เรื่องเด่น เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 14 กุมภาพันธ์ 2025 at 18:01.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,635
    ค่าพลัง:
    +26,493
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ ๒๕๖๘


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • IMG_8370.jpeg
      IMG_8370.jpeg
      ขนาดไฟล์:
      207 KB
      เปิดดู:
      4
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,635
    ค่าพลัง:
    +26,493
    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘ ความจริงแล้ววัดท่าขนุนมีงาน ซึ่งทางที่ว่าการอำเภอทองผาภูมิ โดยท่านนายอำเภอชาคริต ตันพิรุฬห์ จัดให้มีงาน "วันวาเลนไทน์ รักได้ไม่จำกัด" ตามนโยบายที่ทางรัฐบาลออกเป็นกฎหมายให้มีการสมรสข้ามเพศได้ โดยที่จัดให้มีการจดทะเบียนสมรสที่ตลาดชุมชนวัดท่าขนุน ตลอดจนกระทั่งให้บรรดาคู่รักไปร่วมใส่บาตรและฟังการเจริญชัยมงคลคาถาจากพระภิกษุสงฆ์

    กระผม/อาตมภาพต้องมอบภาระให้พระภิกษุวัดท่าขนุนไปดำเนินการแทน เนื่องเพราะว่าวันนี้ต้องเดินทางไปให้ถึงสนามบินนานาชาติดอนเมืองตั้งแต่ตี ๓ ครึ่ง ตามที่เติมเต็มทราเวลของลูกกิฟท์ (นางสาวอันตรา ลักษณะ) นัดหมายให้พวกเราทั้ง ๖๐ รูปคน ไปพบกันที่ประตู ๑ อาคาร ๓ ในเวลาดังกล่าว

    กระผม/อาตมภาพและน้องเล็ก (นางสาวจิราพร ซื่อตรงต่อการ) ได้รับความเมตตาจากพระครูวิโรจน์กาญจนเขต, ผศ.,ดร. เจ้าอาวาสวัดอุทยาน พระครูสมุห์กรณ์พัฒน์ กนฺตวณฺโณ ผู้ช่วยเจ้าอาวาสวัดอุทยาน และคุณปิง (นายณัฐภาคย์ องค์วรวิทย์) นำรถตู้ไปส่งจนถึงสนามบินนานาชาติดอนเมือง

    ไปถึงก็ได้รับการบริการที่รวดเร็วทันใจ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องเอกสารหรือการเช็คอิน จึงไปนั่งรอที่ประตูขึ้นเครื่องแต่เนิ่น ๆ ครั้นเมื่อถึงเวลา ปรากฏว่าทางด้านสายการบินให้ขึ้นรถบัสไปขึ้นเครื่องบินกลางสนามบิน กระผม/อาตมภาพไม่ทราบเหมือนกันว่ารถบัสขับช้า หรือว่าตัวเองภาวนาเร็ว เพราะว่าได้อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๓ จบพอดีไปขึ้นเครื่อง..!

    ทางเครื่องบินขึ้นตรงเวลา ลงตรงเวลา ประมาณ ๗ โมงครึ่งก็ลงสู่สนามบินนานาชาติวัดไต แขวงกำแพงนครเวียงจันทน์ กระผม/อาตมภาพได้รับสิทธิพิเศษเข้าสู่ช่องพิเศษ ซึ่งมีเจ้าหน้าที่ประจำอยู่ ๒ คน ทำการตรวจสอบเอกสารและประทับตราหนังสือเดินทางให้ แล้วก็ไปรออยู่ที่บริเวณสายพานส่งกระเป๋า ปรากฏว่าแทบจะยังไม่มีใครผ่านเข้ามาเลย จึงต้องช่วยยกกระเป๋าของคณะลงมาตามลำดับ จนกระทั่งมีผู้คนทยอยกันมา ถึงได้ช่วยกันยกลงมาจนหมด

    เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า นอกจากคณะของเราจะเป็นคณะใหญ่แล้ว ยังมีผู้โดยสารอื่น ๆ อีกเป็นจำนวนมาก แต่ว่าทางเจ้าหน้าที่ตรวจคนเข้าเมือง ซึ่งไม่ใช่ช่องพิเศษนั้น เปิดให้ทำงานแค่ช่องเดียว จึงเกิดความล่าช้าเป็นอย่างยิ่ง ถ้าสนามบินสุวรรณภูมิของเราเป็นเช่นนี้ รับรองได้ว่ารอจนวันรุ่งขึ้นก็อาจจะยังไม่ได้ผ่านกองตรวจคนเข้าเมือง..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,635
    ค่าพลัง:
    +26,493
    เมื่อออกมาทางด้านนอก ปรากฏว่าครูบาแก้ว สนฺติโก เจ้าอธิการ (เจ้าอาวาส) วัดท่าช้าง เจ้าของงาน นำเอาพานดอกไม้มาถวายการต้อนรับ จึงนัดแนะกับท่านว่าพรุ่งนี้จะไปให้ถึงวัดท่าช้างไม่เกิน ๙ โมงเช้า แล้วพวกเราก็มาขึ้นรถบัส ๒ คันที่ทางเติมเต็มทราเวลได้นำมารอรับ โดยมีบิ๊กก๊อด ช่องเม็ก ผู้ที่คุ้นเคยกันตั้งแต่ครั้งที่ไปลาวใต้ อุตส่าห์เดินทางมารับด้วย มัคคุเทศก์ท้องถิ่นของเรารายงานตัวว่าชื่อ "นางไก่" ผู้หญิงลาวเกิดมา โดยใช้คำว่า "ตั้งแต่ประสูติ" ก็ใช้คำว่า "นาง" มาโดยตลอด ไม่มีเด็กหญิง ไม่มีนางสาว

    พวกเราขึ้นรถแล้ว ทางโชเฟอร์ก็นำออกเดินทาง ฝ่าการจราจรที่ค่อนข้างจะติดขัดทีเดียว ตอนแรกกระผม/อาตมภาพคิดว่าจะไปกราบสักการะพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ แต่ปรากฏว่าทางมัคคุเทศก์พามาที่พิพิธภัณฑ์วัดพระแก้ว ซึ่งเคยเป็นที่ประดิษฐานพระแก้วมรกตสมัยที่อยู่ประเทศลาว จอดรถลงบริเวณข้างถนน ซึ่งมีต้นหำงัวโตเป็นโอบ เรียงรายดูน่าชื่นใจเป็นอย่างยิ่ง เจ้าต้นหำงัวนี่บ้านเราเรียกว่ามะฮอกกานี

    ครั้นเจ้าหน้าที่เขาจัดการเรื่อง "ปี้" จนเสร็จเรียบร้อยแล้ว พวกเราก็เข้าไปภายใน นางไก่นำไปที่อนุสาวรีย์ ซึ่งมีหญิงชายชาวลาวกำลังประคองพานที่มีดอกจำปา ซึ่งเป็นตัวแทนหรือเครื่องหมายของประเทศลาว ยกสูงขึ้นเหมือนกำลังจะให้แก่อะไรบางอย่างหรือใครบางคน

    นางไก่บอกว่าความจริงจะมีรูปปั้นของฝรั่งเจ้าอาณานิคมในยุคนั้น กำลังยื่นมือมารอรับดอกจำปา ซึ่งหมายถึงแผ่นดินลาวที่คนลาวมอบให้ฝรั่งเศสดูแล แต่เมื่อได้รับอิสรภาพแล้วก็เลยทำการ "ปาด" หรือว่าตัด ในส่วนของรูปปั้นฝรั่งไปโยนทิ้ง "แม่น้ำของ" หรือแม่น้ำโขง พวกเราก็เลยให้นางไก่ไปยืนทำท่าเป็นเจ้าอาณานิคมแทน ทำเอาหัวเราะกันท้องคัดท้องแข็ง..!

