เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 27 กรกฎาคม 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันพุธที่ ๒๗ กรกฎาคม ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันพุธที่ ๒๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕ มีข่าวเกี่ยวกับวงการพระของเราอยู่ ๒ - ๓ ข่าว

    ข่าวแรกก็คือมีต้นไม้ใหญ่ อายุเป็นร้อยปี ประกอบไปด้วยต้นจามจุรี แล้วก็มีต้นโพธิ์กับต้นไทรขึ้นรัดพันอยู่ น่าจะไปเกะกะอะไรเขาบางอย่าง ชาวบ้านอยากจะตัดทิ้ง แต่ไม่มีใครกล้า แล้วก็เลยมีพระไปช่วยตัดให้..!

    เพียงแต่ว่าพระท่านสิ้นสติ ก็คือตัดแล้วเอารูปไปลงเฟซบุ๊ก อวดความสามารถตัวเอง ก็เลยโดนถล่มจมดิน..! อันดับแรกเลยก็คือผิดพระวินัยเพราะพรากของเขียวซ่งเกิดอยู่กับที่ อันดับสองก็คือต้นไม้เป็นร้อยปี ควรที่จะอนุรักษ์เอาไว้ ในเมื่อชาวบ้านเขาไม่กล้าตัด แทนที่พระจะดีใจ ช่วยอนุรักษ์ไว้ กลับไปตัดเสียเอง เรื่องนี้จะไม่เป็นปัญหาเลย ถ้าพระท่านไม่เอาไปลงโซเชียล

    อย่างที่มีญาติโยมบางท่านเห็นกระผม/อาตมภาพขุดดิน ฟันหญ้า ตัดต้นไม้ แล้วปลื้มใจมาก ว่าครูบาอาจารย์ของเราขยัน เอารูปไปลงแล้วโดนกระผม/อาตมภาพด่าจมดินไปเลย ว่ารู้หรือเปล่าว่าสิ่งที่ทำนั้นไม่ถูกตามพระธรรมวินัย ? ต่อให้เป็นสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านบัญญัติขึ้นมาเพื่อเอาใจชาวบ้าน เราก็ต้องทำ เพราะว่าสมัยนี้ผู้รู้มีเยอะ เพียงแต่ว่ามักจะรู้ไม่จริง..!

    ถ้าเราไม่รู้จักขุดดิน ฟันหญ้า ตัดแต่งต้นไม้ ปล่อยให้วัดรก แล้วใครจะเข้าวัด ? ถามว่าทำผิดพระวินัยไหม ? ผิด แต่การทำให้วัดสะอาดเรียบร้อย คนเห็นแล้วอยากเข้าวัด มีบุญไหม ? มี ในเมื่อชั่งน้ำหนักดูแล้วว่าพอลงทุนได้ ผู้ที่ใจกล้าหน้าด้านแบบ
    กระผม/อาตมภาพก็จะลงทุน ไม่ใช่อยู่แล้วก็ปล่อยให้วัดรกจนกระทั่งเลี้ยงเสือได้ ใครเห็นก็เสื่อมศรัทธา ไม่เข้าวัด ถ้าอย่างนั้นจะกลายเป็นถือศีลแบบเถรตรง รักษาพระวินัยเอาไว้ได้ แต่รักษาศาสนาเอาไว้ไม่ได้..!

    อีกเรื่องหนึ่งก็คือ มีคุณยายอยู่คนหนึ่งลงข่าวด้วยความภาคภูมิใจในการกระทำของตัวเองมาก ว่าจัดการเผาศพโดยไม่ต้องมีพิธีสงฆ์ ยืนยันว่าในสมัยพุทธกาลก็ทำแบบนี้ แสดงว่ายายนี่อ่านพระไตรปิฎกไม่ทั่ว..!

    ถ้าหากว่าอ่านพระไตรปิฎกทั่วถึง อย่าไปเอาตอนพระพุทธเจ้าปรินิพพาน แล้วมีการถวายพระเพลิงพระบรมศพ เอาแค่ตอนพระนางมหาปชาบดีโคตมีเถรีนิพพาน พระพุทธเจ้าจัดงานศพให้ยิ่งใหญ่สุด ๆ ถามว่าทำไมถึงยิ่งใหญ่สุด ๆ ? เพราะว่าพระพุทธเจ้าเป็นประธานในงานเอง พระอรหันต์ทั้งหลายเป็นร้อยเป็นพันมาร่วมงาน

