เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๗

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 17 สิงหาคม 2024.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันเสาร์ที่ ๑๗ สิงหาคม ๒๕๖๗


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    วันนี้ตรงกับวันเสาร์ที่ ๑๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗ กระผม/อาตมภาพพร้อมด้วยหลวงพ่อแป๊ะ (พระครูยติธรรมานุยุต) เจ้าคณะตำบลบางกระเบา เจ้าอาวาสวัดสว่างอารมณ์ (แคแถว) จังหวัดนครปฐม ได้ร่วมกันเป็นประธานในการหล่อพระลาก คำว่า "พระลาก" ในที่นี้ ถ้าหากว่าเป็นภาคกลางก็คือพระพุทธรูปที่ใช้ในการชักพระ แต่ด้วยความที่ว่าผู้หล่อนั้นเป็นคนปักษ์ใต้ จึงใช้สำนวนคนใต้เรียกว่า "พระลาก" สำหรับคนที่ไม่รู้จักฟังแล้วก็อาจจะงงอยู่สักหน่อย

    เมื่อตั้งใจบวงสรวงขอบารมีครูบาอาจารย์ นอกจากหลวงปู่ปาน วัดบางนมโคแล้ว ก็เห็นหลวงปู่บุญ วัดกลางบางแก้วเมตตามาในงานด้วย แถมยังชี้ให้ดูด้วยว่าพระมีความชำรุดเสียหายในช่วงล่าง ต้องซ่อม กระผม/อาตมภาพกราบเรียนถวายท่านว่า "ถ้าหากว่าช่วงล่างถือว่าเป็นของง่ายครับ" เพราะถ้าหากว่าเป็นบริเวณองค์ จะมีลวดลายต่าง ๆ ทำให้การซ่อมเป็นไปด้วยความยาก และถ้าหากว่าเสียหายบริเวณพระพักตร์ ก็จะต้องแก้ไขด้วยการปั้นหุ่นใหม่ ทำให้ต้องเริ่มต้นในการหล่อใหม่ทั้งหมดไปเลย..!

    เมื่อเสร็จพิธีแล้ว กระผม/อาตมภาพก็ขอตัวกับหลวงพ่อแป๊ะ เพื่อเดินทางขึ้นไปยังจังหวัดลำพูน เพื่อไปเป็นประธานในพิธีสืบชะตาหลวงตุ๊พ่อสิงห์ (พระอธิการสิงห์ วิสุทฺโธ) เจ้าอาวาสวัดพระพุทธบาทถ้ำป่าไผ่ ซึ่งมีพิธีการสืบชะตาและทำบุญอายุวัฒนมงคล ๘๗ ปีในวันพรุ่งนี้

    ถ้าว่าไปแล้ว ในสายของพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุงนั้น ปัจจุบันนี้ต้องนับว่าตุ๊พ่อสิงห์มีอายุกาลพรรษามากที่สุด เนื่องเพราะว่าบุคคลที่มีอายุกาลพรรษาเท่ากัน คืออุปสมบทในปี ๒๕๒๐ เท่ากันนั้น ในสายของวัดท่าซุง ปัจจุบันก็เหลือแต่หลวงพ่อชัยวัฒน์ อชิโต หลวงพ่อบรรจง กวิวํโส และหลวงพ่อไพบูลย์ คุณวิปุโล กับตุ๊พ่อสิงห์ (พระอธิการสิงห์ วิสุทฺโธ) นี้เท่านั้น ซึ่งถือว่าบวชในปีเดียวกัน พรรษาเท่ากัน แต่ว่าในส่วนอื่นก็คืออายุโดยธรรมชาติ ไม่ใช่อายุพรรษานั้น ตุ๊พ่อสิงห์ถือว่าสูงที่สุด ก็คือถึง ๘๗ ปี..!

