เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

​

 

วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ ภารกิจสำคัญของกระผม/อาตมภาพก็คือ ร่วมกับคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี นำโดยพระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ถวายการต้อนรับพระเดชพระคุณพระบวรรังษี (สมชาย พุทฺธญาโณ ป.ธ.๗) รองเจ้าคณะภาค ๑๔ ผู้แทนแม่กองธรรมสนามหลวง ที่เดินทางมาตรวจเยี่ยมการสอบนักธรรมสนามหลวงของคณะสงฆ์จังหวัดกาญจนบุรี ซึ่งทำการสอบในวันที่สองนี้

หลังจากจบภารกิจแล้ว กระผม/อาตมภาพก็เดินทางกลับสู่ที่พักที่วัดราษฎร์ประชุมชนาราม ตำบลท่ามะขาม อำเภอเมือง จังหวัดกาญจนบุรี จึงได้มาบันทึกเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนในวันนี้

ระยะนี้หลายท่านก็กังวลกับสถานการณ์บ้านเมือง ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของการท้าตีท้าต่อยของนักการเมืองก็ดี เรื่องของการทะเลาะเบาะแว้งก็ตาม ขอให้ทุกท่าน "ทำใจร่ม ๆ" ตามสำนวนวัยรุ่นสมัยนี้ ก็คือไม่ต้องไปใส่ใจกับเรื่องทั้งหลายเหล่านั้น ทำใจในลักษณะที่ว่า "รับรู้แต่ไม่รับทราบ" ก็คือแค่รู้ว่าอะไรเกิดขึ้น แต่อย่าไปยินดียินร้าย โดยเฉพาะอย่าเอาไปคิดนึกปรุงแต่งต่อ

รวมทั้งสถานการณ์โลก ซึ่งขณะนี้สหรัฐอเมริกามีการเลือกตั้งกลางเทอม แล้วดูท่าว่าทีมของประธานาธิบดีโจ ไบเดน จะเสียท่าให้กับทีมของอีกฝ่ายหนึ่ง ซึ่งอยู่ในลักษณะการชนะกันอย่างชนิดที่แสดงออกให้เห็นอย่างชัดเจนว่า ประชาชนไม่เห็นด้วยกับแนวทางการบริหารประเทศของประธานาธิบดีโจ ไบเดน

แล้วก็มีหลายท่านวิเคราะห์ว่า สถานการณ์โลกโดยเฉพาะสงครามใหญ่จะดีขึ้น แต่กระผม/อาตมภาพขอยืนยันในที่นี้ว่า ไม่ว่าผู้ใดจะเป็นประธานาธิบดีรัสเซียหรือว่าอเมริกาก็ตาม เรื่องนี้ไม่มีทางที่จะจบลงง่าย ๆ เพราะว่าอเมริกานั้นอยู่ในลักษณะจนตรอก ต่อให้เปลี่ยนตัวประธานาธิบดีอเมริกา หรือว่าทางรัสเซียถอนกำลังออกจากยูเครนทั้งหมด เรื่องก็ไม่มีวันจบ เพราะว่าอเมริกาจะอยู่รอดได้ก็ต้องค้าสงครามเท่านั้น..! ดังนั้น..สถานการณ์สงครามใหญ่จึงเป็นเรื่องที่หลีกเลี่ยงไม่ได้ สำคัญที่ว่าจะช้าหรือเร็วเท่านั้น

พวกเราควรที่จะสนใจกับเรื่องในประเทศของเราดีกว่า โดยเฉพาะเรื่องดี ๆ ในระยะนี้ก็คือบรรดานักท่องเที่ยวแห่กันมาเมืองไทยแบบถล่มทลาย แต่ละวันสายการบินต่าง ๆ แห่ลงสนามบินสุวรรณภูมิ ๗๐ - ๘๐ เที่ยว บรรดานักท่องเที่ยวประเดประดัง ติดอยู่หน้าด่านตรวจคนเข้าเมือง ๓ - ๔ ชั่วโมง แต่ว่าเขาทั้งหลายเหล่านั้นก็อดทนที่จะให้ได้มาเที่ยวประเทศไทย

 

