1 ปีสึนามิ "อาเจะห์" ความหวังที่ยังรอคอย

ในห้อง 'ข่าวทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 19 ธันวาคม 2005.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    <TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=headline vAlign=baseline align=left> </TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD bgColor=#cccccc height=1>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left>โดย ผู้จัดการออนไลน์</TD><TD class=date vAlign=baseline align=left>19 ธันวาคม 2548 18:15 น.</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD vAlign=center align=middle>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=4 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0><TBODY><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=350 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=350>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    มัสยิดที่ยังหลงเหลือหนึ่งในสิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจของคนอาเจะห์
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> หลังสึนามิชาวอาเจะห์ที่บ้านเรือนถูกคลื่นยักษ์ซัดหายไปกว่า 67,000 คน ยังคงต้องซุกหัวนอนอยู่ในเต็นท์ที่รัฐบาลอินโดนีเซีย หรือองค์การสิทธิมนุษยชนระหว่างประเทศมอบให้ ขณะที่อีกประมาณ 50,000 คนมีความเป็นอยู่ดีกว่าหน่อยเพราะมีบ้านที่สร้างขึ้นอย่างง่ายๆ ให้ได้พักอาศัย

    ได้ แม้เวลาจะล่วงเลยมาเกือบปีแต่พวกเขาเหล่านั้นยังไม่สามารถกลับไปใช้ชีวิตในที่ดินทำกินของตัวเองไกด้ตามปกติ เนื่องจากผู้ประสบภัยไม่มีหลักฐานใดๆ เป็นหลักฐานบ่งชี้ในการครอบครอง ส่วนทางการแดนอิเหนาก็ยังคงสาละวนอยู่กับการบูรณะฟื้นฟูและให้ความช่วยเหลือเกี่ยวกับปากท้องของประชาชน

    ในวาระที่เกือบครบรอบ 1 ปีนี้ ผมเลยขอถือโอกาสนำเรื่องราวของชีวิตคนอาเจะห์ หลังจากผ่านเรื่องราวเลวร้ายที่สุดในชีวิต มาเล่าให้ผู้อ่านฟังเพื่อสะท้อนให้เห็นถึงอีกมุมหนึ่งของโลก ที่แม้ว่าพวกเขาจะมีชีวิตอยู่ด้วยคสามทุกข์ยากแสนสาหัส แต่ว่าพวกเขาก็มีความหวัง

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    ผลผลิตจากแผ่นดินอาเจะห์หลังสึนามิ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> เมืองที่ยังมีชีวิต

    หลังลงจากเครื่องบินที่ท่าอากาศยานอิสกันดาร์ มูดาในเมืองบันดาอาเจะห์ สิ่งแรกที่ผมขอไปชมในเมืองนี้ก็คือ "ตลาด"สถานที่ที่เมเปี่ยมไปด้วยความเคลื่อนไหวและสีสันชีวิตของผู้คนในอาเจะห์

    ตลาดที่เดินทางไปชมนี้ แม้จะเป็นตลาดเล็กกลางเมือง แต่ก็มีความคึกคักไม่น้อย รถราวิ่งกันควักไขว่ อาจจะเป็นเพราะเวลาที่ไปถึงนั้น กำลังเข้าสู่ยามเย็นที่ผู้คนจำนวนมากออกมาจับจ่ายซื้อของไปปรุงเป็นอาหารค่ำ ส่วนสินค้าส่วนมากเป็นผัก ผลไม้ และอาหารสดอย่างไก่ ปลา

    ภูมิปัญญาอาเจะห์

    คืนวันแรกที่ไปถึง เจ้าบ้านชาวอาเจะห์เลี้ยงต้อนรับผู้มาเยือนจากไทยด้วยการไปหาอะไรดื่มสังสรรค์ แต่เนื่องจากที่นี่ไม่ใช่เมืองท่องเที่ยว อีกทั้งยังเป็นเมืองที่นำหลักการของศาสนาอิสลามมาใช้อย่างเคร่งครัด ผู้คนที่นี่จึงออกไปนั่งกันในร้านน้ำชา เพื่อพูดคุยหรือถกกันในประเด็นร้อนๆ ที่เกิดขึ้น

    หนึ่งในเพื่อนชาวอินโดนีเซียของผมได้แนะนำให้รู้จักเครื่องดื่มสุดฮอตของแผ่นดินอาเจะห์ นั่นก็คือ "ซูซูโซดา" ซึ่งก็คือนมใส่โซดาดีๆนี่เอง ตอนแรกผมคิดว่าคงเป็นนมสดผสมโซดา แต่ที่ไหนได้มันกลับกลายเป็นนมข้นหวานผสมโซดาใส่น้ำแข็งที่ดื่มแล้วก็เย็นชื่นใจดีไม่น้อย แถมเพื่อนชาวอิเหนายังบอกอีกว่าซูซูโซดาดีต่อสุขภาพ ควรดื่มหลังอาหาร เพราะจะให้ท้องโล่งโปร่งสบายจากการเรอนั่นเอง

