เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 21 พฤศจิกายน 2022.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน ๒๕๖๕


     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    วันนี้ตรงกับวันจันทร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕ พวกเรามีเพื่อนใหม่เพิ่มมาอีก ๑ รูป ก็คือท่านอิทธิพล วรลาโภ ย้ายมาจากวัดตะพังคี อำเภอบางน้ำเปรี้ยว จังหวัดฉะเชิงเทรา ท่านบวชเมื่อ ๒๓ ตุลาคม ๒๕๖๔ พวกเราก็ดูแล้วกันว่าใครบวชก่อนใครบวชหลัง จัดให้ท่านลงตามลำดับไป โดยปกติการย้ายมาในลักษณะอย่างนี้ กระผม/อาตมภาพไม่รับหรอก ถ้าจะย้ายมาก็ต้องมาบอกมากล่าว มาตกลงกันให้แน่นอนก่อน ไม่ใช่นึกจะย้ายก็ย้ายมาเลยแบบนี้..!

    แม้กระทั่งทางวัดท่าขนุนของเรา ถ้าหากว่าใครยังไม่ถึง ๕ พรรษา จะเห็นว่ากระผม/อาตมภาพไม่ให้ย้ายไปไหน เพราะว่าไปก็มีแต่สร้างความเสียหายให้กับครูบาอาจารย์ เนื่องจากว่ายังศึกษาพระธรรมวินัยไม่ครบถ้วนสมบูรณ์ จะย้ายไปอยู่ที่อื่นได้ก็ต่อเมื่อเกิน ๕ พรรษาไปแล้ว ดังนั้น..ถ้าท่านติดตามในเว็บไซต์วัดท่าขนุน จะเห็นว่าใครก็ตามที่แหกคอกไปจากวัดก่อน ๕ พรรษา กระผม/อาตมภาพขึ้นบัญชีดำไว้หมด ไม่รับกลับเข้าสังกัดอีก มาก็ไม่รับเข้าพักด้วย..!

    ถ้าพระอุปัชฌาย์อาจารย์ไม่เข้มงวดกับลูกศิษย์ของตน พระศาสนาของเราก็จะพังเร็วขึ้น เพราะว่าศาสนาพุทธของเราไม่มีใครทำลายได้ เนื่องจากว่าหลักธรรมทั้งหลายเป็นของจริง เป็นของแท้ ใครปฏิบัติตามก็ย่อมเกิดประโยชน์แก่คนนั้น แต่ว่าผู้ที่จะทำลายได้ก็คือบุคคลภายในอย่าง ภิกษุ ภิกษุณี อุบาสก อุบาสิกา นั่นเอง

    พระอุปัชฌาย์อาจารย์ในปัจจุบันนี้ ส่วนใหญ่ก็อยู่ในลักษณะของ "พระอุปัชฌาย์เป็ด" ไข่แล้วก็ไป ไม่คิดจะฟูมฟักดูแลอะไรเลย ก็ขึ้นอยู่กับลูกศิษย์ว่ารู้จักจะเอาดีหรือเปล่า ? ถ้าไม่รู้จักที่จะเอาดี เดี๋ยวก็ไปเดินขบวนประท้วงการประชุมเอเปคกับเขาอีก..!