    แม้กระทั่งหมู่เทวดา กระทั่งท้าวสักกะเทวราช หรือพระอินทร์ ต้องมาช่วยแบกแคร่ตั้งศพเดินในขบวนให้ ไม่มีงานศพของใครในพระไตรปิฎกจะอลังการกว่านี้อีกแล้ว เพราะว่างานถวายพระเพลิงพระบรมศพ พระพุทธเจ้าไม่ได้ร่วมขบวนแบบนี้..!
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    แล้วอีกอย่างหนึ่ง สิ่งที่โบราณทำเอาไว้นั้น แฝงไว้ด้วยความหมายที่ลึกซึ้งมาก ทำไมเราถึงต้องมีการสวดพระอภิธรรมให้ผู้ตาย ? ทำไมต้องมีการทำบุญเลี้ยงพระ ? ทำไมถึงต้องมีการแสดงพระธรรมเทศนา ? เพราะว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นบุญเป็นกุศลทั้งสิ้น ถ้าหากว่าผู้ตายไม่ได้สร้างบุญสร้างกุศลเอาไว้ แล้วมีโอกาสโมทนา ก็จะอาศัยผลบุญนี้นำตนไปสู่สุคติได้ ไม่ใช่ตายแล้วก็เผาส่งเดชเหมือนหมูเหมือนหมา..!

    แค่นั้นยังไม่พอ ลูกหลานยังได้แสดงความกตัญญูกตเวทิตาตามที่พระพุทธเจ้าสอนว่า ในการปฏิบัติต่อพ่อแม่ที่เป็นบุรพการีนั้น ท่านเลี้ยงเรามา เราต้องเลี้ยงตอบ ต้องช่วยเหลือการงานของท่าน ต้องทำตัวเป็นคนดีเพื่อรักษาวงศ์ตระกูล เมื่อท่านตายแล้วต้องทำบุญกุศลส่งไปให้ เห็นหรือยังว่ายายแกอ่านพระไตรปิฎกไม่ทั่ว ? แล้วยังมาอวดฉลาดอีกต่างหาก..!

    แล้วที่ยิ่งไปกว่านั้น ทำไมถึงมีงานทำบุญ ๗ วัน ? มีงานทำบุญ ๕๐ วัน ? มีงานทำบุญ ๑๐๐ วัน ? มีงานทำบุญครบรอบปี ? เรื่องนี้ต้องบอกว่าถ้าใครเคยตายแล้วฟื้น จะเห็นว่าในผู้ตายนั้น มีอยู่ส่วนหนึ่งที่ดีไม่ทั่ว ชั่วไม่หมด จะขึ้นไปสุคติเลยก็ไม่ได้ จะลงไปทุคติเลยก็ไม่ได้ ต้องไปรอการตัดสินที่ตำหนักพระยายมราช

    กว่าที่การตัดสินจะสำเร็จเรียบร้อย เอาเป็นอันว่ากระผม/อาตมภาพเคยถามก็แล้วกันว่านานแค่ไหน ? ผู้รู้ท่านตอบว่า สถานที่นั้นเวลาต่างกับโลกมนุษย์ ๑ วันของเขาเท่ากับ ๕๐ ปีในโลกมนุษย์ เพราะว่าเป็นส่วนชายขอบของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราชิกาภูมิ คราวนี้พวกเราจะได้รู้ว่าที่ตั้งตำหนักพระยายมราชอยู่ที่ไหน อยู่ที่ชายขอบของสวรรค์ชั้นจาตุมหาราช

    การตัดสินความผู้ตายคนหนึ่ง ด้วยระยะเวลาที่ต่างกันมาก กว่าจะถึงคิว ก็เป็นเวลาประมาณ ๓ เดือนของโลกมนุษย์ แล้วถ้าหากว่ามีคนตายมากเป็นพิเศษก็เกิน ๓ เดือน ดังนั้น...โบราณจึงได้ประกันความเสี่ยงว่า นอกจากมีการทำบุญตั้งแต่ก่อนที่จะฌาปนกิจศพแล้ว ยังมีการทำบุญ ๗ วัน ถ้าไม่แน่ใจก็ ๕๐ วัน เกือบ ๒ เดือน ซ้ำเข้าไป ถ้าไม่แน่ใจอีกก็ ๑๐๐ วัน ๓ เดือนกับอีก ๑๐ วัน ให้รู้ไปว่าญาติตัวเองถ้าโมทนาได้แล้วจะไม่ได้บุญ..!
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    แต่ปรากฏว่ามีคุณยายแก่ ๆ ที่น่าจะสติสัมปชัญญะไม่ค่อยจะเต็มแล้ว อ่านพระไตรปิฎกไม่ทั่วยังไม่พอ ยังไม่รู้ถึงความลึกซึ้งของคนโบราณที่จัดพิธีกรรมต่าง ๆ ขึ้นมาอีก คิดอยู่อย่างเดียวว่าจะเอาหลักธรรมบริสุทธิ์เท่านั้น ซึ่งไม่ทราบเหมือนกันว่าแนวคิดประเภทมิจฉาทิฏฐินี้ มาถึงตัวท่านได้อย่างไร ?

