ติดตามสถานะการณ์

Gossipสาสุข

อเมริกาเอาจริง!
เดโมแครตประกาศ 2019 เป็นปีแห่งการ "ปฏิรูป" ระบบหลักประกันสุขภาพ
•
หลังจากพรรคเดโมแครต ได้รับชัยชนะเหนือพรรครีพับลีกันของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ในการเลือกตั้งกลางเทอม เมื่อเดือน ต.ค. 2018
•
ก็ได้เวลาพรรคเดโมแครต ประกาศ "วาระแห่งชาติ" เรื่องใหม่ ที่พรรคจะเดินหน้าตลอดปี 2019
•
นั่นคือการสร้างระบบ "หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า"ที่ใช้งานได้จริง เพื่อให้คนอเมริกัน สามารถเข้าถึงระบบการรักษาพยาบาล ด้วยค่าใช้จ่ายที่สมเหตุสมผล ไม่แพงบ้าเลือดเหมือนที่ผ่านมา
•
เพราะเวลา 200 กว่าปีของการก่อตั้งประเทศ สหรัฐอเมริกา ยังไม่เคยมีระบบหลักประกันสุขภาพที่ประชาชนเข้าถึงอย่างแท้จริง
•
แม้จะมีระบบ Medicare ที่ให้บริการฟรีเฉพาะประชากรผู้สูงอายุ ผู้พิการ และระบบ Medicaid ที่ให้ความช่วยเหลือด้านสุขภาพแก่ผู้มีรายได้น้อยก็จริง
•
แต่การรักษาหลายโรค รวมถึงการเข้าถึงยาและเวชภัณฑ์ก็ไม่ได้ครอบคลุม หลายรายการ ผู้ที่อยู่ใต้ 2ระบบดังกล่าว ต้องเข้าเนื้อ ควักกระเป๋าจ่ายเพิ่ม
•
และที่สำคัญก็คือ ประชากรอีกกว่า 40%หรือกว่า 130 ล้านคน ไม่สามารถเข้าถึงระบบหลักประกันสุขภาพ ทำให้ต้องไปซื้อประกันสุขภาพเอกชน ที่ราคาเพิ่มสูงขึ้นทุกปี และยังมีบริษัทยา "ครอบงำ" ต้นทุนการรักษาไว้อยู่
•
ต่างจากอังกฤษ ที่มีระบบหลักประกันสุขภาพตั้งแต่หลังสงครามโลกครั้งที่ 2
•
และต่างจากประเทศในยุโรปส่วนใหญ่ ที่รัฐบาลกลาง เข้ามาแทรกแซงตลาด จัดระบบหลักประกันสุขภาพ ให้กับประชาชน โดยรัฐทำหน้าที่ "ผู้ซื้อบริการ"
•
แผนของพรรคเดโมแครต เริ่มจากการที่ สส.พรามิลลา ชยาพอล จะ "ผลักดัน" ร่างกฎหมายหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า Medicare for all เข้าสู่สภาฯ โดยใช้เสียงสนับสนุนจากประธานสภาฯ แนนซี่ เพโลซี่ ซึ่งเป็นสายเสรีนิยม เช่นเดียวกัน
•
ข้อเสนอนี้ เบอรนี แซนเดอร์ส สว.รัฐเวอร์มอนท์ และอดีตผู้สมัครเข้าชิงตำแหน่งประธานาธิบดี เคยเสนอมาแล้ว รวมถึงมีการทำตัวเลขคร่าวๆ มาให้เห็นว่า ประชาชนไม่จำเป็นต้องควักกระเป๋า "ร่วมจ่าย" หรือต้องจ่าย ณ จุดบริการ
•
แต่สามารถทำได้ โดยการเก็บภาษีจากภาคธุรกิจภาคอุตสาหกรรม และจากคนรวยมากขึ้น หากจะจ่ายค่าพรีเมียม ในยาบางตัว ก็จะมีเพดานสูงสุดประมาณ 250 เหรียญ หรือ 6,500 บาท ต่อปี เท่านั้น
•
รอบนี้ เดโมแครตยืนยันหนักแน่นว่า ถ้าสหรัฐอเมริกา จะมีระบบหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า จะต้องมี "ผู้ซื้อบริการ" รายเดียว (Single Player) นั่นคือรัฐบาลกลาง
•
นั่นเท่ากับว่าปัดตกข้อเสนอจากกลุ่ม "คลังสมอง" และ สส. บางส่วนที่ขอให้คงระบบ "นายจ้าง" หรือเจ้าของกิจการ "ร่วมจ่าย" ระบบ Medicare-Medicaid ให้กับลูกจ้าง เหมือนที่ผ่านมา
•
อย่างไรก็ตาม ทั้งหมดยังไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะแม้จะผ่านสภาล่าง แต่ในสภาสูง ก็ยังมี สว.อีกจำนวนมาก ที่มาจากสาย "อนุรักษ์นิยม" ซึ่งคัดค้านการที่รัฐเข้าไปแทรกแซงตลาด และยังเห็นว่าสิ้นเปลืองงบประมาณโดยใช่เหตุ
•
ขณะเดียวกัน แนวคิดสำคัญที่ครอบงำรัฐสภาสหรัฐฯ ก็คือ เรื่องสุขภาพ เป็นเรื่องที่ประชาชนควรจะต้องดูแลตัวเอง ไม่ใช่เรื่องที่รัฐจะเข้าไปยุ่ง
•
แม้ขั้นตอนสุดท้ายจะไม่สำเร็จ แต่สามารถนำข้อเสนอนี้เข้าไปในสภาล่าง รวมถึงทำให้สาธารณชน เอาไปถกเถียงกัน ทั้งเพโลซี และ ชยาพอล ต่างก็เห็นว่า "คุ้มค่า"
•
ศัตรูสำคัญของระบบหลักประกันสุขภาพก็คือประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ที่เอาใจฝ่ายธุรกิจเต็มที่ ซึ่งก่อนหน้านี้ เขาก็ปรับแก้ Obamacare ที่บังคับให้ภาคธุรกิจ และประชาชน ต้อง "ซื้อประกัน" Medicare ไปเรียบร้อย
•
อย่างไรก็ตาม ทั้งเดโมแครต และรีพับลีกัน ก็มีจุดที่เห็นตรงกันอยู่บ้าง นั่นคือ ราคา "ยา" ในสหรัฐฯ นั้นสูงเกินไป
•
สส.อีไลจาห์ คัมมิงส์ จากรัฐแมรีแลนด์ เห็นว่า อย่างน้อย สิ่งที่สภาล่างฯ สามารถทำได้ในเร็ววันนี้ คือรวบรวม สส. มากกว่า 100 คน จากทั้ง 2 พรรค เพื่อให้โครงการ Medicare มีอำนาจเข้าไป "ต่อรอง" ราคายา ให้ถูกลงกว่าเดิม
•
เพราะผลสำรวจเมื่อปี 2018 พบว่าชาวอเมริกัน 72% เชื่อว่า "บริษัทยา" มีอำนาจเหนือรัฐบาลกลาง และเหนือรัฐสภา มากเกินไป และ 52% ต้องการให้ผ่านร่างกฎหมายเพื่อทำให้ราคายาถูกลง
•
ที่น่าเศร้าไปกว่านั้นก็คือ แม้ชาวอเมริกัน บางส่วน จะเข้าถึงการรักษาพยาบาล สามารถพบแพทย์ได้ตามโครงการ Medicare - Medicaid ได้ แต่ไม่สามารถ "ซื้อยา" ที่แพทย์สั่งได้
•
ทั้งหมดนี้ สส.พรรคเดโมแครตเชื่อว่า หากสามารถสร้างระบบการต่อรองราคายาให้ถูกลง และทำให้รัฐมีอำนาจเหนือบริษัทยามากขึ้น ก็จะเป็นความสำเร็จก้าวแรก ที่จะทำให้ประชาชนเห็นว่า รัฐสามารถแทรกแซงตลาดได้
•
และหลังจากนี้ เรื่องของหลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า จะกลายเป็นเรื่องที่ "ต้องทำ" และ "ทำได้จริง"
•
พรรคเดโมแครตวาดฝันไว้ว่า ปี 2019 จะต้องมีความคืบหน้า ในการผลักดันระบบ "หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า" ได้บ้าง
•
เพื่อที่ปี 2020 ซึ่งจะเป็นปีแห่งการเลือกตั้งประธานาธิบดี จะได้มีผลงานไว้ขาย และทำให้พรรค ได้รับชัยชนะในการเลือกตั้งประธานาธิบดีเหนือพรรครีพับลีกันเสียที

