ติดตามสถานะการณ์

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย สุกิจSukit, 8 มิถุนายน 2013.

  1. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,696
    ค่าพลัง:
    +97,150
    เจ้าหน้าที่ฝ่ายทหารระดับสูงขององค์การสนธิสัญญาแอตแลนติกเหนือ (นาโต) ออกมาเตือนวานนี้ (25 พ.ย.) ให้ภาคธุรกิจเตรียมความพร้อมรับมือ “#ภาวะสงคราม” โดยปรับเปลี่ยนสายการผลิตและกระจายสินค้าให้เหมาะสมกับสถานการณ์ เพื่อป้องกันความเสี่ยงถูกแบล็กเมลโดยบางประเทศ เช่น รัสเซีย และจีน
    .
    พล.ร.อ.ร็อบ เบาเออร์ ประธานคณะกรรมาธิการฝ่ายทหารของนาโตชาวเนเธอร์แลนด์ แถลงในงานอีเวนต์ของสถาบันคลังสมอง European Policy Centre ที่กรุงบรัสเซล์ว่า “หากเราสามารถมั่นใจได้ว่า บริการและสินค้าที่จำเป็นทุกอย่างจะถูกส่งมอบได้ตามปกติ นั่นก็คือส่วนสำคัญในมาตรการป้องปรามของเรา”
    .
    เบาเออร์ บอกด้วยว่า การป้องปรามไม่ได้หมายถึงศักยภาพทางทหารเท่านั้น เนื่องจากเครื่องไม้เครื่องมือทุกอย่างที่มีสามารถนำมาใช้ทำสงครามได้ทั้งหมด
    .
    “เราได้เห็นกันแล้วว่า การก่อวินาศกรรมเกิดบ่อยขึ้น และยุโรปก็เริ่มประสบปัญหาด้านพลังงาน” เขากล่าว “เราคิดว่าเรามีสัญญาอยู่กับก๊าซพรอม (Grzprom) แต่ที่จริงแล้วคนที่ทำสัญญากับเราคือ (วลาดิมีร์) ปูติน โครงสร้างพื้นฐานและสินค้าต่างๆ จากจีนก็เช่นกัน คนที่เราทำสัญญาด้วยจริงๆ ก็คือ ประธานาธิบดี สี จิ้นผิง”
    .
    เบาเออร์ ยังแสดงความกังวลเรื่องที่ยุโรปต้องพึ่งพาสินค้าต่างๆ จากจีน โดยเฉพาะแร่ธาตุหายาก (แรร์เอิร์ธ) ซึ่งถูกผลิตและแปรรูปในแดนมังกรถึง 60% และ 90% ตามลำดับ นอกจากนี้ ก็ยังมีองค์ประกอบทางเคมีต่างๆ ที่ใช้ผลิตยากล่อมประสาท ยาปฏิชีวนะ ยาแก้อักเสบ และยาลดความดันโลหิตซึ่งก็มาจากจีนเช่นกัน
    .
    “เรากำลังไร้เดียงสาถ้าคิดว่าพรรคคอมมิวนิสต์จีนจะไม่มีทางใช้อำนาจเหล่านั้น ผู้นำภาคธุรกิจในยุโรปและอเมริกาจำเป็นต้องตระหนักว่า การตัดสินใจเชิงพาณิชย์มีผลในทางยุทธศาสตร์ต่อความมั่นคงของประเทศของพวกเขาด้วย” เบาเออร์ กล่าว
    .
    “ภาคธุรกิจต้องเตรียมพร้อมรับมือภาวะสงคราม และปรับเปลี่ยนสายการผลิตและกระจายสินค้าให้เหมาะสม เพราะในขณะที่กองทัพมีชัยชนะในการรบ แต่เศรษฐกิจต่างหากที่จะทำให้ชนะสงคราม”
    .
    ที่มา : รอยเตอร์

