วิธีทดสอบว่าคุณมีพลังหรือเปล่า ง่ายๆแค่คนธรรมดาก็ทดสอบได้

ตามธรรมชาติของมนุษย์เรา มีหลายจักระ บนตัว แต่ จักระ ที่ จะเปิดได้ง่ายที่สุด จักระนั้นอยู่ที่มือของเราเอง ทั้งสองข้าง ตรงกลางมือที่เห็น เส้นลายมือนั่นหละ เป็นจักระ ที่เป็นพื้นฐานที่สุดแล้วก็สำคัญที่สุดจุดหนึ่งด้วย เพราะ

เป็นที่รับที่ส่งพลัง จักรวาล ที่ สามารถทำได้ง่ายที่สุด แค่ตั้งจิต ถ่ายเข้าออกระหว่างมือ ก็ รู้สึกได้แล้ว แล้วทุกคนนั้น จักระที่มือ ก็ เปิดอย่างอ่อนๆอยู่แล้ว เพียงแต่ถ้ามีคนมาเร่งเปิดปุ๊บเดียว จะรู้สึกทันทีว่าความรู้สึกที่มือของเรานั้น ต่างไปจากแต่ก่อน

ทีนี้วิธีทดสอบ มีหลายวิธี นะครับ จริงๆ วิธีเหล่านี้ก็เป็นท่ากายบริหารการควบคุมพลังที่มือ ของคนที่จักระเปิดแล้ว แต่ก่อนผมชอบเล่นทั้งวัน แต่ทุกวิธี ขอให้คิดถึง สิ่งดีๆ อย่าง ฟ้าทะเลใสๆ หรือ แกแลคซี่ทางช้างเผือก เพื่อชักนำพลังดีๆด้วยจิตเข้ามา อย่าเผลอไปนึกถึงเรื่องแย่ๆเข้านะครับ มันจะนำพลังไม่ดีเข้ามาแทน จิตถึงพลังถึง นะครับ

1. เอามือมาวางตรงหน้า ระหว่างอก ห่างกันประมาณ สัก 1 ฝ่ามือ แล้ว ให้ทำมือเหมือนว่ากำลังจับลูกบอล ที่ว่างเปล่าที่อยู่ตรงกลาง แล้วทำเหมือนว่าหมุนลูกบอลที่ว่างเปล่านั้นเบาๆๆ แล้วใช้ตาเพ่งระหว่างลูกบอลที่ดูว่างเปล่านั้น จิตคิดว่า มีลูกบอลอยู่ที่มือ(พลังจากมือคุณเป็นลูกบอลนั่นแหละ)...ถ้าคุณรู้สึกว่ามีอะไรมาอัดๆระหว่างมือทั้งสองคล้ายๆลูกบอล แปลว่า คุณปล่อยพลังได้(แค่รู้สึกนะ) แต่ถ้า ลูกบอลนั่น สัมผัสถึงได้ว่าเป็นลูกบอล คล้ายของจริง แปลว่า คุณสามารถปล่อยพลังเข้ามาที่มือได้ อย่างดีเลยหละ แล้วถ้า ระหว่างที่คุณกำลังหมุน แล้วมีกระแส ไฟอ่อนๆแปล็บๆ ...ที่มือด้วย แปลว่า พลังคุณไม่ธรรมดาเลยหละ แรงเลยนะนั่น ทั้งนี้ ถ้า คุณไปลองทำในที่ ที่มีพลังดีๆครอบคลุมอยู่ อย่าง วัด หรือ โบสถ์ จะทำได้ง่ายแล้วรู้สึกง่ายด้วย ผมลองทดสอบดูแล้ว แต่ถ้าคน จักระที่มือเปิดอยู่แล้ว คุณจะสามารถทำได้ดั่งใจเลย

2. เอามือวางตรงหน้า ระหว่างอก ห่างกัน 1 ฝ่ามือเช่นเดิม หายใจเข้า แล้วทำมือหุบเขามาใกล้ๆจนจะสัมผัส แล้วหายใจออก แล้ว ทำมือออกห่างกลับไปท่าเดิม ถ้ารู้สึกว่า ตอนหายใจเข้า มือคุณเหมือนถูกดูด(ดูดพลังจากมือเข้าสู่ตัวคุณ) ตอนหายใจออก มือคุณเหมือนถูกก้อนอะไรสักอย่างระหว่างมือดันออกไป(ปล่อยพลังจากมือ) ยิ่งมือคุณรู้สึกเหมือน ว่ามือคุณมีแม่เหล็ก ดูดเข้าหาหรือผลักออกแปลว่า มือคุณสามารถคุมพลังได้แล้วหละ ตอนช่วงผมทำ พยายาม ปั้มๆพลังที่มือ จน กางออก เหมือนกางปีกเลย

