ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจนจิรา จันทรเสนา


    กฎหมายการชุมนุมในสิงคโปร์นั้นเข้มงวดมากค่ะ แม้จะระบุว่า การชุมนุมในที่สาธารณะ และเดินขบวนบนท้องถนนจะต้องมีใบอนุญาตจากตำรวจ แต่ในทางปฏิบัติหากการชุมนุมมีจุดมุ่งหมายเชิงการเมือง หรือ"มีคนต่างชาติเข้าร่วมด้วย" ตำรวจมักจะปฏิเสธ

    ยิ่งถ้าเป็นประเด็นการเมืองก็จะให้ไปที่ Speakers Corner แต่ก็สั่งห้ามออกนอกพื้นที่ไปป่วนที่อื่นๆ
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    สยอง! ฝูง ‘แมงกะพรุนพิษ’ บุกหาดออสซี่ มีผู้บาดเจ็บกว่า 3,000 คน เผยแพร่: 7 ม.ค. 2562 14:57 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    [​IMG]

    แมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (Portuguese Man O’War)
    เอเอฟพี - ทางการออสเตรเลียสั่งปิดชายหาดบางแห่งในภาคตะวันออกเฉียงเหนือเป็นการชั่วคราว หลังนักท่องเที่ยวกว่า 3,000 คนได้รับบาดเจ็บจากการถูกพิษแมงกะพรุนในช่วงไม่กี่วันที่ผ่านมา

    สื่อท้องถิ่นรัฐควีนส์แลนด์ถึงกับเรียกการมาเยือนของฝูงแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกส (Portuguese Man O’War) ซึ่งขึ้นชื่อว่ามีพิษรุนแรงครั้งนี้ว่าเป็น “การรุกราน”

    สมาคมยามฝั่ง เซิร์ฟ ไลฟ์ เซฟวิ่ง (Surf Life Saving) ระบุว่า นักท่องเที่ยวมากถึง 3,595 รายมีอาการปวดแสบปวดร้อนจากการสัมผัสกับสัตว์ทะเลชนิดนี้ ซึ่งเรียกกันอีกชื่อหนึ่งว่า “บลูบ็อทเทิล” เนื่องจากลำตัวที่เป็นสีฟ้าใส

    ทางการได้สั่งห้ามนักท่องเที่ยวลงเล่นน้ำบริเวณชายหาดที่มีชื่อเสียงอย่างน้อย 4 แห่ง เพราะคาดว่าจะมีฝูงแมงกะพรุนหลั่งไหลเข้ามาอีก

    “ฝูงแมงกะพรุนบลูบ็อทเทิลกำลังมายัง #Rainbow beach หน่วยกู้ชีพได้สั่งปิดหาด กรุณาอย่าลงเล่นน้ำ” คำเตือนจากทางสมาคมระบุ

    แม้การถูกพิษจากแมงกะพรุนชนิดนี้จะถือเป็นเรื่องปกติตามชายหาดภาคตะวันออกของออสเตรเลียในช่วงฤดูร้อน ทว่าตัวเลขผู้บาดเจ็บที่สูงกว่า 3,000 คนในช่วงเวลาแค่ 2-3 วันก็ทำให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องรู้สึกประหลาดใจไม่น้อย

    ข้อมูลจากราชวิทยาลัยแพทย์เวชปฏิบัติทั่วไปของออสเตรเลีย (RACGP) ระบุว่า โดยปกติแล้วจะมีคนถูกพิษแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกสในออสเตรเลียปีละประมาณ 10,000 คน ส่วนสาเหตุที่ทำให้ยอดผู้บาดเจ็บมีจำนวนมากผิดปกติในช่วงไม่กี่วันมานี้ก็เนื่องจากกระแสลมตะวันออกเฉียงเหนือที่พัดพาเอาสัตว์ทะเลเหล่านี้มาสัมผัสกับผู้คนที่ลงเล่นน้ำ

    RACGP ระบุด้วยว่า ผู้ที่ถูกพิษแมงกะพรุนไฟหมวกโปรตุเกสจะรู้สึก “ปวดแสบปวดร้อนอย่างกะทันหัน และผิวหนังอักเสบรุนแรง” ซึ่งอาจกินเวลาตั้งแต่ไม่กี่นาทีไปจนถึงหลายชั่วโมง บางรายมีอาการคลื่นไส้อาเจียนและรู้สึกไม่สบายร่วมด้วย ส่วนวิธีลดความเจ็บปวดนั้นจะต้องล้างแผลด้วยน้ำอุณหภูมิ 45 องศาเซลเซียส หรือใช้ถุงน้ำแข็งประคบ

    https://mgronline.com/around/detail/9620000002020
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    ก่อนคิดจะนับถือศาสนาอะไรคิดให้ดีก่อน บางศาสนาเข้าได้ ออกไม่ได้ ถึงจะอยู่ในประเทศที่ไม่ได้เคร่งครัด แต่ถ้าไปออกจากศาสนา ตอนนี้อาจจะไม่เป็นอะไร แต่ถ้าวันหนึ่งไปอยู่ในสังคม หรือประเทศที่เคร่ง มีสิทธิถูกฆ่าตายได้

    ฮิวแมนไรต์วอตช์จี้ ‘ไทย’ ระงับแผนเนรเทศ ‘สาวซาอุฯ’ หนีการแต่งงาน-หวั่นถูกครอบครัวฆ่าทิ้ง
    เผยแพร่: 7 ม.ค. 2562 11:00 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000000195001.jpg

    น.ส. ราฮาฟ โมฮัมเหม็ด อัล-กูนุน วัย 18 ปี ซึ่งถูกยึดหนังสือเดินทางที่สนามบินสุวรรณภูมิ และคาดว่าจะถูกส่งตัวกลับประเทศ
    รอยเตอร์ - กลุ่มสิทธิมนุษยชน ‘ฮิวแมนไรต์วอตช์’ เรียกร้องวันนี้ (7 ม.ค.) ให้ทางการไทยระงับแผนส่งตัวหญิงชาวซาอุดีอาระเบียวัย 18 ปีที่หลบหนีการแต่งงานกลับประเทศ หลังจากเจ้าตัวอ้างว่ากลัวจะถูกครอบครัวฆ่าทิ้ง

    ราฮาฟ โมฮัมเหม็ด อัล-กูนุน ระบุว่า เธอตัดสินใจหลบหนีขณะที่ครอบครัวพาเดินทางไปคูเวต โดยได้ขึ้นเครื่องบินมาไทย และตั้งใจจะเดินทางต่อไปยังออสเตรเลียเพื่อขอลี้ภัย

    อย่างไรก็ตาม เธอถูกเจ้าหน้าที่ไทยควบคุมตัวหลังมาถึงท่าอากาศยานสุวรรณภูมิ และได้รับแจ้งว่าจะถูกส่งตัวกลับไปยังคูเวต

    รายงานระบุว่า หญิงสาวคนนี้จะถูกส่งกลับด้วยสายการบินคูเวตแอร์เวย์ เที่ยวบิน 412 ซึ่งจะออกเดินทางจากสนามบินสุวรรณภูมิในเวลา 11.15 น.

    “พี่น้อง ครอบครัว และเจ้าหน้าที่สถานทูตซาอุฯ คงจะไปดักรอฉันที่คูเวต” กูนุน ให้สัมภาษณ์กับรอยเตอร์ผ่านข้อความเสียงและข้อความโทรศัพท์ ขณะพักอยู่ที่โรงแรมในโซนต่อเครื่องบินเมื่อค่ำวานนี้ (6)

    “พวกเขาจะฆ่าฉันแน่... ชีวิตฉันกำลังตกอยู่ในอันตราย ครอบครัวเคยขู่ว่าจะฆ่าฉันด้วยเรื่องเล็กๆ น้อยๆ” เธอกล่าว

    สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองไทยปฏิเสธข้อกล่าวหาของ กูนุน ที่เชื่อว่าพวกเขาทำตามคำขอของรัฐบาลซาอุฯ โดยให้เหตุผลว่า เธอถูกปฏิเสธการเข้าประเทศเนื่องจากไม่มีเอกสารหรือหลักฐานเพื่อขอรับการตรวจลงตรา ณ ช่องทางอนุญาตของด่านตรวจคนเข้าเมือง (visa on arrival)

    ผู้แทนจากสถานเอกอัครราชทูตซาอุฯ ประจำประเทศไทยยังคงปฏิเสธที่จะให้ความเห็นในเรื่องนี้

    ฮิวแมนไรต์วอตช์ซึ่งมีฐานที่นครนิวยอร์ก ระบุว่า ไทยไม่ควรส่ง กูนุน กลับไปยังครอบครัวของเธอ เนื่องจากเธอเป็นผู้ใหญ่แล้วและกำลังตกอยู่ในสถานการณ์อันตราย

    “ทางการไทยควรระงับกระบวนการเนรเทศทันที โดยอนุญาตให้เธอเดินทางต่อไปยังออสเตรเลีย หรือไม่ก็ให้พำนักอยู่ในไทยต่อไปเพื่อขอการคุ้มครองในฐานะผู้ลี้ภัย” ไมเคิล เพจ รองผู้อำนวยการฝ่ายภูมิภาคตะวันออกกลางของฮิวแมนไรต์วอตช์ ระบุในถ้อยแถลงวันนี้ (7)

    กูนุน ระบุว่า เธอมีวีซ่าออสเตรเลียเรียบร้อยแล้วขณะที่จองตั๋วเครื่องบิน และตั้งใจว่าจะใช้เวลา 2-3 วันในไทยซึ่งเป็นจุดหมายปลายทางด้านการรักษาพยาบาลยอดนิยม เพื่อไม่ให้เป็นที่น่าสงสัย

    “พอเครื่องบินลงจอดก็มีใครบางคนเข้ามาหาฉัน บอกว่าจะทำวีซ่าเข้าไทยให้ แล้วก็เอาพาสปอร์ตของฉันไป จากนั้นเขาก็กลับมาพร้อมกับหน่วยรักษาความปลอดภัยสนามบิน บอกว่าครอบครัวฉันไม่อนุญาต และฉันจะต้องกลับไปซาอุดีอาระเบียด้วยเครื่องบินคูเวตแอร์เวย์ส” เธอกล่าว

    กูนุน เชื่อว่าที่เธอถูกขัดขวางเพราะครอบครัวร้องเรียนไปยังคูเวตแอร์เวย์ส ขณะที่โฆษกสายการบินยืนยันว่าไม่มีข้อมูลเกี่ยวกับเรื่องนี้

    พลตำรวจตรี สุรเชษฐ์ หักพาล ผู้บัญชาการสำนักงานตรวจคนเข้าเมือง ยืนยันว่าไม่ได้มีการพูดคุยกับเจ้าหน้าที่ซาอุฯ หรือรัฐมนตรีกระทรวงการต่างประเทศก่อนที่ กูนุน จะมาถึงไทย และที่เธอไม่ได้รับอนุญาตให้เข้าประเทศก็เพราะไม่มีตั๋วเดินทางกลับ หรือใบจองโรงแรม

    “เธอพูดจาเกินจริง เธอหนีครอบครัวจากซาอุดีอาระเบียมาถึงเมืองไทย แต่ไม่มีเอกสารที่จำเป็นสำหรับการเข้าประเทศ สำนักงานตรวจคนเข้าเมืองก็จำเป็นที่จะต้องปฏิเสธการเข้าประเทศ” พล.ต.ต. สุรเชษฐ์ กล่าว พร้อมยืนยันว่าเจ้าหน้าที่ปฏิบัติตามขั้นตอนที่เป็นมาตรฐาน

    https://mgronline.com/around/detail/9620000001911
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    รับปีใหม่! สหรัฐฯ ส่งเรือพิฆาตล่องเฉียด ‘หมู่เกาะพาราเซล’ ระหว่างเปิดเจรจาการค้าจีน
    เผยแพร่: 7 ม.ค. 2562 13:51 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000000205301.jpg

    เรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถีชั้นอาร์เลห์เบิร์ก ยูเอสเอส แมคแคมป์เบลล์ (DDG 85) ของสหรัฐฯ ขณะออกปฏิบัติภารกิจเติมเชื้อเพลิงกลางทะเล (แฟ้มภาพ)
    รอยเตอร์ - กองทัพเรือสหรัฐฯ ส่งเรือพิฆาตติดขีปนาวุธนำวิถีลำหนึ่งล่องเข้าไปเฉียดหมู่เกาะพาราเซล (Paracel islands) ในทะเลจีนใต้ซึ่งจีนอ้างกรรรมสิทธิ์ครอบครองอยู่ ขณะที่ผู้แทนเจรจาของสหรัฐฯ ไปเยือนปักกิ่งเพื่อหาหนทางปลดชนวนสงครามการค้า

    ราเชล แมคมาร์ โฆษกกองเรือแปซิฟิกของสหรัฐฯ ระบุในถ้อยแถลงทางอีเมลว่า เรือพิฆาต ยูเอสเอส แมคแคมป์เบลล์ ได้ปฏิบัติภารกิจสำแดงเสรีภาพการเดินเรือ (freedom of navigation) ภายในรัศมี 12 ไมล์ทะเลรอบหมู่เกาะพาราเซล “เพื่อท้าทายการอ้างกรรมสิทธิ์ทางทะเลที่มากเกินกว่าจะยอมรับได้”

    อย่างไรก็ดี แมคมาร์ ยืนยันว่า ภารกิจครั้งนี้ไม่ได้เจาะจงพุ่งเป้าไปยังประเทศใดประเทศหนึ่ง หรือไม่ได้มีนัยยะทางการเมืองแต่อย่างใด

    ปฏิบัติการดังกล่าวมีขึ้นในขณะที่ผู้แทนสหรัฐฯ และจีนได้เริ่มเปิดเจรจาการค้าเป็นครั้งแรกที่กรุงปักกิ่งในสัปดาห์นี้ หลังจากประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดี สี จิ้นผิง ได้ทำข้อตกลงพักรบในสงครามการค้าเป็นเวลา 90 วัน เมื่อต้นเดือน ธ.ค.

