เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 6 พฤศจิกายน 2021.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๖ พฤศจิกายน ๒๕๖๔


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔ กระผม/อาตมภาพเพิ่งวิ่งกลับมา ซึ่งความจริงถ้าพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมวัชรเมธี กรรมการมหาเถรสมาคม เจ้าอาวาสวัดอรุณราชวราราม ท่านสะดวก ก็คงไม่ได้กลับ คราวนี้ท่านบอกว่า วันนี้ท่านติดรับพระบัญชาสมเด็จพระสังฆราชเป็นเจ้าคณะภาค ๙ ที่นัดเอาไว้ผมก็เลยโดน "เท"

    พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพรหมวัชรเมธี ที่กระผม/อาตมภาพเรียกแบบเคารพนับถือว่าหลวงพ่อสมเกียรติ ท่านเป็นพระเถระที่อ่อนน้อมถ่อมตนมาก พูดกับคนอื่นไม่เคยเห็นว่าอีกฝ่ายเป็นเด็ก ท่านถ่อมตนลงจนเหมือนกับท่านเป็นเด็กกว่าทุกครั้ง ตรงจุดนี้เราต้องเข้าใจว่า พระเถระระดับนั้น ถ้าหากว่าไม่ใช่กำลังใจดีจริง ๆ แล้ว ไม่มีใครทำได้ เพราะว่าเป็นการลดอัตตาของตัวเองลง อย่างชนิดที่เรียกว่าน้อยคนที่จะคิดถึงว่า พระผู้ใหญ่ระดับนั้นท่านจะลดตนเองลงไปได้ถึงขนาดนั้น

    ในส่วนที่ไปนั้น อันดับแรกเลยก็คือ ไปร่วมงานศพของ ผศ.ประสิทธิ์ ทองอุ่น อดีตประธานคณะที่ปรึกษาผู้อำนวยการวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี ในฐานะลูกศิษย์ก็ต้องไป เพราะว่ากระผม/อาตมภาพโตมากับวิทยาลัยสงฆ์พุทธปัญญาศรีทวารวดี ตั้งแต่สมัยที่ยังเป็นห้องเรียนสาขาพระพุทธศาสนาของวิทยาลัยสงฆ์บาฬีศึกษาพุทธโฆส จนกระทั่งยกฐานะเป็นวิทยาลัยสงฆ์ และจะเลื่อนเป็นวิทยาเขตในเวลาอีกไม่นาน แล้วในฐานะผู้บริหารวิทยาลัยสงฆ์กาญจนบุรีศรีไพบูลย์ก็ต้องไปอยู่แล้ว

    แต่ว่าการไปแบบนั้นก็ไม่ค่อยจะดี ตรงที่ว่าเป็นจุดเด่นของงาน เพราะว่าส่วนใหญ่แล้วระดับอาจารย์ก็พรรคพวกเพื่อนฝูงกัน ที่เหลือนั่นก็ลูกศิษย์ทั้งนั้น ถึงเวลาเดี๋ยวคนโน้นมากราบ เดี๋ยวคนนี้มากราบ จนกลายเป็นเป้าสายตาคนอื่นเขา ในเรื่องของครูบาอาจารย์ ก็ต้องบอกว่า รุ่นของกระผม/อาตมภาพนั้น ท่านก็ล่วงลับไปเรื่อย ๆ ตามอายุขัยของตน
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    เมื่อเสร็จงาน วันนี้ก็ไปบวงสรวงพุทธาภิเษกวัตถุมงคลที่วัดเดิมบาง จังหวัดสุพรรณบุรี ซึ่งเจ้าอาวาสคือ หลวงพ่อจวบ (พระครูสุวรรณปุญญารักษ์) ท่านเปลี่ยนชื่อเป็น ปุญญพัฒน์ ก็คือเจริญด้วยบุญ ท่านนิมนต์รูปเดียว ให้ไปเสกเดี่ยว

