สละชีพช่วยสาวถูกฉุด! พ่อภูมิใจลูกเป็น"คนดี"

ในห้อง 'ข่าวทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 30 มกราคม 2006.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,494
    <TABLE width="98%" align=center><TBODY><TR><TD>




    พ่อแม่หนุ่มพลเมืองดีช่วยสาวถูกฉุด จนถูกยิงตาย พ้อ สุดเสียดายลูกชายกตัญญู หวังเก็บเงิน สร้างบ้าน-ให้น้องเรียนสูงๆ ระบุ เสียใจ อย่างสุดซึ้ง แต่ก็ภูมิใจที่ลูกเป็น "คนดี" ของสังคม
    ผมมีความภาคภูมิใจที่เขาได้ขึ้นชื่อว่า เป็นคนดี เพราะถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ เจอคนร้าย กำลังจะฉุดผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ผมก็คงไปช่วยเหมือนกัน
    <CENTER>[​IMG]</CENTER>
    ข่าวตำรวจ สน.มีนบุรี จับกุม นายกฤษเรศ รอดจันทร์ หรือ "เบนซ์" อายุ 20 ปี และ นายวิทยา มิตรนอบน้อม อายุ 19 ปี ผู้ต้องหาคดีร่วมกันฆ่า นายประเสริฐ วงศ์หนองแวง อายุ 20 ปี เมื่อวันที่ 12 มกราคม ที่ผ่านมา อาจเป็นข่าวล้อมกรอบเล็กๆ ข่าวหนึ่งตามหน้าหนังสือพิมพ์ แต่ถ้าเราทราบถึง "วีรกรรม" ของผู้ตายแล้ว ข่าวเล็กๆ ชิ้นนี้ก็ควรค่าแก่การ "ยกย่อง" เชิดชูผู้ตายรายนี้เป็นอย่างยิ่ง
    เนื่องเพราะนายประเสริฐ สละชีวิตของตัวเองเพื่อช่วยหญิงสาวคนหนึ่ง ขณะถูกคนร้ายทั้งคู่ฉุดไปเพื่อจะข่มขืน เมื่อนายประเสริฐเห็นเหตุการณ์ จึงเข้าไปช่วยเหลือจนถูกคนร้ายทำร้ายร่างกาย และถูกอาวุธปืนยิงใส่ถึง 2 นัดซ้อน เหตุเกิดบริเวณทางเท้าใกล้ปั๊มน้ำมันบางจาก ถ.นิมิตรใหม่ แขวงและเขตมีนบุรี กทม. เมื่อเวลา 02.30 น. วันที่ 28 พฤศจิกายน 2548 !!!
    จากคำรับสารภาพของผู้ต้องหาทั้งสอง ยิ่ง "เสียดาย" พลเมืองดีรายนี้มากยิ่งขึ้น เมื่อทั้งคู่ให้การว่า
    ก่อนหน้าที่จะถูกจับกุม ได้ขับขี่รถจักรยานยนต์ร่วมกับเพื่อนประมาณ 10 คน ออกหาหญิงสาวที่เดินคนเดียวในเวลากลางคืนเพื่อฉุดไปข่มขืน ตำรวจจึงแจ้งข้อหากับผู้ต้องหาทั้งคู่ว่า ร่วมกันฆ่าคนตายโดยเจตนาและพกพาอาวุธปืน และเครื่องกระสุนโดยไม่ได้รับอนุญาต
    แน่นอนว่า คนที่เศร้าโศกกับเรื่องนี้มากที่สุด ย่อมหนีไม่พ้นพ่อแม่ของผู้ตาย คือ นายสิทธิ์ วงศ์หนองแวง อายุ 45 ปี และ นางฉลวย วงศ์หนองแวง อายุ 46 ปี
    นายสิทธิ์ เล่าถึงปูมหลังของครอบครัว รวมทั้งเส้นทางชีวิตของบุตรชายผู้จากไปด้วยสีหน้าอันเศร้าสลดว่า ตนเป็นคน จ.อุดรธานี เข้ามาทำงานรับจ้างก่อสร้างในกรุงเทพฯ เพราะรายได้น้อย ต้องรับจ้างเขาทำนา ตนมีลูก 2 คน โดยนายประเสริฐ หรือ "น้องเบิร์ด" เป็นลูกชายคนโต และมีลูกชายคนเล็กอีกคน คือ ด.ช.ชานเพชร วงศ์หนองแวง หรือ "น้องบรีส" อายุ 10 ปี ซึ่งตอนนี้กำลังเรียนหนังสืออยู่ที่ จ.อุดรธานี
