บทความให้กำลังใจ(ทุกข์ทุกทีเมื่อมีมานะ)

ในห้อง 'จักรวาลคู่ขนาน' ตั้งกระทู้โดย supatorn, 8 พฤษภาคม 2017.

  1. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,496
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    ทุกข์ทุกทีเมื่อมีมานะ
    พระไพศาล วิสาโล

    ใคร ๆ ก็อยากให้ตัวเองดูดี เด่นกว่าคนอื่น ความอยากดังกล่าวทำให้เราปรารถนาความสำเร็จ อยากได้คำชม ซึ่งทำให้เราเกิดความวิตกกังวลตามมา เช่น เวลาจะทำอะไร ก็กลัวว่าทำออกมาไม่ดี กลัวล้มเหลว กังวลว่าคนอื่นจะมองฉันอย่างไร เกิดความประหม่า อันนี้บางคนก็เรียกว่าเป็นเรื่องอีโก้ ส่วนทางพุทธศาสนาเรียกว่ามานะ หลายคนทำงานแล้วไม่มีความสุขเพราะกลัวถูกต่อว่า กลัวถูกตำหนิ ความกลัวนี่แหละทำให้ทำงานไม่มีความสุข หรือบางทีก็ไม่กล้าจะทำอะไรเลย และนอกจากจะไม่มีความสุขแล้ว บางครั้งทำให้งานออกมาไม่ดีด้วย

    ในประเทศญี่ปุ่น มีเจ้าอาวาสวัดรูปหนึ่งในเกียวโตมีฝีมือมากในด้านการเขียนอักษรด้วยพู่กันที่เรียกว่า สุมิเย วัดนี้มีจุดเด่นอยู่ตรงซุ้มประตูเพราะมีคติธรรมที่เกิดจากฝีแปรงของเจ้าอาวาสท่านนี้ เป็นที่ยกย่องว่าสวยงามมาก คติธรรมนี้มีตัวอักษรเพียงแค่ไม่กี่ตัวเท่านั้น มีตำนานเล่าว่าตอนที่ท่านเขียนคติธรรมนี้ด้วยพู่กันขนาดใหญ่ มีลูกศิษย์คนหนึ่งอยู่ใกล้ ๆ คอยทำน้ำหมึกให้ท่าน ลูกศิษย์คนนี้เป็นคนที่ตาเฉียบคมและพูดตรง พออาจารย์ตวัดพู่กันเสร็จ ลูกศิษย์ก็พูดขึ้นมาว่า ยังไม่สวย อาจารย์ไม่ว่าอะไร ก็ตวัดอีกครั้งหนึ่ง ลูกศิษย์ว่าแย่กว่าเดิม อาจารย์จึงเขียนใหม่ แต่ลูกศิษย์ก็ยังเห็นข้อตำหนิ วันนั้นอาจารย์เขียนถึง ๘๐ ครั้งลูกศิษย์ก็ยังว่าไม่สวย จนอาจารย์เริ่มท้อแล้ว เผอิญลูกศิษย์มีธุระออกไปข้างนอก ในช่วงที่ลูกศิษย์ไม่อยู่นี้เอง อาจารย์เห็นเป็นโอกาสดี เพราะไม่ต้องห่วงว่าใครจะมองอย่างไร จึงตวัดพู่กันเดี๋ยวนั้นเลย พอลูกศิษย์กลับมาเห็นก็ตะลึง ชมว่าสวยมาก กลายเป็นผลงานที่ยืนยงมาจนทุกวันนี้