    นั่ง ๆ อยู่ ก็คิดว่าแสงแดดส่องเข้ามาในมณฑป ก็คือเป็นมณฑปของพระเถระที่เป็นอดีตเจ้าอาวาสแล้วก็ครูบาอาจารย์ที่ทางวัดเคารพนับถือ ก็คือมณฑปหลวงพ่อแจ่ม หลวงพ่อแบน หลวงพ่อกวย ปรากฏว่าแสงสว่างจัดขึ้นเรื่อย ๆ พิจารณาดูแล้วไม่ใช่แสงพระอาทิตย์ เพราะพระอาทิตย์มีแต่ลอยสูงขึ้น เป็นไปไม่ได้ที่แสงจะมาทุกทิศทุกทางแบบนี้ แล้วก็เห็นครูบาอาจารย์หลายท่านมาสงเคราะห์ตามปกติ

    เมื่อเสร็จพิธีก็โทรไปหาพระเดชพระคุณหลวงพ่อพระพหรมวัชรเมธี ปรากฏว่าท่านแจ้งว่า ท่านรับตราตั้งเจ้าคณะภาค ๙ พอถามถึงพรุ่งนี้ ท่านบอกว่าพรุ่งนี้ต้องไปงานรับตราตั้งของรองเจ้าคณะภาค ๙ ผมก็เลยกราบเรียนว่า "ถ้าอย่างนั้นผมกลับก่อนนะครับหลวงพ่อ" ท่านบอกว่าไม่เป็นไร เดี๋ยวจะให้เลขานุการติดต่อไปทีหลัง วิ่งกลับมาก็ไม่ได้สรงน้ำหรอกครับ มาบันทึกเสียงอย่างที่เห็นนี้แล้วก็ทำวัตร

    ตั้งแต่สมัยท่านอาจารย์สมพงษ์ (พระสมุห์สมพงษ์ เขมจิตฺโต) ยังเป็นเจ้าอาวาส ใหม่ ๆ กระผม/อาตมภาพไปที่ไหน ท่านก็โดดขึ้นรถตามไป คือในความรู้สึกของคนอื่น พอเห็นกระผม/อาตมภาพออกไป ก็คือ "ไปเที่ยว" แต่ปรากฏว่านิสัยของผม เสร็จงานก็กลับ เสร็จงานก็กลับ ไม่ได้แวะไปไหนเลย โดนไป ๒ - ๓ ครั้งท่านก็เข็ด ไม่ไปด้วยอีก ถ้าสังเกตจะเห็นว่า ถ้าสามารถกลับมาให้ทันทำวัตรเช้า ทำวัตรค่ำได้ ผมจะพยายามกลับมาให้ทัน


    เรื่องนี้เกิดจาก ๒ สาเหตุด้วยกันครับ สาเหตุแรก...หลัก ๆ เลยที่พวกท่านคิดไม่ถึง ก็คือ ออกนอกวัดไปแล้วกิเลสมีมาก รัก โลภ โกรธ หลง ท่วมหัวเลย หันไปทางไหนก็เจอทั้งนั้น ขนาดทำบุญยังโลภในบุญกันเลย ผมขี้เกียจไปชนกับกิเลสพวกนี้ ก็เลยหนีกลับวัดดีกว่า


    ประการที่สองก็คือ กลับวัดมาเราเองก็ปฏิบัติอยู่ในกรอบ อยู่ในระเบียบของวัด ได้สร้างบุญ สร้างกุศล ตามกาลตามเวลา ส่วนที่เหลือก็แล้วแต่ว่าใครจะมีความฉลาดพอที่จะหยิบ จะจับ จะหางานอะไรทำ เพื่อรักษาสภาพใจของตัวเองไม่ให้ฟุ้งซ่าน
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    แต่คราวนี้ที่กระผม/อาตมภาพบอกว่า พวกท่านคิดไม่ค่อยถึงก็คือ ส่วนใหญ่แล้วมักจะลากลับบ้าน ลาไปสถานที่ต่าง ๆ ลักษณะอย่างนี้ ถ้าหากว่าเป็นผม จะบอกว่า "ยื่นหัวไปให้เขาตี" ในวัดของเรากระแสส่วนใหญ่ไหลไปทางเดียวกัน ก็คือตั้งหน้าตั้งตาสะสมบุญกุศล ในศีล ในสมาธิ ในปัญญา แต่ออกไปข้างนอก โดยเฉพาะกลับบ้าน มีแต่กิเลสท่วมหัว..!

