เหนื่อย

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย klu, 13 สิงหาคม 2006.

  1. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
    ปัญญาบารมี

            การเจริญพระกรรมฐานตอนนี้รู้สึกว่าท่านจะเร่งรัดมากหน่อย เพราะว่าก่อนจะลงมา ขึ้นไปหาท่าน องค์สมเด็จฯ ท่านบอกว่าวันนี้ให้พูดเรื่องบารมีข้อเดียวคือ "ปัญญาบารมี" ถ้าเข้าจุดนี้ล่ะเข้าขั้นแล้วนะ

            คำว่า "ปัญญาบารมี" หมายความว่า ใช้กำลังใจให้มีปัญญาสมบูรณ์แบบ เรียกว่ากำลังใจเต็มด้านปัญญา ปัญญาตัวนี้ถ้า ปัญญาบารมี ตัวเดียวเข้มข้น บารมีอีก ๙ ตัว ก็อยู่ในขั้นของ ปัญญาบารมี คือคลุมหมด แต่ว่าปัญญาบารมี วันนี้ท่านบอกว่าให้พูดเรื่อง "ทุกข์" ข้อเดียว ถ้าพูดเรื่องทุกข์ข้อเดียวมันก็จบแล้วนี่ จบไหม...
            ท่านบอกว่า
            คนเรานั่งอยู่ก็นั่งอยู่กับความทุกข์
            กินอยู่ก็กินอยู่กับความทุกข์
            นอนอยู่ก็นอนอยู่กับความทุกข์
            เดินไปเดินมาก็เดินกับความทุกข์ ใช่ไหม...

            ไอ้ที่นั่งอยู่มันเมื่อยไหม เมื่อย..ทุกข์..นอน..ไอ้ที่เรานอนเพราะเมื่อย เราทุกข์จึงนอน ต้องการพักผ่อน นอนอยากจะให้หลับเร็ว ถ้ามันไม่หลับก็ทุกข์

            ไอ้คนที่กินก็กินด้วยความทุกข์ ถ้ามันไม่หิวมันก็ไม่กิน ก่อนที่จะได้กิน อาหารทั้งหมดได้จากแรงงานที่เป็นทุกข์ ถ้าไม่ใช้แรงงานเข้ามาจัดหามาอาหารก็ไม่มี เป็นทุกข์หมด

            ความจริงเรียนทุกข์ตัวเดียวได้ ก็ไม่ต้องจบอะไรกันอีกจบ คนอื่นจบหรือไม่จบ ฉันจบ! เพราะอะไรรู้ไหม เพราะฉันเองเมื่อลา " พุทธภูมิ" พระพุทธเจ้าสอนทุกข์ตัวเดียวตั้งแต่เวลา ๔ ทุ่มถึงตี ๒ ทุกคืน แค่ทุกข์ตัวเดียวท่านพูดทุกคืน เมื่อสอนทุกข์เต็มกำลังที่ท่านต้องการแล้ว ท่านก็เลิก พอกลับมาอีกทีท่านบอกว่า "ไม่มีอะไรจะสอนอีกแล้ว" เพราะคนเราถ้าเห็นทุกข์ก็ไม่มีความอยากจะเกิดเป็นคน เพราะการเกิดเป็นมนุษย์นี่ ไอ้คนเขาแปลว่ายุ่ง "มนุษย์" เขาแปลว่า ใจสูง

            มนุษย์นี่ต้องมี "กรรมบถ ๑๐" ครบถ้วน บุคคลใดปฏิบัติใน "กรรมบถ ๑๐" ครบถ้วน บุคคลผู้นั้นท่านเรียก "มนุษย์"

            ถ้า "กรรมบถ ๑๐" ไม่ครบถ้วน ท่านเรียกว่า "คน" แปลว่า ยุ่ง คนที่มี "กรรมบถ ๑๐" ครบถ้วน ไม่มีอะไรยุ่ง

            "กรรมบถ ๑๐" ก็คือ

            ทางกายมี ๓ ข้อคือ
            (๑) ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ทรมานสัตว์
            (๒) ไม่ลักขโมยของของใคร
            (๓) ไม่ประพฤติผิดในกาม

            ทางวาจามี ๔ ข้อคือ
            (๑) ไม่พูดปด
            (๒) ไม่พูดคำหยาบ
            (๓) ไม่พูดส่อเสียด หรือไม่พูดนินทาให้ใครแตกร้าวกัน
            (๔) ไม่พูดวาจาที่ไร้ประโยชน์

            ด้านจิตใจมี ๓ ข้อคือ
            (๑) ไม่คิดอยากได้ทรัพย์สมบัติของใคร
            (๒) ไม่คิดประทุษร้ายใคร
            (๓) มีความเห็นถูกตามคติที่พระพุทธเจ้าทรงสอนทุกอย่าง

            กรรมบถทั้ง ๑๐ ประการนี้เป็นคุณสมบัติของพระสกิทาคามี คือพระสกิทาคามีฉันหาตำรามานานไม่เจอะ ผลที่สุดเพิ่งมาพบเมื่อเดือนที่แล้ว ใครเขียนรู้ไหม ฉันเขียนเอง คือเขียนให้นักเรียนปฏิญาณตน

            พอพูดถึงศีล ๕ ท่านบอกว่า
            ศีล ๕ เป็นคุณสมบัติของ "พระโสดาบัน"
            กรรมบถ ๑๐ เป็นคุณสมบัติของ "พระสกิทาคามี"

            เพราะว่าพระสกิทาคามีกับพระโสดาบันนี่ ตัดสังโยชน์ได้เท่ากัน ๓ เหมือนกันคือ

            (๑) สักกายทิฏฐิ ที่เขาแปลว่า มีความรู้สึกว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา นั่นอารมณ์พระอรหันต์

            อารมณ์พระโสดาบันกับสกิทาคามี มีความรู้สึกแต่เพียงว่า ชีวิตนี้มันต้องตาย นี่ใช้ปัญญาอ่อนมาก

            ถ้าอนาคามี สักกายทิฏฐิ คิดว่า ร่างกายสกปรก

            ถ้าพระอรหันต์มีความรู้สึกว่า ร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา กำลังของพระอริยะไม่เท่ากัน

            ฉะนั้น พระโสดาบันก็ดี สกิทาคามีก็ดี มีความรู้สึกว่า ชีวิตนี้มันต้องตายแน่ นี่เป็น "สักกายทิฏฐิ"

            (๒) วิจิกิจฉา ไม่สงสัยในความดีของพระพุทธเจ้า ของพระธรรม และพระอริยสงฆ์ มีความเข้าใจด้วยปัญญาว่าพระพุทธเจ้าก็ดี พระธรรมคำสั่งสอนก็ดี พระอริยสงฆ์ที่ปฏิบัติตามพระธรรมคำสั่งสอนก็ดี ท่านมีความดีจริง ควรยอมรับนับถือ และก็ยอมรับนับถือด้วยความจริงใจ ไม่คลายตัว

            (๓) สีลัพพตรปรามาส ไม่ลูบคลำศีล รักษาศีลโดยเคร่งครัด โดยเฉพาะอย่างยิ่งฆราวาส ก็คือศีล ๕ นี่พระโสดาบัน

            ทีนี้ต่อมาพระสกิทาคามีตัด "สังโยชน์ ๓" เหมือนกัน แต่ว่าบรรเทา โลภะ ความโลภ บรรเทา โทสะ ความโกรธ บรรเทา โมหะ ความหลง แต่ว่าหนังสือท่านเขียนแบบนั้น ไม่อธิบายหลักฐานไว้ ต่อมาฉันก็ป่วยหนัก ป่วยมากวันนั้น ลุกไม่ไหว มือก็สั่น ท่านบอกลุกขึ้นเขียนหนังสือ ฉันก็เขียนแบบไส้เดือนแบบ ศรีธนญชัย ท่านบอกว่า

            "การสวดมนต์ถ้าสวดเฉย ๆ ว่าตามภาษาบาลี ก็ไม่ต่างกับเมื่อร้อนจัดเอามือชุบน้ำมาลูบตัว เย็นเหมือนกันแต่เย็นไม่มาก ถ้ารู้ภาษาสวดไปเป็นคำปฏิญาณตนจะมีคุณประโยชน์มาก จิตจะมี หิริ และ โอตตัปปะ อายความชั่ว เกรงกลัวความชั่ว เพราะเราอธิษฐานจิตแล้ว"

            แล้วท่านก็บอกให้แปล ฉันก็จะเอาหนังสือแบบแปล ส่วนมากฉันไม่เหมือนกับชาวบ้านเขา เขาจะว่าเอา

