"หลวงปู่"นำหลักธรรม ร่วมกู้ชาติ 4 กุมภาฯ

ในห้อง 'ข่าวทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย rinnn, 28 มกราคม 2006.

  1. rinnn

    rinnn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    7,666
    ค่าพลัง:
    +24,027
    <table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td bgcolor="#cccccc"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="1" width="100%"><tbody><tr><td align="center" bgcolor="#ffffff" valign="top"><table cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellspacing="7" width="100%"><tbody><tr><td align="center" valign="top"><table border="0" cellpadding="0" cellspacing="0" width="100%"><tbody><tr><td class="body" align="left" valign="baseline"> “หลวงปู่พุทธะอิสระ” ประกาศ นำหลักธรรมไปเทศนาให้ประชาชน และร่วมต่อสู้แบบอหิงสาในวันที่ 4 ก.พ.นี้อย่างแน่นอน ขณะที่ “สนธิ ลิ้มทองกุล” ก็ยืนยันจะชุมนุมอย่างสงบ และจะเป็นตัวแทนยื่นถวายฎีกาแทนราษฎรที่เดือดร้อนต่อองค์พระเจ้าอยู่หัว ชี้การต่อสู้ในวันนี้ไม่ได้สู้เพื่อตัวเอง แต่เพื่อลูกหลานต่อไปในอนาคต และต่อสู้กับปีศาจที่สิงอยู่ในตัวของนายกฯ เชื่อหากใช้ธรรมนำหน้าไม่ต้องเกรงกลัวต่ออวิชชา เตือนรัฐบาลการได้มาซึ่งอำนาจแม้ชอบธรรม แต่สำคัญที่สุดคือต้องใช้ด้วยใจที่เป็นธรรม

    รายการสภาท่าพระอาทิตย์ ประจำวันที่ 27 มกราคม 2549 ดำเนินรายการโดยสำราญ รอดเพชร

    สำราญ – สวัสดีครับ ต้อนรับเข้าสู่สภาท่าพระอาทิตย์นะครับ วันศุกร์สุดสัปดาห์ครับ ศุกร์ที่ 27 มกราคม 2549 นะครับ ก็เช่นเคยตามปกติ ทุกศุกร์ก็จะเป็นรายการสภาท่าพระอาทิตย์ฉบับสนทนาธรรมกับหลวงปู่พุทธะอิสระ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล อาจารย์สามารถ มังสัง และผมสำราญ รอดเพชรนะครับ วันนี้ก็ถือว่าเป็นนิมิตที่ดีแล้วนะครับ หลังจากที่หายไป 2-3 สัปดาห์จำไม่ได้นะครับ ก็วันนี้คิดว่าท่านผู้ชมต้องสมใจ และก็ถือว่าการรอคอยก็เป็นจริง อย่างที่ผมกราบเรียนเมื่อสัปดาห์ที่แล้วว่า เดี๋ยวสัปดาห์หน้าคือสัปดาห์นี้ก็จะเริ่มเข้าที่เข้าทางนะครับ ก็ผมหมายถึงว่าหลวงปู่พุทธะอิสระได้กลับมาแล้ววันนี้นะครับ ส่วนคุณสนธินั้นนี่มีภารกิจต้องตระเวน ต้องเดินสายต่อไปนะครับ วันนี้อาจารย์สามารถ ผมสำราญนะครับ กราบนมัสการหลวงปู่ครับ

    หลวงปู่ – เจริญธรรมท่านสาธุชน พุทธบริษัทที่รับชมรายการสภาท่าพระอาทิตย์ที่รักทุกท่าน คุณสำราญ คุณสามารถ ผู้ดำเนินรายการ คิดถึงฉันไหม

    สามารถ – ก็คิดถึง เพราะว่าต้องต่อสู้กัน 2 คน

    สำราญ – อาจารย์สามารถกับผมนี่วิเคราะห์ไม่ออก หลวงปู่นี่งานหนักสงสัยทรุดเสียแล้วนะ นี่ขออภัยนะ

    หลวงปู่ – ทรุดนี่ทรุด

    สำราญ – ทรุดจริงๆหรือครับ

    หลวงปู่ – ทรุดจริงๆ

    สำราญ – ไม่รู้แหละ แต่ไหนๆก็ไหนๆนะอาจารย์นะ ต้องเอาคืนหน่อย

    หลวงปู่ – ฉันก็ทรุดแบบชนิดที่นอนไม่ค่อยเป็นสุข สงสัยพวกคุณคงจะบ่นฉันแน่

    สำราญ – เป็นยังไงครับ หลวงปู่ สุขภาพไม่ค่อยดี

    หลวงปู่ – มันงาน ไม่ใช่สุขภาพไม่ดี มันงานนี่มันพาให้ฉันต้อง คุณลองคิดดูฉันต้องเดินทาง 6 ชั่วโมงเพื่อไปแสดงธรรม 1 ชั่วโมง และเดินทางกลับอีก 6 ชั่วโมง นี่คืองาน

    สำราญ – รวมแล้ว 12 ชั่วโมงนะ

    หลวงปู่ – เดินทาง 12 ชั่วโมง แต่แสดงธรรม 1 ชั่วโมง

    สำราญ – นั่งรถนี่นะครับ

    หลวงปู่ – นั่งรถนี่แหละคุณ

    สำราญ – รถบ้าง เครื่องบินบ้าง

    หลวงปู่ – เครื่องบินไม่ได้นั่ง

    สามารถ – นี่ถ้าเป็นธุรกิจคุณสำราญรู้หรือเปล่า ลงทุนสูงมากเลยนะ ลงทุนด้วยเวลา 12 ชั่วโมง

    สำราญ – จะต่อว่าคนจัดคิวหรือเปล่าครับ

    หลวงปู่ – ไม่ ไม่ได้ต่อว่า กำลังจะพูดให้ฟังไว้

    สามารถ – ไปทำงานให้เกิดผลผลิต 1 ชั่วโมง แต่ว่าต้นทุนสูงมากเลยนะ

    หลวงปู่ – เดือนหน้านี่ฉันได้สั่งเอาไว้แล้วว่า ต่อไปนี้ให้รับงานวันเว้นวัน

    สำราญ – คือเดินทางเยอะ และมันก็มีผลกระทบมาถึงวันศุกร์

    หลวงปู่ – ไม่ใช่เดินทางเยอะอย่างเดียว อย่างวันนี้นี่ฉันจะต้องทำงานนี่ 3 รายการ เดี๋ยวจบนี่เขามีใบตารางบอกไว้เลย ต้องไปอัดเทปอีก 1 ชั่วโมง แล้วจึงจะเดินทางไปพิษณุโลกอีกอย่างนี้ แล้วถ้าเป็นมนุษย์ธรรมดาๆ บางทีฉันก็ขออภัยนะ เหนื่อย

    สำราญ – นี่ถ้าเป็นการทำธุรกิจจริงๆนะ 7.3 หมื่นล้านแน่นอนได้แน่

    หลวงปู่ – ฉันได้มากกว่า มันก็เลยแฮงก์ไง ศุกร์ที่แล้วจริงๆตั้งใจมา แต่นอนไปแล้วมันน็อกไปเองเฉยๆ ในชีวิตไม่เคยน็อก ตื่นมาอีกทีอ้าว นกกาเหว่าร้องเสียแล้ว กาเหว่าร้องก็ประมาณ 7 โมง

    สำราญ – คือประเภทหลับยาวเลย

    หลวงปู่ – มันหลับยาวไปเองโดยเราก็ไม่รู้สึก เพราะว่าวันนั้นฉันกลับตี 1 เพราะไปเชียงใหม่ วันพฤหัสไปเชียงใหม่ วันศุกร์ต้องมาที่นี่ แล้วก็ต้องไปต่ออีก เพราะวันศุกร์ฉันมีรายการ 3 รายการก็คือ มาสภาท่าพระอาทิตย์ แล้วก็ตอนสายๆก็จะไปแสดงธรรม แล้วสุดท้ายไปที่สวนหลวง ร.9 เลิกเอา 4 ทุ่ม วันนั้นนะ วันศุกร์ที่แล้ว จาก 3 รายการก็ตัดทิ้งไป 1 รายการ บางทีนี่กำลังจะฉันรถมารอแล้ว ฉันไม่ลงแล้ว มันงานจนกระทั่งขออภัย ถ้าพูดเป็นภาษาชาวบ้าน ทำให้ฉันลืมถ่ายน่ะ งานมันขนาดนั้นน่ะ มันเยอะจริงๆน่ะ แล้วฉันไม่ได้มีงานเฉพาะที่ไปแสดงธรรมนะ มันต้องมีงานที่วัดที่จะต้องบริหารจัดการอะไรต่ออะไรอีก