มีท่าบริหารพลังและ ทดสอบพลังอื่นๆอีก แต่ ค่อนข้างจะยากขึ้นสักหน่อย เอาไว้แค่นี้กันก่อนนะครับ ลองไปทำกันเล่นๆดู
แต่ก่อนผมชอบเอาไป ทำให้เพื่อน ที่ไม่ค่อยเชื่อดูบ่อยๆเช่นเอามือปล่อยพลังเบาๆไปลูบ ตาม ตัวเพื่อนให้ขนลุกเล่น เหมือนเล่นป่าหี่ แต่ช่วงหลังๆไม่กล้า แล้ว เสียพลัง โดยใช่เหตุ แถมเพื่อนไม่เชื่อบอกว่าไปสะกดจิตเขาอีกแหนะ
:$

 

จริงหร่อคับ แล้วฝึกจักกะยังไงคับ เปิดยังไงดี
บอกวิธีพอเข้าใจให้ผมหน่อยคับ คือผมสนใจที่จะฝึกมากเลยนะครับ

 

ยังงี้พลังคลื่นเต่าสะท้านฟ้าก็ไม่ใช่เพียงความฝันซิครับ

 

ทำแล้วรู้สึกร้อนๆที่ฝ่ามืออะคะ หมายถึงไรคะพี่

 

ไม่เอา ไม่พูด
ล้อเล่นครับ ล้อเล่น
ความจริงขึ้นอยู่กับว่าปลายประสาทได้รับการกระตุ้นก็จะเกิดคลื่นไฟฟ้าขึ้น และเมื่อเกิดคลื่นไฟฟ้าขึ้นก็จะเกิดสนามแม่เหล็กไฟฟ้า...
1.เหมือนการที่เราเพ่งมือปลายประสาทก็จะตอบสนอง
2.เกิดการเคลื่อนไหวของสนามแม่ไฟฟ้าผ่านผิวหนังทำให้รู้สึกชาเหมือนว่าสนามแม่เหล็กไฟฟ้าจะผลักกัน
ความจริงก็มีมากกว่านี้ละครับ แต่ไม่เขียนเพราะว่ามันมีอยู่แล้ว(มั้ง)
ปล.เขียนเป็นแบบอื่นก็ได้ครับ แต่เขียนแบบวิทยาศาสตร์ เพื่อทำให้คุณไม่คิดมาก เกี่ยวกับเรื่องพลัง (อิจฉาครับ)

 

ถ้ารู้สึกร้อนที่มือ (ไม่ได้เกิดการสัมผัส แล้วอากาศแถวนั้นไม่ไช่ร้อนมาก)

แปลว่า คุณพอมีพลัง ที่ ใช้จิต สั่ง(จิตถึง) ออกมาได้ เหมือนกันครับ เพียงแต่ว่า ใช้ปล่อยออกมาบางๆได้ ซึ่งลักษณะ นี้แปลว่า จักระที่มือนั้น ถ้าฝึกฝนด้วยตัวเอง ไม่นาน น่าจะ สำเร็จไม่นาน(แต่ผมแนะนำว่า ให้คนมีวิชาเปิดให้ก็เร็วดีนะ)

พลัง ร้อน พลังเย็น แต่ละคนจะมีพลัง แตกต่างกันไป บางคนมีทั้งร้อนและเย็น(มือคนละข้าง แต่คนระดับนี้มีพรสวรรค์) บางคนก็ ร้อน บางคนก็เย็น..

การทดสอบ แบบนี้ สำหรับคนปกติ ทำเอาไว้เพื่อให้รู้สึกถึงพลัง(มันมีจริง)..