    นายประสิทธิ์ กล่าวถึงลูกชายด้วยความภาคภูมิใจว่า น้องเบิร์ด ถือเป็นหัวเรี่ยวหัวแรงของครอบครัว และมีความประพฤติดีมาโดยตลอด ปกติจะมีนิสัยเรียบร้อย ไม่ค่อยพูด แต่จะยิ้มเก่ง
    ตอนที่ย้ายมากรุงเทพฯ น้องเบิร์ดมีอายุเพียง 8 ขวบ ตนเข้ามาทำงานก่อสร้าง ส่วนภรรยาขายก๋วยเตี๋ยว ส่วนน้องเบิร์ดเข้าเรียนที่โรงเรียนอัมพวันศึกษา ทุกๆ วันจะปลุกลูกชายตั้งแต่ตี 5 เพื่อไปตลาดซื้อเครื่องก๋วยเตี๋ยวมาเตรียมขาย พอตกเย็นน้องเบิร์ดก็จะกลับบ้านตรงเวลาทุกวันเพื่อมาช่วยล้างจาน และเก็บของ
    "มีบางช่วงที่ทั้งพ่อและแม่ต้องกลับไปอยู่ จ.อุดรธานี และรับจ้างทำนาเหมือนเดิม ก็มีน้องเบิร์ดที่คอยช่วยพ่อไถนา เขาทำนาอย่างไม่เคยอิดออด บางครั้งไม่มีทุนทำนา หรือเขาเลิกจ้างก็ต้องพากันมากรุงเทพฯ อีกครั้ง ชีวิตก็จะเร่ร่อนไปอย่างนี้เพราะเราจน" นายประสิทธิ์ กล่าวอย่างเจียมตน
    ด้าน นางฉลวย กล่าวถึงลูกชายทั้งน้ำตาว่า
    "ทุกๆ วันที่พ่อและแม่ออกไปทำงาน น้องเบิร์ดจะหุงข้าว และทำกับข้าวไว้ให้ทุกวันโดยไม่ต้องบอก ทั้งยังซักเสื้อผ้าให้พ่อแม่ ทั้งที่แม่เขาเคยบอกไว้ว่าไม่ต้องซักให้ เพราะเห็นว่าเป็นเด็กผู้ชาย เกรงว่าเขาจะอาย แต่เขาก็ไม่เคยเกี่ยง นอกจากนี้เขายังดูแลเรื่องการแต่งตัวของพ่อและแม่โดยจะซื้อเสื้อผ้าให้พ่อแม่ตลอด" กล่าวเสร็จ เธอก็ชี้ให้ดูกางเกงที่ตน และสามีใส่ขณะให้สัมภาษณ์
    นางฉลวย กล่าวอีกว่า พออายุได้ 15 ปี น้องเบิร์ด ก็ช่วยพ่อแม่ทำงานก่อสร้าง โดยเงินทุกบาททุกสตางค์ที่ได้มาจะให้พ่อแม่ทั้งหมด แต่เมื่อใดที่เขาอยากจะซื้อของ เขาก็จะขอเงินจากแม่ โดยบอกว่า "แม่...หนูขอตังค์ซื้อกางเกงใหม่ตัวหนึ่งนะ" โดยจะขอเงินตนเหมือนตอนเด็กๆ ทั้งที่หาเงินเองได้แล้วก็ตาม เมื่อ 4 เดือนก่อนจะเสียชีวิต น้องเบิร์ดได้ทำงานที่ร้านอัลลอย ใกล้กับจุดที่เขาเสียชีวิต โดยทำอยู่ฝ่ายเชื่อมสเตนเลส ได้ค่าแรงวันละ 220 บาท เจ้าของร้านจะจ่ายให้เป็นรายสัปดาห์
    "เขาจะประหยัดมาก จะส่งเงินให้พ่อแม่ใช้อยู่ตลอด โดยทางร้านจะให้ที่พักฟรี และจะให้ข้าวสารไว้หุงกิน เขาจะไม่มีค่าใช้จ่ายอะไรมาก กินง่ายอยู่ง่าย อาทิตย์ไหนที่อยากได้ของใช้ หรือเสื้อผ้า เขาก็จะพูดกับแม่ว่า "แม่...อาทิตย์นี้หนูขอก่อนนะ หนูอยากซื้อเสื้อผ้า ทั้งนี้เมื่อวันพ่อ 5 ธันวาคม ที่ผ่านมา น้องเบิร์ดก็ซื้อสร้อยทองน้ำหนัก 1 บาท ให้พ่อเขาใส่ด้วย" นางฉลวย กล่าว ขณะที่นายสิทธิ์ก็ควักสร้อยคอทองคำออกมาให้ดูด้วยความสะเทือนใจ