    นี่เป็นที่มาของศิลปะบนซุ้มประตูของวัดโอบากุ เรื่องนี้ชี้ให้เห็นว่า การทำงานนั้นจะได้ผลดีเมื่อเรารู้สึกว่าเราได้ทำอย่างอิสระ โปร่งโล่ง ไม่ต้องคำนึงหรือกังวลกับสายตาของใคร ผลงาน ๘๐ ชิ้นแรกของอาจารย์นั้นออกมาไม่ดีเพราะอาจารย์กังวลสายตาของลูกศิษย์ แต่พอลูกศิษย์ไม่อยู่ อาจารย์ก็ไม่มีความกังวลแล้ว จึงแสดงความสามารถออกมาสุดฝีมือ ผลงานออกมาอย่างเป็นธรรมชาติโดยที่ไม่มีความประหม่า ไม่มีความวิตกกังวล ตรงกันข้ามเมื่อใดก็ตามที่เรากังวลกับสายตาของคนอื่น จะเกิดตัวกูขึ้นมาอย่างชัดเจน คือเป็นห่วงว่าคนอื่นเขาจะมองฉันอย่างไร ถ้างานออกมาไม่ดี ฉันจะถูกต่อว่า ความรู้สึกว่ามีตัวกูแบบนี้แหละที่ทำให้งานนั้นออกมาไม่ดี คนที่มีตัวตนสูง หรือมีมานะมาก มักจะคาดหวังให้คนชม อยากให้คนสรรเสริญ ทำให้เกิดความกังวลขึ้นมา ไม่เป็นอิสระ เพราะเมื่ออยากให้คนชมก็ย่อมเกิดความกลัวว่าเขาจะตำหนิ ความกลัวนี้เองทำให้ผลงานออกมาได้ไม่เต็มที่ ไม่เป็นธรรมชาติ ไม่เป็นอิสระ

    พวกเราที่ดูบอลโลก เคยสงสัยไหมว่า นักฟุตบอลระดับโลกหลายคนเตะบอลทำไมจึงเตะลูกตรงจุดโทษไม่เข้า ทั้งๆ ที่เป็นจุดที่สามารถเตะบอลเข้าประตูได้ง่ายที่สุด ไม่ใช่เพราะคนเฝ้าประตูเก่ง บ่อยครั้งคนเฝ้าประตูไม่ต้องทำอะไรเลย เพราะอีกฝ่ายเตะลูกออกนอกกรอบ ไม่ว่าจะเป็นโรนัลโด้ โรนัลดินโญ่ เบ็คแฮม หรือเมสซี่ ล้วนมีประสบการณ์แบบนี้ทั้งนั้น ส่วนใหญ่มักจะเตะพลาดในนัดสำคัญคือนัดตัดเชือก หรือนัดชิงชนะเลิศ ถ้าเป็นการซ้อมในสนามธรรมดาหรือนัดไม่สำคัญ นักฟุตบอลเก่ง ๆ มักจะเตะเข้า แต่ถ้าเป็นนัดชี้ขาดโดยเฉพาะหากทีมของตัวเองเป็นฝ่ายตามหลังเขา ถ้าเตะเข้าก็จะเสมอหรืออาจจะได้เข้ารอบ แต่หลายคนเตะไม่เข้าทั้งๆ ที่มันง่ายที่สุด นั่นเป็นเพราะอะไร เป็นเพราะความกดดัน เพราะวิตกกังวลว่าถ้าเตะไม่เข้านอกจากจะแพ้แล้ว ตัวเองยังจะถูกโห่ถูกต่อว่า ว่าลูกง่ายๆ ทำไมเตะไม่เข้า คือถ้าลูกยากๆ เตะไม่เข้าก็ไม่มีใครว่าเพราะเป็นธรรมดา แต่ถ้าลูกง่ายๆ แล้วเตะไม่เข้า คนเตะก็เสียคนได้ พอมีความกังวลแบบนี้ก็เลยเครียด เกร็ง ทำให้เตะไม่เข้าจริง ๆ อันนี้เป็นเพราะมีตัวกูอยู่ มีความรู้สึกว่ากูอาจจะถูกด่า ความรู้สึกแบบนี้ให้เกิดความเครียด เพราะฉะนั้นเวลาอยู่ในสถานการณ์แบบนี้ หลายคนไม่อยากเตะนะ จอห์น เทอรี่ เคยเตะลูกโทษนัดชิงชนะเลิศแล้วไม่เข้า ก็เลยเลิกเตะลูกโทษเป็นปี เพราะเข็ดขยาดหรือขาดความมั่นใจ

