บทความที่เกี่ยวกับ "พญานาค" น่าสนใจมากๆค่ะ

ในห้อง 'ประสบการณ์ เรื่องเล่า' ตั้งกระทู้โดย lynn@nice, 4 พฤษภาคม 2011.

  1. rungaran

    rungaran เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    15,573
    ค่าพลัง:
    +57,322
    เข้ามาติดตามเช่นเคย ขอบคุณสำหรับเรื่องราวดีๆครับคุณลิน
    เรื่องของ พญานาค ผมละชอบจริงๆครับ ไม่รู้ว่าเป็นเพราะอะไรครับ
     
  2. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    อาจจะเป็นบุญสัมพันธ์ ในอดีตชาติ ก็ได้ค่ะ บางคนได้อ่านอาจจะ ขำ ไร้สาระ งมงาย ก็ขอให้ใช้วิจารณ์ญาณในการรับชมก็แล้วกันค่ะ
    ในส่วนตัว ลินก็ชอบมากๆเลยค่ะ จะพยายามหาบทความของ ครูบาอาจารย์ มาลงให้ได้อ่านกันค่ะ ขอบคุณค่ะ
     
  3. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    <table width="350" align="center" border="0" cellpadding="3" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td>
    หลวงปู่ชอบกับพญานาค
    </td> </tr> </tbody></table>
    หลวงปู่ชอบ ฐานสโม เป็นศิษย์รูปหนึ่งของพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต ... มีอยู่ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ชอบได้ธุดงค์ร่วมกับพระอาจารย์มั่น ท่านเล่าไว้ว่า

    “เราตามท่านพระอาจารย์มั่นไปปักกลดอยู่ริมบึงน้ำใหญ่แห่งหนึ่ง ในเขตป่าดงดิบ เราเดินสำรวจรอบๆ ปากบึง ได้พบความผิดปกติอย่างหนึ่ง ทั้งนี้ เพราะปกติแล้ว น้ำในบึงย่อมเป็นที่พึ่งพาอาศัยของเหล่าสัตว์ป่าทั้งหลาย เมื่อมีสัตว์มากินน้ำแล้ว ย่อมต้องทิ้งร่องรอยไว้ แต่ที่นี่ ทำไมไม่ปรากฏรอยเท้าสัตว์เลย...

    เราจึงได้กำหนดจิตตรวจดู ก็ทราบว่า พญานาคไร้คุณธรรมตนหนึ่ง ได้พ่นพิษครอบคลุมน้ำในบึงเอาไว้ ไม่ว่ามนุษย์หรือสัตว์ หากกินน้ำในบึงนี้แล้ว ย่อมถึงความสิ้นชีวิต ด้วยพิษอันร้ายกาจนั้น เราจึงเข้าไปบอกพระธุดงค์รูปอื่นๆ อย่าแตะต้องน้ำในบึงนี้ และได้ไปเรียนให้ท่านอาจารย์ทราบ... ท่านอาจารย์ก็บอกว่า “เธอพูดถูกต้องแล้ว ขอให้งดให้น้ำก่อน เราจะไปติดต่อกับพญานาคเอง”

    ต่อมาวันหนึ่ง ท่านอาจารย์เรียกเราไปบอกว่า "เธอไปบอกให้พระรูปอื่นใช้น้ำในบึงได้แล้ว” ซึ่งเราได้ทราบภายหลังว่า ท่านอาจารย์ได้ทรมานพญานาคจนหมดทิฐิ แล้วบอกว่า “ท่านใยจึงพ่นพิษลงมา หมายจะสังหารพระสงฆ์ผู้ทรงศีล มิรู้หรือว่าเป็นกรรมหนักถึงตกนรกอเวจี ท่านจงรีบไปถอนพิษออกเสียเถิด”

    พระยานาคจึงไปถอนพิษออกจนหมดสิ้น ... ต่อมาพญานาคนั้น ได้ชวนพวกพ้องบริวารมาฟังธรรมจากท่านอาจารย์ และถวายอารักขาแก่คณะพระธุดงค์ จนย้ายไปที่อื่น

    <hr width="300" align="center" color="#cc6600" size="1">
    หลวงปู่ชอบ เมื่อคราวท่านนำหมู่คณะพระสงฆ์ธุดงค์ข้ามไปฝั่งลาว แล้วปักกลดอยู่ใกล้หมู่บ้านลาว ไม่ไกลจากแม่น้ำโขง ...หลังจากท่านฉันภัตตาหารแล้ว ชาวบ้านได้นำบาตรขอท่านไปล้าง และเทเศษอาหารลงไปในน้ำโขง

    ณ ขณะนั้น ท่านก็ได้ยินเสียง ตลิ่งพังครืนๆ พร้อมกับชาวบ้านที่อยู่ริมตลิ่ง วิ่งหน้าตื่นตกใจหนีมาหาท่าน.. ท่านกำหนดจิตตรวจดูก็รู้ทั่วทั้งหมด... พอชาวบ้านวิ่งมาถึง ก็เล่าให้ท่านฟังว่า

    “น้ำในแม่น้ำโขงที่ใสๆ อยู่ๆ ก็ขุ่นคลั่ก เหมือนมีอะไรมากวนน้ำจนน้ำเป็นน้ำวนใหญ่รุ่นแรง แรงหมุน ทำให้คลื่นน้ำมากระทบตลิ่ง จนตลิ่งพังทลายลง ถ้าวิ่งหนีไม่ทัน มีหวังจมลงไปในน้ำวนแน่ๆ”

    หลวงปู่ทราบแล้วว่า พญานาคในลำน้ำโขง มีความโกรธที่คนเหล่านั้นเอาน้ำพริก น้ำปลาร้าไปถูกตัวเขาซึ่งอยู่แถวนั้นพอดี เขาจึงใช้ลำตัวฟาดไปมาด้วยแรงฤทธิ์ ทำเอาน้ำวนและตลิ่งพัง.. หลวงปู่ชอบจึงบอกชาวบ้านว่า

    “อย่าเอาน้ำพริกน้ำปลาร้า เศษกับข้าว ไปเทลงในน้ำอีกเด็ดขาด”

    ต่อมา มีพระรูปหนึ่งถือดี ไม่เชื่อฟังหลวงปู่ชอบ... วันหนึ่งแอบเอาเศษน้ำล้างบาตร ไปเทลงในแม่น้ำ ก็เกิดเหตุอาเพท น้ำหมุนวน ตลิ่งพัง จนต้องรีบวิ่งหนี แทบเอาชีวิตไม่รอด... หลังจากนั้น ทุกคน จงยอมเชื่อฟังแต่โดยดี

    เมื่อเข้าพรรษา หลวงปู่ชอบ ได้จำพรรษาอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่ง ไม่ไกลแม่น้ำโขงนัก... คืนหนึ่งพญานาคตนนั้น ได้ขึ้นมาถวายความเคารพหลวงปู่ ที่ได้ห้ามคนไม่ให้ทิ้งเศษอาหารลงแม่น้ำ ทำให้น้ำสะอาด อยู่สบาย. นาคตนนั้น ส่วนหัวมานมัสการที่ปากถ้ำ ส่วนหาง ยังอยู่ที่ฝั่งน้ำโขงซึ่งห่างกันไกลเป็นกิโลเลยทีเดียว...

    หลวงปู่ชอบเล่าว่า

    “เราพบว่า เขาสร้างกรรมไว้โดยไม่ตั้งใจ คือ เมื่อชาติก่อน เขาเป็นชายหนุ่มผู้มั่นในศีล๕ แต่วันหนึ่ง ถือวิสาสะว่าคุ้นเคย ได้ถือมีดของพระสงฆ์ไปใช้เป็นของส่วนตัว ด้วยกรรมนี้ เมื่อตายไป จึงมาเกิดเป็นพญานาค แม้แสดงฤทธิ์ได้ แต่อับวาสนาไม่ได้เป็นคน...”

     
  4. 15 ค่ำ

    15 ค่ำ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    2,108
    ค่าพลัง:
    +10,575
    เข้ามาติดตามเรื่องราวดีๆเช่นเคย ขอบคุณพี่ลินมากครับ
     
  5. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ขอขอบคุณ เจ้าของบทความค่ะ
    จัดทำโดยครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
    โรงเรียสตรีศรีสุริโยทัย เขตสาทร กทม.

    นาค…เจ้าแห่งงู หรือ พญานาค
    [​IMG]
    ภาพจำลองพญานาคนาคเล่นน้ำ

    • พญานาค เป็นสัตว์มหัศจรรย์ ที่มีคุณสมบัติพิเศษ คือ สามารถแปลงกายได้ พญานาค มีอิทธิฤทธิ์ และมีชีวิตใกล้กับคน พญานาค สามารถแปลงเป็นคนได้ เช่นคราวที่แปลงเป็นคนมาขอบวชกับพระพุทธเจ้า ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวถึงนาคที่ชื่อ ถลชะ ที่แปลว่า เกิดบนบก จะเนรมิตกายได้เฉพาะบนบก และนาคชื่อ ชลซะ แปลว่า เกิดจากน้ำ จะเนรมิตกายได้เฉพาะในน้ำเท่านั้น
    • พญานาค ถึงแม้จะเนรมิตกายเป็นอะไร แต่ในสภาวะ 5 อย่างนี้ จะต้องปรากฎเป็นงูใหญ่เช่นเดิม คือ ขณะเกิด ขณะลอกคราบ ขณะสมสู่กันระหว่างนาคกับนาค ขณะนอนหลับ โดยไม่มีสติ และที่สำคัญ ตอนตาย ก็กลับเป็นงูใหญ่เหมือนเดิม
    • .พญานาค มีพิษร้าย สามารถทำอันตรายผู้อื่นได้ด้วยพิษ ถึง 64 ชนิด ซึ่งตามตำนานกล่าวว่า สัตว์จำพวกงู แมงป่อง ตะขาบ คางคก มด ฯลฯ มีพิษได้ ซึ่งก็ด้วยเหตุที่ นาคคายพิษทิ้งไว้ แล้วพวกงูไปเลีย พวกที่มาถึงก่อนก็เอาไปมาก พวกมาทีหลัง เช่น แมงป่อง กับ มด ได้พิษน้อย แค่เอาหาง เอากันไปป้ายเศษพิษ จำพวกนี้จึงมีพิษน้อย และพญานาคต้องคายพิษทุก 15 วัน
    • พญานาค อาศัยอยู่ใต้ดิน หรือบาดาล คนโบราณเชื่อว่าเมื่อบนสวรรค์มีเทพเทวาอาศัยอยู่ลึกลงไปใต้พื้นโลก ก็น่าจะมีสิ่งมีชีวิตอาศัยอยู่ ในหนังสือไตรภูมิพระร่วง กล่าวว่า ที่ที่นาคอยู่นั้นลึกลงไปใต้ดิน 1 โยชน์ หรือ 16 กิโลเมตร มีปราสาทราชวังที่วิจิตรพิสดารไม่แพ้สวรรค์ ที่มีอยู่ถึง 7 ชั้น เรียงซ้อน ๆ กัน ชั้นสูง ๆ ก็จะมีความสุขเหมือนสวรรค์
    • พญานาค สามารถผสมพันธุ์กับสัตว์ชนิดอื่นได้ แปลงกายแล้วผสมพันธุ์กับมนุษย์ได้ เมื่อนาคตั้งท้องจะออกลูกเป็นไข่เหมือนงู มีทั้งพันธุ์เศียรเดียว 3, 5 และ 7 เศียร สามารถขึ้นลง ตั้งแต่ใต้บาดาลพื้นโลก จนถึงสวรรค์ ในทุกตำนานมักจะกล่าวถึงนาคที่ขั้น-ลง ระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองสวรรค์ ที่จะแปลงกายเป็นอะไรตามที่คิด ตามสภาวะเหตุการณ์นั้น ๆ
    จะเห็นว่า พญานาค หรือ งูใหญ่ นั้นมีความเป็นมาและถิ่นที่อยู่เป็นสัดส่วนในภพหนึ่งต่างหาก จะมีเป็นบางครั้งที่มนุษย์สามารถมองเห็นได้ พญานาค เป็นทั้งเอกลักษณ์ของความดี และความไม่ดี
     