    สำราญ – เดี๋ยวท่านผู้ชมก็อาจจะแอบนินทาหรือว่าถามอยู่ในใจว่า เอ๊ะ เมื่อรู้ หลวงปู่ก็สอนผู้คนเยอะนะ เหตุแห่งทุกข์ เหตุแห่งปัญหา พอเรารู้อย่างนี้แล้วทำไมเราไม่แก้เสียล่ะ

    หลวงปู่ – คนทำเหตุกับคนที่ลงมือไปทำมันคนละคนน่ะ คนรับงานก็รับ แล้วรับงานนี่เขาไม่ได้รับวันต่อวัน เขารับอย่างเดือนหน้านี่มันไม่มีแล้ว มันเต็มแล้วอย่างนี้

    สำราญ – คิวเต็มแล้ว

    หลวงปู่ – เขารับเอาแบบนี้ คือรับเดือนข้ามเดือน ไม่ได้รับเดือนต่อเดือน หรือว่าวันต่อวัน เราก็จะได้ไปให้ สมมุติว่าเดือนหน้าเราจะไม่ไปวันไหน เราจะต้องสั่งตั้งแต่เดือนนี้

    สำราญ – โทษครับ พรุ่งนี้ไปที่ไหนบ้างครับ

    หลวงปู่ – พรุ่งนี้วัดพงมะเดื่อแล้วก็มาที่นี่ ฉันก็บอกว่าที่นี่ไม่มา ตอนบ่าย คุณจะได้พักไง แต่วันที่ 4-5 นี่ฉันจะไป ไปที่ลานพระบรมรูป จะไปแสดงธรรม

    สำราญ – นี่คิดขึ้นมาเดี๋ยวนี้หรือว่าอย่างไรครับ

    หลวงปู่ – คิดมานานแล้ว ฉันไม่อยากให้มันเกิดความรุนแรง อย่างน้อยเห็นผ้าเหลืองก็น่าจะบรรเทาเบาบาง คนที่จะมาปลุกระดม มาปลุกปั่นอะไรมันก็จะบรรเทาลง แล้วก็เราก็ถือโอกาสไปให้ธรรมเป็นทาน ไปให้ปัญญา ไม่ได้ไปปลุกระดมให้ใครไปทะเลาะกัน

    สำราญ – แต่ลองฝ่ายเขาอาจจะมองหลวงปู่ว่าอยู่อีกฝ่าย

    หลวงปู่ – ฉันไม่สนใจเรื่องการมอง แต่ฉันสนใจว่าแผ่นดินสงบสุข ประเทศชาติปลอดภัย และก็ประชาชนอยู่กันอย่างไม่มีเรื่องมีราว ฉันไม่ชอบให้เลือดอาบลงหนังสือพิมพ์อะไรเช่นนั้นไม่อยากเห็น

    สำราญ – ผมว่าทุกคนก็ไม่อยากเห็นนะ

    หลวงปู่ – เพราะฉะนั้นเมื่อไม่อยากเห็น เราไปเราพูดได้ ฉันว่าฉันพูดได้ ฉันมีกรรมวิธีกุศโลบาย

    สำราญ – กลับมาสู่ปัญหาเดิมนิดนึง อาจารย์สามารถแนะนำหลวงปู่ได้อย่างไรบ้าง คือทำงานหนักมาก

    สามารถ – ผมบอกอย่างนี้ เนื่องจากคนๆเดียวทำงานหลายอย่างนี่ ทางแก้ในเรื่องการจัดการก็ต้องเลือกเรื่องที่จะทำ และคำนึงถึงผลประโยชน์ที่ผู้ฟังจะได้รับ แล้วก็คำนึงถึงศักยภาพจะทำให้ บางทีหลวงปู่ต้องทำด้วยความสบายใจนะ คือไม่ลำบาก ไม่เดือดร้อน เพราะทำดีนี่ตัวคนทำดีต้องไม่เดือดร้อน ถ้าเดือดร้อนก็ไม่เรียกว่าทำดี

    หลวงปู่ – คือฉันนี่มันมีนิสัยอย่างนี้ เวลาเรารู้สึกเปลี้ยอย่างเมื่อวานนี้ไปแสดงธรรมกับผู้บริหารที่ ม.ราชภัฏสวนดุสิตนี่ ตอนเดินทางเราเปลี้ยเราไม่ไหวน่ะ เพราะตื่นตั้งแต่ตี 4 เตรียมของใส่บาตร 100 กว่าชุด เพราะว่าเมื่อวานนี้เขามีงานตอนตี 4 ตอนเช้ามืด เสร็จเรียบร้อยแล้วพอไปถึงที่นี่เสียงมันเกิดขึ้นเอง พอเห็นคนฟัง เห็นคนเขาตั้งใจฟัง เห็นไมค์นี่แบบบ้าไมค์ไง มือถือไมค์ไฟส่องหน้าอะไรนี่ อาการเปลี้ยมันหายไป แต่พอหมดจากตรงนั้นก็แฟบเหมือนเดิม มันเป็นแบบนั้น

    สำราญ – อันนี้เขาเรียกอาการอะไรครับ อาจารย์สามารถ

    สามารถ – มันมีลักษณะอย่างนี้ คือสามัญสำนึกในความรับผิดชอบต่อหน้าที่มันเกิด ผมก็เป็นนะ สมัยก่อนเพื่อนๆหัวหน้าชั้นเรียนนี่นะ พอเข้าโรงเรียนแล้วเด็กเงียบทุกข์ก็ต้องสอนนะ วิญญาณครูเกิด

    หลวงปู่ – เราจะไปทำเปลี้ยทำไม่ไหวไม่ได้ เพราะเขาอุตส่าห์มานั่งฟัง แล้วมันพอแฟบบ่อยๆเขา คุณคิดดูเถอะ จันทร์-ศุกร์ พอวันศุกร์สุดท้ายเมื่อศุกร์ที่แล้ว มันเป็นอย่างนี้ทุกวันๆจนกระทั่งพอวันศุกร์ เราก็เออ วันศุกร์นี้มี 3 รายการ แต่ขอนอนเถอะ

    สามารถ – หลวงปู่ระวังนะ เดี๋ยวเกิดโรคมาโรคหนึ่ง โรคแฟบสะสม

    หลวงปู่ – มันนอนหายไปเลยนะ ปกติฉันไม่มีนาฬิกา จะบอกด้วยตัวเองว่าจะตื่นกี่โมง แต่มันไม่ยอมตื่น คือไม่ไหวแล้ว

    สามารถ – คือร่างกายมันรับไม่ไหวไง

    สำราญ – แล้วสุดท้ายมันก็เข้าสู่กฎอนิจจังนั่นแหละ คือถึงแม้จะดูออโตเมติก พอเห็นไมค์แล้วลุกขึ้นมา แต่สุดท้ายมันก็ฝืนมันไม่ได้

    หลวงปู่ – แล้วมันก็ดันไม่ขึ้นนะ มันก็มีความรู้สึกว่า อะไรมันก็เหนื่อยแรงไปหมด

    สามารถ – คือข้อจำกัดของคนมันมีนะ สมมุติว่าคนๆหนึ่งทำงาน 8 ชั่วโมง ถ้ามัน 9 บ่อยๆมันไม่ไหวหรอก ข้อจำกัดมันมี

    หลวงปู่ – สรุปรวมๆไม่ได้มาแก้ตัวเลย แต่บอกว่าจริงๆมันเป็นอย่างนั้นจริงๆ

    สำราญ – ก็ฟังหลวงปู่ได้บอกกล่าวนะครับ ท่านผู้ชมก็ถามว่าหลวงปู่ไปไหนนะ แต่ที่ใหญ่กว่านั้น วันนี้ประกาศเลยว่าวันที่ 4 ไปด้วย คุยกับคุณสนธิแล้วหรือครับ

    หลวงปู่ – ยังไม่ได้คุย คิดเอง ไปเพื่อไปแสดงธรรม ไม่ได้ไปปลุกระดม ไปให้ปัญญา ให้สันติ ให้เกิดอหิงสา นึกถึงรัฐบุรุษของอินเดียที่ชื่อมหาตมะ คานธี อยากให้คนไทยรักแผ่นดินแบบมหาตมะ คานธี

    สามารถ – ต่อสู้กับอังกฤษ ทวงคืนอิสรภาพด้วยอหิงสา

    หลวงปู่ – แต่ทุกคนมีส่วนร่วมกันอย่างนั้นได้ ณ วันนี้เรากำลังสู้กับสิ่งที่เราคิดว่ามันเป็นอธรรม แล้วเราก็ต้องให้ชัดว่าสิ่งที่เป็นอธรรมเป็นอธรรมอย่างไร ยังต้องชัดเจน แล้วเราก็จะได้สู้อย่างถูกต้องชอบธรรม

