อานันทะ...ดูก่อนอานนท์ แม้แต่ตถาคตก็ยังต้องมากด้วยอานาปานสติ

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 20 พฤษภาคม 2023.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,391
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,530
    ค่าพลัง:
    +26,368
    IMG_8934.jpeg

    วันนี้ตรงกับวันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม พุทธศักราช ๒๕๖๖ กระผม/อาตมภาพ "โดนเท" ไปสองงาน ทั้งเช้าและบ่าย จึงใช้เวลาที่เหลือภาวนาพระคาถาเงินล้าน ๑๐๘ จบไปสองรอบ

    ถ้าท่านทั้งหลายถามว่ากระผม/อาตมภาพยังต้องภาวนาอยู่อีกหรือ ? ก็ขอยกเอาพระดำรัสขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่ตรัสกับพระอานนท์ว่า "อานันทะ...ดูก่อนอานนท์ แม้แต่ตถาคตก็ยังต้องมากด้วยอานาปานสติ" นี่เป็นประการหนึ่ง

    อีกประการหนึ่งก็คือ ครูบาอาจารย์ท่านเตือนอยู่เสมอให้เราไม่ประมาท ถ้าหากว่าเราเอาความดีใส่ไว้ในใจของเรา ความชั่วก็เข้ามาไม่ได้ เพราะว่ากำลังใจของเรานั้นเปรียบเสมือนเก้าอี้ที่นั่งได้คนเดียว ถ้าหากว่าความดีนั่งอยู่ ความชั่วก็เข้าไม่ได้ ถ้าความชั่วนั่งอยู่ ความดีก็เข้าไม่ได้เช่นกัน

    ในแต่ละวัน เราจึงควรที่จะให้กำลังใจของเรานั้นอยู่ในด้านดีให้มากกว่าเข้าไว้ ขนาดนั้นก็ตาม ที่กระผม/อาตมภาพพบมาก็คือ หลายท่านเวลากลางวันรักษากำลังใจได้ดีมาก แม้แต่หน้าตาเพศตรงข้ามก็ไม่มอง แต่พอกลางคืนเผลอหลับ ฝันว่าไล่ปล้ำลูกชาวบ้านเขาไปเรียบร้อยแล้ว..!

    หรือว่ากลางวันระมัดระวังเป็นอย่างยิ่ง แม้แต่มดตัวเดียวก็ไม่กล้าเหยียบ กลางคืนหลับเมื่อไร ฝันว่าฆ่าเขาไปเป็นกองทัพเลย เหล่านี้เป็นต้น ท่านจะเห็นได้ว่ากำลังใจของเรานั้น แม้ว่าจะสามารถรักษาได้ตลอดระยะเวลาที่ตื่นอยู่ แต่ถ้าเผลอเมื่อไรก็จะคลายตัวออก แล้วก็ปล่อยให้ความชั่วแทรกเข้ามาแทน

    ดังนั้น..จะได้เห็นว่าบรรดาครูบาอาจารย์ทั้งหลาย ส่วนใหญ่จะสอนให้เราภาวนา จนกระทั่งหลับและตื่นเรามีสติเท่ากัน ถ้าเช่นนั้น เราจึงจะสามารถระมัดระวังไม่ให้ความชั่วกินใจเราได้แม้แต่เวลาที่หลับอยู่ ลักษณะอารมณ์นั้นก็คืออารมณ์ของความเป็น "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" ไม่ว่าจะอยู่ในอิริยาบถใดก็ตาม จะมีสติรู้ตัวอยู่เสมอ แม้แต่หลับก็รู้อยู่ว่าตอนนี้ตนเองหลับ ถ้าหากว่าเป็นคนนอนกรน ก็ได้ยินเสียงตัวเองกรนด้วย..!

    แต่ถ้าหากว่ามีสิ่งหนึ่งประการใดที่เข้ามาสัมผัส แล้วเรามีความจำเป็นที่จะต้องปฏิสัมพันธ์ด้วย ก็จะค่อย ๆ คลายกำลังใจออกมาด้วยความระมัดระวัง ถ้าหากจำเป็นที่จะต้องติดต่อพูดคุย ก็เอาสติจดจ่ออยู่เฉพาะหน้าเสมอ ไม่ให้เผลอหลุดไปไหน หลังจากที่หมดธุระแล้ว ก็จะรีบกลับเข้าไปสู่อารมณ์เดิมของตน ก็คือกลับเข้าไปอยู่ภายในอารมณ์ของ "ผู้รู้ ผู้ตื่น ผู้เบิกบาน" ต่อไป

