เปรียบกิเลส...เป็นสเลดที่บ้วนออกไป

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย ...คนสู้กรรม..., 10 มกราคม 2009.

  1. ...คนสู้กรรม...

    ...คนสู้กรรม... เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    11 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    360
    ค่าพลัง:
    +967
    กิเลส...เกิดขึ้นจากใจของมนุษย์เอง เกิดจากความอยากได้ อยากมี อยากเป็น และสารพัดที่จะอยาก กิเลสก็คือความอยาก อยากได้รถ อยากได้บ้าน อยากได้เงินทอง อยากได้คู่ครอง ฯลฯ เหล่านี้ล้วนเกิดจากกิเลสเป็นตัวต้นเหตุทั้งสิ้น

    หลายคนที่ฝักใฝ่ในธรรมะ พยายามตัดกิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปจากใจ แต่ด้วยเหตุที่อำนาจของกิเลส มันพร่องอยู่เป็นนิจนี่เอง มันจึงหวนกลับมามีอิทธิพลเหนือคนๆนั้นได้อย่างง่ายดาย

    ยกตัวอย่างเช่น นาย ก. เดิมทีเป็นคนที่อยากได้ทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เขาอยากได้ จนกระทั่งเสียผู้เสียคน เสียเงินเสียทองไปกับความอยากที่ไร้สาระของตน กระทั่งเข้าศึกษาทางธรรม มุ่งตัดบ่วงกิเลสนี้ให้สิ้นซาก เขาได้เข้าวัดฟังธรรม ทำบุญ ปฏิบัติกรรมฐานต่างๆนานา และแล้วเขาก็คิดว่ากิเลสได้หายไปจากใจเขาสิ้นแล้ว

    แต่เมื่อก้าวเท้าออกจากวัด เขาก็ได้พบกับสิ่งต่างๆรอบตัว "รถคันนี้สวยจัง" "บ้านหลังนี้สวยจัง" "เอ๊ะ...มือถือรุ่นใหม่สวยจัง" "เธอคนนั้นสวยจัง" จึงทำให้กิเลสนี้กลับมาพุ่งพล่านอยู่ในใจอีก เป็นเหตุให้ตัดกิเลสไม่ขาด...

    สามเณรรูปหนึ่ง ในวัดคลองคะเชนทร์ จ.พิจิตร ได้เคยเทศนาให้ผมฟังว่า

    "สเลดนั้น...เมื่อเราขากออกมา แล้วมันกระจุกอยู่ในช่องปาก เรายังสามารถกลั้นใจกลืนมันลงไปได้ แต่เมื่อใดก็ตามที่เราบ้วนมันลงสู่พื้นแล้ว ใครกันจะกล้าดูดกลืนมันลงไปได้อีก นี้จึงไม่ต่างอันใดกับกิเลส ที่เมื่อเรายังคงมีเศษเสี้ยวของความอยาก ครุกรุ่นอยู่ในจิตใจ เรายังสามารถทำให้มันประทุได้อีกเรื่อยๆ แต่เมื่อใดก็ตามที่ผลแห่งกิเลสนั้นส่งผลร้ายแรง จนเกิดโทษแก่ตนเองอย่างสาหัส เราจะยังกล้ากระทำเช่นนั้นอีกหรือ...เช่นคนๆหนึ่ง ชอบที่จะซิ่งรถ และซิ่งอย่างนั้นมาเป็นเวลานาน แม้จะประสบกับอุบัติเหตุอย่างไรก็มิวายจะซิ่งอยู่ เกิดความอยากที่จะเพิ่มความเร็วให้แก่รถอยู่เนืองนิจ เพื่อสนองความอยากของตนเอง เพื่อตอบสนองความคะนองของตนเอง แต่พอเมื่อขับขี่ไปชนคนตาย จนเป็นบาปติดใจไป หรือเกิดอุบัติเหตุแขนขาขาด สูญเสียไปครึ่งชีวิต คนๆนี้ไหนเลยจะกล้ากลับไปซิ่งรถอีกได้ นี่คือเมื่อเห็นผลแห่งกิเลส เขาก็จะละกิเลสได้เอง แต่ทว่าผลนั้นหากมิร้ายแรงอย่างมหันต์ ก็มิอาจสลดลงได้ เหมือนสเลดของเราที่กองอยู่บนพื้น เมื่อเราไม่เคยเห็นรูปร่างของมัน เราก็ยังคงกลืนมันลงคอไปได้ แม้จะเค็มๆมันๆไปบ้าง แต่ก็ยังมีรสชาติ แต่เมื่อใดก็ตามที่เราเห็นรูปลักษณ์ของมัน ที่เหนียวๆยืนๆ และกองอยู่บนพื้น เปื้อนดินสกปรกแล้ว เราก็จะไม่กล้ากลืนมันลงไปอีก"

    ข้อความข้างต้นแม้จะสะอิดสะเอียดไปบ้าง แต่ผมคิดว่ามันก็มีส่วนของความจริงอยู่มิใช่น้อย หากเราจะตัดกิเลส ก็ต้องตัดเสียให้ขาด อย่าหวนกลับไปสู่เส้นทางของกิเลสอีก อย่ามัวรอผลของมันที่จะเกิดขึ้น จงรีบบ้วนมันทิ้งไปซะ ก่อนที่อะไรๆจะสายไป

    ลืมบอก...สามเณรทื่ผมบอกนั้น ตอนนี้สึกออกมาแล้ว เขาบวชภาคฤดูร้อนที่วัด และก็เคร่งมากเสียด้วย เสียแต่ว่าผมจำฉายาของเณรไม่ได้ (ไม่รู้ว่ามีหรือเปล่า) แต่ผมก็เรียกกันว่า เณรบิ๊ก ตามชื่อของเณร และไม่เข้าใจเหมือนกัน ว่าเด็ก 12 ขวบ คิดเรื่องพวกนี้ได้อย่างไร??...
     
  2. ญ.ผู้หญิง

    ญ.ผู้หญิง ทีมผูัดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 กรกฎาคม 2008
    โพสต์:
    5,419
    ค่าพลัง:
    +26,932
    อนุโมทนาสาธุ กับ จขกท.ที่นำเรื่องราวดีๆ มาฝากกัน อ่านจากการเปรียบเทียบแ้ล้ว เข้าใจได้ง่ายและเห็นภาพได้ชัดเจนที่สุดค่ะ


     

แชร์หน้านี้

Loading...