    สำราญ – คือไม่ใช่หลับหูหลับตาสู้ สู้กันอย่างมีสติ

    หลวงปู่ – ไม่ใช่สู้ด้วยอารมณ์ ไม่ใช่สู้ด้วยการไร้ปัญญา ขาดเหตุผล ไม่ใช่

    สามารถ – คือมันเป็นไปตามหลักพุทธนะครับ ก่อนจะแก้ปัญหาต้องหาเหตุ เพราะฉะนั้นเหตุที่ทำให้เกิดอธรรมมันอยู่ตรงไหนล่ะ หาเจอก็ต้องไปแก้ตรงนั้น

    หลวงปู่ – ฉันไม่อยากเห็นภาพแห่งความร้าวฉาน ขณะเดียวกันเราก็ไม่อยากเห็นใครมาทำลายแผ่นดิน มาทรยศแผ่นดิน มาเป็นกบฏต่อแผ่นดิน ถ้าฉันบอกประกาศไปนี่มันจะมีคนเพิ่มมากขึ้นหรือเปล่านี่

    สำราญ – คือมีคนตามหลวงปู่มากขึ้น

    หลวงปู่ – อยากเล่าให้ฟังว่าก่อนปีใหม่ ประมาณซักเดือนกว่าสองเดือนนี่นะ ที่มันมีเหตุการณ์ร้อนแรง มีคนไปอยู่ที่วัดคนนึงเป็นผู้ชาย อ้างว่าสติไม่ดีสัญจรไป ไม่มีที่อยู่อาศัย เราไม่รู้ว่าพระเขารับกันไว้ยังไง แต่เรามองออกว่านี่มันไม่ใช่ เราก็เลยเข้าไปคุยนี่ไม่รู้มาอยู่ได้กี่วันแล้ว ทุกวันเราออกเช้ากลางคืนกลับ เลยไม่รู้ว่าใครมาอยู่วัด วันนั้นอยู่วัดอยู่วันก็เลยถามว่านี่มาอยู่กันยังไง เขาก็เลยบอกว่าผมไม่มีที่อยู่อาศัย และถามพระเขาบอกว่าแกประสาทไม่ค่อยดี แต่เรามองแววตาสีหน้านี่มันไม่ใช่นี่ ก็เลยบอกว่าถ้าอยากจะมาสืบอะไรนี่บอกได้ เดี๋ยวจะบอกให้ แต่อย่ามาเล่นแบบนี้ รุ่งขึ้นมันไปเลย หายไปเลย ไหนบอกไม่มีที่อยู่ไงทำไมถึงไปได้ ให้ผู้ใหญ่บ้าน กำนันมาเชิญมันไม่ไปนะ พอฉันเรียกมาพูดบอกว่ารู้แกวเขาเลยไปนะ

    สำราญ – แต่สุดท้ายแล้วไม่มีอะไรที่มันดีเท่ากับความจริง และก็ความจริงใจ

    หลวงปู่ – เขาห่วงใยเรา เขาบอกแล้วมาเป็นยามให้ แต่รวมๆโดยสรุปก็คือฉันไปจริงๆนะวันที่ 4-5

    สำราญ – ก็เรียนเชิญท่านผู้ชมนะครับ ท่านผู้อ่าน ท่านผู้ฟัง ก็คืออย่างที่หลวงปู่พูด อาจารย์สามารถนะครับ จริงๆก็คือเพื่อแสดงพลังบริสุทธิ์

    หลวงปู่ – แต่ไม่ได้ไปอยู่ทั้งวันนะ อาจจะไปช่วงเย็นๆ ไปแสดงธรรม ไปปุจฉา-วิสัชนา

    สำราญ – คือเมื่อวานนี่คุณสนธิได้เปิดแถลงการณ์กู้ชาติ 4 ก.พ. สำแดงพลังนะ คือคล้ายๆว่าในวันที่ 4-5 ซึ่งจะมีการถวายฎีกาผ่าน พล.อ.เปรม ติณสูลานนท์ ประธานองคมนตรีนี่ คือเป็นการบอกกล่าวความทุกข์ร้อนของแผ่นดินว่ามันเป็นอย่างไร บ้านเมืองกำลังมีปัญหาเพราะใคร เพราะอะไร อย่างไรนะครับ

    หลวงปู่ – ฉันก็จะไปบอกกล่าวความทุกข์ร้อนของพระศาสนา

    สำราญ – นี่เราก็ชุมนุมกันอย่างสันติ อหิงสา

    หลวงปู่ – เราก็ถือโอกาสไปใช้ธรรมะเป็นธรรมบันเทิง

    สำราญ – มันจะมีพลังหรือไม่นี่ อันนี้ก็ไม่อาจปฏิเสธได้ว่าจำนวนของผู้ฟังที่มากัน

    หลวงปู่ – เราไม่ได้คิดว่าจะไปแสดงพลัง แต่ไปแสดงความจงรักภักดีต่อแผ่นดินเกิด เดี๋ยวมีพลังเดี๋ยวก็จะมีกลุ่มพลังอีกกลุ่มนึงมาชน พลังชนพลังก็เลยกลายเป็นพังไปทั้งคู่

    สำราญ – ไม่ครับ อันนี้หมายถึงว่าในการสำแดงพลังบริสุทธิ์เที่ยวนี้

    หลวงปู่ – ถ้าอย่างนั้นก็ถือว่าเป็นความจริงใจ

    สำราญ – ผมกำลังพูดตรงๆว่า ถ้าคนเยอะมันก็มีความหมายมากกว่าคนน้อย

    สามารถ – อะไรก็แล้วแต่นะ ถ้าจำนวนมันมากก็ดีกว่าน้อยครับ

    สำราญ – อย่างกรณีนี้สมมุติคน 5 หมื่นคนแสนนี่ อันนี้เราไม่ต้องมาโกหกอะไรกันนะ คนแสนนี่ผมว่ามีความหมายมากกว่าคน 5 หมื่น

    สามารถ – แน่นอน 2 แสนก็ดีกว่าแสนนึงน่ะ พูดอีกก็ถูกอีกหลวงปู่

    หลวงปู่ – นี่ฉันจะโดนขึ้นแบล็คลิสต์หรือเปล่า พอประกาศไปปุ๊บนี่เอาล่ะ ฉันบอกแล้วไม่มีความลับไง

    สามารถ – ใครจะฟัง ใครจะตามนี่ไม่ใช่ปัญหา ปัญหาว่าสิ่งที่คนจะไปทำนี่ 1. เจตนาบริสุทธิ์

    หลวงปู่ – เป้าประสงค์เพื่ออะไร

    สามารถ – 2. วิธีการก็ตรงไปตรงมาไม่อ้อมค้อม ไม่มีการซุกซ่อน เปิดเผย อันที่ 3 นะครับ พูดในที่สาธารณะ ไม่ได้แอบพูดกัน 2-3 คนนะ ใครฟังก็ได้ ไม่ต้องมาสืบหรอก อัดเทปไป

    หลวงปู่ – เราไปให้ธรรมะไปทำให้เกิดสันติภาพ สันติธรรม ให้ทุกคนมีสันติสุขในใจ เวลาใครเขามายั่วยุอะไรจะได้ไม่ใส่อารมณ์เข้าไป ฉันเชื่อว่าตบมือข้างเดียวมันไม่ดัง ฉันกลัวอย่างนึงก็คือว่าประเภทพลังชนพลัง แล้วมันเสียงกลุ่มอื่นมายั่วยุ ฉันเชื่อว่ากลุ่มยั่วยุก็น่าจะรู้จักฉันพอสมควร เขาเห็นหน้าฉันได้บ้าง เขาก็คงจะต้องรู้สึกเกรงใจผ้าเหลืองนะ รวมๆแล้วเข้าใจไหม นี่คือความรู้สึกของฉันน่ะ

    สำราญ – เข้าใจครับ ก็ชัดเจนนะครับ ก็ท่านผู้ชมครับก็เหมือนเดิมนะครับ เดี๋ยวหาว่าคุยแต่เรื่อง 4 ก.พ.นะ

    หลวงปู่ – สรุปฉันจะไปตอนเย็นๆนะ เย็นวันที่ 4 แล้วก็มีโอกาสเย็นวันที่ 5 ถ้าเขาจะยืดเยื้อก็ไปแสดงธรรม

    สำราญ – วันที่ 5 ตักบาตรตอนเช้า

    หลวงปู่ – หรือไม่ก็อาจจะอยู่รับบาตรตอนเช้า มาโผล่รับบาตรเสียหน่อยนึง ใครอย่าอุ้มฉันไปถวายสังฆทานก็แล้วกัน

    สำราญ – ก็ 02-6294433 นะครับ ก็รบกวนนิดนึงต่างจังหวัดนะครับ ถ้าการรับชมยังชัดเจนอยู่ ก็ส่งเสียงเล็กๆมานะครับ เราจะได้รู้ เพราะว่าตอนนี้อาจจะมีพูดกันตรงๆก็คือ ความพยายามที่จะขัดขวางในการรับชม ASTV