    แล้วถัดไปก็เป็นศาลาที่ตั้งของไหหิน ซึ่งนำมาจากทุ่งไหหิน แขวงเชียงขวางโน่น ปรากฏว่าตอนแรกทุกคนก็ฮือกันล้อมเข้าไป กระผม/อาตมภาพบอกว่าให้เข้ามาใกล้ ๆ หน่อย เพราะว่านี่เป็นไหบรรจุศพคนโบราณ ทำเอาหลายคนแตกฮือออกไปอยู่ทางด้านหลังทันที..! นางไก่บอกว่านักโบราณคดีสันนิษฐานไว้ ๒ อย่าง อย่างแรกก็คือเป็นไหบรรจุศพอย่างที่กระผม/อาตมภาพว่ามา อีกอย่างหนึ่งก็อาจจะเป็นไหหมักเหล้าก็ได้ แต่กระผม/อาตมภาพขอแย้งว่าถ้าเป็นไหหมักเหล้าควรที่จะทำขนาดเดียวกัน ไม่ใช่ใหญ่ ๆ เล็ก ๆ อย่างที่เห็นอยู่ ถ้าหากว่าใหญ่ ๆ เล็ก ๆ แบบนี้ไม่น่าจะใช่มาตรฐานไหเหล้าอย่างแน่นอน

    แล้วพวกเราก็มาถ่ายรูปหมู่รวมกันที่บริเวณบันไดขึ้นสู่วิหารพระแก้ว จากนั้นก็ปล่อยฟรีสไตล์ให้เดินชมพระพุทธรูปงาม ๆ รอบพิพิธภัณฑ์และภายใน กระผม/อาตมภาพยังแปลกใจว่า มีการห้ามถ่ายรูปภายในหอพระแก้ว แต่ว่าพระเนื้อสำริดงามสุด ๆ รอบบริเวณนั้น ราคามหาศาลจนประมาณไม่ได้ เขากลับไม่ห้ามถ่ายรูปเสียนี่..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,635
    ค่าพลัง:
    +26,493
    เมื่อชมและถ่ายรูปจนครบแล้ว พวกเราก็ออกจากพิพิธภัณฑ์วัดพระแก้ว ข้ามถนนไปยังวัดศรีสะเกษ เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่าในสมัยก่อนนั้น วังเจ้ามหาชีวิตก็อยู่ในบริเวณเดียวกับหอพระแก้วนั่นเอง ทางด้านศีรษะหรือว่า "หัวนอน" จะหันมาทางวัดศรีสะเกษ และเป็นสถานที่ซึ่งมาสรงสนานสระเกษกันที่นี่

    บริเวณนี้ก็เช่นกัน ก็คือห้ามถ่ายรูปภายในวิหาร แต่รอบข้างที่มีพระเก่า ๆ ประดิษฐานอยู่เป็นร้อย ๆ องค์เขากลับไม่ห้าม..! ในโบสถ์นั้นจะมีช่องเล็ก ๆ ที่บรรจุพระพุทธรูปเอาไว้มากมาย ถ้าหากว่าจะตั้งใจนับกันจริง ๆ ก็คงจะหลายพันองค์

    พวกเราเดินชมจนชื่นใจแล้ว ไปถึงทางด้านหลังก็เห็นของดี คือฮางฮด คำว่า "ฮางฮด" ในที่นี้ก็คือรางสำหรับสรงน้ำพระ แกะเป็นรูปพญานาค สวยงามมาก ๆ และเก่าแก่สุด ๆ ผู้ร่วมคณะของเราบอกว่า ทางด้านหลังอุโบสถวัดศรีสะเกษมีอีกรางหนึ่ง กระผม/อาตมภาพแค่เหลือบตามองก็บอกว่า "ของใหม่" ที่เก่าจริง ๆ ก็คือที่กำลังชมอยู่นี่ เนื่องเพราะว่าไม้นั้นเปื่อยผุจนกระทั่งแทบจะกร่อนร่วงเป็นฝุ่นไปอยู่แล้ว..!

    ครั้นพวกเราออกจากวัดศรีสะเกษแล้ว ก็ตรงไปยังสถานที่ต่อไป ก็คือวัดศรีเมือง ซึ่งเป็นที่ตั้งของหลักเมืองนครเวียงจันทน์ แล้วยังมีอนุสาวรีย์นางศรีเมือง ซึ่งสละชีพสำหรับก่อตั้งหลักเมืองเวียงจันทน์ตามความเชื่อของคนโบราณอีกด้วย พวกเรากราบพระ สักการะศาลหลักเมือง ตลอดจนกระทั่งหลายท่านก็ไปไหว้ขอบคุณนางศรีเมือง ที่สละชีพเพื่อนครเวียงจันทน์แห่งนี้ เสร็จเรียบร้อยแล้วก็กลับมาขึ้นรถ บางคนก็ทำท่าเหมือนจะหมดสภาพ เพราะว่าง่วงนอนมาก..!