    จีนอ้างกรรมสิทธิ์เหนือน่านน้ำเกือบทั้งหมดในทะเลจีนใต้ซึ่งเป็นแหล่งน้ำมันและก๊าซธรรมชาติขนาดใหญ่ อีกทั้งยังเป็นเส้นทางขนส่งสินค้าทางเรือมูลค่าราว 5 ล้านล้านดอลลาร์สหรัฐต่อปี ขณะที่ฟิลิปปินส์, เวียดนาม, มาเลเซีย, บรูไน และไต้หวัน ก็อ้างสิทธิทับซ้อนอยู่เช่นกัน

    สหรัฐฯ ส่งเรือออกปฏิบัติภารกิจสำแดงเสรีภาพ หรือ “fonop” ในทะเลจีนใต้แทบจะทุกๆ 2-3 เดือน เรียกเสียงประณามอย่างรุนแรงจากจีนซึ่งยืนยันความเป็นเจ้าของท้องทะเลแถบนี้ด้วยการเข้าไปถมทะเลสร้างหมู่เกาะเทียมที่มีทั้งท่าเรือ ทางวิ่งเครื่องบิน และสาธารณูปโภคอื่นๆ ครบครัน

    562000000205302.jpg

    https://mgronline.com/around/detail/9620000001994
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อดีตผู้พิพากษาลิ่วล้อ ‘มาดูโร’ หลบหนีไปสหรัฐฯ ต่อต้านการยื้ออำนาจสมัยที่ 2 เผยแพร่: 7 ม.ค. 2562 09:52 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000000192501.jpg

    ประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร แห่งเวเนซุเอลา
    เอเจนซีส์ - อดีตผู้พิพากษาศาลสูงสุดเวเนซุเอลาหลบหนีไปยังสหรัฐฯ เพื่อต่อต้านการครองอำนาจสมัยที่ 2 ของประธานาธิบดี นิโคลัส มาดูโร ซึ่งจะเข้าพิธีสาบานตนในสัปดาห์นี้ นับเป็นผู้สนับสนุนรายล่าสุดที่ตัดสินใจแปรพักตร์ท่ามกลางกระแสบอยค็อตต์ที่นานาชาติมีต่อรัฐบาลการากัส

    คริสเตียน เซอร์ปา (Christian Zerpa) ให้สัมภาษณ์กับสถานีโทรทัศน์ EVTV ในเมืองไมอามีเมื่อวานนี้ (6 ม.ค.) ว่า “ผมตัดสินใจเดินทางออกจากเวเนซุเอลาเพื่อแสดงถึงการไม่ยอมรับรัฐบาลของ นิโคลัส มาดูโร”

    “ผมเชื่อว่า (มาดูโร) ไม่คู่ควรได้รับโอกาสครั้งที่สอง เพราะการเลือกตั้งที่เขาชนะมานั้นปราศจากทั้งเสรีภาพและการแข่งขัน”

    ศาลสูงสุดเวเนซุเอลาแถลงยืนยันว่าผู้พิพากษารายนี้หลบหนีออกนอกประเทศไปแล้วจริง พร้อมระบุว่า เซอร์ปา ถูกตั้งคณะกรรมการสอบสวนกรณีล่วงละเมิดทางเพศเจ้าหน้าที่หญิงในสำนักงานตั้งแต่เดือน พ.ย. โดยคณะผู้นำศาลยังเสนอให้ปลดเขาออกจากตำแหน่งด้วย

    เซอร์ปา ถือเป็นพันธมิตรคนสำคัญของ มาดูโร ในศาลสูงสุด ซึ่งมักจะตัดสินเข้าข้างพรรครัฐบาลสังคมนิคมในข้อพิพาททางกฎหมายใหญ่ๆ เกือบทุกคดีนับตั้งแต่ มาดูโร ได้รับเลือกตั้งเข้ามาเมื่อปี 2013

    เขายังเป็นผู้ร่างคำพิพากษาเมื่อปี 2016 ที่อ้างความชอบธรรมให้แก่ มาดูโร ในการลดอำนาจของรัฐสภาลง หลังจากพรรคสังคมนิคมสูญเสียเสียงข้างมากให้กับฝ่ายค้าน

    เซอร์ปา ให้สัมภาษณ์กับสื่อสหรัฐฯ ว่า ศาลสูงสุดเวเนฯ เป็นเพียงเครื่องมือของฝ่ายบริหาร และบางครั้งผู้พิพากษาก็ถูกเรียกให้เข้าไปยังทำเนียบประธานาธิบดีเพื่อรับคำสั่งว่าควรจะตัดสินคดีที่มีความละเอียดอ่อนอย่างไร

    ล่าสุด กระทรวงสารสนเทศเวเนฯ ยังปฏิเสธที่จะให้ความเห็นเรื่องการหลบหนีของอดีตผู้พิพากษา

    เซอร์ปา ยอมรับว่า สาเหตุที่ตนไม่เคยออกมาวิพากษ์วิจารณ์ชัยชนะของ มาดูโร ในศึกเลือกตั้งเมื่อปี 2018 ก็เพื่อให้มีช่องทางพาครอบครัวหลบหนีออกมาได้

    ฝ่ายค้านเวเนฯ เรียกร้องให้นานาชาติปฏิเสธที่จะรับรองรัฐบาล มาดูโร หลังพิธีสาบานตนในวันอังคารนี้ (8) และเมื่อวันศุกร์ (4) ที่ผ่านมา 13 ประเทศในกลุ่ม ‘ลิมากรุ๊ป’ ยกเว้นเม็กซิโกก็ได้ประกาศจุดยืนคว่ำบาตร มาดูโร พร้อมทั้งเรียกร้องให้ผู้นำเวเนฯ ล้มเลิกแผนสาบานตนด้วย

    อย่างไรก็ตาม นักการทูตที่ให้ข้อมูลกับรอยเตอร์เชื่อว่าคงมีไม่กี่ประเทศเท่านั้นที่จะถึงขั้นปิดสถานทูต หรือตัดความสัมพันธ์กับเวเนซุเอลา

    สิ่งที่ เซอร์ปา พูดนั้นตรงกับคำบอกเล่าของ เอลาดิโอ อาปอนเต (Eladio Aponte) อดีตผู้พิพากษาซึ่งหลบหนีจากรัฐบาลของอดีตประธานาธิบดี อูโก ชาเบซ ไปพึ่งสหรัฐฯ เมื่อปี 2012 โดย อาปอนเต กล่าวหาว่า ชาเบซ ก็ก้าวก่ายกิจการของศาลอย่างเป็นระบบเช่นกัน

    มาดูโร ออกมาอ้างความชอบธรรมของรัฐบาลอีกครั้งเมื่อวานนี้ (6) หลังจากที่การบริหารประเทศในอีก 6 ปีของเขาส่อแววจะถูกต่อต้านจากประชาคมโลก รวมถึงรัฐสภา (National Assembly) ที่ฝ่ายค้านกุมอำนาจอยู่

    มาดูโร ประกาศผ่านทวิตเตอร์ว่า “ประชาชนมอบความชอบธรรมทางกฎหมายให้แก่เราผ่านการเลือกตั้ง สำหรับพวกที่คิดจะทำลายเจตนารมณ์ของเรา จงรับรู้ไว้ด้วยว่า เวเนซุเอลาจะต้องได้รับการเคารพ!”

    การเลือกตั้งประธานาธิบดีเมื่อวันที่ 20 พ.ค. ปีที่แล้วถูกกำหนดขึ้นโดยสภาร่างรัฐธรรมนูญ (Constituent Assembly) ซึ่งเป็นพลพรรคของมาดูโร ในขณะที่แกนนำฝ่ายค้านหลายคนถูกกักบริเวณในบ้านพัก หรือถูกห้ามลงสมัครเลือกตั้ง

    https://mgronline.com/around/detail/9620000001876
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เริ่มแล้ว! ญี่ปุ่นเก็บภาษีนักท่องเที่ยวขาออกนอกประเทศ 1,000 เยน เผยแพร่: 7 ม.ค. 2562 11:53 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000000198601.jpg

    เอเอฟพี - ญี่ปุ่นเริ่มเก็บภาษีจากนักท่องเที่ยวที่จะเดินทางออกนอกประเทศคนละ 1,000 เยน หรือราวๆ 300 บาท วันนี้ (7 ม.ค.) โดยเป็นหนึ่งในมาตรการระดมเงินทุนเพื่อส่งเสริมการท่องเที่ยว

    ภาษีนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ (international tourist tax) จะถูกจัดเก็บจากนักเดินทางโดยไม่แบ่งแยกสัญชาติ ตั้งแต่นักธุรกิจเรื่อยไปจนถึงนักท่องเที่ยวทั่วไปที่อายุเกินกว่า 2 ปี โดยจะรวมอยู่กับราคาตั๋วเครื่องบินขาออก

    รัฐบาลญี่ปุ่นจะนำรายได้จากการเก็บภาษีราว 50,000 ล้านเยนไปใช้เพื่อยกระดับโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว เช่น ปรับปรุงขั้นตอนตรวจเข้าเมืองให้มีความสะดวกรวดเร็วยิ่งขึ้น และส่งเสริมให้นักเดินทางออกไปเปิดประสบการณ์ใหม่ๆ นอกเหนือจากสถานที่ท่องเที่ยวยอดนิยมอย่างกรุงโตเกียวและเมืองเกียวโต

    ญี่ปุ่นเริ่มหันมาใช้นโยบายดึงดูดนักท่องเที่ยวมากขึ้น ในฐานะเสาหลักใหม่ของการเติบโตทางเศรษฐกิจ

    ปีที่แล้วมีนักท่องเที่ยวต่างชาติเดินทางเข้าญี่ปุ่นกว่า 30 ล้านคน ซึ่งถือว่ามากเป็นประวัติการณ์ โดยเป็นผลมาจากกลุ่มนักท่องเที่ยวจากประเทศเพื่อนบ้านในเอเชียอย่างจีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน ที่ยังคงหลั่งไหลมาอย่างต่อเนื่อง

    รัฐบาลญี่ปุ่นตั้งเป้าจะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวเป็น 40 ล้านคนภายในปี 2020 ซึ่งกรุงโตเกียวจะเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันกีฬาโอลิมปิก

    https://mgronline.com/around/detail/9620000001932
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เดโมแครตเซ็งทรัมป์ดื้อจะเอาค่ากำแพง เตรียมผ่านร่างกฎหมายใหม่ยุติชัตดาวน์
    เผยแพร่: 6 ม.ค. 2562 19:18 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000000181401.jpg

    รองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ (ขวา) ซึ่งเป็นผู้นำทีมเจรจาของคณะบริหาร พร้อมด้วย จาเร็ด คุชเนอร์ (ซ้าย) ลูกเขยและที่ปรึกษาอาวุโสของทรัมป์ เข้าร่วมประชุมกับเดโมแครตที่จัดขึ้นในทำเนียบขาว
    รอยเตอร์ – แนนซี เปโลซี ประธานสภาผู้แทนราษฎรสหรัฐฯ เผยเดโมแครตจะผ่านร่างกฎหมายฉบับใหม่เพื่อพยายามให้หน่วยงานรัฐบาลบางส่วนเปิดดำเนินการได้ตามปกติในสัปดาห์นี้ หลังจากการหารือเมื่อวันเสาร์ (5 ม.ค.) กับคณะบริหารของประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ ไม่สามารถยุติการชัตดาวน์ที่ดำเนินมาถึงสองสัปดาห์ได้

    ทรัมป์เรียกร้องงบประมาณ 5,600 ล้านดอลลาร์เพื่อสร้างกำแพงตามแนวชายแดนติดกับเม็กซิโก แต่พรรคเดโมแครตที่เข้าควบคุมสภาผู้แทนราษฎรเมื่อสัปดาห์ที่แล้ว ผ่านร่างกฎหมายเพื่อยุติการชัตดาวน์โดยไม่เสนองบประมาณเพิ่มเติมสำหรับสร้างกำแพงชายแดน และทรัมป์ประกาศว่า จะไม่ลงนามรับรองร่างกฎหมายดังกล่าวจนกว่าจะได้งบประมาณที่ต้องการ

    หลังจากการประชุมเพื่อผ่าทางตันล้มเหลวเมื่อวันเสาร์ เปโลซีกล่าวว่า สมาชิกพรรคเดโมแครตในสภาล่างจะพยายามทำให้หน่วยงานรัฐบาลบางส่วนที่ปัจจุบันระงับการปฏิบัติหน้าที่อยู่กลับมาทำงานได้ตามเดิมในสัปดาห์นี้ ด้วยร่างกฎหมายงบประมาณที่จัดสรรเป็นส่วน โดยเริ่มจากงบประมาณสำหรับกระทรวงการคลังและหน่วยงานสรรพากร เพื่อให้ประชาชนได้รับภาษีคืนตามกำหนดเวลา

    ทั้งนี้ รองประธานาธิบดี ไมค์ เพนซ์ ซึ่งเป็นผู้นำทีมเจรจาของคณะบริหาร กล่าวว่า การเจรจากับเดโมแครตเมื่อวันเสาร์เป็นไปด้วยดี ทว่า ผู้ช่วยของเพนซ์กลับเผยว่า ไม่มีการหารือเชิงลึกเกี่ยวกับระดับงบประมาณความมั่นคงตามแนวชายแดนที่ประนีประนอมได้ และทั้งสองฝ่ายนัดหารือกันอีกครั้งในวันอาทิตย์

    ทางด้านผู้ช่วยของพรรคเดโมแครตคนหนึ่งที่รับรู้ความเคลื่อนไหวในการประชุมระบุว่า ทีมหารือของเดโมแครตเรียกร้องให้คณะบริหารเปิดทำการหน่วยงานรัฐบาลที่ถูกชัตดาวน์ โดยระบุว่า การชัตดาวน์เป็นอุปสรรคขัดขวางความคืบหน้าในประเด็นขัดแย้งเกี่ยวกับความมั่นคงชายแดน แต่คณะบริหารกลับยืนกรานข้อเสนอเดิมที่นำไปสู่การประกาศชัตดาวน์ของทรัมป์

    การที่ทั้งสองฝ่ายต่างยึดมั่นกับจุดยืนของตัวเองดังกล่าวส่งผลให้หน่วยงานรัฐบาล 1 ใน 4 ต้องปิดทำการมานานสองสัปดาห์ และลูกจ้างรัฐ 800,000 คนไม่ได้รับค่าตอบแทน

    จาเร็ด คุชเนอร์ ลูกเขยและที่ปรึกษาอาวุโสของทรัมป์ เข้าร่วมประชุมกับเดโมแครตที่จัดขึ้นในทำเนียบขาว พร้อมทั้งคริสเตน นีลเซน รัฐมนตรีกระทรวงความมั่นคงแห่งมาตุภูมิ และมิก มัลเวนีย์ หัวหน้าคณะทำงานทำเนียบขาว ขณะที่ทางเดโมแครตนั้นประกอบด้วยเจ้าหน้าที่ระดับสูงของพรรค รวมทั้งเปโลซี และวุฒิสมาชิกชัค ชูเมอร์ ซึ่งทางเปโลซีแสดงความเห็นว่า กำแพงที่ทรัมป์เสนอนั้นไม่เหมาะสมและสิ้นเปลือง

    ทั้งนี้ ผลสำรวจความคิดเห็นของรอยเตอร์/อิปซอส พบว่า ชาวอเมริกัน 50% โทษทรัมป์เป็นสาเหตุของการชัตดาวน์ , 7% โทษสมาชิกสภาของรีพับลิกัน , 32% โทษเดโมแครต

    อย่างไรก็ตาม ทรัมป์ยังคงยืนกรานข้อเรียกร้องของตัวเองผ่านทวิตหลายระลอกเมื่อวันเสาร์ เช่น ทวิตที่บอกว่า เดโมแครตสามารถแก้ไขการชัตดาวน์ในชั่วพริบตาด้วยการอนุมัติร่างกฎหมายความมั่นคงแนวชายแดนที่ครอบคลุมการสร้างกำแพง ซึ่งเป็นสิ่งที่ทุกคน ยกเว้นพ่อค้ายา ผู้ลักลอบค้ามนุษย์ และอาชญากร ล้วนต้องการอย่างยิ่งยวด

    เมื่อวันศุกร์ที่ผ่านมา ทรัมป์ยังขู่ใช้อำนาจฉุกเฉินเพื่อสร้างกำแพงโดยไม่ต้องรอให้สภาอนุมัติ ซึ่งเกือบแน่นอนแล้วว่า ทางเลือกนี้จะต้องเผชิญความท้าทายทางกฎหมาย

    กฎหมายงบประมาณที่พรรคเดโมแครตให้ความเห็นชอบเมื่อวันพฤหัสบดี ครอบคลุมงบประมาณ 1,300 ล้านดอลลาร์สำหรับการสร้างกำแพง และ 300 ล้านดอลลาร์สำหรับระบบรักษาความปลอดภัยชายแดนอื่นๆ อาทิ เทคโนโลยีและกล้อง

    ขณะเดียวกัน เมื่อไม่กี่วันมานี้ ทรัมป์ยอมถอยหลังจากยืนกรานว่า กำแพงที่จะสร้างต้องเป็นกำแพงคอนกรีต โดยบอกว่า รั้วเหล็กกล้าก็น่าจะใช้ได้เช่นเดียวกัน แต่ยังคงยืนยันตัวเลขที่ 5,600 ล้านดอลลาร์

    https://mgronline.com/around/detail/9620000001780
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อิสราเอลโจมตี “ที่มั่นฮามาส” อีก หลังสอยจรวดจากฝั่งกาซา เผยแพร่: 7 ม.ค. 2562 14:28 ปรับปรุง: 7 ม.ค. 2562 14:29 โดย: ผู้จัดการออนไลน์
    562000000205001.jpg