  6. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    นาค…เกี่ยวพันกับชีวิต น้ำ ธรรมชาติ
    [​IMG]
    พญานาค สัญลักษณ์ของผู้เกิดปีมะโรง
    จะได้ยินอยู่เสมอว่า ปีนี้นาคให้น้ำเท่าไร กี่ตัว ฝนฟ้าดี หรือไม่ดี นาคให้น้ำสร้างความอุดมสมบูรณ์แก่สรรพชีวิตทั้งปวง พญานาค ที่อาศัยอยู่ในสวรรค์ใต้น้ำ ตามคติฮินดู พญาอนันตนาคราช แท่นบรรทมของพระนารายณ์ ที่นับถือเป็นเทพเจ้า พญานาค เปรียบได้กับท้องน้ำทั้งหลายในจักรวาล นาคมีอิทธิฤทธิ์บันดาลให้ฝนตกหรือไม่ตกก็ได้ ตลอดจนสามารถแปลงกายเป็นเมฆฝนได้ พญานาค...เป็นที่มาของแม่น้ำต่าง ๆ อันหมายถึงผู้รักษาพลังแห่งชีวิตทั้งหลาย ตามความเชื่อของชาวพุทธ เทวดาแห่งน้ำ คือ วรุณและสาคร ที่ต่างก็เป็นจอมแห่งนาคราช นอกจากที่เกี่ยวข้องกับน้ำบนโลกแล้ว นาคยังเกี่ยวข้องกับน้ำในสวรรค์อีกด้วย คนโบราณเชื่อว่า สายรุ้ง กับ นาค เป็นอันเดียวกัน ที่เชื่อมระหว่างโลกมนุษย์กับโลกสวรรค์ข้างหนึ่งของรุ้งจะดูดน้ำจากพื้นโลกขึ้นไปข้างบน เมื่อถึงจุดที่สูงสุดก็จะปล่อยน้ำลงมาเป็นฝนที่มีลำตัวของนาคเป็นท่อส่ง
    ในตำนานสิงหนวัติ กล่าวว่า เมื่อเจ้าเมืองสิงหนวัติอพยพคนมาจากทางเหนือ พญานาคแปลงกายมาช่วยชี้ที่ตั้งเมืองใหม่ และขอให้อยู่ในทศพิธราชธรรม พอตกกลางคืนก็ขึ้นมาสร้างคูเมือง 4 ด้าน เป็น เมืองนาคพันธุ์สิงหนวัติ ต่อมาเมื่อยกทัพปราบเมืองอื่นได้ และรวมดินแดนเข้าด้วยกัน จึงเปลี่ยนชื่อเป็น แคว้นโยนกนาคราช ที่เห็นได้ชัดก็คือ ที่ปราสาทพนมรุ้ง จะมีคูเมืองที่เป็นสระน้ำ 4 ด้าน รอบปราสาทและมี พญานาค อยู่ด้วย ตามความเชื่อของคนสมัยโบราณ นาคจะมีความหมายเป็นอย่างอื่นไม่ได้นอกจากน้ำ เช่น การสร้างศาสนสถานไม่ว่าจะเป็นอุโบสถ นาคที่ราวบันได จึงมี พญานาค ซึ่งตามความเป็นจริง (ความเชื่อ) การสร้างต้องสร้างกลางน้ำ เพื่อให้ดูเหมือนว่าศาสนสถานนั้นลอยอยู่เหนือน้ำ แต่ก็ไม่ต้องสร้างจริง ๆ เพียงแต่มีสัญลักษณ์ พญานาค ไว้ เช่น ที่ปราสาทพนมรุ้ง จังหวัดบุรีรัมย์ เป็นต้น
    แม้เกี่ยวกับชีวิตมนุษย์ ก็จะมีอยู่ในราศีเกิด เช่นของคนนักษัตรปีมะโรง ที่มีความหมายถึง ความยิ่งใหญ่และพลังอำนาจ ที่มี พญานาค เป็นสัญลักษณ์
    นาคให้น้ำ...พญานาค เป็นสัญลักษณ์แห่งธาตุน้ำ "นาคให้น้ำ" เป็นเกณฑ์ที่ชาวบ้านรู้และเข้าใจดี ที่ใช้วัดในแต่ละปี จำนวนนาคให้น้ำมีไม่เกิน 7 ตัว ถ้าปีไหนอุดมสมบูรณ์มีน้ำมากเรียกว่า "นาคให้น้ำ 1 ตัว" แต่หากปีไหนแห้งแล้งเรียกว่าปีนั้น "มีนาคให้น้ำ 7 ตัว" จะวัดกลับกันกับจำนวนนาค ก็คือที่น้ำหายไป เกิดความแห้งแล้งนั้นก็เพราะ พญานาคกลืนน้ำไว้ในท้อง
    เกี่ยวข้องกับคนไทย...เรามักจะเห็นสัญลักษณ์ที่เกี่ยวกับนาคได้เสมอ ในงาน จิตรกรรม ประติมากรรม และหัตถกรรม นาคเป็นส่วนประกอบที่สำคัญทางสถาปัตยกรรม โดยเฉพาะตามอาคารวัดต่าง ๆ หลังคาอาคารที่สร้างขึ้นสำหรับสถาบันพระมหากษัตริย์ และสถานบันศาสนสถาน ตามคตินิยมที่ว่า นาคยิ่งใหญ่คู่ควรกับสถาบันอันสูงส่ง เช่น นาคสะดุ้ง ที่ทอดลำตัวยาวตามบันได นาคลำยอง ที่ทำเป็นป้านลมหลังคาโบสถ์ ที่ต่อเชื่อมกับนาคสะดุ้ง นาคเบือน นาคจำลอง และนาคทันต์คันทวยรูปพญานาค
    พญานาค...เกี่ยวข้องกับพระพุทธศาสนา
    ตามตำนาน พญานาค มีอยู่ก่อนสมัยพระพุทธเจ้าแล้ว ดังเช่น หลังจากพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสรู้ธรรมพิเศษแล้ว ได้เสด็จไปตามเมืองต่าง ๆ เพื่อแสดงธรรมเทศนา มีครั้งหนึ่งได้เสด็จออกจากร่มไม้อธุปปาลนิโครธ ไปยังร่มไม้จิกชื่อ "มุจลินท์" ทรงนั่งเสวยวิมุตติสุข อยู่ 7 วัน คราวเดียวกันนั้นมีฝนตกพรำ ๆ ประกอบไปด้วยลมหนาวตลอด 7 วัน ได้มีพญานาคชื่อ "มุจลินท์" เข้ามาวงด้วยขด 7 รอบพร้อมกับแผ่พังพานปกพระผู้มีพระภาคเจ้า เพื่อจะป้องกันฝนตกและลมมิให้ถูกพระวรกาย หลังจากฝนหายแล้ว คลายขนดออก แปลงเพศเป็นมานพมายืนเฝ้าที่เบื้องพระพักตร์ ด้วยความศรัทธาอย่างแรงกล้า
    ความเชื่อดังกล่าวทำให้ชาวพุทธสร้างพระพุทธรูปปางนาคปรก แต่มักจะสร้างแบบพระนั่งบนตัวพญานาค ซึ่งดูเหมือนว่าเอาพญานาคเป็นบัลลังก์ เพื่อให้เกิดความสง่างาม และทำให้คิดว่า พญานาค คือผู้คุ้มครองพระศาสดา
    พญานาค...สะพาน (สายรุ้ง) ที่เชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์ หรืออีกชื่อหนึ่งก็คือ โลกศักดิ์สิทธิ์ ความเชื่อที่ว่า พญานาคกับรุ้ง เป็นอันเดียวกัน ก็คือสะพานเชื่อมโลกมนุษย์กับสวรรค์นั่นเอง
    นาคสะดุ้ง...ที่ราวบันไดโบสถ์นั้นได้สร้างขึ้นตามความเชื่อถือ "บันไดนาค" ก็ด้วยความเชื่อดังกล่าว แม้ตอนที่พระพุทธเจ้าเสด็จลงมาจากดาวดึงส์ ก็โดยบันไดแก้วมณีสีรุ้ง ที่เทวดาเนรมิตขึ้นและมีพญานาคจำนวน 2 ตน เอาหลังหนุนบันไดไว้หรือแม้แต่ ตุง ของชาวล้านนา และพม่า ก็เชื่อกันว่าคลี่คลายมาจากพญานาค และหมายถึงบันไดสู่สวรรค์
    ความเชื่อของชาวฮินดู ก็ถือว่า นาคเป็นสะพานเชื่อมภาวะปกติ กับที่สถิตของเทพ ทางเดินสู่วิษณุโลก เช่น ปราสาทนครวัด จึงทำเป็น พญานาคราช ที่ทอดยาวรับมนุษย์ตัวเล็ก ๆ สู่โลกแห่งความศักดิ์สิทธิ์ หรือก็บั้งไฟของชาวอีสานที่ทำกันในงานประเพณีเดือนหก ก็ยังทำเป็นลวดลาย และเป็นรูปพญานาค พญานาคนั้นจะถูกส่งไปบอกแถนบนฟ้าให้ปล่อยฝนลงมา
    ในสมัยพระพุทธเจ้า มีพญานาคตนหนึ่งนั่งฟังธรรมเทศนาของพระพุทธเจ้าแล้วได้เกิดศรัทธา จึงได้แปลงกายเป็นมนุษย์ขอบวชเป็นพระภิกษุ แต่อยู่มาวันหนึ่งเข้านอนในตอนกลางวัน หลังจากหลับแล้วมนต์ได้เสื่อมกลายเป็นงูใหญ่ จนพระภิกษุรูปอื่นไปเห็นเข้า ต่อมาพระพุทธเจ้าทรงทราบจึงให้พระภิกษุนาคนั้นสึกออกไป เพราะเป็นสัตว์เดรัจฉาน นาคตนนั้นผิดหวังมาก จึงขอถวายคำว่า นาค ไว้ใช้เรียกผู้ที่เข้ามาขอบวชในพระพุทธศาสนา เพื่อเป็นอนุสรณ์ในความศรัทธาของตน
    ต่อจากนั้นมาพระพุทธเจ้าจึงทรงบัญญัติไม่ให้สัตว์เดรัจฉาน ไม่ว่าจะเป็นนาค ครุฑ หรือสัตว์อื่น ๆ บวชอีกเป็นอันขาด เพราะก่อนที่อุปัชฌาย์จะอุปสมบทให้แก่ผู้ขอบวชจะต้องถาม อัตรายิกธรรม หรือข้อขัดข้องที่จะทำให้ผู้นั้นบวชเป็นพระภิกษุไม่ได้ รวม 8 ข้อเสียก่อน ในจำนวน 8 ข้อนั้น มีข้อหนึ่งถามว่า "ท่านเป็นมนุษย์หรือเปล่า"

    • เหตุที่พระสุกจมน้ำ ที่เวินสุก บ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย
    มีการเล่าขานถึงความศรัทธาของพญานาคว่า เหล่าพญานาค นั้นเป็นผู้ที่มีความเคารพ และศรัทธาในพระพุทธเจ้ามาก หลังจากที่มีการสร้างพระพุทธรูปขึ้นที่เมืองล้านช้าง ประเทศลาว ความทราบถึงเหล่าพญานาค ที่อยู่เมืองบาดาล จึงได้แปลงกายขึ้นไปขอพระพุทธรูปกับเจ้าเมืองล้านช้าง โดยเจาะจงขอเอาพระสุก เพื่อไปไหว้สักการะบูชา ที่เมืองบาดาล ปกติเหล่าพญานาคเป็นผู้ที่ถือศีลแปดเคร่งครัดมาก พญานาค จะไม่ทำร้ายใคร ส่วนมนุษย์ตายในน้ำที่ว่าเงือกกินนั้น เงือกก็คือ พญานาค ชั้นเลว ประพฤติตนเกเร จึงชอบทำร้ายมนุษย์ตามน้ำ เดี๋ยวนี้พระสุกก็ยังจมอยู่ในแม่น้ำโขง ที่ที่เป็นที่อยู่ของเหล่า พญานาค ในเมืองบาดาล เวินสุกอยู่ตรงข้ามกับบ้านหนองกุ้ง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย ตรงนั้นเป็นบริเวณปากน้ำงึมไหลลงมาออกแม่น้ำโขง เป็นแม่น้ำสองสี

    • เมืองพญานาค หรือเมืองบาดาล
    ในเมื่อมีเมืองมนุษย์ หรือโลกมนุษย์ โลกสวรรค์ หรือเมืองสวรรค์ ก็ต้องมีเมืองบาดาล (เมืองพญานาค) สองเมืองนอกจากเมืองมนุษย์แล้วหลายคนก็คงต้องอยากไปเป็นแน่ วิสัยของมนุษย์ชอบในสิ่งที่ท้าทาย ยิ่งห้ามก็ยิ่งอยากพบ อยากเห็นเมืองบาดาลอยู่ใต้เมืองมนุษย์ลงไปในใต้ดิน 16 กิโลเมตร (ตามความเชื่อ) มีคำเล่าลือเกี่ยวกับเมืองบาดาลในเขต อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย (แต่อย่าอุตริขุดไปหาพญานาคก็แล้วกัน)

    • พระพุทธเจ้าเสด็จเทวโลก
    ครั้งหนึ่ง เมื่อพระพุทธเจ้าได้เสด็จพร้อมด้วยพระอรหันต์จำนวน 500 รูป เพื่อเสด็จไปยังเทวโลก ได้ผ่านวิมานของเหล่าพญานาค ที่กำลังมีการรื่นเริงกันอย่างสนุกสนาน ที่มี นันโทปะนันทะนาคราช เป็นประธานใหญ่ เมื่อเห็นคณะสงฆ์ผ่านไปเหนือวิมานจึงมีความโกรธมาก จึงได้ตรงไปยังเขาพระสุเมรุแปลงตนเป็นนาคขนาดใหญ่ พันโอบเขาพระสุเมรุด้วยขดถึง 7 รอบ แล้วแผ่พังพานบังชั้นดาวดึงส์เอาไว้ เพื่อไม่ให้พระพุทธเจ้าและพระสงฆ์ผ่านไปได้ และเมื่อเป็นดังนั้นได้มีพระอรหันต์หลายรูปอาสาปราบ แต่พระพุทธเจ้าไม่ทรงอนุญาต จน พระโมคคัลลานะ ผู้ซึ่งตามเสด็จไปด้วยอาสา พระองค์จึงทรงอนุญาต ดังนั้น พระโมคคัลลานะ จึงได้แปลงกายเป็นนาคราชขนาดใหญ่กว่าถึงเท่าตัว พันเอานาคนันโทปะนันทะนาคราช เอาไว้ด้วยขดถึง 14 รอบ นาคราชทนไม่ไหวบันดาลให้ไฟลุกขึ้น พระโมคคัลลานะ ก็ให้เกิดไฟขึ้นเช่นกัน ไฟของนันโทปะนันทะนาคราชสู่ไม่ไหว จึงถามว่า "ท่านผู้เจริญ ท่านเป็นใคร" ตอบว่า "เราคือโมคคัลลานะ ศิษย์ของตถาคต" นันโทปะนันทะนาคราช จึงบอกว่า ท่านจงคืนร่างกลับเป็นพระเหมือนเดิมเถิด แต่ด้วยนิสัยของผู้รู้ว่า นันโทปะนันทะนาคราช เป็นคนไม่ยอมแพ้ใครง่าย ๆ จึงได้แปลงกายให้เล็กนิดเดียว สามารถเข้ารูหู รูจมูกได้ แล้วเข้าไปตามรูต่าง ๆ จน นันโทปะนันทะนาคราช ทนไม่ไหว และนันโทปะนันทะนาคราช สู้ไม่ได้จึงหนีไป พระโมคคัลลานะ จึงแปลงร่างเป็นพญาครุฑไล่ติดตามไป เมื่อหนีไม่พ้นจึงแปลงร่างเป็นมาณพหนุ่ม ยอมแพ้พระโมคคัลลานะและที่สุดจึงยอมให้พระพุทธเจ้าพร้อมพระอรหันต์ผ่านไปแต่โดยดี
     
  7. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ใต้เมืองโพนพิสัย ลักษณะของอำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคายที่ตั้งอยู่ริมฝั่งแม่น้ำโขง ด้านหัวเมืองจะมีลำห้วยหลวงไหลออกมา เรียกว่า ปากห้วยหลวง ตรงข้ามกับอำเภอโพนพิสัย คือ บ้านโดน ที่ขึ้นกับเมืองปากงึม ทุกวันนี้มีเรื่องเล่าขานเกี่ยวกับเมืองบาดาลที่เชื่อว่าอยู่ใต้อำเภอโพนพิสัย ว่า ในหน้าแล้งจะมีหาดทรายขึ้นกลางแม่น้ำโขง แต่บริเวณอำเภอโพนพิสัยหาดทรายนี้จะขึ้นอยู่ฝั่งลาว บริเวณบ้านโดน วันหนึ่งในหน้าแล้งตอนเที่ยงวัน ได้มีหญิงสาวชาวบ้านโดนคนหนึ่ง ได้ลงมาตักเพื่อไปดื่ม โดยมีกระป๋องน้ำ (หาบครุ) ลงมาที่หาดทราย เพราะบริเวณนั้นมีน้ำออกบ่อ (น้ำริน) เมื่อลงมาแล้วได้หายไป ชาวบ้านลงมาเห็นแต่กระป๋องน้ำ (หาบครุ) พ่อ แม่ ต่างก็ตามหากันแต่ไม่พบ จนครบ 7 วัน เมื่อไม่เห็นลูกสาว และคิดว่าลูกสาวคงจมน้ำตายแล้ว จึงได้พร้อมกับญาติพี่น้อง ชาวบ้านจัดทำบุญอุทิศให้ ในตอนกลางคืนก็มีหมอลำสมโภช จนเวลาต่อมาเวลาประมาณเที่ยงคืน ลูกสาวคนที่เข้าใจว่าจมน้ำตาย ก็ปรากฎตัวขึ้นที่บ้าน ขณะที่ชาวบ้านกำลังฟังหมอลำกันอยู่ ทำให้ญาติพี่น้องแตกตื่นกันเป็นอย่างมาก บางคนก็วิ่งหนีเพราะคิดว่าเจอผีหลอกเข้า สุดท้ายลูกสาวจึงได้เล่าเรื่องราวที่เกิดขึ้นให้ฟัง หลังจากที่ตั้งสติได้ และแล้วญาติพี่น้องก็เข่ามาร่วมวงนั่งฟัง หญิงสาวเล่าให้ทุกคนฟังว่า
    "วันนั้นอากาศร้อนมาก น้ำดื่มหมดโอ่ง เมื่อลงไปเพื่อจะตักน้ำ เมื่อวางกระป๋องน้ำ (หาบครุ) ปรากฎว่าเห็นมีหมู เหมือนกับว่าได้ยกเท้าหน้าเรียกให้เข้าไปหา ตนได้เดินเข้าไปหา แล้วหมูตัวนั้นก็บอกว่าให้หลับตา จะพาลงไปเมืองบาดาล พอหลับตาได้สักครู่ หมูตัวนั้นก็บอกให้ลืมตา เมื่อลืมตาขึ้นปรากฎว่าตนมาอยู่อีกเมืองหนึ่ง ซึ่งมีลักษณะเหมือนกับเมืองมนุษย์ มีดิน มีบ้านเรือนเรียงรายกันอยู่ แต่จะมีแปลกก็ตรงที่ทุกคนจะนุ่งผ้าแดง และมีผ้าพันศรีษะเป็นสีแดงเหมือนกัน โดยด้านหน้าจะปล่อยให้ผ้าแดงห้อยลงเหมือนกับหัวงู เมื่อเดินตามชายคนนั้น (กลับร่างหมู กลายเป็นคน) ก็มีชาวบ้านถามกันว่า นำมนุษย์ลงมาทำไม (เพราะกลิ่นมนุษย์ต่างกับเมืองบาดาล) ชายคนนั้นก็บอกว่าพามาเที่ยวดูเมือง ได้เดินไปเรื่อย ๆ เมื่อแหงนหน้ามองดูท้องฟ้ากลับปรากฎว่าเป็นสีน้ำตาลอ่อน ๆ เหมือนสีขุ่น ๆ ของน้ำ ชายคนนั้นได้บอกว่า นี่เป็นเมืองบาดาล และเป็นเมืองหน้าด่าน ส่วนตัวเมืองหลวงนั้นยังอยู่อีกไกล และชาวเมืองจะมีงานสมโภชเมื่อถึงวันออกพรรษาของเมืองมนุษย์ ซึ่งถือว่าตลอด 3 เดือน ที่เข้าพรรษานั้นเหล่าชาวเมืองที่นี่ก็จะจำศีลปฏิบัติธรรมเพื่อเป็นการบูชาพระพุทธเจ้า หลังจากที่เดินชมเมืองอยู่ไม่นาน ชายคนนั้นก็ได้นำขึ้นมาส่ง โดยการเดินมาทางเดิม ก็เป็นการเดินมาเรื่อย ๆ แต่ได้ขึ้นมายืนอยู่บริเวณหาดทรายเหมือนเดิม แล้วก็ได้ขึ้นมาหาพ่อ แม่ นี้"
    จากการเล่าของลูกสาว พ่อ แม่ ญาติพี่น้องจึงได้จัดงานทำบุญทำพิธีสู่ขวัญ เพื่อเป็นการต้อนรับขวัญให้กับลูกสาว ต่อมาอีก 7 วัน ลูกสาวก็ได้เจ็บป่วยและเสียชีวิตในที่สุด (เหตุการณ์นี้สอบถามได้จากผู้เฒ่า ผู้แก่ชาวโพนพิสัย คุ้มวัดศรีเกิดได้)