    https://www.facebook.com/share/p/ZSzPyZjY2sFJw1eN/
     
  2. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,696
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 26, 2024 พลิกกลับอ่อน! เงินบาทเปิดตลาดขยับอ่อนค่า ยังเผชิญแรงขายทองทำกำไร ราคาทองคำปรับตัวลงจากในตลาดเริ่มคลายกังวลปัญหาความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
    .
    นายพูน พานิชพิบูลย์ นักกลยุทธ์ตลาดเงินตลาดทุน Krungthai GLOBAL MARKETS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยว่าค่าเงินบาทเปิดเช้านี้ที่ระดับ 34.74 บาทต่อดอลลาร์ “อ่อนค่าลง“ จากระดับปิดวันก่อนหน้าที่ระดับ 34.61 บาทต่อดอลลาร์ มองกรอบเงินบาทวันนี้ คาดว่าจะอยู่ที่ระดับ 34.60- 34.85 บาทต่อดอลลาร์ นับตั้งแต่ช่วงคืนที่ผ่านมา เงินบาท (USDTHB) เคลื่อนไหวอ่อนค่าลงเล็กน้อยในลักษณะ Sideways Up (กรอบการเคลื่อนไหว 34.47-34.75 บาทต่อดอลลาร์) แม้ว่าโดยรวมเงินดอลลาร์จะทยอยอ่อนค่าลง ตามภาวะเปิดรับความเสี่ยงของตลาดการเงินสหรัฐฯ และการปรับตัวลงของบอนด์ยีลด์ 10 ปี สหรัฐฯ ที่ตอบรับข่าวโดนัลด์ ทรัมป์ ได้เลือกสก็อต เบสเซนต์ มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีฯ คลังคนใหม่ในรัฐบาล Trump 2.0
    .
    เงินบาทยังคงถูกกดดันอย่างต่อเนื่องจากโฟลว์ธุรกรรมทองคำ หลังราคาทองคำปรับตัวลดลงหนักกว่า -2.4% ในช่วงคืนที่ผ่านมา หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลปัญหาความขัดแย้งใตะวันออกกลาง จากข่าวอิสราเอลใกล้บรรลุข้อตกลงหยุดยิงกับกลุ่ม Hezbollah
    .
    ขณะเดียวกัน ผู้เล่นในตลาดก็มองว่าหากสก็อต เบสเซนต์ มาดำรงตำแหน่งรัฐมนตรีฯ คลังคนใหม่ได้จริง ก็จะช่วยลดโอกาสที่รัฐบาล Trump 2.0 จะดำเนินนโยบายกีดกันทางการค้าที่รุนแรง รวมถึง นโยบายกระตุ้นเศรษฐกิจขนานใหญ่ ซึ่งจะทำให้รัฐบาลสหรัฐฯ ขาดดุลงบประมาณมากขึ้น นอกจากนี้ เงินบาทก็อาจถูกกดดันเพิ่มเติมจากโฟลว์ธุรกรรมน้ำมันดิบ หลังราคาน้ำมันดิบก็ปรับตัวลดลงต่อเนื่องถึง -3% ในช่วงคืนที่ผ่านมา หลังผู้เล่นในตลาดเริ่มคลายกังวลสถานการณ์ความขัดแย้งในตะวันออกกลาง
    .
    สำหรับแนวโน้มค่าเงินบาท มองว่าโมเมนตัมการอ่อนค่าของเงินบาทนั้นเริ่มกลับมามีกำลังมากขึ้น หลังราคาทองคำและราคาน้ำมันดิบปรับตัวลดลงหนัก ส่งผลให้เงินบาทเผชิญแรงกดดันจากโฟลว์ธุรกรรมสินค้าโภคภัณฑ์ดังกล่าว แม้ว่าโดยรวม เงินดอลลาร์จะเคลื่อนไหวในกรอบ Sideways หรือมีจังหวะอ่อนค่าลงบ้างก็ตาม ทำให้เงินบาทมีโอกาสที่จะอ่อนค่าลงทดสอบโซนแนวต้าน 34.70-34.80 บาทต่อดอลลาร์ได้ ซึ่งหากเงินบาทสามารถอ่อนค่าทะลุโซนดังกล่าวได้ ก็อาจอ่อนค่าต่อทดสอบแนวต้านสำคัญ 35.00 บาทต่อดอลลาร์ ได้เช่นกัน โดยการอ่อนค่าของเงินบาทอาจมีลักษณะค่อยเป็นค่อยไปได้ หลังผู้เล่นในตลาดต่างก็รอทยอยขายเงินดอลลาร์และขายทำกำไรสถานะ Short THB (มองเงินบาทอ่อนค่า) แถวโซนแนวต้านดังกล่าวเช่นกัน
    .
    อย่างไรก็ตาม ในช่วงนี้เงินบาทอ่อนไหวต่อทิศทางราคาทองคำพอสมควร ทำให้ เงินบาทก็อาจอ่อนค่าได้เร็วแรงกว่าที่ประเมินไว้ หากราคาทองคำปรับตัวลงหนัก ซึ่งต้องจับตาว่าราคาทองคำจะปรับตัวลงต่อหลุดโซนแนวรับราคาทองคำ (XAUUSD) แถว 2,600 ดอลลาร์ต่อออนซ์ (แนวรับถัดไป แถว 2,540-2,550 ดอลลาร์ต่อออนซ์)
    .
    อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3B0mwVa
    .
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    X: https://twitter.com/BTimes_ch3
    Threads: https://www.threads.net/@btimes.ch3
    Website: https://btimes.biz
    Podcast : https://btimes.podbean.com/
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3
    .
    #เงินบาท #ลงทุน #การเงิน #หุ้น #ทองคำ #น้ำมัน #ตลาดหุ้น #ราคาทอง #เศรษฐกิจ #เล่นหุ้น #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/UDdmAvLi2w5bfqtn/
     