    เอเอฟพี – กองทัพอิสราเอล ระบุในวันนี้ (7) ว่า พวกเขาดำเนินการโจมตีที่มั่นกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซาอีกครั้งเพื่อตอบโต้ต่อการยิงจรวดข้ามชายแดนอิสราเอล

    ระบบป้องกันทางอากาศของอิสราเอลสกัดกั้นจรวดลูกดังกล่าวที่ถูกยิงจากพื้นที่ชายฝั่งของกลุ่มฮามาสเมื่อคืนนี้ กองทัพ เผย

    หลังจากนั้น เครื่องบินและเฮลิคอปเตอร์ทหารติดอาวุธได้บุกโจมตีเป้าหมายกลุ่มก่อการร้ายที่ค่ายทหารฮามาสบนฉนวนกาซา ถ้อยแถลง ระบุ

    การโจมตีครั้งล่าสุดนี้เกิดขึ้นภายหลังการกองทัพอิสราเอลโจมตีที่มั่นกลุ่มฮามาส 2 แห่งเมื่อวานนี้ (6) หลังจากบอลลูนบรรทุกวัตถุระเบิดลูกหนึ่งลอยข้ามรั้วชายแดน

    ชายแดนกาซาค่อนข้างอยู่ในความสงบในช่วงไม่กี่สัปดาห์มานี้หลังจากข้อตกลงที่อิสราเอลอนุญาตให้กาตาร์จัดสรรความช่วยเหลือมูลค่าหลายล้านดอลลาร์เป็นเชื้อเพลิงและเงินเดือนในเขตปิดล้อมแห่งนี้

    ภายหลังการโจมตีเมื่อวานนี้ (6) กองทัพอิสราเอล ระบุว่า “เมื่อก่อนรุ่งสางวันนี้ ได้มีวัตถุระเบิดติดโมเดลเครื่องบินพ่วงลูกโป่งหลายลูกถูกปล่อยจากฉนวนกาซาเข้าสู่พรมแดนอิสราเอล”

    “สำหรับการตอบโต้ เฮลิคอปเตอร์จู่โจมของอิสราเอลได้โจมตีที่มั่นทางทหาร 2 แห่งของกลุ่มฮามาสในฉนวนกาซา”

    562000000205002.jpg


    แหล่งข่าวความมั่นคงของฮามาส ระบุว่า การโจมตีครั้งที่ 1 เกิดขึ้นทางตะวันออกของเมือข่านยูนิสในตอนใต้ของฉนวนกาซาและถูกจุดสังเกตการณ์ของฝ่ายติดอาวุธฮามาส ในขณะที่ครั้งที่สองเกิดขึ้นทางตะวันออกของเมืองกาซา

    แหล่งข่าวความมั่นคง ระบุว่า ไม่มีรายงานผู้ได้รับบาดเจ็บ

    อิสราเอลและกลุ่มติดอาวุธปาเลสไตน์ในกาซาที่ถูกปกครองโดยขบวนการอิสลามิสต์ฮามาสเคยทำสงครามกันนาน 3 ปีนับตั้งแต่ปี 2008

    นับตั้งแต่เดือนมีนาคม กาประท้วงและการปะทะเกิดขึ้นตามแนวรั้วชายแดนกาซา ผู้ประท้วงเรียกร้องให้ผู้ลี้ภัยปาเลสไตน์สามารถมีสิทธิกลับไปยังบ้านเก่าของพวกเขาที่ตอนนี้อยู่ภายในอิสราเอลได้

    ชาวปาเลสไตน์อย่างน้อย 240 คนเสียชีวิตนับตั้งแต่การประท้วงเริ่มต้นขึ้น ส่วนใหญ่จากกระสุนฝั่งอิสราเอลในระหว่างการปะทะตามชายแดน แต่ส่วนหนึ่งก็มาจากการโจมตีทางอากาศและรถถังด้วย

    ทหารอิสราเอล 2 คนเสียชีวิตในช่วงเวลาเดียวกัน คนหนึ่งโดยฝีมือนักแม่นปืนชาวปาเลสไตน์ และส่วนอีกคนตายในระหว่างปฏิบัติการของหน่วยรบพิเศษภายในกาซา

    https://mgronline.com/around/detail/9620000002009
     
  9. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    49307627_2333812283304917_451331656138096640_n.png?_nc_cat=107&_nc_pt=1&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.png

    (Jan 7) ซัพพลายเออร์อ่วมภาวะขาลงแอ๊ปเปิ้ล : การที่แอ๊ปเปิ้ล อิงค์ บริษัทเทคโนโลยีชั้นนำสัญชาติสหรัฐ เจ้าของสมาร์ทโฟนราคาแพง เหมาะกับกลุ่มลูกค้าไฮเอนก์ ประกาศปรับลดคาดการณ์รายได้เพราะผลพวงจาก การที่ยอดขายไอโฟนในตลาดจีนชะลอตัวลง ประกอบกับการที่อุปสงค์ของลูกค้า ในประเทศอื่นๆไม่ได้แข็งแกร่งอย่างที่บริษัทคาดการณ์ไว้ ส่งผลกระทบอย่างมากต่อบรรดาบริษัทซัพพลายเออร์ ที่จัดหาชิ้นส่วนหรืออุปกรณ์ประเภทต่างๆ ป้อนให้แอ๊ปเปิ้ล เพื่อนำไปประกอบกันจนเป็นไอโฟนรุ่นต่างๆ

    บรรดาซัพพลายเออร์ที่รับจ้างผลิต หรือ ประกอบไอโฟนให้แอ๊ปเปิ้ลส่วนใหญ่มีฐานดำเนินงานอยู่ในภูมิภาคเอเชีย รวมทั้ง ในไต้หวัน และในญี่ปุ่น เพราะฉะนั้น การที่แอ๊ปเปิ้ล ประกาศปรับลดคาดการณ์รายได้ประจำไตรมาสแรกของปีงบการเงิน 2562 จากเดิมที่คาดไว้ในช่วง 8.9-9.3 หมื่นล้านดอลลาร์ ลดลงเหลือ 8.4 หมื่นล้านดอลลาร์

    โดยตัวเลขนี้อยู่ในระดับต่ำกว่าการคาดการณ์ของนักวิเคราะห์ที่คาดว่าแอ๊ปเปิ้ลจะมีรายได้อยู่ที่ 9.15 หมื่นล้านดอลลาร์ ทำให้ราคาหุ้นของบรรดาบริษัทซัพพลายเออร์ร่วงลงไปพร้อมๆ กับราคาหุ้นของแอ๊ปเปิ้ล ด้วยเช่นกัน

    "ทิม คุก" ประธานคณะเจ้าหน้าที่บริหาร (ซีอีโอ) แอ๊ปเปิ้ล ยืนยันว่ายอดขาย ในตลาดจีนร่วงลงอย่างหนัก โดยให้ เหตุผลว่า นอกจากเศรษฐกิจจีนจะ ชะลอตัวในครึ่งปีหลังแล้ว ยังเจอคู่แข่ง ในประเทศจีนอย่าง หัวเว่ย และ เสียวหมี่ แถมประธานาธิบดี โดนัลด์ ทรัมป์ของสหรัฐ ยังเพิ่มความตึงเครียดทางการค้า ด้วยการตั้งภาษีสินค้าจากจีน 2 แสนล้านดอลลาร์ แม้ว่าล่าสุดทั้งจีนและสหรัฐจะประกาศ สงบศึกทางการค้ากันไว้ชั่วคราว 90 วัน ก็ตาม

    โกลด์แมน แซคส์ วาณิชธนกิจ ชื่อดังของโลก สัญชาติอเมริกัน ออกรายงาน เตือนว่า บริษัทแอ๊ปเปิ้ล มีแนวโน้ม ที่จะประกาศปรับลดคาดการณ์รายได้ ของทั้งปีงบการเงิน 2562 หลังจากที่ บริษัทเพิ่งประกาศปรับลดคาดการณ์รายได้ ประจำไตรมาสแรกของปีงบการเงิน 2562 ของบริษัทซึ่งสิ้นสุดวันที่29 ธ.ค.ที่ผ่านมา

    "เราคาดว่าบริษัทมีแนวโน้มที่จะ ปรับลดคาดการณ์รายได้ของทั้งปีงบ การเงิน 2562 ขึ้นอยู่กับอุปสงค์ของลูกค้าในจีนในช่วงต้นปี 25629 และเราไม่คาดว่าสถานการณ์จะดีขึ้นในเดือนมี.ค." นายร็อด ฮอลล์ นักวิเคราะห์ของโกลด์แมน แซคส์ ให้ความเห็นในรายงาน

    "ฮอลล์ " ปรับลดคาดการณ์ราคาหุ้นแอ๊ปเปิ้ลในช่วง 12 เดือนข้างหน้าว่าจะอยู่ที่หุ้นละ 140 ดอลลาร์ จากเดิมที่ราคา หุ้นละ 182 ดอลลาร์ และปรับลดคาดการณ์รายได้ของทั้งปีงบการเงิน 2562 ลง 6% สู่ระดับ 2.53 แสนล้านดอลลาร์ รวมทั้ง ปรับลดคาดการณ์กำไรต่อหุ้นลง 10% สู่ระดับ 11.66 ดอลลาร์ต่อหุ้น

    ทั้งนี้ ราคาหุ้นแอ๊ปเปิ้ลทรุดตัวลง 8% สู่ระดับ 145.12 ดอลลาร์ หลังจากปิดตลาดเมื่อวันพฤหัสบดี (3ม.ค.)

    ไอดีซี บริษัทวิจัยในสหรัฐระบุว่า ตลาดสมาร์ทโฟนในจีนเริ่มเข้าสู่ภาวะ อิ่มตัว โดยยอดขายสมาร์ทโฟนมีแนวโน้มปรับตัวลดลงตั้งแต่ปี 2560 ยอดการส่งออกหดตัวติดต่อกัน 6 ไตรมาส และในช่วงเดือนก.ค.-ก.ย.ปี 2561 ลดลงมากถึง 10.2%

    แอ๊ปเปิ้ล ซึ่งอยู่ในกลุ่มสมาร์ทโฟน ราคาแพง ได้รับผลกระทบหนักที่สุดจาก ภาวะการชะลอตัวของเศรษฐกิจ โดยราคา ไอโฟนรุ่นเอ็กซ์อาร์ของแอ๊ปเปิ้ลมีราคาจำหน่ายปลีกอยู่ที่เครื่องละ 6,999 หยวน (1,018 ดอลลาร์) ขณะที่สมาร์ทโฟนจาก หัวเว่ย เทคโนโลยี ที่ถือว่าเป็นคู่แข่งหลัก มีราคาจำหน่ายปลีกอยู่ที่เครื่องละ 3,000-5,000 หยวนเท่านั้น

    ช่วงปลายปีที่ผ่านมา มีรายงานข่าวว่า ยอดผู้ใช้โทรศัพท์สมาร์ทโฟนทั่วโลก ทะยานเกิน 3 พันล้านคน โดยมีการใช้ สมาร์ทโฟนกันอย่างกว้างขวางในช่วง 10 ปีมานี้ จนกลายเป็นสิ่งสำคัญในชีวิตประจำวัน

    สำหรับผู้คนทั่วโลกทั้งในจีน ฟินแลนด์ ซีเรีย และอูกันดา ซึ่งดูเหมือนว่าอานิสงส์ของ การใช้สมาร์ทโฟนจะไม่ได้ตกมาอยู่ในมือ ของแอ๊ปเปิ้ลเท่าไหร่

    ที่ผ่านมา โกลด์แมน แซคส์ เคยปรับลดตัวเลขคาดการณ์การผลิตไอโฟน ของแอ๊ปเปิ้ลในปี2562มาแล้ว โดยปรับลดลง 6% จากที่คาดการณ์ก่อนหน้านี้ หลังจาก ที่บริษัทลูเมนตัม ซึ่งเป็นซัพพลายเออร์ รายใหญ่ของบริษัทปรับลดแนวโน้ม ผลประกอบการ

    นอกจากนี้ โกลด์แมน แซคส์ ยังให้อันดับ ความน่าลงทุนของหุ้นแอ๊ปเปิ้ลไว้ที่ระดับ "กลาง" พร้อมทั้งปรับลดราคาเป้าหมายของหุ้นแอ๊ปเปิ้ลลงสู่ระดับ 209 ดอลลาร์/หุ้น จากระดับ 222 ดอลลาร์/หุ้น

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  10. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    25E3%2580%2581%25E7%258B%2599%25E3%2581%2584%25E3%2581%25AF%25EF%25BC%259F20190106152508168_Data.jpg

    (Jan 7) ญี่ปุ่นเริ่มเก็บภาษี 'ซาโยนาระ' : ญี่ปุ่นเริ่มเก็บภาษีขาออก 1,000 เยนกับทุกคนที่เดินทางออกนอกประเทศ หวังใช้เป็นเงินทุนส่งเสริมการท่องเที่ยว

    ญี่ปุ่นเปิดฉากเก็บภาษีนักท่องเที่ยวระหว่างประเทศ ในอัตรา 1,000 เยน (9.22 ดอลลาร์) แล้วในวันนี้ (7 ม.ค.) กับพลเมืองทุกสัญชาติที่เดินทางออกนอกประเทศ ไม่ว่าจะเป็นนักธุรกิจหรือนักท่องเที่ยวที่มีอายุ 2 ปีขึ้นไป โดยรวมอยู่ในราคาตั๋วเครื่องบิน

    รัฐบาลต้องการนำเงินที่ได้ราว 5 หมื่นล้านเยน (460 ล้านดอลลาร์) ไปพัฒนาโครงสร้างพื้นฐานด้านการท่องเที่ยว เช่น ปรับปรุงกระบวนการตรวจคนเข้าเมืองที่สนามบินให้รวดเร็วยิ่งขึ้น กระตุ้นให้นักท่องเที่ยวไปยังแหล่งใหม่ๆ นอกจากแหล่งท่องเที่ยวเดิมอย่างกรุงโตเกียวและเกียวโต

    ปัจจุบัน ญี่ปุ่นกำลังรุกจีบนักท่องเที่ยวต่างชาติเป็นเสาหลักใหม่สร้างการเติบโตทางเศรษฐกิจ คาดว่าปี 2561 ที่ผ่านมามีชาวต่างชาติมาเยือนญี่ปุ่นมากเป็นประวัติการณ์กว่า 30 ล้านคน อานิสงส์จากนักท่องเที่ยวเอเชียหลั่งไหลเข้ามาอย่างต่อเนื่อง โดยเฉพาะจากจีน เกาหลีใต้ และไต้หวัน ทั้งยังหวังดันตัวเลขให้สูงถึง 40 ล้านคนภายในปี 2563 ที่กรุงโตเกียวเป็นเจ้าภาพแข่งขันกีฬาโอลิมปิก

    Source: กรุงเทพธุรกิจออนไลน์
    https://asia.nikkei.com/Politics/Ja...k3oY_5i3tQLefdDyTLZZfW5dhiDw1Qr3sfUIo4u5nj8N8
     
  11. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    49465026_2333146906704788_5762024052961050624_n.png?_nc_cat=100&_nc_pt=1&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.png

    (Jan 7) เขย่าพอร์ตแก้เกมจีน กระจายเสี่ยง'กู้เที่ยวไทย' : วิกฤติตลาดจีนทรุด ฉุดภาพรวมเที่ยวไทยติดลบสัญญาณชี้พึ่งตลาดจีนเกินไปรัฐเร่งแผนรบ"แก้เกม"เขย่าพอร์ตกระจายเสี่ยงเปลี่ยนผ่านยุค"แมส ทัวริสซึม"สกรีน"นักท่องเที่ยวคุณภาพ"

