่มีหลวงปู่ทวด พระนามาภิไธย สก.เป็นประธาน

    ดังนั้นขอสรุปภาพรวมกองบุญกฐิน/ผ้าป่า ตกค้างประจำปี 2560 รวม 7 แห่ง โดยมีวัดและสำนักสงฆ์ใน 3 จว.ชต. 6 แห่ง และวัดห้วยมงคล หัวหิน อีก 1 วัด

    ท่านใดประสงค์จะร่วมบุญนี้ มีเวลาจำกัด เพียง 3 วัน นับตั้งแต่บัดนี้ จนถึงวันที่ 2 พ.ย. 60 ก่อนเวลา 12.00 น. โดยพระอาจารย์นิล จะนำผ้าไตรและปัจจัยบริวาร ถวายวัด /สำนักสงฆ์ต่างๆ ใน พื้นที่ 3 จว.ชต. ในวันที่ 2 พ.ย. ณ วัดเวฬุวัน จ.ยะลา โดยร่วมในพิธีถวายผ้าพระกฐินพระราชทานที่กองทัพภาคที่ 4 จะอัญเชิญผ้าไตรพระราชทานของสมเด็จพระนางเจ้าสิริกิติ์ ถวายที่วัดเวฬุวัน จ.ยะลา

    หลังจากนั้นในวันที่ 3 พ.ย. จะปิดท้ายกฐินตกค้างวัดสุดท้ายคือวัดห้วยมงคล หัวหิน

    ทั้งนี้ปัจจัยบริวารกฐินที่มีผู้ร่วมทำบุญทั้งหมด ขออนุญาตจัดสรร ตามความเหมาะควร เนื่องจาก บางวัด/สำนักสงฆ์ มีพระสงฆ์จำพรรษาไม่ครบห้ารูป และไม่มีการก่อสร้างที่ต้องใช้ปัจจัยจำนวนมาก

    สำหรับวัดห้วยมงคล หัวหิน ซึ่งปีนี้เป็นบุญของทุกท่าน จะได้ร่วมเป็นเจ้าภาพถวายผ้าไตรกฐิน และ ปัจจัยบริวาร จะนำไปร่วมในการดำเนินการอุทยานหลวงพ่อพระพุทธโสธรองค์ใหญ่ที่ยังไม่แล้วเสร็จ

    ขอขอบคุณพี่แอ๊ว ที่แจ้งข่าวงานบุญนี้มาให้ได้ร่วมทำบุญกัน
    ผมเองได้ติดตามร่วมทำบุญในงานบุญกฐินฯนี้มาตั้งแต่ปี 2553
    สาธุ สาธุ สาธุ 1 - 2560.png
     
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ผมมาเชิญชวนทุกท่าน ไหว้ 5 ครั้งกัน

    ดีกับตนเอง , ดีกับผู้ที่กระทำเอง

    สาธุ สาธุ สาธุ ครับ

    หมายเหตุ รูปล็อกเก็ตทั้งสองรูป ผมเป็นผู้ที่ดำเนินการจัดสร้างเอง โดยไปจ้างร้านทำล็อกเก็ต แล้วผมไปขอให้พี่จิ๋ว(บุตรชายท่านอาจารย์ประถม อาจสาคร) ทำผงคลุกรัก ติดด้านหลังล็อกเก็ต มวลสารที่สำคัญ ที่หาได้ยากมากที่สุดก็คือ เส้นเกสาของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ ) กราบขอบคุณพี่จิ๋วที่เมตตาผม จัดทำผงคลุกรักติดด้านหลังล็อกเก็ตให้ครับ

    และแจกให้กับสมาชิกชมรมพระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า ตอนนี้อยู่กับผมไม่กี่องค์แล้ว แจกไปเยอะแล้ว น่าจะอยู่กับผมไม่กี่องค์แล้วครับ

    รูปล็อกเก็ต สงวนลิขสิทธิ์

    .------------------------------------------------------------

    ไหว้ 5 ครั้ง
    ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญ ญาณวรเถระ )
    วัดเทพศิรินทราวาส

