เรื่องเด่น ฮือฮา!พบพระทองคำอายุกว่าร้อยปี ลูกศิษย์ลอกรักออกถึงกับตะลึงเนื้อเป็นทองทั้งองค์ (คลิป)

ในห้อง 'ข่าวพุทธศาสนา' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 13 กันยายน 2017.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,319
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,274
    ค่าพลัง:
    +9,590
    เมื่อวันที่ 13 ก.ย. ผู้สื่อข่าวรับแจ้งจากชาวบ้านว่าพบพระพุทธรูปทองคำแท้องค์ใหญ่ ปางมารวิชัย ถูกเก็บรักษาไว้ที่วัดจุฬามณี ต.องครักษ์ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง จึงเดินทางไปตรวจสอบข้อเท็จจริงที่วัดดังกล่าว โดยตรวจสอบบนศาลาการเปรียญซึ่งเป็นศาลายกสูง ด้านหน้าปิดล็อกประตูอย่างดีถึง 2 ชั้น บริเวณด้านบนประดิษฐาน “พระพุทธมงคลชัย” เป็นพระปางมารวิชัย ขนาดหน้าตักกว้าง 93 เซนติเมตร ซึ่งองค์เป็นสีเหลืองทอง ตั้งไว้ในตู้กระจกบนศาลา โดยมีประตูเหล็กล้อมรอบอีก 2 ชั้น

    e0b89ae0b89ee0b8a3e0b8b0e0b897e0b8ade0b887e0b884e0b8b3e0b8ade0b8b2e0b8a2e0b8b8e0b881e0b8a7e0b988.jpg

    จากการสอบถามคุณลุงพิชิต มีลักษณะ อายุ 73 ปี อยู่บ้านเลขที่ 30 หมู่ที่ 3 ต.องครักษ์ อ.โพธิ์ทอง จ.อ่างทอง กรรมการวัดและเป็นคนเก่าแก่ของวัด กล่าวว่า ตนยืนยันว่าพระพุทธมงคลชัยองค์นี้เป็นพระทองคำจริง โดยพระพุทธมงคลชัยนี้เป็นพระพุทธรูปปางมารวิชัย สมัยสุโขทัย มีหน้าตักกว้าง 93 เซนติเมตร น้ำหนักประมาณ 1 ตัน แต่เดิมพระพุทธรูปองค์นี้สมัยก่อนนั้นเป็นพระพุทธรูปที่ลงรักไว้เป็นสีดำ และประดิษฐานไว้ที่หอสวดมนต์เก่า ซึ่งเป็นที่โล่งแจ้ง ไม่ค่อยได้มีใครสนใจ มีขี้นกอยู่เต็มไปหมด

    b89ae0b89ee0b8a3e0b8b0e0b897e0b8ade0b887e0b884e0b8b3e0b8ade0b8b2e0b8a2e0b8b8e0b881e0b8a7e0b988-1.jpg

    จนกระทั่งวันหนึ่งเมื่อมีกรรมการวัดคนหนึ่งเห็นพระพุทธรูปนั้นดูเลอะเทอะจึงไปปรึกษากับเจ้าอาวาสวัด ซึ่งตอนนั้นตรงกับเจ้าอาวาสวัดรูปที่ 5 ว่าจะขอทำความสะอาดพระ ซึ่งทางเจ้าอาวาสก็อนุญาต ปรากฏว่าระหว่างที่ทำความสะอาดองค์พระพุทธรูปอยู่นั้น รักที่ลงไว้ได้เกิดหลุดร่อนไปส่วนหนึ่ง จึงทำให้ได้เห็นเนื้อในองค์พระเป็นสีทองแต่ไม่เหลืองอร่าม เป็นสีทองที่ชาวบ้านเรียกกันว่า สีทองดอกบวบ ซึ่งตอนแรกไม่คิดว่าจะเป็นทองจริงๆ เข้าใจว่าเป็นทองเหลือง

    จากนั้นตรวจสอบองค์พระพบว่าพระมีตำหนิเป็นรอยตามด จึงได้ให้ช่างบูรณะ โดยนำทองคำ 99 เปอร์เซ็นต์ หล่อและเทแทรกเข้าไปตามรอยตามด ปรากฎว่าทองนั้นกลับเชื่อมเป็นเนื้อเดียวกัน จึงนำองค์พระพุทธรูปไปในร้านแห่งหนึ่งในกรุงเทพฯ ตรวจดู ซึ่งทางร้านยืนยันว่าเป็นพระทองคำจริง โดยมีเนื้อทองคำอยู่ที่ประมาณ 80-90 เปอร์เซ็นต์

    ลุงพิชิต กล่าวต่อว่า ซึ่งหลังจากทราบดังนั้น จึงได้ขอความร่วมมือกับร้านดังกล่าว ไม่ให้พูดต่อกันออกไป เนื่องจากเกรงกลัวว่าจะมีคนรู้และมาขโมยพระไป ซึ่งหลังจากนำกลับมาทางวัดก็นำขึ้นไปประดิษฐานไว้บนศาลาการเปรียญและทำตู้เก็บและล้อมรั้วตู้ไว้ และช่วยกันดูแลรักษามาอย่างดี ซึ่งประเด็นพระพุทธรูปทองคำองค์นี้นั้น

