เรื่องเด่น อารมณ์พระโสดาปัตติมรรค

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 19 กันยายน 2017.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,319
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,274
    ค่าพลัง:
    +9,590
    1_1_-2 พลังจิต.jpg

    อารมณ์พระโสดาปัตติมรรค




    ผู้ถาม : กราบนมัสการหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง ลูกมีความข้องใจเกี่ยวกับเรื่องอารมณ์พระโสดาปัตติมรรคและพระโสดาปัตติผล ว่าจะมีลักษณะแตกต่างกันมากน้อยเพียงใด สมมติว่าเวลาลูกบรรลุเป็นพระโสดาปัตติมรรคหรือพระโสดาปัตติผลนี้จะรู้ด้วยตนเองหรือไม่เจ้าคะ?

    หลวงพ่อ : ก็รู้ด้วยตนเอง พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า ถ้าถึงแล้วก็มีญาณเป็นเครื่องรู้บอกเอง เอางี้ก็แล้วกัน ถ้าบังเอิญเราจะไม่รู้เองนะ จะมีพระบอกแต่ไม่ใช่พระมีเนื้อนะ

    ผู้ถาม : พระแบบไหนครับ?
    หลวงพ่อ : พระพุทธเจ้าท่านบอกเอง อย่างตอนหนึ่งเขาเจริญกรรมฐานเขาเข้าใจกันว่าเป็นพระสกิทาคามี แต่พระพุทธเจ้าท่านบอกว่า อย่างนี้เขาเรียกพระโสดาบันละเอียด หรือ เอกพิชี ใช่ไหม อารมณ์คล้ายกัน คล้ายคลึงกันมาก

    ผู้ถาม : ชาตินี้กระผมจะรู้ได้อย่างไรว่าเป็นพระโสดาบันขั้นต้นครับ?

    หลวงพ่อ : ระบายสีไว้ซิ ขีดตั้งแต่เท้าถึง โคนขา ถ้าขาไม่เหยียบมดด้วยเจตนาให้ตาย เป็นพระโสดาบันขั้นต้น
    ถ้าเท้าขึ้นมาแค่คอ มือไม่ทำร้ายใคร เป็นพระโสดาบันขั้นกลาง
    ถ้าป้ายหัวขึ้นไปอีกหน่อย ปากไม่ด่าใคร ตาไม่มองของใคร เป็นพระโสดาบันขั้นสูงสุด

    พระโสดาบันมี ๓ ขั้น คือ เอกพิชี โกลังโกละ สัตตักขัตตุง

    ผู้ถาม : เดี๋ยวนี้เวลาเทศน์ไม่รู้จักแก้ไขสักทีว่า จะเป็นพระโสดาบันได้ต้องตัดขันธ์ ๕ โดยเด็ดขาด

    หลวงพ่อ : ที่เป็นไม่ได้ก็ติดตรงนี้แหละ เป็นเพราะว่าคนที่เขียนตำรานี่เป็นหรือยัง คนที่เขียนตำราอาศัยอารมณ์หรือความรู้สึกเท่านั้นเอง ความจริง พระสารีบุตร เขาอธิบายไว้ชัดเจนมาก ที่พระไปเรียนพระกรรมฐานกับพระพุทธเจ้า พระพุทธเจ้าก็สอนโดยย่อตั้งแต่ต้นถึงอรหันต์ ท่านก็ลาพระพุทธเจ้าเข้าป่า

    พระพุทธเจ้าก็ทรงทราบว่า ถ้าพระพวกนี้ไปลา พระสารีบุตร พระสารีบุตร จะพูดว่าอย่างไร
    ท่านจึงถามพระว่า “เธอลา พระสารีบุตร แล้วหรือยัง?”
    พระบอกว่า “ยังพระพุทธเจ้าข้า”
    ท่านก็บอกว่า “ถ้าจะเข้าป่าไปลา พระสารีบุตร ก่อน”
    พอไปถึง พระสารีบุตร พระก็ถามว่า
    “ผมเป็นปุถุชน ถ้าจะปฏิบัติถึงความเป็นพระโสดาบันจะทำอย่างไรครับ?”
    พระสารีบุตร ก็บอก “ให้พิจารณาขันธ์ ๕ ขันธ์ ๕ ก็คือร่างกาย ถ้าตัดได้อย่างหยาบ คือมีความรู้สึกว่าร่างกายนี้จะต้องตาย ก็เป็นพระโสดาบัน”
    พระก็ถามว่า “ถ้าผมเป็นพระโสดาบันแล้ว จะเป็นพระสกิทาคามีจะทำอย่างไรครับ?”
    พระสารีบุตร ก็บอกว่า
    “ก็พิจารณาแบบนั้นแหละ ถ้าตัดละเอียดเกินไป สามารถทรงอารมณ์ใจให้จิตสะอาดพอสมควรก็เป็นพระสกิทาคามี”
    พระก็ถามว่า “ถ้าผมเป็นพระสกิทาคามีแล้ว ต้องการจะเป็นพระอนาคามีจะทำอย่างไรครับ?”
    ท่านก็บอกว่า “ก็ตัดลงไปอีก ให้คิดว่าร่างกายเป็นของสกปรกโสโครก เป็นที่น่าเกลียด เรารังเกียจร่างกายว่าเป็นของเน่า ของสกปรก เกิด นิพพิทาญาณ ก็เป็นพระอนาคามี”
    พระก็ถามต่อไปอีกว่า
    “ถ้าผมเป็นพระอนาคามีแล้ว จะเป็นพระอรหันต์จะทำอย่างไรครับ?”
    ท่านก็บอกว่า “ก็พิจารณาตัวนี้แหละจนกระทั่งจิตวางเฉย เฉยในร่างกายเรา เฉยในร่างกายของบุคคลอื่น เฉยในวัตถุธาตุทั้งหมด คือไม่ยินดียินร้าย ถือว่าร่างกายไม่ใช่เรา ไม่ใช่ของเรา เราไม่มีในร่างกาย ร่างกายไม่มีในเรา ร่างกายเป็นเพียงธาตุ ๔ มีเกิด แก่ เจ็บ ตายเป็นของธรรมดา ถ้าร่างกายเจ็บป่วยเราก็ไม่เดือดร้อน ใครเขาด่ามาก็ถือเป็นเรื่องธรรมดา ตัดร่างกายได้ขนาดนี้ก็เป็นพระอรหันต์”
    พระก็เลยถามว่า “ถ้าเป็นพระอรหันต์แล้วก็เลิกทำใช่ไหมครับ?”
    พระสารีบุตร ก็บอกว่า “ไม่ใช่ พระอรหันต์ทำหนัก เพื่อความอยู่เป็นสุข”