#สหรัฐอเมริกา #หลักประกันสุขภาพถ้วนหน้า

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jan 10) สมาชิกรัฐสภาสหราชอาณาจักรมีมติให้รัฐบาลนำเสนอร่างแผน Brexit ฉบับสำรองต่อสภาภายใน 3 วันทำการ : สมาชิกรัฐสภาสหราชอาณาจักรมีกำหนดลงมติให้ความเห็นชอบร่างแผน Brexit ของ นาง Theresa May นายกรัฐมนตรีสหราชอาณาจักร (Meaningful vote) ในวันที่ 15 ม.ค. 2019 โดยก่อนหน้าการเริ่มต้นอภิปราย 1 วัน รัฐบาลสหราชอาณาจักรถูกปฏิเสธแผนการปรับขึ้นภาษี (“Finance Bill”) เพื่อใช้เป็นค่าใช้จ่ายสำหรับเตรียมการหากเกิดกรณี no-deal Brexit จากสมาชิกรัฐสภาสหราชอาณาจักร

ความเคลื่อนไหวจากการอภิปรายร่างแผน Brexit วันแรก สมาชิกรัฐสภาสหราชอาณาจักรมีความเห็น 308 ต่อ 297 เสียง เรียกร้องให้รัฐบาลสหราชอาณาจักรนำเสนอร่างแผน Brexit ฉบับสำรอง หรือ Brexit deal Plan-B ต่อสภาภายใน 3 วันทำการ (“Grieve amendment”) นับจากวัน Meaningful vote หากเกิดกรณีที่ร่างแผน Brexit ฉบับปัจจุบันไม่ได้รับความเห็นชอบจากรัฐสภาสหราชอาณาจักร ซึ่งมติดังกล่าวถือเป็นการปฏิเสธแนวทางเดิมของรัฐบาลสหราชอาณาจักรที่มีแผนจะนำเสนอ Brexit deal Plan-B ภายใน 21 วัน รวมถึงเป็นการส่งสัญญาณกดดันว่า ร่างแผน Brexit ฉบับปัจจุบันของ นาง May อาจไม่ได้รับเสียงสนับสนุนเพียงพอจากรัฐสภา ขณะที่พรรค Labour ซึ่งเป็นพรรคฝ่ายค้านของสหราชอาณาจักร ระบุว่า อาจเสนอให้มีการลงมติไม่ไว้วางใจรัฐบาลในทันที หากร่างแผน Brexit ฉบับปัจจุบันถูกปฏิเสธจากสมาชิกรัฐสภาสหราชอาณาจักร

Source: BOTSS

- Brexit: Second Commons defeat for Theresa May in 24 hours
https://www.bbc.com/news/uk-politics-46805269

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Jan 10) ทรัมป์เดือด!!วอล์คเอาต์โต๊ะเจรจากับเดโมแครตของบสร้างกำแพง บ่น'เสียเวลาแท้ๆ': ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์แห่งสหรัฐฯในวันพุธ(9ม.ค.) ลุกหนีจากโต๊ะเจรจากับเหล่าแกนนำพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรส ในเรื่องงบประมาณสำหรับสร้างกำแพงกั้นชายแดนติดกับเม็กซิโก ก่อนบ่นทางทวิตเตอร์ว่าการประชุมที่ทำเนียบขาวเพื่อหาทางยุติภาวะชัตดาวน์หน่วยงานรัฐบาลนั้น "เสียเวลาเปล่าโดยแท้"

ในขณะที่การปิดหน่วยงานรัฐบาลบางส่วน(ชัตดาวน์) อันมีต้นตอจากความเห็นต่างเกี่ยวกับการสร้างกำแพง ย่างเข้าสู่วันที่ 19 การประชุมระหว่างทรัมป์กับ ชัค ชูเมอร์ ผู้นำพรรคเดโมแครตในวุฒิสภา และ แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรจากเดโมแครต รวมถึงแกนนำคนอื่นๆ มีอันต้องยุติลงในช่วงเวลาสั้นๆ ด้วยความเกรี้ยวกราดและไม่มีสัญญาณของทางออกใดๆ

"ผมถามว่าอะไรจะเกิดขึ้นภายใน 30 วันหากว่าผมเปิดรับสิ่งต่างๆอย่างรวดเร็ว พวกคุณจะเห็นชอบมาตรการความมั่นคงชายแดนหรือไม่ ซึ่งรวมถึงกำแพงหรือแผงกั้นเหล็ก?" ทรัมป์เขียนบนทวิตเตอร์ "แนนซีตอบว่าไม่ ผมเลยบอกว่างั้นก็บ๊าย-บาย ไม่มีอย่างอื่นที่ได้ผลหรอก!"

ฝ่ายเดโมแครตที่อยู่ในอารมณ์ฉุนเฉียวตำหนิพฤติกรรมของทรัมป์ และเผยว่าการประชุมพังครืนลงหลังจากพวกเขาปฏิเสธให้สัญญามอบเงินทุนสำหรับสร้างกำพงทางใต้ของประเทศตามที่ทรัมป์เสนอ

ชูเมอร์ ให้สัมภาษณ์กับพวกผู้สื่อข่าวด้านนอกทำเนียบขาว เกี่ยวกับกรณีที่ ทรัมป์ ร้องของบประมาณสร้างกำแพงกับ เปโลซี "เธอตอบว่าไม่ จากนั้นเขาก็ลุกขึ้นและพูดว่าเมื่อเป็นแบบนี้ เราก็ไม่มีอะไรที่ต้องคุยกันและเขาก็เดินออกไปเฉยๆเลย อีกครั้งที่เราเห็นอารมณ์เกรี้ยวกราด เพราะเขาไม่ได้ในสิ่งที่ต้องการ"

ก่อนหน้านี้ในวันพุธ(9ม.ค.) ทรัมป์ระบุว่าเขามีสิทธิ์ประกาศสถานการณ์ฉุกเฉินแห่งชาติเพื่อสร้างกำแพงทางใต้ของประเทศหากไม่สามารถบรรลุข้อตกลงกับสภาคองเกรส ต่อคำร้องของบประมาณ 5,700 ล้านดอลลาร์สำหรับโครงการดังกล่าว

ทั้งนี้การชัตดาวน์ของหน่วยงานรัฐบางส่วน ซึ่งเริ่มต้นขึ้นเมื่อ 18 วันที่แล้วจากความขัดแย้งเกี่ยวกับกำแพงชายแดน ได้ส่งผลให้พนักงานลูกจ้างภาครัฐราว 800,000 คนไม่ได้รับค่าตอบแทน

การชัตดาวน์ที่กลายเป็นเทคนิคในการต่อรองทางการเมืองเช่นนี้ ถูกมองมากขึ้นเรื่อยๆ ว่าเป็นสัญลักษณ์ความพิกลพิการของระบบการเมืองในวอชิงตัน และทำให้พนักงานลูกจ้างภาครัฐต้องเผชิญความเลวร้ายจากการไม่ได้รับเงินเดือน

ทรัมป์ปฏิเสธที่จะลงนามในร่างกฎหมายงบประมาณการใช้จ่ายของรัฐบาลฉบับชั่วคราว เพื่อบีบให้เดโมแครตอนุมัติงบประมาณสร้างกำแพงชายแดน 5,700 ล้านดอลลาร์ จนกระทั่งนำไปสู่การปิดงานของภาครัฐดังกล่าว