    • สิ่งต้องห้ามของชาวอำเภอโพนพิสัย
    สิ่งต้องห้ามสิ่งหนึ่งของชาวอำเภอโพนพิสัย ก็คือ ห้ามนำมุ้งลงไปซักในแม่น้ำโขง ไม่ว่าจะเป็นที่ใด เพราะจะทำให้บริเวณนั้นพังทลายเมื่อถึงหน้าฝน และก็เป็นเช่นนั้นจริง เมื่อถึงหน้าฝนทุกปี หากมีคนนำมุ้งลงไปซัก หลายคนไม่เชื่อได้นำมุ้งลงไปซักในแม่น้ำโขง ก็มักพบกับสิ่งแปลก ๆ บางคนก็เห็นปลาว่ายวนเวียนไปมาอยู่บริเวณนั้น แต่หลายคนจะเห็นเป็นงูว่ายน้ำไปมาอยู่ใกล้ ๆ ที่ซักมุ้ง บางคนจะเห็นเป็นงูขนาดใหญ่ว่ายน้ำเป็นสายตรง จากท่าวัดจุมพล แล้วมุ่งหน้าไปที่ปากห้วยกุง บ้านหนองกุงฝั่งลาว จะเป็นสายน้ำ ลักษณะเช่นนี้จะเห็นในตอนเที่ยงวัน ที่วันไหนแดดร้อน ชาวบ้านเรียกสิ่งนี้ว่างูใหญ่ ที่มีชื่อว่า "นาคตาเดียว" เนื่องจากครั้งหนึ่งได้มีฝรั่งไปนอนอาบแดดอยู่หาดทรายบ้านโดน แล้วมีคนหนึ่งจมน้ำตายไป เมื่อฝรั่งขึ้นเครื่องบินดูกลับเห็นว่า มีงูใหญ่ตัวหนึ่งทับร่างอยู่ จึงได้โยนลูกระเบิดลงมาและถูกงูใหญ่ตัวนั้น ทำให้ตาข้างหนึ่งบอด (เรื่องนี้สอบถามชาวบ้านได้) จนต่อมาชาวบ้านก็จะเรียกว่า "ไอ้เดี่ยว" หรือ "นาคตาเดียว" และมักจะปรากฏให้ชาวบ้านที่ออกไปหาปลาเห็นอยู่เสมอ แต่ไม่ทำร้ายใคร ตั้งแต่ถูกลูกระเบิด บางครั้งที่บริเวณห้วยกุง (ฝั่งลาว) บางวันแดดร้อน ๆ ชาวบ้านจะเห็นน้ำพุ่งขึ้นจากห้วยเป็นลักษณะเหมือนละอองน้ำเป็นลูกใหญ่ขนาดเท่าลำตาล และเห็นหัวงูขนาดใหญ่ในละอองน้ำ เหมือนกับว่ากำลังพ่นน้ำเล่นอยู่ในห้วย สายน้ำที่มีลักษณะเหมือนงูว่ายน้ำนั้น ผู้เขียนเองก็เห็นมากับตา เพราะผู้เขียนเองได้นั่งอยู่ที่ท่าน้ำวัดจุมพล พร้อมกับพรรคพวก ขณะพักผ่อนที่ริมน้ำ
    นอกจากการเห็นงูใหญ่ว่ายน้ำไปมาเป็นแนวตรง ดังกล่าวแล้ว สิ่งหนึ่งที่ชาวโพนพิสัย ได้กระทำกันเป็นประเพณีติดต่อกันมา เพื่อเป็นการสักการะเจ้าแม่คงคา สิ่งศักดิ์สิทธิ์ในลำแม่น้ำโขง โดยการไหลเรือไฟ ที่ทำจากกาบกล้วยใส่ขี้ใต้จุดให้ไหลไปตามน้ำ ซึ่งทำการไหลตั้งแต่ท่าน้ำบ้านแดนเมือง ต.วัดหลวง แต่ไม่มีการแข่งขันประกวดกันเหมือนทุกปี ซึ่งจะทำกันในวันออกพรรษาของทุกปี ซึ่งจะมีการไหลเรือไฟก็ต่อเมื่อเสร็จจากการเวียนเทียน

    • ลูกไฟประหลาด
    หลังจากการเวียนเทียนเสร็จในวันออกพรรษาที่วัดไทย (ทุกวัดจะมารวมกัน) อ.โพนพิสัย แล้ว พระเณรส่วนหนึ่ง พร้อมด้วยชาวบ้านก็จะนั่งเรือหางยาวนำเรือไฟที่ทำด้วยกาบกล้วย ต้นกล้วย ขึ้นไปปล่อยจากท่าน้ำวัดบ้านแดนเมือง ตงวัดหลวง (รวมทั้งผู้เขียนด้วย) ได้ขึ้นไปในเรือและก็ปล่อยเรือไฟลงมา ตอนนี้ก็จะดับเครื่องเรือแล้วปล่อยให้ไหลลงมาเรื่อย ๆ ในความเงียบนี้เมื่อมาถึงแถวท่าน้ำวัดหลวงก็จะเริ่มเห็นมีสิ่งเหมือนลูกไฟผุดขึ้นมาจากใต้น้ำ เป็นลูกสีแดงอมชมพู ขึ้นสูงจากผิวน้ำประมาณ 2-3 วา แล้วก็ดับไปในอากาศ จะขึ้นจุดละ 1 ลูก นาน ๆ จะขึ้นลูกหนึ่งและก็เรื่อยมา ที่ปากห้วยหลวงท่าวัดจุมพล และจะมีมากที่ท่าน้ำวัดไทย ซึ่งเป็นที่รวมของพระเณร และชาวบ้านที่มาร่วมกันเวียนเทียน และอีกแห่งที่เห็นลูกไฟนี้คือ ท่าน้ำวัดจอมนาง อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
    ลูกไฟที่ว่านี้จะขึ้นก็ต่อเมื่อบนฝั่งเงียบสงัด เกิดขึ้นในเวลาประมาณ 3 ทุ่ม ไปจนถึงเที่ยงคืนก็คืน จะเกิดขึ้นลูกเดียวโดด ๆ จะเกิดห่างกันหลายนาที และจะเกิดขึ้นเฉพาะในวันออกพรรษาเท่านั้น สมัยเมื่อปี 2516 ลงไป ลูกไฟนี้จะเกิดน้อยมาก แต่ชาวบ้านก็รอดูกันโดยการปูเสื่อนั่งรอดูอยู่ตามวัดไทย วัดจุมพล คนดูก็ไม่มาก บางคนก็หลับไปเพราะรอดูลูกไฟประหลาด
    ลูกไฟประหลาดที่ว่านี้เกิดขึ้นเป็นเวลานานมาแล้ว เพราะว่าคนแก่ที่มีอายุ 80 ปี (เมื่อปี พ.ศ.2540) ได้บอกว่าเมื่อตนยังเป็นเด็กก็เคยเห็นลูกไฟนี้เหมือนกัน และพ่อแม่ก็ได้บอกว่าเห็นมาตั้งแต่เด็กเหมือนกัน
    ต่อมาเมื่อชาวอำเภอโพนพิสัย ได้ไปอยู่ตามจังหวัดต่าง ๆ และประกอบกับสื่อสารมวลชนได้ลงข่าวเมื่อปี พ.ศ.2519 ก็เริ่มเป็นที่รู้จักของคนทั่วไป แต่ชาวอำเภอโพนพิสัย ถือว่าเป็นเรื่องธรรมดา เพราะเห็นมาทุกปี จึงไม่ได้สนใจอะไรมากมาย ซึ่งผิดกับชาวต่างจังหวัดที่พากันมาดูแล้วบอกต่อกันไปเรื่อย ๆ จึงมีคนมาในแต่ละปีมากขึ้นเรื่อย ๆ จนถึงขนาดทำให้รถยนต์ติดกันเป็นแถวในวันออกพรรษาของทุกปี

    • ลักษณะของลูกไฟ
    จะมีลักษณะเป็นสีแดงอมชมพู พุ่งขึ้นจากใต้น้ำ บริเวณขึ้นก็ไม่แน่นอน บางครั้งขึ้นกลางแม่น้ำโขง และบางครั้งจะขึ้นใกล้ฝั่ง การเกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงลูกไฟจะเอนเข้าหาฝั่ง แต่หากขึ้นริมฝั่ง ลูกไฟจะเอนออกไปกลางโขง
    ในปัจจุบันนี้ ลูกไฟจะขึ้นตั้งแต่ตอนหัวค่ำ คือเวลาประมาณ 18.00 น. จะขึ้นจุดละไม่ต่ำกว่า 20 ลูก และขึ้นสูงจากผิวน้ำตั้งแต่ 50-100 เมตร จะมีลูกใหญ่ เล็กไม่แน่นอน และจุดเกิดไม่แน่นอน จะเปลี่ยนจุดเกิดไปเรื่อย ๆ แต่จะเกิดในเขตบริเวณ อ.โพนพิสัย ตลอดแนวของแม่น้ำโขง นอกจากแม่น้ำโขงแล้ว ในหนองน้ำขนาดใหญ่ก็มีลูกไฟขึ้นเช่นกัน เช่น หนองสรวง บ้านร่อนถ่อน ต.จุมพล อ.โพนพิสัย จังหวัดหนองคาย เมื่อถึงวันออกพรรษาของทุกปี ทุกวันนี้จะมีชาวต่างจังหวัด และต่างประเทศเดินทางไปที่ อ.โพนพิสัย เพื่อดูลูกไฟประหลาดนี้กันเป็นจำนวนมาก เรียกว่าจากทั่วสารทิศ

    • ที่เกิดของลูกไฟ...
    ลูกไฟประหลาด นี้จะเกิดขึ้นตามบริเวณตั้งแต่ท่าน้ำวัดหลวง ต.วัดหลวง ปากห้วยหลวง ท่าน้ำจุมพล ท่าน้ำวัดไทย ท่าน้ำวัดจอมนาง และบริเวณปากน้ำงึม บ้านหนองกุง ต.กุดบง ท่าน้ำบ้านน้ำเป ต.รัตนวาปี ท่าน้ำบ้านท่าม่วง กิ่ง อ.รัตนวาปี และที่แก่งอาฮง บ้านอาฮง ต.หอคำ อ.บึงกาฬ และที่บริเวณท่าน้ำวัดหินหมากเป้ง อ.ศรีเชียงใหม่ ที่กล่าวมทั้งหมดอยู่ในจังหวัดหนองคาย
    แต่ก่อนจะมีคนเห็นเฉพาะที่บริเวณเขต อ.โพนพิสัย เป็นส่วนมาก ลูกไฟที่เกิดขึ้นกลางแม่น้ำโขงนี้ ที่เกิดมาเป็นเวลานาน ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค"
    [​IMG]
    ภาพลูกไฟประหลาดที่ผุดขึ้นจากแม่น้ำโขง ชาวบ้านเรียก "บั้งไฟพญานาค"

    • บั้งไฟพญานาค...จะแตกต่างจากลูกไฟทั่วๆ ไปที่มนุษย์ทำขึ้น เพราะลูกไฟที่มนุษย์ทำขึ้นนั้นจะมีลักษณะเป็นสีแดง มีเปลวไฟขณะกำลังพุ่งขึ้น แล้วโค้งตกลงมา แต่ บั้งไฟพญานาค นี้ เป็นลูกไฟสีแดงอมชมพู ไม่มีเสียง ไม่มีเปลวไฟ ขึ้นตรง ดับกลางอากาศ ไม่มีตก ไม่มีควัน ซึ่งจะสังเกตได้ง่ายกว่าลูกไฟทั่ว ๆ ไป
    [​IMG]
    ฝูงชนที่มาเฝ้าดูลูกไฟประหลาด ไม่เคยผิดหวัง จะเห็นมากหรือน้อยเท่านั้น

    • คลื่นประชาชน...
    หลังจากที่ข่าวแพร่ออกไปเกี่ยวกับเรื่อง บั้งไฟพญานาค ทำให้ประชาชนในต่างจังหวัด และคน อ.โพนพิสัย เมื่อไปทำงานที่อื่น เมื่อวันออกพรรษาก็จะชักชวนเพื่อน ๆ มาดูสิ่งมหัศจรรย์แห่งลุ่มแม่น้ำโขงมากขึ้นเรื่อย ๆ จนทำให้ อ.โพนพิสัย เต็มไปด้วยผู้คน รถยนต์แทบหาที่จอดไม่ได้ ต้องจอดไว้ที่ทุ่งนาที่ทางอำเภอจัดให้จอด เจ้าหน้าที่ตำรวจต้องขอกำลังจาก สภ.อ. และ สภ.ต. ใกล้เคียงมาช่วยในการจัดการด้านจราจร เนื่องจากมีชาวบ้านต่างจังหวัดมากันมากมาย ไม่ว่าจะเป็นผู้หลักผู้ใหญ่ในจังหวัด และในกรุงเทพฯ ก็จะมาจองห้องพักตามโรงแรมต่าง ๆ ในจังหวัดเรียกว่า ห้องเต็มวันก่อนเป็นเดือน เพราะสิ่งมหัศจรรย์อย่างนี้ถือว่าได้ดูแล้วเป็นบุญวาสนาแก่ตนเอง หรือจะพูดว่าเป็นสิริมงคลแก่ตนเองก็ไม่ผิด เพราะสิ่งประหลาดไม่ค่อยเกิดขึ้นบ่อยนัก

