วงกลมปริศนา ( Crop Circles)

ในห้อง 'วิทยาศาสตร์ทางจิต - ลึกลับ' ตั้งกระทู้โดย herobomzadk, 23 ตุลาคม 2008.

  1. herobomzadk

    herobomzadk สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1
    [​IMG]
    วงกลมปริศนา ( Crop Circles)<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p></O:p>

    เป็นเวลามากกว่า
    20 ปีแล้ว ที่พื้นที่กสิกรรมของประเทศอังกฤษ เกิดคดีปริศนาที่ไม่ทราบที่ไปที่มา ซึ่งนำไปสู่เรื่องราวลึกลับ สารคดี และหนังสืออีกนับไม่ถ้วนจำนวนเล่ม ในช่วงเวลากลางคืน ได้ปรากฏมือลึกลับมาสร้างสัญลักษณ์วงกลม อยู่กลางทุ่งนา พื้นที่เพาะปลูกข้าวสาลี ข้าวโพด หรือธัญพืชอื่นๆที่บังเอิญไปอยู่บนที่ดินผืนนั้น สัญลักษณ์วงกลมที่ไม่ทราบที่มานี้ มีขนาดเล็กตั้งแต่สิบฟุตไปจนถึงขนาดใหญ่เส้นผ่านศูนย์กลางนับร้องฟุต มีรูปแบบง่ายๆไปจนถึงรูปแบบพิลึกกึกกือซับซ้อน เป็นวงเป็นรัศมี <O:p></O:p>
    ไม่มีใครทราบความหมาย ตลอดไปจนที่มาของวงกลมพวกนี้ เฉพาะที่อังกฤษ ในปีหนึ่งๆ มีวงกลมปริศนาเกิดขึ้นตามที่ต่างๆเป็นร้อยๆแห่ง มันคืออะไร? มาจากไหน? และต้องการสื่อความหมายอะไรกันแน่? <O:p></O:p>

    นักวิชาการและผู้สนใจศึกษาเรื่องราวของวงกลมปริศนา ขนานนามตัวเองว่า
    cereologists โดยมาจากชื่อของเทวีจากเทพปกรณัมของโรมันที่ชื่อว่า Ceres พวกเขาเชื่อมั่นในทฤษฏีสองประการ เกี่ยวกับความเป็นมาของวงกลมปริศนา หรือ crop circles นี้ว่า ประการแรก crop circles น่าจะมาจากสภาพของดินฟ้าอากาศที่ผิดปกติ George Tenence Meaden ผู้เชียวชาญด้านฟิสิกข์กล่าวว่า ลักษณะของวงกลมเหล่านี้น่าจะมาจากลมหมุนประเภทหนึ่ง ซึ่งไม่ปรากฏต่อสายตาชาวบ้านอย่างเราๆท่านๆมากนัก ภาษาวิชาการเค้าเรียกกันว่า "plasma vortex phenomenon" เป็นปรากฏการณ์ที่เกิดจากลมหมุนลักษณะคล้ายลมหมุนธรรมดาแต่พ่วงประจุไฟฟ้าที่เกิดในบรรยากาศเข้ามาด้วย ลมหมุนที่เคลื่อนที่อยู่บนทุ่งนาจึงทำให้ธัญพืชที่อยู่ในบริเวณเกิดรูปร่างเป็นวงกลม crop circles ขึ้น เป็นไปได้ครับทฤษฎีนี้ มีคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์ที่ชัดเจนมาก แต่ว่า.. ลวดลายที่เกิดขึ้น มันอัศจรรย์พันลึกเกินกว่าจะทำใจรับได้ว่า มันเกิดขึ้นด้วยฝีมือของธรรมชาติอย่างเดียวครับ แต่ในเมื่อไม่มีคำอธิบายที่ดีกว่านี้ การรับฟังทฤษฎีนี้ไว้ก่อน ก็ไม่น่าจะเสียหายอะไร จริงไหม? <O:p></O:p>