    ท่องเที่ยวไทยกำลังไปได้ดีในช่วงครึ่งปีแรก (ม.ค.-มิ.ย.) ปี2561 เติบโตถึง 12% มีจำนวนนักท่องเที่ยว 19 ล้านคน โดยตลาดนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยขยายตัวถึง 40-50%

    ทว่า การเติบโตร้อนแรงต้องสะดุดลง ! เมื่อไทยเผชิญวิกฤติท่องเที่ยวจีน 2-3 เหตุการณ์ติดต่อกัน ตั้งแต่เรือฟีนิกส์นักท่องเที่ยวจีนล่มที่จังหวัดภูเก็ต ทำให้มีเสียชีวิต 47 ราย ในช่วงเดือนก.ค. ก็ตามมาด้วย เหตุการณ์เจ้าหน้าที่ไทย ทำร้ายนักท่องเที่ยวชาวจีน ที่สนามบินสุวรรณภูมิ ส่งผลต่อความเชื่อมั่น และความปลอดภัยการท่องเที่ยวไทย จนเกิดการขยายวงข่าวลือสนั่นโซเชียลมิเดียในจีนซ้ำเติมท่องเที่ยวไทยว่า เมืองไทยไม่ต้อนรับนักท่องเที่ยวจีน เกิดวิกฤติความเชื่อมั่นของ นักท่องเที่ยวจีนมาไทยฉุดตัวเลขนักท่องเที่ยวจีนหดตัว ตั้งแต่เดือน ก.ค.ที่เกิดเหตุเรือล่ม ก่อนจะติดลบต่อเนื่อง นาน 5 เดือนจนถึงเดือน พ.ย.ที่ผ่านมา

    ขณะที่ในเดือนต.ค.2561 เดือนเดียว มีนักท่องเที่ยว เดินทางเข้าไทย 2,712,033 คน ลดลง 0.51% เมื่อเทียบกับ ช่วงเวลาเดียวกันของปีที่ผ่านมา ถือเป็นการติดลบเดือนแรกในรอบ 10 เดือนที่ผ่านมา เป็นผลจากการ หดตัวลงของนักท่องเที่ยวจีนที่ลดลงถึง 19.8% กลายเป็น "โจทย์ใหญ่" ที่ภาครัฐและเอกชน ท่องเที่ยวต้องเร่งกู้ภาพลักษณ์ แก้วิกฤติความเชื่อมั่น ก่อนที่ปัญหาจะลุกลามยาวถึงเทศกาลตรุษจีนปี2562 แม้ว่าสถิตินักท่องเที่ยวจีนมาไทยในช่วงต้นเดือน ธ.ค.ที่ผ่านมา จะเริ่มมีแนวโน้มดีขึ้นกว่าเดือนก่อน เดินทางเข้าไทยเฉลี่ยวันละ 2.5 หมื่นคน แม้จะ ยังไม่กลับสู่ภาวะปกติ แต่ก็ถือว่าดีขึ้นเมื่อเทียบกับจากเดิมที่ต่ำกว่าวันละ2หมื่นคน

    โดยต้องยอมรับว่า เหตุการณ์ทีว่านี้ "สั่นคลอน" ภาพรวมของการท่องเที่ยวไทย บนเป้าหมายท่องเที่ยว ต่างชาติ 38 ล้าน และคนไทยท่องเที่ยว 167 ล้านคน-ครั้ง ทำรายได้ 3 ล้านล้านบาทในปี 2561 เนื่องจาก นักท่องเที่ยวจีน เป็นนักท่องเที่ยวอันดับ 1 ในไทย ทั้งในเชิงปริมาณ และรายได้

    ทว่า ถึงที่สุดแล้ว ท่องเที่ยวไทยในปี 2561 ก็ยังทำได้ตามเป้า แบบ "หืดขึ้นคอ" ธเนศวร์ เพชรสุวรรณ รองผู้ว่าการด้านสื่อสารการตลาด การท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (ททท.) สรุปภาพรวมนักท่องเที่ยวไทยในปี 2561 ว่า ปิดตัวเลข ท้ายปีตามเป้าหมายที่วางไว้ที่ 38 ล้านคน มาจาก นักท่องเที่ยวจีนถึง 10 ล้านคน หรือ ประมาณเกือบ 1 ใน 3 ของจำนวนนักท่องเที่ยวทั้งหมด ทำรายได้ ตามเป้าหมาย 3 ล้านล้านบาท มาจากนักท่องเที่ยวต่างชาติ2 ล้านล้านบาท และนักท่องเที่ยวไทย 1 ล้านล้านบาท

    "นักท่องเที่ยวตลาดจีนหายไปกว่า 40% จากเหตุการณ์เรือล่ม ตามมาด้วยเหตุการณ์ทำร้ายร่างกายนักท่องเที่ยวจีนที่สนามบิน จนกลายเป็นเรื่องดราม่า ในโลกโซเชียล สร้างกระแสคนไทยไม่ต้อนรับ นักท่องเที่ยวจีน"

    เขามองว่า แม้นักท่องเที่ยวจีนลดลงในบางเดือน แต่ภาพรวมจำนวนนักท่องเที่ยวจีนไม่ลดลง เพียงแต่ เติบโตไม่หวือหวา แบบ 2 ดิจิท หรือ 15-20% อย่างที่ผ่านมา ปิดท้ายปียังดีที่ตลาดกลับมาฟื้นตัว จากมาตรการยกเว้นค่าธรรมเนียมวีซ่า ณ ด่าน ตรวจคนเข้าเมือง (VoA-Visa on Arrival) แก่นักท่องเที่ยวต่างชาติ 20 ประเทศ กับอีก 1 เขตเศรษฐกิจ (รวมจีน) เป็นระยะเวลา 60 วัน เริ่มบังคับใช้ ตั้งแต่วันที่ 15 พ.ย.2561 ถึงวันที่ 13 ม.ค.2562 กู้วิกฤติดึงนักท่องเที่ยวจีนกลับมากระเตื้อง บวกกับ นักท่องเที่ยวชาติอื่นเติบโตทุกตลาดจนปิดท้าย ที่ตัวเลขเป็นบวก "เราคุ้นเคยกับการเติบโตของนักท่องเที่ยวจีน ระดับ 15-20% เราจึง panic (วิตก) เมื่อเห็นนักท่องเที่ยว ตก 40% ดีที่ต้นปีทำไว้ดี และในช่วง 2 เดือนสุดท้ายก่อนสิ้นปีนักท่องเที่ยวกลับมาทำให้ภาพรวมไม่ตกขยายตัวประมาณ 3%"

    ขณะที่คาดการณ์ในปี 2562 มองว่านักท่องเที่ยวจีน จะเติบโตจากเดิมไม่มากนักราว 2-5% จาก 10 กว่าล้านคน รวมนักท่องเที่ยวต่างชาติมาไทยประมาณ 40 ล้านคน เติบโต 5.54% ทำรายได้เข้าประเทศ 2.29 ล้านล้านบาท ตลาดจีนทรุดจากหลายเหตุการณ์ถาโถม สะท้อนชัดว่า การท่องเที่ยวไทยพึ่งพาตลาดจีน มากเกินไป จึงเป็นความเสี่ยง เมื่อตลาดจีนตก ภาพรวมท่องเที่ยวไทยก็ตกตาม ทั้งที่ตลาดอื่น ยังเติบโต ทั้งญี่ปุ่น เกาหลี อินเดีย และอาเซียน

    "หัวใจของการทำตลาดต้องเขย่าพอร์ต กระจายความเสี่ยง ลดการพึ่งพาตลาดประเทศใด ประเทศหนึ่งมากเกินไป ซึ่งเป็นมีความเสี่ยงมาก" เขาเล่าถึงจุดที่ฉุดให้ภาพรวมท่องเที่ยวไทยวิกฤติในปีที่ผ่านมา

    โดยในปี 2562 นอกจากวิกฤติจากนักท่องเที่ยวจีน หดหายจากความไม่เชื่อมั่นด้านความปลอดภัยแล้ว จีนยังมีความเสี่ยงจาก "สงครามการค้า" ระหว่างสหรัฐและจีน ส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจจีน อาจทำให้ นักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยลดลง

    คุมพอร์ตจีนโตไม่เกิน30%

    อย่างไรก็ตาม แม้ไทยจะต้องบริหารความเสี่ยงด้วยการกระจายพอร์ตรายได้ท่องเที่ยวจากตลาดอื่น แต่เขายอมรับว่า จีนถือเป็นนักท่องเที่ยวอันดับหนึ่งของประเทศ "ที่ทิ้งไม่ได้" แต่ควรจัดพอร์ตให้ เหมาะสมไม่ให้น้ำหนักเกินไปจนกุมความเสี่ยง ของท่องเที่ยวไทยทั้งประเทศ เขาย้ำ

    "รายได้จากจีน 1ใน 3 ถังข้าวสารที่เรา ทิ้งไม่ได้ต้องดูแล แต่ดีที่สุดอย่าให้เกินสัดส่วน 30% ของพอร์ตรายได้ท่องเที่ยว"

    จึงถึงเวลาต้องตั้งหลักเขย่าพอร์ตสัดส่วน นักท่องเที่ยว เบนความสนใจไปหาตลาดใหม่ ที่มีโอกาสมาแรงไม่แพ้กัน คือ กลุ่มประเทศอาเซียน 9 ประเทศ ตลาดใกล้บ้านเดินทาง ง่ายปีที่ผ่านมาอยู่ที่กว่า 9 ล้านคน ปีนี้ มีโอกาสขยับไปเกือบเท่าๆกับจีนที่ 10 ล้านคน หากบุกหนักจะเพิ่มสถิติเท่าจีนได้

    โดยช่วง 11 เดือน (ม.ค.-พ.ย.) ปี 2561 นักท่องเที่ยวอาเซียนเดินทางมาไทย จำนวน 9.1 ล้านคน ประกอบด้วย มาเลเซีย 3.5 ล้านคน, สปป.ลาว 1.5 ล้านคน, กัมพูชา 7.9 แสนคน, เวียดนาม 9.5 ล้านคน และเมียนมา 3.3 แสนคน, อินโดนีเซีย 5.8 แสนคน, ฟิลิปปินส์ 3.9 แสนคน, สิงคโปร์ 9.3 แสนคน และบรูไน 1.1หมื่นคน

    ตลาดอาเซียนเป็นตลาดความหวังทดแทนยอดนักท่องเที่ยวจีนที่หายไป

    เศรษฐกิจอาเซียน ถือเป็นดาวรุ่ง (Rising Star) โดยเฉพาะประเทศเพื่อนบ้าน (ซีแอลเอ็มวี) ได้แก่ กัมพูชา สปป.ลาว เมียนมา และเวียดนาม เศรษฐกิจเติบโตกว่า 5-6% จึงตัดสินใจ เดินทางมาไทยง่าย วันหยุดสุดสัปดาห์ก็มาได้ ที่สำคัญประเทศไทย เป็นเป้าหมายในใจ ที่คนอาเซียนอยากมาเยือน

    ทว่า แม้จะเพิ่มจำนวนนักท่องเที่ยวอาเซียนให้ใกล้เคียงกับนักท่องเที่ยวจีนได้ไม่ยาก สิ่งที่แตกต่างคือ "ยอดการใช้จ่ายนักท่องเที่ยวอาเซียน" ในปัจจุบันที่ยังเป็นรองจีน โดยนักท่องเที่ยวอาเซียน มีค่าใช้จ่ายต่อหัวต่อวันอยู่ที่ 2-3,000 บาท ขณะที่จีนมีค่าใช้จ่ายต่อหัวต่อวันอยู่ที่ 5-7,000 บาท

    "การเพิ่มความถี่ในการเดินทาง เป็นวิธีการหนึ่งทำให้รายได้การท่องเที่ยวตลาดอาเซียนเพิ่มขึ้น" ไม่เพียงอาเซียนที่เป็นดาวรุ่งในการตัดสินใจมาเที่ยวไทยมากขึ้น ตลาดอื่นๆ ก็เติบโตได้ดีไม่แพ้ โดย 5 อันดับประเทศที่เดินทางท่องเที่ยวไทยสูงรองจากจีนในปี 2561 ได้แก่ มาเลเซีย 3.57 ล้านคน, เกาหลี 1.6 ล้านคน, สปป.ลาว 1.59 ล้านคน และญี่ปุ่น 1.5 ล้านคน รวมถึงอินเดีย เป็นอีกประเทศที่มาแรงในปีที่ผ่านมา ประชากรเกือบเท่าจีน และมีกำลังซื้อสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยปี 2561 เดินทางมาไทย 1.4 ล้านคน โดยรวมนักท่องเที่ยวที่เดินทางมาไทย เติบโตในทุกตลาด ยกเว้นจีน และกลุ่มประเทศ ตะวันออกกลาง ที่ได้รับผลกระทบจากความไม่สงบทางการเมืองและสงครามการค้า รวมถึง ตะวันออกกลางยกเลิกนโยบายท่องเที่ยวสุขภาพ ในการเข้ามารักษาพยาบาลในไทย

    เฟ้นนักท่องเที่ยวแดนมังกร

    เขายังระบุว่า จังหวะนี้ยังเหมาะที่จะ "พลิกวิกฤติเป็นโอกาส" ในช่วงที่มีการจัดระเบียบ ทัวร์ศูนย์เหรียญ ขณะที่นักท่องเที่ยวจีน ได้รับบทเรียนราคาแพง จากเรือฟีนิกซ์ล่ม ในการหันมาให้ความสำคัญกับการท่องเที่ยว กลุ่มนักท่องเที่ยวอิสระ (FIT -Foreign Individual Tourism) ซึ่งเป็นกลุ่มมีคุณภาพจากจีน เป็นกลุ่มคนรุ่นใหม่มีความรู้ และมีกำลังซื้อ ต้องการการบริการการท่องเที่ยว ที่คุ้มค่ากับเงิน (Value for Money) มากกว่าราคาถูก ซึ่งกำลังเป็นเทรนด์การท่องเที่ยวที่มาแรง

    ปัจจุบันนักท่องเที่ยว FIT จากจีนมาไทย สัดส่วน 70% ต่อกลุ่มนักท่องเที่ยวมากับบริษัททัวร์เอเจนซี่ 30% ซึ่งทิศทางกลับกันจากในช่วงเริ่มต้นที่นักท่องเที่ยวจีนมาไทยส่วนใหญ่มาเป็นหมู่คณะถึง 70% เป็นเวลาที่จะช่วงชิงการทำการตลาด ปรับฐาน จับตลาดนักท่องเที่ยวคุณภาพที่อาศัย อยู่เซียงไฮ้ ปักกิ่ง โดยทำการตลาดผ่าน ผู้ทรงอิทธิพลในโลกออนไลน์ (Influencers)

    "ปีนี้มีโอกาสเจาะเซ็กเมนท์ตลาดบน นำเสนออาหาร แต่งงาน สปา หรือท่องเที่ยว กับครอบครัว"

    ขณะเดียวกัน สิ่งที่ต้องบริหารจัดการ คือฝั่งซัพพลาย แหล่งท่องเที่ยวและ สิ่งอำนวยความสะดวกให้มีคุณภาพ ตั้งแต่ความปลอดภัย อาหาร โรงแรม ที่ยังมีปัญหาซัพพลายล้น กระจุกตัวในเมืองท่องเที่ยวหลัก ทำให้ขายตัดราคา จนไทยถูกมองในภาพลักษณ์ แหล่งท่องเที่ยวราคาถูก (Mass Tourism)