     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    49,496
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,051
    (ต่อ)

    อันนี้เป็นด้านกลับของมานะ คือเมื่อมีมานะมากๆ คุณก็จะใส่ใจกับสายตาของผู้คนมาก ซึ่งทำให้คุณกลัวความล้มเหลว กลัวความผิดพลาด และถ้าคุณยิ่งกลัว ประการแรก มันทำให้คุณทำงานอย่างมีความทุกข์ ประการที่สอง ทำให้คุณทำงานไม่สำเร็จอย่างที่กลัวจริงๆ หรือผลงานออกมาไม่ดีเท่าที่ควร ต่างจากคนที่ไม่กลัวความล้มเหลว ไม่แคร์ว่าคนอื่นเขาจะว่าอย่างไร ฉันจะทำให้เต็มที่ คนที่คิดแบบนี้มักจะทำงานได้ดี อันนี้ต่างจากความเห็นของชาวตะวันตกที่ว่า ทำอย่างไรก็ได้ให้มีอีโก้เยอะๆ ต้องมีมานะเป็นแรงขับเคลื่อน จึงจะทำงานสำเร็จได้ แต่ว่าในความเป็นจริงเราก็จะเห็นว่า ถ้าการทำงานมีอัตตา มีมานะเข้ามาผลักดัน นอกจากจะให้เราเป็นทุกข์แล้ว ยังทำให้งานไม่สำเร็จด้วย


    โทษอีกประการหนึ่งของมานะ คือทำให้เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจ เพราะมานะทำให้อยากได้รับความสำคัญจากคนอื่น อยากให้ตัวกูได้รับการพะเน้าพะนอหรือตามใจ แต่เมื่อตัวกูไม่ได้รับการตอบสนอง ไม่ว่าจะเป็นลูก หรือสามีภรรยา พอถูกพ่อแม่หรือคนรักตำหนิ ไม่ตามใจ หรือไม่ให้ความสำคัญ ก็เกิดความน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา นี่เป็นด้านกลับของตัวมานะ เพราะว่ายิ่งอยากได้รับคำสรรเสริญชื่นชม อยากได้รับความสำคัญ แต่พอไม่ได้ บวกก็กลายเป็นลบทันที ความน้อยเนื้อต่ำใจจนเกิดการฆ่าตัวตายก็เพราะตัวมานะนี่แหละ

    ท่านอาจารย์พุทธทาสท่านใช้คำว่า “ปมเขื่อง” ฝรั่งรู้จักแต่คำว่า ปมด้อย แต่ท่านอาจารย์พุทธทาสบอกว่าปัญหาที่แท้จริงคือ ปมเขื่อง นั่นคือความต้องชูตัวตนให้สูงเด่น แต่พอไม่ได้รับการตอบสนองมันก็จะเหวี่ยงกลับ เหมือนกับรักเขามากแต่พอไม่ได้รับการตอบสนองก็กลายเป็นโกรธแล้วก็เกลียดตามมา เพราะรักกับโกรธหรือเกลียดนี้มันใกล้กันมากเลย มันเป็นด้านกลับของกันและกัน ปมเขื่องกับปมด้อยก็เช่นกัน เป็นด้านกลับของกันและกัน ความต้องการเป็นที่รัก เป็นที่ชื่นชม เป็นคนสำคัญ แต่พอไม่ได้รับความใส่ใจ ไม่ได้รับการตอบสนอง มันเกิดความไม่พอใจ รู้สึกน้อยเนื้อต่ำใจขึ้นมา แล้วก็เกิดการทำร้ายตัวเอง