    คัดลอกจาก http://www.konmeungbua.com/saha/Lung...pu_armpan.html

    ในวันหนึ่งกับคืนหนึ่ง ไม่ว่าเวลาไร ตามแต่เหมาะต้องไหว้ให้ได้ 5 ครั้งเป็นอย่างน้อย ในคราวเดียวนั้น ถ้ามีดอกไม้ธูปเทียนก็บูชา ถ้าไม่มีก็มือ 10 นิ้วและปากกับใจ ควรไหว้จนตลอดชีวิต คือ

    ครั้งที่ 1 พึงนั่งกระโหย่งเท้าประณมมือว่า
    นโม ตสฺส ภควโต อรหโต สมฺมาสมฺพุทฺธสฺส ฯ 3 หน
    แล้วว่าพระพุทธคุณ คือ
    อิติปิโส ภควา อรหํ สมฺมาสมฺพุทฺโธ วิชฺชาจรณสมฺปนฺโน สุคโต โลกวิทู อนุตฺตโร ปุริสทมฺมสารถิ สตฺถา เทวมนุสฺสานํ พุทฺโธ ภควาติ ฯ

    หยุดระลึกถึงพระปัญญาคุณทรงรู้ดีรู้ชอบสิ้นเชิง พระบริสุทธิคุณทรงละความเศร้าหมองได้หมด พระกรุณาคุณทรงสงสารผู้อื่นและสั่งสอนให้ปฏิบัติตามของพระพุทธเจ้า จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ครั้งที่ 2 ว่าพระธรรมคุณ คือ
    สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโน สนฺทิฆฐิโก อกาลิโก เอหิปสฺสิโก โอปนยิโก ปจฺจตฺตํ เวทิตพฺโพ วิญญูหีติ ฯ

    หยุดระลึกถึงคุณพระธรรมที่รักษาผู้ปฏิบัติตามไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ครั้งที่ 3 ว่าพระสังฆคุณ คือ
    สุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ อุชุปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ญายปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ สามีจิปฏิปนฺโน ภควโต สาวกสงฺโฆ ยทิทํ จตฺตาริ ปุริสยุคานิ อฏฐปุริสปุคฺคลา เอส ภควโต สาวกสงฺโฆ อาหุเนยฺโย ปาหุเนยฺโยทกฺขิเนยฺโย อญฺชลิกรณีโย อนุตฺตรํ ปุญฺญกฺเขตฺตํ โลกสฺสาติฯ

    หยุดระลึกถึงคุณ คือ ความปฏิบัติดี ปฏิบัติตรง ปฏิบัติถูก ปฏิบัติชอบ ของพระอริยสงฆ์ จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    นั่งพับเพียบประณมมือตั้งใจถึงพระรัตนตรัยเป็นสรณะไม่ถือสิ่งอื่นยิ่งกว่าจนตลอดชีวิต ว่าสรณคมน์ คือ
    พุทฺธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ทุติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ พุทธํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ ธมฺมํ สรณํ คจฺฉามิ
    ตติยมฺปิ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ

    ครั้งที่ 4 ระลึกถึงคุณมารดาบิดาของตน จนเห็นชัดแล้ว กราบลงหน 1 ฯ

    ข้า ฯ ขอ กราบไหว้คุณท่านบิดาและมารดา
    เลี้ยงลูกเฝ้ารักษา แต่คลอดมาจึงเป็นคน
    แสนยากลำบากกายไป่คิดยากลำบากตน
    ในใจให้กังวลอยู่ด้วยลูกทุกเวลา
    ยามกินพอลูกร้องก็ต้องวางวิ่งมาหา
    ยามนอนห่อนเต็มตาพอลูกร้องก็ต้องดู
    กลัวเรือดยุงไรมดจะกวนกัดรีบอุ้มชู
    อดกินอดนอนสู้ ทนลำบากหนักไม่เบา
    คุณพ่อแม่มากนักเปรียบน้ำหนักยิ่งภูเขา
    แผ่นดินทั้งหมดเอามาเปรียบคุณไม่เท่าทัน
    เหลือที่ จะแทนคุณ ของท่านนั้น ใหญ่อนันต์
    เว้นไว้ แต่เรียนธรรม์ เอามาสอนพอผ่อนคุณ
    สอนธรรมที่จริงให้ รู้ไม่เที่ยงไว้เป็นทุน
    แล้วจึงแสดงคุณ ให้เห็นจริงตามธรรมดา
    นั่นแหละจึงนับได้ ว่าสนองซึ่งคุณา
    ใช้ค่าข้าวป้อนมาและน้ำนมที่กลืนกิน ฯ