    • ถนนทุกสายมุ่งสู่อำเภอโพนพิสัย จังหวัดหนองคาย
    พอถึงวันออกพรรษาของทุกปี คลื่นประชาชนจากทั่วสารทิศก็มุ่งสู่ อ.โพนพิสัย ทั้งด้วยรถยนต์ส่วนตัว รถเหมา และรถประจำทาง ความหวังและจิตใจจดจ่ออยู่ที่สิ่งมหัศจรรย์ ที่เกิดขึ้นในแม่น้ำโขงในเขต อ.โพนพิสัย ที่ชาวบ้านตั้งแต่สมัยปู่ ย่า ตา ยาย ว่า บั้งไฟพญานาค สาเหตุที่เรียกว่าอย่างนั้นก็คงไม่มีใครสามารถให้คำอธิบายได้มากว่านี้ แต่สาเหตุที่เรียกว่าอย่างนั้น คือ ลูกไฟนี้เกิดขึ้นมาจากใต้แม่น้ำโขง ไม่มีใครคนใดคนหนึ่งอุตริลงไปทำในน้ำได้ แต่หากทำได้ จะเพื่ออะไร ทำทำไม แล้วได้อะไร แต่หากทำจริง ในการทำแต่ละครั้งจะต้องใช้คนไม่น้อยกว่า 300 คน กระจายกันอยู่ใต้น้ำ อีกอย่างหนึ่งน้ำในแม่น้ำโขงจะมีสีขุ่น การทำงานนี้ต้องใช้ทุนอย่างมหาศาล จึงไม่มีความจำเป็นที่จะทำ
    แต่ถึงแม้หลายคนจะไม่เชื่อว่าเป็น บั้งไฟพญานาค ตามที่ชาว อ.โพนพิสัย เรียก แต่ก็บอกไม่ถูกว่าเป็นอะไร แต่เมื่อได้เห็นกับตาแล้วค่อนข้างจะเชื่อว่าเป็นอย่างนั้นจริง เพราะไม่มีอะไรอื่นที่จะเรียกและเกิดขึ้นได้ การเกิดของบั้งไฟพญานาค ก็จะเกิดเฉพาะวันออกพรรษาเท่านั้น และวันออกพรรษา ( ขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ) จะต้องตรงกับวันขึ้น 15 ค่ำ ของประเทศลาว บั้งไฟพญานาค นี้จะขึ้นจำนวนมาก เท่าที่ผู้เขียนสังเกตมาตั้งแต่เด็ก ๆ โดยการนำเสื่อไปปูคอยดูที่ท่าน้ำวัดไทยในสมัยนั้น เมื่อประมาณปี 2513 บั้งไฟพญานาคนี้จะขึ้นก็ต่อเมื่อในน้ำเงียบสงบ บนฝั่งเงียบ ไม่มีเสียงอึกทึกครึกโครม ราว ๆ ประมาณ 3 ทุ่ม ก็จะมีลูกไฟพุ่งขึ้นมาจากใต้น้ำสูงจากผิวน้ำประมาณไม่เกิน 3 วา แต่มาในปัจจุบัน ( ปี 2530-2539 ) ลูกไฟนี้จะขึ้นตั้งแต่เวลา 18.00 น. ไปจนถึงราว ๆ 22.00 น. ต่อจากนั้นไปก็ค่อย ๆ หมดไป แต่จะเกิดมากช่วง 18.00-21.00 น. ขึ้นแต่ละครั้ง แต่ละจุดไม่ต่ำกว่า 30-50 ลูก จะเกิดจากช่วงบริเวณ ท่าน้ำวัดหลวง ท่าน้ำปากห้วยหลวง ท่าน้ำวัดจุมพล วัดไทย และท่าน้ำวัดจอมนาง เป็นส่วนใหญ่ นอกนั้นจะมีบ้างเป็นจุด ๆ ไป แต่ไม่มากเหมือนกับเกิดที่บริเวณดังกล่าว
    ลูกไฟดังกล่าวนับว่าเป็นลูกไฟมหัศจรรย์ ตามที่ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค" เพราะสิ่งแวดล้อมหลายอย่างเอื้ออำนวย และเหมาะที่จะคิดอย่างนั้น
     
  8. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    เหตุที่เชื่อเช่นนั้นเพราะที่นี่มีลูกไฟที่เรียกว่า บั้งไฟพญานาค เกิดขึ้นเช่นกัน แต่แตกต่างจากที่อื่น เพราะที่อื่นลูกไฟที่เกิดขึ้นจะเป็นสีแดงอมชมพู แต่บริเวณแก่งอาฮงนี้จะเป็น ลูกสีเขียว มีคนเคยเห็นลูกไฟที่เกิดขึ้นที่นี่เมื่อหลายปีก่อนว่า ลูกไฟโตเท่าแท้งค์น้ำ สีเขียวสว่างพุ่งขึ้นจากใต้น้ำ ทำให้บริเวณใกล้เคียงสว่างไสวราวกับว่าเป็นเวลากลางวัน ขึ้นสูงประมาณ 20 เมตร และสาเหตุที่เชื่อว่าแก่งอาฮงเป็น เมืองหลวงของเมืองบาดาล ก็เพราะว่า ตลอดแนวแม่น้ำโขงตลอดสาย ตั้งแต่ประเทศจีน ผ่านมาจนถึงจังหวัดหนองคาย แก่งอาฮง ออกสู่ทะเล แก่งอาฮงถือว่าเป็นสะดือทะเล แม่น้ำโขงที่มีความลึกในหน้าแล้ง ที่ชาวประมงใช้เชือกผูกก้อนหินหย่อนลงไป มีความยาววัดได้ 99 วา ของผู้ใหญ่ เพราะตรงนั้นจะเป็นแอ่งที่มองเห็นด้วยตามนุษย์ บริเวณด้านหลังศาลาวัดอาฮง และยังมีความลึกลับกว่านั้นอีกว่า บริเวณสะดือแม่น้ำโขงดังกล่าวยังเป็นถ้ำใต้น้ำทะลุไปออกที่ ภูงู ฝั่งตรงข้ามที่ประเทศลาวอีกด้วย
    [​IMG]
    บริเวณแก่งอาฮง ตรงที่เป็นสะดือแม่น้ำโขง ภูเขาที่ด้านหลังคือภูงูที่มีถ้ำทะลุถึง

    • แก่งอาฮง...บริเวณดังกล่าวเมื่อวันเพ็ญ ขึ้น 15 ค่ำ บรรดาวิญญาณทั้งหลายก็จะมารวมกันที่นี่ ส่วนจะมารวมกันเพื่ออะไรนั้นยากที่จะบอกได้ แต่ที่แน่ ๆ บรรดาวิญญาณทั้งหลายจะมารวมกัน แต่หากผู้ใดมีจิตใจเข้มแข็ง เข้าไปนั่งสงบสติอารมณ์ ไม่วอกแวก ก็จะได้ยินเสียงโหยหวน บ้างก็มีเสียงปี่ เสียงกลอง เหมือนกับคนกระทำพิธีกรรมอะไรสักอย่าง แต่หากคิดอีกทางหนึ่งก็เพราะว่าบริเวณแก่งอาฮงนี้ หากมีคนตายไหลตามน้ำมาก็จะติดอยู่แก่งนี้ เมื่อก่อนหากมีคนตายในแม่น้ำโขง ก็จะมาโผล่ที่นี่ติดอยู่ตามเกาะ แก่งที่มีอยู่มากมายในหน้าแล้ง แม้แต่หน้าฝนที่นี่ก็จะมีคลื่น เนื่องจากกระแสน้ำกระทบเข้ากับแก่งหิน จึงเป็นที่รวมวิญญาณต่าง ๆ ก็เป็นไปได้
    • เทพเจ้าทางน้ำ...สิ่งหนึ่งที่ปรากฏให้เห็นตามริมแม่น้ำโขงในเขตจังหวัดหนองคาย จากตัวจังหวัดลงไปถึงอำเภอบึงกาฬ ซึ่งสิ่งนี้คือ หอเจ้าแม่สองนาง ซึ่งจะมีอยู่ที่วัดหายโศก อ.เมืองหนองคาย เรื่อยไปที่ อ.โพนพิสัย อยู่ที่ปากห้วยหลวง แก่งอาฮง และที่หน้าโรงพยาบาล อ.บึงกาฬ คำว่า สองนางในที่นี่คือ งู 1 คู่ คือ งู 2 ตัว
    สมัยก่อนชาวบ้านที่อาศัยอยู่ริมแม่น้ำโขง จะใช้การติดต่อกันในทางทำธุรกิจค้าขาย ต้องเดินทางกันทางน้ำ เพราะไม่มีรถยนต์เหมือนทุกวันนี้ ดังนั้นจะต้องใช้เรือล่องผ่านหมู่บ้านต่าง ๆ และหมู่บ้านก็จะตั้งอยู่ริมแม่น้ำโขงเสียเป็นส่วนใหญ่ เพราะการเดินทางไปมาสะดวกสบาย เพราะฉะนั้นการเดินทางค้าขายจึงต้องมีการทำพิธีบวงสรวง เทพเจ้าทางน้ำ ที่เขาเชื่อและนับถือว่าจะให้ความปลอดภัยในการเดินทาง ในการทำพิธีบวงสรวงก็จะมีเครื่องเซ่นไหว้ประกอบไปด้วย เหล้าขาว หมากพูล ข้าวดำ ข้าวแดง ก่อนออกเรือก็จะเทเหล้าขาวลงน้ำ เพื่อเป็นการบอกกล่าวว่า การออกเรือครั้งนี้ขอให้มีความปลอดภัย ประสบความสำเร็จในการค้าขายและเดินทาง ก่อนออกเดินทางทุกครั้งชาวลุ่มแม่น้ำโขงจะต้องทำพิธีบวงสรวงให้เกิดโชคลาภทุกครั้ง และการเดินทางทางเรือจะต้องใช้เวลานานเป็นเดือน ๆ ยิ่งตอนกลับทวนน้ำแล้วยิ่งต้องใช้เวลานาน
    บ่อยครั้งเหมือนกันที่มีชาวลุ่มน้ำโขงต้องเสียชีวิตลงในระหว่างการเดินทางทางน้ำ แต่นั้นพวกเขาจะเชื่อว่าเป็นการทำผิดต่อเจ้าแม่สองนาง หรือเทพเจ้าทางน้ำ จึงถูกลงโทษ เหตุการณ์เหล่านี้จะถูกเรียกว่า "เงือกกิน" "เงือก" "งู" เป็นสิ่งเดียวกัน "พญานาค" ก็เป็นสิ่งเดียวกัน แต่พญานาคนั้นมีภพที่อยู่อีกมิติหนึ่ง พญานาคจึงสามารถแปลงร่างได้หลายชนิด และแปลงกายเป็นมนุษย์ หรืออะไรก็ได้ สุดแท้แต่จะแปลง เพียงแค่คิดก็แปลงร่างแล้ว ถึงแม้จะแปลงเป็นมนุษย์ได้ แต่การอยู่ก็มีภูมิ หรือภพอยู่ต่างมนุษย์
    จึงมีปรากฏการณ์ให้เห็นอยู่บ่อย ๆ ว่ามีคนเห็นงูใหญ่ หรือเห็นคนเดินลงไปในน้ำแล้วหายไปต่อหน้าต่อตา บางครั้งถึงกับมีการแปลงร่างเป็นหนุ่มมาเกี้ยวสาว จนกระทั่งมีการติดพันเกิดความรักระหว่างพญานาคกับมนุษย์ ก็มีอยู่บ่อยครั้ง เรื่องนี้สามารถสอบถามชาวบ้านท่าม่วง ตาลชุมได้ ขึ้นต่อกิ่ง อ.รัตนวาปี จ. หนองคา ย เพราะสมัยก่อนสาว ๆ บ้านท่าม่วง และบ้านตาลชุม จะมีพญานาคแปลงกายเป็นหนุ่ม ๆ ขึ้นมาเกี้ยวพาราสีอยู่เป็นประจำ ถึงขนาดได้ชวนสาว ๆ ลงไปชมเมืองบาดาล แต่หลังจากนั้นอีก 7 วัน สาว ๆ ที่ลงไปก็เกิดอาการเจ็บป่วยและเสียชีวิตไปในที่สุดก่อนเวลาอันสมควร คือหลังจากขึ้นมาได้ 7 วัน ก็เสียชีวิต