    ดังนั้น..เรื่องพวกนี้ไม่ใช่เรื่องของความเข้มงวด แต่เป็นระเบียบปฏิบัติที่มีมาตั้งแต่สมัยพุทธกาลแล้วว่า พระภิกษุตั้งแต่พรรษา ๑ ถึงพรรษา ๕ เรียกว่าพระนวกะ แปลว่าผู้ใหม่ ยังต้องรับนิสัย คืออยู่ร่วมกับพระอุปัชฌาย์อาจารย์ เพื่อศึกษาเล่าเรียนพระธรรมวินัย ถ้าพ้นพรรษา ๕ ไปแล้ว พระอุปัชฌาย์อาจารย์พิจารณาแล้วว่าเห็นสมควร จึงจะให้แยกย้ายไปอยู่ที่อื่นได้ เรียกว่าได้นิสัยมุตตกะ คือพ้นจากการอาศัยครูบาอาจารย์ของตน แต่ถ้าพระอุปัชฌาย์อาจารย์พิจารณาแล้วว่า ความประพฤติ กาย วาจา ใจ ยังไม่ดีพอที่จะไปอยู่ที่อื่น ก็ยังให้ถือนิสัยต่อไป ก็คือยังไม่ได้นิสัยมุตตกะ แต่ปัจจุบันนี้ เรื่องทั้งหลายเหล่านี้แทบจะไม่มีใครปฏิบัติตามกันแล้ว
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    สมัยที่กระผม/อาตมภาพเพิ่งจะบวชพรรษาแรกพรรษาสอง รับหน้าที่ต้อนรับพระอาคันตุกะ ปรากฏว่าประมาณช่วง ๓ โมงกว่ายังไม่ ๔ โมงเย็น มีพระอาคันตุกะท่านหนึ่ง เดินจีวรลากพื้นมาแต่ไกลเลย พอขึ้นไปบนศาลานวราชบพิตร กระผม/อาตมภาพก็เตือนว่า "ท่าน..ห่มผ้าให้เรียบร้อยก่อน" ท่านบอกว่า "รบกวนช่วยห่มให้ผมหน่อยครับ ผมเพิ่งจะบวชวันนี้เอง บวชเสร็จปุ๊บ ผมก็ออกธุดงค์ปั๊บเลย..!"

    นี่คือประเภทกลัวประวัติจะไม่สวย เกิดอยู่ต่อไปดังขึ้นมาได้ จะได้บรรยายว่าตนเองนั้นธุดงค์มาตั้งแต่วันแรกที่บวช หารู้ไม่ว่าผิดพระธรรมวินัยอย่างร้ายแรง เพราะว่ายังไม่ได้นิสัยมุตตกะ ก็ออกพ้นพระอุปัชฌาย์อาจารย์ไปแล้ว เท่ากับโดนอาบัติกินตัวอยู่ทุกวัน เพราะไม่เอื้อเฟื้อต่อพระวินัย แล้วจะไปเอาดีได้อย่างไร ?

    บุคคลประเภทนี้ปัจจุบันก็มีมากขึ้น คิดว่าตัวเองรู้ทุกเรื่อง โดยที่ไม่ได้คิดว่า ในเรื่องของพระภิกษุสามเณรของเรานั้นเป็นเรื่องที่อันตรายเป็นอย่างยิ่ง เพราะว่าเราอยู่ในฐานะของปูชนียบุคคล เป็นบุคคลที่ชาวบ้านเขาเคารพกราบไหว้ จะถวายอะไรก็ทูนหัวทูลเกล้าให้ แล้วถ้าเราประพฤติปฏิบัติไม่ดีพอ ก็มีแต่จะขาดทุนไปทุกวัน

    อย่างที่ผมเคยยกตัวอย่างหลวงน้ามีชัย สุนฺทโร ที่ท่านบอกว่า "ญาติโยมแต่ละคนทำบุญกับเรา ก็หวังจะกอบโกยจากเราทั้งนั้น ถ้าเราทำเอาไว้ไม่พอ ก็แปลว่าขาดทุนไปทุกวัน ขาดทุนมาก ๆ ก็ล้มละลาย..!"

    ฉะนั้น...ถ้ายังหวังที่จะเอาดีในพระพุทธศาสนา สิ่งหนึ่งที่ลืมไม่ได้เลยก็คือพระธรรมวินัย เพราะว่าเป็นรากแก้วของพระพุทธศาสนา ต้นไม้ไม่มีราก ต้องตายอย่างแน่นอน..!