    ทฤษฎีที่สอง ก็หนีไม่พ้นการเกิดขึ้นด้วยฝีมือของ UFO ครับ เพราะหลายต่อหลายครั้งการเกิดขึ้นของ crop circles จะมีรายงานการพบเห็นสิ่งบินนอกพิภพเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย <O:p></O:p>
    เมื่อไม่นานมานี้เอง ร่องรอยที่เกิดขึ้นบนทุ่งนา มีผู้สันนิษฐานว่า อาจจะเกิดจากร่องรอยการลงจอด หรือแสตนบายเหนือพื้นดินของ UFO แต่ทว่า นับวันลวดลายที่ปรากฏก็ยิ่งซับซ้อนขึ้นทุกที จนแทบไม่น่าเชื่อว่า มันจะเกิดขึ้นจากลวดลายบนตัวยาน ดังนั้น นักจานผีวิทยาบางคน จึงตั้งประเด็นเอาไว้ว่า เป็นไปได้ไหมครับ ที่วงกลมปริศนานี้ จะเป็นข่าวสารที่นักบินของ UFO เหล่านั้นทิ้งเอาไว้ ด้วยเจตนาบางอย่างที่เรายังไม่ทราบ <O:p></O:p>
    ในบรรดา crop circles ทั้งหลายที่เกิดขึ้น มีอยู่เหมือนกันครับ ที่เกิดขึ้นจากน้ำมือของพวกมือไม่อยู่สุข สร้างหลักฐานปลอมๆขึ้นมาเพื่อตบตาชาวโลก<O:p></O:p>
    ผู้เชี่ยวชาญท่านหนึ่งกล่าวว่า "ประมาณ 50 เปอร์เซ็นต์ ของวงกลมปริศนาพวกนี้ เป็นของที่ทำขึ้นด้วยฝีมือของมนุษย์ หลังจากที่เราทำการศึกษาอย่างละเอียด เราพบว่า ง่ายมากที่จะแยกแยะ crop circles พวกนี้ ว่าอันไหนเกิดขึ้นด้วยฝีมือของคน และอันไหนที่เกิดขึ้นด้วยฝีมือของอะไรบางอย่าง ซึ่งปัจจุบันเราก็ยังไม่ทราบ" แล้วเราจะแยกแยะได้อย่างไร ว่าอันไหน "จริง" อันไหนเป็นของ "ปลอม" ที่มนุษย์ทำขึ้นเอง ไม่ยากเลยครับ ผู้เชี่ยวชาญบางท่าน อธิบายถึงวิธีแยกแยะ crop circles ผ่านททางผู้สื่อข่าว BBC ไว้ว่า วงกลมที่ถูกสร้างขึ้นด้วยฝีมือมนุษย์นั้น หญ้าหรือธัญพืช จะมีรอยหักหรือช้ำเป็นทางอย่างเห็นได้ชัด ที่เป็นอย่างที่ก็เกิดจากการแหวกหรือการเหยียบย่ำของคนทำล่ะครับ หลายรายที่เอาอย่างพี่หนุ่ย คือ ฝากรอยเท้าเอาไว้ด้วย เป็นรอยย่ำอยู่รอบบริเวณ crop circles เลยทีเดียว "ใบข้าวสาลีเป็นสิ่งที่หัก หรือ ช้ำง่ายมาก" นักวิชาการท่านนั้นกล่าว ดังนั้นจึงไม่ยากเลยที่เราจะแยกแยะวงกลมปริศนานี้ออกว่าอันไหนจริงอันไหนปลอม