    • รอยพญานาค
    ในแต่ละปีของวันออกพรรษา อ.โพนพิสัย จ.หนองคาย จะเป็นแหล่งนัดพบของบรรดาผู้ที่ต้องการพิสูจน์ความจริงของปรากฏการณ์ธรรมชาติ ที่ได้ยินแต่คนอื่นพูดให้ฟังว่า ที่เขต อ.โพนพิสัย นั้นมีลูกไฟที่พุ่งขึ้นมาใต้แม่น้ำโขง เป็นลุกไฟสีแดงอมชมพู ไม่มีเสียง ไม่มีแสง และไม่มีควัน ไม่มีโค้งตกลงมาเหมือนลูกไฟทั่วๆ ไป และลูกไฟที่ว่านี้จะไม่เป็นที่กำหนดว่าจะเกิดขึ้นบริเวณใด จำนวนกี่ลูก และจะขึ้นสูงขนาดไหน ไม่มีกำหนด แต่จะเฉลี่ยแล้วจะขึ้นไม่แน่นอน จุดละ 3-20 ลูก ขึ้นสูงกว่า 100 เมตร ตามจุดต่าง ๆ ที่กล่าวมาแล้ว ลูกไฟนี้ชาวบ้าน อ.โพนพิสัย ตั้งแต่สมัยผู้เฒ่าผู้แก่ เรียกว่า "บั้งไฟพญานาค" เพราะเป็นที่เชื่อว่าจะเป็นบั้งไฟที่พญานาคจุดขึ้นมา เพื่อเป็นพุทธบูชาต่อพระพุทธเจ้า ที่เสด็จลงมาจากสวรรค์ชั้นดาวดึงส์ หลังจากที่ไปโปรดพระมารดา เป็นเวลา 3 เดือน จึงมีทั้งเมืองมนุษย์ สวรรค์ และเมืองบาดาล ที่ต่างก็สาธุการจัดงานสมโภช ที่ประเพณีไทยทำมาก็คือ การตักบาตรเทโวในวันออกพรรษา
    หลังจากเหตุการณ์บั้งไฟพญานาคขึ้นในวันขึ้น 15 ค่ำ เดือน 11 ผ่านไปแล้ว ก็เหลือแต่ความทรงจำ และความประทับใจสำหรับผู้ที่มาพิสูจน์ความจริงว่า ลูกไฟนั้นคืออะไร หลายคนก็ต้องนำกลับไปคิด ไปวิเคราะห์ เนื่องจากสิ่งที่เห็นมากับตานั้นเป็นอะไรกันแน่ พอผ่านไปได้อีก 7 วัน หลังออกพรรษา ชาวโพนพิสัยก็จะจัดงานแข่งเรือยาวประจำปี เหมือนกับทุกปีที่ผ่านมา แต่ปีนี้ 2536 มีสิ่งที่ประหลาดเกิดขึ้นบนหน้ารถยนต์ของสองสามีภรรยา ที่นำผลไม้ไปขายในวันแข่งเรือ โดยนำรถยนต์โตโยต้า สีน้ำเงิน หมายเลขทะเบียน ป.8380 อุดรธานี จอดไว้บริเวณหน้าวัดไทย เพื่อขายส้มในงาน สองสามีภรรยา ชื่อ นายลี และนางอารีย์ ไม่ทราบนามสกุล เป็นคนจังหวัดอุดรธานี พอตกกลางคืน หลังจากขายส้มแล้วก็นอนพักเอาแรงเพื่อจะได้ขายในวันต่อมา พอตกกลางคืน นางอารีย์ก็ฝันว่า มีชายสองคน นุ่งห่มผ้าขาว โพกหัวด้วยผ้าขาว ผูกด้านหน้าเป็นกระจุกเหมือนหัวพญานาค ขึ้นมาขอกินส้ม แต่นางไม่ให้กิน พอคืนที่สองมาก็ฝันเห็นเรือยาวลำหนึ่งจอดขวางอยู่กลางลานวัด (จอดบนบก) และได้ยินเสียงชายคนเดิมมาขอกินส้มอีก แต่นางก็ไม่พูดอะไร พอตื่นเช้ามาก็เล่าเรื่องฝันให้ชาวบ้านฟัง คนแก่ก็เลยบอกให้สองสามีภรรยา จัดขันดอกไม้ ธูปเทียน เพื่อเป็นศิริมงคลแก่ตนเอง พอคืนต่อมาอีก ก็ฝันเห็นชายดังกล่าวมาขอส้มอีก แต่ก็ไม่ได้คิดอะไรแล้ว เพราะฝันเห็นมา 3 วัน หลังจากตื่นขึ้นตอนเช้าก็จะมาขายส้มต่อ ก่อนนอนสองสามีภรรยา ได้นำผ้าคลุมรถเอาไว้ก่อนนอน ก่อนขายส้มตอนเช้าจึงได้เปิดผ้าคลุมรถออก นำส้มมาวางขาย แต่เช้าของคืนที่ 3 ก็ต้องตกใจ เมื่อเปิดผ้าคลุมรถยนต์เพราะในความรู้สึกบอกว่ามีอะไรบางอย่างขดอยู่หน้ารถในความรู้สึกว่ามีจริง จนสุดท้ายจึงตัดสินใจเดินมาเปิดผ้าคลุมรถยนต์ออก แต่ก็ต้องแปลกใจอีกครั้งที่เห็น รอยประหลาดเหมือนกับรอยตะขาบขนาดใหญ่ เป็นรอยนูนและยังเปียก เป็นดินโคลนสีแดง ตรวจดูตามข้างรถยนต์ ก็ไม่มีรอยปีนขึ้น-ลง มีเฉพาะนอนขดอยู่หน้ารถมีรูปร่างเหมือนตะขาบ มีเกล็ด มีขา เป็นรอยมันใส ดู ๆ แล้วเป็นดินที่ไม่เหมือนกับดินในหนองน้ำ หรือโคลนบนบก เพราะดมดูก็ไม่มีกลิ่นเหมือนโคลนทั่ว ๆ ไป นางอารีย์ตกใจมาก เพราะกลัวว่าจะเป็นลางบอกเหตุที่ไม่ดีกับตน เมื่อชาวบ้านทราบเรื่องเข้าก็มามุงดูกันใหญ่ ด้วยความตกใจ ต่อมาจึงมีคนมาแนะนำให้ไปเข้าทรงดูว่าเกิดอะไรขึ้น เมื่อได้เข้าทรงก็ทราบว่า โดยการเชิญดวงวิญญาณของหลวงพ่อใหญ่ ซึ่งเป็นพระพุทธรูปปูนปั้นขนาดใหญ่ในอุโบสถวัดไทย และหลวงพ่อใหญ่นี้สามารถที่จะติดต่อกับเมืองพญานาค หลังจากที่เข้าทรงทราบว่า รอยดังกล่าวเป็นรอยของพญานาคจริง ที่แปลงร่างขึ้นมาปรึกษากับหลวงพ่อใหญ่ในการที่จะบำรุงรักษาวัดให้เจริญรุ่งเรืองต่อไป เพราะสภาพปัจจุบันนี้ขาดการดูแล และพญานาคที่ขึ้นมานั้นก็เป็นพญานาคระดับหัวเมือง ที่มาเพื่อที่จะแสดงให้เหล่ามนุษย์รู้ว่าเมืองบาดาล และพญานาคนั้นมีจริงและบังเอิญขึ้นมาพบกับนายลี ซึ่งในชาติก่อน นายลีเป็นลูกชายของพญานาค ที่เมืองบาดาล เมื่อมาพบจึงเกิดความดีใจ พร้อมกับได้ขอกินส้ม และประกอบกับความดีใจจึงได้กระโดดขึ้นบนหน้ารถยนต์แล้วประทับรอยเอาไว้ ได้ขึ้นมาตอนเที่ยงคืน มาทั้งหมด 7 คน อีก 6 คนไม่แสดงตัวให้เห็น ส่วนสองสามีภรรยา ที่ไปขายส้ม ก็ไม่เคยไปที่ อ.โพนพิสัย มาก่อน
     
  9. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    วังนาคินทร์คำชะโนด หรืออีกชื่อหนึ่งที่ชาวบ้านเรียกคือ เมืองชะโนด อยู่ระหว่าง ต.วังทอง และ ต.บ้านม่วง และ ต.จันทร์ อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี
    [​IMG]
    วังนาคินทร์ คำชะโนด อำเภอบ้านดุง จังหวัดอุดรธานี (ที่เกิดตำนานเปรตอาจารย์กู้)
    ตามตำนานกล่าวว่า เมืองชะโนด มี เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ เป็นใหญ่ ครองเมืองหนองกระแสครึ่งหนึ่ง มีบริวาร 5,000 ส่วนอีกครึ่งหนึ่งเป็นของ สุวรรณนาค และมีบริวาร 5,000 เช่นกัน ทั้งสองฝ่ายอยู่ด้วยกันด้วยความรัก สามัคคี มีอะไรก็แบ่งกันกินเป็นเช่นนี้ตลอดมา จนอยู่มาวันหนึ่ง สุวรรณนาค พาบริวารออกไปล่าเนื้อหาอาหาร ได้ช้างมาเป็นอาหาร จึงได้แบ่งให้ สุทโธนาค ครึ่งหนึ่ง พร้อมกับนำขนช้างไปให้ดูเพื่อเป็นหลักฐาน ต่างฝ่ายต่างก็อิ่มหนำสำราญ และอยู่มาวันหนึ่ง สุวรรณนาค ก็ออกหาอาหารอีก ครั้งนี้ได้เม่นมาเป็นอาหาร จึงได้แบ่งให้สุทโธนาคไปครึ่งหนึ่ง พร้อมกับนำขนไปให้เพื่อเป็นหลักฐานเช่นเคย เม่นตัวนิดเดียวแต่ขนใหญ่ เมื่อแบ่งให้ สุทโธนาค ก็ไม่พอใจ เพราะพิจารณาดูแล้ว ขนาดขนยังใหญ่ขนาดนี้ แล้วตัวคงใหญ่กว่านี้แน่นอน จึงไม่รับเนื้อเม่น พร้อมกับส่งคืน สุวรรณนาค เห็นดังนั้นจึงไปชี้แจงให้ทราบ ขอให้รับไว้เป็นอาหาร และผลสุดท้ายทั้งสองจึงประกาศสงครามกัน สาเหตุที่เมื่ออีกฝ่ายหนึ่งออกหาอาหาร อีกฝ่ายหนึ่งจะต้องไม่ต้องออกไป เพราะกลัวว่าบริวารจะปะทะกัน
    เมื่อประกาศสงครามกันขึ้น ต่างฝ่ายต่างก็ระดมไพร่พลบริวาร สงครามเกิดขึ้น ไม่มีฝ่ายไหนแพ้ ชนะ พญานาคทั้งสองรบกันอยู่เป็นเวลา 7 ปี ก็ไม่มีใครแพ้ ชนะ เพราะต่างฝ่ายต่างก็หวังครองหนองกระแสเพียงฝ่ายเดียว จนทำให้ทุกสิ่งทุกอย่างอยู่รอบ ๆ หนองกระแสเกิดความเสียหาย เดือดร้อนไปตาม ๆ กัน พื้นโลกสะเทือนเกิดแผ่นดินไหว เทวดาต่างก็เดือดร้อนกันไปด้วยสามภพ ความเดือดร้อนทราบไปถึงพระอินทราธิราชผู้เป็นใหญ่ เทวดาทั้งหลายต่างก็พากันไปร้องทุกข์และเล่าเหตุการณ์ต่าง ๆ ให้พระอินทร์ได้ทราบ ดังนั้นจึงได้หาวิธีให้พญานาคทั้งสองหยุดรบกัน เพื่อความสงบสุขของไตรภพ จึงได้เสด็จลงจากดาวดึงส์มายังเมืองมนุษย์โลก ที่หนองกระแส แล้วตรัสเป็นเทวราชโองการ ว่า "ให้ท่านทั้งสองหยุดรบกันเดี๋ยวนี้" การทำสงครามครั้งนี้ถือว่าเสมอกัน และให้หนองกระแสเป็นเขตปลอดสงคราม และให้พญานาคทั้งสองสร้างแม่น้ำคนละสาย จากหนองกระแส ใครสร้างถึงทะเลก่อนจะได้ปลาบึกไปไว้ในแม่น้ำแห่งนั้น และให้ถือเอาภูเขาพญาไฟเป็นเขตกั้นคนละฝ่าย ใครข้ามไปราวีรุกรานกันขอให้ไฟจากภูเขาไฟไหม้ฝ่ายนั้นเป็นจุลมหาจุล
    หลังจากพระอินทร์ตรัสเป็นเทวราชโองการเช่นนั้น สุทโธนาค พร้อมไพร่พลอพยพออกจากหนองกระแสสร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศตะวันออกของหนองกระแส เมื่อถึงตรงไหนเป็นภูเขาก็คดโค้งไปตามภูเขา หรืออาจจะลอดภูเขาบ้างตามความยกง่ายในการสร้าง เพราะสุทโธนาคเป็นคนใจร้อน แม่น้ำนี้เรียกว่า "แม่น้ำโขง" คำว่า โขง มาจากคำว่า โค้ง ได้ถึงทะเลก่อนจจีงได้เป็นผู้ชนะปลาบึกจึงอยู่แม่น่ำโขง ส่วนฝั่งลาวเรียกว่า แม่น้ำของ
    ส่วน สุวรรณนาค เมื่อได้รับเทวราชโองการก็พาบริวารไพร่พลออกจากหนองกระแส สร้างแม่น้ำมุ่งไปทางทิศใต้ของหนองกระแส สุวรรณนาค เป็นคนตรงพิถีพิถันและยังเป็นผู้มีจิตใจเย็น การสร้างแม่น้ำจึงต้องทำให้ตรง เ แม่น้ำนี้เรียกว่า แม่น้ำน่าน แม่น้ำแห่งนี้จึงเป็นแม่น้ำที่ตรงกว่าแม่น้ำทุกสานในประเทศไทย
    การสร้างแม่น้ำแข่งขัน ปรากฏว่า สุทโธนาค สร้างแม่น้ำโขงเสร็จก่อนตามสัญญาของพระอินทร์ สุทโธนาค เป็นผู้ชนะ และปลาบึกจึงต้องไปอยู่แม่น้ำโขงแห่งเดียวในโลก จากนั้น สุทโธนาค สร้างเสร็จ ปลาบึกขึ้นอยู่แม่น้ำโขงและเป็นผู้ชนะตามสัญญาแล้ว จึงได้แผลงฤทธิ์เหาะไปเฝ้าพระอินทร์ ณ ดาวดึงส์ ทูลถามพระอินทร์ว่า "ตัวข้าเป็นชาติเชื้อพญานาค จะอยู่โลกมนุษย์นานเกินไปก็ไม่ได้" จึงได้ขอทางขึ้นลงระหว่างเมืองบาดาล กับเมืองมนุษย์ เอาไว้ 3 แห่ง พร้อมกับทูลถามว่า "จะให้ครอบครองอยู่ตรงไหนแน่นอน" พระอินทร์ผู้เป็นใหญ่จึงอนุญาตให้มีรูพญานาคเอาไว้ 3 แห่ง คือ ที่ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ ที่หนองคันแท และที่พรหมประกายโลก(คำชะโนด) ธาตุหลวงนครเวียงจันทน์ และหนองคันแท เป็นทางขึ้น-ลงของพญานาคเท่านั้น ส่วนพรหมประกายโลก คือที่พรหมได้กลิ่นไอดิน เมื่อพรหม เทวดา ลงมากินดินจนหมดฤทธิ์ กลายเป็นมนุษย์ แล้วให้สุทโธนาคไปตั้งบ้านเรือนอยู่ที่นั่น ซึ่งมีต้น
    ชะโนดขึ้นเป็นสัญลักษณ์ (ชะโนดมีลักษณะเหมือนต้นมะพร้าว ต้นหมาก และต้นตาล ผสมกัน) และให้ถือเป็นต้นไม้บรรพกาลให้สุทโธนาค มีลักษณะ 31 วัน ข้างขึ้น 15 วัน ให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นมนุษย์ เรียกว่า "เจ้าพ่อพญาศรีสุทโธ" มีวังนาคินทร์คำชะโนดเป็นถิ่น และอีก 15 วันข้างแรม ให้สุทโธนาคและบริวารกลายร่างเป็นนาค และเรียกชื่อว่า "พญานาคราชศรีสุทโธ" ให้อาศัยอยู่เมืองบาดาล
    ดังนั้นชาวบ้านม่วง บ้านเมืองไพร บ้านวังทอง อ.บ้านดุง จ.อุดรธานี จึงพบเห็นชาวเมืองชะโนดไปเที่ยวงานบุญประจำปี ทั้งผู้หญิงผู้ชายอยู่หลายครั้ง บางทีจะเห็นผู้หญิงไปยืมฟืม (เครื่องมือทอผ้า) ไปทอผ้าอยู่เป็นประจำ และเมื่อคุยกับชาวบ้านถูกคอกันก็ได้นอนพักที่บ้านชาวบ้าน แต่ขอให้จัดที่นอนให้เป็นใต้ถุนบ้านในพะเนียด (กระเฌอใหญ่) แต่เมื่อชาวบ้านตื่นขึ้นมาดูหญิงสองคนนั้นกลายเป็นงูใหญ่นอนขดอยู่หรือไม่บางครั้งชาวเมืองชะโนด ได้จัดงานบุญประจำปี มีการมาว่าจ้างเอาภาพยนตร์ไปฉายที่เมืองชะโนดก็เคยมี จนหน่วยฉายหนังเร่เมืองอุดรธานี กลัวไปตาม ๆ กัน เรื่องนี้สามารถที่จะสอบถามชาวบ้านในระแวกนั้นได้ถึงเรื่องอัศจรรย์ต่าง ๆ หรือแม้เวลาที่เกิดน้ำท่วมใหญ่ แต่ที่คำชะโนดกลับยกตัวลอยขึ้นทั้งเกาะ น้ำจะไม่ท่วม เมื่อเวลาน้ำลดก็จะลดลงเหมือนเดิม

     
  10. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ขอจบบทความของครู แต่เพียงเท่านนี้ค่ะ ขอขอบคุณ เจ้าของบทความค่ะ
    จัดทำโดยครูพูนศักดิ์ สักกทัตติยกุล
    โรงเรียสตรีศรีสุริโยทัย เขตสาทร กทม.
     
  11. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    สวัสดีค่ะ น้องลิน เข้ามาอ่านเรื่องพญานาคได้ความรู้ค่ะ...
    *นำภาพบายศรีพญานาคที่เคยถ่ายมา...ให้ชมค่ะ....