            ท่านบอกว่า "ไม่ต้อง! เดี๋ยวฉันแปลเป็น"

            พระพุทธเจ้าแปลเป็น แปลหนังสือได้ ท่านแปลให้ฟัง ท่านก็แปลต่อหน้าต่อหลัง ถ้าแปลตามตัวไม่เข้าใจ ความหมายไม่เพียงพอ ใช่ไหมล่ะ แล้วต่อมาท่านก็ให้เขียน "สังโยชน์ ๑๐" ท่านบอกว่า "สังโยชน์ ๓" เป็นคุณธรรมของพระสกิทาคามี ท่านบอกเองเลยนะ และใครจะเถียงท่าน จะเถียงก็ไปเถียงกับท่านก็แล้วกันนะ

            ก็รวมความว่า เราจะเป็นพระอริยเจ้าได้เราต้องเป็นคนเห็นทุกข์ ถ้าเห็นทุกข์ไม่ได้เราเป็นพระอริยเจ้าไม่ได้ ทั้งนี้เพราะอะไร ถ้าเห็นว่าการเกิดเป็นมนุษย์ หรือเป็นคนมันเป็นของดี อารมณ์ก็ติดความทุกข์ ติดของที่ไม่แน่นอน การเกิดมาเป็นคนไม่มีการเที่ยง เกิดจากท้องพ่อท้องแม่ตัวเล็กนิดเดียว และก็เติบโตขึ้นมาทุกวัน ๆ อาการโตขึ้นเขาเรียกว่าแก่ขึ้น ตอนแก่ขึ้นเราพอใจ แต่ว่าพออายุสัก ๒๐เศษหรือ ๒๕ เป็นอย่างมาก ต่อไปก็เริ่มแก่ลง ถ้าเราใช้ปัญญาจริง ๆ ว่าการเกิดเป็นมนุษย์เราไม่พบกับความสุขเลย วันไหนที่เราลืมตาตั้งลืมตามาจนหลับตา มันมีความสุขจริงไหม นี่เอากันอย่างย่อ ๆ นะ จะพูดละเอียดอย่างที่พระพุทธเจ้าท่านสอนฉันไม่ได้หรอก ฉันจำไม่ได้หมดเหมือนกัน

            ฉันจำได้แต่เพียงว่า ในโลกทุกอย่างมันเป็นทุกข์ ทีแรกท่านสอนคำข้าวคำเดียวท่านว่าไปตั้งหลายเดือน กินคำเดียวให้หาเหตุของการกินที่เป็นทุกข์ ท่านว่าตั้งหลายคืน และก็เวลาสอนจริง ๆ ท่านบอกไม่ให้นั่ง ท่านให้นอน "เธอจงคิดตามฉันพูด" ท่านพูดช้า ๆ และเราก็คิดตามมันก็ซึ้งดี พระพุทธเจ้าทรงฉลาดมาก ท่านจึงสอนให้คนเป็นพระอริยเจ้าได้ง่าย ขอพวกเราใช้ปัญญา คำว่าปัญญาคือ "ปัญญาบารมี" คือใช้ปัญญาให้ครบถ้วน

            ขั้นแรกให้รู้จักคำว่า "ทุกข์" ตั้งแต่ลืมตาจนหลับตา เวลาไหนบ้างที่เราเป็นสุข ลืมตาขึ้นมาก็พบกับความทุกข์

            อันดับแรก บางท่านหน้ามันเกรอะกรัง ต้องรีบไปล้างหน้า บางท่านเจ้านายเรียก รีบเข้าส้วม ตัวนี้ก็ตัวทุกข์ แต่เรามันชินเลยไม่รู้ว่าเป็นทุกข์

            หลังจากนั้นต่อมาก็เรื่องกัน คนที่จะกินเขาก็ทุกข์ มีทุกข์จึงกินแล้วก็กินทุกข์ คำว่ากินทุกข์เพราะอาหารทุกคำที่เรากิน เราได้มาจากความทุกข์ กว่าเราจะมีทุนซื้ออาหารมาในบ้าน ต้องออกแรงทำงาน ทำงานทุกอย่างด้วยความเหนื่อยยาก เวลาทำงานต้องต่อสู้กับอุปสรรคทุกอย่าง เหนื่อยจากการงาน เหนื่อยจากอารมณ์ของคน มีความกลัดกลุ้มจากอารมณ์ของคน ทุกอย่างเป็นอาการของความทุกข์หมด เป็นอาการของความไม่สบายกาย ไม่สบายใจ อาการที่ไม่สบายกายก็ดี ไม่สบายใจก็ดี พระพุทธเจ้าเรียกว่าเป็นทุกข์ ฉะนั้นกว่าที่เราจะได้ทรัพย์สมบัติเข้ามาเราก็ต้องเป็นทุกข์ก่อน

            อย่างข้าราชการ ลูกจ้าง ต้องเดือนหนึ่ง ลูกจ้างบางราย เขาก็จ้างครึ่งเดือน มันก็ทุกข์ไปครึ่งเดือน ในเมื่อเราได้ทรัพย์สมบัติเข้ามาเราก็หามาเป็นอาหาร อาหารได้มาจากความทุกข์ เรากินก็ถือว่ากินทุกข์ เมื่อกินทุกข์เข้าไปแล้วร่างกายมันเป็นสุขไม่ได้ ร่างกายมันก็เป็นทุกข์ ทุกข์ไหม พอจะกินไอ้นั่นก็อร่อย ไอ้นี่ก็อร่อย ไอ้นี่ก็ดี พอกินเสร็จเหม็นปาก รีบแปรงฟัน ไอ้เหม็นปากรีบแปรงฟันนี่มันตัวทุกข์ แล้วก็แปรงฟันเรียบร้อยดีแล้ว สักครู่หนึ่งก็เริ่มทุกข์ เจ้านายบอกเฮียของใหม่มาแล้วโว้ย ของเก่าอยู่ไม่ได้ต้องไป

            หลังจากนั้นแล้วเราก็ต้องประกอบกิจการงาน การสัมผัสกับคน คนในบ้านก็ดี คนนอกบ้านก็ดี คนร่วมงานก็ดี เราไม่มีอารมณ์ยิ้มแย้มแจ่มในตลอดวัน บางครั้งก็มีอารมณ์สดชื่น บางครั้งก็หน้านิ่วคิ้วขมวด เพราะอารมณ์ไม่ถูกกัน นี่ก็อาการของความทุกข์ อันนี้ว่ากันถึงทุกข์ปกติ

            ทีนี้ร่างกายเคลื่อนไปวันละนิดวันละหน่อย ไปหาความแก่ ความแก่เข้ามามากเท่าใด ความทุกข์เพิ่มเข้ามามากเท่านั้น เพราะความคล่องตัวไม่มี มันไม่มีการคล่องตัว เพราะอะไร เพราะว่าเมื่อแก่แล้วแรงก็ไม่มี หูตาก็ไม่ดีทั้งหมด ทุกสิ่งทุกอย่างก็ไม่สะดวก ความทุกข์ก็เกิดขึ้น ไอ้ตัวแก่เป็นทุกข์ก็ยังไม่พอ ไอ้ตัวเจ็บไข้ไม่สบายก็แทรกแซงเข้ามาอีก ตัวนี้ก็เป็นอาการของความทุกข์

            ต่อไปคนเรามีอุปาทานความยึดมั่นว่า พ่อก็ดี แม่ก็ดี พี่ก็ดี น้องก็ดี สามีภรรยาก็ดี ต้องอยู่ร่วมกันตลอดกาลตลอดสมัย ใจเราคิดเสมอ นี่เป็นอารมณ์ใจที่ฝืนความเป็นจริง

            ก็รวมความว่าเราอยู่เพราะความทุกข์ ถ้าเราคิดอยากจะเกิดอีก ก็เลยต้องการความทุกข์ ถ้าเรารู้จักทุกข์ตัวนี้ตัวเดียว ไอ้นี่พูดอย่างย่อนะ มันยาวไม่ได้ ถ้ายาวไม่ต้องนอนกันล่ะ นั่งหลับ คนพูดก็หลับ คนฟังก็หลับ ต้องใช้ปัญญาพิจารณาหาความทุกข์ให้พบ และถ้าเราพบความทุกข์จุดใดจุดหนึ่งก็จงอย่าทำใจ หดหู่ ให้มีความปลื้มใจในตัวเองว่า เราโง่มาแล้วนับชาติไม่ถ้วน เราก็เริ่มจะมีความฉลาด รู้สึกว่าความทุกข์มันมีทุกชาติ

