คลังเรื่องเด่น
-
ชวนอ่าน! "ธรรมะ" จาก "หลวงปู่เทพโลกอุดร" บรมครูผู้ลึกลับของสุดยอดเกจิ พร้อมวิธีสวดบูชาอย่างถูกต้อง
ชวนอ่าน! "ธรรมะ" จาก "หลวงปู่เทพโลกอุดร" บรมครูผู้ลึกลับของสุดยอดเกจิ พร้อมวิธีสวดบูชาอย่างถูกต้อง
ความลี้ลับมหัศจรรย์ในพระพุทธศาสนานั้นเป็นสิ่งที่ยังคงปรากฏอยู่ทุกยุคทุกสมัย ท้าทายความเชื่อตามหลักวิทยาศาสตร์ของคนยุคปัจจุบัน หากแต่ปาฏิหาริย์ปรากฏการณ์เหนือธรรมชาตินั้นมักปรากฏเป็นเหตุการณ์เฉพาะตัว บุคคล ที่ทางพระเรียกว่า “ปัจจัตตัง” เท่านั้น และหนึ่งในเรื่องราวหลากร้อยหลายพันเรื่องปาฏิหาริย์ที่เกิดขึ้นภายใต้ร่มเงาแห่งพระพุทธศาสนานั้น เรื่องของ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” นับเป็นเรื่องหนึ่งที่อยู่ในกระแสแห่งความสนใจของพุทธศาสนิกชนทั้งหลาย โดยเฉพาะอย่างยิ่งในแวดวงนักปฏิบัติกรรมฐาน
เรื่อง ราวของหลวงปู่โลกอุดรเป็นเรื่องที่เล่าลือเป็นเวลานานกว่า ๖๐ ปีที่ผ่านมา มีเรื่องราวประสบการณ์ของผู้ที่ได้พบเจอ อาทิเช่นได้ใส่บาตร ได้พบในนิมิต ได้ฟังหลวงปู่เทศนาสั่งสอน อย่างใดอย่างหนึ่งมาโดยตลอด โดยระบุว่า หลวงปู่โลกอุดร เป็นพระภิกษุลี้ลับไปมาไร้ร่องรอย ปรากฏกายได้ทุกรูปแบบ ทรงซึ่งอภิญญาสูงสุด มีอายุยืนนานหลายร้อยหลายพันปีมาแล้ว ไม่อาจคำนวนนับได้แม้แต่ชื่อเรียกท่านเองก็เป็นเพียงชื่อสมมุติเท่านั้น... -
ตำนาน"๕ คุรุผู้วิเศษ" อายุยาวนานหาประมาณมิได้ หากใครได้ร่ำเรียนวิชากับท่านผู้นั้นจะเป็น ผู้วิเศษ มีอภิญญา !
ตำนาน"๕ คุรุผู้วิเศษ" อายุยาวนานหาประมาณมิได้ หากใครได้ร่ำเรียนวิชากับท่านผู้นั้นจะเป็น ผู้วิเศษ มีอภิญญา !
ก่อนที่ข้าพเจ้าจะเริ่มเขียนเรื่องนี้ได้มีพี่ท่านหนึ่งมาเล่าให้ฟังว่า คุรุหรือครูผู้วิเศษในโลกเรานี้มี ๕ ท่านคือ ๑ หลวงปู่เทพโลกอุดร ๒ บรมครูพู่พู่อ่อง ๓ มหาอวตารบาบาจี ๔ สำเร็จลุน ๕ หลวงปู่สรวงเทวดาเดินดิน หากใครได้พบหนึ่งในสี่ท่านนี้และได้ร่ำเรียนวิชากับท่านบุคคลผู้นั้นจะเป็น ผู้วิเศษ มีอภิญญาเป็นอมตะไม่มีวันตาย เมื่อข้าพเจ้าได้ฟังดังนั้นแล้วก็ศึกษาหาความรู้เพิ่มเติม จนทราบว่าแท้จริงแล้วคุรุผู้วิเศษของโลกนั้นมีมากกว่า ๕ ท่าน อย่างในจีนนั้นจะมีเรื่องราวของเซียนทั้ง ๘ ที่ถือว่าเป็นยอดบรมครู เซียนทั้ง ๘ มักนิยมแปลงร่างเป็นกระยาจกเข็ญใจ มีพฤติกรรมเที่ยวขอทาน หากพบใครใจบุญมีวาสนาถึงจะสั่งสอนให้ได้รับความเป็นเซียน ผู้สำเร็จเป็นเซียนก็มีฤทธิ์และมีอายุยืนนานผิดคนธรรมดาสามัญ
( มหาคุรุบาบาจี )
ในอินเดียมีโยคีมากมาย แต่ที่ได้รับความสนใจไปทั่วโลกคือ มหาคุรุบาบาจี ซึ่งจะกล่าวไว้ในบทนึงโดยเฉพาะ เรื่องของ “บาบาจี” ก็เหมือนกับ “หลวงปู่เทพโลกอุดร”... -
หลวงพ่อฤาษีลิงดำยืนยัน ถูกหวยอยู่ที่กรรม ไม่ได้อยู่ที่พระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเลย..จากเรื่องเล่าหลวงพ่อจง
หลวงพ่อฤาษีลิงดำยืนยัน ถูกหวยอยู่ที่กรรม ไม่ได้อยู่ที่พระหรือสิ่งศักดิ์สิทธิ์ที่ไหนเลย..จากเรื่องเล่าหลวงพ่อจง
เรื่องนี้เป็นเรื่องเล่าจากปากหลวงพ่อฤาษีลิงดำได้เล่าไว้ถึง หลวงพ่อจง วัดหน้าต่างนอก ผู้มีอภิญญาขั้นสูงสามารถล่วงรู้วาระจิตและอนาคตได้อย่างแม่นยำ อีกทั้งยังมีเมตตามาก ใครกำลังตกทุกข์ได้ยาก หากท่านเห็นว่าคนๆ นั้นจะมีโชค ท่านจะบอกหวยให้ แต่หากว่ามีโชคเพียงน้อยหรือไม่มีเลย ท่านก็จะบอกให้เล่นน้อย หรือไม่ก็บ่ายเบี่ยงไปเลย ...ดังเรื่องราวต่อไปนี้...