    ก่อนหน้านี้ยังมีท่านเจ้าคุณหลวงปู่อำนวย (พระภาวนาสุตาจารย์ วิ.) วัดชัยชนะสงคราม อำเภอหาดใหญ่ จังหวัดสงขลา ซึ่งมีอายุกาลพรรษาสูงสุด แต่ว่าตอนนี้หลวงปู่เจ้าคุณอำนวยได้มรณภาพและทำการฌาปนกิจไปแล้ว จึงเหลือแต่ตุ๊พ่อสิงห์ที่ถือว่าอายุกาลพรรษามากที่สุด

    ท่านเจ้าคุณหลวงตาวัชรชัย (พระราชภาวนาพัชรญาณ วิ.) ที่ปรึกษาเจ้าคณะจังหวัดสระบุรี เจ้าอาวาสวัดเขาวง (ถ้ำนารายณ์) นั้นอายุ ๘๒ ปี ก็ยังตามหลังตุ๊พ่อสิงห์อยู่อีก ๕ ปี จึงปล่อยให้แก่แข่งกันไปก่อน..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    ระหว่างที่เดินทางมาจนถึงบริเวณจังหวัดกำแพงเพชร ลูกศิษย์ก็ส่งข่าวมาว่า พระลากที่หล่อนั้นมีการชำรุดบริเวณพระบาทและฐาน จริงอย่างที่กระผม/อาตมภาพบอกเอาไว้ก่อน ทำให้กระผม/อาตมภาพเองไปนึกถึงท่านเจ้าคุณรักษ์ (พระภาวนาธรรมาภิรักษ์ วิ.) วัดสุทธาวาสวิปัสสนา จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ซึ่งท่านได้โพสต์ลงเฟซบุ๊กว่า ท่านเองนั้นมีความสามารถด้อยกว่าพระ ๓ รูป ในด้านเหนียว ด้านคุณธรรม และด้านทิพจักขุญาณ โดยเฉพาะด้านทิพจักขุญาณ ท่านระบุไว้ชัดเจนว่าท่านสู้หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุนไม่ได้ แม้ว่าจะสามารถเห็นผีเห็นเทวดาได้ แต่ไม่สามารถที่จะให้รายละเอียดอื่น ๆ ได้ เหมือนอย่างกับที่หลวงพ่อเล็กท่านบอกกล่าวให้คนอื่นฟัง

    กระผม/อาตมภาพเองได้ยินก็ได้แต่หัวเราะอยู่ในใจ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า กระผม/อาตมภาพนั้นอาศัยครูบาอาจารย์บ้าง อาศัยพรหมเทวดาบ้าง จนกระทั่งอาศัยพระบนพระนิพพานบ้าง ท่านบอกท่านกล่าวให้ เพียงแต่ว่าท่านบอกมาอย่างไรเราก็ต้องว่าไปตามนั้น พูดง่าย ๆ ว่าปัดความรับผิดชอบได้อีกต่างหาก เพราะถือว่าเป็นเรื่องที่ผู้อื่นท่านบอก ไม่ใช่เรื่องที่เรารู้ได้ด้วยตนเอง

    ในเรื่องของทิพจักขุญาณ หรือที่เรียกตามสายธรรมว่า "มโนมยิทธิ" นั้น เมื่อฝึกฝนได้แล้วจำเป็นที่จะต้องซักซ้อมอยู่บ่อย ๆ ถ้าหากว่าขาดการซักซ้อมก็จะเกิดอาการ "สนิมกิน" ได้ ในตอนที่ฝึกใหม่ ๆ กระผม/อาตมภาพก็อาศัยแต่ความรู้สึกอย่างเดียว โดยที่ทุ่มเทยอมเชื่อมั่นว่าสิ่งที่เรารู้สึกนั้นเป็นจริงตามนั้น ไม่เช่นนั้นแล้วถ้าหากว่ามีการ "เอ๊ะ" เมื่อไร ก็จะเป็นเรื่องเมื่อนั้น..!

    ดังนั้น..ถ้าหากว่าหลวงพ่อครูบาอาจารย์ท่านจะทดสอบ กระผม/อาตมภาพก็พร้อมที่จะให้ทดสอบทันที ทำเอาพระพี่พระน้องแทบจะฆ่ากระผม/อาตมภาพตาย เนื่องเพราะว่าเวลาลงพระปาฏิโมกข์กันในวันพระใหญ่
    บางทีพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีท่านก็ถามว่า "เฮ้ย..พวกเรามาทดสอบทิพจักขุญาณกันดีไหมวะ ?" กระผม/อาตมภาพก็จะตอบแบบเสียงดังฟังชัดว่า "ดีครับ"