            ถ้าเราใช้กำลังของ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ คือระลึกชาติได้ฝึกกัน ที่ฝึก ๆ กันไว้ให้ทำกันง่าย ๆ วันสองวันก็ได้ ถ้าไม่นำไปใช้ให้เป็นประโยชน์ก็ช่วยเหลืออะไรไม่ได้ ต้องใช้ให้เป็นปกติ โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้าเราหวังพระนิพพานต้องใช้ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ให้มาก จะรู้ว่าแต่ละชาติที่เราเกิด บางชาติก็มีความรุ่งเรือง บางชาติก็มีความหดหู่ มีความยากจนเข็ญใจ แล้วก็ชาติที่รุ่งเรืองก็ตาม ชาติที่มีความหดหู่ก็ตาม เราก็หนีกฎของความจริงไม่ได้ คือความแก่มันก็แก่ทุกวัน ความป่วยไข้ไม่สบายก็มี ความพลัดพรากจากของรักของชอบใจก็มี ความตายก็มีเป็นที่สุดเหมือนกัน อำนาจวาสนาบารมีในชาตินั้น ๆ เราเกิดใหม่เราไม่สามารถจะดึงกลับมาได้ เราก็ต้องมาสร้างความทุกข์ใหม่ พบกับความทุกข์ใหม่ ให้มีความรู้สึกตามความจริงว่า

            "การเกิดเป็นคนมันเป็นทุกข์"

            หลังจากนั้นเราก็ใช้อารมณ์อีกอารมณ์หนึ่ง การเกิดเป็นเทวดาหรือพรหม ถ้าใช้กำลังของ ปุพเพนิวาสานุสสติญาณ ช่วยจะเห็นว่าการเป็นเทวดาหรือการเป็นพรหม เราเป็นกันนับชาติไม่ถ้วน ถ้าไม่เคยเป็นเทวดาหรือไม่เคยเป็นพรหมเลย เรานั่งแบบนี้ไม่ได้ จะนั่งต่อหน้าพระได้ไม่เกิน ๕ นาทีก็ต้องไป เพราะเห็นว่าพระเป็นตัวอะไรดีล่ะ เป็นตัวสร้างความรำคาญ เอากันย่อ ๆ นะ ดีไม่ดีเขาหาว่าเป็นตัวกิ้งกือ เท้ามาก พวกนี้เขาจะไม่มองพระในด้านดี แล้วมองไม่เห็นความดีของบุญกุศลที่ทำ เขาจะชอบแต่อาการเบียดเบียนซึ่งกันและกัน เห็นว่าเป็นปัจจัยของความสุข นี่เป็นพวกมาจากอบายภูมิ

            ถ้าพวกมาจากเทวดาหรือพรหมจึงจะเห็นว่าการบำเพ็ญกุศลเป็นความดี ควรทำ

            และโดยเฉพาะอย่างยิ่ง ถ้ากำลังบารมีต่ำ ถ้า ปัญญาบารมี ต่ำ การทำบุญก็ทำน้อย ๆ ก็ทำยาก จะทำก็เลือกทำไม่ใช่เลือกพระ ไม่ใช่เลือกคน เลือกสตางค์ ไอ้แบงก์ใหม่ ๆ ทำไม่ได้ต้องแบงค์เก่า ๆ ไอ้แบงค์สีม่วง สีแดงทำไม่ได้ ต้องทำแบงค์สีซีด ๆ นี่ประการหนึ่ง เราจะเห็นว่าคนประเภทนี้บารมีต่ำมาก ต่ำถึงที่สุด เริ่มเข้าเขตพระพุทธศาสนาได้ไม่ถึง ๑ นิ้ว

            ต่อไปบารมีอย่างกลางจะมีความเข้มข้นขึ้นไปพอควร อุปบารมี จะมีความพอใจในการเจริญสมถภาวนาอยู่บ้าง แต่พวกนี้จะหมกมุ่นเฉพาะด้านสมาธิในฌานโลกีย์ การใช้ปัญญาน้อยเต็มที หมกมุ่นว่าจะต้องนั่งเท่านั้นชั่วโมงเท่านี้ชั่วโมงแล้วก็ไปอวดกัน ไอ้ตัวนี้เป็นตัวกิเลสหยาบ หนักมาก และก็ไม่ได้ผลอะไร เรื่องสมถภาวนาอย่างเดียวไม่มีวิปัสสนาญาณควบไม่มีกำลังแก่กล้า ผลที่จะพึงได้ก็คือต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะไม่มีสิ้นสุด ก็ยังเป็นเหยื่อยของนรก เพราะ สติสัมปชัญญะ ไม่สมบูรณ์แบบ

            ทีนี้ถ้ามีปัญญาเป็น ปรมัตถบารมี ปัญญาที่เป็นปรมัตถบารมี จะมีความเข้มข้นมากในการทำบุญ นั่งก็ทน หลับก็ทน ตื่นก็ทน เพราะอะไร ทนตื่น ทนหลับ ทนนั่ง ทนเพื่อความหวังดี นี่เป็นเครื่องสังเกต

            แล้วก็ประการที่ ๒ บุคคลที่มีบารมีเป็น ปรมัตถบารมี ก็ให้ดูศรัทธา ศรัทธามี ๒ อย่าง คือ สังสาธิกสัทธา กับ อสังสาธิกสัทธา

            สังสาธิกสัทธา ทำบุญต้องชักชวนกัน ต้องเรียกกัน ต้องดึงกัน บางทีดึงแล้วดึงอีก พวกเรียกแล้วเรียกอีกก็ทำไม่รู้เรื่อง อย่างนี้บารมีไกลจากนิพพานมาก คือหลายแสนโยชน์

            ถ้า อสังสาธิกสัทธา การทำบุญทำกุศลไม่ต้องชักชวน มุ่งหน้าทำกันจริง ๆ พวกนี้เป็น ปรมัตถบารมี

            ก็รวมความว่าต้องใช้กำลังใจพิจารณาว่า การเกิดเป็นเทวดาก็ดี การเกิดเป็นพรหมก็ดี ไม่ใช่ดีจริง ๆ อยู่ได้ไม่นานก็ต้องลงมา นี่เราใช้ ปุพเพนิวาสานุสสติ ช่วย เราก็เคยเป็นมาแล้วเป็นเทวดาหรือพรหม จุดที่จะมีความดีจริงคือ "พระนิพพาน"

            ฉะนั้น บุคคลใดเริ่มเห็นทุกข์เล็กน้อยไม่ต้องมาก เห็นทุกข์มุมใดมุมหนึ่งของโลกว่าเป็นทุกข์ ก็ให้ทำจิตใจให้รื่นเริงว่าเวลานี้ เราเริ่มฉลาด เราสามารถเห็นตัวทุกข์ได้ เราจับทุกข์ได้เมื่อใดเราก็ไปนิพพานเมื่อนั้น ก็ให้ตั้งกำลังใจคิดว่าพระนิพพานเขาไปกันแบบไหน ก็จงอย่าไปกันแบบจู่โจม ที่เคยพูดกันบ่อย ๆ เพราะต้องพูดกันทุกเที่ยว

            อันดับแรกต้องจับอารมณ์พระโสดาบันก่อน ไม่มีอะไรมาก เรื่องเล็ก ๆ รึไง พระโสดาบันตัวเท่าเล็นเท่าไรเลยจับไม่ถูกเลยตัวเล็กจัดไป พระโสดาบันนี่เรื่องเล็ก ๆ จริง ๆ การเจริญพระกรรมฐานที่ไม่มีผล เพราะไม่รู้จักพระโสดาบันเป็นอย่างไร นั่งเคี่ยวเข็ญสมาธิอยู่นั่นแหละ เท่านั้นชั่วโมง เท่านี้ชั่วโมง ไม่เคยใช้ปัญญา ถ้ามีปัญญาเล็กน้อยจะเห็นว่าทำแบบนั้นฌานโลกีย์ยังเป็นเหยื่อของอบายภูมิ ราคะ ความรัก ยังเต็มอัตรา โลภะ ความโลภ ยังเต็มอัตรา โทสะ ความโกรธ ยังเต็มอัตรา โมหะ ความหลง หลงว่าการทำอย่างนั้นดีที่สุดแล้ว นี่เรียกว่าหลงเต็มอัตรา ก็ไม่ไปไหนต้องเวียนว่ายตายเกิดในวัฏฏะ เงาพระนิพพานไม่ได้เห็น คนที่จะเห็นเงาพระนิพพานได้และพระนิพพานได้จริง ๆ ต้องมีปัญญา ปัญญาตัวนี้ก็จับเอาจุดแรก