Source: ผู้จัดการออนไลน์
https://mgronline.com/around/detail/9620000003135

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jan 10) รายงานการประชุมเฟดเมื่อเดือน ธ.ค. ที่ผ่านมาระบุการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไปมีความไม่แน่นอนมากขึ้น :FOMC Minutes ของการประชุมธนาคารกลางสหรัฐฯ เมื่อวันที่ 18–19 ธ.ค. ซึ่งคณะกรรมการ FOMC ตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ 25 bps สู่ร้อยละ 2.25–2.50 ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ สรุปสาระสำคัญดังนี้
1. ภาพรวมเศรษฐกิจสหรัฐฯ
คณะกรรมการประเมินว่า ข้อมูลทางเศรษฐกิจตั้งแต่การประชุมครั้งก่อนหน้า ชี้ให้เห็นว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ ยังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่งต่อเนื่องในลักษณะ “strong rate” เช่นเดียวกับภาคการใช้จ่ายผู้บริโภค ในขณะที่ภาคการลงทุนชะลอตัวลงจากช่วงก่อนหน้าที่ขยายตัวได้อย่างรวดเร็ว

ทั้งนี้ คณะกรรมการเห็นถึงความแตกต่างระหว่างข้อมูลเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งกับความเสี่ยงที่สะท้อนจากตลาดการเงินที่ผันผวน และ financial condition ที่ตึงตัวมากขึ้น รวมถึงรายงานจากภาคธุรกิจที่มีความกังวลต่อภาวะเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้คณะกรรมการปรับลดการประเมินภาวะเศรษฐกิจลง

อย่างไรก็ดี ยังคงคาดว่าเศรษฐกิจสหรัฐฯ จะยังคงสามารถเติบโตอยู่เหนือระดับศักยภาพได้อย่างต่อเนื่องก่อนที่จะชะลอตัวลงกลับเข้าใกล้ trend ในช่วง medium term โดยปัจจัยลบที่จะส่งผลกระทบต่อการขยายตัวทางเศรษฐกิจได้แก่ 1) พัฒนาการของตลาดการเงินในช่วงที่ผ่านมา 2) การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก 3) การอ่อนแอลงของภาคที่อยู่อาศัย

- ภาคการใช้จ่ายผู้บริโภค: คณะกรรมการระบุว่ายังคงขยายตัวอย่างแข็งแกร่ง โดยได้ปัจจัยสนับสนุนจาก 1) ค่าจ้างและรายได้ของครัวเรือนที่ปรับตัวสูงขึ้น 2) นโยบายการกระตุ้นเศรษฐกิจด้านภาษีของรัฐบาล 3) sentiment ของภาคการบริโภคที่ยังคงดีอยู่ 4) ราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลง 5) งบดุลของครัวเรือนที่ยังอยู่ในสถานะที่ดี

- ภาคการลงทุน: “several participants” เห็นว่ายังคงขยายตัวอย่าง solid ถึงแม้ว่าจะชะลอตัวลงในไตรมาสที่ 3 โดยผู้ประกอบการในหลายพื้นที่ได้รายงานถึงการดำเนินธุรกิจที่ยังคงเติบโตดีจนถึงปลายปี 2018 โดยมีแผนที่จะขยายการลงทุนในโครงการต่างๆ อย่างไรก็ดี ผู้ประกอบการบางส่วนได้แสดงความกังวลต่อนโยบายการค้าของรัฐบาล ผลของการกระตุ้นภาครัฐที่ปรับตัวลดลง การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลก และความผันผวนของตลาดการเงิน ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อ sentiment ของภาคธุรกิจโดยรวม นอกจากนี้ “several participants” ยังได้ระบุถึงความอ่อนแอของภาคการลงทุนที่อยู่อาศัย ซึ่งเป็นผลมาจากการปรับตัวสูงขึ้นของอัตราดอกเบี้ยสินเชื่อและราคาบ้าน ในส่วนของราคาน้ำมันที่ปรับตัวลดลงนั้น คณะกรรมการบางส่วนเห็นว่าเป็นสัญญาณของอุปสงค์โลกที่อ่อนแอลง ซึ่งจะส่งผลกระทบเชิงลบต่อการลงทุนของบริษัทผู้ผลิตน้ำมัน อย่างไรก็ดี คณะกรรมการอีกส่วนหนึ่งมองว่าราคาน้ำมันที่ลดลงเป็นผลมาจากอุปทานที่ปรับตัวสูงขึ้น ในส่วนของภาคการเกษตรนั้น ผู้ประกอบการรายงานว่ายังคงอยู่ในภาวะที่อ่อนแอ จากผลของมาตรการนโยบายการค้าและรายได้การเกษตร รวมถึงความไม่แน่นอนในการเจรจาข้อตกลงการค้าในอนาคต นอกจากนี้ ธนาคารต่างๆ ยังได้รายงานถึงการผิดนัดชำระหนี้ของสินเชื่อภาคการเกษตรที่ปรับตัวสูงขึ้น

ความเสี่ยงต่อภาพรวมเศรษฐกิจเป็นไปในลักษณะ “roughly balanced” เช่นเดียวกับการประชุมครั้งก่อนหน้า อย่างไรก็ดี “some participants” ระบุถึงความเสี่ยงด้านต่ำที่อาจปรับตัวสูงขึ้นได้ในภายหลัง อาทิ การชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกที่มากกว่าคาดการณ์ ผลของการกระตุ้นเศรษฐกิจด้วยนโยบายการคลังที่ลดลงในอัตราที่เร็วขึ้น การปะทุของข้อพิพาททางการค้า และผลเชิงลบของการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายมากกว่าที่คาด รวมถึง financial condition ที่ตึงตัวมากขึ้น

2. ภาคการจ้างงาน
คณะกรรมการเห็นพ้องว่าตลาดแรงงานสหรัฐฯ ยังคงแข็งแกร่ง สะท้อนจากตัวเลขการจ้างงานในเดือน พ.ย. ที่ยังคงอยู่ในระดับสูงกว่า trend ตำแหน่งงานที่เปิดมากขึ้น และอัตราการเปลี่ยนงานที่สูงขึ้น โดยที่อัตราการว่างงานยังคงอยู่ในระดับต่ำที่สุดในประวัติการณ์ และ labor force participation rate ยังทรงตัวอยู่ได้ ถึงแม้ว่าแนวโน้มในระยะยาวจะเป็น downward-sloping ทั้งนี้ “several participants” เห็นว่า labor force participation rate ปรับตัวดีขึ้นในส่วนของแรงงานทักษะต่ำและแรงงานกลุ่ม prime-age และยังมีความเป็นไปได้ที่จะปรับตัวสูงขึ้นต่อได้ อย่างไรก็ดี คณะกรรมการบางส่วนเห็นว่าอาจจะไม่สามารถปรับตัวสูงขึ้นได้มากอย่างมีนัยสำคัญ ขณะเดียวกัน ทางด้านผู้ประกอบการในหลายภูมิภาคยังคงรายงานถึงเรื่องตลาดแรงงานที่ตึงตัวและปัญหาขาดแคลนแรงงานคุณภาพ ซึ่งแก้ไขโดยการเพิ่มสิทธิประโยชน์ที่มิใช่ค่าจ้างเพื่อดึงดูดและรักษาลูกจ้าง โดยมีหลายบริษัทที่ยินยอมปรับเพิ่มค่าจ้าง ในเรื่องของอัตราค่าจ้าง คณะกรรมการหลายท่านเห็นการปรับตัวสูงขึ้นสอดคล้องกับแนวโน้มของ productivity growth และอัตราเงินเฟ้อ

3. อัตราเงินเฟ้อ
โดยภาพรวมคณะกรรมการเห็นว่า อัตราเงินเฟ้อทั่วไปและอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในระยะ 12 เดือนข้างหน้า จะเคลื่อนไหวเป็นไปตามการคาดการณ์ ในระดับใกล้เป้าหมายที่ร้อยละ 2 ได้อย่างยั่งยืน แม้จะมีการปรับลดลงของอัตราเงินเฟ้อพื้นฐานในช่วงหลายเดือนที่ผ่านมา ซึ่งสอดคล้องกับรายงานของผู้ประกอบการในบางภูมิภาค ที่ระบุถึงการชะลอตัวของแรงกดดันด้านราคา