    [​IMG]
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 7 พฤษภาคม 2011
  12. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ขอบคุณค่ะ พี่นวล งานเขาดูอลังการมากๆเลยนะคะ ตอนทำคงจะ ...... :cool::cool::cool:

    ปล. นำภาพนาคน้อยน่ารักมาฝากพี่นวล ด้วยค่ะ
    [​IMG][SIZE=-3] [/SIZE]
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 7 พฤษภาคม 2011
  13. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    <table width="100%" align="center" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr valign="top" align="left"> <td width="174">
    </td> <td width="93">
    </td> <td width="109">
    </td> <td width="104">
    </td> <td width="120">
    </td> </tr><tr valign="top" align="left"> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>
    </td> <td>
    </td> </tr> </tbody></table> ​
    <table width="600" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr> <td valign="top" align="left" background="http://www.showded.com/themes/theme3/layout/layout2/images/mainpage_r1_c37_2.gif"> [​IMG]</td> </tr> <tr> <td class="module" valign="top" align="left" bgcolor=""> <table class="module" width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> </table>
    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="left" background="http://www.showded.com/themes/theme3/layout/layout2/images/line_V.gif">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td valign="top" align="left">[​IMG]</td> </tr> <tr> <td valign="top" align="right"> <select name="jucId"> <option value="">หัวข้อบล๊อก</option> <option label="ตำนานพญาครุฑกับพญานาค.." value="79148" selected="selected">ตำนานพญาครุฑกับพญานาค..</option> </select></td> </tr> <tr> <td valign="top" align="left"> ตำนานพญาครุฑกับพญานาค

    <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"> <tbody><tr> <td valign="top" align="center">
    </td> </tr> </tbody></table>
    [​IMG]
    ใน สมัยหนึ่ง พระพุทธเจ้าประทับอยู่วัดเชตวัน เมืองสาวัตถี ทรงปรารภพระเทวทัตผู้พูดมุสาแล้วถูกแผ่นดินสูบ ได้ตรัสอดีตนิทานมาสาธก ว่า...
    กาลครั้งหนึ่งนานมาแล้ว มีพ่อค้าชาวเมืองพาราณสีประมาณ ๕๐๐ คน แล่นสำเภาไปในมหาสมุทรเพื่อไปค้าขายเมือง อื่น ในวันที่ ๗ สำเภาถูกพายุกระหน่ำล่มกลางทะเล ผู้คนล้มตาย เป็นเหยื่อของปลาหมดหลงเหลือเพียงชายคนหนึ่งถูกลมพัดกระหน่ำไปขึ้นที่ฝั่ง ท่าน้ำกทัมพิยะ เสิ้อผ้าไม่มี เปลือยกายล่อนจ้อน เดินเที่ยวขอทานอยู่
    พวกชาวบ้านพบเห็นเขาก็พากันยกย่องเขาว่าเป็นผู้มักน้อยสันโดษ เป็นนักบวช จึงพากันสักการะบูชาเขาเป็นการใหญ่ นับตั้งแต่วันนั้นมาเขาเองก็ไม่ปรารถนาจะนุ่งห่มเสื้อผ้าได้ลาภสักการะจำนวน มาก ถูกคนเรียกหาว่า กทัมพิยอเจลกะ (ชีเปลือยทัมพิยะ)
    ในสมัยนั้น มีพญานาคตนหนึ่งชื่อบัณฑรกนาคราช และพญาครุฑตนหนึ่งจะพากันมาปรึกษาชีเปลือยนั้นอยู่เป็นประจำอยู่มาวันหนึ่ง พญาครุฑมาหาชีเปลือยแล้วขอร้องว่า "ท่านขอรับพวกญาติของผมจำนวนมาก ตายเพราะจับพวกนาคโดยไม่ทราบสาเหตุ ขอความกรุณาจากท่านช่วยถามพญานาคให้ผมด้วยเถิด"
    ชีเปลือยนั้นรับคำจะถามให้ เมื่อพญานาคมาหาจึงถามความนั้นพญานาคตอบว่า "ท่านขอรับเรื่องนี้เป็นความลับของพวกกระผม ถ้าผมบอกท่านเท่ากับผมนำความตายมาสู่ตนเอง และพวกญาติ จึงไม่ขอตอบได้ไหม"
    ชีเปลือย "พญานาค เราจะไม่บอกใครหรอก ถามเพราะอยากจะทราบเท่านั้นเองละ จงบอกเถิด"
    พญานาคตอบว่า "ผมบอกไม่ได้หรอกครับท่าน" ไหว้ชีเปลือยแล้วก็กลับไป ชีเปลือยถามเช่นนั้นอยู่ ๒ วัน พญานาคก็ไม่ยอมบอกเช่นเดิม ในวันที่ ๓ พญานาคพอถูกชีเปลือยถามอีกจึงกำชับชีเปลือยอย่าได้บอกใคร แล้วก็เล่าให้ฟังว่า "ท่านขอรับเพราะพวกกระผมกลืนกินก้อนหินทุกวันทำให้ตัวหนักนอนอยู่ เมื่อพวกครุฑมาจับที่หัวลากไป จึงถ่วงพวกครุฑจมน้ำตายเป็นจำนวนมาก พวกครุฑมันโง่จึงจับที่หัว ถ้ามันจับหางของพวกเราหินก็จะไหลออกจากปากสามารถนำพวกเราไปได้ ความลับก็มีอยู่เท่านี้แหละท่าน" แล้วก็ลากลับไป

    อีกวันต่อมา เมื่อพญาครุฑมาหาเปลือยผู้ทุศีลก็เล่าเรื่องนั้นให้ฟัง พญาครุฑจึงปรี่เข้าไปจับขนดหางพญานาคโผบินขึ้นสู่ท้องฟ้าไป พญานาคเมื่อทราบความลับถูกเปิดเผลแล้ว จึงคร่ำครวญว่า "ภัยเกิดจากตัวเองแท้ๆ ที่พูดพล่อยไม่ปิดบัง บอกความลับแก่ใคร จึงได้บอกออกไปน่าเจ็บใจจริง ๆ "
    พญาครุฑพูดว่า "ท่านนาคราช ท่านบอกความลับแก่ชีเปลือยแล้ว จะมาคร่ำครวญอยู่ทำไม สัตว์ที่จะไม่ตายไม่มีในโลกขึ้นชื่อว่าความลับไม่ควรบอกใครๆ ไม่ว่าจะเป็นบิดามารดา พี่น้องแม้กระทั่งภรรยาและบุตรธิดา" แล้วกล่าวเป็นคาถาว่า

    "บัณฑิตไม่พึงเปิดเผยความลับ พึงรักษาความลับนั้นไว้เหมือนรักษาขุมทรัพย์ เพราะว่าความลับบุคคลรู้อยู่ไม่เปิดเผยได้เป็นการดีบัณฑิตไม่ควรบอกความลับ แก่สตรี ศัตรู คนที่ใช้อามิสล่อ และคนผู้ล้วงความลับ"
    พญานาคได้ฟังธรรมของพญาครุฑแล้วอ้อนวอนขอชีวิตว่า "ท่านพยาครุฑ ข้าพเจ้าขอชีวิตจากท่าน ขอท่านจงตั้งตนดุจเป็นมารดาของข้าพเจ้าเถิด"
    พญาครุฑตอบว่า "เอาเถอะ เราจะปล่อยท่านไป แต่ว่า บุตรมี ๓ จำพวก คือ ศิษย์ บุตรบุญธรรม และบุตรตัวเอง ท่านยินดีจะเป็นบุตรประเภทไหนของเราละ" ว่าแล้วก็ปล่อยพญานาคไป สัตว์ทั้ง ๒ ก็อยู่กันอย่างสามัคคีกันเช่นเดิม

    ต่อมาวันหนึ่งสัตว์ทั้ง ๒ ได้ชวนกันไปหาชีเปลือยอีก พญาครุฑทราบว่าพญานาคจักหมายชีวิตชีเปลือย จึงไม่เข้าไปหาปล่อยให้แต่พญานาคผู้เดียวเข้าไปหาชีเปลือยนั้น พญานาคได้กล่าวติเตียนและสาบแช่งชีเปลือยว่า "ท่านเป็นคนเลวทรามประทุษร้ายต่อผู้ไม่ประทุษร้าย ไม่รักษาคำสัตย์ ขอให้หัวของท่านจงแตกเป็น ๗ เสี่ยง" กล่าวจบก็พากันกลับไปที่อยู่ของตนส่วนชีเปลื่อยพอสัตว์ทั้ง ๒ จากไปเท่านั้น หัวก็แตกออกเป็น ๗ เสี่ยงสิ้นชีวิตแล้วไปเกิดในนรก

    </td></tr></tbody></table></td></tr></tbody></table>
     
  14. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    ทำไมพญาครุฑถึงไม่ถูกกับพญานาค <table width="100%" border="0" cellpadding="0" cellspacing="0"><tbody><tr> <td></td> </tr> <tr> <td>
    [​IMG]
    ครุฑ
    ครุฑ เป็น สัตว์หิมพานต์ ในเทพนิยายที่เราค่อนข้างคุ้นหูคุ้นตาเป็นอย่างมาก ทั้งนี้ เพราะเป็นสัญลักษณ์ที่เราพบเห็นกันอยู่เสมอตามที่ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นหน้าธนาคาร ห้างร้านบางแห่ง บนธนบัตร บนเรือพระที่นั่ง ฯลฯ โดยเฉพาะในสถานที่หรือทรัพย์สินทางราชการ วรรณกรรมหลายเรื่องก็มีการกล่าวถึงครุฑ เช่น เรื่องอุณรุท แต่ที่คนไทยรู้จักกันดี ก็คือครุฑในเรื่องกากี
    อย่างไรก็ตาม แม้คนส่วนใหญ่จะได้ยินได้ฟังเกี่ยวกับครุฑมาบ้างแล้ว แต่เชื่อว่าคงมีคนอีกไม่น้อยที่ยังไม่ค่อยทราบประวัติของครุฑ ดังนั้น กลุ่มประชาสัมพันธ์ สำนักงานคณะกรรมการวัฒนธรรมแห่งชาติ กระทรวงวัฒนธรรม จึงขอนำเรื่องของ "ครุฑ"
    จากส่วนหนึ่งในสารานุกรมของเสฐียรโกเศศ ปราชญ์เอกของไทยมาเล่าให้ฟัง ดังนี้

    [​IMG]ครุฑ เป็นพญานกที่มีรูปครึ่งมนุษย์ ครึ่งนกอินทรี เป็นเทพพาหนะของพระวิษณุ เป็นโอรสของพระกัศยปมุนี และนางวินตา พระกัศยปมุนีเป็นฤษีที่มีอำนาจมากตนหนึ่งนอกจากนางวินตาแล้ว ก็ยังมี
    นางกัทรู ซึ่งเป็นพี่น้องกับนางวินตาเป็นภริยาอีกคน โดยนางกัทรูได้ขอพรจากสามีให้มีลูกจำนวนมาก และต่อมาก็ได้ให้กำเนิดนาคหนึ่งพันตัว อาศัยอยู่ในแดนบาดาล
    ส่วนนางวินตาขอลูกเพียงสององค์และขอให้ลูกมีอำนาจวาสนา ต่อมานางได้คลอดลูกออกมาเป็นไข่สองฟอง คือ อรุณ และครุฑซึ่ง ต่อมาอรุณได้ไปเป็นสารถีของสุริยเทพ ส่วนครุฑเมื่อแรกเกิดว่ากันว่า มีร่างกายขยายตัวออกใหญ่โตจนจรดฟ้า ดวงตาเมื่อกระพริบเหมือนฟ้าแลบเวลาขยับปีกทีใด ขุนเขาก็จะตกใจหนีหายไปพร้อมพระพาย รัศมีที่พวยพุ่งออกจากกายมีลักษณะดั่งไฟไหม้ทั่วสี่ทิศ


    [​IMG]ครั้งหนึ่งนาง กัทรูและนางวินตาได้พนันกันถึงสีของม้าที่เกิดคราวกวนเกษียรสมุทร โดยว่าใครแพ้ต้องเป็นทาสอีกฝ่ายห้าร้อยปีนางวินตาทายว่าม้าสีขาว แต่นางกัทรูทายว่าสีดำ ซึ่งความจริงม้าเป็นสีขาวดังที่นางวินตาทาย แต่นางกัทรูใช้อุบายให้นาคลูกของตนแปลงเป็นขนสีดำไปแซมอยู่เต็มตัวม้า นางวินตาไม่ทราบในอุบายเลยยอมแพ้ ต้องเป็นทาสและถูกขังอยู่ในแดนบาดาลถึงห้าร้อยปี ทำให้ครุฑและนาคต่างก็ไม่ถูกกันนับแต่นั้น ครั้นต่อมาครุฑได้ทราบความจริงถึงอุบายของนางกัทรูแต่เพื่อช่วยแม่ให้เป็น อิสระ ครุฑจึงได้ทำความตกลงกับพวกพญานาคที่ต้องการเป็นอมตะว่าจะไปนำน้ำอมฤตที่ อยู่กับพระจันทร์มาให้ ครั้นแล้วก็บินไปสวรรค์ คว้าพระจันทร์มาซ่อนไว้ใต้ปีก แต่ถูกพระอินทร์และทวยเทพติดตามมา และเกิดต่อสู้กันขึ้น แต่ทวยเทพทั้งหมดแพ้ครุฑยกเว้นพระวิษณุเท่านั้นที่ไม่แพ้ แต่ก็แย่ไปเหมือนกัน ดังนั้นต่างจึงทำความตกลงหย่าศึกโดยพระวิษณุหรือพระนารายณ์สัญญาว่าจะให้ ครุฑเป็นอมตะ และให้อยู่ตำแหน่งสูงกว่าพระองค์ส่วนครุฑก็ถวายสัญญาว่าขอเป็นพาหนะของพระ วิษณุ และเป็นธงครุฑพ่าห์สำหรับปักอยู่บนรถศึกของพระวิษณุอันเป็นที่สูงกว่านี่เอง จึงเป็นที่มาว่าเหตุใดครุฑจึงเป็นพาหนะของพระวิษณุ ส่วนหม้อน้ำอมฤตนั้น พระอินทร์ได้ตามมาขอคืน ครุฑก็บอกว่าตนต้องรักษาสัตย์ที่จะนำไปให้นาคเพื่อไถ่มารดาให้พ้นจากการเป็น ทาส และให้พระอินทร์ตามไปเอาคืนเองเมื่อครุฑเอาน้ำอมฤตไปให้นาคก็วางไว้บนหญ้าคา (และว่าได้ทำน้ำอมฤตหยดบนหญ้าคา ๒-๓หยด ด้วยเหตุนี้ หญ้าคาจึงถือเป็นสิ่งมงคล ใช้ประพรมน้ำมนต์ส่วนงูเมื่อเห็นน้ำอมฤตบนหญ้าคาก็ไปเลียกิน ด้วยความไม่ระวัง จึงถูกคมหญ้าคาบาดกลางเป็นทางยาว งูจึงมีลิ้นแตกเป็นสองแฉกสืบมาจนทุกวันนี้) ส่วนนาคเมื่อเห็นน้ำอมฤตก็ยินดีปล่อยนางวินตาแม่ครุฑให้เป็นอิสระ ขณะพากันไปสรงน้ำชำระกายเพื่อจะมากินน้ำอมฤตนั่นเอง พระอินทร์ก็นำหม้อน้ำอมฤตกลับไป ทำให้นาคไม่ได้กิน และยิ่งเพิ่มความเป็นศัตรูกับครุฑยิ่งขึ้น

    [​IMG]
    อย่างไรก็ดี มีเรื่องเล่าต่อมาว่า จากการที่พระอินทร์ได้ให้พรครุฑ จับนาคเป็นอาหารได้นั้น ทำให้พญานาควาสุกรีเกรงว่านาคจะสูญพันธุ์ จึงตกลงจะส่งนาคไปให้ครุฑกินที่ชายหาด วันหนึ่งถึงคราวของนาคหนุ่มชื่อสังขจูทะ จะต้องไปเป็นเหยื่อ แม่ก็ตามมาด้วยความรักและอาลัย ขอรัองอย่างไรก็ไม่ยอมกลับ วิทยาธรตนหนึ่งชื่อว่า ชีมูตวาหน เป็นผู้มีใจบุญสุนทานตัดแล้วซึ่งโลกีย์วิสัย ได้มาพบ ก็สอบถามได้ความแล้ว จึงเสนอตัวเองปลอมเป็นนาคให้ครุฑกินแทน ปรากฏว่าขณะที่ครุฑกำลังกินนาคปลอม แทนที่จะแสดงความเจ็บปวด ชีมูตวาหนกลับแสดงความปลื้มใจจนครุฑผิดสังเกตว่าต้องผิดตัวแน่ แต่สอบถามก็ไม่ยอมรับ ขณะนั้นเองนาคสังขจูทะก็ได้มาแสดงตัว ว่าตนคือเหยื่อของครุฑ เมื่อทราบความจริง ครุฑก็เกิดความสำนึกบาป และซาบซึ้งในความเสียสละของชีมูตวาหนจึงวิ่งเข้าไปในกองไฟหมายจะฆ่าตัวตาย เพื่อชำระบาป แต่ชีมูตวาหนได้ร้องห้าม และว่าหากจะหยุดทำบาปก็ให้เลิกกินนาคเป็นอาหารต่อไป ครุฑก็เชื่อและได้เหาะไปนำน้ำอมฤตมาประพรมกระดูกนาคที่ตนเคยจิกกินมาแต่กาล ก่อน จนนาคทั้งหมดได้ฟื้นคืนชีวิตขึ้นมาใหม่