“ เรื่องการให้หวยและการรู้หวยนี่ มีนักวิพากษ์วิจารณ์กันมากสำหรับอาตมาเองเมื่อก่อนนี้ก็เป็นนักต่อต้านเหมือนกัน ไม่เชื่อเขา เมื่อสมัยที่เลขท้าย 3 ตัวออกมาใหม่ๆ ได้ยินข่าวว่าพระวัดนั้นให้หวย พระวัดนี้ให้หวย ก็สงสัยว่าเขาจะรู้ได้ยังไงเมื่อเลขหวยยังไม่ออก ก็อุตส่าห์วิ่งเรือตระเวนไปทั่วทิศทั่วทาง ไปในที่ต่างๆ ว่าพระอาจารย์องค์ไหนให้หวยก็ไปขอท่าน ขอให้เขียนเลขมา บางอาจารย์ก็ถูกเพียง 2 ตัวบ้าง บางอาจารย์ก็ถูกตัวเดียว บางอาจารย์ไม่ถูกเลย บางรายก็ให้มาเป็น 2 ชุด 3 ชุด นี่แสดงว่าไม่รู้จริง ก็เลยเอาเรื่องแน่นอนอะไรไม่ได้... -
"พญานาค กับหลวงปู่ชอบ" (หลวงปู่ชอบ ฐานสโม)
"พญานาค กับหลวงปู่ชอบ"
" .. ท่านเล่าว่า "พญานาคนั้นมีฤทธิ์มาก เป็นเทวดาจำพวกหนึ่ง" เขาสามารถเนรมิตกายได้ต่าง ๆ กัน ท่านเคยถามเขาว่า ต้องการอะไร
เขาก็เรียนท่านว่า "วิสัยพญานาคนั้น มีความเคารพผู้ทรงศีลทรงคุณธรรม มนุษย์ผู้เป็นกัลยาณชน ปรารถนาในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เช่นไร พญานาคก็ปรารถนาในการบำเพ็ญทาน ศีล ภาวนา เช่นนั้นเหมือนกัน"
ในกาลก่อน "พระพุทธเจ้าสมัยเสวยพระชาติเป็นนาค มีนามว่า พระภูริทัตต์ ก็ยังสู้บำเพ็ญบารมีรักษาศีล บำเพ็ญภาวนาจนตัวตาย"
ในกาลปัจจุบัน "กลิ่นศีลอันบริสุทธิ์ของพระคุณเจ้า หอมนัก หอมทั้งใกล้หอมทั้งไกล หอมทวนลม หอมไปไกล" พวกเขาก็ขอโอกาศมาทำบุญถวายทานแด่พระคุณเจ้า เพื่อเป็นการเพิ่มพูนบารมีของตน สืบไปบ้าง .. "
"ฐานสโมบูชา" หลวงปู่ชอบ ฐานสโม -
"หลวงปู่มั่นคุมจิตหลวงปู่จันทร์ศรี"
"หลวงปู่มั่นคุมจิตหลวงปู่จันทร์ศรี"
- หลวงปู่มั่นสอนวิธีภาวนา
" .. ในวันหนึ่งพอหลวงปู่ไปนวดให้หลวงปู่มั่น นวดไป ๆ ก็เรียนถามท่านว่า "หลวงปู่ ๆ จิตเป็นโสดา สกิทาคา อนาคา มันเป็นอย่างไร"
ท่านไม่ตอบ "แต่ไล่ลงไปเดินจรงกรม ไปเดินจรงกรมได้ ๒ ชั่วโมง" จิตมันไม่รวมจึงขึ้นมาบนกุฎิ กราบเรียนท่านว่า "จิตมันฟุ้งซ่าน มองเห็นแต่หน้าสตรี" ท่านก็ไล่ลงไปเดินอยู่อย่างนั้นแหละ พอเดินไปเดินมาขึ้นมาอีก
พอวันที่ ๗ ท่านทรมาน ประมาณตั้งแต่ ๔ ทุ่ม ให้หลวงปู่นั่งสมาธิ "ท่านก็นอนอยู่บนเตียงนี่แหละ ที่นี้ท่านคุมจิตเรา เวลาท่านคุมจิต จิตเรามันคิดไปไหน ๆ ท่านก็ทักเรื่อย ๆ จนกระทั่งเราเกิดความรู้สึกกลัวท่าน เพราะท่านรู้จักวาระจิตเราจริง ๆ ไม่กล้าคิดไปไหน"
ท่านก็บอกว่า "ให้เอาสติควบคุมจิต ดึงเข้ามาอยู่ที่หัวใจ ให้ว่า พุทโธ ๆ จนจิตสงบ แล้วใช้ปัญญา พิจารณา กายของตน ตั้งแต่หนังหุ่มห่อร่างกายอยู่นี้ ให้จิตเห็นเป็นอสุภกรรมฐาน" เป็นของสกปรกน่าเกลียด เมื่อตายแล้วไม่มีใครต้องการ "สังขารทั้งปวงตกอยู่ในไตรลักษณ์ คือ อนิจจํ ทุกขํ อนัตฺตา ด้วยกันทั้งนั้น"
เวลา ๐๒.๐๐ "จิตของหลวงปู่สงบจากอารมณ์ภายนอกที่จะมาสัมผัส... -
โอวาทของหลวงพ่อวัดท่าซุงเรื่องสะเดาะเคราะห์ {ปีนี้ ๒๕๖๐ วัดท่าซุงจัดขึ้นในวันที่๑๖ เมษายนส่วนบวชเณรและชีพราหมณ์ตั้งแต่วันที่10 เมษายนถึง16เมษายน}
"..โอวาทของหลวงพ่อวัดท่าซุงเรื่องสะเดาะเคราะห์{ปีนี้ ๒๕๖๐ วัดท่าซุงจัดขึ้นในวันที่๑๖ เมษายนส่วนบวชเณรและชีพราหมณ์ตั้งแต่วันที่10 เมษายนถึง16เมษายน}.."
"..เรื่องเคราะห์กรรม เป็นวิธีเรียกของพรหมณ์ ทางพระพุทธศาสนาเรียกว่า กฏของกรรม
คณาจารย์ต่างๆ เรียกไม่เหมือนกันแต่ผลมันเหมือนกัน นั่นคือ ความทุกข์ ถ้าอยากทราบว่า ความทุกข์มาจากไหน ก็จะเล่าให้ฟัง
..ประการแรก การป่วยไข้ไม่สบายทางร่างกาย มาจากกรรมปาณาติบาต การฆ่าสัตว์ตัดชีวิต
..ประการที่ ๒ ความทุกข์เกิดจากไฟไหม้บ้าง ขโมยปล้น ขโมยจี้ ลมพัดให้บ้านพัง น้ำท่วม
มาจากโทษอทินนาทาน การลักขโมยของเขาจากชาติก่อน
..ประการที่ ๓ เคราะห์กรรมที่ทำให้คนใต้บังคับบัญชาดื้อด้าน ว่ายากสอนยากไม่เชื่อฟัง
มาจากโทษกาเมสุมิจฉาจาร เจ้าชู้จัดในชาติก่อน
..ประการที่ ๔ เราพูดดีแต่คนอื่นไม่ชอบฟัง ไม่เชื่อฟัง มาจากโทษมุสาวาทจากชาติก่อน
..ประการที่ ๕ การเป็นโรคปวดหัวบ่อยๆ หรือโรคประสาทก็ดี เป็นบ้าก็ดี เป็นโทษมาจากกฏของกรรม คือ ดื่มสุราเมรัย ในชาติก่อน อันนี้เป็นหลักหยาบๆ หลักใหญ่นะ
..อย่างคนตาบอด ในสมัยชาติก่อน เขาทำบุญเห็นแล้ว แกล้งทำเป็นไม่เห็น... -
สมเด็จพระพุทธกัสสป' ท่านทรงมีรับสั่งให้หลวงพ่อฤาษีเตือนลูกหลานเรื่องการปฏิบัติแบบง่ายๆ เพียงวันละ ๑๐ นาที
''...ฉันคิดว่า(หลวงพ่อ)...