    "3แม่เหล็ก"ผลักพ้นแมสทัวร์ริส

    รองผู้ว่าททท. มองว่า ยุคนี้ทำการตลาดกลางๆ ขายหมดทุกอย่างไม่ได้ เพราะเป็นการ กวาดตลาดแมส หากเทียบอัตรานักท่องเที่ยวขยายตัวเฉลี่ยเท่ากับเอเชียแปซิฟิกอยู่ที่ 6.5% ต่อปี จะทำให้มีนักท่องเที่ยวหลั่งไหลเข้าไทย อย่างมหาศาล ในปี 2563 คาดว่านักท่องเที่ยว ต่างชาติจะขึ้นไปแตะที่ 41.5 ล้านคน แต่หากรักษาอัตราการเติบโตตามอดีตที่ไทยทำไว้เฉลี่ย 15% ต่อปี จะมีนักท่องเที่ยวเข้ามาในไทยถึง 71 ล้านคน เทียบเท่ากับประชากรไทย

    นี่จึงเป็นจุดพลิกที่ไม่เน้นปริมาณนักท่องเที่ยว แต่หันไปเน้นคุณภาพของการเดินทาง

    ปีนี้ จะเป็นปีที่เริ่มคัดกรองให้กราฟการท่องเที่ยวไทยเติบโตไปพร้อมฐานที่มั่นคง ยั่งยืน คัดกรองนักท่องเที่ยวที่มีความรับผิดชอบ ไม่ทำลายสถานที่ท่องเที่ยว นี่คือที่มาของการคัดกรองนำเสนอกลุ่มลูกค้า ให้ชัดตามเป้าหมาย มีการใช้จ่ายต่อหัวสูง จึงต้องนำเสนอไฮไลต์ของไทย คือ อาหาร กีฬา และ แต่งงาน เพราะนักท่องเที่ยวยุคนี้มีการวางแผนการเดินทางท่องเที่ยว เพื่ออะไร

    "เป็นยุคที่ต้องสื่อสารตลาดให้อารมณ์ และความรู้สึก (Mood &Tone) ให้ต่างชาติ เห็นภาพเลย เมืองไทยมีหลากหลาย พูดกลางๆ ไม่ได้ เน้นย้ำโซนที่มีความโดดเด่นเอกลักษณ์ไทย"

    สำหรับ 3 แม่เหล็กดึงดูดผลักดันให้ ไทยก้าวพ้นจากความเป็นแมสทัวริสซึม เริ่มต้นที่ท่องเที่ยวเชิงอาหาร (Food Tourism) ตอกย้ำความเป็นชาติที่มีแหล่งท่องเที่ยวและอาหารระดับโลก โดยการดึงมิชลิน สตาร์ เข้ามาร่วมโปรโมทอาหารไทย เป็นสปริงบอร์ดพาไทยไปสร้างการรับรู้ระดับโลก ให้คนมาชิม อาหารไทย ขณะเดียวกันก็มีการสอดแทรก อาหารพื้นถิ่นในเมืองรอง เป็นผู้เล่นตัวใหม่ ที่หยิบยกเข้ามา มีการจัดทำงานเทศกาลอาหารไทย ที่สร้างความเป็นแบรนด์ถึงการอยากทานอาหารดีๆ ต้องเดินทาง มาไทย ข้อมูลปี 2559 พบว่านักท่องเที่ยว ใช้จ่ายเกี่ยวกับอาหารและเครื่องดื่มมีสัดส่วน 20% ของค่าใช้จ่ายจากการท่องเที่ยว ทั้งหมด ถือเป็นตัวเลขที่จับถูกจุดในการเพิ่มมูลค่าให้กับท่องเที่ยวไทย

    ท่องเที่ยวเชิงกีฬา (Sport tourism)เลือกจัดกิจกรรมกีฬาที่ส่งเสริมการ ท่องเที่ยว สัก 4-5 ชนิด ประกอบด้วย กอล์ฟ, แข่งรถ เช่น โมโตจีพี, วิ่งมาราธอน, จักรยาน และมวยไทย ร่วมกับทัวร์นาเมนท์ ระดับโลก และการสร้างแบรนด์การรับรู้ กีฬาระดับโลกขึ้นเองในไทย เป็นการดึงคนให้เข้ามาร่วมกิจกรรมพร้อมกับท่องเที่ยว

    ท่องเที่ยวแต่งงาน และท่องเที่ยวหลังแต่งงาน (Wedding &Honey Moon) ทำให้ไทยเป็นแหล่งท่องเที่ยวที่ใช้เป็นสถานที่แต่งงาน และท่องเที่ยวหลังแต่งงาน เช่น อินเดียที่มาแต่งงาน พร้อมกับครอบครัวเดินทางมาท่องเที่ยว สร้างรายได้มหาศาลต่องานแต่งงานหนึ่งครั้ง หรือ ชาวยุโรป ก็นิยมมาฮันนีมูนในไทย ซึ่งปี 2559 พบว่ามีนักท่องเที่ยวเดินทางมาไทยเพื่อแต่งงานและฮันนีมูนจำนวน 9.2 แสนคน

    มุมมองเอกชนท่องเที่ยว ต้องเป็น'ปลาเร็ว'กิน'ปลาใหญ่'

    วิชิต ประกอบโกศลนายกสมาคมไทยธุรกิจการท่องเที่ยว (แอตต้า) เผยถึงเทรนด์การทำการตลาดภาคเอกชนจะต้องล้อไปกับนโยบายภาครัฐ เพื่อเติบโตไปตามกระแสและทิศทางการท่องเที่ยวไทย ในยุคที่ "ปลาใหญ่ กินปลาเล็ก" หากไปแข่งขันตลาดรวมแมส ก็แข่งไม่ได้ รายใหญ่กวาดไปหมด เพราะเจ้าใหญ่ที่มีเครือข่ายการบริการ มีแพลตฟอร์มจากต่างประเทศเข้ามาสร้าง เครือข่ายในประเทศไทยหมดแล้ว จึงได้ส่วนแบ่งเฉพาะรายใหญ่

    ดังนั้น การพลิกหาตลาดโดยชูจุดขายเป็นรายเซ็กเมนเตชั่น จึงเป็นทางออก นำเสนอการท่องเที่ยวเฉพาะทาง เพื่อกวาดตลาดนักท่องเที่ยวอิสระหรือ FIT ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกที่มีโอกาสกระจายรายได้ไปสู่เมืองรองได้ เช่น ท่องเที่ยวเชิงการแพทย์ เข้ามาดูแลสุขภาพ หรือเสริมสวยควรเจาะกลุ่มประเทศใด หรือเชิงกีฬา มีการจัดตีกอล์ฟ หรือ แต่งงาน จะต้องเข้าไปหาประเทศใด คนกลุ่มไหน ต้องวางแนวทางการทำตลาดให้ชัดเจน

    "หากทำตลาดแบบเดิม ต้อง ตกอยู่ในสภาพปลาใหญ่กินปลาเล็ก ถูกรายใหญ่เข้าไปสร้างเครือข่ายกินส่วนแบ่ง อยู่แล้ว จึงต้องหาตลาดใหม่ เซ็กเมนท์ใหม่ และเปิดพื้นที่ใหม่ในเมืองรอง เพื่อกระจายรายได้ให้คนรายเล็กได้ประโยชน์ ซึ่งเป็นเทรนด์ของโลกที่จะต้องปรับตัวรบเป็นปลาเร็วในตลาดใหม่"

    ด้านชัยรัตน์ ไตรรัตนจรัสพรประธานสภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) ได้เสนอแผนในนาม เอกชน ที่จะต้องเดินหน้าการทำงานคู่กับภาครัฐ หลังจากเกิดวิกฤตินักท่องเที่ยวจีน

    ก็ต้องเริ่มต้นฟื้นความเชื่อมั่น ชื่อเสียงของ การท่องเที่ยวไทย ด้านมาตรการความปลอดภัย และการกระจายรายได้สู่ชุมชน เขายอมรับว่าที่ผ่านมามีเอกชนบางราย ที่ทำการตลาดแบบแบ่งการบริการนักท่องเที่ยว ต่างชาติ ระหว่างชาวตะวันตก และชาวจีน จึงต้องฟื้นความเชื่อมั่นชาวจีนไปพร้อมกันกับจัดมาตรฐานการท่องเที่ยวไทยขึ้นมาใหม่ เช่น การตั้งคณะกรรมการดูแลด้านมาตรฐานความปลอดภัยในกลุ่มภาคเอกชน

    "เอกชนต้องปรับตัว ในอดีตผู้ประกอบการ ไม่ได้สนใจเรื่องการดูแลนักท่องเที่ยว แต่ปัจจุบันนักท่องเที่ยวจีนเป็นกลุ่ม FIT มากขึ้นก็ต้องการการบริการที่ดีมีคุณภาพ ไม่กลัวของแพงแต่ต้องการการต้อนรับ อบอุ่น"

    นักท่องเที่ยวจีนเป็นสัดส่วนทำรายได้เข้าประเทศประมาณ 60 % ของมูลค่าทำรายได้จากต่างชาติ 2 ล้านล้านบาท หรือประมาณ 1 ล้านล้านบาท ที่มีกำลังซื้อ ที่จะต้องดูแลให้ดี และเรียกความเชื่อมั่น กลับมา "ถือเป็นจุดเปลี่ยนหลังจากวิกฤติเรือล่ม มีการกวาดล้างบริษัทท่องเที่ยวที่เป็น นอมินีและยังลดปริมาณบริษัทท่องเที่ยว จัดแพ็คเกจทัวร์ศูนย์เหรียญ แบบตีหัวเข้าบ้าน หวังหารายได้จากการซื้อสินค้าปลายทาง ไม่มีอีกต่อไปแล้ว"

    เขามองว่า ปี 2562 เป็นปีที่เริ่มจำกัดจำนวนนักท่องเที่ยว และหันมา ดูเรื่องคุณภาพของนักท่องเที่ยวที่มี ความรับผิดชอบ มีกำลังซื้อและไม่ทำลาย สิ่งแวดล้อม ซึ่งกลุ่มนักท่องเที่ยว FIT ที่เป็นคนรุ่นใหม่ถึง 90% ท่องเที่ยวเพื่อสร้างประสบการณ์จากการท่องเที่ยวมากกว่าขายการท่องเที่ยวรูปแบบเดิม ซึ่งจะเป็นกลไกให้กลุ่มธุรกิจปรับตัวจากแข่งขันด้านราคา มาสู่การแข่งขันด้านคุณภาพการบริการ ด้านอิทธิฤทธิ์ กิ่งเล็ก ประธานที่ปรึกษากิตติมศักดิ์ สภาอุตสาหกรรมท่องเที่ยวแห่งประเทศไทย (สทท.) กล่าวว่า ยุทธศาสตร์สำคัญที่ทำให้การท่องเที่ยวไทยเติบอย่างมีคุณภาพและยั่งยืน คือการพัฒนาคุณภาพมาตรฐาน มีเครื่องหมายรับรอง ในโรงแรม ร้านอาหาร และร้านจำหน่ายสินค้าที่ระลึก รวมถึงการหาตลาดใหม่ๆ จัดสมดุลกระจายตลาด พร้อมกับบริหารจัดการด้านซัพพลายไซส์ คือพัฒนาแหล่งท่องเที่ยวให้ควบคู่กับการเติบโตของนักท่องเที่ยว นอกจากนี้คือการเชื่อมโยงตลาดไปยังกลุ่มประเทศอาเซียนเพื่อทำตลาดร่วมกัน และดึงกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านเข้ามาเที่ยวในประเทศไทย โดยในการประชุมสุดยอดผู้นำอาเซียน ปี 2562 ซึ่งไทยเป็นเจ้าภาพในปีนี้ต้องีนำเสนอแผนพัฒนาอุตสาหกรรมท่องเที่ยว ในภูมิภาคร่วมกัน

    โดย ประกายดาว แบ่งสันเทียะ

    Source: กรุงเทพธุรกิจ
     
  12. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    50045990_2331668290185983_6955414212604592128_n.jpg?_nc_cat=104&_nc_pt=1&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.jpg
    (Jan 7) ลุ้นลูกค้าจีน : ปัจจุบันต้องยอมรับว่า ธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ไทย โดยเฉพาะตลาดคอนโดมิเนียมนั้น กลุ่มลูกค้าต่างชาติกลายเป็นผู้ซื้อหลัก ซึ่งในกลุ่มนี้ต้องยกให้ผู้ซื้อชาวจีนเป็นตลาดที่สำคัญ ในการดูดซับซัพพลายในภาวะตลาดที่กำลังซื้อของคนไทยเริ่มถดถอยโดยความสนใจซื้ออสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทยของลูกค้าจีนนั้น เริ่มต้นที่เมืองท่องเที่ยวอย่าง พัทยา ประมาณปี 2559 ในช่วงดังกล่าวยอดนักท่องเที่ยวจีนเดินทางมาไทยค่อนข้างสูง ดังนั้น จึงเกิดการซื้อเพื่อลงทุน โดยปล่อยเช่ากับนักท่องเที่ยวชาติเดียวกัน ซึ่งผลตอบแทนค่อนข้างสูง 7% จากนั้นก็กระจายการลงทุนในอสังหาริมทรัพย์ที่เมืองท่องเที่ยวอื่นๆ มีที่เชียงใหม่ และภูเก็ต จึงรุกเข้าซื้อคอนโดมิเนียมในพื้นที่กรุงเทพมหานคร ปี 2560 เรื่อยมา โดยทำเลแรกๆ ปักหลักที่รัชดาฯ-พระราม 9 เนื่องจากเป็นทำเลที่ครบครันทั้งรถไฟฟ้า ศูนย์การค้า โรงพยาบาล สถานศึกษาและแหล่งกิน ดื่ม ที่สำคัญใกล้กับสถานทูตจีน

    เพียง 1-2 ปี นักลงทุนอสังหาฯ สัญชาติจีน สนใจซื้อคอนโดมิเนียมในหลายทำเลทั่วกรุงเทพฯ จากข้อมูลของธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) รายงานว่ามีกลุ่มลูกค้าต่างชาติซื้ออสังหา ริมทรัพย์ในไทยคิดเป็นเงินประมาณ 7-8 หมื่นล้านบาท ซึ่งก็หมายถึงลูกค้าจีนนั่นเอง หากคิดเป็นจำนวนยูนิตที่ลูกค้าต่างชาติกลุ่มดังว่านี้ซื้อไปคิดเป็นประมาณ2 หมื่นยูนิต

    อย่างไรก็ตาม กูรูในธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ประเมินว่าอาจจะสูงกว่าที่กล่าวก็เป็นได้ เพราะมีบางบริษัทตั้งสำนักงานขายในประเทศจีน เพื่อทำการตลาดเข้าถึงลูกค้าเป้าหมายอย่างจริงจัง รวมทั้งจ่ายเงินค่าห้องชุดที่นั่นก็มี ประเมินแล้วลูกค้าจีนอาจจะซื้อมากถึงประมาณ 3-4 หมื่นยูนิตก็เป็นได้

    จากสัญญาณเศรษฐกิจจีนที่กล่าวมา นายวสันต์ คงจันทร์ กรรมการผู้จัดการ บริษัท โมเดอร์น พร็อพเพอร์ตี้ คอนซัลแตนท์ จำกัด ที่ปรึกษาการพัฒนาโครงการและด้านการลงทุน มองว่า ปัจจุบันลูกค้าจีนซื้ออสังหาฯ ไทยลดลง ผลจากเศรษฐกิจในประเทศของเขาชะลอตัว และสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐอเมริกา กระทบภาวะการค้าในตลาดหุ้นลดลง 20-30% และค่าเงินหยวนอ่อนตัว ฉะนั้นน่ากระทบกับการลงทุนในอสังหาฯในต่างประเทศด้วย อย่างไรก็ตาม คาดว่าจะเป็นผลกระทบในระยะสั้นเท่านั้น หลังจากนั้นจะกลับมาลงทุนตามปกติ