    เพราะว่าการปฏิบัติธรรมนั้น ถ้าจะว่าไปแล้วก็เหมือนยอดปิรามิด ระดับทานและศีลเป็นช่วงกลางของปิรามิด ระดับพิธีกรรมจึงเป็นฐานของปิรามิด ก็แปลว่าบุคคลที่จะเข้าถึงระดับพิธีกรรมนั้นมีมากที่สุด พระพุทธเจ้าจึงต้องแนะนำทั้งสิ่งที่เป็นประโยชน์ในปัจจุบัน และเป็นประโยชน์ในอนาคต ไม่ใช่แนะนำแต่สิ่งที่เป็นประโยชน์สูงสุด คือการพ้นทุกข์เข้าสู่พระนิพพาน สิ่งที่พระองค์ท่านแนะนำ จะพอเหมาะ พอดี พอควร ถูกต้อง ตรงตามสิ่งที่โลกเป็นไป


    แล้วก็มีคนอวดดีอวดเก่ง บุคคลที่ยังอยู่ในระดับฐานปิรามิด หรือยังอยู่ในระดับพิธีกรรม จะให้ไปศึกษาปฏิบัติธรรมเพื่อความหลุดพ้นเลย เป็นไปได้หรือไม่ ? ต่อให้ใช้หัวแม่เท้าข้างไหนตรองดูก็รู้อยู่แล้วว่าเป็นไปไม่ได้ เด็กยังไม่ทันจะจบ ก.ไก่ ข.ไข่ แล้วบอกว่าปริญญาเอกสูงสุด ไปเรียนเลยลูก ไม่ต้องไปเรียนอย่างอื่น คงจะมีคนทำได้อยู่หรอก..!

    อย่างที่กระผม/อาตมภาพเคยเปรียบเทียบเอาไว้ว่า ส่วนสูงสุดของพระเจดีย์ก็คือยอดฉัตร บางคนทำฉัตรด้วยทองคำอีกต่างหาก..! แล้วเราก็บอกว่าส่วนที่สูงที่สุด เด่นที่สุดของเจดีย์คือยอดฉัตร สร้างแค่ยอดฉัตรก็พอ ไม่ต้องสร้างองค์เจดีย์ ไม่ต้องมีฐานเจดีย์หรอก แล้วฉัตรนั้นจะลอยอยู่ได้ไหม ?

    เพราะฉะนั้น...เรื่องบางอย่างของบุคคลที่นอกจากจะติดในสักกายทิฏฐิ ตัวกูของกู ความคิดของกูเท่านั้นที่ถูก ยังติดในอติมานะ ถือตัวถือตนเป็นอย่างยิ่ง ว่าตนเองเป็นผู้มีอายุมาก ศึกษาธรรมมามาก มีผู้ติดตามมาก แล้วก็ไปแนะนำสิ่งผิด ๆ ที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ผิดทั้งประเพณีนิยม ผิดทั้งสิ่งที่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าสอน เท่ากับว่าพาคนให้เป็นมิจฉาทิฏฐิไปด้วย..!


    บุคคลที่เป็นมิจฉาทิฏฐิ ส่วนใหญ่ตายแล้วลงข้างล่าง ลงลึกอีกด้วย..! กว่าที่จะหลุดพ้นขึ้นมาได้ก็นานเหลือเกิน เพราะว่าเคยสร้างกรรมอะไรไว้ ก็ต้องชดใช้ กว่าจะขึ้นมาบางทีพระพุทธเจ้าตรัสรู้ไปแล้วหลายพระองค์ ในเมื่อไปสร้างกรรมหนัก ทำให้คนอื่นห่างไกลความดีขนาดนั้น กระผม/อาตมภาพเคยตามไปดูแล้วว่าบุคคลเหล่านี้ไปไหน ปรากฏว่าไปลงนรกขุมพิเศษ ก็คือโลกันตนรก..!

    โลกันตนรกที่เป็นนรกขุมพิเศษ เพราะไม่ได้อยู่ในเขตของนรก หากแต่อยู่ในรอยต่อระหว่างโลกมนุษย์ สวรรค์ แล้วก็นรก ตรงจุดนั้น เหมือนอย่างกับเหวลึกลิบลิ่วลงไป ผู้ที่ทรงคุณความดีมหาศาลอย่างคุณยายเท่านั้นที่มีสิทธิ์จะไป ขอแสดงความยินดีด้วย..!

    สำหรับวันนี้ ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมทั้งหลายให้ได้ทราบและตระหนักด้วยว่า บางสิ่งบางอย่างดูเหมือนว่าใช่ แต่ความจริงแล้วผิดพลาดอย่างมหาศาล ไม่ว่าหลักธรรมอะไรก็ตาม ถ้าสงสัยให้อาศัยพระไตรปิฎกหรือวิสุทธิมรรคเป็นหลัก แล้วท่านจะปฏิบัติได้ถูกต้องและปลอดภัย


    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันพุธที่ ๒๗ กรกฎาคม พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...