ทั้งนี้ “a few participants” เชื่อว่าการปรับลดลงของราคาน้ำมันจะเป็นปัจจัยกดดันต่ออัตราเงินเฟ้อทั่วไปเพียงชั่วคราวเท่านั้น นอกจากนี้ “several participants” ชี้ให้เห็นถึงการปรับลดลงของ longer-term TIPS-based inflation compensation อย่างมีนัยสำคัญในเดือน พ.ย. ที่ผ่านมาว่าสอดคล้องกับการปรับลดลงของราคาน้ำมันและ sentiment ของนักลงทุนที่แย่ลง โดย “a few participants” มองการปรับลดลงดังกล่าวว่าอาจเป็นสัญญาณของการปรับลดลงของอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ในระยะ longer-run ท่ามกลางความเห็นของคณะกรรมการท่านอื่นๆ ที่ระบุว่าอัตราเงินเฟ้อคาดการณ์ประเภท survey-based ยังคง “remain anchored” สำหรับประเด็นความเสี่ยงต่อระดับอัตราเงินเฟ้อนั้น “a couple of participants” เห็นว่า Resource utilization ที่ตึงตัว และความสามารถของผู้ผลิตในการปรับราคาสินค้าที่มากขึ้น จะเป็นปัจจัยที่ส่งผลให้อัตราเงินเฟ้ออยู่สูงกว่าการคาดการณ์ได้

4. Financial Conditions & Financial Stability
คณะกรรมการเห็นพ้องว่า financial conditions ตึงตัวขึ้น จากการประชุมครั้งก่อนหน้า จากผลของ 1) การปรับลดลงในราคาดัชนีตลาดหลักทรัพย์ 2) อัตราดอกเบี้ยระยะยาวและต้นทุนการกู้ยืมที่ปรับเพิ่มขึ้น และ 3) อัตราผลตอบแทนพันธบัตรสหรัฐฯ ที่เคลื่อนไหวในลักษณะ curve flatten ต่อเนื่อง ท่ามกลางภาวะตลาดการเงินที่ผันผวน ทั้งนี้ “some participants” มองว่าเหตุการณ์ข้างต้นเป็นการสะท้อนความกังวลของผู้เล่นในตลาดเกี่ยวกับ “tail risk” เช่น ความตึงเครียดของการเจรจาข้อตกลงการค้าระหว่างประเทศที่เพิ่มสูงขึ้น รวมถึงความเสี่ยงเกี่ยวกับการชะลอตัวทางเศรษฐกิจในระยะต่อไป นอกจากนี้ “a few participants” เห็นว่าภาวะการตึงตัวของ financial conditions ที่ผ่านมาจนถึงปัจจุบัน ยังไม่ส่งผลกระทบต่อภาคเศรษฐกิจจริง อย่างไรก็ดี ภาวะตึงตัวในระยะยาวจะเป็นปัจจัยกดดันต่อการใช้จ่ายในภาคธุรกิจและภาคครัวเรือน อนึ่ง คณะกรรมการเห็นควรที่จะติดตามความเคลื่อนไหวในตลาดการเงิน และประเมินผลกระทบต่อมุมมองทางเศรษฐกิจต่อไป โดย “a couple of participants” ระบุถึงปัจจัยเสี่ยงที่ส่งผลต่อเสถียรภาพทางการเงิน ได้แก่ หนี้ภาคเอกชนและราคาอสังหาริมทรัพย์ที่อยู่ในระดับสูง

5. การดำเนินนโยบายการเงิน
คณะกรรมการตัดสินใจปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบายที่ร้อยละ 2.25–2.50 ด้วยมติเป็นเอกฉันท์ ภายใต้มุมมองต่อเศรษฐกิจ การจ้างงาน และอัตราเงินเฟ้อที่เป็นไปตามคาดการณ์ ซึ่งจะส่งผลให้ federal funds rate เข้าใกล้หรืออยู่ ณ ขอบล่างของ longer–run neutral interest rate ขณะที่ความผันผวนในตลาดการเงินและความกังวลต่อการขยายตัวในเศรษฐกิจโลก ส่งผลให้แนวทางการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยในระยะต่อไปมีความไม่แน่นอนมากขึ้น ซึ่งการตัดสินใจในระยะต่อไปจะไม่มีแนวทางที่ชัดเจน ทั้งในด้านความถี่และจุดสิ้นสุดของการปรับเพิ่มอัตราดอกเบี้ยนโยบาย โดยอ้างอิงจากการประเมินภาวะทางเศรษฐกิจสหรัฐฯ ทั้งในปัจจุบันและการคาดการณ์แนวโน้ม

ทั้งนี้ “a few participants” ไม่เห็นด้วยกับการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยนโยบาย เนื่องจากยังคงไม่เห็นสัญญาณการปรับขึ้นของอัตราเงินเฟ้อ โดย “a number of participants” เห็นว่าคณะกรรมการควรพิจารณาผลกระทบจากการดำเนินนโยบายการเงินแบบตึงตัวในอดีตที่ผ่านมา รวมถึงประเมินผลกระทบจากความเสี่ยงต่างๆ ที่เกิดขึ้นต่อระบบเศรษฐกิจ อาทิ ภาวะตลาดการเงิน และตลาดแรงงานตึงตัว

นอกจากนี้ คณะกรรมการหารือถึงแนวทางการสื่อสารกับสาธารณชนเรื่องแนวทางการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย โดยคณะกรรมการบางท่านเสนอให้ยกเลิกข้อความเชิง forward–guidance จาก statement และแทนที่ด้วย การเน้นย้ำลักษณะการดำเนินนโยบายแบบ data dependent โดยคำว่า “judges” ใน statement ที่ผ่านมา (“the Committee judges that some further gradual increases.”) เหมาะสมต่อการสื่อถึงแนวทาง data dependent มากกว่าการใช้คำว่า “expects” อนึ่ง คณะกรรมการเห็นพ้องถึงการปรับ IOER เพิ่มขึ้นน้อยกว่าขอบบนของช่วงอัตราดอกเบี้ยนโยบาย 10 bps เพื่อรักษาให้อัตราดอกเบี้ยใน federal funds market ยังคงอยู่ในกรอบของอัตราดอกเบี้ยนโยบาย

Source:BOTSS

- Fed ‘can afford to be patient’ about future rate hikes, FOMC minutes show: https://www.cnbc.com/2019/01/09/fed...4YD8gxrOqB2OT6YRRxyVe2Mk5k-8KBXNVAbpc2dq0H4mg

- FOMC minute เมื่อวันที่ 18-19 ธ.ค.61
https://www.federalreserve.gov/mone...7BfexdtbXya1SHnDOVXyxyQrUfCihKCMd-AypCaAL5E-w

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jan 9) ‘ญี่ปุ่น’ ยังครองแชมป์ พาสปอร์ตทรงอิทธิพลที่สุดในโลก : ผลการจัดอันดับพาสปอร์ตที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลก โดยดัชนี เฮนลีย์ พาสปอร์ต ที่เผยแพร่เมื่อวันที่ 9 มกราคมที่ผ่านมา ปรากฏว่า พาสปอร์ตของญี่ปุ่น ได้เป็นพาสปอร์ตที่ทรงอิทธิพลที่สุดในโลกอีกปี เป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน

โดยพาสปอร์ตของญี่ปุ่น ถือว่าเป็นพาสปอร์ตที่สามารถพกพาไปใช้ในประเทศต่างๆได้ง่ายที่สุด เพราะสามารถใช้โดยไม่ต้องขอวีซ่าใน 190 ประเทศ ส่วนประเทศที่พาสปอร์ตมีอิทธิพลรองลงมา คือเกาหลีใต้และสิงคโปร์ ที่เข้าได้ 189 ประเทศเท่ากัน โดยประเทศอันดับต้นๆส่วนใหญ่ เป็นประเทศในเอเชียทั้งสิ้น