โดยเฉพาะส่วนหนึ่งที่มานั้น ระบุดชัดเจนว่ามาเพราะ Soft Power ของไทยคำว่า Soft Power ในที่นี้ก็คือทีมวอลเล่ย์บอลสาวไทย ซึ่งไปแข่งในแชมเปี้ยนลีกก็ดี ในการชิงแชมป์โลกก็ตาม แสดงออกซึ่งรอย "ยิ้มสยาม" แพ้หรือชนะก็ยิ้มเอาไว้ก่อน ทำให้ทุกคนเห็นถึงความร่าเริงแจ่มใสและเป็นมิตรของคนไทย จึงตั้งใจที่จะมาสัมผัสด้วยตนเอง..!

โดยเฉพาะในระยะนี้บรรดาทีมวอลเล่ย์บอลสาวไทยก็แยกย้ายกันไปตามลีกในประเทศต่าง ๆ อย่างเช่นว่า ชัชชุอร โมกศรีกับอัจฉราพร คงยศ ไปเล่นในลีกตุรกี แล้วก็เป็นกำลังสำคัญของทีม ที่ช่วยกันทำให้คะแนนให้ทีมอย่างเป็นกอบเป็นกำ จนสื่อมวลชนต่างประเทศนำมาพูดถึงไม่เว้นแต่ละวัน

หรือว่าในลีกญี่ปุ่น ไม่ว่าจะเป็นพิมพิชยา ก๊กรัมย์ , ทัดดาว นึกแจ้ง หรือว่าธนัชชา สุขสด ซึ่งลงแข่ง ๓ ทีม ทุกคนสามารถคว้ารางวัล MVP ของทีมมาได้ เพราะว่า Most Valuable Player นั้น เป็นบุคคลที่โดดเด่นที่สุดในการแข่งขัน เป็นสิ่งที่ไม่ใช่ว่าจะได้กันง่าย ๆ แต่ว่านักวอลเล่ย์บอลสาวไทยไปสร้างชื่อเสียงโด่งดังในลีกญี่ปุ่น ด้วยการคว้ารางวัลนี้มาเกือบทุกคน

นอกจากนั้นลีกชั้นรองลงไป ก็ยังมีเด็กรุ่นใหม่ อย่างไอมี่ (ภิญญดา โต๊ะพ่อ) หรือว่า การ์ฟิลด์ (อำพา สนสุรัตน์) ซึ่งไปคว้ารางวัล MVP ในลีกมองโกเลีย ช่วยให้ทีมของตนเองทำคะแนนอย่างเป็นกอบเป็นกำเช่นกัน

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ที่บอกว่าเป็น Soft Power ก็คือสร้างชื่อเสียงให้กับประเทศไทยอย่างดีมาก ไม่ว่าจะเป็นมวยไทย วอลเล่ย์บอล เทควันโด

โดยน้องเทนนิส (พาณิภัค วงศ์พัฒนกิจ) ซึ่งขณะนี้น้องเทนนิสก็ทำสถิติโลกของนักเทควันโดหญิงไปเรียบร้อยแล้ว คือคว้าชัยชนะในระดับโลกมามากที่สุด นอกจากนักเทควันโดชายแล้ว ไม่มีใครมีสถิติเสมอได้

แม้กระทั่งนักกอล์ฟสาวไทย ซึ่งก่อนหน้านี้โปรโม-โปรเม (โมรียา จุฑานุกาล - เอรียา จุฑานุกาล) สองพี่น้อง สร้างชื่อเสียงเอาไว้มากมาย ปัจจุบันนี้ก็คือโปรจีน ชื่อจริงก็คือ อาฒยา ฐิติกุล ขณะนี้ยืนเบอร์ ๑ ของโลกมา ๒ สัปดาห์ติดต่อกันแล้ว ซึ่งไม่มีใครอยากจะเชื่อว่าเด็กสาวเพิ่งจะอายุ ๒๐ ต้น ๆ จะสามารถคว้าตำแหน่งอันทรงเกียรตินี้มาให้กับประเทศไทยได้..!