    ส่วนในเรื่องการทำมาหากินแล้ว ผู้คนส่วนใหญ่ในอาเจะห์ยังไม่สามารถประกอบอาชีพประมงได้ เนื่องจากอพยพขึ้นมาอยู่ลึกจากชายทะเล อีกทั้งยังไม่มีเครื่องมือประกอบอาชีพ เพราะเสียหายไปในขณะเกิดคลื่นยักษ์ แต่พวกเขาได้ปรับเปลี่ยนวิถีชีวิต หาสิ่งอื่นทำทดแทนที่ถึงแม้จะไม่ดีนักแต่ก็พอทำให้หาเงินเลี้ยงปากท้องประทังชีวิตไปได้

    บางรายที่เข้ามาอยู่ที่ค่ายผู้อพยพซึ่งลึกเข้ามาในเมือง พวกเขาเลือกพื้นที่ว่างในการปลูกผัก เลี้ยงไก่ในค่าย ส่วนบางคนที่พอมีเงินเก็บอยู่บ้างก็เลือกลงทุนด้วยการเปิดร้านชา ร้านก๋วยเตี๋ยว ร้านอาหารเล็ก หรือร้านขนมขายให้กับเพื่อนที่ประสบภัยในค่าย

    นอกจากนี้ยังมีอาชีพเก็บเศษเหล็กจากซากปรักหักพังก็กลายมาเป็นอีกอาชีพหนึ่งที่คนอาเจะห์นิยมทำ

    ในขณะที่ชาวประมงที่มีความสามารถทางด้านการดำน้ำ พวกเขาจะเลือกลงไปดำหาเศษเหล็กในบริเวณที่ถูกน้ำท่วม หรือซากที่ถูกคลื่นดูดลงไปในน้ำ ซึ่งรายได้จากการขายเศษเหล็กเหล่านี้ก็สร้างรายได้ให้พวกเขาดีไม่น้อย

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    ชีวิตที่ยังมีความหวังหลังสึนามิ
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> "ศาสนาอิสลาม" สิ่งยึดเหนี่ยวจิตใจ

    เกือบทุกเช้าที่อยู่บนผืนแผ่นดินอาเจะห์ ผมจะตื่นขึ้นมาแต่หัวรุ่ง เพราะได้ยินเสียงประกาศเข้าเวลาละหมาด ที่ดังอย่างต่อเนื่องจากมัสยิดหนึ่งไปอีกมัสยิดหนึ่ง ซึ่งชาวอาเจะห์เหล่านี้ปฏิบัติภารกิจ เข้าเฝ้าพระเจ้าตามหลักของอิสลาม จนเป็นเรื่องปกติวันละ 5 เวลา และจากที่ผมสังเกตก็เห็นมัสยิดเต็มไปด้วยผู้คนที่มาละหมาดเป็นจำนวนมาก

    ว่ากันว่าในอาเจะห์เป็นดินแดน ที่ผู้คนยังคงความเป็นมุสลิมมากที่สุดในผืนแผ่นดินอินโดนีเซีย ที่เป็นประเทศที่มีผู้นับถือศาสนาอิสลามมากที่สุดในโลก ผู้ชายที่นี่ยังคงสวมหมวก และนุ่งโสร่งตามวัฒนธรรมแบบมุสลิมอินโดฯ ส่วนผู้หญิงก็ใส่ผ้าคลุมผมและแต่งกายอย่างมิดชิดตามหลักศาสนา

    บนแผ่นดินอาเจะห์นี่เอง ผู้คนส่วนใหญ่ยังคงใช้ตัวอักษรภาษาอาหรับ ในการเขียน แม้ว่าอินโดนีเซียจะรับเอาตัวอักษรโรมันมาใช้แล้วก็ตาม ทำให้ในอาเจะห์เต็มไปด้วยป้ายร้านรวง ภาษาอาหรับเขียนกำกับคู่กับตัวอักษรโรมันเป็นจำนวนมาก

    ช่วงเย็นผมไปเดินเล่น เห็นเด็กๆเดินกันเป็นกลุ่ม เพื่อไปศึกษาภาคศาสนาในบ้านของอิหม่ามหรือครูประจำหมู่บ้าน หลังจากเลิกเรียนในโรงเรียนสามัญ ซึ่งเด็กเหล่านี้จะได้รับความรู้ในการอ่านคัมภีร์อัลกุรอาน การละหมาดและความรู้ในการดำรงชีวิตตามหลักอิสลาม

