เรื่องเด่น เปิดใจน้องชายเจ้าอาวาสวัดดัง โดนแฉสวมสิทธิ์คนตาย ชาวบ้านข้องใจทำไมไม่ออกมาชี้แจง

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 19 ตุลาคม 2017.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,319
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,274
    ค่าพลัง:
    +9,590
    e0b899e0b989e0b8ade0b887e0b88ae0b8b2e0b8a2e0b980e0b888e0b989e0b8b2e0b8ade0b8b2e0b8a7e0b8b2e0b8aa.jpg

    กลายเป็นข่าวช็อกทั้งจังหวัด หลังจากที่มีคนมาแฉว่า “พระราชรัชมุนี” เจ้าอาวาสวัดสวนดอก พระอารามหลวง อ.เมือง จ. เชียงใหม่ ไม่ได้มีสัญชาติไทย บิดามารดามีสัญชาติพม่า อาศัยอยู่แนวชายแดนติดกับ อ.แม่อาย แอบอ้างสิทธิ์ใช้บัตรเด็กชายชาวชัยภูมิที่เสียชีวิตไปแล้วนานกว่า 20 ปี ซึ่งสังคมจี้ให้มีการตรวจสอบเรื่องนี้ และตอนนี้เจ้าอาวาสวัดดังก็หายตัวไป ไม่ออกมาชี้แจง

    ล่าสุดรายการโหนกระแส 33 ดำเนินรายการโดย “หนุ่ม กรรชัย กำเนิดพลอย” ผลิตในนาม บริษัท ดีคืนดีวัน จำกัด ออกอากาศทุกวันจันทร์-พฤหัสบดี เวลา 17.30 น. ทางช่อง 33 ได้เชิญตัวน้องชายเจ้าอาวาส “คุณชาญชัย ศรีวชิรพันธ์” รวมทั้ง “กรณ์ ดีมี” เลขาธิการสมาพันธ์ชาวพุทธแห่งประเทศไทย และ “พระมหาไพรวัลย์ วรวณฺโณ” พระนักคิดนักเขียนมาพูดคุยและชี้แจงในรายการ

    ชาญชัย เผยว่า “ผมอายุ 49 ปี มีพี่น้อง 7 คน แต่เสียชีวิตไป 2 ซึ่งท่านเจ้าคุณเป็นคนที่ 5 เรื่องที่บอกว่าเป็นชาวเมียนมาร์ ครั้งแรกพวกผมก็ยังงงว่าเป็นไปได้ยังไง เดิมตระกูลผมอยู่ในแผ่นดินไทย พวกผมเกิดในแผ่นดินไทย จะเป็นพม่าได้ไง แต่เชื้อชาติไทยใหญ่ โซนนั้นทั้งหมดเป็นไทยใหญ่ มีบัตรบ้าง ไม่มีบ้าง ที่มีคนไทยดั้งเดิมจริงๆ การมีบัตรของท่าตอน เขาเริ่มตั้งแต่ 2499 คือการสำรวจสำมะโนครั้งแรก หลังจากนั้น 2507 มีการถ่ายบัตรประชาชน ครั้งที่สองถ่ายเมื่อ 2513 ต่อมาผู้มีบัตรต่างๆ มันสูญหายเมื่อปี 2519 ท่าตอนอยู่เชียงใหม่ ปี 2519 ไฟไหม้อำเภอ เอกสารสูญหายหมด ใครมีเอกสารอยู่ที่บ้านก็ไปร้องอำเภอคัดสำเนาใหม่แต่ใครไม่มีเอกสารก็เป็นเรื่องยากที่จะคัดสำเนา”

    b899e0b989e0b8ade0b887e0b88ae0b8b2e0b8a2e0b980e0b888e0b989e0b8b2e0b8ade0b8b2e0b8a7e0b8b2e0b8aa-1.jpg

    คนไทยใหญ่กว่าจะทำบัตรตอนนั้นมันนาน แต่ไม่ใช่ว่าจะทำไม่ได้ แล้วพี่ชายไปสวมสิทธิ์ทำไม? ชาญชัย กล่าวว่า “อันนี้ผมไม่ทราบท่านได้ ผมไม่ถามเพราะท่านไปอยู่ทางธรรม ผมก็อยู่ทางโลก ท่านบวชก็ใช้ใบสุทธิไม่ได้ใช้บัตรประชาชน ท่านสวมสิทธิ์ทำไมผมก็ไม่ทราบครับ”

