เธ

ในห้อง 'ข่าวทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย zipper, 19 เมษายน 2005.

  1. zipper

    zipper เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กันยายน 2004
    โพสต์:
    5,226
    ค่าพลัง:
    +10,590
    พลิกปูม ''สังหารหมู่ที่นานกิง'' พยานต่างชาติเผยเหตุสะเทือนขวัญ

    <center><img src=http://www.mthai.com/webboard/upload_images/87385.jpg></center>


    ประวัติศาสตร์ญี่ปุ่นรุกรานจีนกำลังกลับมาเป็นหัวข้อสนใจกันอีกครั้งหลังจากคลื่นการประท้วงของชาวจีนนับหมื่นในหลายเมืองใหญ่ได้กลายเป็นข่าวติดต่อกันมาเป็นสัปดาห์ที่สาม

    เหตุการณ์ที่โดดเด่นที่สุดของสงครามจีน-ญี่ปุ่นก็คือ กรณีการเข้ายึดครองเมืองนานกิง ซึ่งทหารญี่ปุ่นได้เข่นฆ่าล้างผลาญชีวิตและทรัพย์สินของชาวจีนไปมากมาย มีทั้งการเผาทั้งเป็น ฝังทั้งเป็น ลั่นกระสุนสังหาร แทงด้วยดาบปลายปืน ฟันด้วยดาบ ปล้นสะดม จนถึงข่มขืนกระทำชำเรา

    รายงานของบีบีซีบอกว่า กรณีการข่มขืนที่เมืองนานกิง หรือ The Rape of Nanjing หรือที่เรียกกันทั่วไปว่า กรณีการสังหารหมู่ที่เมืองนานกิงระหว่างเดือนธันวาคม 2480 ถึงเดือนมีนาคม 2481 นับเป็นการสังหารหมู่ครั้งร้ายแรงที่สุดในยุคใหม่

    ทางการจีน นักประวัติศาสตร์ และบรรดาหน่วยงานบรรเทาทุกข์ที่อยู่ในเหตุการณ์ ต่างพูดตรงกันว่ากองทัพญี่ปุ่นได้สังหารชาวจีนเฉพาะในเมืองนานกิงราว 300,000 คน ซึ่งจำนวนมากเป็นผู้หญิงและเด็ก

    บรรดาชาวตะวันตกที่เห็นเหตุการณ์บอกว่า มีผู้หญิงจีนถูกข่มขืนประมาณ 20,000 คน และประชาชนพลเรือนจำนวนมากได้ถูกปลิดชีพด้วยดาบซามูไรหรือดาบปลายปืน

    ญี่ปุ่นยอมรับว่าเกิดการสังหารและข่มขืนจริง แต่จำนวนผู้ตกเป็นเหยื่อไม่ได้มากถึงขนาดนั้น เจ้าหน้าที่ญี่ปุ่นพูดถึงผู้เคราะห์ร้ายโดยบอกว่ามี "จำนวนมาก" หรือ "หลายคน" และเหตุการณ์ก็ไม่ได้เกิดในยามปกติ แต่เป็นสถานการณ์ของสงคราม


    ในปี 2474 ญี่ปุ่นได้รุกรานดินแดนแมนจูเรียของจีน กองทัพจีนไม่อาจต้านทานได้ ญี่ปุ่นจึงเข้ายึดครองดินแดนจีนได้อย่างกว้างขวาง

    ในปีต่อมา ญี่ปุ่นสามารถตั้งมั่นในจีนได้ ขณะที่จีนยังมีสงครามภายในระหว่างพวกคอมมิวนิสต์กับฝ่ายชาตินิยมของพรรคก๊กมินตั๋ง ซึ่งนำโดยนายพล เจียงไคเช็ก โดยใช้นานกิงเป็นเมืองหลวงของฝ่ายตน

    กองทัพญี่ปุ่นต้องการแผ่อิทธิพลให้กว้างไกลยิ่งขึ้นไปอีก การปะทะประปรายระหว่างทหารจีนกับทหารญี่ปุ่นจึงได้ยกระดับกลายเป็นสงครามเต็มรูปแบบในเดือนกรกฎาคม 2480