เพราะของจริงนั้นไม่มีร่องรอยของการเหยียบย่ำ หัก หรือ ช้ำ ใบของธัญพืชจะเอนลู่ราบเป็นทางเดียวกันอย่างเป็นระเบียบเรียบร้อย "ที่น่าแปลกใจก็คือ เราไม่พบแม้แต่รอยเท้าแมวซักตัว ในช่วงที่สำรวจวงกลมที่เชื่อว่าเป็นของแท้" เขากล่าวต่อ "นอกจากรอยเท้าของพวกเราที่เข้าไปสำรวจ เราไม่พบรอยเท้าใครอีกเลย ราวกับว่าคนทำบินหรือล่องหนมาสร้างขึ้นเสียอย่างนั้น" <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    แล้ววงกลมปริศนาปลอม ถูกสร้างขึ้นมาได้อย่างไร? <O:p></O:p>
    <O:p> [​IMG]</O:p>
    <O:p></O:p>
    ไม่ยากเลยครับ จากภาพที่เห็น คนไม่กี่คน เครื่องมือง่ายๆบางอย่าง ได้แก่ ท่อนไม้ หรือ กิ่งไม้ เชือกเส้นยาวๆสักเส้น แผ่นไม้บางๆสักแผ่น ปักกิ่งไม้ที่จะเป็นจุดศูนย์กลางของวงกลมเอาไว้ แล้วก็ลากเชือกตามภาพครับ ใช้แผ่นไม้ช่วยนิดนึง ในกรณีที่จะทำลวดลายหรือต้องการไม่ให้ใบของธัญพืชมีรอยช้ำเกินความจำเป็น เผื่อถูกจับได้ว่าเป็นของปลอมไงครับ เพื่อนๆที่ว่างอยากจะลองทำเล่นก็ไม่ยาก ออกแบบลวดลายตามต้องการแล้วก็เริ่มละเลงได้เลยครับ จะเอาสวยงามขนาดไหนก็ได้ แต่เจ้าของที่นาที่เราจะเข้าไปทำอาจไม่ชอบใจสักหน่อย ที่จู่ๆเราบุกรุกเข้าไปแบบนั้น สำหรับผู้ที่ไม่มีที่เป็นของตัวเองก็ขออนุญาตเขาก่อนละกันนะครับ เดี๋ยวติดคุกหัวโตไม่รู้ด้วย <O:p></O:p>
    จนถึงทุกวันนี้ เราก็ยังไม่ได้ข้อสรุปที่ชัดเจนใดๆเกี่ยวกับเรื่องนี้ ว่าอันไหนของจริงของปลอม<O:p></O:p>


    วงข้าวโพดล้ม หรือ ครอปเซอร์เคิล (crop circle) เป็นคำที่ใช้อธิบายถึงรูปแบบพืชที่ล้มลง ซึ่งเริ่มต้นจาก ข้าวโพด โดยคำนี้รวมถึง ข้าวสาลี ข้าวบาร์เลย์ ถั่วเหลือง โดย ซึ่งครอปเซอร์เคิลนี้มีการพบเจอกันทั่วโลก

    [​IMG]

    ประวัติ

    คืนหนึ่งในปี 1972 ณ ประเทศอังกฤษ อาเทอร์ ชัตเติลวูด(Arthur Shuttlewood) กับ บริซ บอนด์(Bryce Bond) ซุ่มซ่อนตัวบริเวณเนินเขาสตาร์ฮิล ใกล้เวสมินเตอร์ เพื่อเฝ้าดูปรากฏการณ์แสงประหลาด ซึ่งเกิดขึ้นในแถบนั้นมานานเกือบทศวรรษ เชื่อกันว่ามันคือยูเอฟโอ คืนนั้นทั้งสองผิดหวังเมื่อไม่พบแสงประหลาด แต่ได้รับการชดเชยด้วยร่องรอยบางอย่างที่อาจเกี่ยวข้องกัน นั่นคือ พืชที่ล้มเป็นวงกลม ซึ่งต่อมาเรียกกันว่า Crop Circles