            อันดับแรกเราต้องเข้ากระแสพระนิพพานให้ได้ พระนิพพานนี่เหมือนกับดวงอาทิตย์ ถ้าเราไปถึงดวงอาทิตย์ไม่ได้ ก็เข้าไปในเขตแสงอาทิตย์ให้ได้จะพบกับความสว่าง อย่างน้อย ๆ เราก็เห็นความสว่าง เห็นมือเห็นเท้าเราถนัด เราไม่อยู่ในมุมมืด นั่นก็คือจับอารมณ์พระโสดาบันซึ่งง่ายเหลือเกิน

            พระโสดาบันมีอะไร ถ้าคนมาที่นี่ทุกคนมานั่งอยู่ที่นี่ ถ้าบางวันไม่โกหกตัวเอง โกหกตัวเองมีรึ มีไหม ที่กล่าวว่า
            "พุทธัง สรณัง คัจฉามิ"
            ขอถึงพระพุทธเจ้าเป็นที่พึ่ง
            "ธัมมัง สรณัง คัจฉามิ"
            ขอถึงพระธรรมเป็นที่พึ่ง
            "สังฆัง สรณัง คัจฉามิ"
            ขอถึงพระสงฆ์เป็นที่พึ่ง

            พระก็บอกว่า โยม! ถ้าต้องการให้อาตมาเป็นที่พึ่ง ก็ ปาณาติปาราเวรมณี เป็นต้น อย่าฆ่าสัตว์ อย่าลักทรัพย์ อย่าประพฤติผิดในกาม อย่าพูดปดมดเท็จ อย่าดื่มสุราเมรัย

            สาธุ! ดีเจ้าค่ะ ดีครับ ดีแล้วค่ะ ดีแล้ว พอกลับออกไปโกหกกันเลยนี่

            พอเดินผ่านร้านเหล้า เมตตาบารมี ก็เกิด เอ..นี่ถ้าเราไม่ซื้อ จะพังนะไอ้ร้านนี้ มันจะขาดทุนแย่ ไม่ได้เราเป็นคนมีเมตตาแบ่งให้มันซักบาทสองบาทไม่เป็นไร ไอ้ก๊งแรกชักจะแพง ล่อไปก๊งเดียวสองก๊ง เอ..ขวดนี้เท่าไรหว่า เอามา ๆ เท่าไรเท่ากัน ดีไม่ดีต้องจำนำกางเกงใน ไอ้นี่ถ้าเป็นอย่างนี้พระโสดาบันไม่ได้ พระโสดาบันต้องมี ปัญญาบารมี หรือมี สัจจบารมี ปัญญารู้ว่าการละเมิดศีล ๕ เป็นปัจจัยของความทุกข์ ต้องมีสัจจะว่าเราต้องทรงศีล ๕ ให้ครบถ้วนบริบูรณ์ ทั้งต่อหน้าคนและลับหลัง อยู่ที่ไหนก็ตามไม่ละเมิดศีล ๕ โดยเจตนา แค่นี้ก็เป็นพระโสดาบันยากไหม

            ก็รวมความว่า พระโสดาบันก็ดี พระสกิทาคามีก็ดี แค่อนุสสติเป็นการกระทำที่ง่ายที่สุด "อนุสสติ" คือ ตามนึกถึง จำไว้นึกไว้

            (๑) เราจะเคารพพระพุทธเจ้า
            (๒) เราจะเคารพพระธรรม
            (๓) เราจะเคารพพระอริยสงฆ์

            นี่เราต้องเอาพระอริยสงฆ์นะ พระปกติล่ะ ถ้าจะไม่เป็นเรื่อง เมื่อเช้าเขามาเล่าให้ฟังว่ามีไอ้เสือเหลืองตัว ขึ้นไปเรี่ยไรบนตึกสูงทำการค้า ลูกน้องบอกว่า นายห้างไม่อยู่ แกก็ไม่ยอม ไปเคาะประตู นายห้างเขาอยู่แต่ว่าใส่กลอน ลูกจ้างสองคนก็ยืนคุยกัน ไอ้เสือเหลืองกลับออกมานึกว่าด่า เลยสองคนเสียเกือบแย่ นี่ไอ้เสือเหลือง ไม่ใช่พระ เขามาเล่าให้ฟังก็เลยบอกว่า ทำไมไม่เตะให้หล่นลงไปจากบ้านหมดเรื่องหมดราว

            นี่มันเป็นอย่างนี้ ฉะนั้นเราควรเลือกเอาพระอริยะ มีหรือไม่มีก็ช่าง เราก็ตั้งใจยอมรับนับถือพระอริยเจ้าก็แล้วกัน แต่ว่าจะเดาส่งไม่ได้ เดาส่งเดี๋ยวไปเจอะดีเข้าอีก

            รวมความว่า การเคารพพระพุทธเจ้าด้วยความจริงใจ เคารพพระธรรม เคารพพระอริยสงฆ์ด้วยความจริงใจ มั่นใจในศีล ๕ มีสัจธรรม เราไม่ยอมละเมิดศีล ๕ ทั้งต่อหน้าและลับหลัง ท่านผู้นั้นเป็นผู้เข้าถึงกระแสพระนิพพาน พอเข้าถึงกระแสพระนิพพาน เหมือนเราไปถึงดวงอาทิตย์ไม่ได้ เราก็พบแสงสว่างของดวงอาทิตย์ เราก็ไม่มืดแล้ว คนประเภทนี้ลงอบายภูมิไม่ได้อีก เท่านี้พอ

            และก็ถ้าจับอารมณ์ของพระโสดาบันได้มั่นคง แต่อย่าลืมนะ อย่าทะนงตัวว่าเราเป็นพระโสดาบัน ถึงแม้ว่าจะเป็นจริง ๆ พระอริยเจ้าท่านได้แล้วท่านไม่ทะนงตัว ถ้าเป็นพระโสดาบันท่านจะคิดว่าท่านไม่ดี เพราะว่าท่านยังเป็นพระสกิทาคามีไม่ได้ ถ้าเป็นพระสกิทาคามีแล้วท่านก็ยังคิดว่าไม่ดี เพราะยังเป็นพระอนาคามีไม่ได้ พอเป็นอนาคามีแล้วท่านก็ยังคิดว่าไม่ดี เพราะยังเป็นอรหันต์ไม่ได้ พอเป็นอรหันต์แล้วก็ยังรู้สึกว่าไม่ดี เพราะยังมีร่างกายอยู่ ยังไง ๆ พระอรหันต์ก็คนธรรมดา ปวดท้องขี้ ปวดท้องเยี่ยวเหมือนกัน หิวเหมือนกัน มีร่างกายป่วยไข้ไม่สบายเหมือนกัน

            แต่ว่าพระอรหันต์กับบุคคลธรรมดามีอารมณ์ต่างกันนิดหนึ่ง ที่ท่านเอาจิตของท่านกับกายแยกกันได้เด็ดขาด ความทุกข์ทางกายของพระอรหันต์ จะไม่ทุกข์ถึงใจ ร่างกายป่วยก็เชิญร่างกายป่วยตามสบาย รักษาหายก็หาย ไม่หายถ้าตายเมื่อไรฉันไปนิพพาน จิตท่านเป็นสุขตลอดเวลา สัมผัสกับอาการแบบไหนก็ตามพระอรหันต์ไม่มีการขึ้นการลงอารมณ์ปกติ

            คือว่าพระอรหันต์นี่ท่านไม่มีอะไรของท่านเลย เจอะคนทุกคนก็คิดว่า คนก็คือคน เอ๊ะ! เห็นคนเป็นหมาก็ไม่ใช่คนน่ะซิ! นั่นก็หมายความว่า เห็นคนทุกคนก็ทราบตามความเป็นจริงว่าคนทุกคนไม่มีสภาพของความเที่ยง มีสภาพเป็น อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา มีความตาย เป็นที่สุดเหมือนกันหมด ท่านก็ไม่เกาะติดร่างกายของคน เห็นทรัพย์สินต่าง ๆ ก็ไม่เกาะติดในทรัพย์สินต่าง ๆ อารมณ์ที่เกาะติดมีอย่างเดียวคือ "สังขารุเปกขาญาณ" คือวางเฉยในร่างกายคือขันธ์ ๕

            ท่านที่เป็นพระอรหันต์แล้วท่านมีความคล่องตัวมาก สมถวิปัสสนาทุกอย่างท่านไม่ปล่อยเลย พวกนี้คุมตลอดเวลาไม่ผิดเลย ทำไมจจึงไม่ยอมปล่อยเลย เป็นอรหันต์แล้ว หมดกิเลสแล้วทำไมจึงต้องใช้อีก