    ตอนแรกญี่ปุ่นเป็นฝ่ายมีชัย ต่อมาฝ่ายจีนสามารถต้านทานการรุกคืบได้อยู่ชั่วระยะหนึ่ง ก่อนที่ญี่ปุ่นจะตีเมืองเซี่ยงไฮ้แตก แล้วกรีธาทัพมุ่งสู่เมืองนานกิงอย่างรวดเร็ว

    ทหารของเจียงไคเช็กได้ละออกจากเมืองไปก่อนแล้ว กองทัพญี่ปุ่นจึงสามารถยึดนานกิงได้ง่ายๆ

    แล้วเหตุการณ์ที่กลายเป็น "หนี้ประวัติศาสตร์" ที่ญี่ปุ่นยังคงติดค้างจีนมาจนถึงทุกวันนี้ก็ได้เกิดขึ้น

    บรรดาหนังสือพิมพ์ในญี่ปุ่นยุคนั้นรายงานว่า พวกทหารชั้นผู้น้อยของญี่ปุ่นต่างแข่งกันว่าใครจะฆ่าคนจีนได้มากกว่ากัน

    นักข่าวชาวญี่ปุ่นคนหนึ่งเห็นชาวจีนถูกต้อนให้เดินเป็นแถวเอาไปยิงทิ้งที่ริมฝั่งแม่น้ำแยงซี และได้เห็นศพกองโตเป็นพะเนินถูกเผาทิ้ง

    รูปถ่ายเก่าๆ ซึ่งปัจจุบันจัดแสดงในพิพิธภัณฑ์เมืองนานกิงแสดงภาพทหารญี่ปุ่นยืนยิ้มอยู่ท่ามกลางกองร่างไร้วิญญาณ

    ทิลแมน เดอร์ดิน นักข่าวของนิวยอร์กไทมส์ ได้เห็นเหตุการณ์สังหารหมู่ในช่วงเริ่มแรกก่อนถูกทหารญี่ปุ่นไล่ออกมา

    "ตอนนั้นผมอยู่ในวัย 29 นั่นเป็นข่าวใหญ่ชิ้นแรกที่ผมทำให้นิวยอร์กไทมส์ ผมขับรถลงไปที่ฝั่งแม่น้ำ รถต้องแล่นทับไปบนศพที่กองก่ายกันระเกะระกะที่ฝั่งแม่น้ำนั่น ขณะผมรอคอยการลงมือ พวกนายทหารของญี่ปุ่นก็สูบบุหรี่คุยกัน ยืนดูการสังหารทหารจีน 1 กองพันโดยรัวปืนกลเข้าใส่"

    ตอนที่ผละออกมา เขาเห็นคนถูกสังหารประมาณ 200 คนในช่วงเวลา 10 นาที ท่ามกลางสีหน้าท่าทางสนุนสนานของพวกทหารญี่ปุ่นที่คอยชม

    เขาบอกว่าเหตุการณ์นี้เป็น "ความโหดร้ายที่สุดกรณีหนึ่งแห่งยุคสมัยใหม่" และว่า "ความทรงจำนี้ไม่อาจลบเลือน"


    หมอสอนศาสนา จอห์น แม็กกี เป็นอีกผู้หนึ่งที่เห็นเหตุการณ์ ท่านสาธุคุณบอกว่าทหารญี่ปุ่นไม่เพียงสังหารเชลยศึกทุกคนที่จับได้เท่านั้น แต่ยังเข่นฆ่าชาวบ้านชาวเมืองทุกเพศทุกวัยด้วย "หลายคนถูกยิงราวกับเป็นการล่ากระต่ายไปตามท้องถนน"

    หลังจากได้เห็นการสังหารและข่มขืนอยู่หนึ่งสัปดาห์ สาธุคุณแม็กกีได้ร่วมกับชาวตะวันตกคนอื่นๆ จัดตั้งเขตปลอดภัยสากลขึ้น