สำหรับประเทศจีน มีอันดับที่ดีขึ้นถึง 20 อันดับ ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากอันดับที่ 85 เมื่อปี 2017 ปีนี้ 2019 อยู่ที่อันดับที่ 69

Source: ประชาชาติธุรกิจออนไลน์
https://www.prachachat.net/world-news/news-276079

- The Most Powerful Passports Of 2019: Japan Leads, Singapore Retains 2nd Spot; India At No.79 :
https://economictimes.indiatimes.co...qF6psJhICvWU9Kgn_F6OixVWBTlCbufi75VYmKFHrvzzM

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jan 9) การเจรจาการค้าระหว่างสหรัฐกับจีนปิดฉากลงแล้ว : สหรัฐและจีนเสร็จสิ้นการเจรจาการค้า ที่มีเป้าหมายในการแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางการค้า ที่จัดขึ้นที่กรุงปักกิ่งของจีนเป็นเวลา 3 วันแล้วในวันนี้ โดยสมาชิกในคณะผู้แทนของสหรัฐกล่าวว่า การเจรจาดำเนินไปด้วยดี

คณะเจ้าหน้าที่สหรัฐเดินทางมาถึงกรุงปักกิ่งเมื่อวันจันทร์ ซึ่งเป็นการพบปะเจรจาอย่างเป็นทางการเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ของสหรัฐและประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ของจีน ตกลงร่วมกันเมื่อวันที่ 1 ธันวาคมที่ผ่านมา ที่จะให้ระงับการใช้มาตรการตอบโต้ทางการค้าระหว่างกันเป็นเวลา 3 เดือน นายเท็ด แม็คคินนีย์ ปลัดกระทรวงด้านการค้าและกิจการด้านการเกษตรต่างประเทศ

หนึ่งในสมาชิกคณะผู้แทนเจรจาของสหรัฐกล่าวว่า คณะเจรจาของสหรัฐจะเดินทางกลับในวันพุธเลย เขากล่าวด้วยว่า เขาคิดว่า การเจรจาดำเนินไปด้วยดีและฝ่ายสหรัฐเห็นว่าเป็นการเจรจาที่ดี

ส่วนทางด้านกระทรวงต่างประเทศจีน ก็ยืนยันตรงกันว่า การเจรจาการค้าได้ยุติลงแล้ว แต่ปฎิเสธที่จะแสดงความเห็นเรื่องผลของการเจรจา โดยกล่าวแต่เพียงว่า จะมีการเผยแพร่รายละเอียดของการเจรจาในภายหลัง โฆษกกระทรวงต่างประเทศจีนกล่าวว่า หากผลการเจรจาออกมาดีแล้ว ไม่เพียงแต่จะเป็นประโยชน์กับจีนและสหรัฐ แต่จะเป็นข่าวดีสำหรับเศรษฐกิจโลกด้วย

Souce: สำนักข่าวไทย

- U.S.-China trade talks conclude as hopes of a deal build: https://www.reuters.com/…/u-s-china-trade-talks-conclude-as…

ความคืบหน้า
- ดาวโจนส์ดีดตัวกว่า 150 จุด คาดหวังเจรจาการค้าสหรัฐ-จีนคืบหน้า
: https://www.ryt9.com/s/iq18/2938486

 

Bank of Thailand Scholarship Students


(Jan 9) ฟิทช์ขู่หั่นเรทติ้งสหรัฐหลุด Aaa หากชัตดาวน์ยืดเยื้อถึงเดือนมี.ค. : บริษัทฟิทช์ เรทติ้งส์ ซึ่งเป็นบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือระหว่างประเทศ เตือนว่า สหรัฐอาจถูกปรับลดอันดับความน่าเชื่อถือจากระดับ Aaa ในปีนี้ โดยปัญหาการปิดหน่วยงานของรัฐบาล (ชัตดาวน์) อาจส่งผลกระทบต่อเพดานหนี้ของประเทศ

ขณะนี้ การปิดหน่วยงานของรัฐบาลสหรัฐได้ล่วงเข้าสู่วันที่ 19 เนื่องจากทำเนียบขาวและแกนนำพรรคเดโมแครตในสภาคองเกรสยังคงไม่สามารถตกลงกันได้ในประเด็นการจัดสรรงบประมาณสร้างกำแพงกั้นชายแดนเม็กซิโกวงเงินกว่า 5 พันล้านดอลลาร์

"หากภาวะชัตดาวน์ยังคงดำเนินไปจนถึงวันที่ 1 มี.ค. และส่งผลให้เพดานหนี้กลายเป็นปัญหาในอีกหลายเดือนต่อมา เราอาจจำเป็นต้องเริ่มคิดกันถึงกรอบนโยบาย และการที่รัฐบาลอาจไม่สามารถผลักดันงบประมาณผ่านรัฐสภา และดูว่าสิ่งเหล่านี้จะสอดคล้องกับอันดับเครดิตที่ Aaa หรือไม่" นายเจมส์ แมคคอร์แมค หัวหน้าฝ่ายจัดอันดับความน่าเชื่อถือของฟิทช์ กล่าว

นอกจากนี้ ฟิทช์ระบุว่า การจัดอันดับความน่าเชื่อถือของสหรัฐจะขึ้นอยู่กับการที่ภาวะชัตดาวน์มีแนวโน้มที่จะสร้างความไร้เสถียรภาพต่อนโยบายการคลังหรือไม่ และความขัดแย้งระหว่างรัฐบาลและสภาคองเกรสจะส่งผลกระทบต่อเพดานหนี้ของสหรัฐหรือไม่

Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย ก้องเกียรติ กอวีรกิติ

https://www.cnbc.com/2019/01/09/fit...NNU6teTQUCIvmLOrGPCfHv50XnioiJQDv8ovxR42iOvWQ

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jan 9) ทรัมป์"เรียกร้องเฟดหั่นดอกเบี้ยเหลือ 0% : ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ ทวีตข้อความในวันอังคาร (8ม.ค.)ตามเวลาท้องถิ่น เรียกร้องให้ธนาคารกลางสหรัฐ (เฟด) ปรับลดอัตราดอกเบี้ยให้เท่ากับในปี 2550-2552 ซึ่งเป็นช่วงที่สหรัฐเกิดภาวะเศรษฐกิจถดถอย
ปธน.ทรัมป์ระบุว่า เขาจะสามารถกระตุ้นเศรษฐกิจได้ง่ายขึ้น ถ้าหากอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ระดับ 0%

“ตัวเลขเศรษฐกิจกำลังดูดีมาก คุณจะจินตนาการได้ไหม ถ้าผมบริหารประเทศขณะที่อัตราดอกเบี้ยระยะยาวอยู่ที่ระดับ 0% เหมือนกับรัฐบาลที่ผ่านมา แทนที่จะมีอัตราดอกเบี้ยที่ปรับขึ้นอย่างรวดเร็วเหมือนทุกวันนี้ ซึ่งถ้าอัตราดอกเบี้ยอยู่ที่ 0% ผมก็จะทำงานได้ง่ายขึ้น แต่ตลาดก็ปรับตัวขึ้นอย่างมากนับตั้งแต่การเลือกตั้งในปี 2559” ข้อความในทวิตเตอร์ระบุ
ที่ผ่านมา ปธน.ทรัมป์ มักแสดงจุดยืนคัดค้านการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟด โดยเฟดได้ปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ย 7 ครั้ง นับตั้งแต่ที่นายทรัมป์เข้ารับตำแหน่งประธานาธิบดีสหรัฐในเดือนม.ค.ปีที่แล้ว เทียบกับที่เฟดปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยเพียง 1 ครั้งในสมัยของอดีตประธานาธิบดีบารัก โอบามา

ทั้งนี้ ปธน.ทรัมป์ กังวลว่าการปรับขึ้นอัตราดอกเบี้ยของเฟดจะส่งผลให้ดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ซึ่งจะกระทบต่อการส่งออกของสหรัฐ และทำให้สหรัฐขาดดุลการค้ามากขึ้น ซึ่งเป็นสิ่งที่ปธน.ทรัมป์ให้ความสนใจ และเป็นสาเหตุที่ทำให้เขาเปิดฉากทำสงครามการค้ากับประเทศคู่ค้า

Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์

https://www.reuters.com/article/us-...alGjHoabci5gr3ynNRaaUt6QST1_jvLYpC2YIcOg3f808

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jan 9) 'กิตติพันธ์'ลั่น! ไม่เอี่ยว 'เอิร์ธ' ระทึกซีไอเอ็มบีถกแบงก์ชาติ: “กิตติพันธ์” ขอความเป็นธรรม กรณีถูกกล่าวหาเอี่ยวทุจริตปล่อยกู้ “เอิร์ธ” ลุ้นระทึกธนาคารแม่ดอดหารือแบงก์ชาติอย่างไม่เป็นทางการแล้ว

นายกิตติพันธ์ อนุตรโสตถิ กรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารซีไอเอ็มบี ไทย หรือ CIMBT ตั้งโต๊ะแถลงข่าวเป็นการส่วนตัว เพื่อเรียกร้องความเป็นธรรม กรณีที่ธนาคารกรุงไทยกล่าวหาว่าผิดวินัยร้ายแรงกรณีการปล่อยกู้ให้กับบริษัทเอ็นเนอร์ยี่ เอิร์ธ จำกัด (มหาชน) หรือ EARTH เมื่อครั้งที่เป็นรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ สายงานธุรกิจขนาดใหญ่ ที่ธนาคารกรุงไทย

นายกิตติพันธ์ เริ่มต้นว่า อยากใช้โอกาสนี้ขอความเป็นธรรมและชี้แจงเพื่อให้สังคมได้พิจารณา หลังล่าสุดเมื่อ 25 ธ.ค.2561 ได้มีหนังสือจากแบงก์กรุงไทยกล่าวหาตนเองอย่างร้ายแรงว่าอนุมัติสินเชื่อไม่เป็นตามหลักเกณฑ์ ปล่อยกู้ไม่เป็นตามระเบียบปฎิบัติที่ดีและไม่เป็นไปตามวิชาชีพในกรณีเคยอยู่ในกระบวนการปล่อยกู้สินเชื่อให้กับ EARTH โดยตลอดระยะเวลากว่า 16-17 เดือนที่ผ่านมาถูกกล่าวหาฝ่ายเดียวและไม่มีโอกาสได้ชี้แจงรายละเอียดกับคณะกรรมการตรวจสอบชุดพิเศษที่คณะกรรมการบริหารธนาคารกรุงไทยแต่งตั้งขึ้นเพื่อสอบสวนหาผู้รับผิดชอบในความเสียหายที่เกิดขึ้นของกรุงไทยมากเท่าที่ควรนัก โดยตนเองถูกแบงก์กรุงไทยเรียกตัวไปชี้แจงเพียงแค่ 1 ครั้ง ตั้งแต่เมื่อวันที่ 20 ต.ค.2560

“ผมถือว่าเป็นการกล่าวหาที่ร้ายแรง ผมในฐานะประชาชนคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาต้องเดินหน้าต่อสู้เพื่อปกป้องสิทธิของตัวเองตามกระบวนการกฎหมาย โดยตอนนี้กำลังพิจารณาร่วมกับที่ปรึกษากฎหมายเกี่ยวกับการอุทธรณ์กลับไปยังกรุงไทยภายใน 60 วัน ซึ่งขึ้นกับธนาคารว่าจะพิจารณารับเรื่องอุทธรณ์หรือไม่”

นายกิตติพันธ์ กล่าวว่า ที่ผ่านมาไม่เคยได้รับให้การชี้แจงรายละเอียดเพิ่มเติม นับจากถูกเรียกไปรอบแรก ซึ่งเคยส่งหนังสือสอบถามไปธนาคารกรุงไทยหลายครั้งก็ได้รับคำตอบว่าชัดแจ้งแล้ว โดยไม่ให้รายละเอียดเพิ่มเติม และในที่สุดก็มีมติกล่าวหาว่าตนเองกระทำความผิด รวมถึงตั้งข้อสังเกตุว่าข้อกล่าวหาที่แบงก์กรุงไทยแจ้งมาค่อนข้างคลุมเครือไม่ชัดแจ้ง เพราะข้อกล่าวหาไม่ได้บอกว่าระบุว่าตนเองทำผิดอะไร,เมื่อไหร่,อย่างไร และมีหลักฐานอะไร เพื่อให้ผู้ถูกกล่าวหาได้ชี้แจงและแก้ข้อกล่าวหาได้ถูกต้องและครบถ้วน จึงเห็นว่าไม่เป็นธรรมกับตนเอง พร้อมยืนยันว่าตนเองไม่ได้ทำผิดอะไรเลย

พร้อมตั้งข้อสังเกตุว่าคณะกรรมการตรวจสอบบางท่านของธนาคารกรุงไทยอาจจะไม่เป็นธรรม เพราะการแต่งตั้งคณะกรรมการตรวจสอบที่ตั้งขึ้นโดยคณะกรรมการบริหารแบงก์กรุงไทยนั้น ส่วนตัวมีความเห็นว่าไม่ถูกต้อง เพราะคณะกรรมการบริหารถือเป็นผู้ที่มีส่วนได้เสียและมีส่วนในการอนุมัติสินเชื่อด้วย จึงไม่เห็นด้วยว่าเป็นเรื่องที่ถูกต้องตามหลักธรรมาภิบาลที่ดี ซึ่งเรื่องนี้ตนเองเคยได้เข้าพบกับธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) เพื่อชี้แจงในส่วนที่เกี่ยวข้องแล้ว 3 ครั้ง ซึ่งได้รับคำตอบกลับมาว่าต้องรอให้ผลการตรวจสอบของกรุงไทยสรุปออกมาก่อน ซึ่งส่วนตัวก็หวังว่าเมื่อผลสอบออกมาแล้วธปท.จะเข้ามาตรวจสอบกระบวนการทั้งหมดของการปล่อยกู้เรื่องนี้

นายกิตติพันธ์ กล่าวว่า ตนเองไม่มีความสัมพันธ์ใดๆกับ EARTH ยกเว้นตอนที่เคยทำงานที่แบงก์กรุงไทย ซึ่งในฐานะรองกรรมการผู้จัดการใหญ่ เกี่ยวข้องกับการอนุมัติวงเงินกู้ที่ธนาคารกรุงไทยให้กับ EARTH ใน 2 รอบ ในวงเงินรวม 4,500 ล้านบาท เมื่อปี 2558 นั้นเป็นการปล่อยกู้ที่มีหลักประกัน ขณะนั้น EARTH ก็เป็นลูกค้าที่ดี เป็นสินเชื่อปกติ ไม่มีการผิดนัดชำระหนี้ และไม่มีการทำผิดเงื่อนไขแต่อย่างใดของสินเชื่อทั้ง 2 วงนี้ ซึ่งการพิจารณาอนุมัติสินเชื่อเป็นไปตามหลักเกณฑ์ และการปล่อยกู้ได้เป็นไปตามระเบียบปฏิบัติที่ดี เป็นไปตามมาตรฐานวิชาชีพ จึงเป็นไปไม่ได้ เพราะผมคนเดียวไม่สามารถอนุมัติสินเชื่อได้

นอกจากนี้ในส่วนการทำหน้าที่ของตนเองในตำแหน่งกรรมการผู้จัดการใหญ่และประธานเจ้าหน้าที่บริหาร ธนาคารซีไอเอ็มบีไทย นั้นยังเป็นไปตามปกติ แต่ยอมรับว่าขณะนี้กลุ่ม CIMB ได้มีการหารือกับทางธนาคารแห่งประเทศไทย(ธปท.) อย่างไม่เป็นทางการแล้ว แต่ยังไม่มีข้อสรุปว่าจะมีแนวทางอย่างไร ซึ่งเป็นดุลยพินิจของกลุ่ม CIMB

Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
http://www.bangkokbiznews.com/news/detail/823677

 