    หลายท่านที่บวชอยู่นาน ๆ กลับบ้านไปแต่ละที มีบ้างไหมที่ญาติโยมเขาไม่เอาเรื่องเดือดร้อนทางบ้านมาเล่าให้ฟัง ? ส่วนใหญ่ก็สารพัดเรื่อง รับเข้ามาก็ร้อนหู ร้อนตา ร้อนใจ แล้วท้ายสุดก็อยู่ไม่ได้ ตรงจุดนี้พวกเราต้องสังวรให้ดีนะครับ
    กระผม/อาตมภาพถึงได้บอกว่า พวกเราแส่หาเรื่อง ยื่นหัวไปให้เขาตีเอง แต่คราวนี้ถ้าหากว่าท่านลาตามสิทธิ์ กระผม/อาตมภาพก็ไม่ได้ว่าอะไร เพียงแต่ว่าให้รู้จักระมัดระวัง รักษากำลังใจให้เป็น

    ผมบวชมาปีนี้ ปีที่ ๓๖ ระยะเวลา ๓๖ พรรษาเต็ม ขึ้นปีที่ ๓๗ แล้ว ผมกลับบ้านจริง ๆ แค่ครั้งเดียวครับ หลังจากบวชไป ๘ เดือน ก็คือผมบวชวันที่ ๑๕ พฤษภาคม ๒๕๒๙ แล้วหลังจากนั้นก็อยู่วัด ซักซ้อมการปฏิบัติ ทำตามระเบียบ ทำตามวินัย พยายามสร้างกำลังใจตนเองให้เข้มแข็งที่สุดเท่าที่จะทำได้ เพราะจำคำสอนของหลวงพ่อวัดท่าซุงที่บอกไว้ว่า "ยังมีเวลาอยู่ ต้องเร่งปฏิบัติให้มาก เมื่อถึงเวลางานเข้ามา จะได้มีกำลังสู้งานได้"


    ปรากฏว่า ๘ เดือนผ่านไป ลากลับบ้านครั้งแรก กระผม/อาตมภาพทนอยู่ได้ไม่ถึง ๑๕ นาที รู้สึกชัด ๆ เลยว่า "บ้านไม่ใช่บ้านของเราแล้ว" จนต้องหนีไปนอนที่วัดเทพศิรินทราวาสกับหลวงปู่มหาอำพัน แล้วหลังจากนั้นความคิดที่จะกลับบ้านไม่เคยมีอีกเลย มีสองปีแรกที่ถึงเวลาตรุษจีน ทางแม่และพี่น้องเขานิมนต์ไปรวมญาติ ปรากฏว่าไปปีแรกเขาก็ถวายเงินแต๊ะเอียกันมา คนโน้นบ้าง คนนี้บ้าง ปีที่สองไปก็ถวายมา ปีที่สามผมเลิกไป เพราะรู้สึกว่าเหมือนกับตั้งใจไปเอาเงิน


    ดังนั้น...ไม่ว่าผมจะไปที่ไหนก็ตาม ผมจะพยายามรีบกลับวัดให้เร็วที่สุด เพราะรู้สึกว่าเป็นที่ซึ่งปลอดภัย อย่างน้อย ๆ กระแสกิเลส รัก โลภ โกรธ หลง ก็น้อยกว่าข้างนอก ท่านทั้งหลายถ้าหากว่าสภาพจิตไม่ไวพอ ก็อาจจะไม่รู้สึกรู้สาอะไร แต่ถ้าหากว่าสภาพจิตไวพอ เวลาเรากระทบนี่ จะรู้สึกเหมือนกับโดนไฟเผาครับ ราคัคคินา โทสัคคินา โมหัคคินา ชัดมากเลย ไฟคือราคะ ไฟคือโลภะ ไฟคือโทสะ ไฟคือโมหะ ส่วนใหญ่เป็นคนอื่นเอามาเผาเรา ก็เพราะว่าเราทะลึ่งโง่ออกไปให้เขาเผาเอง..!
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,663
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,551
    ค่าพลัง:
    +26,390
    อีกประการก็คือ ท่านทั้งหลายแส่ออกไปหากิเลสเอง ต้องบอกว่าออกไปเจ็บตัวเอง ยกเว้นตั้งใจจะทดสอบกำลังใจของตัวเองว่า เวลาปะทะกับกิเลส ชนกับกิเลสแล้ว เราสามารถที่จะสู้ได้สักเท่าไร แต่โอกาสแพ้มี ๑๐๐ เปอร์เซ็นต์ครับ..!