    ขณะที่พี่ ๆ น้อง ๆ ท่านอื่นก้มหน้าพิจารณาพรมที่พื้นโบสถ์ พร้อมกับมีเสียงบ่นงึมงำอยู่ในใจประมาณว่า "จะดีอย่างไร ? ตอนนี้ "สนิมขึ้น" หมดแล้ว ผิดไปก็อับอายขายหน้า..!" แต่กระผม/อาตมภาพนั้นเป็นบุคคลที่ไม่กลัวผิด ไม่กลัวอาย อยู่ในลักษณะที่โบราณว่าเป็น "ศิษย์สู้ครู" เนื่องเพราะมั่นใจว่า
    ถ้าเราผิดพลาด ครูบาอาจารย์ท่านก็จะบอกในสิ่งที่ถูกต้องให้เอง
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    กระผม/อาตมภาพโดนพระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ท่านทดสอบท่ามกลางประชาชนหรือว่าท่ามกลางพระภิกษุสงฆ์มาหลายวาระ สิ่งที่พอจำได้ก็คือท่านถามว่า "ทำไมพระศรีสุริโยทัยถึงได้ต้องอาวุธของพระเจ้าแปรจนขาดสะพายแล่งคาคอช้าง ?"

    กระผม/อาตมภาพอธิบายตามภาพที่ปรากฏว่า "ด้วยความที่ท่านต้องการที่จะช่วยสมเด็จพระมหาจักรพรรดิ จึงได้ขับช้างพุ่งเข้าไปในระหว่างกลาง แต่ว่าเข้าไปทางด้านซ้ายมือของช้างทรงพระเจ้าแปร ทำให้พระเจ้าแปรสามารถที่จะพลิกง้าวกลับมาฟันได้อย่างถนัดถนี่ จนขาดสะพายแล่งคาคอช้าง" ซึ่งหลวงพ่อท่านก็เมตตายืนยันว่า "เห็นได้ถูกต้องตามนั้น"

    อีกครั้งหนึ่งท่านถามว่า "พระยาพิชัยดาบหักนั้น ดาบซ้ายหรือว่าดาบขวาหัก ? หักเพราะสาเหตุอะไร ?" กระผม/อาตมภาพก็เรียนถวายว่า "ดาบข้างขวาครับ" เหตุที่หักเพราะว่าไปใช้ดาบของพลทหาร แล้วรับอาวุธของนายกองพม่าที่ฟันพระยาศรีสิทธิสงครามทางด้านหลัง ด้วยความที่อาวุธของพลทหารนั้นเบาบางกว่ามาก ไม่หนาหนักเหมือนอาวุธของแม่ทัพ จึงทำให้ดาบของพลทหารที่ท่านฉวยมาใช้งานนั้น หักสะบั้นไปเลย..!

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าหลังจากที่ตั้งค่ายแล้ว บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งสิบ ที่เรียกตัวเองกันง่าย ๆ ว่า "สิบทหารเสือพระยาตาก" ก็ได้ชวนกันออกไปหาหวากกินกัน คำว่า "หวาก" นี้กระผม/อาตมภาพก็เพิ่งจะรู้กันตอนนั้นว่าเป็นภาษาโบราณ ภาษาปัจจุบันนี้ ถ้าไม่เรียกว่า "กระแช่" ก็เรียกว่า "น้ำตาลเมา" ในเมื่อออกไปในลักษณะอย่างนั้นต้องมีการเมามายเสียกิริยา จึงไล่บรรดาทหารที่ช่วยแบกคานหามกลับไปจนหมด แล้วบรรดาพระยาเสือทั้งสิบ ก็กินหวากกันหมดไปคนละหลาย ๆ หม้อเขียว เมื่อถึงเวลาก็แทบจะคลานกลับค่าย..!