" สมมุติว่าบริษัทของฉัน ลูกหลานของฉันยังเป็นปุถุชนคนธรรมดาอยู่ ถ้าหากว่าเขามีวิมานแล้ว ในอันดับกามาวจรสวรรค์ก็ดี อันดับพรหมโลกก็ดี เลยไปก็ดี ที่เลยไปน่ะเมืองมหาเศรษฐี สมมุติว่าคนทุกคนเกิดมาแล้วการไม่ทำความชั่วไม่มีความผิดน่ะมันไม่มี ความชั่วที่ท่านเรียกกันว่าบาป การผิดศีลมันย่อมปรากฏ อย่างนี้ย่อมจะมีกับคนทุกคน ตรงนี้ฉันห่วงมาก ห่วงมากเพราะเกรงว่าจะพลัดที่อยู่ จึงกราบลงไปแล้วทูลถามสมเด็จบรมครูว่าภันเต ภควา ข้าแต่พระองค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า ข้าพระพุทธเจ้ามีความสงสัยที่องค์พระจอมไตรทรงชี้แจงให้ข้าพระพุทธเจ้าทราบว่า ลูกหลานของพระพุทธเจ้าเป็นคนมีวิมาน ๗ ประการก็ดี วิมานอยู่พรหมก็ดี วิมานอยู่นิพพานก็ดี
...แต่คนทั้งหลายเหล่านี้ยังไม่ได้เป็นพระอริยเจ้าทุกคน แต่ใครจะเป็นบ้างนั้นข้าพระพุทธเจ้าไม่ทราบ สมมุติว่าถ้าเขายังไม่เป็นพระอริยเจ้ากันทุกคน คนทุกคนย่อมมีความผิด ย่อมตกอยู่ในความชั่ว เพราะสิ่งแวดล้อมเป็นเครื่องบีบบังคับ ถ้าบังเอิญว่าเขามีวาจาชั่วในบางขณะ แล้วตอนกลางวันเขาชั่ว ตอนกลางคืนเขาชั่ว... -
วิธีทำบุญให้เป็นฌานแบบง่ายๆก่อนหลับและหลังจากตื่นนอนใหม่ๆ- หลวงพ่อฤาษีฯ
วิธีทำบุญให้เป็นฌานแบบง่ายๆก่อนหลับและหลังจากตื่นนอนใหม่ๆ
ก่อนจะหลับทำบุญเสียหน่อย ตั้งใจเอาเงินใส่ในภาชนะนั้นเก็บไว้ คิดว่าเราจะถวายพระเป็นค่าภัตตาหารก็ได้ เป็นวิหารทานก็ได้ เป็นธรรมทานก็ได้ หรือสร้างพระพุทธรูปก็ได้ตามใจชอบ แต่ก่อนที่จะใส่ถ้าว่าคาถาวิระทะโยเป็นก็ว่าไป ถ้าไม่ว่าก็นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ หรือพระปัจจเจกพุทธเจ้า ถือว่าเวลานั้นจิตของท่านเป็นพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นอนุสสติใหญ่ การคิดว่าจะเอาสตางค์ใส่ในบาตรหรือใส่ในกระป๋อง คิดว่าจะใส่ อันนี้เป็นจาคานุสสติกรรมฐาน เป็นทาน การใส่อย่างนั้นเป็น ทานบารมี
บรรดาท่านพุทธบริษัท การทำเพียงแค่นี้ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททำทุกวันอย่างนี้ อาตมาขอยืนยันว่าทุกคนนี่ลงนรกไม่ได้ ถ้าเรามีการเริ่มต้นอย่างนี้ หากว่าญาติโยมจะถามว่าทุกคนต้องการไปนิพพาน ทำจิตถ้าเป็นฌานอย่างนี้พื้นฐานใหญ่ ถ้าหากว่านอนหลับตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ ถ้าเราหวังนิพพาน สำหรับท่านที่ได้มโนมยิทธิ อย่าลืมพุ่งใจตรงไปนิพพานทันที แล้วก็ตั้งใจว่าถ้าตายเมื่อไรขอมาที่นี่จุดเดียว อย่างนี้ไปนิพพานแน่
ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติแบบ สุกขวิปัสสโก... -
วิธีทำบุญให้เป็นฌานแบบง่ายๆก่อนหลับและหลังจากตื่นนอนใหม่ๆ- หลวงพ่อฤาษีฯ
วิธีทำบุญให้เป็นฌานแบบง่ายๆก่อนหลับและหลังจากตื่นนอนใหม่ๆ
ก่อนจะหลับทำบุญเสียหน่อย ตั้งใจเอาเงินใส่ในภาชนะนั้นเก็บไว้ คิดว่าเราจะถวายพระเป็นค่าภัตตาหารก็ได้ เป็นวิหารทานก็ได้ เป็นธรรมทานก็ได้ หรือสร้างพระพุทธรูปก็ได้ตามใจชอบ แต่ก่อนที่จะใส่ถ้าว่าคาถาวิระทะโยเป็นก็ว่าไป ถ้าไม่ว่าก็นึกถึงพระพุทธเจ้า พระธรรม พระอริยสงฆ์ หรือพระปัจจเจกพุทธเจ้า ถือว่าเวลานั้นจิตของท่านเป็นพุทธานุสสติ ธัมมานุสสติ สังฆานุสสติ เป็นอนุสสติใหญ่ การคิดว่าจะเอาสตางค์ใส่ในบาตรหรือใส่ในกระป๋อง คิดว่าจะใส่ อันนี้เป็นจาคานุสสติกรรมฐาน เป็นทาน การใส่อย่างนั้นเป็น ทานบารมี
บรรดาท่านพุทธบริษัท การทำเพียงแค่นี้ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัททำทุกวันอย่างนี้ อาตมาขอยืนยันว่าทุกคนนี่ลงนรกไม่ได้ ถ้าเรามีการเริ่มต้นอย่างนี้ หากว่าญาติโยมจะถามว่าทุกคนต้องการไปนิพพาน ทำจิตถ้าเป็นฌานอย่างนี้พื้นฐานใหญ่ ถ้าหากว่านอนหลับตื่นขึ้นมาใหม่ ๆ ถ้าเราหวังนิพพาน สำหรับท่านที่ได้มโนมยิทธิ อย่าลืมพุ่งใจตรงไปนิพพานทันที แล้วก็ตั้งใจว่าถ้าตายเมื่อไรขอมาที่นี่จุดเดียว อย่างนี้ไปนิพพานแน่
ถ้าบรรดาท่านพุทธบริษัทปฏิบัติแบบ สุกขวิปัสสโก... -
"อาหารของใจ" (หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน)
"อาหารของใจ"
" .. อาหารของธาตุของขันธ์ คือข้าว น้ำ วัตถุต่าง ๆ "อาหารของใจ คือ ทาน ศีล ภาวนา" เป็นบุญเป็นกุศลรวมเข้าสู่ใจของเรา
ใครมีอาหารนี้ "ใจจะเป็นผู้มีความร่มเย็นเป็นสุข ไปเกิดก็เกิดสถานที่ดี คติที่เหมาะสม" สมความมุ่งมาดปรารถนา นอกจากนั้น มีบุญมาก ๆ แล้วก็ผ่านพ้นถึงนิพพาน .. "
หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน -
บารมี 10 ทัศ... สามารถสะสมได้ แค่การสวดมนต์ไม่กี่นาทีในแต่ละวัน!!! ลงมือสวดมนต์สะสมบารมีกันแล้วยัง?
บารมี 10 ทัศ... สามารถสะสมได้ แค่การสวดมนต์ไม่กี่นาทีในแต่ละวัน!!! ลงมือสวดมนต์สะสมบารมีกันแล้วยัง?
ในการสวดมนต์ แม้ไม่กี่นาทีสามารถก่อประโยชน์ได้มากมาย ทั้งการรักษาโรค ที่ทาง มหาวิทยาลัยมหิดล รับรอง หรือในทางศาสนา ก็ยังเป็นการสะสมบุญ สร้างบารมีได้โดยอัตโนมัติ โดยมีคำกล่าวว่า สาวกภูมิมีบารมี 10 ทัศ ส่วนบารมี 30 ทัศ มีในพระพุทธเจ้า และพระโพธิสัตว์ บุคคลใดปรารภนามุ่งไปสู่สาวกภูมิ ย่อมทำได้ไม่ยาก เพียงแค่รู้จักสวดมนต์ซึ่งในขณะที่ทำการสวดมนต์นั้น เราสามารถสะสมบารมีต่างๆได้ดังนี้
๑ ขณะที่เราสวดมนต์เราสละเวลาทำความดี นอบน้อมถึงพระรัตนตรัยใจมีอภัยทานไม่ถือโกรธนับเป็นทานทางใจ ถือเป็น ทานบารมี
๒ ขณะที่เราสวดมนต์ เราปราศจากความเบียดเบียนทั้งตนเองและสรรพสัตว์ไม่ได้ทำสิ่งที่ไม่ดีหรือทำบาปกับใคร ถือเป็น ศีลบารมี
๓ ขณะที่เราสวดมนต์ จิตปราศจากกำหนัดราคะ วางภาระห่วงกังวลในทรัพย์และญาติตั้งอยู่ในพรหมจรรย์ ถือเป็น เนกขัมมะบารมี
๔ ขณะที่เราสวดมนต์ เราทำด้วยความเห็นให้ตรง จึงเกิดสติและมีสมาธิ มีธรรมเกิดขึ้นคือปัญญาเห็นมรรคผลถือเป็น ปัญญาบารมี
๕ ขณะที่เราสวดมนต์ เรามีมานะบากบั่นด้วยกาย วาจาและใจ... -
ทำบุญเพียงน้อยนิด กลับได้อานิสงส์มาก! "ครูบาวงศ์" เมตตาสอน"วิธีทำบุญ" แม้เพียงสองสลึง แผ่นดินยังถึงกับสะทือน!