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=250 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=250>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    หญิงหม้ายที่สูญเสียสามีจากภัยพิบัติ อุ้มลูกน้อยที่มีร่องรอยจากสึนามี
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> จากการพูดคุยกับคนที่นี่ พวกเขาต่างยอมรับกันว่าภัยพิบัติที่เกิดขึ้นมานั้นเป็นการทดสอบและลงโทษจากพระผู้เป็นเจ้า ซึ่งต้องยอมรับและอดทนในสิ่งที่เกิดขึ้นในครั้งนี้ พร้อมกับน้อมรับสิ่งที่เกิดขึ้นอย่างสนิทใจ โดยไม่กล่าวโทษใคร

    ความเชื่อดังกล่าวถ่ายทอดผ่านข้อความที่พ่นไว้บนซากปรักหักพังของอาคารบ้านเรือน ที่เป็นไปในเนื้อความว่า
    "ขอสำนึกผิดและกลับเนื้อกลับตัวจากการลงโทษของพระผู้เป็นเจ้า"

    หรือบางที่ก็พ่นว่า "อัลลอฮ์ผู้ยิ่งใหญ่" หรือ "การตักเตือนจากพระเจ้า" แนวความคิดและการปฏิบัติของคนอาเจะห์เหล่านี้ ทำให้ผมได้ความคิดว่าผู้คนยังคงมีความผูกพันกับศาสนาเป็นอย่างมาก ซึ่งการเดินทางไปอาเจะห์ในครั้งนี้สอนให้ผมได้รู้ว่าถึงแม้มนุษย์จะยิ่งใหญ่สักปานใด มีความสามารถมาสักแค่ไหน แต่ยังไงก็ไม่สามารถเอาชนะทุกสิ่งทุกอย่างได้

    </TD></TR><TR><TD class=body vAlign=baseline align=left><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 align=center border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle><TABLE cellSpacing=0 cellPadding=0 width=300 border=0><TBODY><TR><TD vAlign=top align=middle width=300>[​IMG] </TD></TR><TR><TD class=Image vAlign=baseline align=left>
    ถนนหลายสายในอาเจะห์ปัจจุบันกลายเป็นที่จอดเรือไปเสียแล้ว
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR><TR><TD vAlign=top align=middle height=5>[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE> * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * * *
    เมืองบันดาอาเจะห์
    เป็นเมืองหลวงของจังหวัดอาเจะห์ บนปลายสุดด้านตะวันออกของเกาะสุมาตรา ประชากรมีฐานะปานกลาง ประกอบอาชีพประมง รับจ้าง และเพาะปลูก (มะพร้าว โกโก้ ยางพารา) มีประชากรทั้งหมด 400,000 คน (ก่อนเกิดสึนามิ)

    เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.47 ได้เกิดแผ่นดินไหวความรุนแรง 9.3 ริกเตอร์ห่างไปทางใต้ของเมืองบันดาอาเจะห์ ประมาณ 200 กิโลเมตร หลังจากประมาณ 30 นาที คลื่นยักษ์ขนาดใหญ่(สึนามิ)ได้พัดเข้าถล่มเมืองนี้ราบเป็นหน้ากลอง ทำให้มีผู้เสียชีวิตและสูญหายมากถึง 150,000 คน นับเป็นเมืองที่ได้รับความสูญเสียมากที่สุดจากเหตุการณ์สึนามิครั้งนี้

    สำหรับการเดินทางไปยังจังหวัดอาเจะห์สามารถเดินทางได้ทางเครื่องบินมาลงที่กรุงจาการ์ตา แล้วต่อเครื่องบินภายในประเทศ หรือจะมุ่งตรงมายังเมืองเมดาน ซึ่งเป็นเมืองใหญ่บนเกาะสุมาตรา แล้วต่อเครื่องในประเทศ นอกจากนี้ยังมีเรือจากมาเลเซียด้วยเช่นกัน

    แต่ที่สำคัญที่สุดควรติดต่อกับทางสถานเอกอัครราชทูตอินโดนีเซียประจำประเทศไทยก่อนเดินทางมา เนื่องจากจังหวัดอาเจะห์ เป็นจุดที่ยังมีความขัดแย้งกับชนกลุ่มน้อยกับรัฐบาลกลาง (ถึงแม้ตามปกติแล้วไม่ต้องขอวีซาเข้าอินโดนีเซียก็ตาม)
    </TD></TR></TBODY></TABLE></TD></TR></TBODY></TABLE>
     

แชร์หน้านี้

Loading...