    แต่ด้วยความที่ระเบียบของกองทัพสมัยนั้นก็คือ "กลางคืนห้ามเปิดค่ายอย่างเด็ดขาด" เพราะว่าอาจจะโดนข้าศึกลวง บุกทะลวงค่ายเข้ามาก็ได้ ทั้งสิบพระยาเสือจึงได้นอนกับระเกะระกะกับทหารยามที่นอกค่าย ปรากฏว่าเพิ่งจะสว่าง ทัพพม่าโผล่ชายทุ่งมาแล้ว จึงได้ตะโกนบอกพลทหารที่อยู่เวรยามว่า รีบไปแจ้งกับพระยาตากให้ส่งทัพใหญ่ออกมาช่วย ส่วนทั้งสิบท่านก็คว้าได้ดาบพลทหารที่อยู่เวร บุกเข้าไปประจัญบานกับกองทัพพม่า เพื่อยับยั้งกองทัพพม่าไม่ให้ประชิดค่าย จนฝ่ายเราไม่มีเวลาเปิดค่ายยกทัพออกมา..!
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2024
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    ด้วยความที่ใช้ดาบพลทหารที่บางเบา ไม่ได้หนาหนักเหมือนดาบแม่ทัพ เนื่องเพราะว่าพลทหารนั้นกำลังน้อยกว่า ไม่สามารถจะใช้ดาบที่ทั้งหนาทั้งหนักได้ เมื่อไปรับดาบที่นายกองพม่าฟันพระยาศรีสิทธิสงครามทางด้านหลังจึงทำให้ดาบหัก ท่านเองก็ช่วยเหลือเพื่อนโดยที่ลืมไปว่า บรรดาเพื่อนฝูงก็ล้วนแล้วแต่หนังเหนียวกันทั้งนั้น พอดีพระยาตากท่านเปิดค่ายยกทัพใหญ่ออกมา ทำให้กองทัพพม่าโดนกระหน่ำตีจนแตกพ่ายไป

    งานนี้ต้องบอกว่านายกองทั้งสิบของพระยาตากนั้นเข้าสู้ศึกโดยพร้อมหน้ากัน ดูภาพในนิมิตแล้วกระผม/อาตมภาพก็ขำ เพราะว่าพระยาตากชี้หน้าคาดโทษทุกคนที่คุกเข่าก้มหน้าอยู่ว่า "ถ้างานนี้แพ้พม่า กูตัดหัวหมดทุกคน..!" แล้วก็โปรดให้อภัย ซึ่งเรื่องนี้นั้นไม่ได้มีในบันทึกประวัติศาสตร์ แต่เมื่อเล่าถวายไป พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านยืนยันว่าเป็นความจริง ทำให้เกิดความมั่นใจขึ้นมาเรื่อย ๆ ว่า
    ในเรื่องของมโนมยิทธินั้น สามารถรู้เรื่องทั้งหลายเหล่านี้ได้อย่างแท้จริง

    หลังจากนั้น กระผม/อาตมภาพก็
    ซักซ้อมต่อเนื่องกันมาทุกวัน มีการทดสอบอยู่ตลอดเวลา ไม่ว่าจะเป็นการทดสอบในลักษณะที่ว่า "จะเจอกับใคร ? จะเจอเหตุการณ์อะไร ?" หรือว่าทดสอบด้วยการส่งจิตออกไปข้างนอก ค่อย ๆ ดูสิ่งต่าง ๆ ในบริเวณรอบบ้าน ตลอดจนกระทั่งเดินเลาะเข้าไปในซอยของบ้าน ตอนแรกเราจดจำได้ก็ไม่มั่นใจว่าสิ่งที่เห็นนั้นเป็นจริงหรือไม่ ? แต่เมื่อเดินเลยไปในบริเวณที่ตนเองไม่มั่นใจว่าจะจดจำได้ แล้วเห็นภาพเห็นสิ่งต่าง ๆ โดยเฉพาะบรรดาป้ายชื่อร้าน หรือว่าป้ายโฆษณา ก็จดจำเอาไว้ แล้วรุ่งขึ้นก็ไปพิสูจน์ทราบ ซึ่งปรากฏว่าถูกต้องตรงตามนั้น

    ในการทดสอบนั้น บางทีก็ต้องอาศัยกำลังสมาธิที่สูงสักหน่อย เนื่องจากว่าบางครั้งก็ทดสอบกันที่บริเวณหน้าวัดท่าซุง อย่างเช่นว่า "รถที่วิ่งมาสีอะไร ? มีคนนั่งมากี่คน ? ผู้หญิงกี่คน ? ผู้ชายกี่คน ? ทะเบียนรถคืออะไร ?" เมื่อตอบได้ถูกต้อง บรรดาน้อง ๆ และเพื่อนฝูงที่คอยเชียร์อยู่ ก็ตบมือเฮกันสนั่น ถ้าสมาธิไม่ดีพอ ก็ได้พังบรรลัยกันหมดในตรงนั้นเอง..!