วิธีเปิดจักระมือ ด้วยตัวเองโดยเฉพาะนั้น นั้นผมมีวิธี ถ้าสนใจก็ ฝากข้อความมาได้

 

ถ้าเกิดทำแล้วเหมือนมันไม่มีอะไรล่ะครับ (b-green)

 

อึมม.....

 

เคยอ่านกระทู้นี้แป๊บนึงแต่ไม่ได้สนใจอะไร แต่เคยฝึกเองแบบไม่เคยรู้มาก่อน เหมือนฝึกกำลังภายในแบบหนังจีน รวบรวมลมปราณ เคยผึก เดินลมปราณมาบ้าง ที่กั้นหายนานๆ แล้ว ผ่อนออกมาประมาณนั้น ครับ

ฝึกเอง ก็ ทำไม้ ทำมือเว่อๆ แล้วก็เหมือนนสร้างก้อนพลังขึ้นมา เอามือกางออก ระหว่างกัน แล้วก็แบบหนังจีน รวมพลัง ปั้น ก้อนพลังขึ้นมา แล้วก็กางออก พอตอนบีบพลังเข้ามา นี่ มันดันกัน

เคยนอนทำ รวบรวมพลังไว้ค่อนข้างนาน แล้วลองยกขึ้นดู อู้ยหู มันหนักครับ ทำเสร็จ เหงื่อแตก เหนื่อยแต่ใจเป็นสุขเช่นกันครับ เพราะ ทำสมาธิ แนวพุทธควบคุ๋ไปด้วยครับ

ตอนแรกก็นึกว่าตัวเองบ้าแน่ๆ ดูหนังจีนมากไป เลยทดสอบ กับคนในบ้านดูครับ เอ้า กางมือออกมาซิ มือเดียวนะครับ แล้วผมก็กางมือ สร้างพลังขึ้นมา แล้วก็ เอามือลงไป ให้มือของคนที่ถูกทดสอบ อยู่ระหว่าง 2 มือเรา เค้าก้บอกกันว่ามันเหมือนมีอะไร ดันๆ แป๊บๆ ครับ ตอนทำ สมาธิต้องนิ่งๆ นะครับ

 

ผมอยากลองฝึกบ้างครับ^^~

 

สวดมนต์ ไหว้พระ นั่งสมาธิ แล้ว ใช้ชีวิตประจำวันให้เต็มไปด้วยความเมตตา และ เสียสละ รู้จักให้อภัย แล้วมั่นเจริญอานาปานสติ(ไม่ต้องกำหนดเวลา นึกได้ตอนไหนกำหนดตอนนั้น) อาจดูแล้วเหมือนไม่เกี่ยวข้องกับการฝึกพลัง แต่จริงแล้วเกี่ยวข้องกัน เพราะอำนาจนาจแห่งเมตตาธรรมมีพลังมาก สามารถแผ่ไปในจักรวาล และ ผู้ปฏิบัติได้เป็นปกติ จะตื่นหรือหลับก็เป็นสุข อันเป็นลักษณะของผู้มีพลังกายและจิตสมบูรณ์ ทั้งผลที่ได้แก่กายภายในก็ผ่องใส และจักระทั้งหลายในกายก็จะถูกกระตุ้นให้เปิดขึ้น แล้วแต่จุดไหนจะเปิดก่อน ทั้งอำนาจแห่งพระรัตนตรัย และ สิ่งศักดิ์สิทธิ์จะช่วยปกปักษ์รักษาด้วยครับ

 