    มินนี วอทริน สตรีชาวอเมริกัน ซึ่งมีส่วนช่วยอยู่ด้วย ได้เขียนถึงเหตุการณ์ลงในสมุดอนุทินส่วนตัว เธอบันทึกในวันที่ 16 ธันวาคมว่า "คงไม่มีอาชญากรรมประเภทไหนเลยที่ไม่ได้เกิดขึ้นในวันนี้ เด็กสาว 13 คนซึ่งทำงานในโรงเรียนสอนภาษาได้ถูกฉุดไปเมื่อคืนนี้ และวันนี้ฉันก็ได้ยินว่าเมื่อคืนมีเด็กผู้หญิงตามบ้านเรือนถูกเอาตัวไปหลายคน บางคนเพิ่งอายุ 12 ปี"

    ในวันต่อๆ มา เธอเขียนว่า "มีคนถูกกราดยิงหรือแทงตายด้วยดาบปลายปืนไปกี่หมื่นคน เราคงไม่มีทางรู้ได้ เพราะหลายกรณีมีการราดน้ำมันลงบนศพแล้วจุดไฟเผา" และว่า "ร่างที่ไหม้เกรียมได้บอกเล่าถึงโศกนาฏกรรมเหล่านี้ เหตุการณ์ในช่วง 10 วันให้หลังยิ่งน่าเศร้าสลด หลายเหตุการณ์จะไม่ลบเลือนไปจากความทรงจำของฉันจนชั่วชีวิต รวมทั้งความทรงจำของผู้คนในเมืองนานกิงในห้วงยามนี้"

    ในปี 2483 มินนี วอทริน มีอาการทางประสาท และเดินทางกลับสหรัฐ เธอทำอัตวินิบาตกรรมในปีต่อมา


    หลังสงครามโลกครั้งที่สองยุติ อาซูมะ ชิโร ทหารญี่ปุ่นที่อยู่ร่วมในเหตุการณ์ที่เมืองนานกิงได้ออกมาเล่าสิ่งที่ตนเองได้พบเห็นและลงมือกระทำลงไป

    เขาเล่าถึงเหตุการณ์ครั้งหนึ่ง "เราจับพวกคนชราหญิงชายและเด็กๆ ประมาณ 37 คนมารวมกันในลานกว้าง ผู้หญิงคนหนึ่งอุ้มเด็กไว้ด้วยแขนซ้าย อุ้มเด็กอีกคนไว้ด้วยแขนขวา พวกเราแทงตายทั้งสามคน ผมมานั่งนึกว่าแค่จากบ้านมาเดือนเดียว ผมได้ฆ่าคนโดยไม่เสียใจเลย"

    เมื่อออกมาสารภาพบาปเช่นนี้ เขาก็ถูกกดดัน "เมื่อมีการจัดนิทรรศการเกี่ยวกับสงครามที่เกียวโต ผมได้ไปให้การ คนแรกที่ตำหนิผมเป็นสุภาพสตรีคนหนึ่งจากโตเกียว เธอบอกว่าผมกำลังย่ำยีทหารญี่ปุ่นที่ตายในสงคราม เธอโทร.หาผมไม่หยุดตลอด 3-4 วัน มีจดหมายเขียนมาด่าว่าผมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ มีการคุกคามหนักขึ้นทุกที จนตำรวจต้องมาคุ้มกันผม"

    กระแสชาตินิยมในจีนและญี่ปุ่นจะขยายวงความขัดแย้งจีน-ญี่ปุ่นให้บานปลายออกไปอีกหรือไม่ ต้องติดตามกันให้ดี.


    ที่มาจากหนังสือพิมพ์ ไทยโพสต์
    ######################
    เซิร์ชคำว่า nanking, nanjing ในกูเกิ้ล จะเจอเรื่องราวเหตุการณ์ที่นานกิง(Massacre in Nanjing) และรูป

    <img src=http://www.cnd.org/njmassacre/njm-tran/killing.gif>
     

แชร์หน้านี้

Loading...