    หลวงปู่ – กางกั้นสื่อ ไม่ให้สื่อไปถึงประชาชน

    สำราญ – เพราะเขาเกรงว่า ASTV จะกลายเป็นการสื่อข่าวส่งความถึงชาวบ้าน เดี๋ยวชาวบ้านอาจจะมาวันที่ 4 กันเยอะเกินเหตุเกินไป

    หลวงปู่ – ที่จริงมันไม่น่า เพราะว่าทุกคนมีสมองคิด ฉันเชื่อว่ารายการคุณ ฉัน คุณสนธิ คุณสำราญ คุณสามารถพูดนี่ มันไม่น่าจะไปมีส่วนร่วมในการตัดสินใจของเขามากนัก เพราะทุกคนในประเทศไทย คนไทยมีสมองกันทุกคน มีปัญญากันทุกคน ถ้าเขาเห็นถูกผิดชอบธรรมได้อย่างดี เราเพียงแค่พูดแล้วเขาก็บอกว่านี่คือเพื่อน แล้วเขาก็มารวมกับเพื่อน มันก็ไม่น่าจะเสียหายผิดพลาดถูกไหม เราไม่ได้ไปปลุกระดม จนทำให้เขาหลงเชื่อ แล้วเขาไม่มีปัญญาจะคิดเองเมื่อไหร่ล่ะ นี่คือข้อเท็จจริง

    สำราญ – เอาล่ะครับ มาถึงเรื่องใหญ่ซักเรื่องนะครับ อาจารย์สามารถ ในฐานะอาจารย์เป็นคนที่คือรู้เรื่องการเงิน รู้เรื่องธรรมะ รู้เรื่องโลก รู้ชีวิตอะไรดีนะ แต่อยากให้มองในกรณีถ่ายหุ้นชินฯ แล้วมันเกิดกรณีบางคนเรียกว่าซุกหุ้นภาคสอง บางคนบอกว่าเป็นอะไรรอบสองอะไรก็แล้วแต่นะครับ มองในมุมของธรรมะ ชีวิตมันมองเห็นอะไรบ้างครับ

    สามารถ – คือผมมองอย่างนี้ มองว่าในการซื้อขายธรรมดา ที่คนเขาซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์นี่นะ ส่วนต่างที่เป็นกำไรก็ต้องเสียภาษีเพราะการยกเว้นด้วยกฎหมายมันมีมานะ โอเค เป็นที่ยอมรับ แต่ครั้งนี้ทำไมคนถึงมาพูดถึงเรื่องนี้ ทั้งที่มีการซื้อขายในตลาดหลักทรัพย์เอาประเด็นนี้ก่อน มีหลายคนตั้งข้อสังเกตว่าจริงอยู่ จะมีการซื้อขายธรรมดา แต่ครั้งนี้มันมีข้อสังเกตอยู่ว่า 1. ขายล็อตใหญ่ 2. มีการเตรียมการก่อนขาย เป็นต้นว่าหุ้นส่วนหนึ่งที่ลูกท่านนายกฯ 2 คนขายไปนะ มันมีส่วนหนึ่งที่ซื้อมา 1 บาทจากแอมเพิลริชนี่นะครับ ซึ่งเป็นบริษัทที่จดทะเบียนกับบริติช ตรงนี้มันคืออะไร มันคือขายมา 1 บาท ขณะที่ราคาตลาดต้องมากกว่านั้นนี่ ถามว่าบริษัทที่ขายนี่โง่ถึงขนาดไม่รู้เลยหรือ ว่าตัวเองเสียกำไรไปเท่าไหร่ มันเป็นไปได้หรือ

    สำราญ – เพราะว่าแอมเพิลริช จริงๆก็คือตอนแรกก็จัดตั้งโดยท่านนายกฯนั่นแหละ

    สามารถ – ใช่ ทีนี้ในกรณีอย่างนี้ คนเขามองว่าจริงๆนี่คือการถือหุ้นตัวเอง ขายหุ้นตัวเอง เป็นการหลบเลี้ยงภาษีหรือเปล่า เป็นการเตรียมการจะเอามาขายในตลาดหรือเปล่า ตรงนี้เป็นข้อกังขาที่คนมีสิทธิสงสัยว่าเกิดอะไรขึ้นตรงนั้น ถึงแม้จะเป็นการแต่งเส้นทางให้ถูกกฎหมายในตลาดหลักทรัพย์ก็จริง แต่จริยธรรมในความเป็นผู้นำควรจะมีหรือเปล่า ในขณะที่ชาวบ้านเขาทำอย่างนี้ไม่ได้เพราะว่าเขาไม่มีโอกาส ไม่มีความสามารถ หรือว่าเขาไม่มีสติปัญญา คุณจะเรียกอะไรก็เรียกไปเถอะ แต่ทั้งหมดนี้เราเรียกว่าคนโง่และควรจะถูกเอาเปรียบอย่างนั้นหรือ มันไม่น่าจะใช่

    สำราญ – ผมแทรกนิดนึงนะครับ อาจารย์สามารถ เผื่อท่านผู้ชมที่มีอินเตอร์เน็ตจะได้มีประโยชน์ คือในช่วงที่คุณบัณฑิตกับคุณอัญชลีมาจัดรายการตอนเช้านะ ก็พูดถึงแอมเพิลริชที่เป็นข่าว 2 วันนี้ วันนี้ไทยโพสต์ก็ลงนะครับ จริงๆรายการเราได้สัมภาษณ์คุณกอร์ปศักดิ์ สภาวสุ เป็นคนเปิดเรื่องนี้เอาไว้ ก็คือลองไปอ่านรายละเอียดดูนะ คุณกอร์ปศักดิ์เขาเขียนถึงนี่แหละ แอมเพิลริช ซึ่งครั้งหนึ่งปี 2546-2547 ถือหุ้นชินคอร์ปเป็นอันดับ 3 จำนวนมหาศาลนะครับ ประมาณ 10% นี่นะ คือแนะนำเว็บไซด์กอร์ปศักดิ์อย่างนี้นะครับ คือท่านผู้ชมบางท่านโทรมาหาอยู่ ก็ www.korbsak.com แล้วจะมีเลยนะ ไปดาวน์โหลดไปพิมพ์มาได้มาอ่านกัน

    หลวงปู่ – ฉันสงสัยว่าบริษัมแอมเพิลริชอะไรนี่มันก่อตั้งโดยใคร

    สามารถ – ก็นายกฯไง

    สำราญ – ไปจดทะเบียนที่บริติช เกาะซึ่งเขานิยมกัน

    หลวงปู่ – เกาะเวอร์จิ้น

    สำราญ – แต่จริงๆตัวนี่มันอยู่ที่สิงคโปร์อีกนะ อาจารย์

    สามารถ – คือเอาเป็นว่าคนสงสัยว่าทำไมขาย 1 บาท ในขณะที่ราคาตลาดมันสูงกว่านั้น

    หลวงปู่ – ในขณะนั้นน่ะหรือ

    สามารถ – ครับ ทำไมต้องเป็นอย่างนั้น

    หลวงปู่ – ขายมานานหรือยัง

    สามารถ – อันนี้รายละเอียดผมจำไม่ได้ แต่ทีนี้เอาว่าคนมีสิทธิสงสัยตรงนี้ ถามว่าคนธรรมดานี่ทำได้ไหม

    หลวงปู่ – คนขายก๋วยเตี๋ยวข้างวัดฉันเขาบ่นว่า ขายก๋วยเตี๋ยววันนึงได้ไม่กี่ชามก็มาเก็บภาษี แต่ว่าคนที่ขายหุ้นทีได้เป็นหมื่นๆล้าน สลึงนึงก็ไม่ต้องเสีย

    สำราญ – คือเมื่อวานกรมสรรพากรก็พยายามจะะแถลง แต่แถลงแบบตัดตอนนะครับ อย่างที่อาจารย์สามารถว่าคือบุคคลธรรมดาขายหุ้นผ่านตลาดนี่ไม่ต้องเสียภาษี ตามกฎกติกาที่อ้างเมื่อ 10-20 ปีนะ แต่ก่อนหน้านั้นกรมสรรพากรเคยพูดว่าเรื่องของการโอนหุ้นนะ จากนายกฯให้ลูกให้หลานให้พี่น้องอะไรนี่ โอนมาตอนโน้นกรมสรรพากรบอกไม่ต้องเสีย จนกว่าหุ้นนี้จะมีการขายได้ราคาที่เพิ่มขึ้น แต่เมื่อกรมสรรพากรพอถูกถามเรื่องนี้ กรมสรรพากรก็บอกว่า พอเรื่องตลาดแล้วมันเกินหน้าที่ของกรมสรรพากร ก็พูดอย่างนั้นเสียอีกนะ

    สามารถ – เอาอย่างนี้ดีกว่า กรมสรรพากรที่ตอบเรื่องนี้ กับคนที่พูดเรื่องนี้ครั้งแรกมันคนละคนหรือเปล่า