            พระสารีบุตร บอกว่า "เราต้องใช้ เราใช้เพื่อความเป็นอยู่เป็นสุข ให้รู้ตามความเป็นจริงว่า ร่างกายหรือโลกนี้เต็มไปด้วยความทุกข์ เมื่อมันทุกข์ก็เป็นทุกข์ของโลก เราอย่าทุกข์ไปกับโลกด้วย ไอ้ร่างกายเป็นสมบัติของกิเลส ตัณหา อุปาทาน และอกุศลกรรม ไม่ใช่สมบัติของเรา เราไม่ใช่ร่างกาย เราคืออทิสสมานกาย คืออีกกายหนึ่ง"

            ท่านที่ฝึก มโนมยิทธิ แล้วทุกคนทราบว่าร่างกายที่เรานั่งจึ้นไปบนพรหมก็ดี สวรรค์ก็ดี นิพพานก็ดี นรก เปรต อสุรกายก็ดี เราไม่ได้เอากายเนื้อไปด้วย แสดงว่ากายเราแท้ ฉะนั้นพระอรหันต์เกาะกายนั้นกายเดียว อารมณ์ของท่านจะไม่วางเรื่องนิพพาน

            เอาละ บรรดาท่านพุทธบริษัท พูดยาวไปก็ขอยุติแต่เพียงเท่านี้ ขอความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล จงมีแด่บรรดาท่านพุทธบริษัทและลูกหลานทุกคน สวัสดี*
     
  2. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
    ขี้เกียจแก้แล้ว
    ที่มาจริง ๆ มาจากข้อความที่ว่า

    คนที่จะเข้าใจพระนิพพานได้นั้น จะต้องเป็นปรมัตถบารมี

    ความจริงแล้วข้อความนี้ยาวกว่านี้ แต่ไม่สามารถจะหาตัวเต็ม ๆ ได้
    กระทู้นี้จึงยังไม่สมบูรณ์
    หากใครได้พบเห็นข้อความนี้ ช่วยนำมาแปะเติมให้สมบูรณ์ด้วยก็แล้วกัน
     
  3. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            ทำไมอาจารย์ถึงเลือกสมัคร ส.ว. พื้นที่กรุงเทพฯคะทั้งที่อาจารย์ก็ใช้ชีวิตอยู่ที่ลพบุรีเป็นส่วนใหญ่

            คือที่ลพบุรีมีนักการเมืองท้องถิ่นอยู่ โรงเรียนผมตั้งอยู่ที่นี่ ถ้าเผื่อผมไปแข่งขันผมอาจชนะแต่โรงเรียนจะมีปัญหาต่อไป ผมไม่ต้องการให้การเมืองเข้ามาแทรกในโรงเรียนนี้ เพราะฉะนั้นปลอดภัยที่สุดคือไปลงที่บ้านเกิดเมืองนอนของผม ผมเกิดในกรุงเทพฯ โตและเรียนในกรุงเทพฯ อยู่ตั้งแต่โรงเรียนเซนต์ฟรัง เซนต์คาเบรียล สวนกุหลาบ เสร็จแล้วก็ไปต่างประเทศ
     
  4. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            พื้นที่กรุงเทพฯ คนส่วนใหญ่รู้จักอาจารย์ดี

            ครับ เพราะผมเคยเป็น ส.ส. 3 สมัยที่นั่น
     
  5. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            เพราะอะไรคะอาจารย์ถึงอยากเข้าไปทำงาน ส.ว.

            มีหลายคนที่เขาอยากจะให้ผมเข้า จริง ๆ ชีวิตนี้ผมเพียงพอแล้วทุกอย่าง สอนเด็กอยู่ที่นี่มีความสุขมาก ช่วยให้เด็ก ๆ เจริญเติบโตเป็นคนดี แค่นี้ก็ภูิมิใจ แต่เพื่อน ๆ นักวิชาการใครต่อใครบอกว่าอยากจะได้ตัวแทนที่อยู่ทางด้านการศึกษาเข้าไปจะได้ช่วยกัน ก็ขอร้องกัน แล้วเขาก็ดีอกดีใจ ขอมอบให้ผมช่วยนำอะไรต่อะไรที่จะเข้าไปในสภา ผมเข้าไปอยู่ในกรรมาธิการการศึกษาของวุฒิสภา ช่วยเตือนช่วยอะไรต่ออะไรหลายอย่าง เพราะรัฐบาลของเราเน้นทางด้าน brain-based learning นี่มาจากอเมริกาเป็นหลัก แล้วเขาเห็นว่าเด็กเก่ง เด็กเป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นนักเทคโนโลยี แล้วประสบความสำเร็จ แต่ผมเตือนทุกคนอยู่เรื่อยว่าเราอยากจะเป็นแบบอเมริกาเหรอ เราต้องการให้เด็กมีปัญหาติดยาเสพติดกันเยอะ มั่วเซ็กซ์กันเยอะแยะไปหมด เราต้องการให้เขาเป็นคนที่ไม่เคารพคนอื่นหรือเปล่า เพราะเด็ก ๆ อเมริกานี่ไม่เคารพแม้กระทั่งพ่อแม่ ไม่ดูแลพ่อแม่ เราต้องการสังคมอย่างนั้นเหรอ ถ้าต้องการจะให้การศึกษาเป็นแบบอเมริกาเราจะค่อย ๆ ตามหลังเขา ผมก็เตือนสติเขา... เพราะเรามีวิธีการที่ดี ๆ อยู่แล้วในประเทศไทยที่จะสร้างคนดี เรามีวิถีพุทธมีการศึกษาแบบไตรสิกขา ซึ่งทำให้คนดีเหนือสิ่งอื่นใด เมื่อดีแล้วเขาจะเก่งเอง อย่างเด็กที่โรงเรียนนี้พอเขาฝึกปฏิบัติ เขาเรียน เด็กที่นี่เป็นคนดีมาก ๆ จบออกไปเขาก็เข้ามหาวิทยาลัยได้ 100 เปอร์เซ็นต์ทุกคน ทางเขตการศึกษาตั้งเกณฑ์ให้เรา 52 เปอร์เซ็นต์ แต่เราได้ 100 เปอร์เซ็นต์ ฉะนั้นเป็นข้อพิสูจน์ว่าดีก่อนแล้วจะเก่งเอง แต่ถ้าเผื่อเก่งก่อนไม่จำเป็นว่าจะต้องดี จะมีปัญหา เพราะคนเก่งจะต้องแข่งขันกัน แล้วเขาจะไม่ช่วยคนอื่น เพราะเดี๋ยวคนอื่นจะเก่งเท่าเขา คนเก่งมักมีปัญหาตรงนี้ ไม่ชอบให้คนอื่นเก่งเท่าเขา ฉะนั้น เขาจะดิ้นรนและต่อสู้ เราจะเห็นในโลกของเราคนเก่งพยายามป้องกันตัวเองมากเกินไป อย่างประเทศหนึ่งสร้างอาวุธอะไรขึ้นมา อีกประเทศหนึ่งซึ่งอยู่เหนือกว่าทั้ง ๆ ที่ตัวเองมีอาวุธร้ายแรงก็ไม่ยอม ก็ต้องส่งทหารไปปราบ นี่คือปัญหาของคนเก่ง ฉะนั้นเราสร้างคนดีดีกว่า
     
  6. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            มื่อครั้งอาจารย์เข้าไปเป็น ส.ส. มีเป้าหมายเช่นเดียวกันกับการเป็น ส.ว. ครั้งนี้หรือเปล่าคะ

            ตอนนั้นผมอยู่ในกรรมาธิการการศึกษา เน้นในเรื่องของการศึกษา แล้วได้ช่วยให้เกิดการปฏิรูปการศึกษาขึ้นมา เคยเสนออะไรต่ออะไรในสภา แต่ผมอยู่พรรคเล็ก ๆ ไม่ได้อยู่พรรคใหญ่โตอะไร เพราะฉะนั้นยังไม่ได้ผลเท่าที่ควร บางทีเป็น ส.ส. ต้องอยู่กับมติพรรค ต้องปฏิบัติตามพรรค เขาว่ายังไงเราต้องเอาตาม ไม่มีความอิสระ แต่การเป็น ส.ว. มีอิสระเต็มที่ เราไม่ขึ้นอยู่กับใคร ไม่ขึ้นกับพรรคไหน หน่วยงานไหน เราเป็นตัวของเราเอง สามารถพูดอธิบายอะไรต่ออะไรได้
     
  7. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            ปัจจุบันอาจารย์ดำรงตำแหน่งเป็นผู้อำนวยการของโรงเรียนสัตยาไส