    ครั้งที่ 5 ระลึกถึงคุณของบรรดาท่านผุ้มีอุปการคุณแก่ตน เช่น พระมหากษัตริย์และครูบาอาจารย์ เป็นต้นไป จนเห็นชัดแล้วกราบลงหน 1 ฯ

    ข้า ฯ ขอนอบน้อมคุณแด่ท่านครู ผู้อารี
    กรุณาและปรานีอุตส่าห์สอนทุก ๆ วัน
    ยังไม่รู้ ก็ได้รู้ ส่วนของครูสอนทั้งนั้น
    เนื้อความทุกสิ่งสรรพ์ดีชั่วชี้ ให้ชัดเจน
    จิตมากด้วยเอ็นดูอยากให้รู้เหมือนแกล้งเกณฑ์
    รักไม่ลำเอียงเอนหวังให้แหลมฉลาดคม
    เดิมมืดไม่รู้แน่เหมือนเข้าถ้ำเที่ยวคลำงม
    สงสัยและเซอะซมกลับสว่างแลเห็นจริง
    คุณส่วนนี้ควรไหว้ ยกขึ้นไว้ ในที่ยิ่ง
    เพราะเราพึ่งท่านจริงจึงได้รู้ วิชาชาญ ฯ

    (บทประพันธ์สรรเสริญคุณมารดาบิดา และ ครูบาอาจารย์ของ ท่านอาจารย์ จางวางอยู่ เหล่าวัตร วัดเทพศิรินทราวาส ลิขสิทธิ์เป็นของ ท่านเจ้าคุณพระโศภนศีลคุณ (หลวงปู่หลุย พาหิยาเถร) วัดเทพศิรินทราวาส)

    ต่อไปนี้ไม่ต้องประณมมือ ตั้งใจพิจารณาเรื่อง และร่างกายของตนว่า จะต้องแก่ หนีความแก่ไปไม่พ้น จะต้องเจ็บ หนีความเจ็บไปไม่พ้น จะต้องตาย หนีความตายไปไม่พ้น จะต้องพลัดพรากจากของรักของชอบใจทั้งสิ้น มีกรรมเป็นของตัว คือ ทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว เป็นอนิจจังไม่เที่ยง ไม่แน่นอน เป็นทุกข์ลำบากเดือดร้อน เป็นอนัตตา ไม่อยู่ในอำนาจบังคับบัญชาของตน ฯ ครั้งพิจารณาแล้ว พึงแผ่กุศลทั้งปวงมีการกราบไหว้เป็นต้นนี้ อุทิศให้แก่ท่านผู้มีคุณมีมารดาบิดา เป็นต้น ตลอดจนชั้นสูงสุด คือพระมหากษัตริย์ ทั้งเทพยดามนุษย์และสัตว์ทั้งหลายว่า จงเป็นสุข ๆ อย่ามีเวรมีภัยเบียดเบียนกันและกัน รักษาตนให้พ้นจากทุกข์ภัยทั้งสิ้นเถิด ฯ

    การไหว้ 5 ครั้งนี้ ถ้าวันไหนขาด ให้ไหว้ใช้ 5 ครั้งในวันรุ่งขึ้น ถ้านั่งกระโหย่งเท้าไม่ได้ ก็นั่งพับเพียบ ถ้าไม่ได้ ก็นอนไหว้ เมื่อยกมือไม่ขึ้น ก็ปากกับใจ ถ้าทำได้อย่างนี้เป็นเครื่องพยุงตนให้เป็นคนดี ไม่ให้เป็นคนชั่ว และให้ตั้งอยู่ในที่ดี ไม่ให้ตกไปในที่ชั่ว ถ้าผู้ใดประพฤติได้เสมอตลอดชีวิต ผู้นั้นจะอุ่นใจในตัวของตัวเอง มีความเจริญงอกงามไพบูลย์ยิ่ง ๆ ขึ้นเสมอทุกคืนทุกวัน คุ้มครองป้องกันภยันตรายปราศจากความเสียหายที่ไม่เหลือวิสัย และ ตั้งตัวได้ในทางคดีโลกและทางคดีธรรม เต็มภูมิเต็มขั้นของตน ๆ ทุกประการ จบเท่านี้ ฯ