  3. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,696
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 26, 2024 ทรัมเอฟเฟค ! SCB EIC ประเมินนโยบาย Trump 2.0 ฉุดเศรษฐกิจไทยปี 2568 กดดันการค้า การผลิต และการลงทุน เศรษฐกิจโลกคาดขยายตัวต่ำลงเหลือ 2.5% จากเดิม 2.8%
    .
    ศูนย์วิจัยเศรษฐกิจและธุรกิจ SCB EIC เปิดเผยบทวิเคราะห์ เศรษฐกิจโลกจะเริ่มเผชิญความท้าทายจากผลของนโยบาย Trump 2.0 ในปีหน้าว่าอัตราการเติบโตของเศรษฐกิจโลกในปีนี้ยังคงอยู่ที่ 2.7% ตามที่ประเมินไว้เดิม โดยจะเติบโตชะลอลงแบบ Soft landing ในช่วงที่เหลือของปี แต่เครื่องชี้เร็วเริ่มสะท้อนความไม่แน่นอนของนโยบายเศรษฐกิจสหรัฐฯ ที่เร่งตัวขึ้นมากหลัง Trump ชนะการเลือกตั้ง SCB EIC ประเมินว่า Trump จะมีอำนาจฝ่ายบริหารที่คล่องตัวขึ้น เนื่องจาก Republican sweep ทั้งสภาบนและล่าง ท่ามกลางระบบตรวจสอบและถ่วงดุลอำนาจสหรัฐฯ ที่อ่อนแอลงมาก อย่างไรก็ดี การกลับมาครั้งนี้ Trump จะต้องเผชิญบริบทโลกที่มีสภาพเศรษฐกิจและการเมืองระหว่างประเทศท้าทายขึ้นกว่าสมัยแรก เช่น เงินเฟ้อและดอกเบี้ยสูงกว่า รวมถึงเกิดสงครามยูเครนและอิสราเอล ซึ่งอาจกระทบประสิทธิผลการดำเนินนโยบายชุดใหม่ของสหรัฐฯ ได้ SCB EIC จึงประเมินว่า Trump จะดำเนินนโยบายชุดใหม่อย่างมีกลยุทธ์ โดยเร่งดำเนินนโยบายในประเทศตามที่หาเสียงไว้ แต่อาจไม่ได้ทำนโยบายกีดกันการค้าแบบสุดโต่ง
    .
    SCB EIC ประเมินว่าเศรษฐกิจโลกในปี 2568 จะขยายตัวต่ำลงเหลือ 2.5% (เดิม 2.8%) จากผลกระทบนโยบาย Trump 2.0 เป็นหลัก โดยมองสมมติฐานนโยบาย Trump 2.0 ในกรณีฐานไว้ดังนี้ คือ 1) สหรัฐฯ จะขึ้นอัตราภาษีนำเข้าสินค้าจีนเฉลี่ย 20pp (percentage points) และสินค้าประเทศอื่นเฉลี่ย 10pp ขณะที่ประเทศอื่นจะตอบโต้สหรัฐฯ กลับในอัตราภาษีเท่ากัน ด้านยุโรปกับจีนจะขึ้นภาษีนำเข้าระหว่างกันเฉลี่ย 10pp ทั้งนี้การขึ้นอัตราภาษีนำเข้าจะแตกต่างกันระหว่างกลุ่มประเทศและประเภทสินค้า 2) สหรัฐฯ จะลดภาษีเงินได้นิติบุคคล ผ่านการต่ออายุ Tax Cut and Job Act อีก 10 ปี (ถึงปี 2577) 3) สหรัฐฯ จะออกนโยบายควบคุมผู้อพยพ ซึ่งจะทำให้ยุโรปหันมาใช้นโยบายนี้ด้วย 4) ชุดนโยบายสำคัญ Trump 2.0 จะเริ่มกระทบเศรษฐกิจโลกในช่วงครึ่งหลังของปี 2568 ถึงระยะปานกลาง 5) ประเทศต่างๆ จะออกมาตรการกระตุ้นเศรษฐกิจเพื่อบรรเทาผลกระทบจาก Trump 2.0
    .
    SCB EIC ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปีนี้หลังตัวเลขไตรมาส 3 ออกมาดีกว่าที่เคยประเมินไว้ แต่นโยบาย Trump 2.0 จะกดดันการขยายตัวเศรษฐกิจไทยในปีหน้า SCB EIC ปรับเพิ่มประมาณการเศรษฐกิจไทยปี 2567 เป็น 2.7% (เดิม 2.5%) จากผลมาตรการแจกเงิน 10,000 บาทช่วยเหลือกลุ่มเปราะบางตั้งแต่ปลายไตรมาส 3 รวมถึงการใช้จ่ายภาครัฐที่ขยายตัวสูงตามการเร่งเบิกจ่ายงบประมาณ และการส่งออกสินค้าที่ฟื้นตัวดีในช่วงที่ผ่านมา ส่วนหนึ่งจากอานิสงส์วัฏจักรสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ขาขึ้น รวมถึงนักท่องเที่ยวต่างชาติที่จะมีแนวโน้มเร่งตัวขึ้นอย่างเห็นได้ชัดในช่วง 2 เดือนสุดท้ายของปี โดยเฉพาะนักท่องเที่ยวรัสเซียและอินเดีย จำนวนนักท่องเที่ยวต่างชาติในปีนี้จึงมีโอกาสสูงกว่า 36 ล้านคนที่เคยประเมินไว้
    อย่างไรก็ดี SCB EIC ปรับมุมมองเศรษฐกิจไทยปี 2568 ลดลงเหลือ 2.4% (เดิม 2.6%) จากผลกระทบนโยบาย Trump 2.0 ซึ่งแนวนโยบายจะเร่งให้เกิดปัญหาภูมิรัฐศาสตร์และทำให้เกิดการกีดกันการค้าที่รุนแรงขึ้น ส่งผลกระทบผ่านการค้า การผลิต และการลงทุนเป็นหลัก โดยนโยบายกีดกันการค้าของ Trump 2.0 จะทำให้ไทยมีแนวโน้มนำเข้าสินค้าจีนและขาดดุลการค้ากับจีนมากขึ้น นอกจากนี้ ยังต้องจับตาประเด็น Unfair trade กับสหรัฐฯ เพราะไทยมีแนวโน้มเกินดุลการค้ากับสหรัฐฯ มากขึ้นต่อเนื่อง และอาจเข้าข่ายเกณฑ์ด้านอื่นอีกด้วย สำหรับการลงทุนภาคเอกชนไทยในระยะข้างหน้าจะมีความเสี่ยงด้านต่ำเพิ่มขึ้นจากความไม่แน่นอนของนโยบายการค้าของ Trump 2.0 ซึ่งจะทำให้ธุรกิจที่ต้องการย้ายฐานการผลิตจากจีนชะลอแผนการลงทุนเพื่อรอความชัดเจนของนโยบาย Trump ที่อาจขยายนโยบายกีดกันการค้าไปกลุ่มประเทศอื่นๆ ด้วย และอัตราภาษีนำเข้าที่จะเก็บเพิ่มยังมีความไม่แน่นอนสูง ทั้งนี้เศรษฐกิจไทยจะมีนโยบายการคลังที่คาดว่าจะทยอยออกมากระตุ้นเศรษฐกิจและช่วยบรรเทาผลกระทบจาก Trump 2.0 ได้บางส่วนในปีหน้า
    .
    SCB EIC ประเมินว่า กนง. จะคงอัตราดอกเบี้ยนโยบายในการประชุมรอบ ธ.ค. นี้ ตามการสื่อสารของ กนง. ที่เน้นรักษา Policy space เพื่อบริหารความเสี่ยงของระบบเศรษฐกิจการเงินไทยในระยะข้างหน้า อย่างไรก็ดี SCB EIC ประเมินว่า กนง. จะปรับลดดอกเบี้ยลง 0.25% อีกครั้งในการประชุมรอบเดือน ก.พ. 2568 เพื่อผ่อนคลายภาวะการเงินเพิ่มเติม เนื่องจากเศรษฐกิจโดยรวมและสินเชื่อยังคงชะลอตัวและเริ่มสร้างความกังวลมากขึ้น รวมทั้งเศรษฐกิจไทยจะมีความเสี่ยงด้านลบเพิ่มขึ้นจากนโยบาย Trump 2.0 ขณะที่ภาวะการเงินโลกในปีหน้าจะผ่อนคลายลงจากปีนี้ได้บ้าง ตามทิศทางการดำเนินนโยบายการเงินของธนาคารกลางหลัก ซึ่งจะเอื้อต่อการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของไทย
    .
    เงินบาทมีแนวโน้มอ่อนค่าเร็วจากดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐที่แข็งค่าขึ้นหลังการเลือกตั้งสหรัฐฯ โดยอาจอ่อนค่าไปอยู่ที่ราว 34.80-35.30 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ในช่วงที่เหลือของปีนี้ หลังตลาดประเมินว่า Trump จะขึ้นภาษีนำเข้า และประเทศอื่นๆ อาจตอบโต้กลับ ซึ่งจะทำให้ดัชนีเงินดอลลาร์สหรัฐแข็งค่าขึ้นอีกราว 3-4% และกดดันให้เงินบาทอ่อนค่าต่อ สำหรับปี 2568 เงินบาทอาจกลับมาแข็งค่าขึ้นจากภาวะ Risk-on ที่จะทำให้เงินทุนเคลื่อนย้ายไหลกลับเข้าตลาดเอเชียและไทย รวมถึงทิศทางการปรับลดอัตราดอกเบี้ยนโยบายของธนาคารกลางสหรัฐฯ โดยมองกรอบเงินบาทอยู่ที่ราว 33-34 บาทต่อดอลลาร์สหรัฐ ณ สิ้นปี 2568
    .
    อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3V9D4AC
    .
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    X: https://twitter.com/BTimes_ch3
    Threads: https://www.threads.net/@btimes.ch3
    Website: https://btimes.biz
    Podcast : https://btimes.podbean.com/
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3
    .
    #ดอลลาร์ #SCBEIC #ไทยพาณิชย์ #ทรัมเอฟเฟค #เศรษฐกิจไทย #เศรษฐกิจโลก #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/xBmaRSFTcvS6vdRh/
     