    หลวงปู่ – อธิบดีมันคนละคนมั้ง

    สำราญ – กรมเดียวกัน

    สามารถ – หรือว่าคนเดียวก็จริงแต่ว่ามันต่างเวลา

    สำราญ – คือมันมีมุมเยอะเรื่องกรณี 7.3 หมื่นล้านนะ แต่ที่เขาทอร์คกันอีกประเด็นหนึ่งนะครับ อาจารย์สามารถ ก็คือเขาขายกันวันจันทร์ใช่ไหม ก่อนหน้านั้นวันศุกร์ วันพฤหัส

    หลวงปู่ – กฎหมายประกาศใช้

    สำราญ – นั่นเป็นอีกประเด็นนึงครับ หลวงปู่ มีการไปทำกำไรอีก เห็นว่าเด็กๆคุณลูกคุณอะไรของท่านนะ ก็ไปซื้อขายกันอีก ทำกำไรอีกล็อตหนึ่ง เขาข่ายอินไซด์เดอร์

    หลวงปู่ – แล้ว กลต.ทำอะไร

    สำราญ – เขาถึงว่า กลต.ทำไมเที่ยวนี้เป็นหัวหลักหัวตอ

    สามารถ – กลต.นี่ถ้าคนธรรมดาทำคือเห็นปุ๊บเลยนะ แต่ถ้าบางคนทำ กลต.นี่ไม่รู้ครับ ไม่เห็นด้วย เป็นอย่างนั้นนะ แล้วท่านก็บอกว่าท่านไม่ได้เลือกปฏิบัตินะ แต่บังเอิญวิธีทางแบบนี้มันคือการเลือกปฏิบัติ แต่ท่านบอกว่าท่านไม่ได้เลือก

    สำราญ – ผมว่าเรื่องนี้มันมีมุมเยอะนะ เรื่องภาษี

    สามารถ – พูดง่ายๆตรงไปตรงมาเป็นภาษาธรรมะก็คือว่า อำนาจใหญ่ที่สุดในโลก ทำให้สั่งคนหันซ้ายหันขวาได้ พูดผิดเป็นถูกก็ได้ ถูกเป็นผิดก็ได้ นี่คืออำนาจ เพราะฉะนั้นเมื่อคนที่เกี่ยวข้องกับเรื่องนี้มีอำนาจ คนทุกคนที่จะพูดเรื่องนี้ก็เลยต้องมองดูคนดีอำนาจก่อน มันจะว่าอย่างไร

    หลวงปู่ – มันมีธรรมที่ตรงกันข้ามกัน ท่านอาจารย์สามารถ อำนาจใหญ่ทุกสุดในโลกใช่ไหม แต่คนที่ใหญ่ที่สุดในโลกไม่เหลือซักคนในโลก

    สามารถ – อันนั้นแน่นอนครับ หลวงปู่ คนที่ใหญ่ที่สุดในโลกไม่เหลือแล้ว คือ ตายหมด หรือไม่อยู่ในอำนาจถาวร มีวันนี้พรุ่งนี้อาจจะไม่มีอะไรทำนองนี้ คือเป็นไปตามกฎอนิจจังน่ะ ใหญ่จริงแต่ไม่ได้ถาวร ไม่ได้เป็นอมตะ อันนั้นเป็นไปตามกฎของอนิจจัง

    หลวงปู่ – เพราะฉะนั้นใครที่ใหญ่ๆก็ต้องมองดูว่า ใหญ่ยังไงก็คงไม่มากกว่าโลงมั้ง คิดไว้เสียบ้าง

    สามารถ – อันนี้แน่นอน ใหญ่ที่สุดนะไม่โตกว่าโลงนะ มากที่สุดคุณก็เอาไปไม่ได้แม้กระทั่งตัวเอง อันนี้เป็นสัจธรรมอยู่แล้ว

    หลวงปู่ – แล้วถ้าคิดเป็นอย่างนี้ก็ต้องรู้จักเผื่อแผ่บ้าง ต้องรู้จักอกเขาอกเราบ้าง ต้องเข้าใจความสุขทุกข์ของคนอื่นบ้าง

    สำราญ – ก็มีเหมือนที่คอลัมนิสต์บางท่าน คุณเปลว สีเงินเขียนว่า เที่ยวนี้ถ้านายกฯพิสูจน์นะ ความจริงใจไหนๆก็ไหนๆนี่นะ ตัดไป 3 หมื่นล้าน

    หลวงปู่ – เพื่ออะไร

    สำราญ – เอามาให้แผ่นดินนะ

    สามารถ – คุณกำลังจะพูดในสิ่งที่มันเป็นไปได้ยากน่ะ ก็คนขนาดคิดเลี่ยงภาษีได้ขนาดนี้ มันจะไปยอมจ่ายหรือ

    หลวงปู่ – ฉันอ่านหนังสือพิมพ์แล้วฉันมองตัวเลขนี่ ฉันไม่ได้อิจฉาท่านนายกฯ หรืออิจฉาคนมีเงินนะ แต่ฉันกลับยิ่งเห็นว่ามันจะแก้ปัญหาความยากจนได้ยังไง เพราะช่องว่างระหว่างคนรวยกับคนจนมันยิ่งห่างเข้าๆ และห่างกันชนิดสุดโต่ง

    สำราญ – หลวงปู่นึกออกไหมว่าเงิน 7.3 หมื่นล้านมันขนาดไหน ผมจะอธิบายให้ฟัง เอาให้เห็นภาพเลยนะ 7.3 หมื่นล้าน หลวงปู่รู้จักสนามกีฬาที่หัวหมากไหม สนามนั้นนี่นะรัชมังคลาสถานนะ จุคนนี่เขามีอยู่ 6 หมื่นเก้าอี้นะ หลวงปู่เองเงินใส่ถุงหรือว่ากระสอบ หรือว่าบล็อกของถนนทองม้วนน่ะ ปี๊บละล้านๆนะ วางไว้เต็ม 6 หมื่นนะก็ได้ 6 หมื่นล้านนะ เหลืออีกหมื่นล้านใบทำยังไง ปี๊บที่เหลือก็เอามาวางไว้เต็มลู่นะ ล้นมาอีกต้องวางที่สนามหญ้าแล้วนะ แล้วยืนอยู่ตรงสนามกีฬาเขียวๆนะ แล้วมองไปนี่ 6 หมื่นล้านอยู่บนอัฒจันทร์นะ และลู่อีกนะเต็มหมด

    หลวงปู่ – ของใครล่ะที่พูดนี่ ของเขา พูดให้น้ำลายหกทำไม

    สามารถ – คือวันนี้นี่นะ เงินตัวนี้เป็นของคนที่มีสิทธิเป็นเจ้าของ วันหนึ่งผ่านไปนะ เงินตัวนี้ไปอยู่ที่ใครไม่รู้ เพราะเงินนี่มันเป็นสมบัติส่วนกลางนะครับ คือเราใช้ได้หมดเท่าไหร่ตอนเรามีชีวิตนั่นเป็นของเรา ส่วนที่เหลือไม่ใช่ของเราหลังจากเราตาย

    หลวงปู่ – คือเราพูดโดยมีหลากหลายมุมมอง ฉันพูดในมุมมองของคนที่กำลังจนตรอก ไม่มีข้าวสารกรอกหม้อ แล้วก็ไม่มีโอกาสมากขนาดนี้นี่ เขาก็จะมองเหมือนกับสุนัขเห็นเครื่องบินน่ะ มันไม่มีสิทธิได้ขึ้น ได้ยินเสียงเครื่องบินก็หวาดกลัวด้วยซ้ำ มองอย่างนั้น คนที่พอจะมีโอกาส มีข้าวสารกรอกหม้อก็มองว่า เหมือนกับเมฆกับดาว มันเคล้าเคลียกัน แต่สุดท้ายเมฆก็ต้องอันตรธานเพราะว่าดาวมันถาวร คนที่มองว่าตัวเองพอจะขนาบได้บ้าง แต่ว่าสุดท้ายก็กลายเป็นเหมือนกับหมอกกับพระอาทิตย์ พระอาทิตย์ก็เผาหมอกจนละลายหมด รวมๆสรุปก็คือไม่มีทางที่จะสู้ได้เลย แล้วทำยังไงจะให้สัดส่วนมันใกล้เคียงกันมากที่สุด

    สำราญ – ก็ย้ำกันอีกครั้งนะครับ พรุ่งนี้งานอนุรักษ์สุขภาพครั้งที่ 18 ก็มีตามปกตินะครับ วันเสาร์-อาทิตย์ สนทนาธรรมก็ยังมีตอนบ่ายโมงนะครับ ก็หลวงปู่มาไม่ได้ไปต่างจังหวัด ก็รู้สึกว่าจะมีสำรองเอาไว้แล้ว พระมหาวุฒิชัย วชิรเมธีนะครับ คุณสนธิ อาจารย์สามารถนี่กำลังเจรจาต่อรองอยู่