    นางฉลวย เล่าว่า ทุกครั้งที่ไปเยี่ยมลูกจะทำอาหารไปให้กิน โดยก่อนตายประมาณ 2-3 วัน ตน และสามีได้ไปเยี่ยมลูกที่บ้านพักมาแล้วซื้อขาหมูไปต้มให้ลูกกิน แต่ยังกินไม่ทันหมดก็ต้องมาตายไปเสียก่อน
    "น้องเบิร์ด จะเรียกตัวเองว่าหนู และชอบนอนหนุนตักแม่ อ้อนให้แม่ถอนผมคันให้ เรามักจะคุยกันถึงเรื่องครอบครัวในอนาคต น้องเบิร์ดเคยบอกว่า รอให้หนูเก่งก่อน พอเก็บตังค์ได้ จะไปเปิดร้านอัลลอยที่บ้านนอก ที่ผ่านมาเขาจะเป็นห่วงน้องบรีสกับเรื่องบ้านที่กำลังช่วยกันสร้าง โดยตั้งใจกันไว้ว่าในปีนี้น่าจะแล้วเสร็จ" นางฉลวย กล่าวถึงลูกด้วยความชื่นชม
    สำหรับสิ่งที่น้องเบิร์ดต้องการมากที่สุด คือ อยากให้น้องบรีส เรียนสูงๆ จะได้ไม่ลำบากเหมือนพ่อแม่ และพี่ชาย ส่วนอีกเรื่องที่ห่วงไม่แพ้กัน คือ เรื่องบ้านที่กำลังช่วยพ่อแม่สร้างอยู่
    "เขาอยากให้พ่อแม่ไปอยู่บ้านที่ จ.อุดรธานี เพื่อจะได้ดูแลน้องบรีส และจะได้สอนหนังสือน้องบรีส เพื่อน้องบรีสจะได้เรียนเก่งๆ" นางฉลวย กล่าวถึงความฝัน (ที่ยังไม่เป็นจริง) ของน้องเบิร์ด
    โดยบ้านที่พ่อแม่ และน้องเบิร์ดเก็บหอมรอมริบเพื่อร่วมกันสร้างฝันนั้นเป็นบ้านชั้นเดียว พอเก็บเงินได้ก็จะสั่งซื้อปูน และอิฐบล็อกมาไว้ เมื่อมีเวลาว่างทั้งสามคนก็จะกลับบ้าน และช่วยกันก่อสร้างเอง เพราะมีความรู้ด้านการก่อสร้างอยู่แล้ว พอมีเงินอีกก็จะสั่งซื้อสังกะสีมาทำหลังคา ทำกันอย่างนี้จนใกล้เสร็จเต็มที
    "ตอนแรกตั้งใจว่าบ้านจะเสร็จภายในปีนี้ ก่อนน้องเบิร์ดตาย เขาบอกว่า จะดูแลในเรื่องการติดตั้งประตูหน้าต่าง และมุ้งลวด แต่ก็ต้องมาตายจากไปเสียก่อน ตอนนี้บ้านหลังดังกล่าวมีเพียงโครงที่ก่ออิฐบล็อกไว้ ยังไม่ได้ฉาบ ส่วนหน้าต่าง ประตู ก็ยังไม่ได้ใส่ ห้องน้ำก็ยังไม่มี ตอนนี้ผมยังไม่รู้จะทำกันอย่างไร แต่ก็คงต้องอดทนเก็บเงินเก็บทองกันต่อไป" นายสิทธิ์ กล่าวอย่างท้อใจ
    การตายของน้องเบิร์ด ใช่จะนำสู่ความเศร้าโศกเพียงอย่างเดียว แต่มันหมายถึง "หนี้สิน" ก้อนใหม่ที่ต้องจ่ายด้วยภาวะจำยอม โดยสามีภรรยาคู่นี้ต้องไปกู้เงินมาถึง 6 หมื่นบาท เพื่อเก็บไว้ทำศพบุตรชาย และติดต่อหน่วยงานต่างๆ จนไม่ค่อยมีเวลาทำงาน แต่ก็พอจะโชคดีอยู่บ้างที่นายจ้างยังเข้าใจ
    เมื่อถามว่า โกรธแค้นคนร้ายที่ทำกับลูกชายหรือไม่ นายสิทธิ์ ตอบว่า