    ปัจฉิมโอวาท

    ของ

    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ญาณวรมหาเถระ

    วัดเทพศิรินทราวาส

    ไม่ตายควาวนี้ ก็ตายคราวหน้า อย่างเศร้าโศก เสียทีที่ศึกษาปฏิบัติมา ร้องให้เศร้าโศก ก็ร้องไห้เสร้าโศกสังขารที่

    เกิดแก่เจ็บตายนั้นเอง ที่ไม่ร้องไห้เศร้าโศกนั้นมิใช่จะเป็นคนใจไม้ใส้ระกำอะไร

    ธรรมของพระก็คือ

    สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา

    สพฺเพ สงฺขารา ทุกฺขา

    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา

    ย่นลงก็ สพฺเพ สงฺขารา อนิจฺจา

    สพฺเพ ธมฺมา อนตฺตา แล้วปรินิพพาน

    ไม่ต้องเกิดมาแก่ มาเจ็บ มาตายอีก

    (มีบัญชาให้บันทึกไว้เมื่อเช้าวันที่ ๑๔ พฤษภาคม ๒๕๙๔)

    สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ ( เจริญญาณวรเถระ )
    http://72.14.235.104/search?q=cache:...h&ct=clnk&cd=7

    สมเด็จพระพุทธโฆษจารย์ นามเดิม เจริญ สุขบท เกิดในรัชกาลที่ 5 เมื่อวันที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ.2415 ที่จังหวัดชลบุรี เป็นบุตรนาย ทองสุก และนางย่าง

    เมื่ออายุ 8 ปี ได้เป็นศิษย์ของท่านเจ้าคุณชลโธปมคุณมุณี (พุฒ ปุณณกเร) ปฐมวัยอาวาสวัดเขาบางทราย เมื่ออายุ 12 ปีได้บรรพชาที่วัดเขาบางทราย

    และเข้าศึกษาพระปริยัติธรรมที่วัดราชบพิธอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ.2435 ที่วัดเขาบางทราย จังหวัดชลบุรี พ.ศ.2439 ได้ศึกษาพระวินัยปิฎกในสำนัก สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยาวชิรญาณวโรรส ที่วัดเทพศิรินทราวาส

    "ตาบุญ (พระยาธรรมปรีชา) ผู้เป็นอาจารย์สอนบาลีของ
    เจ้าพระคุณสมเด็จฯ มอบช้างเผือกส่งเข้ามาให้ "

    สมเด็จพระมหาสมณเจ้ากรมพระยา วชิรญาณวโรรส ออกพระโอษฐ์รับสั่งเมื่อครั้งสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร) สอบไล่ภาษาบาลี ในมหามงกุฎราชวิทยาลัยได้ที่ 1ทุกชั้นเป็นลำดับมา

    พ.ศ.2441 ทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้เป็นพระราชาคณะที่พระอัมราภิลักขิต เป็นผู้อำนวยการศึกษามณฑลปราจีนบุรี ต่อมาได้ตำแหน่งเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาสได้เลื่อนสมณศักดิ์เรื่อยมา พ.ศ.2471 โปรดให้สถาปนาขึ้นเป็นสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

    พ.ศ.2476กรรมการเถรสมาคมมีมติให้ท่าน เป็นประธานกรรมการมหาเถรสมาคมบัญชาการคณะสงฆ์แทนพระสังฆราชเจ้าซึ่งสิ้นพระชนม์ ประมวลเกียรติคุณพิเศษสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเร)เป็นพระเถระบริหารงานพระศาสนาถึง 5 แผ่นดิน คือแต่รัชกาลที่ 5-9 เป็นพระราชาคณะแต่อายุ 28 ปี เป็นสมเด็จพระราชาคณะแต่อายุ 57 ปี นับเป็นพระเถระที่ได้รับพระราชทานสมณศักดิ์พรรษาน้อยกว่า พระเถระหลายรูปเป็นเจ้าอาวาสวัดเทพศิรินทราวาส แต่อายุ 28 ปี ถึง 80 ปีรวม 53 ปี นับว่ายาวนานที่สุดไม่มีใครเทียบได้
    เมื่อสอบนักธรรม หรือบาลีจะสอบได้ที่ 1 ทุกชั้นทุกประโยคเป็นรูปเดียวในสังฆมณฑล ดำรงตำแหน่งแม่กองธรรมสนามหลวง แม่กองบาลีสนามหลวง องค์เดียวกัน