    สี่ปีต่อมาในเดือนกันยายน 1976 เอดวิน เฟอร์(Edwin Fuhr) ชาวนาแห่งแลงเกนเบิร์ก(Langenburg) อ้างว่า เห็นยานรูปโดมสีเงินหลายลำ บินอยู่เหนือทุ่งนาหลังจากที่ยานเหล่านี้จากไปแล้ว เขาก็พบครอปเซอร์เคิลหลายแห่งในบริเวณนั้น นี่คือเรื่องราวแรกเริ่มของปรากฏการณ์วงกลมพืชบนท้องทุ่งของอังกฤษ ที่ผู้คนมากมายเชื่อว่าเป็นหนึ่งในปริศนาลึกลับของโลกอยู่ทุกวันนี้
    ครอปเซอร์เคิล ถูกค้นพบครั้งแรกในปี 1678 ที่เฮิร์ทฟอร์ดเชียร์ อังกฤษ ไม่มีใครอธิบายได้ว่าใครหรืออะไรทำให้มันเกิดขึ้น แต่หลังจากการค้นพบของชัตเติลวูดกับบอนด์และเฟอร์แล้ว มันนำไปสู่ทฤษฎีแรกคือร่องรอยการลงจอดของยานจากต่างดาว ตามมาด้วยทฤษฎีอุกกาบาตและทฤษฎีพายุทอร์นาโดขนาดเล็ก ในทศวรรษที่ 1980 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิลมากขึ้น โดยเฉพาะรอบๆเมืองวอร์มินสเตอร์(Warminster) ในช่วงต้นของทศวรรษนี้รูปทรงของมันก็ยังคงเหมือนเดิม คือเป็นวงกลมหยาบๆ แต่ในกลางทศวรรษรูปทรงของมันซับซ้อนขึ้น คือมีวงแหวนแตกออกไป และมันเริ่มดึงดูดใจคนอังกฤษมากขึ้น ในทศวรรษนี้เอง ด๊อกเตอร์ เทอร์เรนซ์ มีเดน(Terrence Meaden) ศาสตราจารย์ทางฟิสิกส์และนักอุตุนิยมวิทยาได้พยายามไขปริศนานี้ โดยทำการวิจัยครอปเซอร์เคิลมากกว่า 1,000 แห่ง มีเดนเสนอทฤษฎีว่า ครอปเซอร์เคิลเกิดจากความผิดปกติของอากาศที่เขาเรียกว่า Plasma Vortex ทำให้เกิดลมหมุนวนในระดับสูงแล้วเคลื่อนตัวลงสู่พื้นทำให้พืชแบนราบ
    ทฤษฎีนี้ได้รับการสนับสนุนจากผลการทดลองของนักวิทยาศาสตร์ญี่ปุ่นคือ ศาสตราจารยโอซึกิ (Ohtsuki) เขาใส่พลาสมา (plasma Fireballs) ลงในถาดแป้ง ผลปรากฏว่ามันทำให้เกิดวงแหวนสองชั้นรอบศูนย์กลาง ปี 1991 ได้มีการค้นพบครอปเซอร์เคิลหลายร้อยแห่งในอังกฤษ มันยังแพร่ระบาดไปในเยอรมัน สหรัฐอเมริกา บราซิล โรมาเนีย ฮังการีและญี่ปุ่น ยิ่งไปกว่านั้นมันได้เปลี่ยนแปลงรูปทรงใหม่เป็น Pictrogram เสมือนการสื่อความหมายบางอย่างด้วยภาพ รูปแบบใหม่ของมันทำให้ทฤษฎีผู้มาจากต่างมิติที่พยายามสื่อสารกับมนุษย์เริ่มก่อตัวขึ้น ความซับซ้อนของรูปทรงครอปเซอร์เคิล ทำให้ทฤษฎีพลาสมาไม่สามารถอธิบายรูปทรงนี้ได้ ในขณะที่คำกล่าวอ้างเรื่องแสงไฟประหลาดเหนือท้องทุ่งยามดึก แล้วทำให้เกิดครอปเซอร์เคิลในรุ่งอรุณของทฤษฎียูเอฟโอ ก็ยังใช้เป็นหลักฐานไม่ได้ แต่มันก็ยังเป็นทฤษฎีที่ได้รับความสนใจมากที่สุด ในปีเดียวกันนี้เอง ชายชาวอังกฤษสองคนได้ออกมาเปิดเผยกับหนังสือพิมพ์ว่า ครอปเซอร์เคิลเป็นเรื่องหลอกลวงมันเกิดจากฝีมือของมนุษย์ เดฟ คอร์ลีและโดฟ โบเวอร์ (Dave Chorley and Doug Bower) อ้างว่าพวกเขาเป็นผู้สร้างมันขึ้นมารวมแล้วกว่า 1,000 แห่ง ตั้งแต่ปี 1978 โดยใช้ไม้กระดานขนาด 4 ฟุต และเชือกเป็นเครื่องมือ ในขณะเดียวกันก็มีนักหลอกลวงกลุ่มอื่นๆออกปฏิบัติการในยามค่ำคืนอย่างเดียวกับพวกเขาด้วย นิตรสารไทม์ฉบับวันที่ 23 กันยายน 1991 พูดถึงเรื่องนี้ว่า นี่คือการนำไปสู่จุดจบของเรื่องซึ่งเป็นหนึ่งในความลึกลับที่สุดของอังกฤษและของโลกแล้ว อย่างไรก็ตามปรากฏการณ์ครอปเซอร์เคิลก็ไม่ได้หายไปพร้อมกับการเผยตัวของนักหลอกลวงคู่นี้ แต่กลับพุ่งสูงขึ้นในปีต่อมาคือปี 1992 มันเป็นคลื่นลูกใหม่ที่มาพร้อมกับความสลับซับซ้อนของรูปทรงเรขาคณิต และขนาดอันมหึมาหลายร้อยฟุตในทุ่งบาร์เลย์ และ ทุ่งข้าวโพด พร้อมๆกับการแพร่ระบาดไปกว่า 10 ประเทศ และยังทำให้ตัวเลขนักวิจัยเพิ่มสูงขึ้น อีกด้านหนึ่งมันคือศิลปอันวิจิตรพิสดารบนท้องทุ่ง ซึ่งผลิตช่างภาพมืออาชีพมากมาย และเป็นจุดเริ่มต้นของธุรกิจสิ่งพิมพ์เกี่ยวกับครอปเซอร์เคิลที่เฟื่องฟูอยู่ทุกวันนี้
    จนถึงปัจจุบัน มีครอปเซอร์เคิลเกิดขึ้นในช่วงฤดูร้อนที่อังกฤษรวมแล้วประมาณ 10,000 แห่ง ส่วนใหญ่เกิดทางภาคใต้ และ 90 เปอร์เซนต์อยู่ในรัศมี 50 ไมล์จากสโตนเฮน(Stonehenge) ครอปเซอร์เคิลบางแห่ง สื่อความหมายเกี่ยวกับจักรวาล แกแล็คซี่ บางแห่งสื่อความหมายเกี่ยวกับหายนะของโลกจากอาวุธนิวเคลียร์ และบางแห่งสื่อความหมายเกี่ยวกับผลร้ายของการทำลายสภาพแวดล้อม ในวันที่ 17 สิงหาคม 2001 นักวิจัยครอปเซอร์เคิลต้องตะลึงกับครอปเซอร์เคิลรูปแบบใหม่สองแห่งในทุ่งข้าวโพดใกล้กล้องโทรทรรศน์วิทยุ Chilbolton ที่ Hampshire อังกฤษ มันเป็นภาพกราฟิกของสัญญาณวิทยุที่ส่งจากโลกไปยังกลุ่มดาว M13 อีกแห่งหนึ่งเป็นภาพหน้าคนที่คล้ายภูเขาหน้าคนบนดาวอังคาร ยิ่งไปกว่านั้นเมื่อครบรอบปี ได้เกิดครอปเซอร์เคิลแบบนี้ขึ้นอีก