    บางสำนักบอกว่า เอาหลักธรรมที่เป็นแก่นของพระพุทธศาสนาดีกว่า กระผม/อาตมภาพถามกลับไปว่า ต้นไม้ไม่มีรากอยู่ได้ไหม ? เพราะว่าพระธรรมวินัย โดยเฉพาะพระวินัยของพระ ถ้าเราถือเคร่งครัดสักหน่อย จะสร้างความศรัทธาเลื่อมใสให้กับญาติโยมได้มาก เมื่อมีบุคคลศรัทธาเลื่อมใสมาก ให้การสนับสนุนมาก เท่ากับมีคนช่วยค้ำจุนพระพุทธศาสนามากขึ้น ศาสนาของเราถึงจะตั้งมั่นคงอยู่ได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    อย่างน้อยพวกท่านทั้งหลายก็ยังช่วยกันสร้างชื่อเสียงเกียรติคุณให้กับวัดท่าขนุนไว้มาก ไม่ว่าท่านที่ออกไปเรียน หรือว่าไปช่วยงานที่อื่น มักจะได้รับคำชมจากผู้ใหญ่อยู่เสมอ บางท่านถึงขนาดถามผมว่า "ไปคัดตัวมาได้อย่างไร ?" กระผม/อาตมภาพต้องยืนยันว่าท่านทั้งหลายมาบวชเอง กระผม/อาตมภาพไม่ได้มีหน้าที่ไปคัดตัวใคร แต่พวกท่านต้องเข้าใจในสิ่งที่พระพุทธเจ้าท่านตรัสไว้ว่า "บุคคลคบหากันตามธาตุ" หมายถึงจริตนิสัย ตลอดจนกระทั่งความรักชอบที่ใกล้เคียงกัน

    อย่างที่พระองค์ท่านถามพระอานนท์ว่า "อานันทะ...ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นภิกษุทั้งหลายที่คบหาสมาคมกับสารีบุตรหรือไม่ ?" พระอานนท์ตอบว่า "เห็นพระเจ้าข้า" องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้มีปัญญามาก"

    ทรงตรัสถามพระอานนท์ว่า "อานันทะ...ดูก่อนอานนท์ เธอเห็นภิกษุทั้งหลายที่คลุกคลีอยู่กับโมคคัลลานะและปิณโฑลภารทวาชะหรือไม่ ?" พระอานนท์ทูลตอบว่า "เห็นพระเจ้าข้า" พระองค์ท่านตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ยินดีในฤทธิ์"

    ทรงตรัสถามว่า "อานันทะ...ดูก่อนอานนท์ พวกเธอเห็นภิกษุทั้งหลายที่คลุกคลีกับปุณณมันตานีบุตรหรือไม่ ?" พระอานนท์ทูลตอบว่า "เห็นพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ภิกษุทั้งหลายเหล่านั้นเป็นผู้ยินดีในธรรมกถึก" คือชอบเป็นนักเทศน์

    เราจะเห็นได้ว่าครูบาอาจารย์เป็นแบบไหน ลูกศิษย์ส่วนใหญ่ก็จะเป็นแบบนั้น ถ้าคุณไปสายธรรมกาย ทุกคนต้องแต่งตัวเนี้ยบเหมือนกันหมด ถ้าเปลือกนอกไม่สวย ไม่มีทางที่จะได้อยู่ด้วยกัน แต่ถ้าหากว่าคุณจะไปอยู่สันติอโศก จะเห็นว่าทุกคนทำตัวปอน ๆ กินน้อย นอนน้อย ใช้สิ่งของอำนวยความสะดวกน้อยมาก แม้แต่รองเท้าก็ไม่ใส่ แต่ถ้าหากว่าไปสายวัดป่า เราก็จะเห็นว่าท่านเดินจงกรมกันข้ามวันข้ามคืน นั่นคือลักษณะของการคบหาตามธาตุ ตามจริตนิสัย ตามความรักชอบกันเป็นส่วนตัว

    คราวนี้สิ่งที่ท่านทั้งหลายทำ เมื่อได้รับคำชมมา วัดวาของเราก็มีชื่อเสียง กระผม/อาตมภาพเองก็พลอยได้หน้าไปด้วย อย่างเมื่อวานนี้ พระเดชพระคุณพระเทพปริยัติโสภณ, ดร. (ปัญญา วิสุทฺธิปญฺโญ ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดกาญจนบุรี ท่านบอกว่า "อาจารย์เล็กส่งพระมาช่วยงาน ๑๐ รูปก็เท่ากับ ๑๐๐ รูปของที่อื่น..!"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,394
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,369
    หรือไม่ก็อย่างที่พระเดชพระคุณพระเทพมหาเจติยาจารย์ (ชัยวัฒน์ ปญฺญาสิริ ป.ธ.๙) เจ้าคณะจังหวัดนครปฐม ที่ท่านถามว่า "อาจารย์เล็กไปคัดตัวพระเหล่านี้มาได้อย่างไร ? เรื่องเรียนก็ขยัน เทศน์ก็ได้ นำปฏิบัติธรรมก็ได้ โดยเฉพาะปฏิบัติธรรมแล้วไม่เคยหนีเลย" กระผม/อาตมภาพก็ต้องเรียนถวายท่านไปว่า "ไม่เคยไปคัดตัวครับ หากแต่ว่าทุกคนมาขอบวชเอง"