  4. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,696
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 26, 2024 ตลาดซึม! กรุงไทยประเมินยอดขายรถยนต์ไทยซึมยาว ปี 67-68 ลดลงเกือบ 25% เหตุหนี้ครัวเรือนพุ่ง ฉุดเศรษฐกิจชะลอตัว กดรายได้ดีลเลอร์-เช่าซื้อ
    .
    Krungthai COMPASS ธนาคารกรุงไทย เปิดเผยมีมุมมองต่อยอดขายรถยนต์ไทยในปี 2567-2568 พบว่า อาจอยู่ในระดับต่ำที่ปีละ 6.06.1 แสนคัน ลดลงจากค่าเฉลี่ยในอดีต (ปี 2564-66) เกือบ 25% โดยมีแรงกดดันหลักจาก 1.กำลังซื้อของผู้บริโภคที่แผ่วลง บวกกับปัญหาขาดสภาพคล่องของบางกลุ่ม และ 2.ภาวะหนี้ครัวเรือนที่อยู่ในระดับสูง ปัญหาหนี้เสีย และคุณภาพของผู้กู้ยอดขายที่หดตัวรุนแรง จะส่งผลกระทบต่อธุรกิจอื่น ๆ ที่อยู่ใน Supply Chain ของอุตสาหกรรมยานยนต์ ทั้งในแง่ของ 1.รายได้และอัตรากำไรของดีลเลอร์รถยนต์ 2.ยอดสินเชื่อเช่าซื้อรถยนต์ใหม่ และอาจกระทบต่อเนื่องมายังด้านรายได้จากดอกเบี้ยรับของผู้ประกอบการเช่าซื้อรถยนต์ด้วยเช่นกัน และยังมีผลต่อการฟื้นตัวและ 3.ยอดผลิตรถยนต์ ซึ่งเบื้องต้นเราคาดว่าจะอยู่ที่ 1.62-1.66 ล้านคันในปี 2567-2568 ต่ำกว่าค่าเฉลี่ย 3 ปีย้อนหลังถึง 8-10%
    .
    ขณะที่ในระยะถัดไปยังต้องจับตาตลาดในประเทศที่มีแนวโน้มซึมยาวและการแข่งขันที่ทวีความรุนแรงมากขึ้น รวมถึงพฤติกรรมของผู้บริโภคไทยที่เปลี่ยนไปอย่างชัดเจน ทั้งความนิยมรถยนต์ไฮบริดที่เพิ่มขึ้น และปัจจัยการตัดสินใจซื้อรถยนต์ที่มุ่งเน้นด้านคุณสมบัติ สมรรถนะ และราคา มากกว่าคุณภาพ ภาพลักษณ์ หรือแบรนด์
    .
    อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/3ZdTZnc
    .
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    X: https://twitter.com/BTimes_ch3
    Threads: https://www.threads.net/@btimes.ch3
    Website: https://btimes.biz
    Podcast : https://btimes.podbean.com/
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3
    .
    #ตลาดรถยนต์ #กรุงไทย #ยอดขายรถยนต์ไทย #เศรษฐกิจ #หนี้ครัวเรือน #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/JaNpq5XaBDeDgGJc/
     