            ผมไม่ได้เป็นผู้อำนวยการเองครับ แต่ดำรงตำแหน่งเป็นผู้บริหารสูงสุด ท่านผู้อำนวยการเรามีอยู่แล้วที่ท่านจะคอยดูแลจัดการ ผมเพียงแต่ช่วยดูแลนโยบาย ช่วยกำกับ ตรวจสอบ ช่วยหาเงิน หางบประมาณมาสนับสนุน แล้วก็เป็นผู้คอยอบรมครูตามแนวนโยบายของเราที่จะสร้างความดีเหนือสิ่งอื่นใด คือหน้าที่หลักที่ผมทำอยู่ที่นี่ครับ
     
  8. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            อาจารย์ใช้ชีวิตอยู่ที่โรงเรียนตลอดหรือเปล่าคะ

            ตลอดครับ เพราะเป็นผู้บริหารที่ดีเราต้องเป็นแบบฉบับด้วย เป็นตัวอย่าง ผู้บริหารที่ดีคือผู้ที่เดินนำหน้าให้คนอื่นเดินตาม ไม่ใช่คนชี้นิ้วบอกว่าเธอต้องไปอย่างนั้นแล้วเราก็อยู่อย่างนี้ อย่างนี้ไม่ถือว่าเป็นผู้บริหารที่ดี เพราะฉะนั้นผมถึงได้ตื่นแต่เช้า แล้วต้องเข้าห้องพระไม่ว่าจะเหนื่อยแค่ไหน เมื่อคนผมนอนเกือบจะตีหนึ่งครึ่ง ได้นอนนิดเดียว แต่เราต้องตื่นตีสี่ครึ่ง ขี้เกียจไม่ได้ เพราะถ้าเราไม่ตื่นคนอื่นก็ไม่ยอมตื่น พอผมเข้าห้องพระเป็นคนแรกทุกคนก็เห็น เราจะสวดมนต์ เสร็จแล้วผมจะเล่านิทานธรรมะวันเรื่องทุกวัน เพราะการใช้นิทานกับเด็กเป็นเรื่องที่เด็กเขาจะเข้าใจ สนใจ อยากจะฟัง เขาเรียนรู้อะไรต่ออะไรที่เราใส่เข้าไปในนิทานได้ดี
     
  9. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            หลังจากเข้าห้องพระแล้ว กิจวัตรต่อไปของอาจารย์คือ

            หลังจากนั้นเราจะมีการรับประทานอาหารพร้อมกัน ผมเป็นครูประจำชั้น ม.6 ด้วย พอทานข้าวผมต้องไปนั่งหัวโต๊ะของชั้น ม.6 ท่านผู้อำนวยการท่านจะขึ้นไปนั่งบนเวทีเพราะท่านเป็นประธาน ผมจะนั่งอยู่กับเด็ก ๆ แล้วก่อนการรับประทานอาหารก็จะมีการสวดมนต์ ฉะนั้นผมต้องอยู่สวดมนต์กับเขา เป็นตัวอย่างให้กับเด็ก ๆ จากนั้นถึงจะมาเข้าแถวหน้าเสาธง อัญเชิญธงขึ้นสู่ยอดเสา เพราะที่นี่เราเน้นว่าต้องรักชาติของเรา ต้องเสียสละ ต้องทำคุณประโยชน์ให้กับชาติ ศาสนา แต่ที่นี่ก็มีหลายศาสนา ประเทศไทยเป็นยังไงเราก็เป็นอย่างนั้น ฉะนั้น 95 เปอร์เซ็นต์ของเด็กที่นี่เป็นชาวพุทธ ที่เหลือมีทั้งชาวคริสต์ ชาวมุสลิม ฮินดู ซิกข์ เราจะเป็นคล้าย ๆ ตัวแทนของประเทศไทยตรงที่ว่า 5 เปอร์เซ็นต์รวย นอนนั้นก็ปานกลางและจนเป็นหลัก มาจากทุกภาคของประเทศไทย ฉะนั้นการสอนเราจะสอนให้เขารักกัน สามัคคีกัน เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน ไม่ว่ามาจากภาคไหน จะรวยหรือจะจน ศาสนาอะไร เพราะเรื่องศาสนาเราถือเป็นเรื่องสำคัญที่ต้องยึดไว้ เราจะบอกเด็กชาวมุสลิมว่าจงเป็นมุสลิมที่ดี โดยไม่พยายามเปลี่ยนอะไรเขา เด็กมุสลิมมีพิธีละหมาด พอถึงช่วงฤดูกาลรอมฎอน เราก็สนับสนุนให้เขาอดอาหารตอนกลางวัน พอเขาตื่นมาตีสี่ครื่งเราให้เขาทานข้าวก่อน เสร็จแล้วค่อยไปทำละหมาด แล้วจะมีคนที่อยู่ที่นี่เพื่อช่วยสอนเขาให้อ่านคัมภีร์กุรุอาน
     
  10. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            เห็นที่โรงเรียนมีแปลงข้าวด้วย เด็ก ๆ ช่วยกันปลูกหรือคะ

            ครับ เป็นสิ่งหนึ่งที่เรานำหลักเศรษฐกิจพอเพียงของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว มาใช้ ตอนนี้เด็กปลูกข้าวเอง เกี่ยวข้าวเอง ทำทุกอย่างเอง ปีที่แล้วเราผลิตข้าวได้ 31 ตัน เพียงพอที่เราจะบริโภคในโรงเรียน 3 มื้อต่อวันที่เราใช้ข้าว ไม่ต้องไปซื้อที่ไหนแล้ว เรารู้จักพึ่งตัวเอง อยู่้ได้ด้วยตนเองตามระบบเศรษฐกิจพอเพียง แล้วทางโรงเรียนก็ไม่เก็บค่าเล่าเรียน เพราะผมพูดอยู่เสมอกับทุก ๆ คนว่า ถ้าเราเก็บค่าเล่าเรียน เขาจ่ายเงินมาให้เรา เราก็เหมือนกับลูกจ้างเขา เขาจะบอกอะไรเราก็ได้่ อยากจะให้การศึกษาเป็นอย่างโน้นอย่างนี้ แต่ของเราไม่เก็บ เพราะฉะนั้นเราบอกผู้ปกครอง สอนผู้ปกครอง อบรมผู้ปกครองว่าเขาจะต้องปฏิบัติอย่างไร เลี้ยงลูกอย่างไร ให้ความอบอุ่นกับลูกอย่างไร ตรงนี้เรามีสิทธิ์เต็มที่ เพราะเราไม่ได้เก็บอะไรจากเขา แล้วเราก็พร้อมที่จะเป็นตัวอย่างของการให้ การเสียสละ ซึ่งผู้ปกครองของเด็ก ๆ เขาก็ซึ้งเข้าใจว่ามาอยู่ที่นี่เขาได้รับประโยชน์มาก ๆ
     
  11. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            การเรียนการสอนที่นี่มีวิชาอะไรเป็นพิเศษที่แตกต่างจากโรงเรียนทั่วไปไหมคะ

            ชั่วโมงแรกของเราเป็นชั่วโมงคุณค่าความเป็นมนุษย์เรียนเหมือนกันหมดทุกชั้น เน้นในเรื่องคุณธรรม ในสิ่งที่เราเรียกว่าคุณค่าความเป็นมนุษย์ คือสิ่งที่เป็นคุณค่าต่อความเป็นมนุษย์ของเราที่แตกต่างจากสัตว์ ข้อหนึ่ง คือ ความรักความเมตตา ความเมตตาจะมีในมนุษย์สูงขึ้นไปเรื่อย ๆ ถ้ามนุษย์จะเสียสละและให้ ข้อสอง คือความจริง ความจริงคือสิ่งที่ไม่เปลี่ยนแปลง มีมนุษย์เท่านั้นที่สามารถขึ้นไปแสวงหาความจริงได้ สัตว์ทำไม่ได้ สาม คือความประพฤติชอบซึ่งมาจากความเมตตาเป็นหลัก ในการที่เราจะช่วยเหลือคนอื่น ทำประโยชน์ให้แ่ก่ส่วนรวม ทำแต่สิ่งที่ดีที่งาม นอกจากนั้นก็มีความสงบ ฝึกจิตใจให้มีความสงบนิ่งเพื่อเราจะได้ยกระดับจิตใจของเราให้สูงขึ้น
    แล้วอีกข้อหนึ่ง ข้อที่ห้า คืออหิงสา การที่เราไม่เบียดเบียนเพื่อนมนุษย์ ไม่เบียดเบียนสัตว์ ไม่ใช้กำลังในการโต้ตอบ ไ่ม่ใช้กำลังในการแก้ปัญหา นั่นคืออหิงสา ในเมื่อไม่เบียดเบียนสัตว์เราก็เลยทานมังสวิรัติกันทั้งโรงเรียน ทานแต่ผัก เราไม่ไปฆ่าสัตว์ตัดชีวิต เราได้รักษาศีลเต็มที่ 100 เปอร์เซ็นต์ อันนี้คือชั่วโมงคุณค่าความเป็นมนุษย์
     