    "ในภาคอสังหาฯน่าเป็นห่วงว่าลูกค้าที่ซื้อคอนโดมิเนียมในช่วง 2 ปีก่อน ซึ่งจะเริ่มสร้างเสร็จและทยอยโอนกรรมสิทธิ์ตั้งแต่ปลายปี 2561 จะมาตามนัดหรือไม่"

    สำหรับผู้ประกอบการก็คงต้องประเมินสถานการณ์ให้รอบคอบ จะยังคงเดินหน้าลงทุนเปิดขายโครงการใหม่ในปริมาณที่มากเหมือนปีที่ผ่านมาอีกหรือไม่ เพราะวันนี้กำลังซื้อหรือดีมานด์ลดลง ไม่เพียงแต่ลูกค้าคนไทย ยังลามถึงลูกค้าต่างชาติแล้ว

    "หากผู้ประกอบการไม่ปรับลดการเปิดตัวโครงการใหม่ จะเป็นการซ้ำเติมตลาดคอนโด มิเนียม ในภาพรวมให้มีปัญหา อาจจะเห็นโครงการที่มีปัญหาไม่สามารถเดินต่อไป โดยเฉพาะโครงการที่อยู่ในทำเลที่ไม่ดี มีการแข่งขันสูง ถึงขั้นต้องหยุดสร้าง โดยจะมีจำนวนมากขึ้น" นายวสันต์กล่าวย้ำ

    ขณะที่นายสุรเชษฐ กองชีพ นักวิจัยตลาดอสังหาริมทรัพย์ ให้ทรรศนะต่อลูกค้าจีนว่า ค่าเงินหยวนเมื่อเทียบกับเงินบาทลดลงจากปลายปี 2560 ประมาณ 6% และลดลงจากเดือนมกราคม ปี 2560 ประมาณ 8% ซึ่งส่งผลให้ความเชื่อมั่นในการใช้จ่ายของคนจีนนั้นลดลงตามไปด้วย พวกเขาจึงเลือกที่จะใช้เงินในต่างประเทศลดลงรวมไปถึงการเดินทางออกนอกประเทศเพื่อการท่องเที่ยวด้วย แม้ว่าจะไม่มากนักแต่ก็มีผลต่อความรู้สึกหรือความเชื่อมั่นของคนจีน และมีผลต่อความอยากซื้ออสังหาริม ทรัพย์ในประเทศไทยไม่มากก็น้อย เพราะผู้ซื้อคนจีนส่วนหนึ่งมาในรูปแบบของนักท่องเที่ยว และมีไม่น้อยที่การมาเที่ยวในประเทศไทยของพวกเขามีแฝงการมาดูอสังหาริมทรัพย์ด้วยในช่วงที่ผ่านมาทั้งจากการตั้งใจมาดูเองของพวกเขาและจากการมาทัวร์เพื่อดูอสังหาริมทรัพย์ที่จัดโดยบริษัทนายหน้าในประเทศจีนที่มีความร่วมมือกับบริษัทนายหน้าหรือผู้ประกอบการในประเทศไทย การลดน้อยลงของนักท่องเที่ยวจีน และการอ่อนค่าลงของค่าเงินหยวนนั้นจะมีผลกระทบต่อตลาดคอนโดมิเนียมในช่วงครึ่งหลังของปีนี้และปีต่อไปจะมากหรือน้อยนั้นตอนนี้อาจจะยังไม่สามารถตอบได้ แต่มีคอนโดมิเนียมบางโครงการที่มีกำหนดโอนกรรมสิทธิ์ในช่วงปลายปีนี้และต้องรอดูสถานการณ์ของโครงการเหล่านี้ว่าผู้ซื้อคนจีนจะมาโอนกรรมสิทธิ์ตามกำหนดนัดหมายหรือไม่

    Source: ฐานเศรษฐกิจ
     
  13. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    &url=https%3A%2F%2Fassets.bwbx.io%2Fimages%2Fusers%2FiqjWHBFdfxIU%2Fi9DeXmO50tI8%2Fv0%2F1200x800.jpg

    (Jan 7) จับตาคณะผู้แทนสหรัฐ-จีนเตรียมเจรจาคลี่คลายข้อพิพาทการค้าวันที่ 7-8 ม.ค.ที่ปักกิ่ง: ตลาดการเงินทั่วโลกจับตาการเจรจาการค้าระหว่างเจ้าหน้าที่สหรัฐและจีนซึ่งจะเปิดฉากขึ้นในวันนี้ที่กรุงปักกิ่ง โดยเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายต่างก็ส่งสัญญาณถึงความพร้อมในการเจรจาเพื่อคลี่คลายข้อพิพาทด้านการค้า

    กระทรวงพาณิชย์จีนได้ออกแถลงการณ์ยืนยันเมื่อวันศุกร์ว่า คณะผู้แทนของรัฐบาลสหรัฐจะเข้าร่วมเจรจากับเจ้าหน้าที่ของจีนที่กรุงปักกิ่งในวันที่ 7-8 ม.ค. โดยการประชุมระหว่างเจ้าหน้าที่ทั้งสองฝ่ายจะเป็นการเจรจาแบบหน้าต่อหน้าครั้งแรกนับตั้งแต่ประธานาธิบดีโดนัลด์ ทรัมป์ และประธานาธิบดีสี จิ้นผิง ได้ตกลงที่จะสงบศึกการค้าชั่วคราวเป็นเวลา 90 วันเมื่อวันที่ 1 ธ.ค.ที่ผ่านมา

    ทั้งนี้ กระทรวงพาณิชย์จีนระบุว่า นายเจฟฟรีย์ เกอร์ริช รองผู้แทนการค้าสหรัฐ (USTR) จะนำคณะผู้แทนจากสหรัฐเยือนจีนในวันที่ 7-8 ม.ค. โดยทั้งสองฝ่ายจะหารือเกี่ยวกับความพยายามในการบรรลุข้อตกลงเพื่อแก้ไขปัญหาข้อพิพาททางการค้า ต่อเนื่องจากที่เจรจากันไว้นอกรอบการประชุม G20 ที่อาร์เจนตินา

    Source: อินโฟเควสท์ แปลและเรียบเรียงโดย รัตนา พงศ์ทวิช

    https://www.bloomberg.com/news/arti...vIG4w9-z0fWBFzliMzT3W_tIbz2gJNgnQaXos6iTAxO3A
     
  14. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    safe_image.php?d=AQBbOUI2C7vpJOpI&w=540&h=282&url=https%3A%2F%2Fimages.wsj.jpg

    (Jan 6) สมรภูมิแดนมังกรของแสลง 'แอ๊ปเปิ้ล-ซัมซุง' : ผลประกอบการ ของ "แอ๊ปเปิ้ล อิงค์" ที่ซบเซาอย่างหนัก ในจีนเมื่อเร็วๆ นี้ ถือเป็นชะตากรรม ที่ไม่ต่างจากคู่แข่งสมาร์ทโฟนรายสำคัญ อย่าง "ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์"

    เมื่อ 5 ปีที่แล้ว ยักษ์ใหญ่เกาหลีใต้ ทะยานครองอันดับ 1 ในตลาดจีน โดยการ จำหน่ายมือถือเกือบทุกๆ 5 เครื่อง เป็นของ ซัมซุง 1 เครื่อง แต่ปัจจุบัน ซัมซุงกลับ ไม่ติด 3 อันดับแรกด้วยซ้ำ ด้วยส่วนแบ่ง ไม่ถึง 1% ในตลาดสมาร์ทโฟนขนาดใหญ่ ที่สุดของโลก

    นอกจากนั้น ซัมซุงยังเลิกจ้าง พนักงานท้องถิ่นและปิดโรงงานสมาร์ทโฟน ในจีน 2 แห่งเมื่อเดือนที่แล้ว แม้มีนักวิเคราะห์น้อยคนที่คาดว่า ยอดขายที่ลดลงในจีนของแอ๊ปเปิ้ล จะส่งผลกระทบรุนแรง แต่ภาวะตกต่ำ ของซัมซุงก็ถือเป็นอุทาหรณ์สำหรับ บรรดาผู้ผลิตสมาร์ทโฟนต่างชาติ

    ซัมซุง ซึ่งยังคงเป็นผู้ผลิตสมาร์ทโฟน รายใหญ่ที่สุดของโลก พ่ายแพ้ต่อ กลยุทธ์ของเหล่าคู่แข่งสัญชาติจีน ที่จำหน่ายมือถือคุณสมบัติใกล้เคียงกัน ในราคาที่ถูกกว่า ยอดขายที่ลดลง ของบริษัทเกาหลีใต้รายนี้ยิ่งเลวร้าย ลงไปอีก จากการเรียกคืนมือถือรุ่น "ซัมซุง กาแล็กซี่ โน้ต7" ที่มีปัญหา แบตเตอรี่ร้อนผิดปกติ ซึ่งสร้างความ เสียหายต่อแบรนด์อย่างมาก

    นอกจากนั้น ประเด็นภูมิศาสตร์ การเมืองยังส่งผลกระทบเช่นกัน หลัง เกาหลีใต้ติดตั้งระบบป้องกันขีปนาวุธ ทางอากาศของสหรัฐในประเทศ ซึ่งสร้าง ความไม่พอใจแก่รัฐบาลปักกิ่ง จนนำไปสู่ กระแสต่อต้านสินค้าแบรนด์เกาหลีใต้ จากผู้บริโภคชาวจีน

    ข้อมูลจากบริษัทวิจัย "เคาน์เตอร์ พอยท์ รีเสิร์ช" ระบุว่า ยอดขายในจีน ของแอ๊ปเปิ้ลแซงหน้าซัมซุงเมื่อปี 2558 คิดเป็นสัดส่วน 14% ของยอดขายมือถือ ในประเทศ หลังจากนั้น แอ๊ปเปิ้ล ก็ประสบภาวะขาลง เนื่องจาก "หัวเว่ย เทคโนโลยีส์ โค" และผู้ผลิตสมาร์ทโฟน เจ้าถิ่นรายอื่นๆ เข้ามาชิงส่วนแบ่งตลาด ด้วยการเสนอสมาร์ทโฟนที่มีรูปลักษณ์ และฟีเจอร์คล้ายกันแต่มีราคาถูกกว่า

    เมื่อวันพุธ (2 ม.ค.) ที่ผ่านมา แอ๊ปเปิ้ล ได้ปรับลดตัวเลขคาดการณ์รายได้ของตน โดยอ้างว่ามียอดขายซบเซาในจีน อย่างไรก็ตาม บริษัทอเมริกันรายนี้ยังคง มีแนวโน้มดีกว่าซัมซุงในตลาดแดนมังกร แบรนด์แอ๊ปเปิ้ลยังครองใจกลุ่มลูกค้า ชาวจีนที่ร่ำรวยมากขึ้นบางส่วน และยัง รักษาส่วนแบ่งตลาดของตัวเองได้อย่าง เหนียวแน่ อีกทั้งบริษัทยังผลิตไอโฟน ในจีน ซึ่งช่วยสร้างงานได้จำนวนมาก

    อย่างไรก็ตาม โฆษกของทั้งซัมซุง และแอ๊ปเปิ้ลยังไม่ออกมาแสดงความเห็น ต่อรายงานดังกล่าว

    การที่ซัมซุงไม่สามารถฟื้นยอดขาย ในจีนได้ ตอกย้ำว่าบริษัทกำลังประสบกับ ช่วงเวลายากลำบาก ยอดขายสมาร์ทโฟน รวมของบริษัทลดลงเป็นหลักสิบเปอร์เซ็นต์ ซึ่งแย่กว่าภาพรวมของทั้งอุตสาหกรรม และผลกำไรจากการดำเนินงานในไตรมาส ล่าสุดสำหรับธุรกิจมือถือของซัมซุง ลดลงไปถึง 1 ใน 3

    "ซัมซุงเพิ่งพ่ายแพ้ในสมรภูมิจีน" ซันจีฟ รานา นักวิเคราะห์อาวุโสของบริษัท โบรกเกอร์ "ซีแอลเอสเอ" ในกรุงโซล กล่าว และว่า "ผมไม่คิดว่าพวกเขาจะมี โอกาสกลับมาได้แล้ว"

    ขณะที่บรรดาผู้เชี่ยวชาญใน อุตสาหกรรมสมาร์ทโฟน ชี้ว่าสภาพ กลืนไม่เข้าคายไม่ออกของแอ๊ปเปิ้ลในจีน ต่างจากสถานการณ์ของซัมซุงในหลายด้าน ไอโฟนใช้ระบบปฏิบัติการไอโอเอส ที่พัฒนาโดยแอ๊ปเปิ้ล ดังนั้น สำหรับบรรดา เจ้าของมือถือซัมซุง การเปลี่ยนมาใช้ แบรนด์คู่แข่งจึงเป็นเรื่องยุ่งยากกว่า เพราะมือถือซัมซุงใช้ระบบปฏิบัติการ แอนดรอยด์ของกูเกิล

    นอกจากนั้น อีโคซิสเต็มของแอ๊ปเปิ้ล ยังไม่เอื้อกับการใช้งานของผู้บริโภคชาวจีน เนื่องจากพวกเขาใช้เวลาส่วนใหญ่กับ "วีแชท" ซึ่งเป็นแอพพลิเคชั่นแชท ชำระเงิน และ โซเชียลมีเดียยอดนิยมจากบริษัทเทนเซ็นต์ โฮลดิ้งส์

    "ไอโฟนอาจไม่ใช่ตัวชี้วัดฐานะ ทางสังคมในจีนเหมือนที่เคยเป็นอีกแล้ว แต่แอ๊ปเปิ้ลยังสามารถเอาตัวรอดจาก ชื่อเสียงของแบรนด์ได้" มาร์ค แนตคิน กรรมการผู้จัดการบริษัทที่ปรึกษา มาร์บริดจ์ คอนซัลติงในกรุงปักกิ่งระบุ

    Source: กรุงเทพธุรกิจ

    เพิ่มเติม
    - Apple Beware: Samsung’s Great Fall in China Was Swift:https://www.wsj.com/articles/apple-...xG69rj10JYXcWQXL_-3ONh02D7zD0bsfFx5RJvqbe5mPg
     
  15. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    &url=https%3A%2F%2Fassets.bwbx.io%2Fimages%2Fusers%2FiqjWHBFdfxIU%2FiI4pBVPSJ.sw%2Fv0%2F1200x800.jpg

    (Jan 6) 'อสังหา'สิงคโปร์ชะงัก รัฐขึ้นภาษีสกัดฟองสบู่ -มาตรการป้องกันฟองสบู่ราคาอสังหาริมทรัพย์ของ "สิงคโปร์" ส่งผลฉุดให้ตลาดที่อยู่อาศัยของสิงคโปร์ชะลอตัว หลังจากที่รัฐบาล ปรับขึ้นค่าอากรแสตมป์ (stamp duty) สำหรับผู้ซื้อบ้านหลังที่ 2 ขึ้นไป เมื่อเดือน ก.ค.ปีที่ผ่านมา โดยมีผลทั้งกับคนสิงคโปร์และชาวต่างชาติ รวมถึงบริษัทต่างชาติในสิงคโปร์ที่จะต้องจ่ายภาษีที่อยู่อาศัยมากขึ้น

    บลูมเบิร์กระบุว่า คนสิงคโปร์ที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 เดิมเสียภาษีอยู่ที่ 7% จะปรับขึ้นเป็น 12% และหลังที่ 3 จะปรับขึ้นเป็น 15% จากเดิมที่ 10% สำหรับชาวต่างชาติที่พำนักอยู่ในสิงคโปร์ที่ซื้อบ้านหลังที่ 2 ต้องจ่ายภาษีเพิ่มเป็น 15% จากเดิม 10% และสำหรับคนต่างชาติที่ต้องการเข้ามาลงทุนซื้อบ้านในสิงคโปร์จะต้องเสียภาษี 20% จากเดิม 15% ส่วนบริษัทต่างชาติที่เข้ามาซื้อบ้านในสิงคโปร์ต้องเสียภาษีอยู่ที่ 25% จากเดิม 15%