    สามารถ – ผมคงไม่มา เพราะว่าผมมีโปรแกรมแล้ว

    สำราญ – ก็ผมมาอยู่แล้วนะครับ ถ่ายทอดสดทาง ASTV นะครับ และก็วิทยุ 97.75 ก็หลายจังหวัดขอบพระคุณมากนะครับที่โทรแจ้งผลการรับชมรายการนะครับ จังหวัดตรัง อีสานหลายจังหวัด

    หลวงปู่ – จริงๆเราอยากฟังความคิดเห็นนะ ว่ากิจกรรมครั้งนี้มีพระเข้าไปร่วมนี่คุณคิดยังไง เพราะนี่ฉันคิดของฉันคนเดียวนะ แม้แต่กรรมการมูลนิธินี่ไม่รู้เรื่องเลยนะ

    สำราญ – ตอนนี้ก็ถือว่าค่อยๆมากันจนครบ 4 ส.นะครับ สุดท้ายมาแล้วครับ คุณสนธิ ลิ้มทองกุล สวัสดีครับ

    สนธิ – สวัสดีครับ กราบนมัสการหลวงปู่ครับ

    หลวงปู่ – เจริญธรรม

    สำราญ – คุณสนธินี่อย่างนี้ครับ ท่านผู้ชมครับ ก็อยู่ได้แป๊บเดียวเพราะว่าต้องเดินทางนะครับ ตอนนี้เดินทางไปหลายพื้นที่หลายจังหวัด แต่ว่าเห็นหลวงปู่มาแล้วนะครับ ก็ไม่มาก็กระไรอยู่

    สนธิ – ครับ เดี๋ยวโดนท่านเทศนาลับหลังก็เลยต้องมา

    สำราญ – นิดเดียวครับ โดยความรู้สึกของหลวงปู่ ตั้งใจประกาศไปแล้วว่าวันที่ 4 ก.พ.จะขอคุณสนธิไปเทศนาด้วย

    หลวงปู่ – ฉันคิดเองนะ ไม่ได้บอกมูลนิธิเลย

    สนธิ – เป็นเรื่องที่ผมคิดว่าประชาชนที่เขามาร่วม จะมีความซาบซึ้งในเมตตาที่องค์หลวงปู่ได้มอบให้นะครับ ก็อยากจะคุยกับคุณสำราญ และท่านผู้ชมที่บ้านถึงวันที่ 4 ก.พ.ซักนิดนึงนะครับ คือวันที่ 4 ก.พ.นั้นนี่ พวกเราเชิญชวนพ่อแม่พี่น้องมาชุมนุมกันอย่างอหิงสานะครับ ผมยืนยันนะครับ อย่างสันติสุขเรียบร้อย ไม่ได้มาชุมนุมกันเพื่อที่จะไปทำลายสิ่งของข้าวของอะไรทั้งสิ้น เป็นการแสดงพลังบริสุทธิ์ถึงความรู้สึกนึกคิดของเรา ที่มีต่อการบริหารชาติบ้านเมืองของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรนะครับ

    หลวงปู่ – ถือโอกาสมาฟังธรรมด้วย

    สนธิ – ถือโอกาสมาฟังธรรมด้วยนะครับ และวันนั้นนี่ผมนี่ในฐานะที่เป็นตัวแทนของพ่อแม่พี่น้องประชาชน ที่ผมขอฉันทามติไปแล้วนี่ จะขออนุญาตถวายฎีกาให้กับองค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวนะครับ เนื้อหาในการถวายฎีกานั้น ก็เป็นเรื่องของการที่เรากำลังเล่าให้พระองค์ท่านทราบ ถึงความทุกข์ยาก ความเดือดร้อนของประชาราษฎร์ในแต่ละเรื่องๆ ว่าประชาราษฎร์ในทุกวันนี้เดือดร้อนในเรื่องอะไรบ้าง และการเดือดร้อนนี้มีผล มีเหตุปัจจัยมาจากการบริหารของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร เป็นข้อๆไปนะครับ เมื่อถวายความเดือดร้อนแล้ว สิ่งที่เราได้ชี้แจงไปในหนังสือถวายฎีกาอย่างชัดเจนก็คือว่า การได้มาซึ่งอำนาจก็คือการเลือกตั้งนั้นเป็น 1 ข้อใน 2 ข้อที่ถูกต้อง ข้อแรกนั้นคือสิทธิในการได้มาซึ่งอำนาจ ก็คือการเลือกตั้ง ท่านนายกฯท่านอ้างว่าท่านได้มา 19 ล้านเสียง แต่ว่าเราก็ยังไม่มานั่งปุจฉาวิสัชนาว่า 19 ล้านเสียงนี้ได้มาโดยบริสุทธิ์หรือเปล่า ก็ตัดทิ้งไป จุดที่ 2 ก็คือว่าเราต้องมาดูว่าประสิทธิผล และก็การประเมินผลของการบริหารชาติบ้านเมือง นั่นคือความเป็นธรรม

    หลวงปู่ – เขาให้อำนาจคุณมาทำอะไร

    สนธิ – เอามาทำอะไรนะครับ ตรงจุดที่ 2 นี่ต่างหากที่เรากำลังทำหนังสือถวายฎีกาให้กับพระเจ้าอยู่หัวว่า เมื่อได้อำนาจมาแบบนี้แล้วนี่ การบริหารบ้านเมืองนั้นกลับทำให้ประชาราษฎร์เดือดร้อน

    หลวงปู่ – สรุปก็คือเราไม่ได้คลางแคลงใจหรอกว่าอำนาจคุณจะได้มาอย่างไร แต่เราคลางแคลงใจว่าการใช้อำนาจใช้อย่างไร

    สนธิ – เพราะฉะนั้นแล้วระบอบการปกครองประชาธิปไตยนั้น จะไปมองแค่การได้มาซึ่งอำนาจอย่างเดียวไม่ได้ ถ้าอ้างว่า 19 ล้านเสียงทุกวันนะครับ แล้วตัวเองมีสิทธิทำอะไรก็ได้นี่ มันไม่ใช่ระบอบประชาธิปไตยนะครับ อันนั้นคือสิ่งซึ่งเราจะไปถวายฎีกานะครับ ก็คือเป็นการที่พสกนิกรข้าแผ่นดินมีความเดือดร้อน ก็เลยถวายฎีกาให้พ่อหลวงว่าลูกหลานกำลังเดือดร้อนแล้ว ให้พ่อหลวงลองเอาไปดูว่าถ้าพ่อหลวงมีแนวคิดอย่างไรที่จะช่วยลูกหลานนะครับ ไม่ได้เป็นการที่จะมาให้พระองค์ท่านตั้งนายกฯองค์ใหม่ คนใหม่ขึ้นมา ซึ่งเป็นที่เข้าใจผิดกันหมดนะครับ เพราะฉะนั้นแล้วเราก็เลยมาชุมนุมกัน