  12. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            อาจารย์เป็นคนสอนคุณค่าความเป็นมนุษย์เอง

            ผมสอนเฉพาะ ม.6 นอกนั้นครูประจำชั้นทุกชั้นก็สอนเอง เราจะฝึกให้เขาเข้าใจวิธีการที่จะค่อย ๆ ดึงเอาสิ่งที่ดีงามออกจากตัวเด็ก แล้วหลังจากชั่วโมงแรกที่เหมือนกันทั้งโรงเรียน เราถึงเข้าสู่ การเรียนตามปกติเหมือนโรงเรียนสามัญ ยกเว้นเราบูรณาการคุณธรรมในทุกวิชาเท่านั้นเอง แล้วบางครั้งก็เอาทุกวิชามาบูรณาการให้เป็นเรื่องเดียวกัน แทนที่จะแยกเรียนคณิตศาสตร์ แยกเรียนสังคม แยกเรียนภาษา เราให้เด็กได้เห็นว่าแท้ที่จริงต้องอาศัยทุกอย่างพร้อมกัน ไม่ใช่แยกกันไปคนละเรื่องคนละวิชา ซึ่งจะทำให้เด็กเขาเห็นว่าวิชาเหล่านี้นำไปใช้ในชีวิตจริงได้
     
  13. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            อยากให้อาจารย์ช่วยเล่าถึงที่มาของโรงเรียนสัตยาไสหน่อยค่ะว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร

            เมื่อ 24 ปีที่แล้วผมไปที่ประเทศอินเดียวแล้วไปเจอท่านไสบาบา ท่านเป็นทั้งนักการศึกษา เป็นอธิการบดีมหาวิทยาลัยที่มีชื่อเสียงที่สุดในประเทศอินเดีย ท่านมีทั้งโรงเรียนประถมฯ มัธยมฯ มีโรงเรียนอนุบาลด้วย ในขณะเดียวกันท่านก็สอนธรรมะให้กับคนทั่วโลก วันนั้นท่านเจอผมแล้วจ้องหน้าผมสักพักหนึ่งก็บอกว่า ในชีวิตที่เหลือขอให้หันมาสนใจการศึกษาของเด็ก พอฟังผมตอบรับทันทีเพราะท่านพูดประทับใจมาก และนั่นคือจุดเปลี่ยนชีวิตของผม จากที่เคยเป็น ส.ส. เป็นนักวิทยาศาสตร์ เป็นนักธุรกิจ เป็นอาจารย์อยู่ที่มหาวิทยาลัย ก็เปลี่ยนทิศทางของตัวเองมาสู่การสอนเด็ก กลับมาเมืองไทยตอนแรกเริ่มต้นจากการทดลองสอนเด็กในแหล่งชุมชนแออัด ดูว่าเราสามารถเปลี่ยนชีวิตของเขาได้ไหม ปรากฎว่าเด็กพวกนี้เปลี่ยนอย่างรวดเร็ว เราเริ่มเห็นผล จากนั้นจึงอบรมครูแล้ว ครูเหล่านั้นก็เรียกร้องว่าขอดูโรงเรียนที่ทำอย่างนี้จริง ๆ เลยตกลงกับเพื่อน ๆ ว่าเรามาตั้งโรงเรียนตัวอย่างกันดีกว่าแล้วผมก็เพียงแต่ตั้งสเป็กว่าเราจะทำเป็นโรงเรียนประจำ ต้องไม่อยู่ห่างจากกรุงเทพฯเกินกว่า 3 ชั่วโมง เพราะตอนนั้นเราต้องการอาสาสมัครค่อนข้างเยอะ แล้วขอให้มีแม่น้ำไหลผ่านตลอดทั้งปี มีภูเขาอยู่ในบริเวณ เราหาทั่วไปหมดก็มาเจอที่นี่ที่เหมาะสมที่สุด
     
  14. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            ทำไมต้องเป็นโรงเรียนประจำด้วย

            คือผมตั้งใจตั้งแต่แรกว่าเราต้องทุ่มเทชีวิตนี้เพื่อให้เด็กเกิดการเปลี่ยนแปลง เพราะฉะนั้นเลยถือว่าเราจะต้องฝึกกันเต็มที่ เพราะเด็กเขาก็มีชีวิตอยู่กับเรา เราควบคุมอะไรต่ออะไรได้ ถ้าเกิดเด็กอยู่ที่บ้านบางทีเขาก็ได้แต่ดูโทรทัศน์ บางคนเล่นคอมพิวเตอร์เกม ซึ่งไม่ได้เกิดประโยชน์ต่อชีวิต ฉะนั้นเราต้องการที่จะควบคุมสิ่งแวดล้อมให้เหมาะสม เพราะเราจะต้องสร้างภูมิคุ้มกันให้กับเด็ก อันนี้สำคัญมาก ถ้าเกิดเราสร้างภูมิคุ้มกันไม่ได้พอออกไปเขาจะหลงใหลกับสิ่งที่อยู่รอบตัวเขา แล้วในยุคสมัยนี้มีหลายอย่างที่สร้างความเสียหายให้กับเด็ก ฉะนั้นการอยู่ประจำเป็นเรื่องสำคัญซึ่งเราควบคุมสิ่งแวดล้อมได้ ควบคุมเรื่องโทรทัศน์ สื่อต่าง ๆ ได้ อันนี้เป็นสิ่งที่เราดูแลเขาตอนเล็ก ๆ พอโตขึ้นมาเราก็เริ่มเปิดโลกอันกว้างให้เขาได้เห็นให้เขาได้รู้ แต่เขาจะต้องรู้จักคิด รู้จักวิเคราะห์ มีวิจารณญาณ พอ ม.6 เขาจบหลักสูตรของเราแล้ว เขาจะไม่มีปัญหาเลยครับ ออกไปอยู่ข้างนอกก็จะไม่หลงทาง
     
  15. varanyo

    varanyo เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    17 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    925
    ค่าพลัง:
    +3,373
    เหนื่อย...เหมือนกันครับ...
     
  16. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            มีการติดตามเด็กต่อหลังจากเรียนจบแล้ว

            ครับ ตามดูเด็กด้วยว่าเขาเป็นยังไง มีการเปลี่ยนแปลงอะไรมั้ย ผู้ปกครองก็ยังยืนยันว่าเด็กยังดีเหมือนเดิม ไม่ไปหลงอะไรข้างนอก ไม่มีการสูบบุหรี่ ไ่ม่มียาเสพติด ไม่มีอะไรที่เสียหาย ผู้ปกครองจะบ่นมากับเราแค่เรื่องเดียว นั่นคือ เด็กที่ผ่านการเรียนการสอนที่นี่เสียสละมากเกินไป ผู้ปกครองจะบ่นว่ามีอะไรก็ให้คนอื่น มีอะไรก็ให้คนอื่น แต่เราภูมิใจนะว่าสามารถฝึกให้เขาเป็นคนที่เสียสละได้เต็มที่
     
  17. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            เด็กจะดีได้ก็เพราะครูเป็นคนสอน สำหรับโรงเรียนสัตยาไสแล้วที่นี่มีหลักการคัดเลือกครูอย่างไร ต่างจากโรงเรียนทั่วไปหรือเปล่าคะ