    "ตอนที่ตำรวจจับคนร้ายได้ และนำตัวมาที่โรงพัก ผมก็เห็นหน้าเขาแล้ว แต่ไม่ได้พูดอะไรกัน และไม่ได้อาฆาตเคียดแค้นอะไรกับคนร้าย มีแต่จะนึกถึงลูกอยู่ตลอดเวลา เพราะเขาไม่น่าจะด่วนจากไปกับเรื่องแบบนี้ แต่ผมมีความภาคภูมิใจที่เขาเป็นคนดี เพราะถ้าเจอเหตุการณ์แบบนี้ เจอคนร้ายกำลังจะฉุดผู้หญิงตัวเล็กๆ คนเดียว ผมก็คงไปช่วยเหมือนกัน"
    สำหรับความช่วยเหลือจากทางราชการ หลังจากลูกชายปฏิบัติหน้าที่พลเมืองดี นายสิทธิ์ ให้รายละเอียดว่า เมื่อวันที่ 14 มกราคม กองบัญชาการตำรวจนครบาล (บช.น.) ได้มอบใบประกาศเกียรติคุณพร้อมเงินจำนวน 1 หมื่นบาท นอกจากนี้ กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ ได้มอบเงินที่ส่งศพไปบรรจุที่วัดหายโสก บ้านโสกหมู ต.หนองหาน อ.หนองหาน จ.อุดรธานี พร้อมเงินอีก 2,000 บาท
    กระนั้น เงินก้อนดังกล่าวก็ยังไม่เพียงพอกับหนี้ที่ไปกู้มา 6 หมื่นบาท แต่ก็ยังดีที่มีเงินประกันสังคมลูกชายได้จากการทำงานที่ร้านอัลลอย อีก 3 หมื่นบาท ที่พอช่วยผ่อนแรงได้บ้าง ส่วนศพของลูกชายต้องเก็บไว้อีก 3 ปีตามประเพณี ก่อนจะหาเงินมาทำพิธีฌาปนกิจต่อไป
    ด้วยเงินช่วยเหลือที่ได้มาเพียงน้อยนิด สามีภรรยาคู่นี้ จึงต้องทำเรื่องยื่นขอความช่วยเหลือไปที่สำนักช่วยเหลือทางการเงิน กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ โดยเจ้าหน้าที่บอกว่า คาดว่าน่าจะได้รับเงินช่วยเหลือประมาณ 1.5 แสนบาท แต่เรื่องยังไม่เสร็จ และยังไม่รู้ว่าจะได้รับเงินหรือไม่
    นายสิทธิ์ กล่าวถึงลูกชายด้วยความคิดถึงว่า เมื่อใดที่คิดถึงลูกก็จะเอารูปของเขาขึ้นมาดู โดยหลังเกิดเหตุตนได้นำภาพของลูกที่ตนและภรรยา ถ่ายไว้เมื่อลูกอายุได้ 5 เดือน และต้องประหลาดใจอย่างมาก
    "ผมอัดรูปนั้นไว้แล้วนำไปอัดขยายใส่กรอบเก็บไว้เป็นที่ระลึก เมื่อพลิกดูหลังภาพก็พบว่า น้องเบิร์ดแอบเขียนข้อความไว้ที่ด้านหลังว่า "ตอนนี้ 5 เดือนแล้วกับรูป ตอนนี้กำลังกินกำลังนอน จะเก็บไว้ให้นานที่สุด ว่าตัวเองเติบโตมาได้ เพราะพ่อแม่มีคนเดียว พ่อแม่เลี้ยงเรามาอย่างดี เราควรทดแทนคุณท่านจนแก่เฒ่าไปจนตาย รักมาก จากเบิร์ด"
    นายสิทธิ์ กล่าวทิ้งท้ายด้วยน้ำเสียงปนสะอื้นว่า
    "ผมกับภรรยาก็ไม่รู้ว่าเขาไปแอบเขียนไว้ตั้งแต่ตอนไหน แต่เมื่ออ่านแล้วก็รู้สึกสะเทือนใจทุกครั้งที่ลูกมีความกตัญู และรักครอบครัวต้องด่วนจากไปเร็วเช่นนี้ ตอนนี้จึงหวังว่า เจ้าหน้าที่ตำรวจจะดำเนินคดีกับผู้ต้องหาที่ฆ่าลูกผมให้เด็ดขาด เพราะไม่อยากให้เขาไปทำแบบนี้กับใคร และไม่อยากให้ใครต้องมาเสียใจแบบครอบครัวของเราอีก"
    ย้อนรอยคดีสะเทือนขวัญ พลเมืองดีช่วยคนจนตัวตาย