  5. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,696
    ค่าพลัง:
    +97,150
    Nov 26, 2024 เคาะแล้ว! กพช. เคาะอัตราเงินนำส่งเข้ากองทุนอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมัน-LPG เริ่ม 1 ธ.ค. 67 หลังจะครบกำหนด 30 พ.ย.นี้
    .
    นายพีระพันธุ์ สาลีรัฐวิภาค รองนายกรัฐมนตรี และรัฐมนตรีว่าการกระทรวงพลังงาน เปิดเผยว่า ที่ประชุมคณะกรรมการนโยบายพลังงานแห่งชาติ (กพช.) ซึ่งมี น.ส.แพทองธาร ชินวัตร นายกรัฐมนตรี เป็นประธาน มีมติเห็นชอบอัตราการส่งเงินเข้ากองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน สำหรับน้ำมันเชื้อเพลิง ในอัตรา 0.0500 บาท/ลิตร และก๊าซปิโตรเลียมเหลวที่ใช้เป็นก๊าซหุงต้ม หรือก๊าซไฮโดรคาร์บอนเหลว ในอัตรา 0.0000 บาท/กิโลกรัม โดยเริ่มใช้ 1 ธ.ค.67 เป็นต้นไป เนื่องจากประกาศฉบับเดิมจะครบกำหนดในวันที่ 30 พ.ย.นี้
    .
    ทั้งนี้ ที่ประชุมฯ ได้เห็นชอบข้อเสนอที่ให้กระทรวงพลังงาน เสนอคณะรัฐมนตรี (ครม.) เพื่อขอทบทวนมติ ครม. เมื่อวันที่ 18 ธ.ค.44 ในประเด็นเรื่องการปรับองค์กรในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม โดยให้กระทรวงการคลังเป็นหน่วยงานหลัก รับผิดชอบดูแลงานด้านการกำหนดนโยบาย และมาตรการในการป้องกัน และปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมและให้หน่วยงานที่มีความประสงค์ขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียม ดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณโดยตรง ตั้งแต่ปีงบประมาณ พ.ศ. 2569 เป็นต้นไป จากเดิม ที่ให้กระทรวงการคลัง ต้องรับไปดำเนินการจัดทำคำขอรับการจัดสรรงบประมาณแผ่นดิน เพื่อเป็นค่าใช้จ่ายในการป้องกันและปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับปิโตรเลียมให้แก่หน่วยงานต่าง ๆ ที่เกี่ยวข้อง
    .
    นายพีระพันธุ์ กล่าวด้วยว่า ที่ประชุม กพช. ยังให้ความเห็นชอบ ร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 3 ฉบับ (3 ผลิตภัณฑ์) ได้แก่ เครื่องปรับอากาศ เครื่องอัดอากาศแบบเกลียว และกระจก และมอบหมายให้กรมพัฒนาพลังงานทดแทนและอนุรักษ์พลังงาน นำร่างกฎกระทรวงกำหนดเครื่องจักร อุปกรณ์ประสิทธิภาพสูง และวัสดุเพื่อการอนุรักษ์พลังงาน จำนวน 3 ฉบับ (3 ผลิตภัณฑ์) เสนอครม.ให้ความเห็นชอบ และส่งให้สำนักงานคณะกรรมการกฤษฎีกาตรวจร่างต่อไป
    .
    อ่านเพิ่มเติม คลิก https://bit.ly/4fHSnZT
    .
    Facebook: https://web.facebook.com/btimesch3
    YouTube: https://www.youtube.com/@BTimes_ch3
    X: https://twitter.com/BTimes_ch3
    Threads: https://www.threads.net/@btimes.ch3
    Website: https://btimes.biz
    Podcast : https://btimes.podbean.com/
    TikTok : https://www.tiktok.com/@btimes_ch3
    .
    #กพช #กองทุนเพื่อส่งเสริมการอนุรักษ์พลังงาน #พลังงาน #น้ำมัน #LPG #BTimes