    ทางคณะทัวร์จึงพาพวกเราไปยังภัตตาคารภัตตาคาร "แคมของ" ก็คือริมแม่น้ำโขง เพื่อให้พระฉันเพล และพวกเราทั้งหลายได้กินอาหารกลางวัน จากนั้นจะได้เดินทางไปตามตารางที่กำหนด แล้วเข้าสู่ที่พักแต่โดยเร็ว เพราะเห็นทำท่าไร้แรงบินกันแล้ว

    อาหารที่ภัตตาคารแห่งนี้ถือว่าอร่อยทีเดียว แต่เนื่องจากว่าทำแบบเอาใจคนไทยสุด ๆ ก็คือแกงป่าก็ออกมาแบบไทย ไข่เจียวก็ออกมาแบบไทย แม้แต่ต้มยำปลาแม่น้ำโขงก็ออกมาแบบไทย ทำให้กระผม/อาตมภาพบอกกับนางไก่ว่า "บ่แซ่บ..!"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,635
    ค่าพลัง:
    +26,493
    เมื่ออิ่มแล้ว เขาก็พาพวกเราฝ่ารถติดไปยังร้านจินตนาหัตถกรรม เพื่อซื้อเครื่องกันบูด คำว่า "เครื่อง" ก็คือสิ่งของนั่นเอง แต่เนื่องจากว่าคำว่า "ของ" ของคนลาวนั้น ก็คือสิ่งที่ติดตัวมาแต่กำเนิด อย่างเช่น หู ตา มือ เท้า เป็นต้น แต่ถ้าหากว่าเครื่องก็คือสิ่งอื่น ๆ ที่อยู่นอกกาย ดังนั้น..ร้านขายเครื่องก็คือร้านขายของของบ้านเรานั่นเอง ในสถานที่นี้มีสารพัดข้าวของ ไม่ว่าจะเป็นเครื่องเงิน เสื้อผ้า ตลอดจนกระทั่งงานหัตถกรรมต่าง ๆ แต่ว่าดูท่าจะเอาใจคนจีนมากทีเดียว

    กระผม/อาตมภาพดูไม้แกะสลักหลายชิ้นว่างดงามอยู่ แต่พอเห็นเนื้อไม้แล้วก็ไม่ต้องถามราคา รีบถอยมาแต่โดยไว เพราะว่ามีทั้งไม้สารคาม มีทั้งไม้พะยูง ถามราคาไปอาจจะมีสะดุ้ง..! รอจนกระทั่งพวกเราจับจ่ายใช้สอยซื้อ "เครื่องกันบูด" เพราะว่าถ้าไม่ซื้อกลับไป คนทางบ้านจะทำหน้าบูด ได้ของมาจนครบทุกคนแล้ว ก็กลับขึ้นรถเดินทางไปยังจุดหมายต่อไป ก็คือสถานที่สำคัญสุดของทริปนี้ ได้แก่ พระธาตุหลวงเวียงจันทน์ หรือพระเจดีย์โลกะจุฬามณี

    กระผม/อาตมภาพขึ้นไปสวด อิติปิ โสฯ ๓ ห้อง ๓ จบ อุทิศส่วนกุศลให้เทพเจ้าที่รักษาองค์พระธาตุหลวงในทิศทั้ง ๔ เทพเจ้าที่รักษาราชอาณาจักรลาวในอดีต และสาธารณรัฐประชาธิปไตยประชาชนลาวในปัจจุบัน ตลอดจนกระทั่งท่านที่ต้องคำสาปถูกคุมขัง ไม่สามารถที่จะออกมาได้ ขอให้ท่านทั้งหลายเหล่านั้นอนุโมทนา ท่านที่มีความสุข ขอให้มีความสุขยิ่ง ๆ ขึ้นไป ท่านที่มีความทุกข์ ก็ให้พ้นจากความทุกข์โดยไว