มีแต่สมาธิ (ฌาน ทั้งหลาย อำนาจจิตทั้งหลาย)แต่ขาดวิปัสนา ( ขาดความตริตรองสิ่งถูกผิดจริงเท็จ เส้นทางสงบของทุกฝ่าย)ย่อมมีโอกาศเป็นเณรแอร์ ( ใช้วิชาจนเกินขอบเขต และขาดสติยับยั้งกิเลศ )3 ข้อนี้อยากให้เจ้าขอบกระทู้แนบใส่เนื้อหาเตือนเพื่อนที่หวัง และ ยากจะลองฝึกจิตให้มีพลังด้วยค่ะการฝึกจิตนั้นดีแล้ว แต่ถ้าจิตเพี้ยนตั้งแต่เริ่มฝึก ( การมีความยากเป็นที่ตั้ง ) สมาธิจะเกิดช้ายิ่งไขว่คว้ายิ่งห่างเราออกไป ฉะนั้นใครที่อยากทำได้อย่างนั้นอย่างนี้ สมควรฝึกสติก่อนค่ะ ศัตรู ของสมาธิ ได้แก่ ใจร้อน ความยาก อุปทาน สัมผัสทางกายทั้ง5 เมื่อได้สมาธิครั้งแรกจะมีสุข ตื่นเต้น น้ำตาไหล อย่างที่ปกติไม่เคยเป็น แต่อย่าเผลอยึดติดมัน คือไม่ถือว่าเป็นสิ่งที่สมควรเกิดและตั้งอยู่ และไม่อยากให้ดับไป เมื่อผ่านช่วงนี้มันจะนิ่งและดิ่งลึก จิตรู้สึกโล่งสบาย ผู้ที่ได้ขั้นนี้ก็ไม่ควรหลงในอาการของจิต คือ ไม่หลงเชื่อว่านี้คือที่สุดของสมาธิ นี้คือประโยชน์ของสมาธิอย่างที่สุด เพราะขั้นนี้ถ้าปล่อยไว้นานๆ เข้าจะเสียประโยชน์ คือ มันจะข้างอยู่แค่ขั้นนี้ไม่ไปไหนเลย วิธีผ่านขั้นนี้คือ เปลี่ยนจากการหลงความสบายของจิต มาเป็นเฝ้าดูจิตว่ามันรู้สึกอะไรยังไง แล้วตามด้วยตั้งคำถามทางธรรม เพื่อให้จิตเข้าถึงความเที่ยงแท้ของธรรมเสียจำเป็นมากสำหรับท่านที่หวังจะให้จิตมีกำลัง ( ไม่ใช่มีพลังจิต ) จิตต้องมีกำลังเสียก่อน จิตต้องมีทางเดินที่ถูกเสียก่อน มิเช่นนั้น ความสามารถทางจิตจะกลายเป็นวิชามาร วิชาฝึกจิตที่ดี จะต้องได้ผลลัพธ์ที่ตรงกับพระพุทธองค์ท่านได้ตรัสไว้ ถ้านอกเหนือกว่านั้น มันอาจจะสร้างความเสียหายแก่ผู้อื่น และกลายเป็นกรรม

 

อันที่จริง ข้าพเจ้าไม่เคยได้ฌาน เพราะมัวแต่วิปัสนา

ที่ต้องเป็นเช่นนี้ เพราะข้าพเจ้าอยู่กับสภาพแวดล้อมไม่อำนวย
คือ กลางวันอยู่กับคนที่มีกิเลศหนามาก
กลางคืนมีความเมื่อยหล้าจากงาน การเอาลัดเอาเปลียบจนหมดความอดทน มันง่วงนอน มาก บางคือเอาแค่ตั้งจิตแผ่เมตรตาแล้วนอน
สถานที่ที่ทำสมาธิไม่เหมาะสม มันอยู่ในตัวเมือง เลยไม่เงี่ยบ
สภาพอากาศไม่โล่งโปร่งสบาย

ทุกอย่างที่กล่าวมานี้สำคัญเมื่อจะเข้าฌาน เพราะจะตกในเสียง ระหว่างอยู่ในฌานไม่ได้ เลย ขนาดจะออกจากสมาธิวิปัสนาธรรมดายังต้องถอยออกมานับลมหายใจ ขยับนิ้วแล้วค่อยๆ ลืมตาเลย ( อันที่จริงจะลืมตาเลยก็ไม่เป็นไร ถ้าไม่รู้สึกว่าจิตตกวูบหน่อยๆ หลังจากจิตสงบไปนานแล้ว)
หรือเข้าใจว่าเราหลับไปแล้วเนี้ยเป็นฌานไม่ได้

 

ก็เพราะอย่างนี้ๆ อย่างนี้สิ เราจึงต้องควบคุมสติเสียก่อน

เพราะผลของฌานมีหลากหลายรูปแบบ ตัวที่จะควบคุมผลของฌานได้ก็คือการมีสติ หละจ้า....... และอย่าหลงสติหละ