    https://www.facebook.com/share/p/Y4y4U3XVmRXbGAXH/
     
  6. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,696
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อสังหาฯปี 67 หดตัวหนัก บ้านใหม่เหลือค้างสูงรอบ 8 ปี หวังมาตรการใหม่ช่วยพยุง
    .
    KKP เผยอสังหาฯปี67 หดตัวหนัก บ้านใหม่เสี่ยงเหลือค้างสูงสุดในรอบ 8 ปีกำลังซื้อหด ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยปี 2567 สะดุดหวังมาตรการใหม่ช่วยพยุง
    .
    สายงานสินเชื่อธุรกิจ ธนาคารเกียรตินาคินภัทร เผยว่าในปี 2567 ตลาดอสังหาริมทรัพย์ในประเทศไทย โดยเฉพาะกรุงเทพฯ และปริมณฑล เผชิญกับความท้าทายอย่างต่อเนื่องจากภาวะเศรษฐกิจที่ชะลอตัว ปัจจัยสำคัญที่ส่งผลต่อการชะลอตัวนี้ได้แก่ปัญหาหนี้ครัวเรือนที่สูงถึง 90% ของ GDP การปฏิเสธสินเชื่อที่อยู่อาศัยยังคงอยู่ในระดับสูง และการสะสมของสินค้าคงค้าง (inventory) ที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องทำให้ผู้ประกอบการเลือกที่จะชะลอการเปิดตัวโครงการใหม่รวมถึงมุ่งเน้นไปที่การพัฒนาโครงการระดับราคาสูง
    .
    ซึ่งอาจนำไปสู่การอิ่มตัวในตลาดสินค้าระดับนี้ในอนาคต คาดว่าในไตรมาสที่ 2 ปี 2568 ตลาดอสังหาริมทรัพย์มีโอกาสที่จะปรับตัวดีขึ้น จากปัจจัยสนับสนุนที่คาดว่าจะมีมากขึ้น เช่น การปรับลดอัตราดอกเบี้ย การผ่อนคลายเกณฑ์การปล่อยสินเชื่อจากสถาบันการเงิน มาตรการกระตุ้นตลาดอสังหาริมทรัพย์ที่อาจจะมีความเข้มข้นมากขึ้นจะเป็นอีกหนึ่งปัจจัยสำคัญที่ช่วยส่งเสริมให้ตลาดมีการฟื้นตัว รวมถึงการลงทุนของภาครัฐและการดำเนินนโยบายเศรษฐกิจที่เป็นรูปธรรมจากรัฐบาลใหม่ ที่จะช่วยสร้างความมั่นใจให้กับนักลงทุนในตลาดอสังหาริมทรัพย์
    .
    จากการคาดการณ์ ยอดโอนกรรมสิทธิ์ที่อยู่อาศัยทั่วประเทศจะลดลง 15% หรือประมาณ 320,000 หน่วย ซึ่งเป็นยอดที่ต่ำที่สุดในรอบ 8 ปี โดยกรุงเทพฯ และปริมณฑลจะลดลง 8% และในภาคตะวันออกลดลงถึง 11% สาเหตุหลักมาจากการปฏิเสธสินเชื่อของธนาคารที่ยังคงเข้มงวด ประกอบกับภาระหนี้ครัวเรือนที่เพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง และภาวะเศรษฐกิจที่ยังไม่ฟื้นตัวเต็มที่
    .
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/property/1155201?anm=
    .
    #กรุงเทพธุรกิจ #InsightforOpportunities #กรุงเทพธุรกิจBusiness #กรุงเทพธุรกิจRealestate