    นอกจากมานะจะทำให้เรากลัวความล้มเหลว กลัวถูกตำหนิ กลัวถูกวิจารณ์ กลัวไม่ได้รับคำชม สุดท้ายมันยังทำให้เรากลัวตายด้วย เราคงเคยได้ยินคำพูดที่ว่า “รักตัวกลัวตาย” นั่นคือ เพราะรักตัวจึงกลัวตาย ลึก ๆ แล้วคนเราทุกคนล้วนรักตัว หวงแหนตัวตน มานะในด้านหนึ่งก็หมายถึงการหวงแหนตัวตน หวงแหนตัวกู เพราะฉะนั้นจึงทำให้กลัวตายมาก สังคมหรือวัฒนธรรมที่กระตุ้นให้คนเกิดมานะเยอะๆ เช่น สังคมตะวันตก หรือสังคมสมัยใหม่ ผู้คนจะรู้สึกกลัวตายมาก คนที่มีมานะเบาบาง ปล่อยวางตัวตนได้ จะสามารถยอมรับความตายได้ง่ายกว่า

    ฉะนั้นการพยายามกระตุ้นให้คนเกิดมานะมากๆ นั้นไม่เพียงแต่จะทำให้คนเรามีความทุกข์ขณะที่มีชีวิต และในเวลาทำงานเท่านั้น แม้แต่เวลาตายก็ตายไม่มีความสุข โดยเฉพาะเมื่อคุณพบว่า เวลาล้มป่วยคุณทำอะไรไม่ได้เลย แต่ก่อนเคยบังคับบัญชา สั่งการทุกอย่างได้ แต่พอล้มป่วยแล้วก็อยู่ในสภาพที่ช่วยเหลือตัวเองไม่ได้ แม้แต่จะบังคับบัญชาร่างกายก็ทำไม่ได้ ในสภาพเช่นนี้คนที่มีอัตตาสูงจะทุกข์ทรมานมาก คนเก่งจำนวนมาก เมื่อถึงเวลาป่วย นอนช่วยเหลือตัวเองไม่ได้อยู่บนเตียง อยู่ในโรงพยาบาล เขาจะรู้สึกอึดอัดมาก และจะพยายามแสดงอำนาจโดยการสั่งคนนั้นคนนี้โดยเฉพาะพยาบาลอยู่ตลอดเวลา เพราะชีวิตของเขาเคยสั่งได้ตลอด เมื่อมานอนป่วยก็ทำใจไม่ได้ที่ไม่สามารถทำอะไรได้เหมือนเดิม ก็ยิ่งโกรธและแสดงออกด้วยการใช้อำนาจกับหมอ กับพยาบาล ใช้อำนาจกับคนเฝ้า พยาบาลหลายคนเล่าว่า ถ้าเจอคนไข้ที่มีตำแหน่งสูงๆ จะเจอปัญหาแบบนี้มาก เพราะเขาเคยชินกับการใช้อำนาจ คุ้นเคยกับการสั่งคนนั้นคนนี้ตลอดเวลา แต่สิ่งที่เขาลืมไปก็คือ การยอมรับความจริงว่าถึงที่สุดแล้ว เราก็ควบคุมอะไรไม่ได้เลยแม้กระทั่งกับร่างกายตัวเราเอง
    คนเก่งๆ คนที่ประสบความสำเร็จในการทำงานโดยเฉพาะคนที่เป็นผู้นำ ผู้บริหาร มักมีมานะหรืออัตตาสูงตามไปด้วย เมื่อถึงเวลาป่วยก็จะป่วยอย่างทุกข์ทรมานมาก เวลาใกล้ตายก็จะขัดขืนต่อสู้กับความตาย จึงมักทุกข์ทรมานมากกว่าคนทั่วๆ ไป ชาวบ้านส่วนมาก เขาทำใจได้มากกว่า เพราะตลอดชีวิตเขาต้องทำใจมาตลอด ทำใจกับดินฟ้าอากาศ ทำใจกับสิ่งที่ไม่สมหวัง เจอตำรวจหรือข้าราชการ ก็ต้องยอม ดังนั้นพอถึงเวลาจะตายก็ไม่ดิ้นรนขัดขืน ต่างจากคนที่มีมานะมากๆ ประสบความสำเร็จมากๆ ใช้อำนาจสั่งการผู้คนตลอดเวลา ถึงตอนที่ทำอะไรไม่ได้ จะรู้สึกอึดอัด กระสับกระส่าย ทุรนทุราย

    :- https://visalo.org/article/suksala14.htm
     

แชร์หน้านี้

Loading...