    ด้วยความหน้าด้าน กล้าสู้ครู ไม่เกรงการทดสอบ เมื่อทำไปเรื่อย ๆ ปีแล้วปีเล่า ท้ายที่สุด ๑๐ กว่าปีหลังจากนั้นมา มีอยู่วันหนึ่งมองไปด้วยสภาพจิตของตนแล้ว สามารถแยกต้นไม้ได้ว่า ใบอ่อนใบแก่นั้นต่างกันอย่างไร ? ทำให้รู้สึกดีใจมาก เนื่องเพราะว่าสมัยก่อนนั้น ได้เห็นก็เป็นแค่รูปต้นไม้เท่านั้น ไม่สามารถที่จะแยกแยะได้ว่าลักษณะรายละเอียดเป็นอย่างไร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 สิงหาคม 2024
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,360
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,526
    ค่าพลัง:
    +26,362
    ในเมื่อสามารถที่จะให้รายละเอียด ตลอดจนกระทั่งสีสันของใบอ่อนใบแก่ของต้นไม้ได้ ก็ทำให้สามารถที่จะเห็นภาพพระ และรายละเอียดต่าง ๆ ได้ชัดเจนมากขึ้น สามารถอธิบายขยายความได้มากขึ้น ครั้นเมื่อมาพบกับบรรดาพรหมเทวดา หรือว่าครูบาอาจารย์ จึงสามารถให้รายละเอียดได้มาก แต่ก็ต้องเข้าใจว่ามีการซ้อมหนักต่อเนื่องกันมาเป็นสิบ ๆ ปี ไม่ใช่ว่าฝึกปุบปับแล้วก็จะทำได้แบบนั้นเลย

    ดังนั้น ในเรื่องนี้ถ้าหากว่าใครศึกษามา ก็ขอให้ท่านทั้งหลายหมั่นขยันซักซ้อมเอาไว้ ไม่เช่นนั้นแล้วก็จะกลายเป็นอย่างที่โบราณว่า "เจ็ดวันเว้นดีดซ้อม ดนตรี ห้าวันอักขระหนี เนิ่นช้า ฯ" อยู่ในลักษณะของอาวุธที่ถูกสนิมกิน ถึงเวลาจะใช้งาน บางทีชักออกจากฝักยังไม่ได้เลย..!

    เรื่องของกรรมฐาน เรื่องของการปฏิบัติธรรม จึงเป็นเรื่องที่สำคัญตรงที่ว่า ต้องมีการกระทำที่จดจ่อต่อเนื่องตามกันอยู่ตลอด สามารถทรงอารมณ์ได้โดยไม่พลาดเลยทั้งวันยิ่งดี เพราะว่าสภาพจิตของเรายิ่งนิ่งยิ่งสงบ ก็จะยิ่งเห็นชัดว่าสภาพร่างกายนี้ไม่มีอะไรเป็นเราเป็นของเราเลย เพราะว่าถึงเวลาถอดจิตออกไป ร่างกายก็เหมือนกับผ้าขี้ริ้วเก่า ๆ กองหนึ่ง ในเมื่อสภาพจิตไม่เห็นความดีความงาม ไม่ยึดเกาะในร่างกาย ไม่ว่าจะไปภพไหนภูมิไหน ก็สามารถที่จะเห็นได้อย่างชัดเจน เพราะว่าปราศจากความยึดติดห่วงหาอาลัยแล้ว

    ความสว่างชัดเจนอีกประการหนึ่งมาจากการที่บารมีพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ ลูกศิษย์ที่ฝึกทางสายนี้จงอย่าลืมเป็นอันขาด ในการกราบขอบารมีพระพุทธเจ้าท่านสงเคราะห์ ไม่เช่นนั้นบางท่านก็มืด ๆ มัว ๆ เหมือนอย่างกับมองวัตถุในเวลากลางคืน ท้ายที่สุดขาดการซักซ้อม ก็ไม่สามารถที่จะรู้เห็นอะไรได้อีก ทั้ง ๆ ที่ของดีมีอยู่ แต่ว่าทิ้งให้หลุดมือไปอย่างน่าเสียดาย..!

    จึงขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันเสาร์ที่ ๑๗ สิงหาคม พุทธศักราช ๒๕๖๗
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...