    ครุฑมีชายาชื่ออุนนติ หรือวินายกาโอรสชื่อ สัมปาติหรือสัมพาที และชฎายุ ตามวรรณคดีพุทธศาสนากล่าวว่าครุฑมีขนาดใหญ่มาก วัดจากปีกข้างหนึ่งไปยังอีกข้างหนึ่งได้ ๑๕๐ โยชน์ เวลากระพือปีกสามารถทำให้เกิดพายุใหญ่ เกิดมืดมนและทำลายบ้านเมืองให้หมดสิ้นไปได้ ที่อยู่ของครุฑเรียกว่า สุบรรณพิภพเป็นวิมานอยู่บนต้นสิมพลีหรือต้นงิ้ว อยู่เชิงเขาพระสุเมรุ ครุฑมีชื่อเรียกหลายนาม เช่น กาศยปิ และเวนไตย อันเป็นชื่อสืบมาจากกัศยปและวินตา บิดามารดา สุบรรณ หมายถึง ผู้มีปีกอันงาม ครุตมาน เจ้าแห่งนกสิตามัน มีหน้าสีขาว รักตปักษ์ มีปีกแดง เศวตโรหิต มีสีขาวและแดง สุวรรณกาย มีกายสีทองคคเนศวร เจ้าแห่งอากาศขเคศวร ผู้เป็นใหญ่แห่งนกนาคนาศนะ ศัตรูแห่งนาคสุเรนทรชิต ผู้ชนะพระอินทร์เป็นต้น

    นอกจากตำนานข้างต้นแล้ว ครุฑยังมีความเกี่ยวข้องกับคนไทยอีกหลายอย่าง โดยเฉพาะการถือว่าครุฑเป็นสัญลักษณ์สำคัญเกี่ยวกับพระมหากษัตริย์ของไทยก็มีมาแต่สมัยกรุงศรีอยุธยา ด้วยว่าไทยเราได้รับลัทธิเทวราชของอินเดียที่ถือว่าพระมหากษัตริย์คืออวตาร ของพระนารายณ์ ดังนั้นครุฑซึ่งเป็นผู้มีฤทธิ์มากและเป็นพาหนะของพระนารายณ์ จึงเป็นสัญลักษณ์แทนพระมหากษัตริย์ ดังที่ปรากฏอยู่ในดวงตราหรือพระราชลัญจกรประจำพระองค์ประจำแผ่นดิน ประจำราชวงศ์ และประจำรัชกาล เป็นต้น ซึ่งจากการที่เราใช้ "ตราครุฑ" เป็นพระราชลัญจกรสำหรับประทับหนังสือราชการแผ่นดินที่เป็นพระบรมราชโองการ และใช้พระราชลัญจกรพระครุฑพ่าห์ประทับหนังสือราชการแผ่นดินมาแต่โบราณกาล ต่อมาจึงได้มีการใช้ ตราครุฑ เป็นหัวกระดาษของหนังสือของราชการทั่วๆไปด้วย เพื่อให้ทราบว่างานนั้นเป็นราชการ ส่วนรูปครุฑที่เป็นธงแทนองค์พระมหากษัตริย์นั้นเรียกว่า "ธงมหาราช" เป็นรูปครุฑสีแดงอยู่บนพื้นธงสีเหลือง เริ่มใช้ในสมัยรัชกาลที่ ๔ธงมหาราชนี้เมื่อเชิญขึ้นเหนือเสา ณ พระราชวังใดแสดงว่าพระมหากษัตริย์ประทับอยู่ ณ ที่นั้น สำหรับครุฑที่ปรากฏอยู่ในขบวนเรือหลวงก็มีอยู่ ๓ ลำคือเรือครุฑเหินเห็จ เป็นหัวโขนรูปพญาครุฑสีแดงยุดนาคเรือครุฑเตร็จไตรจักรเป็นหัวโขนรูปพญาครุฑ สีชมพูยุดนาคและ เรือนารายณ์ทรงสุบรรณรัชกาลที่ ๙ เป็นรูปพระนารายณ์ทรงครุฑ เป็นเรือที่สร้างขึ้นในรัชกาลปัจจุบัน

    นอกเหนือจากการที่ "ตราครุฑ" ปรากฏในส่วนราชการต่างๆแล้วในภาคเอกชนก็สามารถรับพระราชทานพระบรมราชานุญาต ให้ใช้ตราครุฑหรือตราแผ่นดินในกิจการได้ด้วย โดยเริ่มมีมาแต่รัชกาลที่ ๕ ซึ่งเดิมเป็นตราอาร์ม โดยมีข้อความประกอบว่า "โดยได้รับพระบรมราชานุญาต" ต่อมาในรัชกาลที่ ๖ได้เปลี่ยนตราแผ่นดินเป็นตราพระครุฑพ่าห์ การพระราชทานตรานี้ แต่เดิมถือเป็นพระมหากรุณาธิคุณที่จะพระราชทานตามพระราชอัธยาศัย ผู้ได้รับนอกจากจะเป็นช่างหลวง เช่น ช่างทอง ช่างถ่ายรูป เป็นต้นแล้ว ก็มักจะเป็นผู้ประกอบกิจการค้ากับราชสำนัก และเป็นประโยชน์ต่อราชการงานแผ่นดิน ปัจจุบันการขอพระราชทานตราตั้งนี้ต้องยื่นคำขอต่อสำนักพระราชวัง เพื่อพิจารณานำความขึ้นกราบบังคมทูลขอพระราชทานพระบรมราชานุญาต ซึ่งตราตั้งนี้ถือเป็นของพระราชทานเฉพาะบุคคล สิทธิรับพระราชทานและการใช้เครื่องหมายนี้จะสิ้นสุดเมื่อสำนักพระราชวัง เรียกคืนเนื่องจากบุคคล ห้างร้าน บริษัทที่ได้รับพระราชทานฯตาย หรือเลิกประกอบกิจการหรือโอนกิจการให้ผู้อื่น หรือสำนักพระราชวังเห็นสมควรเพิกถอนสิทธิ

    เรื่องราวของ "ครุฑ" ทั้งหมดข้างต้น หวังว่าคงจะเป็นความรู้ที่ทำให้ผู้อ่านและผู้ฟังได้ทราบประวัติความเป็นมา ของครุฑที่เกี่ยวข้องกับเราคนไทยดีขึ้น


    </td></tr></tbody></table>
     
  15. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    [​IMG]
    ประชาชาชนที่อาศัยอยู่บริเวณรอบนอกกรุงพนมเปญพากันตื่นตะลึงต่อปรากฏการณ์ ธรรมชาติ ที่เกิดไอน้ำจากแม่น้ำถูกดูดพันกันเป็นเกลียวคลื่นสูงนับร้อยเมตร ซึ่งชาวบ้านกล่าวว่าเป็นการพ่นน้ำของพญานาค ซึ่งหลายคนกล่าวว่าปรากฏการณ์เช่นนี้เป็นลางร้ายทางการเมือง ที่ผู้นำหรือรัฐบาลอาจจะพบกับภัยพิบัติ

    เหตุการณ์นี้เกิดขึ้นท่ามกลางพายุแรงจัด ก่อนเวลาบ่ายโมงวันอังคาร (29 ส.ค.) ที่ผ่านมา ที่บริเวณแม่น้ำทะเลป่าสัก (Tonle Bassac) ไหลไปบรรจบกับแม่น้ำโขงในเขตชานเมืองหลวง ซึ่งปรากฏการณ์เช่นนี้พบเห็นได้ไม่บ่อยนัก ทั้งนี้เป็นรายงานของหนังสือพิมพ์ "เกาะสันเตเพี๊ยบ" (Koh Santepeap) หรือ "เกาะสันติภาพ" ซึ่งเป็นหนังสือพิมพ์รายวันภาษาเขมร

    เหตุการณ์คล้ายๆกันแบบนี้ในหลายๆประเทศ ก้คิดไม่ต่างจากคนไทยเลยค่ะ
     
  16. nuanhadyai@hotmail

    nuanhadyai@hotmail เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2009
    โพสต์:
    8,545
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +25,205
    รู้สึกว่าครั้งหนึ่งฝันประหลาดค่ะน้องลิน......ช่วงนั้นใส่เหรียญนารายณ์ทรงครุฑ.หลวงปู่หมุน....
    .ครั้งแรกที่สัมผัสจับเหรียญ...รู้สึกเหมือนมีอะไรหมุนในมือ.....แขวนเหรียญอยู่พักหนึ่ง คืนหนึ่งสวดมนต์ และขอบารมีหลวงปู่....เวลานอนจะถอดพระออก........หลับไปแล้วเหมือนมีอะไรมาจ้องมอง.....สักพักในความรู้สึกเหมือนอะไรบินโฉบลงมาที่ตัวแล้วกระพือปีกเสียงเหมือนนกโบราณ...ในหนังจักรๆวงค์ๆ... รู้สึกเจ็บมาก...แล้วก็บินถอยออก....แล้วก็บินโฉบลงมาใหม่คราวนี้เห็นขาแขนเหมือนคนแต่หน้าเป็นนก...(เหมือนครุฑ)....ตกใจร้องบอกหลวงปู่หมุนช่วยด้วย นกนั้นก็บินหายไป.....พระที่ถอดไว้ใกล้หมอนก็มาอยู่ในคอได้ไงไม่รู้ สะดุ้งตื่นมือยังจับพระเลยค่ะ....เป็นฝันที่เหมือนจริงมาก.......

    แต่เรื่องชอบพญานาคชอบมานานแล้วค่ะ เวลาเรียนศิลปะก็จะชอบ.....

    *แหวนของพี่หนุ่ม
    ตรงนารายณ์ ด้านข้างลายกนกยังมองเป็นพญานาคเลย....หุหุหุ
    ..อยากไปเที่ยวคำชโนดค่ะ ยังไม่เคยไปเลยค่ะ...ทางอีสาน.......
     
  17. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    โชคดีนะคะที่หลวงปู่มาช่วยทัน คุณพระคุ้มครองจริงๆเลยค่ะ

    ลินเคยไปมาแล้วสองครั้งค่ะ คำชะโนด ครั้งแรกที่ไปก็ได้โชคเลยค่ะ เพื่อนพาไปเที่ยวบ้านที่อุดรช่วงออกพรรษา และ เพื่อนก็พาไปเที่ยวคำชะโนด ที่นั้นมีคนชอบไปถูหาหวยที่ต้นตะโนดกันค่ะ บังเอิญผ่านไปได้ยิน ว่า เห็นแล้ว 58 กลับบ้านมาก็เลยซื้อตาม แต่หน้าแปลกที่ไปเป็นสิบคน แต่ มีถูกหวยอยู่สองคนเท่านั้นเองค่ะ คือ ลินกับคุณ ยาย ที่อุดรค่ะ ในบริเวณเกาะคำชะโนด จะรู้สึกเย็น และ พื้นที่เราย้ำเดินไปก็เหมือนจะมีน้ำซึมตลอดเวลาค่ะ(เมื่อก่อนให้ถอดรองเท้าเข้าไปเดินค่ะ ) ตอนนี้รู้สึกว่าทางวัดมีการเทปูนทำทางเดินเข้าไป และ มีสิ่งก่อสร้างเยอะขึ้นดูไม่เป็นธรรมชาติเหมือนครั้งแรกที่ไปเลยค่ะ
     
  18. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    [​IMG]
    พญานาคมีจริงหรือ ?

    คน ไทยเราชาวพุทธ พอเกิดมาเดินได้เข้าไปตามวัดวาอารามย่อมจะเคยได้พบเห็นรูปร่างพญานาค ประดิษฐานอยู่ตามราวบันไดทางขึ้นสู่โบสถ์ วิหาร กุฏิศาลา มณฑป พญานาคทำด้วยไม้ก็มี ปั้นด้วยปูนทาสี
    มีหงอนแดง อ้าปากแลบลิ้นแดงฉานน่าสะดุ้งกลัวก็มี

    รูปพญานาคที่ประดับอยู่ตาม หน้าจั่วกุฏิศาลาโบสถ์วิหารนั้น เรียกว่านาคสะคุ้ง เป็นศิลปกรรมเอกลักษณ์ที่พบเห็นได้ทุกแห่ง

    คติความเชื่อถือของชาว พุทธ มีความเชื่อว่า พญานาคมีจริง มีบ้านเมืองอยู่ใต้พื้นพิภพเรียกว่า
    เมือง บาดาลพญานาคเป็นพวกกายทิพย์ครึ่งหนึ่งเป็นสัตว์เดรัจฉานอีกครึ่งหนึ่งเป็น เทพยดา

    มีมหิทธิฤทธิ์ศักดานุภาพยิ่งนัก สามารถเนรมิตบิดเบือนร่างกาย

    ให้เป็นมนุษย์ชายและหญิงก็ได้ เนรมิตเป็นพญางูใหญ่ลำตัวโตขนาดไหนก็ได้

    คติทางพุทธศาสนาถือว่าพญา นาคเป็นเทพยดาเฝ้าพิทักษ์วัดวาอารามและปูชนียสถานศักดิ์สิทธิ์ในพระศาสนา ทั่วไป

    ข้าพเจ้าสนใจเรื่องพญานาคมานานแล้ว ได้พยายามศึกษาค้นคว้า หาทางพิสูจน์อยู่เสมอมา แต่เป็นเรื่องเร้นลับอยู่เหนือธรรมชาติ
    ของ ตา หู จมูก กายของปุถุชนจะสัมผัสให้เห็นได้โดยยากเพราะเป็นสภาวะทิพย์วิสัย

    แต่ ถึงอย่างไร ข้าพเจ้าก็มิท้อถอย ได้พากเพียรศึกษาค้นคว้ารวบรวมเรื่องพญานาคอยู่เรื่อยมา เรื่องที่รวบรวมได้มา จึงอยู่ในลักษณะเล่าสู่ท่านผู้อ่านฟังซึ่งยังไม่มีการพิสูจน์ลงไปให้แน่ชัด ว่าเป็นจริงเช่นสองบวกสองเป็นสี่ อย่างไรก็ตามเรื่องราวที่รวบรวมได้มา ล้วนมาจากผู้ทรงศีล มีธรรมวินัย หากท่านเหล่านั้น นำเรื่องพญานาคมาโกหกเป็นความเท็จ ต้องเป็นบาปหนักแน่ ๆ

    ขอให้ ข้าพเจ้าและท่านผู้อ่านมีความเชื่อว่า ท่านผู้ทรงศีลจะไม่เสกสรรปั้นแต่งเรื่องขึ้นมาหลอกลวงพวกเราให้งมงาย

    มี พระธุดงค์ผู้เฒ่าองค์หนึ่งอายุเกือบร้อยปีแล้ว มีฌานตบะแก่กล้าอยู่แต่ในป่าในถ้ำมา 40 กว่าปีแล้ว ไม่เคยเข้าหมู่บ้านหรือเข้า
    อยู่ที่วัดใดวัดหนึ่งเลย เวลานี้ท่านลี้ภัยออกจากลาวแดงมาอยู่ในถ้ำแห่งหนึ่งริมฝั่งโขงฝั่งไทย