 

แม้กระทั่งผู้ที่โด่งดังคับฟ้าไปแล้ว อย่างน้องลิซ่า (ลลิษา มโนบาล) ซึ่งปัจจุบันนี้จัดเป็น Soft Power ที่เด็ดขาดมากที่สุดของประเทศไทย ทำสถิติสูงสุดในการที่ติดชาร์ตของประเทศต่าง ๆ ได้มากกว่านักร้องต่างชาติ ชนิดที่ทำลายสถิติโลกมาแล้ว ได้ไปโพสต์รูปอาหารไทยที่เมืองชิคาโก ประเทศสหรัฐอเมริกาจากการไปทัวร์คอนเสิร์ต ทำให้ลูกชิ้นยืนกินก็ดี อาหารไทยประเภทขนมถ้วยก็ตาม โด่งดังจนกระทั่งป่านนี้ก็คงมีฝรั่งเข้าไปชิมกันชนิดที่ "ร้านแตก" ไปเรียบร้อยแล้ว และพาให้ทางประเทศไทยของเรา ขายดิบขายดีตามได้ด้วย

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ต้องบอกว่าเป็นสิ่งดี ๆ ที่เกิดขึ้นในประเทศไทยของเรา โดยเฉพาะคนไทยเรามีความเป็นมิตรสูงมาก มีความใจดีพร้อมที่จะช่วยเหลือนักท่องเที่ยวทุกชาติที่มายังบ้านเราแบบไม่รังเกียจ

แม้กระทั่งเด็กน้อยอย่างน้องไอซ์ เจ้าของร้านม้งน้อยที่ภูทับเบิก จังหวัดเพชรบูรณ์ ชื่อจริงก็คือเด็กหญิงปราณปรียา สกุลลีรัตน์ ซึ่งอายุแค่ ๕ ขวบ แต่ว่าเป็นแม่ค้าตัวน้อยที่ขายของเก่งมาก ๆ ทั้งที่ยังไม่สามารถจะเขียนหนังสือได้อย่างชัดเจน ถึงขนาดผู้ใหญ่ต้องนำไปออกรายการซูเปอร์เท็นทีเดียว

สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่เพียงแต่สร้างความประทับใจแก่ชาวต่างชาติเท่านั้น แม้แต่คนไทยของเรา ถ้าไปสัมผัสก็ยังชื่นชอบอีกด้วย เป็นสิ่งที่รัฐบาลของเราควรที่จะช่วยในการโฆษณา ช่วยส่งเสริมหรือว่าสนับสนุน อย่างที่กระผม/อาตมภาพได้เคยบอกไปแล้ว ว่าตั้งให้ท่านทั้งหลายเหล่านี้เป็นทูตทางวัฒนธรรมไปเลย ไม่ต้องเสียอะไรแม้แต่นิดเดียว นอกจากกระดาษแผ่นหนึ่ง พร้อมกับพาสปอร์ตทูตเท่านั้นเอง สิ่งทั้งหลายเหล่านี้ไม่ได้สิ้นเปลืองงบประมาณอะไรแม้แต่น้อย แต่ว่าเราจะได้ชื่อเสียงของประเทศไทยมาอย่างชนิดไหลมาเทมา

แต่ว่าเรื่องทั้งหลายเหล่านี้ก็ต้องแล้วผู้บริหารประเทศชาติของเรา เพราะว่าคณะสงฆ์เราก็ทำได้แค่ในส่วนที่ช่วยเหลือชาวบ้านที่เดือดร้อน และประคับประคองคณะสงฆ์ไทยให้มั่นคง ไม่ถึงกับล่มสลายลงไป ก็ถือว่าเป็นภาระอันหนักมากแล้ว

โดยเฉพาะหลายท่านที่มีการกระทำ ซึ่งต้องบอกว่าไม่น่าสรรเสริญ ไม่น่าชื่นชม อาจจะเป็นเพราะขาด "สมณสัญญา" ลืมในสิ่งที่ตนเองเป็นอยู่ เนื่องเพราะว่าระยะนี้มีคลิปบางอย่าง ที่พระภิกษุสงฆ์ของเราทำการอบรมนักเรียน แล้วก็นำนักเรียนทั้งร้องทั้งเต้น แม้ว่าจะเป็นสิ่งที่นักเรียนชื่นชอบ แต่เราก็ไม่ควรที่จะลืมสมณสารูป ตลอดจนกระทั่งสมณสัญญา ความเป็นพระภิกษุสงฆ์ของเรา สิ่งใดที่เกินไปจากสิ่งที่พระพุทธเจ้าทรงสอน สิ่งนั้นย่อมนำความเสื่อมมาสู่หมู่คณะได้..!