    "นิกเคอิ เอเชียน รีวิว" รายงานว่า ผลกระทบมาจากมาตรการสกัดเก็งกำไรของรัฐบาล รวมไปถึงความไม่แน่นอนในตลาดการเงินโลก กำลังออกฤทธิ์ทำให้ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์อยู่ในภาวะซบเซา "คริสติน ลี" ผู้อำนวยการอาวุโสและหัวหน้าฝ่ายวิจัยของ Cushman & Wakefield ในสิงคโปร์ กล่าวว่า ตลาดอสังหาริมทรัพย์ของสิงคโปร์กำลังชะงัก เนื่องจากดีมานด์ของนักลงทุนลดลง โดยเฉพาะนักลงทุนบ้านและคอนโดฯ ในระดับไฮเอนด์ที่มีแนวโน้มว่าจะชะลอการซื้อมากที่สุด

    โดยมีความเป็นไปได้ที่นักลงทุนจะหันมาซื้ออสังหาริมทรัพย์ในตลาด ต่างประเทศแทน ซึ่ง 3 ประเทศเป้าหมาย ที่ถือว่าตลาดยังมีความน่าสนใจ ได้แก่ ประเทศไทย เวียดนาม และกัมพูชา

    ขณะที่ราคาที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์ไตรมาส 4/2018 ปรับลดลงเป็นครั้งแรก ในรอบปีครึ่ง โดยข้อมูลจากองค์การพัฒนาเมืองของสิงคโปร์ (URA) ระบุว่า ในช่วงไตรมาสสุดท้ายของปี 2018 ที่ผ่านมา ราคาบ้านลดลง 0.1% จากไตรมาสก่อนหน้า ขณะที่ราคา คอนโดฯหรูลดลง 0.9%

    เหล่านักลงทุนแสดงความกังวล เพราะแม้ราคาบ้านและที่อยู่อาศัยในสิงคโปร์จะปรับลด แต่ก็เป็นการปรับลดเพียงเล็กน้อย เพราะต้นทุนด้านภาษีที่เพิ่มขึ้นจึงทำให้ราคาบ้านยังสูง

    นายออง เท็ก ฮุย ผู้อำนวยการ อาวุโสฝ่ายวิจัยและที่ปรึกษาของบริษัท JLL ผู้เชี่ยวชาญตลาดอสังหาริมทรัพย์และการลงทุน มองว่าตลาดอสังหาริมทรัพย์ในสิงคโปร์กำลังขับเคลื่อนไปอย่างช้า ๆ จากที่กระจุกตัวอยู่ในเขตใจกลางเมือง จากกำลังซื้อของนักลงทุนต่างชาติที่เข้ามาเก็งกำไรทำให้ราคาพุ่ง แนวโน้ม จะกระจายไปยังทำเลชานเมืองมากขึ้นโดยคาดว่าราคาที่อยู่อาศัยในเขตชานเมืองปีนี้จะเพิ่มขึ้นราว 1.8% เนื่องจากการซื้อขายที่คึกคักมากขึ้น โดยประเมินว่าลูกค้าส่วนใหญ่ที่ซื้อน่าจะเป็นประชาชนชาวสิงคโปร์ที่ยังไม่มีบ้านเป็นของตัวเอง

    นายอองระบุว่า แม้ว่ามาตรการของรัฐบาลจะทำให้ต้นทุนในการเป็นเจ้าของบ้านชานเมืองสูงขึ้น แต่ด้วยเพราะต้นทุนราคาที่ดินที่ถูกกว่าใจกลางเมือง ดังนั้น อสังหาริมทรัพย์ตามแถบชานเมืองสิงคโปร์จะกลายเป็นตลาดที่น่าสนใจของปีนี้

    นอกจากนี้รัฐบาลสิงคโปร์มีแผนพัฒนาที่อยู่อาศัยแห่งใหม่ เรียกว่า Bidadari Estate ขนาด 93 เฮกตาร์ ซึ่งเดิมเคยเป็นสุสานเก่า พัฒนาเป็นโครงการที่อยู่อาศัยราคาย่อมเยาสำหรับประชาชนให้สามารถซื้อเป็นเจ้าของได้ ถือว่าเป็นโปรเจ็กต์นำร่องของรัฐบาลที่ต้องการลดความแออัดในย่านใจกลางเมือง

    นายทริเซีย ซอง หัวหน้าด้านการวิจัยจากบริษัท Colliers International ของแคนาดา กล่าวว่า นับตั้งแต่ปี 2019 บรรดานักพัฒนาอสังหาริมทรัพย์รายใหญ่ ๆ ของสิงคโปร์ จะหันมาสนใจที่จะพัฒนาโครงการที่อยู่อาศัยในเขตชานเมืองมากขึ้น และในอนาคตคาดว่าราคาที่ดินอาจปรับตัวสูงขึ้น สอดรับดีมานด์ของผู้ซื้อ

    Source: ประชาชาติธุรกิจ

    - Singapore Home Prices Post First Drop in Six Quarters:https://www.bloomberg.com/news/arti...WbLLerjbgGDx_MpEM6xjMgyKk-lFN1Tj0rYZfCrYIUcKw
     
  16. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    49648134_2332386100114202_1527938854684721152_n.jpg?_nc_cat=102&_nc_pt=1&_nc_ht=scontent.fbkk6-1.jpg

    (Jan 6) 2เดือนเงินคงคลังพุ่งเท่าตัว - รัฐโชว์บริหารเงินคงคลังสูงต่อเนื่อง เผย ณ สิ้น พ.ย. 61 พุ่งกว่า 4 แสนล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนเกือบ 100% สศค.ชี้ 2 เดือนแรก รัฐเก็บรายได้ 4 แสนล้านบาท กู้ชดเชยขาดดุลกว่า 9 หมื่นล้านบาท

    นายพรชัย ฐีระเวช ที่ปรึกษาด้านเศรษฐกิจการเงิน สำนักงานเศรษฐกิจ การคลัง (สศค.) ในฐานะรองโฆษกกระทรวง การคลัง เปิดเผยว่า ช่วง 2 เดือนแรกของ ปีงบประมาณ 2562 (ต.ค.-พ.ย. 2561) รัฐบาลมีรายได้นำส่งคลังทั้งสิ้น 407,611 ล้านบาท ขณะที่มีการเบิกจ่ายงบประมาณทั้งสิ้น 694,555 ล้านบาท ซึ่งได้มีการกู้เงิน เพื่อชดเชยการขาดดุล จำนวน 99,200 ล้านบาท ส่งผลให้เงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน พ.ย. 2561 อยู่ที่ 427,472 ล้านบาท

    ทั้งนี้ ในช่วง 2 เดือนแรกของปีงบฯ 2562 ดังกล่าว รัฐบาลเก็บรายได้สุทธิ 395,560 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน และสูงกว่าที่คาดการณ์ไว้ 5,099 ล้านบาท หรือ 1.3% โดยการจัดเก็บรายได้ รวมของ 3 กรมภาษีอยู่ที่ 372,727 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 4.4 หมื่นล้านบาท หรือ 13.4% และสูงกว่าคาดการณ์ 2,487 ล้านบาท หรือ 0.7%

    สำหรับกรมสรรพากรเก็บรายได้ สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 33,870 ล้านบาท หรือ 14.1% กรมสรรพสามิตเก็บรายได้สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 12.1% และสูงกว่าคาดการณ์ 0.7% กรมศุลกากรเก็บรายได้สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 10.1% และสูงกว่าคาดการณ์ 0.1%

    ส่วนรัฐวิสาหกิจนำส่งรายได้สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 21,525 ล้านบาท หรือ 55.3% และสูงกว่าคาดการณ์ 1 ล้านบาท และหน่วยงานอื่นนำส่งรายได้สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 4,440 ล้านบาท หรือ 17.8% แต่ต่ำกว่าที่คาดการณ์ไว้ 941 ล้านบาท หรือ 3.1%

    "ภาษีที่จัดเก็บได้สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนที่สำคัญ ได้แก่ ภาษีเงินได้ปิโตรเลียม ภาษีมูลค่าเพิ่ม ภาษีรถยนต์ และภาษียาสูบ สอดคล้องกับมูลค่าการนำเข้า และการบริโภคในประเทศที่ยังคงขยายตัว อย่างต่อเนื่อง" นายพรชัยกล่าว

    นายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร กล่าวว่า ช่วง 2 เดือนแรก จัดเก็บรายได้สูงกว่าประมาณการ 27,352 ล้านบาท หรือ 11.1% และสูงกว่า ช่วงเดียวกันปีก่อน 14.1% ส่วนเดือน ธ.ค. ยังต้องรอสรุปตัวเลขที่ชัดเจนอีกที

    นายพชร อนันตศิลป์ อธิบดีกรมธนารักษ์ กล่าวว่า การเก็บภาษีสรรพสามิต ช่วงไตรมาสแรกปีงบฯ 2562 ถ้าเทียบประมาณการจะต่ำ เนื่องจากภาษีน้ำมันเก็บได้ต่ำกว่าประมาณการเกือบ 20% เพราะตอนทำประมาณการเดิมอยู่ภายใต้สมมุติฐานราคาน้ำมันดิบ 90 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรล แต่ปัจจุบันราคาน้ำมันอยู่ที่ 70 เหรียญสหรัฐต่อบาร์เรลเท่านั้น ส่วนภาษีอื่น ๆ อย่างภาษีรถยนต์ ภาษีเบียร์ ภาษีสุรา และภาษียาสูบ ก็เก็บได้ สูงขึ้นทั้งสิ้น

    "ไตรมาสแรกปีนี้ เก็บภาษีสรรพสามิตได้สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 13,000 ล้านบาท ที่ต่ำก็คือภาษีน้ำมัน ต่ำไป 1,800 ล้านบาท ส่วนภาษีรถยนต์สูงกว่าเป้า 31% และภาษีตัวอื่น ๆ ก็ได้ตามเป้าหมด" นายพชรกล่าว

    รายงานข่าวแจ้งว่า ระดับเงินคงคลัง ณ สิ้นเดือน พ.ย. 2561 ที่อยู่ที่ 427,472 ล้านบาทนั้น เมื่อเปรียบเทียบกับช่วงเดียวกันปีก่อน พบว่า สูงขึ้น 211,261 ล้านบาท หรือ 97.7% แม้ว่ารัฐบาลจะกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลต่ำกว่าช่วงเดียวกันปีก่อน 13,414 ล้านบาทก็ตาม ซึ่งเป็นระดับเงินคงคลังที่สูงอย่างต่อเนื่อง

    โดยก่อนหน้านี้ รัฐบาลปิดหีบสิ้นปี งบฯ 2561 (ณ 30 ก.ย. 2561) ด้วยระดับ เงินคงคลังที่สูงถึง 633,436 ล้านบาท สูงกว่าช่วงเดียวกันปีก่อนหน้า 109,678 ล้านบาท เพิ่มขึ้น 20.9% แม้ว่าจะเป็นปีแรกที่มีการขยับเงินกู้เพื่อชดเชยการขาดดุลเหลื่อมปีออกไปกู้ในปีงบประมาณ 2562 ถึง 50,000 ล้านบาทก็ตาม

    Source: ประชาชาติธุรกิจ
     
  17. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    49042965_2318442208175258_4913324475023360000_n.jpg?_nc_cat=103&_nc_pt=1&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.jpg
    (Jan 6) Cover Story : Cybersecurity - Cybersecurity การยกระดับความปลอดภัยเพื่อสร้างความมั่นใจในภาคการเงิน- ปัจจุบันการใช้งานธุรกรรมออนไลน์ของคนไทยขยายตัวเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว เพราะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ ลดเวลา และลดต้นทุนของผู้ใช้บริการ ในด้านหนึ่งสร้างประโยชน์มหาศาล แต่อีกด้านหนึ่งก็อาจก่อให้เกิดความเสี่ยงได้ หากผู้ใช้ขาดความตระหนักรู้ และเท่าทันเกี่ยวกับภัยของไซเบอร์ ที่สำคัญการรับมือกับภัยดังกล่าวเป็นเรื่องที่ต้องได้รับความร่วมมือจากหน่วยงานต่าง ๆ เพื่อให้เกิดการรับมืออย่างทันท่วงที

    เตรียมอะไร?

    เตรียมอย่างไร ?

    รู้ลึก รู้จริง กับ ดร.กิตติ โฆษะวิสุทธิ์ ประธานศูนย์ประสานงานการรักษาความมั่นคงปลอดภัยเทคโนโลยีสารสนเทศภาคการธนาคาร (Thailand Banking Sector Computer Emergency Response Team: TB-CERT) และ พันตำรวจโทอมรชัย ลีลาขจรจิตร รองผู้กำกับการ 1 กองบังคับการปราบปรามการกระทำผิดเกี่ยวกับอาชญากรรรม
    ทางเทคโนโลยี (ปอท.)

    แหล่งข้อมูลจาก https://www.bot.or.th/broadcast/EBook/BOT6_61/mobile/index.html#p=10

    #BOTMagazine #Cybersecurity

    Source: BOT Website
    — ใน กรุงเทพมหานคร
     
  18. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    48426708_2318454134840732_4103011682689744896_n.png?_nc_cat=104&_nc_pt=1&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.png

    (Jan 6) The Treasure : กล้วยไม้แห่งวังขุนพรหม - “กล้วยไม้” พันธุ์ไม้งามที่หลายคนรู้จัก แต่น้อยคนนักจะทราบว่ากล้วยไม้มีเรื่องราวและความหมายที่ผูกพันลึกซึ้งกับวังบางขุนพรหม ที่มีอายุมากกว่าร้อยปี โดยเริ่มต้นจากเป็นที่ประทับของสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอ เจ้าฟ้าบริพัตรสุขุมพันธุ์ กรมพระนครสวรรค์วรพินิต หรือ “ทูนกระหม่อมบริพัตร” และครั้งหนึ่งเคยถูกใช้เป็นอาคารสำนักงานใหญ่ของธนาคารแห่งประเทศไทย วังบางขุนพรหมยังมีความสำคัญทางประวัติศาสตร์ในด้านการสนับสนุนศิลปะของชาติหลากหลายแขนง

    อ่านต่อได้ที่ https://www.bot.or.th/broadcast/EBook/BOT6_61/mobile/index.html#p=53

    โดย พิมพ์วรีย์ กิตติสารกุล และ ปิยะนุช ปฐมศิริ
    ธนาคารแห่งประเทศไทย

    Source: BOT Website
     
  19. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students

    49686459_2331656910187121_4267517258068131840_n.png?_nc_cat=101&_nc_pt=1&_nc_ht=scontent.fbkk6-2.png

    (Jan 6) โพสต์ทูเดย์: รับมือดอกเบี้ยขาขึ้น : ในที่สุดธนาคารพาณิชย์ก็ได้ประกาศขึ้นดอกเบี้ย โดยธนาคารไทยพาณิชย์ และธนาคารกสิกรไทย นำร่องขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากประจำทุกประเภท ทั้งฝากระยะสั้นและเงินฝากระยะยาว 0.25% โดยยังไม่มีการแตะดอกเบี้ยเงินกู้ ซึ่งทั้งสองธนาคารให้เหตุผลว่ายังไม่ขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ เพราะไม่ต้องการให้กระทบกับลูกค้าของธนาคาร

    การขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากของธนาคารใหญ่มีผลต่อตลาดเงินมากกว่าธนาคารขนาดเล็กที่ปัจจุบันจ่ายดอกเบี้ยเงินฝากประจำสูงกว่าธนาคารขนาดใหญ่อยู่แล้ว เพราะมีส่วนแบ่งการตลาดในสัดส่วนที่สูงกว่า การขยับขึ้นลงของดอกเบี้ยแบงก์ใหญ่จึงมีความหมายที่สำคัญ และเมื่อมีธนาคารใหญ่แห่งหนึ่งหรือสองแห่งขึ้นดอกเบี้ย ก็จะมีธนาคารใหญ่แห่งอื่นขึ้นตามเพื่อรักษาเงินฝากไม่ให้ไหลออกไป

    แม้จะยังไม่มีการขึ้นดอกเบี้ยเงินกู้ในขณะนี้ หรือในเร็วๆ นี้ แต่การขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากเป็นสัญญาณว่าในอนาคตดอกเบี้ยเงินกู้จะมีการขยับขึ้นอย่างแน่นอน

    การขยับดอกเบี้ยมีทั้งคนได้ประโยชน์และคนเสียประโยชน์ ทางด้านคนได้ประโยชน์ก็คือผู้ฝากเงินที่จะได้รับผลตอบแทนจากการออมสูงขึ้น ในขณะที่คนที่เสียประโยชน์คือผู้ที่กู้ยืมเงินจากธนาคารที่จะเจอต้นทุนการชำระหนี้ที่สูงขึ้น ซึ่งทั้งสองฝ่ายล้วนเป็นลูกค้าของธนาคารทั้งสิ้น

    อย่างไรก็ตาม ไม่มีใครสามารถกดให้ดอกเบี้ยไม่ขึ้นได้ เพราะการที่ดอกเบี้ยปรับขึ้นนี้ ไม่ได้เป็นเพราะธนาคารอยากจะขึ้นดอกเบี้ย แต่เป็นเพราะเศรษฐกิจโลก และตลาดการเงินโลกที่มีการเปลี่ยนแปลง ทำให้เกิดเงินทุนเคลื่อนย้ายอย่างรวดเร็วและรุนแรง เพราะหลายประเทศได้ปรับขึ้นดอกเบี้ย ดังนั้นไทยซึ่งเป็นสมาชิกของโลกก็จะได้รับผลกระทบตามอยู่แล้ว ไม่สามารถจะฝืนกระแสของโลกได้

    ในด้านคนที่ได้ประโยชน์จากดอกเบี้ยขาขึ้นนั้นเป็นเรื่องที่ดี ส่วนคนที่เสียประโยชน์นั้นสิ่งเดียวที่จะบรรเทาความเดือดร้อนได้ก็คือ การเตรียมพร้อม ที่จะต้องรับมือดอกเบี้ยเงินกู้ที่กำลังจะปรับขึ้นในอนาคต โดยการวางแผนธุรกิจ การปรับโครงสร้างทางการเงิน การดูแลต้นทุนการเงินให้ดีเพื่อรองรับค่าใช้จ่ายเพิ่มขึ้น เพื่อที่จะสามารถผ่านปัญหานี้ไปได้

    สำหรับธุรกิจที่คิดว่าจะไปไม่ไหวเพราะเงินทองไม่คล่อง ค้าขายไม่ดี แล้วยังต้องเจอค่าใช้จ่ายเพิ่มจากการขึ้นดอกเบี้ยอีก ทางออกที่ดีที่สุด ก็คือการเดินเข้าไปคุยกับเจ้าหนี้ว่ามีความสามารถที่จะชำระหนี้ได้ เท่าไหร่ เจรจาขอยืดหนี้ ขอลดค่างวดที่ชำระต่อเดือน ขอปรับโครงสร้างการชำระหนี้ เพื่อหาทางออกร่วมกันให้ไม่เป็นหนี้เสีย ซึ่งไม่เป็นผลดี กับประวัติการชำระเงินของตัวเอง และไม่เป็นผลดีกับธนาคารที่จะเจอหนี้เสียเพิ่มขึ้น

    ทางด้านผลกระทบต่อภาพรวมของเศรษฐกิจ จนถึงขณะนี้ไม่ใช่เวลาที่ทางรัฐบาล หรือกระทรวงการคลังจะมาบ่นและตำหนิธนาคาร แห่งประเทศไทย (ธปท.) ว่าการขึ้นดอกเบี้ยอาจจะทำให้เศรษฐกิจที่กำลังขยายตัวได้ดีสะดุดลง แต่ควรจะต้องคิดมาตรการรับมือหากเศรษฐกิจเกิดการชะลอตัว อีกทั้งการที่ค่าเงินบาทจะแข็งค่าขึ้นจะส่งผลกระทบต่อการส่งออก จะทำอย่างไรได้บ้าง

    การขึ้นดอกเบี้ยของธนาคารพาณิชย์นั้น เท่าที่จับสัญญาณธนาคารเองก็ขึ้นอย่างระมัดระวัง หากต้องการให้ดอกเบี้ยขึ้นเยอะและเร็ว ธนาคารพาณิชย์เองคงจะเลือกขึ้นดอกเบี้ยเงินฝากออมทรัพย์ที่จะทำให้ดอกเบี้ยเงินกู้ขึ้นเร็ว

    การวางแนวทางรับมือเป็นสิ่งสำคัญ เพราะจะทำให้ผลกระทบที่จะได้รับจากดอกเบี้ยขาขึ้นลดความรุนแรงลง และสามารถที่จะรอดพ้นปัญหาไปได้

    Source: Posttoday
     
  20. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,706
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Bank of Thailand Scholarship Students
    F1%252F7%252F8%252F6%252F18686871-1-eng-GB%252FR20181228%2520KRX%2520closing%2520event_2048x1152.jpg

    (Jan 6) สงครามการค้า' ปี 62 เอื้อบริษัทย้ายฐานสู่อาเซียน: "ซัมซุง อิเลคโทรนิคส์" ยักษ์ใหญ่เกาหลีใต้ และบริษัทจำนวนหนึ่งที่ย้ายการผลิตไปยังเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแนวโน้มที่จะได้รับประโยชน์จากสงครามการค้าระหว่างจีนกับสหรัฐในปี 2562

    เว็บไซต์นิคเกอิ เอเชียน รีวิว เผยผลสำรวจล่าสุด พบว่าบรรดาผู้เล่นในตลาด บอกว่าความตึงเครียดทางการค้าที่ปะทุรุนแรงขึ้นในปี 2561 ส่อเค้าที่จะส่งผลกระทบ ต่อเนื่องในปีนี้ หลายรายระบุว่า บรรดา ผู้เล่นโทรคมนาคมที่ไม่ใช่สัญชาติจีน เป็นบริษัทที่ต้องจับตา

    ในขณะที่สหรัฐเพิ่มความระมัดระวังการผงาดของบริษัทจีนมากขึ้นและความเสี่ยงด้านความมั่นคงที่เกี่ยวข้อง บริษัทซัมซุงกลายเป็นผู้ได้รับประโยชน์จากความเคลื่อนไหวของรัฐบาลวอชิงตันและชาติอื่นๆ ที่สั่งห้ามผลิตภัณฑ์จากบริษัทเทเลคอมจีนเข้าประเทศ

    คิม ยอง-วู นักวิเคราะห์ของบริษัทเอสเค ซีเคียวริตีส์ ระบุว่า ในส่งเทคโนโลยีไร้สาย "5จี" ที่กำลังมาแรงนั้น การที่สหรัฐและประเทศจำนวนหนึ่งห้ามบริษัทหัวเว่ย เทคโนโลยีส์ ของจีนสร้างสถานีฐานในประเทศ จะเป็นประโยชน์กับซัมซุง

    ซัมซุงผลิตอุปกรณ์เทเลคอมให้กับ "เวอไรซอน คอมมิวนิเคชันส์" ผู้ให้บริการมือถือยักษ์ใหญ่สัญชาติอเมริกัน ซึ่งเปิดบริการ 5จีในปีที่แล้ว และคาดหวังที่จะได้รับคำสั่งซื้อจากนอกสหรัฐด้วยเช่นกัน

    "ยอดขายในธุรกิจเครือข่ายของ ซัมซุง ซึ่งส่วนใหญ่มาจากสถานีฐานเป็นหลัก มีแนวโน้มที่จะแตะ 4 ล้านล้านวอน หรือ 2 เท่า จากระดับในปี 2560" คิม กล่าว

    ในปี 2561 สหรัฐประกาศเก็บภาษีนำเข้าสินค้าจากจีนเพิ่มอีก 2.5 แสนล้าน ดอลลาร์ หรือประมาณครึ่งหนึ่งของการนำเข้า สินค้ารวมทั้งปีจากจีน นอกจากนั้น รัฐบาลวอชิงตันยังมีแนวโน้มที่จะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าหรือขยายขอบเขตประเภทสินค้าที่ถูกเก็บภาษีอีก

    สหรัฐอาจเลือกที่จะทำทั้ง 2 อย่าง เนื่องจากกำลังหาทางยกเครื่องพื้นฐานวิธีการ ค้าขายของจีน เช่น บังคับให้ส่งมอบเทคโนโลยีและละเมิดทรัพย์สินทางปัญญา

    ชาร์ลส์ เซียว ประธานบริษัทฟูบอน ซีเคียวริตีส์ อินเวสท์เมนท์ เซอร์วิสเซส ของไต้หวัน คาดการณ์ว่าผู้รับจ้างผลิตหลายรายในไต้หวันจะได้รับผลกระทบ

    "บรรดาผู้รับจ้างผลิตของไต้หวันผลิตผลิตภัณฑ์หลายอย่าง เช่น คอมพิวเตอร์ ส่วนบุคคล (พีซี) และสมาร์ทโฟนในจีน และส่งออกผลิตภัณฑ์เหล่านี้ไปสหรัฐ พวกเขาจะไม่มีทางหลีกเลี่ยงความเสียหาย นี้ได้"

    ฮอนไห่ พรีซิชัน อินดัสทรี หรือ "ฟอกซ์คอนน์ เทคโนโลยี", คอมพาล อิเล็กทรอนิกส์ และควอนตา คอมพิวเตอร์ ต่างอยู่ในกลุ่มเสี่ยงนี้

    คาร์เมน ลี หัวหน้าฝ่ายวิจัยของบริษัทโอซีบีซี อินเวสท์เมนท์ รีเสิร์ชของสิงคโปร์ กล่าวว่า บรรดาบริษัทจีนในอุตสาหกรรมต่างๆ ที่พึ่งพาการส่งออกไปสหรัฐอย่างหนัก เช่น เสื้อผ้าและอิเล็กทรอนิกส์ อาจได้รับความเสียหายครั้งใหญ่

    พอล คิตนีย์ หัวหน้านักยุทธศาสตร์หุ้นฝ่ายการวิจัยเอเชียแปซิฟิกของบริษัทไดวะ แคปิตัล มาร์เก็ตส์ในฮ่องกง ระบุว่า "แซดทีอี" ผู้ผลิตอุปกรณ์เทเลคอม และ "ทีซีแอล" ผู้ผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้า มีแนวโน้มที่จะเผชิญกับความยากลำบากในปีนี้

    "ขณะเดียวกัน หลี่แอนด์ฟุง บริษัทการค้า ในฮ่องกงที่ทำธุรกิจด้านเสื้อผ้าและของใช้ภายในบ้าน ก็อาจจะเป็นผู้ได้รับความเสียหาย อีกรายในอนาคต" คิตนีย์ กล่าว

    ขณะที่ เซียวจากฟูบอน ซีเคียวริตีส์ คาดว่าบรรดาผู้ผลิตเสื้อผ้าที่ย้ายฐานการผลิตไปเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ มีแนวโน้ม ที่จะรอดพ้นจากความเสียหายหนัก

    หนึ่งในนั้นคือ "เอคลาต์ เท็กซ์ไทล์" (Eclat Textile) ผู้ผลิตเสื้อผ้าของ ไต้หวัน ซึ่งถอนการผลิตจากโรงงาน ในจีนเมื่อสิ้นปี 2559 เนื่องจากมีการขึ้นค่าแรง และย้ายฐานไปยังเวียดนาม และประเทศอื่นๆ ในเอเชียตะวันออก เฉียงใต้

    ซัพพลายเออร์รายนี้ซึ่งผลิตสินค้าให้กับแบรนด์ "ไนกี้" "อาดิดาส" และ "อันเดอร์ อาร์เมอร์" ต้องวุ่นกับการตอบคำถามจากลูกค้าที่ต้องการเลี่ยงความเสี่ยงจากสงครามการค้า

    เทรเวอร์ คาลซิก หัวหน้าฝ่ายการ วิจัยหุ้นอาเซียน ของบริษัทโนมุระ ซีเคียวริตีส์ กล่าวว่า หากการเก็บภาษีนำเข้าตอบโต้กันระหว่างสหรัฐกับจีนส่งผลกระทบต่อการส่งออกระหว่างทั้ง 2 ประเทศเสียเอง จะทำให้การส่งออก จากประเทศและภูมิภาคอื่นๆ ไปยังสหรัฐและจีนเพิ่มขึ้น และบรรดาบริษัท ในอาเซียนอาจกลายเป็นผู้ชนะไปโดยปริยาย

    "หนึ่งในนั้นรวมถึง ปิโตรนาส เคมิคอล กรุ๊ป ผู้ผลิตเคมีภัณฑ์ของมาเลเซีย ผู้ได้รับประโยชน์รายอื่นๆ คาดว่าจะเป็นบริษัทเอสซีจี ของไทย ที่มีผลิตภัณฑ์หลากหลายทั้งด้านก่อสร้างและอุตสาหกรรม"

    ขณะที่คิตนีย์จากบริษัทไดวะ คาดว่า บริษัทไชน่า เรลเวย์ คอนสตรัคชัน ของจีนจะเป็น "ผู้ชนะ" ในปี 2562 เนื่องจากรัฐบาลปักกิ่ง มีแนวโน้มที่จะกระตุ้นการลงทุนด้านทางรถไฟ ถนน และโครงการโครงสร้างพื้นฐานอื่นๆ ด้วย การไฟเขียวการออกพันธบัตรรัฐบาลท้องถิ่น

    นอกจากนั้น สงครามการค้าระหว่างจีน กับสหรัฐจะมีผลในวงกว้าง แม้กระทั่งส่งผลกระทบต่อภาคธุรกิจที่ไม่มีความสัมพันธ์ทางการค้าโดยตรงกับ 2 ประเทศยักษ์ใหญ่นี้

    มานิช กุนวานี หัวหน้าเจ้าหน้าที่ฝ่ายการลงทุนของบริษัทรีไลแอนซ์ นิปปอน ไลฟ์ แอสเซต แมเนจเมนท์ ระบุว่า ทาทา คอนซัลแทนซี เซอรวิสเซส บริษัทผู้ให้บริการด้านไอทีชั้นนำของอินเดีย มียอดขาย กว่าครึ่งหนึ่งในอเมริกาเหนือ แต่หากบริษัท สหรัฐลดการลงทุนด้านไอทีลง จะส่งผลตรงกันข้ามต่อบริษัทนี้

    บรรดานักวิเคราะห์ชี้ว่าบริษัทอื่นๆ ที่ต้องจับตาคือบริษัทในอินเดียที่อาศัย การเติบโตทางเศรษฐกิจที่อยู่ในระดับสูง ของประเทศ บริษัทในหลายภาคอุตสาหกรรม เช่น พลังงานไฟฟ้า ซึ่งพยายามอย่างหนักเพื่อตอบสนองความต้องการภายในประเทศ กำลังได้รับความสนใจ

    Source: กรุงเทพธุรกิจ

    - Trade war stands to help Samsung and hurt Foxconn in 2019
    https://asia.nikkei.com/Business/Ma...xI69iVXaCZgJAfX4QeAWnWzxnCU6fSXOsf9-pHk1GkJ5Q
     

แชร์หน้านี้

Loading...