    [​IMG] คดีนี้เกิดขึ้นเมื่อเวลาราว 02.30 น. วันที่ 28 พฤศจิกายน 2548 ขณะที่ น.ส.จันทร์เพ็ญ ประพฤติดี อายุ 21 ปี พร้อมด้วย น.ส.น้ำค้าง สุขหะ อายุ 17 ปี และเพื่อนผู้ชายอีกคนหนึ่ง ซึ่งทำงานอยู่ร้านคาราโอเกะ กำลังเดินทาง กลับที่พัก แต่ระหว่างที่เดินมาถึงหน้าบุญพิทักษ์คาราโอเกะ ถ.นิมิตรใหม่ แขวงทรายกองดิน เขตคลองสามวา กทม. ก็มีชาย 2 คน ขี่รถจักรยานยนต์ซ้อนกันมาอย่างมีพิรุธ
    จากนั้นชายคนที่ซ้อนท้ายได้ลงมาฉุด น.ส.จันทร์เพ็ญ ให้ขึ้นรถจักรยานยนต์ ระหว่างนั้น นายประเสริฐ พร้อมเพื่อนอีก 2 คนผ่านมาเห็นเหตุการณ์ จึงจอดรถเพื่อจะช่วยเหลือ แต่กลับถูกคนร้าย ใช้อาวุธปืนยิงเข้าใส่ 1 นัดจนล้มลงทันที ก่อนจะยิงใส่เพื่อนนายประเสริฐอีกหลายนัด แต่สามารถ วิ่งหลบหนีไปได้ ส่วนนายประเสริฐ ถูกคนร้ายยิงซ้ำอีกหลายนัด แต่กระสุนด้าน จึงหลบหนีไป !!!
    หลังเกิดเหตุนายประเสริฐเสียชีวิตลง เนื่องจากทนพิษบาดแผลไม่ไหว ต่อมา ตำรวจุดสืบสวน ทราบว่า คนร้าย คือ นายกฤษเรศ รอดจันทร์ หรือ "เบนซ์" อายุ 20 ปี และ นายวิทยา มิตรนอบน้อม อายุ 19 ปี โดยสืบทราบว่า 2 ผู้ต้องหาหลบหนีไปกบดานที่ จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นภูมิลำเนาเดิม ของผู้ต้องหา ตำรวจจึงดักซุ่มอยู่นานนับเดือน จนกระทั่งจับกุมผู้ต้องหาได้ในที่สุด โดยผู้ต้องหาให้การรับสารภาพ
    จากการสืบสวนคาดว่า 2 ผู้ต้องหาตั้งใจที่จะมาก่อเหตุในพื้นที่มีนบุรี เพราะพบประวัติการก่อเหต ุในหลายท้องที่ รวมทั้งพื้นที่ สน.มีนบุรี ส่วนมากจะเป็นคดีชิงทรัพย์
    โดยในวันเกิดเหตุผู้ต้องหาเดินทางออกจากบ้านใน จ.ฉะเชิงเทรา ซึ่งเป็นพื้นที่ติดต่อกับ มีนบุรี ตั้งแต่เวลา 18.00 น. มีการเตรียมตัวใส่หมวกกันน็อคมาอย่างดี ทั้งนี้ พฤติกรรมของผู้ต้องหาถือว่าโหดเหี้ยมมาก เนื่องจากยิงผู้ตายไปแล้ว 1 นัด ยังกลับมายิงซ้ำอีกหลายนัด แต่กระสุนด้าน เบื้องต้น ได้แจ้งข้อหา "ร่วมกันฆ่าผู้อื่นโดยไตร่ตรองไว้ก่อน"


    </TD></TR></TBODY></TABLE>

    <TABLE width="98%" align=center><TBODY><TR><TD align=right width="75%">ที่มา : หนังสือพิมพ์คมชัดลึก

    เนชั่น เจาะข่าว ทั่วไทย </TD><TD align=middle width="25%">[​IMG]</TD></TR></TBODY></TABLE>
     
  2. dhanvas

    dhanvas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    22 กันยายน 2005
    โพสต์:
    117
    ค่าพลัง:
    +254
    ท่านผู้พิพากษาอย่าเห็นแก่ตัว เห็นว่าทำงานง่ายขึ้น ควรให้สถานหนักสุด อย่าคิดเอาแต่ได้เลย
     

แชร์หน้านี้

Loading...