Bank of Thailand Scholarship Students

(Jan 9) ส.ธนาคารไทยยันแบงก์พร้อมคืนเงินลูกค้า : สมาคมธนาคารไทยยืนยันแบงก์พร้อมคืนเงินให้ลูกค้า และดำเนินคดีกับพนักงาน หากพบเป็นการทุจริต กรณีเงินหายจากบัญชี

จากกรณีที่มีลูกค้าธนาคาร พบว่ามีเงินหายไปจากบัญชี โดยที่ลูกค้าไม่ได้ทำรายการเบิกถอนนั้น นายปรีดี ดาวฉาย ประธานสมาคมธนาคารไทย กล่าวว่า ธนาคารต้องมีการตรวจสอบข้อเท็จจริง ถ้าพบว่าลูกค้าไม่ได้เป็นผู้ทำรายการ ธนาคารต้องรับผิดชอบนำเงินคืนเข้าบัญชีลูกค้าให้เรียบร้อย และหากตรวจสอบพบว่าเป็นความผิดพลาดของพนักงานทั้งที่ตั้งใจและไม่ตั้งใจ ก็จะมีกระบวนการตรวจสอบจากธนาคาร ซึ่งธนาคารแต่ละแห่งให้ความสำคัญในเรื่องนี้ หากพบพนักงานมีการทุจริตต้องถูกลงโทษซึ่งเป็นคดีความอาญา

“กระบวนการตรวจสอบการทำงานของแบงก์จะมีการตรวจสอบภายใน ผู้สอบบัญชีจากภายนอก ธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) หากเกิดจุดหละหลวม ก็ต้องปรับปรุงแก้ไข” นายปรีดี กล่าว

นายจาตุรงค์ จันทรังษ์ ผู้ช่วยผู้ว่าการ สายกำกับสถาบันการเงิน ธปท. เปิดเผยว่า ตามปกติสถาบันการเงินจะมีกระบวนการภายใน เพื่อดำเนินการสอบสวนเรื่องทุจริตและมีบทลงโทษอยู่แล้ว ในส่วนของ ธปท.จะให้ความสำคัญต่อผลการสอบสวนและสาเหตุที่ทำให้เกิดการทุจริต และการดำเนินการแก้ไขที่ต้นเหตุของปัญหา เพื่อป้องกันมิให้เหตุการณ์เกิดขึ้นอีก รวมถึงเสริมสร้างวัฒนธรรมองค์กร เพื่อให้ความสำคัญต่อการดูแลลูกค้าของสถาบันการเงิน อนึ่ง หาก ธปท.ตรวจสอบพบการทุจริตจะมีการออกคำสั่งให้สถาบันการเงินดำเนินการต่อไป

Source: สำนักข่าวไทย
https://www.tnamcot.com/view/5c35a8f1e3f8e46238d9a659

 

ข่าวต่างประเทศ


หัวหน้าหน่วยข่าวกรองของอิสราเอลออกมาเผยว่า มีความพยายามจากต่างชาติในการเข้ามาป่วนการเลือกตั้งของอิสราเอลในเดือนเมษายนนี้

หัวหน้าหน่วยข่าวกรองไม่ได้ระบุว่าจะเป็นชาติใด แต่ ฝ่ายค้านของอิสราเอลออกมาพูดเองว่า เป็นรัสเซีย โดยระบุว่า ทางการอิสราเอลต้องป้องกันให้ดีที่สุดไม่ให้นายปูติน มาขโมยการเลือกตั้งครั้งนี้ไปให้นายเบนจามิน เนทันยาฮู

อิสราเอลเผยต่อไปว่ารัสเซียได้เข้าไปป่วนกระบวนการเลือกตั้งของอเมริกาและแม้แต่การทำ Referendum ของอังกฤษในเรื่อง BREXIT มาแล้ว

ทางการรัสเซียออกมาแถลงว่า ไม่เคยทำและไม่คิดที่จะทำ

อย่างไรก็ตามการออกเสียงของอิสราเอล ทำโดยการลงคะแนนในคูหาและด้วยกระดาษ ไม่ได้เป็นระบบออนไลน์

CNN รายงาน

https://edition.cnn.com/2019/01/09/...vpxfa3sLoZ27HE6SLPfWXp9h0Yop9O40MM3CT4tY3XP2w

 

Wudhichai Maitreesophone

สหรัฐเล่นสกปรก ด้วยการขอยืม หรือขอเช่าอุปกรณ์เรดาร์ป้องกันภัยทางอากาศของขีปนาวุธ SAM จากยูเครน มาทำการลอกแบบศึกษา เพื่อหาทางเจาะเข้าโจมตี พื้นที่รักษาความปลอดภัยของขีปนาวุธ SAM

3 ธันวาคม 2018 เครื่องบินขนส่ง และลำเลียง lL-76 'Candid' ของกองทัพอากาศยูเครน โผล่เข้ามาในน่านฟ้าสหรัฐ ทางด้านความรับผิดชอบของ Air National Guard ที่อยู่ด้านข้างของ Salt Lake City International Airport โดยทำการบิน Westward from Ottawa/Macdonald–Cartier International Airport in eastern Canada on the morning of Dec. 3, 2018 The Candid was on the ground in Salt Lake City before 12:00 PM Eastern Standard Time

จากข้อมูลขององค์การบินพลเรือนได้แจ้งว่า เครื่องบินดังกล่าวเป็นเครื่องบินโดยสาร Boeing 737 ของยูเครน ซึ่งบรรดานักสืบได้ทำการติดตามหาความจริงว่า แท้จริงแล้วเป็นเครื่องบินอะไรกันแน่ ในที่สุด เมื่อ 4 โมงเย็นก็ได้ความจริง โดย Plane Spotter Anthony Carpeneti ได้โพสต์รูปเครื่องบินลำดังกล่าว เป็น IL-76 และจอดอยู่ที่ the Roland R. Wright Air National Guard Base ซึ่งตั้งอยู่ทางด้านตะวันออกของ Salt Lake City International Airport

โดยสรุปคือกองทัพอากาศสหรัฐได้ซื้อ หรือเช่าระบบเรดาร์ควบคุมการยิงของ SAM S-300 ของยูเครนเข้ามาเพื่อทำการศึกษา ตามแผน "Foreign Materiel Exploitation" (FME) แบบปล้นสมองของรัสเซีย ผ่านประเทศที่มีนักการเมืองฉ้อฉล ยอมขายได้แม้แต่ลมหายใจของตนเอง
https://russia-insider.com/en/ukrai...xtVYh6YFIfiX9jytYctiLkP_6BM5hVeNsKD_L7hZKGSiU

 

Wudhichai Maitreesophone

ฝ่ายการเมืองของเคิร์ด กำลังเร่งเจรจาหาทางออกกับรัฐบาลซีเรีย และเคิร์ดยืนยันว่า ไม่คิดจะแบ่งแยกดินแดน และเป็นเอกราช แต่ต้องการเอกราชทางการเมือง ซึ่งรัฐบาลซีเรียได้ปฏิเสธแนวทางแบบสหพันธรัฐ ที่ปกครองตนเองไปแล้ว

ในขณะที่เวลาในการเจรจาเหลือน้อยลง เพราะตุรกีกำลังเคลื่อนย้ายทหารเข้ามาใกล้ Raqqa มากขึ้นทุกที ตอนนี้รัฐบาลซีเรียอยู่ในฐานะที่เหนือกว่าชาวเคิร์ดมาก ชาวเคิร์ดจะยก Raqqa ให้แก่รัฐบาลซีเรียก่อนสงครามแบบเมือง Manbij หรือจะรบกับตุรกีเสียก่อน เมื่อตุรกียึด Raqqa ได้แล้วนำมาคืนให้แก่ซีเรีย โดยที่เคิร์ดจะต้องออกไปอยู่ที่อื่น ตามเงื่อนไขของตุรกี
https://www.almasdarnews.com/articl...ks-with-govt-as-turkish-operation-draws-near/

 

Watchers

#Asteroid2019AS5 #ฉิวเฉียดชนโลก

10/01/19
07:37 เช้าวานนี้ (9 ม.ค.)