    ท่าน ชื่อ หลวงปู่คำคะนิงอายุ 86ปี

    เรื่องถ้ำเรื่องป่าเขาแดนลี้ลับ อันตรายต้องยกให้หลวงปู่คำคะนิง ท่านผ่านถ้ำผ่านภูเขามานับร้อยนับพันแห่งในอินโดจีน
    และฝั่งโขงทั้งสอง ฟาก

    ผจญ เสือ ผจญช้าง กระทิงป่า มหิงสา หมียักษ์และงูร้ายอสรพิษนานาชนิด มาแล้วอย่างโชกโชน ตลอดจนภูตวิญญาณร้ายกาจสารพัดภูตผีปีศาจคะนองไพรและที่น่าสนใจที่สุด

    “หลวง ปู่คำคะนิงเคยเข้าไปในถ้ำใต้แม่น้ำโขง เดินสามวันสามคืนไม่หยุดยั้ง พบเมืองบาดาลนาคพิภพของพญานาค มหัศจรรย์ที่สุด”

    เรื่อง นี้จึงทำให้ อยากไปพบหลวงปู่คำคะนิง เพื่อสอบถามเรื่องเมืองพญานาคใต้แม่น้ำโขง ถ้าสามารถเป็นไปได้ อยากจะให้หลวงปู่คำคำคะนิงพาเข้าถ้ำที่ว่านี้ไปดูชมเมืองนาคพิภพให้เป็นบุญ ตาก่อนที่จะกล่าวถึงเรื่องการไปนมัสการ
    หลวงปู่คำคะนิงที่ถ้ำคูหาสวรรค์ ริมฝั่งโขง ตอนใกล้ปากแม่น้ำมูลไหลตกลงสู่แม่น้ำโขง ข้าพเจ้าขอกล่าวถึงเรื่องพญานาคที่รวบรวมไว้ แทรกเข้าขัดจังหวะสักเล็กน้อย เพื่อเป็นการประกอบเรื่องให้มีน้ำหนักขึ้น

    รัตนสูตร
    พระบาลีพระ สูตรต่าง ๆ ของพุทธศาสนามีกล่าวถึงพญานาคอยู่บ่อย ๆ พระพุทธมนต์หรือพระปริตรที่พระและฆราวาสนิยมสวดกันมาตั้งแต่ดึกดำบรรพ์ ถือกันว่าศักดิ์สิทธิ์ ป้องกันบำบัดปัด
    เป่าภยันตรายต่าง ๆ และบันดาลให้ประสบสิ่งที่เป็นมงคลได้ อย่างใน “รัตนสูตร” ได้เล่าไว้ไนอรรถกถาว่า
    ใน สมัยหนึ่ง พระนครเวสาลีได้เกิดทุพภิกขภัยความอดอยากข้าวยากหมากแพง ฝนแล้งไม่ตกต้องตามฤดูกาล ผู้คนพากันล้มตายเป็นอันมาก เนื่องมาจากความอดอยากหิวโหย

    เมื่อตายลงแล้วก็ไม่มีผู้ทำจะ อนุเคราะห์ช่วยเอาศพไปฝังหรือเผาเสีย ตายที่ไหนก็ถูกทอดทิ้งอยู่ที่นั่น ทำให้กลิ่นศพเหม็นตลบไปทั่วพระนคร เกิดอหิวาตกโรคแพร่ระบาดซ้ำเข้าอีก ทำให้ผู้คนล้มตายลงเหมือนใบไม้ร่วง

    เมื่อเกิดเหตุเช่นนี้ อำมาตย์ผู้หนึ่งได้กราบทูลพระเจ้าลิจฉวีว่า

    “สมเด็จ พระผู้มีพระภาค เจ้า เป็นพระอรหันต์ บริสุทธิ์จากกิเลสทั้งปวง มีพระหฤทัยประกอบด้วยพระมหากรุณาธิคุณไม่มีผู้เสมอเหมือน ทรงตรัสรู้พระอนุตตรสัมมาสัมโพธิญาณเป็นพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เสด็จประกาศพระธรรมอันบริสุทธิ์ เป็นศาสดาของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย

    บัด นี้พระองค์เสด็จประทับอยู่ ณ พระเวฬุวันมหาวิหาร ของพระเจ้าพิมพิสาร บรมกษัตริย์กรุงราชคฤห์ พระพุทธองค์ทรง
    มี อภินิหารบารมีคุณสูงยิ่งนัก ถ้ากราบทูลอัญเชิญขอให้พระพุทธองค์เสด็จมายังพระนครเวสาลี ข้าพระองค์เชื่อเหลือเกินว่า ภัยชั่วร้ายอัปมงคลที่ชาวพระนครเวสาลีประสบอยู่เวลานี้จักต้องสงบราบคาบลง เพราะอานุภาพของพระพุทธองค์”

    พระเจ้าลิจฉวีจึงทรงโปรดให้เจ้าชายมหา ลิ พร้อมด้วยบุตรชายของท่านปุโรหิตกับพลนิกรเป็นอันมาก เป็นราชทูตเชิญเครื่องราชบรรณาการไปเฝ้าพระเจ้าพิมพิสาร เพื่อกราบทูลขอประทานโอกาสให้พระผู้มีพระภาคเจ้าได้เสด็จไป
    บำบัดภัย พิบัติในพระนครเวสาลี

    พระเจ้าพิมพิสารทรงเห็นใจยินดีสนับสนุนในการ ที่จะทูลเชิญสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าให้เสด็จสู่พระนครเวสาลี

    ต่อ จากนั้นจึงได้พากันไปเฝ้าสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าแล้วกราบทูลอัญเชิญแจ้ง เหตุที่เกิดขึ้นให้พระพุทธองค์ทรงทราบทุกประการ

    สมเด็จพระผู้มีพระ ภาคเจ้าทรงสดับคำทูลเชิญเสด็จของคณะราชทูตชาวพระนครเวสาลีแล้ว ทรงใคร่ครวญดูด้วยพุทธญาณก็ทรงทราบว่า

    “เมื่อเราสวดรัตนสูตรในพระนคร เวสาลี อาชญาจักแผ่ไปตลอดแสนโกฏิจักรวาล เมื่อสวดรัตนสูตรจบลง สัตว์ทั้งหลายแปดหมื่นสี่พันก็
    จักบรรลุมรรคผล ภัยทุกอย่างจักสงบไป”


    เมื่อ พระพุทธองค์ทรงทราบในพระหฤทัยดังนี้แล้ว จึงทรงรับคำทูลเสด็จไปยังพระนครเวสาลีของเจ้าชายมหาลิหัวหน้าคณะราชฑูต

    แล้ว พระพุทธองค์ก็เสด็จสู่พระนครเวสาลีพร้อมด้วยพระสาวกห้าร้อยรูป พระเจ้าพิมพิสารพร้อมต้วยอำมาตย์ราชเสวกและพลนิกรได้ตามเสด็จสมเดจพระผู้มี พระภาคจนถึงฝั่งแม่น้ำคงคา

    พระเจ้าพิมพิสารทรงลุยลงไปในแม่น้ำคงคาจน ถึงพระศอเพื่อส่งเสด็จสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าพร้อมด้วยพระภิกษุสาวก
    ที่ ลงนาวาข้ามแม่น้ำคงคาไปเหล่าอากาศเทวาเบื้องบนก็ชวนกันทำสักการบูชา ตราบเท่าถึงชั้นอกนิฏฐพรหมโลกและพญูานาคที่อยู่ในเเม่น้ำคงคาก็พากันมากระทำ สักการะบูชาสมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้า

    จากข้อความในอรรถกถานี้ บอกกล่าวว่า "พญานาค" มีจริง !
     
  19. lynn@nice

    lynn@nice เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2009
    โพสต์:
    21,531
    ค่าพลัง:
    +19,462
    พระอาจารย์มั่นเล่าว่า

    ที่ ใต้เชิงเขาลูกนั้น มีเมืองพญานาคตั้งอยู่ ใหญ่โตมาก หัวหน้าพญานาคพาบริวารมาฟังธรรมของท่านเสมอ และมักมากันมากมายในบางครั้ง พวกพญานาคไม่ค่อยมีปัญหาซักถามมากเหมือนพวกเทวดา พวกเทวดาทั้งเบื้องต้นและเบื้องล่างมักมีปัญหามากพอ ๆ กัน หมายถึงปัญหาข้อสงสัยทางธรรมะ

    ส่วนความเลื่อมใสในธรรมะนั้นพวกพญานาค และเทวดามีความเลื่อมใสพอ ๆ กัน

    พระอาจารย์มั่นพักบำเพ็ญเพียรอยู่ เชิงเขาลูกนั้นนานพอสมควร พวกพญานาคมาเยี่ยมคารวะฟังธรรมกับท่านแทบทุกคืนพวกพญานาคมา
    เยี่ยมคารวะ ท่านไม่ดึกนัก ท่านว่าอาจเป็นเพราะที่พักของท่านสงัดเงียบ ห่างไกลจากหมู่บ้านก็ได้ พวกพญานาคจึงมาเยี่ยมในราว 4-5 ทุ่ม

    ส่วน สถานที่อื่น ๆ พวกพญานาคมาดึกกว่านี้ก็มี เวลาขนาดนี้ก็มี พวกพญานาคตามสถานที่ต่าง ๆ มีความเคารพเลื่อมใสท่านมาก พวกเขาจัดให้บริวารพญานาคมารักษาคุ้มครองป้องกันภัยให้ท่านทั้งกลางวันกลาง คืน โดยผลัดเปลี่ยนวาระกันมิได้ขาด

    ท่านไปอยู่สถานที่ใดพวกพญานาคใน สถานที่นั้นมักอาราธนานิมนต์ให้ท่านพระอาจารย์มั่นอยู่ที่นั่นนาน ๆ เพื่อโปรดพวกเขา

    เมื่อ ครั้งพระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระ พักจำพรรษาอยู่บ้านน้ำเมา อำเภอแม่ปั๋ง เชียงใหม่ พระอาจารย์มั่นเล่าว่า ท่านต้อนรับแขกจำพวกกายทิพย์บนสวรรค์มี ท้าวสักกเทวราช เป็นหัวหน้ามาก เป็นพิเศษ

    แม้หน้าแล้งท่านจะหลีก เลี่ยงออกไปเที่ยววิเวกองค์เดียว อยู่ในถ้ำดอกคำ ท้าวสักกเทวราชก็พาพวกเทวดาติดตามไปเยี่ยมท่าน ซึ่งพวกเทวดามาแต่ละครั้งนี้ มากันเป็นหมื่นเป็นแสนและมาบ่อยที่สุด

    ถ้า พวกที่ไม่เคยมา ท้าวสักกเทวราชต้องเตือนให้พวกเขาเข้าใจวิธีฟังธรรม ก่อนที่พระอาจารย์มั่นจะแสดงให้ฟัง
    โดยมากพระอาจารย์มั่นท่านแสดง “เมตตาอัปปมัญญาพรหมวิหาร” ให้พวกเทวดาฟัง เพราะพวกเทวดาชอบฟังธรรมนี้มากเป็นพิเศษ

    พวกเทวดาชอบสถานที่อยู่ลึก ๆ เงียบสงัดห่างไกลจากมนุษย์เพราะมนุษย์มีกลิ่นเหม็นรุนแรงเหมือนซากศพ เนื่องจากมนุษย์กินอาหาร
    ประเภท เนื้อสัตว์หลายชนิดมาก ในท้องในกระเพาะมนุษย์จึงเต็มไปด้วยซากศพสัตว์ชนิดต่าง ๆ ส่งกลิ่นเหม็นกระจายออกมา ตามรูขุมขน แต่มนุษย์ด้วยกันเคยชินกลิ่นของกันและกัน เลยไม่รู้สึกว่าเหม็นเหมือนกลิ่นศพ

    ซึ่งผิดกับพวกเทวดามีจมูกพิเศษ สัมผัสได้ว่องไวเป็นสภาวะทิพย์ จึงสามารถได้กลิ่นเหม็นเน่าซากศพ โชยออกมาจากร่างมนุษย์
    ได้เต็มที่ ทำให้สะอิดสะเอียนเxxxยนรา กทนไม่ไหว ไม่ต่างอะไรกับคนเราทนไม่ได้กับกลิ่นซากศพเน่า ๆ ในโลงศพฉะนั้นแหละ

    พวก เทวดาทุกคนทุกภูมิเคารพท่านพระอาจารย์มั่นและ เคารพสถานที่บำเพ็ญเพียรของท่านมาก แม้แต่ทางเดินจงกรมที่ญาติโยมชาวบ้านเอาทรายมาเกลี่ยไว้สำหรับให้พระอาจารย์ มั่นเดินได้สะดวก พวกเทวดาก็ไม่กล้าผ่านทางจงกรม ต้องเดินอ้อมไปทางหัวจงกรมทุกครั้งที่มาและไป

    พวก “พญานาค” ก็เช่นเดียวกัน เวลาเข้ามาเยี่ยมคารวะฟังธรรมกับท่าน พวกพญานาคไม่กล้าเดินเข้าทางจงกรมเลย ต้องเดินอ้อมไปทางอื่น

    บาง ครั้งพญานาคใช้ให้บริวารมากราบนิมนต์พระอาจารย์มั่นในกิจบางอย่าง ให้ไปโปรดพวกพญานาค คล้ายกับมนุษย์เรามานิมนต์พระไปในงานไม่มีผิดเลย

    พญา นาคเชียงดาว
    พญานาคที่เป็นมิจฉาทิฐิไม่รู้จักพระธรรมคำสั่งสอนของพระ สัมมาสัมพุทธเจ้าเลยก็มีเหมือนกัน

    พระอาจารย์มั่น ภูริทัตตเถระเล่าว่า

    สมัย เมื่อครั้งท่านไปพักบำเพ็ญเพียรอยู่ที่ ถ้ำเชียงดาว ถ้ำที่ว่านี้ไม่ใช่ถ้ำเชียงดาวซึ่งยาวเข้าไปในกลางเขาที่ประชาชนเข้าไป เที่ยวกัน
    หากเป็นอีกถ้ำหนึ่งซึ่งอยู่สูงขึ้นไป ประชาชนขึ้นไปไม่ถึง เพราะทำเลซ่อนเร้นลับตา ถ้ำที่ท่านขึ้นไปบำเพ็ญเพียรนี้แหละ มีพญานาคตนหนึ่งเฝ้ารักษา
    ถ้ำอยู่มาเป็นเวลานาน

    พญานาคตนนี้ไม่ ได้ปรากฏร่างออกมาให้พระอาจารย์มั่นเห็นด้วยสายตาธรรมดา หากแต่พระอาจารย์มั่นสามารถมองเห็นได้ด้วยนัยน์ตาทิพย์ว่า

    พญา นาคตน นี้มีกายทิพย์หรือปรมาณู มีวังอันสวยงามอยู่ลึกเข้าไปในถ้ำอันเร้นลับยากที่ปุถุชนธรรมดาจะล่วงรู้ เห็นได้ พญานาคตนนี้คอยโผล่หัวจ้องมองจับผิดท่านพระอาจารย์มั่นอยู่ตลอดเวลา คือจ้องมองอยู่ในถ้ำลึกเวียงวังของตน ไม่ได้โผล่เข้ามาใกล้ที่พักของพระอาจารย์มั่นแต่อย่างใด แต่พญานาคมีสายตาเป็นทิพย์มองไกล ๆ แค่ไหนก็ย่อมเห็นได้

    แต่พญานาคตน นี้ก็ยอมรับฟังเทศนาธรรมจากพระอาจารย์มั่นในที่สุดจนได้
     
  20. SpringDove

    SpringDove เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กันยายน 2010
    โพสต์:
    1,488
    ค่าพลัง:
    +4,807
    เข้ามาเยี่ยมค่ะคุณลิน เรื่องราวดีๆ ทั้งนั้น (แต่ยังอ่านไม่จบเลยค่ะ):cool::cool::cool:
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 9 พฤษภาคม 2011

แชร์หน้านี้

Loading...