มันคือครอปเซอร์เคิลที่แสดงภาพของ E.T. ห่างจากที่ตั้งกล้องโทรทรรศน์ Chilbolton ราว 9 ไมล์ในวันที่ 15 สิงหาคม 2002 สำหรับนักวิจัยแล้ว ความพยายามของพวกเขาไม่ไร้ผล นักวิจัยได้พบเบาะแสบางอย่างที่อาจคลี่คลายปริศนานี้ได ้นั่นคือการพบความผิดปกติในลำต้นของพืชในครอปเซอร์เคิล ที่พวกเขาอ้างว่าสามารถแยกแยะความแตกต่างระหว่างของจริงกับที่มนุษย์สร้างขึ้นได้ ครอปเซอร์เคิลของจริงนั้นลำต้นของพืชที่ล้มซึ่งอยู่เหนือพื้นดินประมาณ 1 นิ้ว มีลักษณะโค้งงอไม่แตกหัก นอกจากนั้นโครงสร้างของเซลล์(cell Pit) ยังเปลี่ยนแปลง คือเซลล์ขยายตัวเหมือนได้รับความร้อน ด๊อกเตอร์ วิลเลียม เลเวนกูด (William C. Levengood) เชื่อว่าไม่ว่าอะไรก็ตามที่ทำให้เกิดครอปเซอร์เคิล มันต้องใช้พลังงานที่เร็วและหนาแน่นจนทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงในเซลล์ นักวิจัยเชื่อว่าพลังงานที่ว่านั้นน่าจะเป็นไมโครเวฟ ทฤษฎีนี้เรียกว่า Microwave Transient Heating นักวิจัยยังอ้างการศึกษาผลกระทบของพืชในครอปเซอร์เคิล เปรียบเทียบกับพืชที่อยู่ใกล้เคียงซึ่งพบว่า เมล็ดพืชในครอปเซอร์เคิลมีอัตราการเจริญเติบโตเร็วกว่าเมล็ดพืชบริเวณใกล้เคียงถึง 45 เปอร์เซ็นต์
    คอลลิน แอนดริวส์ (Colin Andrews) ภาพจาก BBC มีอีกทฤษฎีหนึ่งที่น่าสนใจไม่แพ้กัน เป็นของด๊อกเตอร์ คอลลิน แอนดริวส์ (Colin Andrews) นักวิทยาศาสตร์อังกฤษซึ่งศึกษาครอปเซอร์เคิลมาเป็นเวลา 17 ปี ในปี 2000 แอนดริวเปิดเผยผลวิจัยซึ่งได้รับทุนสนับสนุนจากมูลนิธิร็อกกี้เฟลเลอร์ว่า ราวๆ ร้อยละ 80 ของครอปเซอร์เคิลเป็นฝีมือของมนุษย์ ครอปเซอร์เคิลเหล่านี้ จะมีรูปทรงซับซ้อนและวิจิตรพิสดารส่วนที่เหลือซึ่งมีรูปทรงง่ายๆนั้น เขาเชื่อว่ามันเกิดจากการเปลี่ยนแปลงของสนามแม่เหล็กในบริเวณนั้น ซึ่งทำให้เกิดกระแสไฟฟ้าและกระแสไฟนี้เองเป็นตัวการทำให้พืชล้มลง งานวิจัยที่พบว่าครอปเซอร์เคิลบางแห่งทำให้เครื่องใช้ไฟฟ้าเช่นไมโครโฟน หรือเครื่องบันทึกเสียงถูกรบกวนจนใช้การไม่ได้ รวมทั้งผู้ที่อยู่ในบริเวณนั้นจะรู้สึกปวดศีรษะหรือมีอาการคลื่นไส้ สนับสนุนทฤษฎีนี้ นักวิจัยบางคนเชื่อว่ามันเกิดจากพลังงานที่ตกค้าง