    ปกติทางวัดและชาวบ้านบางส่วนจะไม่ค่อยพูดให้ใครรู้ เนื่องจากเกรงกลัวอันตราย และก็มีหลายคนที่ไม่เคยรู้เรื่องนี้มาก่อน ซึ่งตอนนี้หากมีข่าวออกไป ตอนแรกตนก็หวาดหวั่นว่าจะอันตรายมั้ย แต่มาคิดอีกที ก็เพื่อให้มีเจ้าหน้าที่ที่เกี่ยวข้อง เข้ามาช่วยกันดูแลความปลอดภัย และคอยทำนุบำรุงรักษา ผลัดกับทางวัดเองที่ดูแลมาอย่างต่อเนื่อง ซึ่งเมื่อก่อนเวลาทางวัดมีงานอะไร ก็มักจะนำพระองค์นี้ลงไปให้พี่น้องประชาชนได้กราบไหว้สักการะ แต่ตอนนี้เก็บรักษาไว้อย่างดีไม่เคลื่อนย้ายไปทางไหน

    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า สำหรับข้อสันนิษฐานเกี่ยวกับพระพุทธรูปองคนี้นั้น สันนิษฐานกันว่าสร้างสมัย พ.ศ.2383 พร้อมกับตอนที่สร้างโบสถ์มหาอุตม์ ซึ่งเป็นโบสถ์เก่าสมัยก่อนและเมื่อได้รับการอนุญาตให้สร้างโบสถ์แล้วตามความเชื่อในโบสถ์ก็ต้องมีพระพุทธรูปประจำไว้ภายใน ชาวบ้านจึงพร้อมใจกันนำทองไม่ว่าจะเป็นสร้อยทอง แหวนทอง มาหล่อเป็นองค์พระ จนได้เป็นพระทองคำขึ้น เมื่อเสร็จสิ้น ก็เกิดความหวาดระแวงเพราะเนื่องจากพระเป็นพระทองคำ จึงคิดกุศลโลบายขึ้นมา โดยการลงรักกับองค์พระจนเป็นพระสีดำ ก่อนที่จะเคลื่อนย้ายไปเป็นพระพุทธรูปโบสถ์และต่อๆ มาได้ถูกเคลื่อนย้ายจากโบสถ์ไปอยู่ที่หอสวดมนต์ จนกระทั่งวันเวลาผ่านไปมีคนมาพบว่าเป็นพระทองคำดังกล่าว

    ผู้สื่อข่าวรายงานต่อว่า ในการไปตรวจสอบพระในครั้งนี้เจ้าอาวาสองค์ปัจจุบัน หรือพระลูกวัด ไม่มีรูปไหนที่ให้ข้อมูล เนื่องจากเจ้าอาวาสและพระส่วนใหญ่เพิ่งมาอยู่ใหม่ ไม่มีใครทราบถึงประวัติและความเป็นมาของพระพุทธรูปที่แท้จริง จึงไม่มีใครมาให้สัมภาษณ์ ซึ่งนอกจากทางวัดจะจัดทำตู้กระจกและล้อมเหล็กรอบไว้อย่างดีแล้ว แต่ทางวัดก็ยังติดตั้งกล้องวงจรปิดไว้ จำนวน 3 ตัว และมีเจ้าหน้าที่ตำรวจสายตรวจคอยหวั่นมาตรวจตราอยู่ตลอดเวลา ที่สำคัญได้มีพระในวัดผลัดกันเฝ้าดูแลไว้ไม่คลาดสายตา ซึ่งอย่างไรก็ตามคงต้องรอหน่วยงานที่เกี่ยวข้องไปตรวจสอบข้อเท็จจริงกันอีกครั้ง และจะได้หาแนวทางในการดูแลรักษาต่อไป เพราะถือว่าเป็นโบราณวัตถุที่มีคุณค่าทางประวัติศาสตร์และมูลค่าอย่างมาก

    สำหรับวัดจุฬามณีแห่งนี้สันนิษฐานว่าสร้างภายหลังเสียกรุงศรีอยุธยาปีพ.ศ.2310 โดยพระภิกษุรูปหนึ่งที่หนีภัยพม่ากลับมาได้ โดยในวัดถ้าใครผ่านไปผ่านมา จะสะดุดตากับเจดีย์เก่าแก่ที่มีความสูงถึง 38 เมตร ถือว่าเป็นเจดีย์ขนาดใหญ่ที่สุดในอ่างทองอีกด้วย ตั้งตระหง่านอยู่ภายในบริเวณวัด

    ขอขอบคุณที่มา
    https://www.khaosod.co.th/around-thailand/news_507420
     

แชร์หน้านี้

Loading...