    ประการที่สองก็คือ เมื่อกลับมาให้สังเกตอารมณ์ใจตัวเองให้ดี ๆ ว่าอยากไปอีกหรือเปล่า ? ถ้ารู้สึกว่าอยากไปอีก แล้วก็ดิ้นรนนับวันคอยว่า เมื่อไรจะครบเวลาเสียที จะได้ลาใหม่ ถ้าลักษณะอย่างนี้รอดยากครับ เพราะว่าโดนดึงไปชนกับกิเลสเรื่อย ๆ ท้ายที่สุดเราเองก็สู้ไม่ได้ เพราะว่ากิเลสเก่งกว่า ส่วนใหญ่ก็สึกหาลาเพศไป หรือไม่ก็เที่ยวตะลอน ๆ ไปเรื่อย ไม่มีเวลาปฏิบัติธรรมอย่างเป็นจริงเป็นจัง แล้วก็ดันคิดว่าตัวเองทำแล้วดี มีความก้าวหน้าในการปฏิบัติ โดยที่ไม่รู้เลยว่าโดนกิเลสหลอก..!


    เวลาเราออกไปเท่ากับว่าเราไปหาอาหารให้ ตา หู จมูก ลิ้น กาย ใจ ของเราเสพเสวยตามที่กิเลสต้องการ เมื่อกินอิ่มกิเลสก็สงบชั่วคราว ถึงเวลาหิวก็อาละวาดใหม่ เราออกไปหาให้กิน กิเลสก็นอนเงียบเพราะว่ากินอิ่มแล้ว เราก็ไปคิดว่าการปฏิบัติธรรมของเราก้าวหน้า แต่ความจริงแล้วโดนกิเลสหลอกเต็ม ๆ ลองหยุดไปสักพักเดียวสิครับ ดูซิว่ากิเลสจะดิ้นตายขนาดไหน !!?


    เรื่องพวกนี้ต้องมีประสบการณ์เองครับ เพราะฉะนั้น..ถ้าจะให้ห้ามพวกท่าน กระผม/อาตมภาพไม่ห้ามหรอกครับ...ไปเถอะ โดนเข้าแล้ว หัวร้างคางแตกกลับมาก็ทำแผล เย็บกันเอง ใส่ยากันเองก็แล้วกัน

    ครูบาอาจารย์แต่ละคน ถ้าหากว่าเป็นนักรบ ไปรบกับกิเลสมา มีแต่แผลทั้งตัว กว่าที่จะมานั่งให้เขากราบ ให้เขาไหว้ สั่งสอนคนได้ ทั้งตัวหาที่ว่างไม่ได้หรอกครับ ปะทะกับกิเลสมา มีแต่แผลทั้งนั้น..!

    ดังนั้น...ตรงจุดนี้ที่บอกกล่าวกับพวกเรา อันดับแรกก็คือว่า บางท่านก็สงสัยว่าทำไมผมรีบไปรีบกลับ ก็คือตีกับกิเลสมาจนชินครับ อยู่ข้างนอกนี่โอกาสแพ้มีสูงมาก อย่างไรก็ต้องกลับเข้าที่มั่นของเราก่อน


    ประการที่สองก็คือ พยายามรักษากฎเกณฑ์ต่าง ๆ ปฏิบัติตามกฎเกณฑ์กติกาที่ตั้งไว้ เพื่อสร้างบุญสร้างกุศลให้กับตัวเองให้มากที่สุด สร้างกำลังใจตนเองให้เข้มแข็งที่สุด เมื่อถึงเวลาเราจะได้มีกำลังสู้กับกิเลสได้ ตรงจุดนี้บางทีบางท่านก็ไม่ได้สังเกต แล้วอีกอย่างหนึ่งก็รู้สึกว่าอยากจะให้ผมกลับ แต่พอผมกลับมาจริง ๆ ก็อยากจะให้ผมไป..! รู้สึกตลกดีเหมือนกัน


    วันนี้ก็ฝากเอาไว้สำหรับพระภิกษุสามเณรและญาติโยมของเราแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๖ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๔
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...