ทำบุญเพียงน้อยนิด กลับได้อานิสงส์มาก! "ครูบาวงศ์" เมตตาสอน"วิธีทำบุญ" แม้เพียงสองสลึง แผ่นดินยังถึงกับสะทือน!
เรื่องที่จะเล่านี้เป็นเมตตาธรรมจากครูบาวงศ์ หรือครูบาชัยยะวงศา พระอริยสงฆ์อีกรูปหนึ่งของแผ่นดินธรรม ครูบาวงศ์ หรือท่านเป็นศิษย์ของครูบาเจ้าศรีวิชัยตนบุญผู้ยิ่งใหญ่แห่งแผ่นดิน
ครูบาวงศ์ท่านมีเมตตามากโดยเฉพาะคนไทยและคนกระเหรี่ยงภาคเหนือตอนบนรู้จักท่านดี เรื่องที่ขอเมตตามาเล่าให้กำลังใจกันในวันนี้ชื่อเรื่องว่า
"ทำบุญ สอง สลึง ทำให้แผ่นดินไหว "
ในอดีตกาล ล่วงมาแล้ว สมัยองค์พระผู้มีพระภาคเจ้ายังทรงพระชนย์อยู่ มีพระยาเจ้าเมือง เมืองหนึ่ง มีใจศรัทธาปรารถนาจะถวายผ้ากฐินเป็นทาน จึงได้ ป่าวประกาศไปทั่ว บ้านเมืองเพื่อเชิญชวนให้ชาวเมืองได้ร่วมทำบุญในครั้งนี้
ข่าวทราบถึง มหาเศรษฐี สองคนผัวเมีย มีเงินทองอยู่ ๘๘ โกฏิ เขาทั้งสองเกิดความศรัทธาปิติยินดี ในกองบุญกฐินนั้น จึงตั้งใจที่จะร่วมถวายทาน ผ้ากฐิน ตกกลางคืนมา สองผัวเมียก็มาคิดว่า ตัวเรานี้ มีข้าวของมากมาย แต่ไม่มีอันใดเลย ที่หามาด้วย น้ำพักน้ำแรงของตน มีแต่ใช้คนอื่นหามา มัน จะ เกิด อานิสงส์แก่เรามากไหมหนอ... -
ครั้งหนึ่งในชีวิต!! ขอเชิญพุทธศาสนิกชน “ร่วมพิธีอัญเชิญพระอัฐิสมเด็จพระญาณสังวร”...ไม่ควรพลาดโอกาสร่วมในพิธีสำคัญเช่นนี้!!
ครั้งหนึ่งในชีวิต!! ขอเชิญพุทธศาสนิกชน “ร่วมพิธีอัญเชิญพระอัฐิสมเด็จพระญาณสังวร”...ไม่ควรพลาดโอกาสร่วมในพิธีสำคัญเช่นนี้!!
ผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางวัดญาณสังวราราม ชลบุรี เผยแพร่ข้อความ ผ่านทางสื่อสังคมออนไลน์ของวัดญาณสังวร เรื่องพิธีอัญเชิญพระอัฐิสมเด็จญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปรินายก ว่า
"ครั้งหนึ่งในชีวิตที่จะได้มีโอกาสร่วมในพิธีสำคัญเช่นนี้
.
ขอเชิญชวนพุทธศาสนิกชน และผู้ที่สนใจทั่วไป ร่วมงานพิธีอัญเชิญพระอัฐิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก ขึ้นประดิษฐานบนบุษบกหินอ่อน ณ พระบรมธาตุเจดีย์มหาจักรีพิพัฒน์ วัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ในพระบรมราชูปถัมภ์ โดยสมเด็จพระวันรัต เจ้าอาวาสวัดบวรนิเวศวิหาร เป็นองค์ประธานฝ่ายสงฆ์ ในวันที่ 6 เมษายนนี้ เวลา 10.00 น. พร้อมเปิดอริยาคาร พิพิธภัณฑ์พระอริยสงฆ์อย่างเป็นทางการ ผู้ที่สนใจสามารถเข้าชมได้ โดยไม่เสียค่าใช้จ่ายใด ๆ ทั้งสิ้น
และงานจะมีต่อเนื่องเพื่อให้ประชาชนทั่วไปเข้ากราบสักการะพระอัฐิสมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก จนถึงวันที่ 13 เมษายน 2560
.... -
หลวงพ่อเน้นย้ำไว้ ตายแล้วไปไหน กลิ่นธูปหรือกลิ่นดอกไม้จะบอกได้
หลวงพ่อเน้นย้ำไว้ ตายแล้วไปไหน กลิ่นธูปหรือกลิ่นดอกไม้จะบอกได้
มีลูกศิษย์ที่ใกล้ชิดท่านหนึ่ง ได้เคยเอ่ยถาม ท่าน”หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(มหาวีระ ถาวโร , หลวงพ่อฤษีลิงดำ)” ว่า “กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อวันที่ 17 มีนาคม ที่ผ่านมา คุณแม่ด่อน กลิ่นประจักษ์ ได้ถึงแก่กรรมด้วยสาเหตุอันใดมิได้ไต่ถามมา แต่ที่ใคร่อยากทราบและจะไต่ถามก็คือว่าหลังจากที่ท่านตาย 7 วัน จะปรากฏมีกลิ่นธูปหอมๆ มาให้ลูกๆได้สัมผัสเสมอๆ ทั้งที่บ้านไม่มีใคร่จุดธูป ที่จะเรียนถามในลักษณะอย่างนี้ แสดงว่าผู้ตายไปดี หรือ ไม่ดีเจ้าคะ”
หลวงพ่อพระราชพรหมยาน(มหาวีระ ถาวโร , หลวงพ่อฤษีลิงดำ)ได้บอกกล่าวไว้ว่า “ไปเป็นพรหม” ซึ่งท่านหลวงพ่อพระราชพรหมยาน(มหาวีระ ถาวโร , หลวงพ่อฤษีลิงดำ) ได้เมตตาอธิบายต่อไปว่า ถ้ากลิ่นเป็นกลิ่นธูปหอมเป็นพรหม หรือถ้ากลิ่นนั้นเป็นกลิ่นดอกไม้ละก็เป็นเทวดา หรือนางฟ้า กลิ่นที่ได้รับจะแตกต่างออกไปตามสถานะที่ผู้ตายได้ไปอยู่
คัดลอกจากหนังสือ ธรรมปฏิบัติ เล่มที่45 รวมธรรมเทศนาของ...พระราชพรหมยาน(มหาวีระ ถาวโร , หลวงพ่อฤษีลิงดำ)
------------------
ที่มา
http://www.tnews.co.th/contents/205410 -
"รักษาศีล รักษาที่ใจ" (หลวงปู่จันศรี จนฺททีโป)
"รักษาศีล รักษาที่ใจ"
" .. การรักษาศีลนั้น รักษาที่ไหน อะไรเป็นศีล ก็รักษาที่กาย วาจา ให้เป็นปกติ "กาย วาจาจะเป็นปกติได้ ก็ต้องอาศัยใจเป็นใหญ่ ใจเป็นหัวหน้า ใจเป็นประธาน ใจเป็นผู้บังคับบัญชา กาย วาจา ให้กระทำอย่างนั้น" .. "
หลวงปู่จันศรี จนฺททีโป -
พระพุทธชินราช :หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ผู้ถาม : "ทีนี้เกี่ยวกับเรื่องพระพุทธชินราชนี่ พุทธลักษณะสวยสดงดงามนี่หมายถึงว่า พระพุทธชินราชนี่เป็นพุทธลักษณะคล้าย ๆ สมเด็จฯ องค์ปฐมหรือพระพุทธกัสสปครับ....?"