    แต่ในปี 2000 ชายชาวอังกฤษกลุ่มหนึ่งได้ออกมาเปิดเผยตนเองว่าเป็นผู้สร้างครอปเซอร์เคิลที่วิจิตรพิสดารหลายสิบแห่งในภาคใต้ของอังกฤษมากว่า 11 ปี พวกเขาเรียกตนเองว่า Circlemakers โดยใช้คอมพิวเตอร์ร่างรูปแบบก่อน พวกเขาได้รับเชิญจากสื่อมวลชนให้สาธิตการสร้างครอปเซอร์เคิลที่มีความซับซ้อนหลายครั้ง ซึ่งพวกเขาทำได้จริงๆ และก็ไม่ได้ใช้ไมโครเวฟ ปัจจุบันพวกเขามีเว็บไซต์ที่แสดงผลงานและเสนอข่าวสารเกี่ยวกับครอปเซอร์เคิล ทุกวันนี้นักวิทยาศาสตร์ส่วนใหญ่เชื่อว่ามีทฤษฎีเดียวเท่านั้นที่จะอธิบายครอปเซอร์เคิลได้ นั่นคือ ทฤษฎีมนุษย์เป็นผู้สร้างแต่อย่างไรก็ตาม นักวิจัยครอปเซอร์เคิล ก็ยังเชื่อเหมือนกับแอนดริวว่ามันไม่ทั้งหมดที่เกิดจากฝีมือมนุษย์ งานวิจัยทางวิทยาศาสตร์ของนักวิจัยหลายกลุ่มจึงยังดำเนินอยู่ต่อไป Circlemaker คนหนึ่งพูดถึงเรื่องนี้ว่า ไม่มีใครอยากเชื่อคำอธิบายทางวิทยาศาสตร์หรอก เพราะผู้คนต้องการเชื่อสิ่งที่เป็นความลึกลับมากกว่า
     
  2. herobomzadk

    herobomzadk สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1
    อันนี้หน้าจะเกียวข้องน่ะคับ


    [​IMG]
    ลายเส้นลึกลับแห่งนาซคา<?XML:NAMESPACE PREFIX = O /><O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ไกลออกไปในที่ราบสูงซึ่งเป็นทะเลทรายในภาคใต้ของเปรู ได้มีลายเส้นเครื่องหมายหรืออาจเป็นสัญลักษณ์บางสิ่งบางอย่าง ปรากฏขึ้นอย่างดาษดื่นทั่วไปกินเนื้อที่หลายร้อยตารางไมล์ แต่ส่วนใหญ่พบอยู่ในระหว่างเมืองนาซคากับเมืองปัลปา ลักษณะมีการขีดเน้นอย่างจงใจและประณีต ลายเส้นเหล่านี้นิยมเรียกกันว่า " นาซคาไลน์"<O:p></O:p>
    นาซคาไลน์ มีหลายรูปแบบ ชนิดที่เป็นทรงเรขาคณิตก็มี ทรงสามเหลี่ยม สี่เหลี่ยม สี่เหลี่ยมคางหมู วงกลมเส้นหยัก เส้นแคบ ยาวกว่า 5 ไมล์ นอกจากนั้นยังมีรูปนก สัตว์เลื้อยคลาน ปลาวาฬ ลิง แมงมุม บางภาพก็คล้าย เครื่องปั้นดินเผาโบราณของชาวเมืองนาซคาที่อาศัยอยู่ริมฝั่งทะเล <O:p></O:p>
    [​IMG]
    นักโบราณคดีเชื่อว่าเป็นงานของชาวเมืองนี้อายุลานเส้นสันนิษฐานว่าตกอยู่ในยุค