    ในวันที่ 8 มิถุนายน พ.ศ.2494เวลา 10.30 น. สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (ญาณวรเระ)มรณภาพด้วยโรคเนื้องอกที่ตับรวมอายุได้ 80 ปี พรรษาที่ 59

    ความคิดเห็นส่วนตัวผม
    ท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ) ท่านเป็นพระอุปัชฌาย์ของท่านเจ้าคุณนรรัตนราชมานิต (ตรึก จินตยานนท์) ท่านบอกกับผู้ที่ไปกราบท่านว่า ขอให้ทุกๆวันได้ไหว้ 5 ครั้ง จะได้เป็นศิริมงคลกับตนเอง จะเหมือนกับชื่อของท่าน (เจริญ) ครับ ท่านเจ้าคุณนรเอง ก็มีความเคารพในท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ)มาก โดยท่านเจ้าคุณนรเอง เวลาเดินผ่านกุฎิของท่านสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์(เจริญ)ทุกครั้ง ท่านเจ้าคุณนร ก็จะก้มลงกราบที่กุฎิอยู่ทุกครั้งครับ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • Nmonk11.jpg
      Nmonk11.jpg
      ขนาดไฟล์:
      18.8 KB
      เปิดดู:
      141
    • sj01.png
      sj01.png
      ขนาดไฟล์:
      135.6 KB
      เปิดดู:
      124
    • sj02.png
      sj02.png
      ขนาดไฟล์:
      316.3 KB
      เปิดดู:
      127
    • sj03.png
      sj03.png
      ขนาดไฟล์:
      141.9 KB
      เปิดดู:
      115
    • sj04.png
      sj04.png
      ขนาดไฟล์:
      105.4 KB
      เปิดดู:
      119
    • sj05.png
      sj05.png
      ขนาดไฟล์:
      514.6 KB
      เปิดดู:
      139
    • sj06.png
      sj06.png
      ขนาดไฟล์:
      1.1 MB
      เปิดดู:
      192
    • sj07.png
      sj07.png
      ขนาดไฟล์:
      957.4 KB
      เปิดดู:
      127
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ไหว้ ๕ ครั้งของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ และโอวาทธรรมคำสอน ท่านเจ้าคุณนรฯ (ธมฺมวิตกฺโก ภิกฺขุ)

    .
    .
    .
    ไหว้ 5 ครั้ง ของสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถร)

    .
    .
    .
    รายการแสงธรรมแห่งศรัทธา : เสียงจริงสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์

    .
    .
    .
    คิลาโนวาท-สมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ (เจริญ ญาณวรเถระ)

    .
    .
    .
    เสียงสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ 1/2

    .
    .
    .
    เสียงสมเด็จพระพุทธโฆษาจารย์ 2/2
    https://www.youtube.com/watch?v=_iZes1oYNZE
    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ตกนรกหมกไหม้!! เปิดพุทธประวัติ "พระนางอัมพปาลี" ผู้รับกรรมหนักจากการ "ปรามาสพระอรหันต์" แต่สุดท้ายก็สำเร็จเป็นพระอรหันต์ กราบสาธุ !!

    http://www.tnews.co.th/contents/dp/377615

    อัมพปาลี นามนี้ชาวพุทธส่วนมากรู้จักดี เพราะเป็นนางคณิกาหรือโสเภณีที่สวยงามในเมืองไพศาลี แคว้นวัชชี และที่สำคัญคือนางได้เลื่อมใสในพระพุทธศาสนาอย่างยิ่ง ได้ถวายสวนมะม่วงอันเป็นสมบัติของนางให้เป็นที่ประทับของพระพุทธเจ้าและภิกษุสงฆ์ในปลายพุทธกาล แต่ถึงอย่างนั้นนางก็ได้ตกนรกเหตุเพราะนางได้รับกรรมจกกการปรามาสภิกษุณีอรหันต์ จึงต้องไปรับกรรมหมกไหม้อยู่ในนรกนานแสนนาน เมื่อพ้นกรรมหนักจากนรกกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เศษของกรรมที่เหลือต้องเกิดเป็นหญิงแพศยามานับหมื่นๆชาติ