หลวงพ่อ : ความจริงเรือนแก้วนี่เขาสมมุติขึ้นมานะ แทนรัศมี ต้องไปถามพระเจ้าพรหมฯ
ผู้ถาม : "พระเจ้าพรหมมหาราชหรือครับ...?"
หลวงพ่อ : ใช่ "ความจริงพระพุทธชินราชที่พิษณุโลกนี่พระเจ้าพรหมมหาราชสร้าง พระเจ้าลือไทมาซ่อมทีหลัง"
ผู้ถาม : "สมัยโน้นหรือครับ...?
หลวงพ่อ : ใช่ ๆๆๆ คือว่าเวลานั้นท่านชื่อ "พระเจ้าศรีธรรมปิฎก" เราเรียกพระเจ้าพรหมฯ นั่นเป็นชื่อเดิม ชื่อที่เป็นพระราชาชื่อ พระเจ้าศรีธรรมปิฎก สร้าง และต่อมาสมัยสุโขทัยนี่ซ่อม ไม่ใช่สร้างนะ แต่เวลานั้นประวัติศาสตร์ไม่ได้เขียนไว้นี่ มันรุ่นก่อนประวัติศาสตร์
ที่คณะพิษณุโลกชุดที่เขานำพระบรมธาตุมาให้น่ะ ของเก่าเขาเยอะ พระเก่า ๆ เยอะ เขาลือกันว่าเจดีย์องค์นั้นที่พังไปแล้ว พระเจ้าพรหมฯ เอาของไปฝังไว้ที่นั่น พระบรมธาตุ เขาลือกันนะ มิใช่เขาลือ เขารู้ข่าวลือ ฟังต่อ ๆ มา และแกก็จะไปขุด พอเริ่มจะขุดเจ้าเสียงครึ่กครั่ก ๆ ตูมตาม ๆ ๆ เสียงในแผ่นดินนะ พอเขาจุดธูปบอกว่าจะขุดไปถวายหลวงพ่อ... -
"ใส่บาตรพระ" : พระองค์นั้นจะดีจะชั่วอย่าไปมอง พระองค์ไหนจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวท่าน เราคิดดี เราก็ได้บุญ
"ใส่บาตรพระ"
"ฉันไม่ใส่บาตรพระเพราะไม่เลื่อมใสพระองค์นั้น ไม่ทำบุญกับพระวัดนี้"
"หลวงพ่อจรัญ" จึงให้ข้อคิดไปว่า... ท่านทั้งหลายไม่ต้องไปหาพระที่เป็นสุปฏิปันโนมาใส่บาตรหน้าบ้าน ไม่มีหรอก หายาก ลูกชาวบ้านมาบวช ให้เราตั้งจิตไว้
"ข้าพเจ้าขอทำบุญกับพระสุปฏิปันโน ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ" แล้วก็ใส่บาตรไป
พระองค์นั้นจะดีจะชั่วอย่าไปมอง พระองค์ไหนจะดีจะชั่วอยู่ที่ตัวท่าน เราคิดดี เราก็ได้บุญ...
บางคนตักบาตรมาจนแก่แต่ตายไปนรกเพราะเจตนาไม่ดีใส่บาตรด้วยความคิดที่ไม่ดี แล้วจะได้บุญได้อย่างไร
"คนที่ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ ปฏิบัติกรรมฐานได้ผล เขาจะไม่มองพระในแง่ร้าย ส่วนพวกที่ชอบวิจารณ์พระองค์นั้นไม่ดี พวกนั้นแสดงว่ายังไม่ถึงธรรมะ ไม่ถึงพระรัตนตรัย"
"ถ้าปฏิบัติได้จะไม่มองพระในแง่ร้าย เห็นเป็นพระสงฆ์นุ่งเหลืองห่มเหลืองมาก็ไหว้พระสงฆ์สาวกของพระผู้เป็นสุปฏิปันโน พวกนี้ทำบุญได้ผลแน่นอน"
หนังสือ : ธรรมวิธีการแก้ปัญหา ของพระธรรมสิงหบุราจารย์ (หลวงพ่อจรัญ ฐิตธมฺโม) -
หลวงปู่ปานบอกหลวงพ่อฤาษีฯ เรื่อง "การเงิน"
หลายคนถามว่า...
เหตุที่ไม่สะสมทรัพย์นั้น มีความเป็นมาอย่างไร ได้ตอบให้ทราบว่า มีมาตั้งแต่วันที่อุปสมบท (บวช) วันแรก เมื่อออกจากโบสถ์แล้วพักเหนื่อยประมาณ ๑ ชั่วโมงเศษๆ หลวงพ่อปานท่านเรียกเข้าไปหาท่าน ท่านแนะนำว่า เรื่องการเงินเป็นเรื่องที่ต้องระวังมาก อย่าเผลอปล่อยให้ความโลภเข้าครอบงำจิต ขออธิบายโดยย่อว่า...
ท่านแนะนำว่า...
"อย่าสะสมเงินไว้ให้มาก"...เมื่อมีคนถวายมา ให้แบ่งส่วนดังนี้
๑.ส่วนที่หนึ่ง...ร่วมสังฆทาน คือเอาเข้าโรงครัว
๒.ส่วนที่สอง...เอาไปเข้าร่วมวิหารทาน คือร่วมการก่อสร้าง
๓.ส่วนที่สาม...เอาไว้ใช้ส่วนตัว เมื่อมีความจำเป็น
๔.ในจำนวนเงินที่เอาไว้ใช้ส่วนตัวนั้น จงอย่าให้มีเกินพันบาท ถ้าเกินพันให้ทำบุญเสีย
๕.เงินในปีนี้ จงอย่าให้เหลือถึงปีหน้า ถ้าเหลือให้คิดว่า ปีหน้าเราจะทำอะไรที่มีการใช้จ่ายเกินจำนวนเงินที่เหลือ และเมื่อถึงปีหน้าจริงๆ ให้ทำตามที่ตั้งใจไว้
เมื่อรับเงินท่านแนะนำว่า...