 

แม้ว่าท่านทั้งหลายจะกระทำไปด้วยเจตนาดี แต่ว่าในส่วนเสีย ดูท่าว่าจะมีมากกว่า จึงเป็นเรื่องที่พวกเราต้องคิดให้หนักว่า ทุกคำพูดและการกระทำของพวกเรานั้น อยู่ในสายตาชาวบ้านอยู่ตลอดเวลา สิ่งนี้พระเดชพระคุณหลวงพ่อฤๅษีฯ วัดท่าซุง ได้ย้ำกับกระผม/อาตมภาพนักหนาว่า "พวกแกทำอะไรก็อยู่ในสายตาชาวบ้านเขา"

ดังนั้น..ในสิ่งที่เราทำนั้น ต้องเป็นไปเพื่อความเจริญรุ่งเรืองของพระพุทธศาสนาเท่านั้น อะไรที่ทำแล้วเป็นไปในทางด้านเสื่อม ก็ต้องละเว้นเสีย ซึ่งกระผม/อาตมภาพก็ได้พยายามทำตามในสิ่งที่ครูบาอาจารย์ได้เมตตาสั่งสอนเอาไว้ ให้มากที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้

อีกส่วนหนึ่งก็คือ ขอเตือนท่านทั้งหลายที่มักง่าย นำเอาเสียงธรรมจากวัดท่าขนุนก็ดี สิ่งที่กระผม/อาตมภาพ พูด เทศน์ หรือว่าเขียนก็ตาม ไปลงในลักษณะเผยแผ่ต่อ ขอให้ทำหนังสือขอไปทางวัดอย่างเป็นทางการ เพื่อที่กระผม/อาตมภาพพิจารณาแล้ว จะได้อนุญาตหรือไม่อนุญาตให้ชัดเจนลงไป

ไม่เช่นนั้นแล้วผู้บริหารเว็บไซต์วัดท่าขนุน ตลอดจนกระทั่งเพจเฟซบุ๊ก อินสตาแกรมอะไรต่าง ๆ ก็ตาม เขาทั้งหลายเหล่านั้นกำลังใจไม่ได้มั่นคงมากนัก อาจจะเห็นแล้วร้อนหูร้อนตา เกิดมีการดำเนินคดีกันขึ้นมา ก็จะเดือดร้อนกันไปหมด..!

โดยเฉพาะท่านที่มักง่ายสุด ๆ ก็อปปี้เอาเนื้อหาไปทั้งดุ้น เพียงแต่เปลี่ยนชื่อเป็นของตัวเอง แล้วโพสต์ลงในยูทูบอย่างมั่นอกมั่นใจว่า จะสามารถเรียกยอดไลค์ ยอดวิวได้ ท่านทั้งหลายกำลังทำในสิ่งที่ตนเองแสดงออกซึ่งความหยาบของจิต ก็คือไม่ใช่สิ่งที่นักปฏิบัติที่ดีจะกระทำกัน

นักปฏิบัติที่ดีทำไปแล้ว สภาพจิตต้องละเอียดขึ้นเรื่อย ๆ สิ่งหนึ่งประการใดที่เป็นทุกข์เป็นโทษแก่ตนเองและผู้อื่น ก็ต้องพยายามระมัดระวัง อย่าให้มี หรือถ้ามีก็ให้น้อยที่สุดเท่าที่จะเป็นไปได้ ไม่ใช่นั้นแล้ว ถ้าสภาพจิตยังหยาบอยู่ในลักษณะอย่างนี้ โอกาสที่ท่านทั้งหลายจะเข้าถึงมรรคถึงผลก็จะไม่มีเลย

สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
วันศุกร์ที่ ๑๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
(ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)