    ครั้งนั้นเป็นพุทธกาลของพระพุทธเจ้าพระนามว่า "พระสิขีทศพล" นางอัมพปาลีเกิดเป็นธิดาตระกูลพราหมณ์ในนคร "อมรปุระ" ครั้งหนึ่งนางได้ไปนมัสการพระเจดีย์ โดยได้ทำประทักษิณ เวียนขวารอบเจดีย์ ขณะกำลังเดินประทักษิณอยู่ นางได้เห็นภิกษุณีรูปหนึ่งได้เดินทำประทักษิณอยู่ตรงหน้าเธอ ภิกษุณีรูปนั้นได้บ้วนน้ำลายลงพื้น เมื่อนางอัมพปาลีเห็น จึงเกิดความไม่พอใจที่เห็นกิริยาดังนั้น จึงได้ "สบถคำด่า" ภิกษุณีรูปนั้นว่า

    "อีหญิงแพศยา"

    ด้วยเหตุที่ภิกษุณีรูปนั้นเป็นพระอรหันต์ กรรมนี้จึงเป็นกรรมหนักมาก เมื่อทำกาละแล้วนางอัมพปาลีจึงต้องไปรับกรรมหมกไหม้อยู่ในนรกนานแสนนาน เมื่อพ้นกรรมหนักจากนรกกลับมาเกิดเป็นมนุษย์อีกครั้ง เศษของกรรมได้ส่งผลให้นางอัมพปาลีต้องเกิดเป็นหญิงแพศยามานับหมื่นๆ ชาติ จนถึงพุทธกาลปัจจุบันนางเกิดขึ้นโดยการอุบัติ (โอปปาติกกำเนิด) เป็นสาวสวยที่โคนต้นมะม่วงในพระราชอุทยานกรุงเวสาลี จึงได้ชื่อว่า "อัมพปาลี"

    แต่ด้วยเศษของอกุศลกรรมที่เคยด่าพระเถรีในครั้งนั้นยังคงหลงเหลืออยู่ ความงามของนางจึงเป็นโทษ เพราะทำให้บรรดาเจ้าชายลิจฉวีทะเลาะแย่งชิงกันเพื่อจะได้นางไปเป็นสนม คณะผู้พิพากษาแห่งวัชชีต้องยุติข้อขัดแย้งโดยตัดสินให้อัมพปาลีเป็นหญิง แพศยา เป็นนางคณิกานคร เป็นสมบัติของทุกคน การแย่งชิงนางจึงสงบลงได้ นางอัมพปาลีเคยมีความสัมพันธ์ในทางลับๆ กับพระเจ้าพิมพิสารแห่งแคว้นมคธจนเกิดบุตร ๑ คน นามว่า "วิมลโกณฑัญญะ" ซึ่งในกาลต่อมาบุตรของนางผู้นี้ได้บรรพชาอุปสมบทเป็นภิกษุและได้สำเร็จเป็น "พระอรหันต์"

    หลังจากถวายสวนมะม่วงให้เป็นวัดในพระพุทธศาสนา นางได้ฟังธรรมจากพระวิมลเถระ (บุตรชายของนาง) รู้สึกซาบซึ้งในรสพระธรรม จึงออกบวชในสำนักของนางภิกษุณี พิจารณาเห็นความเป็นอนิจจังแห่งสรีรร่างกายของตน ยกจิตขึ้นสู่วิปัสสนาในไม่ช้าไม่นานก็ได้บรรลุพระอรหัตผล ต่อมาภายหลังนางได้บวชเป็นภิกษุณีและสำเร็จเป็นพระอรหันต์ ปฏิสัมภิทา ๔ วิโมกข์ ๘ และอภิญญา ๖

    หลังจากบรรลุธรรม พระอัมพปาลีเถรีได้กล่าวคาถาแสดงถึงสัจจะชีวิตของนางน่าจะเป็นเครื่องเตือนสติแก่สตรีทั้งหลายได้เป็นอย่างดี ดังนี้