"ให้คิดว่าถ้าเราไม่เป็นพระ ไม่มีใครให้เงินใช้ฟรีๆ อย่างนี้ เพราะเราบวชเป็นพระ จึงมีคนถวายเงิน จงอย่าเมาเงินที่ญาติโยมถวายมา จงใช้อย่างพระ, มีอย่างพระ..อย่ามีมากกว่าที่กำหนดให้"... -
เรื่องรู้เลยตาย : หลวงพ่อพระราชพรหมยาน
ความจริงเรื่องรู้เลยตายหรือรู้ก่อนเกิดนี่ ฉันเองก็ไม่ค่อยอยากจะพูด และไม่อยากจะเชื่อถือนัก เพราะดูแล้วมันเลยธงไม่น้อยเลย แต่มาอ่านหนังสือเล่มหนึ่ง คนเขียน ๆ เรื่องรู้เลยตายและรู้ก่อนเกิดไว้มากมาย เช่นรู้ว่าเมื่อสิ้นศาสนานี้แล้ว ไฟบรรลัยกัลป์จะไหม้ถึงภควพรหม ดูเรื่องมันมากมายนัก ฉันสงสัยว่ามันไฟอะไรจะดันไปไหม้แม้แต่เทวดาและพรหม ดูมันพิลึกพิลั่นเกินพอดี เมื่ออารมณ์สงสัยเกิดขึ้น ฉันก็อดที่จะอยากรู้ตามเป็นจริงไม่ได้ ในที่สุดคืนวันที่ ๒๑ กุมภาพันธ์ ๒๕๒๑ ฉันนั่งคุมกรรมฐาน ความสงสัยเรื่องรู้เลยธงเกิดขึ้นมาขวางจิต จึงถามท่านผู้รู้ที่เป็นสัพพัญญูวิสัย ท่านทรงพยากรณ์ให้ทราบดังนี้
ไฟล้างโลก และสิ้นศาสนา
หลังจากกึ่งพุทธกาลไปแล้ว ๔,๐๐๐ ปี จะมีไฟล้างโลก ล้างแต่โลกมนุษย์เท่านั้น ไม่ลุกลามไปถึงเทวดา ท่านบอกว่า ความชั่วที่จะเป็นเหตุให้ไฟล้างนั้น เป็นผลของสัตว์ที่สร้างอกุศลกรรมมาก มารวมตัวกันอยู่ เป็นสมัยสัตว์นรกครองโลก มีแต่ความเร่าร้อน หาความสงบสุขไม่ได้ ความจริงแล้วมันเริ่มมีความเร่าร้อนตั้งแต่ก่อนกึ่งพุทธกาล ๑๕ ปีแล้ว จากนั้นไปพวกอธรรมเกิดมาก มีอำนาจวาสนามาก ทำให้ความสงบสุขไม่มี... -
"นรก คือความโกรธ" (หลวงปู่เทสก์ เทสรังสี)
"นรก คือความโกรธ"
" .. "ความโกรธ เกิดขึ้นในใจในตัวของเรา มันร้อนอยู่ตลอดเวลา ยืน เดิน นั่ง นอน ในอิริยาบถทั้งปวงหมด เป็นไฟเผาตลอดเวลา คนที่โกรธมากจึงอายุสั้น ตายเร็ว ถ้ายังไม่ตายก็ถูกไฟเผาอยู่นั่นแหละ" ความโกรธนั้น มันเกิดจากความไม่พอใจเรียกว่า "ปฏิฆะ"
"นรกแตก" คือว่า "ความโกรธ ความไม่พอใจมันร้อนเต็มที่แล้ว มันแตกกระจายออกไป เห็นสิ่งต่าง ๆ แล้วไม่พอใจไปทั้งหมด" วัตถุสิ่งของใดๆ ที่อยู่รอบด้านรอบตัวของเรา เห็นเป็นพิษเป็นสงไปหมด ผู้คนต่าง ๆ ที่อยู่รอบตัวของเรา แม้แต่ญาติมิตร พวกพ้องพี่น้องของเรา มีบิดามารดาเป็นต้น ก็เห็นเป็นภัยหมด
อันนั้นแหละ "หม้อนรกแตก มันแตกออกมาจากใจ แล้วก็กระจายไปทั่วทุกแห่งหน" ไหม้ตลอดหมด เรียกว่า "นรกแตก" มันแตกเป็นหม้อเล็กหม้อน้อยออกไป นั่นแหละใครไม่รู้จักนรก ให้ดูเสีย ให้เข้าใจเสีย "นรก คือความโกรธ"
"ความโกรธนี้เมื่อมีในตัวของเราแล้ว เราไม่อดกลั้นมันเลย ปล่อยกระจายออกภายนอก ไหม้เผาผลาญไปทั่วบ้านทั่วเมือง" ไฟไหม้ป่าเขายังสามารถดับได้ แต่ไฟภายใน ไฟนรกตรงนี้ไม่ดับเลยสักที รถดับเพลิงสัก ๑๐ คันก็มาเถิด ยิ่งฉีดเข้าใส่เท่าไร ยิ่งกระพือไฟขึ้นใหญ่โต .. "... -
ละชั่วเพื่อใคร ?
ความชั่วมีหลายด้านหลายทาง
แต่มันก็อยู่ในตัวของเรานี่แหละ
เกิดจากตัวของเรา มีที่ตัวของเรา
ปรากฏขึ้นที่ตัวของเรานี่เอง
เช่น เราทำชั่วโดยการลักขโมย ฉ้อโกงหรือคิดอิจฉาริษยา ประหัตประหารคนโน้น อยากฆ่าอยากตีคนนี้ นี่เป็นความชั่ว
คนที่ไม่รู้จักความชั่ว เมื่อได้ประหัตประหารคนอื่น สำคัญว่าเป็นของดี ถือว่าตนมีอำนาจอิทธิพลเหนือคนหรือเหนือสัตว์อื่น ๆ อันนี้เรียกว่าไม่รู้จักของดีของชั่ว ผู้นั้นยากที่จะละความชั่วได้ เพราะเห็นของชั่วกลับเป็นของดี
การละทิฏฐิมานะก็เข้าใจว่าเป็นของเลว ไม่อยากยอมให้ใคร
มานะ คือ ความแข็งกระด้าง
ทิฏฐิ คือ ความดื้อรั้น ไม่ยอมคนอื่น
ถ้ายอมก็กลัวจะเสียรัดเสียเปรียบ อันนี้เป็นความเข้าใจผิดเพราะ มีโมหะอวิชชาอยู่ ผู้ที่ละมานะทิฏฐิ โดยไม่เห็นว่าการละเช่นนั้น เป็นการน้อยหน้าต่ำตาหรือโง่เง่าเต่าตุ่นอะไร ผู้นั้นมีความเห็นถูกต้องไม่หลง
เพราะการละทิฏฐิมานะเราไม่ต้องอาศัยคนอื่น
ไม่มุ่งถึงคนอื่น
เรามุ่งในตัวของเราเอง
มานะ อาสวะและกิเลสทั้งหลายเกิดขึ้นที่ตัวของเรา
มันทำให้เดือดร้อนวุ่นวาย
เราไม่ได้ละเพื่อคนอื่น
เราละเพื่อตัวของเราคนเดียว... -
เผยบันทึกบทสนทนาระหว่าง "หลวงปู่ดู่" กับ "หลวงปู่บุดดา"!! ... สายใยแห่งความผูกพันของพระอริยเจ้า!!!
เผยบันทึกบทสนทนาระหว่าง "หลวงปู่ดู่" กับ "หลวงปู่บุดดา"!! ... สายใยแห่งความผูกพันของพระอริยเจ้า!!!
บทสนทนาธรรม (ถอดเทป) บางช่วงบางตอนที่สำคัญ
เมื่อครั้งที่ "หลวงปู่บุดดา ถาวโร" มาเยี่ยมอาการอาพาธของ "หลวงปู่ดู่ พรหมปัญโญ"
ณ วัดสะแก จังหวัดอยุธยา
หลวงปู่บุดดา : เออ... หายซะ...หายใจไว้ ธรรมะไม่ป่วย ป่วยแต่ร่างกาย ธรรมะไม่ป่วยหรอก
พระผู้ติดตามหลวงปู่บุดดา : พอบ่ายหน่อย หลวงปู่ชวนมาเยี่ยมหลวงปู่ครับ
หลวงปู่ดู่ : ให้หายซะที
หลวงปู่บุดดา : หาย...หายซะ
หลวงปู่ดู่ : อยากให้มามากๆ มันจะได้ตายไวๆ
หลวงปู่บุดดา : พระรุ่นเก่าหายหมดแล้ว ไม่มีใครป่วยแล้ว หายป่วยแล้ว
หลวงปู่ดู่ : เมื่อวานนี้หลวงพ่อโง่นมา...มาเยี่ยม
หลวงปู่บุดดา : หายป่วย...หายไข้ซะ
หลวงปู่ดู่ : ให้สมองดีๆ หน่อย จะได้ไปเกาะผ้าเหลืองพระพุทธเจ้า ... ไม่อยากอยู่แล้วเต็มที
หลวงปู่ดู่บอกกับญาติโยม : นั่นไง...น้ำร้อน น้ำแร้นน่ะ เอ้า! ใครยังไม่ได้ (แป้ง) เรียงเข้ามานะ เอ้า! ให้ท่านจับหัวเถอะ ไม่เป็นไรหรอก เหลือแต่แก่นแล้ว กระพี้หล่น
โยมท่านหนึ่งที่อยู่ใกล้วัดพูดขึ้นขณะทาแป้งเสกของหลวงปู่บุดดา :... -
อุบายธรรม "หลวงปู่ดู่" ใช้เวลาเพียงวันละ 5 นาทีเปลี่ยนนักเลงสุรา สู่เพศบรรพชิต
อุบายธรรม "หลวงปู่ดู่" ใช้เวลาเพียงวันละ 5 นาทีเปลี่ยนนักเลงสุรา สู่เพศบรรพชิต
หลวงปู่ดู่เป็นผู้ที่มีอุบายธรรมลึกซึ้ง สามารถขัดเกลาจิตใจคนอย่างค่อยเป็นค่อยไป มิได้เร่งรัดเอาผล เช่นครั้งหนึ่งมีนักเลงเหล้าติดตามเพื่อนซึ่งเป็นลูกศิษย์มากราบนมัสการท่าน สนทนากันได้สักพักหนึ่ง เพื่อนที่เป็นลูกศิษย์ก็ชักชวนเพื่อนนักเลงเหล้าให้สมาทานศีล ๕ พร้อมกับฝึกหัดปฏิบัติสมาธิภาวนา
นักเลงเหล้าผู้นั้นก็แย้งว่า “จะมาให้ผมสมาทานศีลและปฏิบัติได้ยังไง ก็ผมยังกินเหล้าเมายาอยู่นี่ครับ”
หลวงปู่ดู่ท่านก็ตอบว่า “เอ็งจะกินก็กินไปซิ ข้าไม่ว่า แต่ให้เอ็งปฏิบัติให้ข้าวันละ ๕ นาทีก็พอ”
นักเลงเหล้าผู้นั้นเห็นว่านั่งสมาธิแค่วันละ ๕ นาที ไม่ใช่เรื่องยากเย็นอะไร จึงได้ตอบปากรับคำจากหลวงปู่
ด้วยความที่เป็นคนนิสัยทำอะไรทำจริง ซื่อสัตย์ต่อตัวเอง ทำให้เขาสามารถปฏิบัติได้สม่ำเสมอเรื่อยมามิได้ขาดแม้แต่วันเดียว บางครั้งถึงขนาดงดไปกินเหล้ากับเพื่อนๆ เพราะได้เวลาปฏิบัติ จิตของเขาเริ่มเสพคุ้นกับความสุขสงบจากการที่จิตเป็นสมาธิ ไม่ช้าไม่นานเขาก็สามารถเลิกเหล้าได้โดยไม่รู้ตัวด้วยอุบายธรรมที่น้อมนำมาจากหลวงปู่... -
"แม้พรหมก็ยังมีสังขาร" คำเทศน์สอนครั้งสุดท้ายของ หลวงปู่บุญฤทธิ์!!!