            วิธีการคัดเลือกเราจะประกาศออกไปทั่ว ไม่ได้คัดเลือกเฉพาะบางสถาบันหรืออะไร พอคนสมัครเข้ามาเราจะเชิญทุกคนมาเข้าค่ายที่โรงเรียน 3 วัน การเข้าค่ายคือการเลือกครูที่เหมาะสมที่จะมาปฏิบัติงาน วิธีการของเรา วันแรกผมจะบรรยายให้ฟังก่อนว่าแนวทางการเรียนการสอนของเราเป็นอย่างไร เราจะต้องเน้นในเรื่องคุณธรรม ต้องสอนอย่างไร การบูรณาการทำอย่างไร พอครูได้ยินอย่างนี้ ประมาณครึ่งหนึ่งเขาก็บอกว่าอย่างนี้ไม่ใช่วิธีการของเขา เขาไม่ได้เรียนมาอย่างนี้ เขาไม่เหมาะที่จะเป็นครูอย่างนี้ เขาก็คัดตัวเองออกไป เขาไม่อยู่วันที่สองแล้ว เราจะเหลือแค่ 50 เปอร์เซ็นต์ วันที่สองผมจะพูดว่า ครูต้องอยู่ในโรงเรียน 24 ชั่วโมง เราไม่มีศูนย์การค้าอยู่ใกล้ ๆ โรงเรียน ไม่มีที่ที่จะไปเที่ยว เด็กป่วยกลางดึกเราต้องตื่น เราต้องเสียสละ ต้องพาเขาไปโรงพยาบาล ต้องดูแลเด็ก ๆ ตลอดเวลา เพราะเป็นโรงเรียนประจำ ผมก็จะพูดให้เขาฟัง แล้วให้เขาเข้าใจด้วยว่าที่นี่มีกฎสำหรับครูอยู่สองข้อ ซึ่งเขาต้องปฏิบัติ กฎข้อแรกคือ จงเป็นตัวอย่างที่ดี แล้วผมพูดชัดเจนเลยว่า ถ้าเผื่อเราบอกว่าอย่าสูบบุหรี่ ตัวเราเองต้องไม่สูบ กลับไปบ้านก็ต้องไม่สูบ เพราะถ้าเราไม่เชื่อในสิ่งที่ตัวเองพูดแล้วจะขาดพลัง เด็กก็ไม่เชื่อ เพราะฉะนั้น ผมบอกเลย ห้ามสอนในสิ่งที่ตัวเองปฏิบัติไม่ได้ เพราะมันจะมีความเสียหายมากกว่าจะเป็นของดี ฉะนั้นเขาจะต้องฝึกตัวเองก่อน เพื่อเป็นตัวอย่างที่ดีให้ได้ นี่คือกฎข้อแรก กฎข้อที่สอง จงกลับไปดูข้อที่หนึ่งใหม่ แค่นี้... คือเตือนอยู่เรื่อย ๆ ว่าเราต้องเป็นตัวอย่างที่ดี พอพูดเสร็จครูอีกกึ่งหนึ่งก็ไปแล้ว ไม่อยู่แล้วโรงเรียนแบบนี้ เขาจะต้องเสียสละมากเกินไป ไม่มีที่เที่ยว ไม่มีที่พักผ่อน ทีนี้เหลือแค่ 25 เปอร์เซ็นต์ แล้ววันที่สามเราก็ให้เขาสัมผัสกับเด็ก เขาไปสอนอยู่กับเด็ก ๆ เด็กของเราจะไวมาก รู้เลยว่าครูคนไหนมีความเมตตา ครูคนไหนรักเขา แล้วเขาก็จะไปเกาะติดอยู่กับครูเหล่านั้น ฉะนั้นในที่สุดเราก็จะสังเกตเด็กของเรา ซึ่งเด็กจะเป็นตัวชี้ขาดว่าใครจะมาเป็นครูของเขา อันนี้คือวิธีการคัดเลือกครู แล้วเราก็ไม่ค่อยผิดหวัง
     
  18. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            ตอนนี้ที่โรงเรียนมีครูกี่คนคะ

            ประมาณ 50 คน เรามีอัตราส่วนที่สูงที่สุดในโลกนะคือ 1: 7 เด็ก 7 คน ครู 1 คน เราเน้นในเรื่องของจิตใจ ต้องให้ความรัก ความเมตตากับเด็ก ช่วยเด็กจริง ๆ แล้วเราเป็นโรงเรียนประจำด้วย การเป็นโรงเรียนประจำต้องดูแลเขาตลอด 24 ชั่วโมง ฉะนั้นครูคนเดียวไม่ได้ ต้องหลาย ๆ คนที่จะช่วยกันดูแลเด็ก
     
  19. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            แล้วเด็กล่ะคะ ทางโรงเรียนมีวิธีการคัดเลือกอย่างไร

            เราไม่ได้คัดเลือกเด็กเท่าไหร่ แต่คัดเลือกผู้ปกครองเป็นหลัก โรงเรียนอื่นต้องทดสอบเด็กเพื่อดูว่าเด็กเก่งหรือเปล่า แต่ของเราไม่ได้คัดเลือกเด็กเก่ง เพราะนั่นไม่ใช่เป้าหมายของโรงเรียนนี้ เราต้องการสร้างคนดีเหนือสิ่งอื่นใด เลยไม่ค่อยคัดเด็กเท่าไหร่ เพราะอยากให้โอกาสเด็กทุกคนไม่ว่ารวยหรือจน เรียนเก่งหรือไม่เ่ก่ง เราจะคัดเลือกผู้ปกครองก่อน เพียงแต่ผู้ปกครองเห็นด้วยว่าเขาต้องการให้ลูกเขาเป็นคนดี ไม่ใช่คนเก่ง ถ้าเขาบอกว่าอยากให้เด็กเขาเีรียนเก่ง ได้เข้ามหาวิทยาลัยดี ๆ เพราะได้ข่าวว่าที่นี่เข้ามหาวิทยาลัยได้ 100 เปอร์เซ็นต์ เราจะแนะนำให้เขาพาไปเข้าโรงเรียนอื่นที่ดีกว่า เนื่องจากผู้ปกครองเป็นคนที่สำคัญมาก เขาต้องช่วยทางโรงเรียนด้วย เมื่ออยู่บ้านต้องให้ความอบอุ่นกับลูก ปิดเทอมผู้ปกครองต้องหาเวลามาอยู่กับลูก สำคัญคือให้ความร่วมมือกับลูก อย่างถ้าลูกบอกอยากจะนั่งสมาธิ ไปชวนคุณพ่อมานั่งสมาธิด้วยกันตอนเช้า คุณพ่อคุณแม่จะบอกว่าเหลวไหลไม่เอา อย่างนี้ไม่ได้ ต้องมานั่งกับลูก เด็กของเราจะเป็นตัวนำในบ้าน ดึงมาสวดมนต์ด้วยกัน ดึงมานั่งสมาธิด้วยกัน เพราะฉะนั้นเขาก็จะช่วยทำให้ครอบครัวเกิดการเปลี่ยนแปลงอย่างมากเลย โดยเราจะคุยกับผู้ปกครองเพื่อให้เข้าใจจุดนี้ พอเขาเข้าใจและผ่านการคัดเลือกในเบื้องต้นแล้วว่า ผู้ปกครองคนนี้เหมาะที่จะมาอยู่กับเรา ก็มีขั้นที่สองที่จะต้องผ่าน นั่นคือผู้ปกครองทุกคนต้องมาเข้าค่ายที่นี่ 3 วัน แล้วเราจะอบรมผู้ปกครอง อันนี้เป็นขั้นสุดท้ายของการรับเด็กเข้ามา ถ้าเผื่อไม่ยอมมาแสดงว่าเขาไม่สนใจเพียงพอที่จะให้ลูกเป็นคนดี เราจะไม่รับ ฉะนั้นเขาต้องผ่านขั้นตอนการเข้าค่ายที่นี่ แต่ในวันเข้าค่ายเราก็ให้เด็กมาเข้าค่ายด้วย แต่จับนอนแยกกันเพื่อจะได้ค่อย ๆ ฝึกเด็กให้อยู่ห่างจากคุณพ่อคุณแม่ ซึ่งช่วงเวลานี้พ่อแม่ก็จะช่วยตักเตือนลูกด้วย
     
  20. klu

    klu เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 พฤษภาคม 2006
    โพสต์:
    361
    ค่าพลัง:
    +1,320
            เมื่ออยู่โรงเรียนประจำเด็ก ๆ ก็ต้องช่วยเหลือตัวเอง

            เด็กที่นี่จะเก่งมากในเรื่องการช่วยเหลือตัวเอง เพราะเมื่อเขาตื่นขึ้นมาแล้วต้องเข้าห้องน้ำเอง แต่งตัวเอง ซึ่งเด็กเล็ก ๆ นี่ฝึกประเดี๋ยวเดียวเก่งแล้ว พอทานอาหารเสร็จ เขาต้องล้างจาน เช็ดโต๊ะ ทำความสะอาด กลายเป็นหน้าที่ที่ต้องปฏิบัติกัน พอเขากลับบ้านนี่คุณพ่อคุณแม่ชมมากเลย บอกว่าทำงานบ้านอะไรต่ออะไรได้เก่ง ซักผ้าเอง ทำอะไรต่ออะไรเอง ซึ่งแต่ก่อนเด็กไม่ค่อยได้ทำ แต่ตอนนี้เขาทำได้แล้วครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...