    สำราญ – นิดเดียวครับ คุณสนธิ ถ้าเป็นเมื่อก่อนคล้ายๆการสั่นกระดิ่งนะ

    หลวงปู่ – สมัยพ่อขุนราม

    สนธิ – ถูกต้องครับ

    หลวงปู่ – เราก็ตีกระดิ่งด้วยเสียงของศรัทธาของประชาชน

    สำราญ – คือเสียงของประชาชน และก็ตัวแทนประชาชนอีกมากมาย

    สนธิ – ครับ อันนี้เป็นราชประเพณีที่ปฏิบัติกันมายาวนาน ตั้งแต่สุโขทัยต่อเนื่องมาจนกระทั่งปัจจุบันนี้ ไม่ว่าพระเจ้าอยู่หัวจะเสด็จพระราชดำเนินไปที่ไหน จะมีประชาชนคอยถวายฎีกาตลอดเวลา ร้องทุกข์ตลอดเวลา เพราะฉะนั้นเราก็เลยขอใช้สิทธิตรงนี้ เป็นเพียงแต่ว่าไม่ได้ใช้สิทธิเพียงส่วนตัวไปร้องทุกข์เรื่องของตัวเอง แต่รวบรวมประชาชนมาร้องทุกข์เรื่องของแผ่นดินนะครับ เพราะฉะนั้นปริมาณของคนที่มานั้นนี่ จะเป็นแสนเป็นหลายแสนนั้นไม่ใช่เรื่องสำคัญ สำคัญก็คือว่าเขามีความรู้สึกร่วม เขาก็เดินทางมาแล้วก็แสดงเจตนารมณ์ ทีนี้ในการกระทำเช่นนี้นี่ เนื้อหาของการกระทำนั้นนี่ แทนที่รัฐบาลจะมาพิจารณาตัวเอง ว่าข้อร้องทุกข์นี้มีอะไรบ้างที่ตัวเองเห็นว่าเป็นความจริง ตัวเองต้องหันไปแก้ไข
    ตัวเองกลับใช้ความเป็นอวิชชาในตัวเอง และความที่เป็นอธรรม ระดมอำนาจรัฐทั้งหลายนี่ปกป้อง ป้องกัน กีดกั้นไม่ให้ประชาชนเดินทางเข้ามาเพื่อแสดงเจตนารมณ์อันบริสุทธิ์ โดยหลักอหิงสา สันติสุข ตามสิทธิที่ประชาชนทุกคนมีในรัฐธรรมนูญทุกประการนะครับ นอกจากได้กีดกั้นแล้ว ยังพยายามที่จะจัดกลุ่มคนมาก่อกวนหาเรื่อง ประชาชนที่มาเรียกร้องโดยสันติสุขและอหิงสา ตรงนี้นี่กลับทำให้รัฐบาลขาดความชอบธรรมไปมาก นอกจากนั้นแล้วก็พยายามนะครับ ท่านพ่อแม่พี่น้องที่ดู ASTV อยู่ พยายามใช้อำนาจรัฐไปสั่ง กสท.ซึ่งเป็นคนให้บริการระบบอินเตอร์เน็ต ให้ตัดการบริการระบบอินเตอร์เน็ต เพื่อไม่ให้ ASTV ได้ออก หนังสือมาแล้วนะครับ แต่ว่าเรากำลังจะยื่นเรื่องต่อศาลปกครองอาทิตย์หน้า เหตุผลเพราะว่ารัฐบาลกลัวการแสดงออกอย่างสันติของประชาชนในวันที่ 4 ก.พ.อย่างมาก ก็เลยต้องการปิดหูปิดตาประชาชนทุกคน

    หลวงปู่ – เพราะอย่างนี้ไง ฉันถึงได้ต้องคิดว่าคงจะต้องมีพระเข้าไปแสดงธรรม ไม่ใช่ไปปลุกม็อบ แล้วฉันก็คิดด้วยใจนิ่งมากนะ คุณสนธิ ฉันคิดว่าถ้ารัฐบาลจะมองกลุ่มพลังบริสุทธิ์ให้กลายเป็นอกุศล ก็เป็นเรื่องของเขาที่เขาจะมอง แต่ว่าเราทำกุศลแล้วกัน เราฟังธรรม เราสวดมนต์ เราปฏิบัติธรรม แล้วเราก็แสดงพลังสงบแบบอหิงสา เรามีเป้าประสงค์ที่ชัดเจน ว่าต้องการปกป้องผลประโยชน์ของแผ่นดินและชาติ และทุกคนเดือดร้อนจากการใช้อำนาจของท่านที่ได้มาโดยธรรม อำนาจท่านน่ะคือได้มาโดยธรรม แต่เวลาท่านใช้นี่ไม่แน่ว่ายุติธรรมหรือเปล่า เราได้รับความกระทบ ได้รับผลเดือดร้อนจากการกระทำของท่าน เราก็มาแสดงเสียงนี้ให้กับพ่อหลวง ให้กับผู้ปกครองแผ่นดินได้รับรู้ว่า สิ่งที่เกิดขึ้นมันกำลังจะเป็นอย่างไรบ้าง สะท้อนเสียงนี้เท่านั้น แต่ฉันก็คิดว่าฉันมานั่งอยู่ตรงนี้นี่ ถ้าวันที่ 4-5 ฉันไปนั่งอยู่ตรงนั้น ฉันก็จะต้องทำใจแบบนั่งตรงนี้ ก็คือใจมันนิ่งๆ

    สนธิ – ครับ ต้องนิ่งครับ

    หลวงปู่ – แล้วฉันก็จะต้องบอกลูกหลานและชาวบ้านที่มาร่วมเสวนา ร่วมชุมนุมว่า ไม่ว่าจะเกิดเหตุปัจจัยอะไรที่จะมาหลอกล่อให้เรา ต้องมีอารมณ์ใส่ร่วมเข้าไปนี่ ต้องคิดเสมอว่าเราต้องมีเป้าประสงค์ที่ชัดเจน เรามานี่เพื่อปกป้องแผ่นดิน ปกป้องผลประโยชน์ เราไม่ได้มาเพื่อจะมาท้าตีท้าต่อยกับใคร เราไม่ได้มาทะเลาะกับใคร ใครจะมาชวนเราทะเลาะเราก็ไม่ยื่นมือไปตบกับเขา เท่านั้นจบ

    สนธิ – ครับ ด้วยเหตุนี้ก็เลยต้องเข้ามากราบเรียนพ่อแม่พี่น้องในที่นี้นะครับว่า มีความพยายามทุกวิถีทางนะครับ ซึ่งผมประหลาดใจมากนะครับหลวงปู่ ก็คือว่ารัฐบาลนั้นมีสื่ออยู่ในมือหมด ไม่ว่าจะมีช่อง 3 ช่อง 5 ช่อง 7 ช่อง 9 ช่อง 11 ไอทีวี และวิทยุอีกหลายร้อยหลายพันสถานี ซึ่งการโฆษณาประชาสัมพันธ์ โฆษณาชวนเชื่อ เชื่อและสร้างภาพของรัฐบาลนั้นทำมาตลอดเวลาไม่มีวันหยุด

    หลวงปู่ – แต่มันก็มีคนที่หลุดรอดและก็ไม่เชื่อถือด้วยคำโฆษณา และมาเชื่อคุณ มาเดินตามคุณ แต่ว่าทุกคนเขาคิดเป็น เขามีสมองของเขา

    สนธิ – ครับ คืออย่างนี้ครับ ท่านพ่อแม่พี่น้องที่ฟังรายการนี้อยู่ ทุกคนมีสมองหมด ผมไม่ได้มาโฆษณาชวนเชื่อแล้วก็เป่าหูท่าน แต่สิ่งที่ผมเสนอมานั้น ท่านพ่อแม่พี่น้องได้ใช้ปัญญาของตัวเองเอามาตรึกตรอง แล้วก็เปรียบเทียบกับการชี้แจง หรือการโฆษณาชวนเชื่อของรัฐบาล พ่อแม่พี่น้องหลายท่านก็เริ่มเห็นว่า สิ่งที่ผมถามรัฐบาลไป 40 กว่าคำถาม ตั้งแต่ผมจัดรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรนั้น รัฐบาลไม่ตอบเลยแม้แต่ข้อเดียว ไม่กล้าตอบ ไม่ว่าจะเป็นเรื่องการแต่งตั้งสมเด็จพระสังฆราชขึ้นมาซ้อนองค์เดิมนะครับ ตลอดจนการทุจริตคอร์รัปชั่น จนกระทั่งล่าสุดนั้นก็คือการที่นายกฯขายหุ้นของตัวเองและครอบครัวไป 7.4 หมื่นล้าน และใช้วีธีแยบยลเลี่ยงภาษี ซึ่งนักกฎหมายหลายคนก็ตีความว่าจำเป็นต้องเสียภาษีนะครับ ต่างๆเหล่านี้นี่ผมคิดว่าเป็นเรื่องที่น่ากลัวมากสำหรับสังคมไทย พ่อแม่พี่น้องที่ดูรายการอยู่ ณ ปัจจุบัน ผมจะกราบเรียนพ่อแม่พี่น้องว่า วันนี้นี่ผมไม่ได้สู้เพื่อตัวผม หลวงปู่ไม่ได้เทศน์เพื่อตัวของท่าน