    ดังนั้น...ในสิ่งที่เราเคร่งครัดต่อพระธรรมวินัย มีแต่จะดีกับตัวเราและพระพุทธศาสนา เสริมสร้างความเข้มแข็งให้แก่พระพุทธศาสนา ถ้าบอกว่าบอกว่าวัดเราเคร่งครัด กระผม/อาตมภาพขอยืนยันว่าไม่เคร่ง เพราะว่าวัดวาอารามที่ท่านเคร่งครัดกว่านี้มีมาก แต่ท่านเคร่งเกินจนเขาอยู่ด้วยไม่ได้ แล้วที่หย่อนยานมีมากมายมหาศาล ท่านที่ต้องการความดีจริง ๆ ก็ไม่อยู่ด้วยเช่นกัน

    ต่างจังหวัดส่วนใหญ่พอออกพรรษาแล้วก็เหลือแต่เจ้าอาวาสบ้าง เหลือเจ้าอาวาสกับเณรรูปหนึ่ง สองรูปบ้าง อย่างสมัยก่อนที่รุ่นของท่านอาจารย์สมเด็จ ท่านอาจารย์สมพงษ์เป็นเจ้าอาวาสวัดท่าขนุนอยู่ โยมนิมนต์พระ ๙ รูป ต้องไปยืมวัดอื่นอีกสองวัดถึงได้ครบ..! แต่พอกระผม/อาตมภาพมาอยู่ด้วย ไม่เคยมีปีไหนที่น้อยกว่า ๒๐ รูป แล้วปัจจุบันก็ยืนอยู่ที่ ๔๐ - ๕๐ รูปเป็นปกติ

    ก็แปลว่าสิ่งที่พวกเราทำ ท่านทั้งหลายเองก็เห็นด้วยถึงได้มาขออยู่ร่วมกัน แล้วชาวบ้านทั้งหลายก็เห็นอยู่ด้วย ท่านก็คงจะเห็นว่า ปัจจุบันนี้พระวัดท่าขนุนไปเป็นเจ้าอาวาสทั่วไปหมดแล้ว ถึงเวลาหาเจ้าอาวาสไม่ได้ก็มาขอที่นี่ ปัจจุบันนี้เจ้าคณะตำบลหาเลขานุการไม่ได้ ก็มาขอจากวัดท่าขนุนอีกเช่นกัน

    แต่สิ่งทั้งหลายเหล่านี้จะเกิดขึ้นได้ก็ต้องให้ท่านทั้งหลายมีสำนึกในการตั้งใจปฏิบัติดี ทั้งเพื่อตนเอง เพื่อวัดวาอาราม และเพื่อพระศาสนาด้วย เพราะฉะนั้น...การที่เราจะอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุข ถ้ายึดพระวินัยเป็นหลักจะไม่มีกระทบกระทั่งอะไรกันเลย แต่ถ้าหากว่าไม่ยึดพระธรรมวินัยเป็นหลัก ทำตามใจตัวเอง ก็มีแต่ปัญหาอยู่ตลอดเวลา

    สำหรับวันนี้ก็ขอเรียนถวายพระภิกษุสามเณรของเรา และบอกกล่าวแก่ญาติโยมแต่เพียงเท่านี้

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร.
    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน
    วันจันทร์ที่ ๒๑ พฤศจิกายน พุทธศักราช ๒๕๖๕
    (ถอดจากเสียงเป็นอักษร โดย เผือกน้อย)
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...