มีหลายคน ที่ได้รับผลของสมาธิต่างๆ นาๆ ถึงขั้นเก็บไว้คนเดียวไม่ได้ต้องเอามาเล่า ผล คือ มันบ้าเป่าวะ พอเอาไปคุย ไปถามกับพระ พระก็ว่าเป็นความจริงถ้าโยมไม่หลงและยากจนจิตสร้างมโนภาพหลอกตัวเองในขณะนั่งหลับ ( หลายคนแล้วที่ถือเอานั่งหลับเป็นฌาน)

รู้ได้อย่างไรว่าเรานั่งหลับ ไม่ใช่เข้าฌาน คือ เมื่อลืมตาขึ้นจะต้องมีสติรู้ว่าจะลืมตา มีขั้นตอนจากการออกจากฌานตามที่บอกไว้แล้วไม่ใช่ลืมตาเพราะตกใจ หลือสะดุ้ง เพราะภาพมโนจิตที่ฝันไป ( คิดว่าคงเคยตื่นจากฝันร้าย นะ ) แล้วหลังจากนั้น รู้สึกหนังตามันปลือๆ ฝาดตา อยางหลับตาต่อ นั้นแหละ you เพิ่งตื่นจากการนอนหลับในขณะนั่งสมาธิ เพราะ i เคยเป็นมาแล้ว หละ

ฉะนั้นควร นั่งสมาธิในเวลาที่ไม่ง่วงนนอนนะ เพราะความอ่อนล้าของร่างกายมีผล

 

ขออภัยนะ ที่พิมพ์ผิดๆถูกเพราะคีย์บอร์ดมัน เจ๊งเพราะเด็กเล่นเกมส์อย่างเมามันส์

 

ครับท่าน ชี่กง อยากทราบวิธีเปิดจักะด้วยตัวเอง ช่วยโพสลงหน่อยคับเป็นแนวทางให้ทราบถึงขั้นตอนวิธีการ

 

แนวทาง ของพุทธ นิกาย เถรวาท นั่นคือ ใช้สมาธิ วิปัสสนนา หนะครับ ..เมื่อจิตถึงจุดหนึ่ง พลังจะจะถึงด้วย(พลังไปเปิดจักระเอง หรือจิตตั้งเปิดเองได้)

ส่วน ของ ทาง พุทธ นิกาย มหายาน นั้น ยืนท่า แบบ หลวงจีนวัดเส้าหลินเลยหละครับ ลมปราณที่เกิดจาก การยืนท่า อรหันต์ จะไปเปิดจักระ นั้นๆเองด้วย(แถมเพิ่มกำลังภายในเองด้วย)

ส่วนหินที่ใช้มาเร่งจักระ นั้น ผมทดสอบดูหน่อยๆแล้ว ถ้าจักระมือยังไม่เปิด จะใช้ หิน ตัวอื่นๆเพื่อเร่งจักระ นั้น ยังเป็นเรื่องที่ยากอยู่(เพราะสัมผัสพลังไม่ได้)

มีหลายแนวทาง ครับ

 

<TABLE id=HB_Mail_Container height="100%" cellSpacing=0 cellPadding=0 width="100%" border=0 UNSELECTABLE="on"><TBODY><TR height="100%" UNSELECTABLE="on" width="100%"><TD id=HB_Focus_Element vAlign=top width="100%" background="" height=250 UNSELECTABLE="off">พลังเย็น กับพลังร้อน มีคุณสมบัติเหมือนหรือแตกต่างกันอย่างไร ?
จะนำไปใช้ทำประโยชน์อะไรได้บ้างคะ ?
</TD></TR><TR UNSELECTABLE="on" hb_tag="1"><TD style="FONT-SIZE: 1pt" height=1 UNSELECTABLE="on">
</TD></TR></TBODY></TABLE>

 

อืม...ได้รับความรู้มากเลยค่าขอบคุณเพื่อนๆ พี่มากเลย

 

ส่วนตัวผมเองเวลาใช้พลังจะมีสิ่งต่อต้านครับ (จากในร่างกาย เหมือนดนปิดไว้ แต่ก็ไช้ได้) พอใช้แล้วตัวจะเสียวไปทั้งตัวเลยครับ แต่พลังผมก็ไม่แน่นอนด้วยครับ เดี๋ยวเย็นเดี๋ยวร้อนแถมมือจะเหมือนมีไฟฟ้าสถิตด้วยท่านผู้รู้ช่วยตอบหน่อยนะครับว่าเป็นไงบ้าง