    เมื่อก่อนผมของเรามีสีดำ คล้ายปีกแมลงภู่ มีปลายงอน เดี๋ยวนี้กลายเป็นเช่นปอเพราะชรา
    เมื่อก่อนมวยผมของเรามีกลิ่นหอมดุจอบด้วยดอกมะลิ เป็นต้น เดี๋ยวนี้กลิ่นเหมือนขนกระต่าย เพราะชรา
    เมื่อก่อนคิ้วของเรางดงามคล้ายรอยเขียนอันนายช่างเขียนดีแล้ว เดี๋ยวนี้เหมือนเถาวัลย์ เพราะชรา
    เมื่อก่อนนัยน์ตาของเราดำขลับเหมือนนิลมณี รุ่งเรืองงาม เดี๋ยวนี้ถูกชราขจัดแล้วไม่งามเลย เวลารุ่นสาวจมูกของเรางดงามเหมือนเกลียวหรดาล เดี๋ยวนี้กลับห่อเหี่ยวเหมือนจมหายเข้าไปในศีรษะ เพราะชรา
    เมื่อก่อนฟันของเราขาวงามเหมือนดอกมะลิตูม เดี๋ยวนี้กลายเป็นฟันหัก มีสีเหลืองปนแดง เพราะชรา
    เมื่อก่อนเสียงของเราไพเราะเหมือนเสียงนกร้องอยู่ในไพรสณฑ์ เดี๋ยวนี้เราพูดอะไรก็ไม่ชัด เพราะชรา

    สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสไว้ว่า สรรพสิ่งเป็นอนิจจังเป็นจริงทุกประการ นางได้พรรณนาความงามของสรรพางค์กาย ตั้งแต่ศีรษะจดปลายเท้าว่าล้วนแต่งดงามเป็นที่ปรารถนาชื่นชมของชายทั่วไป แต่ถึงตอนนี้ (เมื่อนางมาบวช) อวัยวะที่งดงามเหล่านั้นทรุดโทรม เพราะชรา ไม่น่าดู ไม่น่าชมเลย เป็นเครื่องแสดงถึงความเป็นอนิจจัง ยืนยันพระราชดำรัสของสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสสอนถึงความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ของสรรพสิ่ง



    ขอบคุณข้อมูลจาก : http://palungjit.org

    เรียบเรียงโดย

    เสาวลักษณ์ แสงสุวรรณ : สำนักข่าวทีนิวส์
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ในประเทศจีน มีผู้ที่มีชื่อเสียงในเรื่องของความซื่อสัตย์เป็นอย่างมาก ก็คือ ท่านงักฮุย และ องค์กวนอู

    ของประเทศไทยก็มี บุคคลในประวัติศาสตร์ที่มีเจ้านายเพียงองค์เดียว ไม่ยอมเป็นข้าสองเจ้าบ่าวสองนาย เป็นผู้ที่ซื่อสัตย์กับเจ้านาย อย่างสูงสุด และปกป้องพระเกียรติยศของเจ้านาย อย่างสูงสุด

    เป็นบุคคลที่ควรเคารพบูชา ในฐานะผู้ที่มีความซื่อสัตย์อย่างสูงสุด ครับ

    ประวัติ - พระยาพิชัยดาบหัก ทหารเสือพระเจ้าตากสิน


    ประวัติพระยาพิชัยดาบหัก


    ตามตำนาน I EP.04 I ตำนานแห่งความซื่อสัตย์ "พันท้ายนรสิงห์" I Full HD


    พันท้ายนรสิงห์ ตำนานทหารกล้าผู้ซื่อสัตย์ | Double Colour
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    สโมสรศิลปวัฒนธรรม
    พระบวรราชวังสมัยพระปิ่นเกล้าฯ
    https://www.silpa-mag.com/club/art-and-culture/article_5395

    “—เออ อยู่ดีๆ ก็ให้มาเป็นสมภารวัดร้าง—“

    เป็นพระราชปรารภในพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งที่พระบาทสมเด็จพระจอมเกล้าเจ้าอยู่หัวทรงพระกรุณาโปรดเกล้าฯ ให้สถาปนาเป็นกรมพระราชวังบวรสถานมงคล แต่ทรงมีพระเกียรติยศเสมอเหมือนพระเจ้าแผ่นดินอีกพระองค์หนึ่ง และพระราชทานพระบวรราชวังให้เป็นที่ประทับ ซึ่งขณะนั้นพระบวรราชวังอยู่ในสภาพชำรุดทรุดโทรมทั้งวัง