    แล้วพวกเราก็ออกมาหาทางละลายทรัพย์กัน เนื่องจากว่ามีร้านค้าเป็นจำนวนมากอยู่รอบพระธาตุหลวงเวียงจันทน์ กระผม/อาตมภาพก็ยังเผลอทำเงิน ๑๘๐,๐๐๐ กีบหล่นอยู่บริเวณนี้ เนื่องเพราะว่าไปเจอกระเป๋าหวายสานหน้าตาเข้าที จะเอาไปเป็นตัวอย่างให้กับงานหัตถกรรมทางด้านทองผาภูมิของเราดูบ้าง

    ทางเจ้าหน้าที่ผู้ประสานงานติดต่อไปทางโรงแรมแล้ว ปรากฏว่าเขายังทำความสะอาดห้องไม่เสร็จ โดยใช้คำว่า "อนามัยยังบ่แล้ว" พวกเราก็เลยต้องรับของแถมจากเติมเต็มทราเวล ก็คือตรงไปวัดพระเจ้าองค์ตื้อมหาวิหาร เพื่อที่จะกราบหลวงพ่อองค์ตื้อ
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    20,568
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,635
    ค่าพลัง:
    +26,493
    เมื่อเข้าไปแล้วยังแทบจะอุทานออกมา เนื่องเพราะว่าเป็นพระพุทธรูปสำริดองค์ใหญ่มหึมา นอกจากเนื้อหาจะอยู่ในลักษณะงดงามตาสุด ๆ แล้ว ฝีมือการหล่อยังจัดอยู่ในระดับชั้นเลิศอีกด้วย ไม่ทราบเหมือนกันว่าเขารักษาพระพุทธรูปองค์ใหญ่ขนาดนี้ไว้ได้อย่างไร ถึงสมบูรณ์แบบมาจนถึงปัจจุบัน

    แต่เมื่อเห็นว่าเป็นวัดของหลวงปู่มหาผ่อง สะมะเลิก อดีตประธานพุทธศาสนิกสัมพันธ์แห่งประเทศลาว หรือว่าตำแหน่งพระสังฆราชแล้ว กระผม/อาตมภาพก็หายสงสัย เนื่องเพราะว่าหลวงปู่ท่านก็คือพระมหาเปรียญ ๖ ประโยค จากสำนักวัดชนะสงคราม กรุงเทพมหานครนั่นเอง กราบพระด้วยความชื่นใจและถ่ายรูปหมู่แล้ว คราวนี้ก็สามารถที่จะเดินทางกลับไปโรงแรมได้

    ครั้นไปถึงแล้ว ก็ยังทึ่งว่าเป็นโรงแรมใหม่ สร้างได้หรูหราอลังการมาก เพียงแต่ว่าห้องที่กระผม/อาตมภาพพักอยู่คนเดียวนั้นมีถึง ๓ เตียง ถ้าไม่ใช่คนที่เคยชินกับการนอนคนเดียวจริง ๆ สามารถพักได้อย่างน้อย ๖ คน จึงรู้สึกว่าเราควรที่จะใช้สถานที่ให้ครบ ด้วยการนอนสักที่ละ ๓ ชั่วโมง ก็น่าจะเข้าท่าอยู่มาก..!

    หลังจากที่สรงน้ำ แต่งตัวใหม่ ส่งงานทางไลน์เสร็จเรียบร้อยแล้ว กระผม/อาตมภาพก็มาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุน โดยที่ในกลุ่มไลน์ครั้งนี้ได้บอกว่า พรุ่งนี้ตื่นตี ๕ รับประทานอาหารเช้ากันตอนตี ๕ ครึ่ง ออกเดินทางไปยังวัดท่าช้าง เมืองปากงึม แขวงกำแพงนครเวียงจันทน์ ซึ่งห่างไป ๕๐ กว่ากิโลเมตร ภายในไม่เกิน ๗ โมงเช้า เพราะว่านัดทางด้านนั้นเอาไว้ตอน ๙ โมงเช้าว่าจะเริ่มทำบวงสรวง เหตุที่เป็นเช่นนั้นก็เพราะว่า ถนนหนทางไปสู่วัดท่าช้างนั้นค่อนข้างที่จะชำรุดทรุดโทรม ไม่สามารถที่จะทำความเร็วได้ จึงต้องเผื่อเวลาเอาไว้ก่อน

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันศุกร์ที่ ๑๔ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๖๘
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...