    https://www.facebook.com/share/p/RKte7bcJaTKxJFRT/
     
  7. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,696
    ค่าพลัง:
    +97,150
    อุตฯ ยานยนต์ไทย ‘สาหัส’ จับตาผู้ผลิตชิ้นส่วนปิดโรงงาน จ่อลดวันทำงานเหลือ 2 วัน/สัปดาห์
    .
    ส.อ.ท.รับอุตสาหกรรมยานยนต์สาหัส หั่นเป้าผลิต 4 แสนคัน หลังยอดขายในประเทศทรุด แบงก์เมินปล่อยกู้ยอดขายในประเทศต่ำสุดรอบ 54 เดือน ส่งออกร่วงทุกตลาด จับตาผู้ผลิตชิ้นส่วนกระอักปิดโรงงาน หลังลดโอที ลดวันทำงานเหลือ 2 วัน สัญญาณร้าย ‘นิสสัน’ เตรียมเลิกจ้างในไทย 1,000 ตำแหน่ง
    .
    อุตสาหกรรมยานยนต์ไทยหดตัวอย่างต่อเนื่อง โดลล่าสุดกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ สภาอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย (ส.อ.ท.) รายงานการผลิตรถยนต์เดือน ต.ค.2567 พบว่าการผลิตรถยนต์ในช่วง 10 เดือนแรกของปี 2567 (ม.ค.-ต.ค.) มียอดผลิต 1.24 ล้านคัน เทียบช่วงเดียวกันกับปีที่แล้วลดลง 19.28%
    .
    สำหรับอุตสาหกรรมยานยนต์ในปัจจุบันมีแรงงานรวม 444,000 คน มีผู้ประกอบการ แบ่งเป็นผู้ประกอบรถยนต์ 23 ราย, ผู้ประกอบรถจักรยานยนต์ 8 ราย , ซัพพลายเออร์ เทียร์ 1 รวม 476 ราย และซัพพลายเออร์ เทียร์ 2 ขึ้นไป 1,210 ราย
    .
    นายสุรพงษ์ ไพสิฐพัฒนพงษ์ ที่ปรึกษาประธานกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์และโฆษกกลุ่มอุตสาหกรรมยานยนต์ ส.อ.ท.เปิดเผยว่า ส.อ.ท.ลดประมาณการการผลิตรถยนต์ปี 2567 ลงอีก 200,000 คัน จาก 1.7 ล้านคัน เหลือ 1.5 ล้านคัน โดยปรับลดผลิตขายในประเทศจาก 550,000 คัน เป็น 450,000 คัน ส่วนการผลิตเพื่อส่งออกลดลงจาก 1.15 ล้านคัน เป็น 1.05 ล้านคัน
    .
    ทั้งนี้ ได้ลดยอดผลิตเป็นครั้งที่ 2 จากรอบแรกปรับไป 200,000 คัน เท่ากับปีนี้ลดลงถึง 400,000 คัน คิดเป็นมูลค่า 240,000 ล้านบาท จากเป้าหมายแรกตั้งแต่ต้นปีตั้งไว้ที่ 1.9 ล้านคัน เพราะยอดขายในประเทศลดลงจากการเข้มงวดให้กู้ซื้อรถยนต์ของสถาบันการเงิน ซึ่งยอดการผลิตดังกล่าวต่ำสุดใน 4 ปี นับตั้งแต่ปี 2564 ซึ่งอยู่ที่ 1.6 ล้านคัน
    .
    นอกจากนี้การส่งออกลดลงทุกตลาดจากผลกระทบสงครามอิสราเอลกับฮามาสที่อาจกระทบส่งออกตลาดดังกล่าว โดยต้องจับตาตลาดออสเตรเลีย ตะวันออกกลางและยุโรปเป็นพิเศษ รวมทั้งต้องติดตามผลกระทบเศรษฐกิจโลกจากสงครามยูเครนกับรัสเซีย ที่อาจขยายประเทศอื่น ซึ่งยอมรับว่าสถานการณ์รถยนต์ไทยค่อนข้างสาหัส
    .
    .
    อ่านต่อ: https://www.bangkokbiznews.com/business/economic/1155191?anm=
    https://www.facebook.com/share/p/f74eEbZ74J1FN7cx/
     