"แม้พรหมก็ยังมีสังขาร" คำเทศน์สอนครั้งสุดท้ายของ หลวงปู่บุญฤทธิ์!!!
“ร้านอาหารสวนทิพย์”เป็นชื่อสถานที่ที่เป็นสวนอาหารมีระดับ แต่อีกพื้นที่หนึ่งในบริเวณเดียวกัน กลับเป็นที่ที่ ร่มรื่น สัปปายะ เหมาะแก่การปฏิบัติภาวนายิ่งนัก ด้วยในพื้นที่ส่วนใกล้ๆกันคือที่พำนักของ “หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต” ซึ่งเจ้าของได้ถวายให้เป็นที่พักสงฆ์ของท่านมานานนับ ๑๐ ปีแล้ว
“หลวงปู่บุญฤทธิ์ ปัณฑิโต” ท่านเป็นพระอริยะในสายกรรมฐานของพระอาจารย์มั่น ซึ่งเป็นพระสุปฏิปันโนที่ทันในสมัยพระอาจารย์มั่นและยังไม่มรณภาพ และในวันที่ ๑๘ ก.พ. ที่จะถึงนี้ท่านจะมีอายุครบ ๑๐๓ ปี ด้วยกายสังขารของท่าน แต่ด้วยจิตของท่านนั้นคงมิอาจนับอายุได้ เพราะแม้จะมีอายุถึง๑๐๓ ปี ไม่อาจออกเสียงพูดได้อีกต่อไป และต้องนอนอยู่บนเตียงพยาบาลในห้องปลอดเชื้อเป็นส่วนใหญ่(อันเนื่องมาจากอุบัติเหตุหกล้มเมื่อหลายปีก่อน) แต่ท่านก็ยังนำศิษยานุศิษย์และสาธุชนผู้สนใจในธรรมปฏิบัติภาวนาอยู่ตลอด โดยเฉพาะในวันสุดสัปดาห์ โดยจัดให้มีการปฏิบัตินั้นจะเริ่มตั้งแต่ ๑๑:๓๐ถึง ๑๒:๐๐ น. เป็นเวลาครึ่งชั่วโมง เป็นครึ่งชั่วโมง ที่เราจะได้สงบจิตภาวนา... -
"ความโกรธไม่มีคุณ มีแต่โทษ" (สมเด็จพระญาณสังวร)
"ความโกรธไม่มีคุณ มีแต่โทษ"
" .. ความโกรธไม่ดีเลยและไม่ใช่ความโกรธของผู้อื่นเท่านั้นที่ไม่ดี "ความโกรธของตนเองก็ไม่ดี" และสำหรับตนเอง "ความโกรธของผู้อื่น แม้ไม่ดีเพียงไร ความโกรธของตนเองยิ่งไม่ดีกว่ามากมายนัก เป็นโทษกว่ามากมายนัก"
แน่นอน แต่พากันคิดผิดเข้าใจผิดไปเสียหมด "เวลาตนเองโกรธจึงลืมคิดไปว่าเป็นความไม่ดี เพราะไปมุ่งเพ่งเล็งปรุงแต่งไป ว่าเขาทำอย่างนั้น เขาพูดอย่างนั้น ซึ่งล้วนทำให้เราเกิดความโกรธ เป็นความผิดความไม่ดีของเขา"
พุ่งความคิดไปโทษผู้อื่น "จนไม่มีความคิดหลงเหลือให้เห็นความโกรธในตนเอง" จึงลืมคิดไปด้วยว่า "ความโกรธของตนก็คือความไม่ดีของตน" และลืมคิดให้รู้แก่ใจว่า "ความโกรธที่เกิดแก่ตนทุกครั้งไป ไม่ใช่ความไม่ดีของผู้ใดอื่น แต่เป็นความไม่ดีของตนเอง"
แน่นอน ใคร่ขอให้จำไว้ให้มั่นว่า "ความโกรธไม่มีคุณมีแต่โทษ" ใครโกรธคนนั้นมีความไม่ดีเกิด เสมอไป .. "
แสงส่องใจ ๒๕๔๕
สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช พระองค์ที่ ๑๙ -
ได้เห็นเป็นบุญตา!! สมเด็จย่าทรง "ตอบคำถามธรรมะ" ด้วย "ลายพระหัตถ์" ของพระองค์เอง!!
ได้เห็นเป็นบุญตา!! สมเด็จย่าทรง "ตอบคำถามธรรมะ" ด้วย "ลายพระหัตถ์" ของพระองค์เอง!!
ในหนังสือ "ธรรมะสมเด็จย่า" ที่จัดพิมพ์โดยคุณอัครวัฒน์ โอสถานุเคราะห์ "สมเด็จย่า" ได้พระราชทานตอบคำถามเกี่ยวกับหลักธรรมในพระพุทธศาสนาด้วยลายพระหัตถ์ของพระองค์เองแก่ผู้จัดพิมพ์ ซึ่งทำให้ผู้อ่านได้ทราบถึงมุมมองและแง่คิดของพระองค์อันสะท้อนให้เห็นถึงธรรมะหลายประการที่อยู่ในพระหฤทัย
ลายพระหัตถ์สมเด็จย่า : ต้องฝึกสมาธิ แล้วจะรู้ได้ว่า ตอนไหนเราโลภ เราโกรธ เราหลง สิ่งเหล่านี้ก็จะลดลงได้
เมื่อเรายังเป็นคนธรรมดาอยู่ ความทะยานอยากก็มีอยู่ แต่ถ้าเราทะยานอยากในสิ่งที่ถูกที่ดี ตัณหาก็จะลดลง
สมเด็จย่าทรงตอบคำถามเกี่ยวกับธรรมะด้วยลายพระหัตถ์ของพระองค์เอง
คุณอัครวัฒน์เล่าว่า
"ผมดีใจและตกใจมากที่พระองค์ทรงมีพระมหากรุณาธิคุณตอบคำถามให้ทุกข้อ ไม่มีเว้นเลยสักข้อเดียว แม้บางคำถามที่ซ้ำกันก็ทรงตอบด้วยลายพระหัตถ์ว่า 'ตอบไปแล้ว' หรือ 'ถามไปแล้ว' บางคำถามทรงตอบว่า 'เป็นเรื่องยืดยาว... แล้วจะเล่าให้ฟังทีหลัง' "
ที่มา : หนังสือ "ธรรมะสมเด็จย่า", อัครวัฒน์ โอสถานุเคราะห์
---------------------
ที่มา... -
ด้วยพระบารมีของ"สองธรรมราชา" ร่วมสร้าง! ที่มา"พระพุทธญาณเรศวร์" แห่งวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร รู้แล้วสิ้นสงสัย..ว่าเหตุใดจึงศักดิ์สิทธิ์นัก!