    รวมความว่าการตัดสังโยชน์ ตัดตัวเดียวคือ สักกายทิฏฐิ ตำราที่เขียนไว้ไปเอาอารมณ์พระอรหันต์เข้า คนที่จะปฏิบัติก็คิดว่า เมื่อเราตัด สักกายทิฏฐิ ไม่ได้ คือร่างกายนะ เราก็เป็นพระโสดาบันไม่ได้ แต่ความจริงพระโสดาบัน พระพุทธเจ้าท่านตรัสว่า
    “มีสมาธิเล็กน้อย มีปัญญาเล็กน้อย แต่มีศีลบริสุทธิ์”

    สมาธิแค่ปฐมฌาน ใช้ปัญญาเล็กน้อย คิดว่าร่างกายนี้ต้องตาย มีศีลบริสุทธิ์ แค่นี้ก็เป็นพระโสดาบัน
    สกิทาคามีก็เหมือนกัน มีสมาธิเล็กน้อย มีปัญญาเล็กน้อย มีศีลบริสุทธิ์ แต่ต้องมีกรรมบถ ๑๐ ถ้าจิตทรงกรรมบถ ๑๐ เป็นพระสกิทาคามี

    ทีนี้เราเรียนกันมา เวลาเทศน์ก็ต้องเทศน์ตามนั้น ฉันก็ว่ากับเขาเหมือนกัน ต้องออกตามแบบ ไม่งั้นก็ตีกัน ทุกคนอ่านแบบนั้น

    ทีนี้เมื่อลงมาคุยกันข้างล่าง เรียกธรรมาสน์ล่าง ญาติโยมมาถาม ก็พูดตามลีลาปฏิบัติ เว้นไว้แต่ไปเทศน์ในสำนักปฏิบัติ ก็ต้องเทศน์ในรูปนั้น

    ผู้ถาม : โอ..ถ้าหากมีสมาธิเล็กน้อย มีปัญญาเล็กน้อย มีศีลบริสุทธิ์ อย่างนี้ก็เป็นไม่ยากซิครับ

    หลวงพ่อ : ไม่ยาก ยกทรง ยังเป็นได้เลย เป็นพระอรหันต์ยังได้เลย ถ้าตัดกิเลสหมด

    ผู้ถาม : อื้อฮือ..ไม่นึกว่าจะลงดาบนี้เลย ความจริงก็ตั้งใจจะตัดให้ขาดเหมือนกัน แต่มันเป็น “นิพพิทาญาณ” เป็นบางเวลาครับ

    หลวงพ่อ : นี่แหละเขาถึงเรียกว่านักปฏิบัติ นักวิทยาศาสตร์ก็เหมือนกันเขาต้องพิสูจน์ พระท่านบอกว่า “การครองเรือนเป็นทุกข์” ถ้าเราเป็นพระไม่รู้ความเป็นจริงของการครองเรือน อย่างฉันนี่การครองเรือนไม่รู้จริง สู้ ยกทรง ไม่ได้ นี่กำลังคิดว่าจะเป็นบ้าง (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : อู้..อย่า! อย่าเลยครับ มหาทุกโขเลยหลวงพ่อเอ๋ย!

    ผู้ถาม : หลวงพ่อเจ้าขา ดิฉันอยากทราบ ว่า การทรงอารมณ์พระโสดาบันได้นานๆ จะทรงอย่างไรเจ้าคะ?

    หลวงพ่อ : ก็ไม่มีอะไร อารมณ์พระโสดาบัน ความจริงไม่หนัก คำว่า “ทรง” ระมัดระวังศีล ๕ ให้ทรงตัว อย่าละเมิดศีล ๕ ไม่ฆ่าสัตว์ ไม่ลักทรัพย์ ไม่ประพฤติผิดในกาม ไม่พูด มุสาวาท ห้ามดื่มสุราเมรัย สำคัญจริงๆ คือศีล ๕ การเคารพพระพุทธเจ้า พระธรรม พระสงฆ์ เรามีอยู่แล้ว
    ตอนเช้าอาจจะนึกหน่อยว่า
    “วันนี้เราอาจจะตายก็ได้ ตายเมื่อไหร่เราขอไปนิพพานเมื่อนั้น”
    เอาละ ฉบับนี้ก็ขอยุติไว้แต่เพียงเท่านี้ เอาไว้พบกันใหม่ฉบับหน้า…สวัสดี*

    โพสต์โดย achaya



    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 20 กันยายน 2017

แชร์หน้านี้

Loading...