    กรณ์ กล่าวว่า “ต้องบอกว่าปัจจุบันมีการตรวจสอบโดยท่านตวง นันทสิทธิ์ ตรวจสอบว่ามีคนไทยที่ตกหล่น กำลังรอพิสูจน์สัญชาติเพื่อให้ได้บัตรประชาชน มีประมาณสองล้านห้าแสนกว่าคน ที่อยู่ตามตะเข็บชายแดนเต็มไปหมดเลย ทีนี้การพิสูจน์ใช้เวลานาน แม้แต่ทางน้องชายเองกว่าจะได้บัตรประชาชนใช้เวลานานมาก แต่อันนี้ท่านทำมาตั้งแต่ต้นกว่าจะได้ก็ใช้เวลาหลายสิบปี ทีนี้ท่านเจ้าคุณเอง ท่านบวชอยู่ก็ไม่ได้สนใจ ท่านได้สิทธิ์เป็นคนไทยอยู่แล้ว พอไม่ได้ไปยื่นขอตั้งแต่แรก พอมาวันหนึ่งมันจำเป็นต้องใช้ นับวันมีความจำเป็นเข้าเรื่อยๆ ท่านเลยพยายามที่จะไปทำ แล้วก็ได้รับทราบว่าก็น่าจะมีขบวนการเข้ามาพูดคุยกับท่าน”

    เป็นพวกมิจฉาชีพ? กรณ์ เผยว่า “ก็น่าจะเป็นอย่างนั้น ก็มาพูดกับท่านว่าทำแบบนี้มั้ย ง่ายดีเพราะเมื่อก่อนกว่าจะได้บัตรแต่ละคน ต้องใช้เวลาพิสูจน์กัน 10-20 ปี”

    ในกรณีที่พูดแบบนี้ ถ้าเกิดประชาชนตั้งคำถามว่าเพราะรอนานเลยต้องมาใช้วิธีลัดแบบนี้ วิธีที่ผิดกฎหมาย สมควรเหรอ? กรณ์ กล่าวว่า “ไม่สมควรทุกกรณี การทำผิดกฎหมายไม่สมควรอยู่แล้ว แต่ก็ต้องดูว่าเราอย่ามองในเชิงวิชาการ ต้องมองว่าท่านคือชาวบ้านคนหนึ่ง ท่านอยู่ในพื้นที่ชาวบ้านเขาเวลาทำอะไรเขาก็เลือกง่ายๆ อะไรที่มันง่ายก็เอาไว้ก่อน โดยไม่รู้ว่ามันผิด คนที่ไปพูดเกลี้ยกล่อมท่าน บอกว่าไม่เป็นไรหรอก ท่านเลยคิดว่าแบบนี้ก็ง่ายดี ท่านก็เลยอาจจะตัดสินใจผิด ถามว่าเจตนามั้ยถ้าท่านทำจริงท่านก็คงทราบว่าเป็นความผิด เพียงแต่ท่านไม่ทราบว่าเป็นความผิดอะไรมากมาย คือต้องบอกว่าพระทั้งประเทศถูกพูดมาว่าต้องไม่ยุ่งกับการเมือง ท่านก็เข้าใจว่าวิถีกฎหมายเป็นเรื่องการเมืองเหมือนกัน พระทั้งประเทศจึงแทบไม่มีองค์ไหนทราบข้อกฎหมาย ถามว่าในมุมข้อกฎหมายผิดมั้ย ถ้าท่านทำจริงก็ผิด ผิดแต่ต้องบอกว่าผิดหนักมากแค่ไหน อายุความเป็นอย่างไร มันต้องมาดูทีละอัน มีผิดทั้งกฎหมายและพระวินัย ว่าผิดพระวินัยผิดมั้ยและผิดระดับไหน”

    มีการขุดว่าหลังเกิดเรื่อง ตอนนี้ท่านหายตัว หนีคดี? กรณ์ กล่าวว่า “ตอนนี้มีคำถามเยอะว่าทำไมท่านต้องหนีคดี ก็ต้องย้อนถามว่ามันเป็นคดีแล้วเหรอ คนไปแจ้งความมันมี แต่ว่า ณ วันนี้ยังไม่มีหมายเรียก ท่านยังไม่ถูกดำเนินคดีใดๆ ทั้งสิ้น ถามว่าท่านหายมั้ย ท่านไม่ได้ถูกดำเนินคดีท่านก็ไม่ได้หนี ปัจจุบันท่านก็ไม่ได้หนี เพียงแต่ท่านไม่ได้ออกมาสู่สาธารณะเท่านั้นเอง คุณบอกว่ามีการแจ้งข้อกล่าวหา มันคนละประเด็น อันนี้มีคนฟ้อง แต่ว่าตร.ยังไม่ได้ออกหมายเรียก ยังไม่ได้ตั้งข้อกล่าวหาใดๆ เลย เพราะฉะนั้นท่านไม่จำเป็นต้องหนี ท่านเก็บตัว ท่านเป็นเจ้าอาวาสวัดสวนดอก ท่านก็อยู่สวนดอก”