ดาวเคราะห์น้อย 2019 AS5 ขนาดไม่เกิน 2 เมตรโคจรผ่านโลกไปทีระยะเพียง 14,959 กม.หรือ 0.04LD (14 959 km / 9 295 miles) ด้วยความเร็ว 12.52 กม./วิ ใกล้ที่สุดเป็นลูกแรกของปี หอดูดาว Mt. Lemmon ส่องพบ ดาวเคราะห์น้อยดวงนี้ล่วงหน้าเพียง 9 ชม.ก่อนมันมาถึงจุดใกล้สุด ถ้าเข้าชนน่าจะอพยพไม่ทัน

Via: mrvob
References

Asteroid 2019 AS5 at Minor Planet Center; at CNEOS

Featured image: The green line indicates the object's apparent motion relative to the Earth, and the bright green marks are the object's location at approximately half hour intervals. The Moon's orbit is grey. The blue arrow points in the direction of Earth's motion and the yellow arrow points toward the Sun. Credit: Minor Planet Center
#Watchers

 

ข่าวช่อง 8

แม่แทบขาดใจ!! นักศึกษาอาชีวะจมน้ำเสียชีวิตขณะทดลองเครื่องเก็บขยะในน้ำ

>>> ตำรวจภูธรพานทอง จังหวัดชลบุรี พร้อมด้วยเจ้าหน้าที่กู้ภัย ลงพื้นที่ตรวจสอบเหตุ นักศึกษาอาชีวศึกษา จมน้ำภายในสระน้ำ องค์การบริหารส่วนตำบลบ้านเก่า ถนนบ้านเก่า 13 ตำบลพานทอง อำเภอเมือง จังหวัดชลบุรี

ที่เกิดเหตุเป็นสระน้ำ ลึกประมาณ 7 เมตร นักประดาน้ำ ได้ทำการค้นหา นาย อดิเชษฐ์ มุขอิ่ม อายุ 19 ปี นักศึกษาอาชีวะ ชั้น ปวช. ปี 3 คณะช่างยนต์ ที่จมน้ำหายไปขณะลงไปเอาเครื่องเก็บขยะบังคับในน้ำ หลังทำการทดลองแล้วเครื่องขัดข้อง รีโมทไม่สามารถใช้งานได้ นักประดาน้ำต้อง ใช้เวลาประมาณ 1 ชั่วโมงเศษ จึงพบศพ

เพื่อนผู้เสียชีวิต เล่าว่า พวกตนเป็นนักศึกษาอาชีวศึกษา ชั้น ปวช. ปี 3 คณะช่างยนต์ ได้ร่วมกันทำ โครงงานประดิษฐ์เครื่องบังคับเก็บขยะในน้ำ โดยใช้มือถือแอพพลิเคชั่นในการบังคับ เป็นโครงการสุดท้ายก่อนที่จะเรียนจบ และวานนี้ (8 ม.ค.2562) เป็นวันที่นำเครื่องบังคับเก็บขยะปล่อยลงในู่สระน้ำเพื่อทำการทดลอง

ซึ่งระหว่างทำการทดลองเครื่องทำงานได้ดี แต่เมื่อเครื่องไปถึงบริเวณกลางสระน้ำ เกิดมีปัญหาสัญญาณหลุดเพราะเชื่อมต่อกับมือถือผ่านระบบ wifi ทำให้ไม่สามารถควบคุมเครื่องเก็บขยะได้ เครื่องจึงลอยอยู่บริเวณกลางสระ

นาย อดิเชษฐ์ (ผู้เสียชีวิต) จึงอาสาจะว่ายน้ำลงไปเก็บเครื่อง ซึ่งเพื่อนๆ และอาจารย์ ได้ห้ามไม่ให้ลงไป เนื่องจากอากาศร้อนประกอบกับน้ำในสระเย็นมาก เพราะฝนเพิ่งตก เมื่อวันก่อน จากนั้นอาจารย์ได้ไปเอาอุปกรณ์ เพื่อนำมาดึงเครื่องกลับเข้าฝั่ง

ส่วน นายอดิเชษฐ์ (ผู้เสียชีวิต) ได้ลงไปในสระระหว่างที่ว่ายน้ำ ไปถึงช่วงกลางสระเกิดเป็นตะคริว และเพื่อนได้ว่ายน้ำไปช่วย แต่ไม่ทันนายอดิเชษฐ์จมน้ำหายไป

ขณะที่ แม่ของนายอดิเชษฐ์ กอดศพลูกชายร้องไห้ด้วยความเสียใจ พร้อมบอกว่า ลูกชายเป็นคนเก่ง และเป็นความหวังของครอบครัว ไม่คาดคิดว่าจะเสียชีวิตแบบนี้ #ข่าวช่อง8

 

Watchers


#ข่าวภัยพิบัติ

// ทางการมาเก๊าประกาศเตือนการแพร่ระบาดเชื้อไข้หวัดขั้นรุนแรง เสียชีวิต1ราย //



10/01/19

มาเก๊า - ทางการมาเก๊าประกาศเตือนการแพร่ระบาดเชื้อไข้หวัดขั้นสูงสุด คาดจะดำเนินไปอย่างน้อย 2-3 เดือน มีรายงานว่า ผู้ป่วยสูงอายุวัย 86 ปีเพิ่งเสียชีวิตไป


ทางการมาเก๊าเตือนขณะนี้การแพร่ระบาดของเชื้อไข้หวัดในมาเก๊าเข้าสู่ช่วงสูงสุดแล้ว และคาดว่าจะดำเนินไปอย่างน้อย 2-3 เดือน มีรายงานว่าผู้ป่วยสูงอายุวัย 86 ปีเพิ่งเสียชีวิตจากไข้หวัด ขณะที่สาธารณสุขมาเก๊าเตือนประชาชนให้รีบฉีดวัคซีนป้องกันไข้หวัด คาดว่าสถานการณ์การแพร่ระบาดของเชื้อหวัดในมาเก๊าจะทวีความรุนแรงขึ้นอีกในช่วงเทศกาลตรุษจีน ระยะเวลากว่า 4 เดือนที่ผ่านมา พบผู้ป่วยติดเชื้อไข้หวัดที่มีอาการรุนแรงแล้ว 3 ราย ส่วนอาการของเด็กวัย 4 ขวบที่ล้มป่วยด้วยอาการสมองอักเสบจากเชื้อหวัดเริ่มดีขึ้นแล้ว .-cr;mcot

#Watchers

 

Watchers


รายงานแจ้งข่าวแจ้งเตือนสาธารณภัยประจำวันที่ 10 มกราคม 2562

Cr: ปภ.

 

John Traczyk


นี่คือเช้าวันที่ 3 ติดต่อกัน เริ่มต้นในเวลาเดียวกัน...มีการรบกวนอย่างมากจากคลื่นพลังงานกระทบด้านกลางคืนของโลก เส้นสนามแม่เหล็กระหว่างดาวเคราะห์ ยุ่งเหยิง Magnetopause โก่งอีกครั้ง มีความเร็วสูงถึง 1207 km / s วิดีโอจาก Kathy Mello ในความคิดเห็นด้านล่าง

 

เจนจิรา จันทรเสนา

15.20 น. เจ้าหน้าที่ควบคุมตัวผู้ต้องสงสัยก่อเหตุยิง อส. เสียชีวิต 4 นาย ภายในโรงเรียนบ้านบูโกะ จ.ปัตตานี ได้ 1 ราย พร้อมชุดพรางของทหารพราน ที่ซุกซ่อนมากับ จยย.
หลังเกิดเหตุปะทะกับผู้ต้องสงสัยหลังมัสยิดกรือแซะ แต่หลบหนีไปได้ 1 คน พร้อมปืน
ภาพ: อาสาฯ

 

แดง วงศ์ทวิชาติ

10/1/2562 เวลา 14.09.06น.
แผ่นดินไหวที่อำเภอศรีสวัสดิ์
จังหวัดกาญจนบุรี 3.3m. ลึก5กม.
Cr. กองเฝ้าระวังแผ่นดินไหว
กรมอุตุนิยมวิทยา...