  8. สุกิจSukit

    สุกิจSukit เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 เมษายน 2013
    โพสต์:
    222,696
    ค่าพลัง:
    +97,150
    UPDATE: เปิดโปงช่องโหว่ภาษีวงการไลฟ์สตรีมมิ่งจีน จากพื้นที่สีเทาสู่การปราบปรามครั้งใหญ่ เมื่อรัฐบาลท้องถิ่นเผชิญวิกฤตรายได้ พร้อมบทเรียนราคาแพงของเหล่าอินฟลูเอ็นเซอร์
    .
    หน่วยงานภาษีระดับท้องถิ่นในจีนเดินหน้าปราบปรามการเลี่ยงภาษีในกลุ่มอินฟลูเอ็นเซอร์ที่ไลฟ์ขายของ ท่ามกลางรายได้จากภาษีที่ลดลง ซึ่งส่งผลกระทบต่อเศรษฐกิจ โดยนักวิเคราะห์คาดการณ์ว่า การตรวจสอบภาษีจะเข้มงวดขึ้นในอนาคต
    .
    เมื่อวันที่ 15 พฤศจิกายนที่ผ่านมา สำนักงานบริหารภาษีแห่งรัฐของจีนประกาศกรณีการเลี่ยงภาษี 3 กรณีที่เกิดขึ้นในช่วงปี 2020-2023 โดยมีการปรับเงินจำนวนมาก
    .
    ตัวอย่างเช่นในมณฑลเสฉวนทางตะวันตกเฉียงใต้ของจีน อินฟลูเอ็นเซอร์รายหนึ่งถูกปรับเป็นเงิน 14.31 ล้านหยวน (ประมาณ 68.52 ล้านบาท) จากการหลบเลี่ยงภาษีมูลค่า 8.05 ล้านหยวน (ประมาณ 38.55 ล้านบาท)
    .
    ส่วนในมณฑลเหลียวหนิงทางตะวันออกเฉียงเหนือ ผู้ต้องหารายหนึ่งถูกปรับเป็นจำนวนเงินเกือบ 2 เท่าของภาษีที่ค้างชำระ 7.35 ล้านหยวน (ประมาณ 35.20 ล้านบาท) และในมณฑลเจ้อเจียงทางภาคตะวันออก ผู้ดำเนินรายการไลฟ์สตรีมมิ่งถูกปรับเป็นเงิน 2.47 ล้านหยวน (ประมาณ 11.83 ล้านบาท) จากการกระทำผิดด้านภาษี
    .
    หน่วยงานกำกับดูแลภาษียืนยันที่จะสนับสนุนการเติบโตของธุรกิจ แต่จะไม่ยอมให้มีการเลี่ยงภาษี “ในฐานะบุคคลสาธารณะ อินฟลูเอ็นเซอร์มีหน้าที่ปฏิบัติตามกฎหมาย และควรเป็นแบบอย่างที่ดี”
    .
    ขณะที่รัฐบาลท้องถิ่นเผชิญกับรายได้ที่ลดลงจากธุรกิจอสังหาริมทรัพย์ อินฟลูเอ็นเซอร์กลับทำเงินได้มหาศาล แต่ก็เสี่ยงต่อการถูกปรับหนักหากเลี่ยงภาษี
    .
    Peng Peng ประธานบริหาร Guangdong Society of Reform กล่าวว่า “รัฐบาลท้องถิ่นอาจเพิ่มการปราบปรามการเลี่ยงภาษี เศรษฐกิจที่อ่อนแอทำให้ธุรกิจเลี่ยงภาษีมากขึ้น และรัฐบาลท้องถิ่นจำเป็นต้องแก้ปัญหารายได้ที่ขาดดุล”
    .
    ในปี 2021 Viya อินฟลูเอ็นเซอร์อีคอมเมิร์ซชื่อดัง ถูกปรับ 1.34 พันล้านหยวน (ประมาณ 6.42 พันล้านบาท) ฐานเลี่ยงภาษี ซึ่งทำให้ชาวเน็ตตั้งคำถามเกี่ยวกับรายได้ที่สูงเกินจริง และการกระจายรายได้ที่ไม่เท่าเทียมในอุตสาหกรรมไลฟ์
    .
    Peng กล่าวว่า การเก็บภาษีอินฟลูเอ็นเซอร์ในจีนยังคงเป็นพื้นที่สีเทา เนื่องจากขาดกฎหมายภาษีที่ครอบคลุมสำหรับธุรกิจใหม่ๆ เช่น การไลฟ์
    .
    รัฐบาลท้องถิ่นกำลังเผชิญกับแรงกดดันทางการเงินจากรายได้ที่ดินและภาษีเงินได้นิติบุคคลที่ลดลง ข้อมูลจากกระทรวงการคลังระบุว่า ในช่วง 9 เดือนแรกของปีนี้ รัฐบาลท้องถิ่นจ่ายดอกเบี้ยพันธบัตรสูงสุดเป็นประวัติการณ์ที่ 1.04 ล้านล้านหยวน (ประมาณ 5 ล้านล้านบาท) ซึ่งเป็นครั้งแรกที่เกิน 1 ล้านล้านหยวนในช่วง 3 ไตรมาสแรกของปีนี้
    .
    อ้างอิง:
    https://www.scmp.com/economy/china-...mers-who-evade-taxes-local-economies-struggle
    .
    #TheStandardWealth
    https://www.facebook.com/share/p/jp9M2uKQJ23C1ww7/
     

แชร์หน้านี้

Loading...