    ทำไมท่านไม่ออกมาชี้แจง? กรณ์ กล่าวว่า “ก็เป็นเรื่องปกติทั่วไปว่าคนหลายๆ คนพอโดนกระหน่ำเข้าไป ก็จะเงียบไว้ก่อน อีกประการหนึ่งคือพระสงฆ์เองท่านมีแนวทางปฏิบัติ สังเกตเวลามีใครไปกล่าวหาพระสงฆ์ที่ไหน ส่วนใหญ่นะครับ ไม่ใช่ทั้งหมด ส่วนใหญ่ทันทีที่กล่าวหาท่านจะเงียบ เท่าที่ตรวจสอบดูอายุความ 10 ปี เหตุเกิดปี 38 มันก็หมดไปแล้ว”

    b899e0b989e0b8ade0b887e0b88ae0b8b2e0b8a2e0b980e0b888e0b989e0b8b2e0b8ade0b8b2e0b8a7e0b8b2e0b8aa-2.jpg

    มาเรื่องพระวินัย มองยังไง? พระมหาไพรวัลย์ กล่าวว่า “คือตอนนี้สังคมตั้งคำถามกับท่านเจ้าคุณสองกรณี กรณีหนึ่งอาจหนักหรือเปล่าไม่ทราบ สังคมบอกว่าต้องปราชิกหรือเปล่า เพราะสวมสิทธิ์ที่คนอื่นไม่ได้ให้มาเป็นของตัวเอง อีกประการหนึ่งหลวงพ่อผิดวินัยข้อมุสาวาสหรือเปล่า กล่าวเท็จหรือเปล่าก็ต้องไปว่ากัน ส่วนที่ว่าหลวงพ่อท่านปราชิกมั้ยจะไปกล่าวหาท่านก็คงไม่ได้ ต้องผ่านกระบวนการสอบสวนจากคณะผู้ปกครองก่อน การจะอาบัติปราชิกได้ต้องเอาตัวพระมาสอบสวน เอาตัวท่านเจ้าคุณไปสอบสวนกับคณะสงฆ์ถามเจตนาให้แน่ชัด ถ้าท่านมีหลักฐานอะไรโต้แย้งว่าไม่ได้มีเจตนา ท่านไม่รู้ว่ามีการสวมสิทธิ์ คิดว่าเป็นไปตามหลักการข้อกฎหมายก็ว่าไป ถ้าท่านไม่มีข้อมูลหลักฐานในการโต้แย้ง คณะสงฆ์อาจจะใช้มหาประเทศ 4 ในการพิจารณาความผิดก็ได้ว่าเข้าข่ายหรือไม่เข้าข่าย”

    พระอาจารย์ถือว่าผิดมั้ยการเอาชื่อคนตายมาสวมตัวเอง? พระมหาไพรวัลย์ กล่าวว่า “คืออาตมามองว่าเราไปโฟกัสเรื่องพระวินัยซึ่งมันเป็นประเด็นรองนะ เพราะมันเป็นเรื่องทางกฎหมาย ซึ่งค่อนข้างมีมูลในการกระทำความผิดที่ชัดเจน ซึ่งเราก็ต้องรอว่าท่านจะมาแก้ต่างหรือมีหลักฐานในการแย้งกับสิ่งที่ท่านตกเป็นจำเลยของสังคมอย่างไรเท่านั้นเอง เพราะฉะนั้นสิ่งที่เราต้องพูดกันแน่นอนว่าการที่ท่านไปสวมสิทธิ์ ท่านมีเจตนา รู้เห็นเป็นใจ ท่านสมรู้ร่วมคิดด้วยมั้ย หรือท่านรู้เรื่องตั้งแต่ต้นจนถึงตอนนี้ ท่านมีส่วนร่วมมั้ย ถ้าท่านมีส่วนร่วมท่านทำผิดกฎหมายอย่างชัดเจน เราต้องพูดในเรื่องนี้ เรื่องทางพระวินัยเป็นเรื่องเล็กมากเลย ถ้าท่านจะบอกว่าไม่รู้ ท่านต้องเอาข้อมูลมาแย้ง ตอนไปแจ้งกับอำเภอใครไป ก็เป็นท่านไปแจ้งเอง ยังต้องสอบสวนกันต่อไป”




    ขอขอบคุณที่มา
    https://www.khaosod.co.th/special-stories/news_580630
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 19 ตุลาคม 2017

แชร์หน้านี้

Loading...