    หลวงปู่ – มีคนถามฉันนะว่าฉันกลัวไหม ทำไมต้องกลัว

    สนธิ – คือผมคิดว่าถ้าเราเอาธรรมนำหน้านะครับ หลวงปู่ ก็ไม่มีความจำเป็นจะต้องกลัวอะไร แต่วันนี้ผมนี่สู้ให้กับลูกหลานของพ่อแม่พี่น้องทุกคนที่อยู่ในแผ่นดินไทย ผมสู้เพื่อเอาธรรมขึ้นมาแทนอธรรมที่กำลังเกิดขึ้น และผมสู้แบบอหิงสา ผมมาชุมนุมอย่างสันติ ผมสู้เพื่อลูกหลานของพ่อแม่พี่น้องในอนาคต จะเจริญเติบโตต่อไปในสังคมไทย โดยที่มีบรรทัดฐานในสังคม มีความยุติธรรมในสังคมนะครับ เมื่อมีความยุติธรรมในสังคมแล้วนี่ เด็กทุกคนซึ่งเป็นลูกหลานของเรานั้น อยู่ในสังคมที่มีสันติสุข มีธรรมนำหน้า หาคอร์รัปชั่นที่ลดน้อยลง ผู้นำมีจริยธรรม ชาติบ้านเมืองมีศีลธรรม รู้จักเศรษฐกิจพอเพียง นั่นคืออนาคตของลูกหลานเรา ลูกหลานเราในอนาคตถ้าจะทำงานไปได้ดี ก็ต้องพึ่งพาความสามารถและปัญญาของเขา ไม่ควรที่จะไปพึ่งพาเส้นสายสัมพันธ์ หรือการซึ่งเขาจะต้องทำงานเป็นทาสรับใช้นายทุนเพียงไม่กี่ตระกูล ซึ่งมายึดครองประเทศไทยทุกวันนี้ นั่นคือสิ่งที่ผมต่อสู้
    ผมไม่ได้ต่อสู้เพื่อตัวผมเอง และผมก็ไม่ได้ต่อสู้เพื่อให้ผมทำอะไรร่ำรวยมากขึ้น ผมได้กราบเรียนพ่อแม่พี่น้องในรายการเมืองไทยรายสัปดาห์สัญจรมาทุกๆครั้ง และวันนี้ผมก็ถือโอกาสกราบเรียนอีกครั้งนึงต่อหน้าพ่อแม่ครูอาจารย์ ซึ่งผมเคารพนับถือคือองค์หลวงปู่พุทธะอิสระ ผมสู้ครั้งนี้ไม่ได้หวังลาภสักการะใดๆทั้งสิ้น ไม่ได้ต้องการยศถาบรรดาศักดิ์ ถึงแม้ว่าผมในอนาคตจะมีคนเสนอยศถาบรรดาศักดิ์อะไรมาให้ผม ผมไม่รับทั้งสิ้น ผมก็คือคนซึ่งยืนอยู่ข้างๆพ่อแม่พี่น้อง ทำหน้าที่สื่อมวลชนที่กล้าพูดในเวลาในเวลาที่คนไม่กล้าพูด ผมถือว่าผมเอาธรรมมานำหน้า

    หลวงปู่ – สรุปก็คือเรา คณะทำงาน มองและสังเกตเห็นความผิดปกติ และก็เงาแห่งซาตานมันกำลังจะกล้ำกลืนและก็ครอบงำ และกลืนกินแผ่นดินและบรรยากาศของประเทศ เราก็มีความรู้สึกต้องแสดงสัญญาณเตือนให้รู้ว่า ณ วันนี้มันไม่ปลอดภัยนะ มันไม่ปกตินะ เราอย่าประมาท อย่าเลินเล่อ อย่าทำเพิกถอนหรือเพิกเฉยและไม่สนใจใยต่อเงาเหล่านั้น เพราะว่ามันเป็นผลกระทบโดยตรงต่อทุกคนในแผ่นดินนี้

    สนธิ – สุดท้ายผมจะกราบเรียนพ่อแม่พี่น้อง ก่อนที่ผมจะต้องกราบลาไป เดินทางไปขอนแก่น ไปพูดให้พ่อแม่พี่น้องครูฟังนะครับ เครื่องจะออกประมาณเที่ยง พูดประมาณ 4 โมงเย็น คือผมวันนี้นะครับ พ่อแม่พี่น้อง ผมไม่ได้สู้ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ผมสู้กับปีศาจที่สิง พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ปีศาจตัวนี้นี่เป็นปีศาจแห่งกิเลส กิเลสที่มอมเมา และทำให้ผู้นำมัวเมาในอำนาจ พ้นจาก พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตรไปแล้ว จะมีนายกฯคนใหม่มา ถ้าถูกสิงด้วยปีศาจตัวนี้ผมก็ต้องสู้ต่อไปใช่ไหมครับ หลวงปู่ ผมไม่ได้สู้อะไรเป็นส่วนตัวกับท่านเลย เป็นเพียงแต่ว่าผมต่อสู้กับปีศาจในตัวท่าน จากคนซึ่งเคยคิดดีทำดีนี่ มากลายเป็นคนซึ่งคิดร้ายทำร้าย ปากคอเราะราน พูดจาดูถูกชาวบ้าน และในขณะเดียวกันแสดงความรักชาติรักแผ่นดินในทางที่ผิดนะครับ นั่นคือสิ่งที่ผมต่อสู้ และก็ผมจะสู้กับปีศาจตัวนี้ไปจนกระทั่งผมนั้นต้องขึ้นเมรุ และผมก็หวังว่าจะมีคนซี่งรับสืบทอดเจตนารมณ์ของผม และก็ต่อสู้ต่อไปนะครับ สังคมไหนก็ตามถ้าไม่มีคนที่กล้าพอที่จะลุกขึ้นมาต่อสู้ สังคมนั้นเป็นสังคมอวิชชา เป็นสังคมอธรรมนะครับ และก็เป็นสังคมที่ไม่มีศีล ใช่ไหมครับ หลวงปู่

    หลวงปู่ – ฉันหวังว่าการมาร่วมครั้งนี้นี่ ไม่ใช่หมายถึงว่าฉันเป็นผู้กล้า แต่ฉันหมายถึงว่า ฉันคิดว่าเป็นวิถีของการจุดประทีปแห่งปัญญา ให้กับคนในสังคมทุกคนได้รับรู้ว่าข้อเท็จจริงมันเกิดอะไร

    สำราญ – เอาล่ะครับ ก็คุณสนธิได้เวลาที่จะต้องไปเตรียมงานและเดินทางไปขอนแก่นต่อนะครับ ก็เข้าใจว่ารับชมกันได้สิ่งที่คุณสนธิพูดในตอนค่ำๆนะครับ ก็ประมาณนั้น

    สนธิ – ครับ แล้วก็อย่าไปตกใจนะครับ ถ้าวันสองวันนี้ ASTV จะไม่มีออกอากาศ ก็แสดงว่าเขาปิดกั้น แต่เราก็จะดำเนินการยื่นฟ้องศาลปกครองภายในอาทิตย์หน้า ขอคุ้มครองฉุกเฉินนะครับ

    สำราญ – ถึงแม้สุดท้ายคุ้มครองไม่ได้ สมมุตินะครับ คือทุกอย่างเหมือนเดิม วันที่ 4 ไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง

    สนธิ – ไม่มีครับ

    สำราญ – บ่ายโมงตรงที่ลานพระรูปนะครับ ขอบพระคุณ คุณสนธินะครับ

    สนธิ – ครับ กราบนมัสการองค์หลวงปู่ครับ

    สำราญ – เอาล่ะครับ ก็อีก 2 นาทีสุดท้ายนี้ก็ยกให้หลวงปู่นะครับ หลายคนนี่เรียกร้องมานะ ผมเลยมาสรุปเอาตอนท้ายก็แล้วกันว่า ก็คืออยากให้หลวงปู่เทศนาให้สติท่านนายกฯด้วย และก็ผู้คนพลเมืองไทยด้วย

    หลวงปู่ – ฉันไม่กล้าจะเทศน์ให้ท่านนายกฯ เพราะว่าท่านนายกฯเป็นผู้มีวิชา เราเป็นเพียงผู้มีอวิชชาเท่านั้น อยากจะบอกกับประชาชน ชาวบ้าน ญาติโยม พุทธบริษัทที่รักทั้งหลายว่า กิจกรรมในวันที่ 4-5 นี่ขอให้เป็นกิจกรรมของความร่วมไม้ร่วมมือ ความสมานฉันท์ ความไม่เบียดเบียนของกันและกัน และก็แสดงพลังของความถูกต้องชอบธรรม ยุติธรรมให้ปรากฏขึ้นอย่างชัดเจน ในขณะเดียวกันทุกเรื่องที่ผ่านเข้ามาและจะผ่านออกไป ต้องใช้ปัญญาวิเคราะห์ ใคร่ครวญ พิจารณา ใช้สติและปัญญาให้มากๆต่อทุกเรื่องที่มีเข้ามาในชีวิตและออกไปนอกชีวิต และเราก็จะได้กลายเป็นบุคคลที่ผ่อนคลาย โปร่งเบาสบาย ไม่ตกอยู่ในอำนาจของการชักจูง มัวเมา หรือว่ามอมเมาของใครคนใดคนหนึ่ง โดยเฉพาะคนที่อยากจะมีอำนาจราชศักดิ์หรือบาตรใหญ่นี่ เขามักจะแสดงการมอมเมาหรือมัวเมาให้ประชาชนผู้คนหลงใหลได้ปลื้ม และทั้งหลายทั้งปวงก็ขอให้ใช้ปัญญาเยอะๆ และฉันก็เชื่อว่าปัญญาเท่านั้นที่จะเป็นเครื่องแก้ปัญหาได้ถูกต้องชอบธรรม เจริญธรรม.

    **********************************************************************

    </td> </tr> </tbody></table></td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> </tbody></table> </td> </tr> <tr> <td align="right" height="10" valign="top">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table> <table border="0" cellpadding="4" cellspacing="0" width="100%"> <tbody><tr> <td align="center" valign="middle">[​IMG]</td> </tr> </tbody></table>
     

แชร์หน้านี้

Loading...