    ถ้าหากว่าทำได้ถึงระดับนี้ ท่านทั้งหลายถึงจะมีโอกาสชนะกิเลสได้บ้าง ไม่เช่นนั้นแล้วทำมาเท่าไรก็ไม่เพียงพอ เผลอสติปล่อยให้กิเลสชักจูงไป ทำมาเท่าไรก็โดนกิเลสเอาไปกินเสียหมด แถมกิเลสยังมีความสามารถพิเศษอีกด้วย ก็คือเมื่อตัวเราภาวนาแล้ว ถ้าไม่รู้จักเอากำลังนั้นไปพิจารณา กิเลสก็จะฉกฉวยกำลังสมาธินั้นไปฟุ้งซ่าน ในเรื่องของ รัก โลภ โกรธ หลง แทน

    ท่านทั้งหลายจะเห็นว่า หลังจากเราภาวนาแล้วทิ้งไปเฉย ๆ เมื่อถึงเวลา รัก โลภ โกรธ หลง ปรากฏขึ้น จะรุนแรงแข็งกล้ามากเป็นพิเศษ จนกระทั่งเราอยู่ในลักษณะของการ "เอาไม่อยู่" แล้วก็ต้องไหลตามกระแสของ รัก โลภ โกรธ หลง ไป หลายท่านก็ละเมิดศีล ละเมิดธรรม เสียผู้เสียคนไปเลย ก็เพราะว่าเราอยู่ในลักษณะของการเลี้ยงโจรให้มาปล้นเราเอง หรือว่าเลี้ยงเสือให้มากัดเราเอง..!

    เพราะว่าเมื่อจิตของเราสงบ มีกำลัง แต่เราไม่ได้เอาไปพิจารณาวิปัสสนาญาณให้รู้แจ้งเห็นจริง กำลังส่วนนั้นก็จะโดนกิเลสฉกฉวยเอาไปใช้งานแทน จึงฟุ้งซ่านได้อย่างเป็นหลักเป็นฐาน เป็นงานเป็นการ เราไม่สามารถที่จะรั้งเอาไว้ได้ ก็กลายเป็นจิตตก สมาธิตก กรรมฐานแตก จนเป็นเรื่องปกติ

    แต่ถึงท่านทั้งหลายเหล่านั้นจะรู้จักใช้การพินิจพิจารณา จนกระทั่งสภาพจิตของเราใช้กำลังสมาธิไปมากพอ ก็จะเริ่มรู้สึกว่า "เฝือ" คือการพิจารณานั้นเริ่มไม่ชัดเจนแล้ว เราก็รีบกลับมาภาวนาใหม่ เมื่อกำลังของการภาวนาทรงตัวแล้ว เราก็กลับไปพิจารณาใหม่ ให้ทำสลับกันไป สลับกันมาดังนี้ ก็จะมีความก้าวหน้ามากขึ้น

    แต่ส่วนสำคัญก็คือ กำลังสมาธิของท่านนั้น อย่างน้อยต้องปฏิบัติให้ถึงระดับรู้ลมหายใจเข้าออกและคำภาวนาโดยอัตโนมัติ ก็คือไม่ต้องบังคับก็เป็นเอง ถ้าอยู่ในระดับนั้น อย่างน้อยก็คือท่านจะทรงอยู่ในปฐมฌานละเอียด ถ้าท่านสามารถพลิกแพลงเป็นฌานใช้งานได้ก็จะสุดยอดมาก แต่ถึงพลิกแพลงใช้งานไม่ได้ ก็ต้องเอาสติประคับประคอง ให้สภาพจิตอยู่ในลักษณะของการตื่นรู้ ระมัดระวังอยู่เสมอ กิเลสก็จะแทรกเข้ามากินใจของเราไม่ได้

    เสียงธรรมจากวัดท่าขนุน วันศุกร์ที่ ๑๙ พฤษภาคม ๒๕๖๖

    https://www.watthakhanun.com/webboard/showthread.php?t=9478

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม, ดร. วัดท่าขนุน
    www.watthakhanun.com

    #ชุมชนคุณธรรม #วัดท่าขนุน #watthakhanun
    #ig: wat.thakhanun
    #tiktok: @watthakhanun
    #ชุมชนคุณธรรมวัดท่าขนุน
    #ชุมชนคุณธรรมน้อมนำหลักปรัชญาของเศรษฐกิจพอเพียงขับเคลื่อนด้วยพลังบวร
    #พระพุทธศาสนาช่วยโลก #พระสงฆ์ช่วยสังคม
    #พระครูวิลาศกาญจนธรรมดร #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #พระอาจารย์เล็ก #หลวงพ่อเล็ก
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...