    ครั้นถึงเวลาที่พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวจะต้องเสด็จฯ มาประทับ ณ วังนี้ เป็นช่วงเวลาที่อาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆ ภายในวังหน้าถึงกาลเวลาชำรุงทรุดโทรมลงอย่างหนัก ดังปรากฏในหลักฐานจากพระนิพนธ์ตำนานวังหน้าของสมเด็จฯ กรมพระยาดำรงราชานุภาพ ความตอนหนึ่งว่า “—ซุ้มประตูแลป้อมปราการรอบวังหักพังเกือบหมด กำแพงวังชั้นกลางก็ไม่มีท้องสนามในวังหน้า ชาวบ้านเรียกว่า สวนพันชาติ เพราะพันชาติตำรวจในวังปลูกเหย้าเรือนอาศัย และขุดท้องร่องทำสวนตลอดไปจนถึงหน้าพระที่นั่งศิวโมกข์พิมาน—“

    สภาพดังกล่าวของวังหน้า จึงเป็นที่มาของคำพระราชปรารภที่ว่า “—เออ อยู่ดีๆ ก็ให้มาเป็นสมภารวัดร้าง—“

    แต่เพราะเหตุว่าเป็นพระราชประสงค์ของสมเด็จพระบรมเชษฐา พระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวจึงต้องทรงปฏิบัติตาม

    เมื่อจะเสด็จฯ เข้ามาประทับได้โปรดให้ทำพิธีและสถาปนาอาคารสิ่งก่อสร้างต่างๆ ใหม่โดยมาก นับแต่โปรดให้ทำพิธีฝังอาถรรพ์ใหม่เมื่อวันขึ้น 2 ค่ำ เดือน 6ปีกุน ตรงกับวันที่ 2พฤษภาคม พ.ศ. 2394 ในพิธีนี้พราหมณ์ได้ฝังหลักอาถรรพ์ทุกป้อมและทุกประตูแห่งพระบวรราชวังรวม 80 หลัก

    ต่อจากนั้นโปรดให้สร้างพระราชมนเทียร พระที่นั่งและพระตำหนักต่างๆ เช่น พระที่นั่งเก๋งจีน เป็นพระราชมนเทียรที่ประทับลักษณะศิลปะแบบจีน พระที่นั่งอิศเรศราชานุสรณ์ เป็นพระราชมนเทียรที่ประทับลักษณะศิลปะแบบยุโรป พระที่นั่งมังคลาภิเษก พระที่นั่งชลสถานทิพอาศน์ พระที่นั่งประพาสคงคา พระที่นั่งทัศนาภิรมย์ พลับพลาสูง และพระตำหนักแดง เป็นต้น

    การสถาปนาพระบวรราชวัง ครั้งพระบาทสมเด็จพระปิ่นเกล้าเจ้าอยู่หัวนั้น นับว่างดงามและสมบูรณ์แบบ ซึ่งน่าจะเป็นด้วยเหตุ 3 ประการ คือ สร้างเพื่อเฉลิมพระเกียรติที่เสมอด้วยพระเจ้าแผ่นดิน สร้างแทนของเดิมซึ่งปรักหักพังให้บริบูรณ์ดังแต่ก่อน สร้างตามพระราชอัธยาศัยและตามพระราชหฤทัยพระองค์เอง

    (คัดบางส่วนจากหนังสือ วาทะประวัติศาสตร์ เขียนโดย ศันสนีย์ วีระศิลป์ชัย. สนพ.มติชน)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • wn01.png
      wn01.png
      ขนาดไฟล์:
      425.4 KB
      เปิดดู:
      113
    • wn02.png
      wn02.png
      ขนาดไฟล์:
      342.9 KB
      เปิดดู:
      113
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เที่ยงๆวันอาทิตย์หรรษา มาฟังธรรมกัน จะได้ทราบกันว่า เวลาที่เราทำบุญ ต้องทำอย่างไรให้ถูกต้อง ครับ
    .
    เรื่อง บุญกิริยาวัตถุ 10
    .
    .
    บุญกิริยาวัตถุ 10 ประการ

    .
    .
    ธรรมะ พุทธะ - บุญกิริยาวัตถุ ๑๐

    .
    .
    บุญที่แท้จริงคืออะไร บุญกิริยาวัตถุ10

    .
    .
    บุญกิริยาวัตถุ

    .
    .
    ถอดรหัสธรรม - บุญกิริยาวัตถุ 10

    .
    .

     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • boon10.png
      boon10.png
      ขนาดไฟล์:
      77.6 KB
      เปิดดู:
      141

แชร์หน้านี้

Loading...