ด้วยพระบารมีของ"สองธรรมราชา" ร่วมสร้าง! ที่มา"พระพุทธญาณเรศวร์" แห่งวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร รู้แล้วสิ้นสงสัย..ว่าเหตุใดจึงศักดิ์สิทธิ์นัก!
พระพุทธญาณเรศวร์
ที่เคยสงสัยว่า ทำไมจึงศักดิ์สิทธิ์
ถ้าไม่ได้เห็นภาพในอดีต และบันทึกจากผู้ที่อยู่เหตุการณ์ในวันนั้นมาประกอบในการเล่า คนรุ่นหลังคงมองเพียง พระประธานในพระอุโบสถวัดญาณสังวราราม
สมเด็จพระพุทธญาณนเรศวร์
เป็นพระพุทธปฏิมาประธานในพระอุโบสถวัดญาณสังวรารามวรมหาวิหาร ซึ่งเป็นวัดประจำรัชกาลที่ ๙ สังกัดธรรมยุตินิกาย มีคำเลื่องลือในเรื่องความศักดิ์สิทธิ์ปาฏิหาริย์อย่างมากมาย ด้วยการสร้างเพื่อน้อมเกล้าน้อมกระหม่อมถวายพระราชกุศลต่อสมเด็จพระนเรศวร์มหาราช เป็นพระพุทธปฏิมาที่ประทับอยู่บนพื้นแผ่นดินอย่างแท้จริง พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ภูมิพลอดุลยเดช ทรงเสด็จเททองหล่อ เมื่อวันที่ ๑๔ สิงหาคม ๒๕๒๓ ณ อุโบสถรังษี วัดบวรนิเวศวิหาร ในกาลครั้งนี้ พระพุทธที่นำบรรจุ มีพระพุทธรูป ภปร.ขนาดหน้าตัก ๕ นิ้ว ๙นิ้ว ปี๒๕๐๘,พระไพรีพินาศ ปี๒๕๐๕ ขนาดหน้าตัก ๓ นิ้ว,รูปหล่อสมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณวงศ์ ปี๒๕๐๖ ผู้เป็นอุปัชฌาย์จารย์... -
น่าศรัทธายิ่ง "พระพุทธรักขิตะ" ภิกษุจากยูกันดา ผู้ไม่เคยย่อท้อ เคยศึกษาพุทธศาสนาในประเทศไทย..วันนี้ขอเดินหน้าเผยแผ่พุทธศาสนาในแอฟริกาต่อไป
น่าศรัทธายิ่ง "พระพุทธรักขิตะ" ภิกษุจากยูกันดา ผู้ไม่เคยย่อท้อ เคยศึกษาพุทธศาสนาในประเทศไทย..วันนี้ขอเดินหน้าเผยแผ่พุทธศาสนาในแอฟริกาต่อไป
จากเรื่องของ นายจูเลียน ดีซิเลต หรือ "พระจูเลี่ยน" ชาวแคนาดาที่เข้ามาบวช ใต้ร่มพระพุทธศาสนาในประเทศไทยไปนั้น แสดงให้พวกเราศาสนิกชนเห็นว่า ว่าหากเรามุมานะที่จะศึกษาหาความรู้ในสิ่งใดแล้ว ย่อมไม่มีพรมแดนใดที่ขวางกั้นเราได้ ซึ่ง “พระจูเลี่ยน” เป็นอีกตัวอย่างหนึ่งที่ประจักษ์ชัด แต่นอกจากพระจูเลี่ยนแล้ว ทางเราอยากพาท่านไปรู้จักกับ “พระพุทธรักขิตะ” ในภาษาบาลีมีความหมายว่า “ผู้ปกปักษ์รักษาพระพุทธเจ้า” ซึ่งเป็นภิกษุผิวสี จากประเทศยูกันดา ผู้เลือกเดินทางตามรอยพุทธศาสนาและเผยแผ่ธรรมในทวีปแอฟริกาสืบต่อไป
พระพุทธรักขิตะภิกขุ เดิมมีชื่อว่า สตีเว่น คาบอคโกซา (Steven Kaboggoza) เกิดเมื่อปีค.ศ.1966 ในครอบครัวชาวคริสต์ ณ กรุง กัมปาลา ประเทศยูกันดา ทางตะวันออกของทวีปแอฟริกา ตั้งแต่วัยเด็กแล้ว เด็กชายสตีเว่น คาบอคโกซา มักใช้เวลาว่างไปกับการนั่งคิดพิจารณาอยู่เสมอ โดยที่ท่านไม่เคยทราบมาก่อนเลยว่า สิ่งนี้จะกลายเป็นตัวช่วยในการนั่งสมาธิของเขาในอนาคต... -
หลวงปู่จันทา ถาวโร...เล่าเรื่อง คาถาพระไตรสรณะคมน์
เมื่อพักภาวนาอยู่ที่ดงผาลาด พอสมควรแล้ว ได้ข่าวว่าที่ผาอีเมย บ้านดงนาซอน อ.วานรนิวาส จ.สกลนคร มีผีโป่งดุร้ายมาก เขาว่าถ้าไปที่นั่นแล้ว ระวังให้ดีนะ มันจะหักคอกิน นั่นแหละ ก็เลยออกเดินทาง ไปถึงที่นั่น ก็เป็นเวลาเย็นแล้ว ทำที่พักไม่ทัน ก็เลยอาศัยอยู่ใต้ร่มไม้
ค่ำนั้นก็ไม่เดินจงกรม เพราะเดินทางไกลมาแล้ว พอ ๖ โมงเย็นกว่า ๆ ก็มีเสียงเหาะขึ้นทางโคนโป่งโน้น ขึ้นไปบนฟ้า แล้วก็พุ่งลงทางหัวทุ่งทางโน้น เสียงดัง ตึ้ง... ราวกับว่าทุ่งมันจะพังทลาย ไม่นานก็กลายเป็นไฟไหม้ป่าแดงจ้าร่าเข้ามา ไฟป่าก็ลุกรุ่งโรจน์ใกล้เข้ามา มันจะทำให้ตกใจกลัวจนเป็นบ้า วิ่งหนีเข้าป่าไป
โอ๋...นี่หรือที่เขาว่า ผีโป่งผาอีเมยมันร้าย ถ้าใช่จริง ๆ ก็มาหากันวันนี้ เรามาก็เพื่อว่าจะเจริญสมณธรรมหรอก มิได้มารบกวน หวังยึดเอาสถานที่ของใครทั้งนั้น เอานะ มาลองดูกันว่า คาถาอาคมของใครจะเก่งกว่ากัน เราจะได้รู้กันว่า อาคมของศาสนาจะดีเพียงใด จะปราบผีร้ายได้ไหม พอไฟใกล้เข้ามาในระยะประมาณ ๑ เส้น (๒๐ วา) เท่านั้น ก็อ่านคาถาว่า
"อิติปิโสวิเสเส อิอิเสเส พุทธนาเม อิอิเมนา พุทธะตังโส อิอิโสตังพุทธะปิติอิ ตะโจพระพุทธเจ้า ขอจงมาเป็นหนัง...
หน้า 386 ของ 412