    100 ปีก่อนคริสตศักราชถึงคริสตศักราช 700นาซคาไลน์ แม้จะดูทำขึ้นแบบง่ายๆ แต่คำนวณแล้วว่าต้องใช้เวลามาก ไม่ว่าจะเป็นการเกลี่ยหินหน้าทรายการจัดแนวหินให้เป็นเส้นตรง การออกแบบหาไอเดียเพื่อให้เหมาะกับภูมิประเทศ ซึ่งไม่มีฝนตกเลย อย่างน้อยก็พันปีมาแล้ว มีการเดาไปต่างๆ นานา บ้างว่าเป็นถนนก่อนประวัติศาสตร์ ฟาร์ม สนาม ยานอวกาศ เครื่องหมายหรือสัญญาณบอกเรื่องราวแก่สิ่งที่อยู่บนท้องฟ้า เช่น มนุษย์ต่างดาว หรือพระเจ้าในความเชื่อถือทางศาสนา แต่ในที่สุดก็ไม่มีใครรู้จริง นอกจากจะสันนิษฐานว่าเป็นผลงานทางศิลปะของอินเดียนแดงโบราณ <O:p></O:p>
    ทว่าไม่มีใครรู้เลยว่าชาวอินเดียนแดงโบราณสร้างมันขึ้นมาทำไม ?<O:p></O:p>
    ตั้งแต่มีผู้พบเห็นลายเส้นเหล่านี้ทางอากาศเมื่อปลายปี ค.ศ. 1920 ดร.พอล โคโซค เป็นคนแรกที่ได้รับทุนค้นคว้าสรุปผลจากการศึกษาว่า อาจเป็นปฏิทินทางดาราศาสตร์หรือไม่ก็เป็นปฏิทินทำนายเกี่ยวกับสายน้ำในหุบเขา<O:p></O:p>
    ต่อมาในปี 1968 สถานบันเนชั่นแนลจีโอกราฟฟีค ฝ่ายสังคมศึกษาพบว่า ลายเส้นต่างๆ ในพื้นที่เหล่านี้ตั้งอยู่ในจุดระหว่างกลางดวงอาทิตย์ และดวงจันทร์ขึ้นและตกในวันเวลาที่มันอยู่ห่างไกลจากเส้นศูนย์สูตรโลกที่สุดตั้งแต่ในสมัยโบราณ แต่ข้อมูลเหล่านี้ยังไม่มีใครคาดคิดได้ว่ามันจะเป็นประโยชน์อะไรขึ้นมากับการศึกษานาซคาไลน์ความประหลาดลึกลับของลายเส้นต่างๆ ในทะเลทรายเปรูยิ่งดูเหมือนท้าท้ายคำถามต่างๆ อาทิ ทำไมชาวนาซคาโบราณจึงทุ่มเทเวลาสร้างสรรค์ลายเส้นมโหฬารเหล่านี้มากมาย ทั้งที่บางอย่างพวกเขาอาจจะไม่เคยเห็นและผู้คนจะเห็นนาซคาไลน์ก็ต่อเมื่อมองลงมาจากอากาศเท่านั้น คนสำคัญที่สุดที่ทุ่มเทเวลาศึกษานาซคาไลน์ถึง 25 ปีคือ มาเรีย ไรเช่ เธอได้ถ่ายภาพและทำแผนที่งานของเธอเรียกว่า ลาส ลีเนียร์ รูปเครื่องหมายลายเส้นต่างๆ เป็นร้อยๆภาพ ซึ่งปรากฏอยู่บนทรายสูงทะเลทรายแห่งนี้ กินเนื้อที่สำรวจถึง 30 ไมล์ โดยอาศัยแผนที่จากสายการบินแพนแอมซึ่งทำไว้ก่อนกับความสนับสนุนจากสถาบันเนชั่นแนลจีโอกราฟิคช่วยเหลือในงานของเธอ<O:p></O:p>
    [​IMG]
    มาเรีย ไรเช่ นักคำนวณชาวเยอรมันเธอทำแผนที่ภูมิศาสตร์แสดงทิศทางของดาววัดบนพื้นโลกบริเวณนาซคาไลน์ไว้อย่างละเอียด หลังจากวัดลายเส้นซึ่งเป็นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูแห่งหนึ่ง เธอให้ความเห็นว่าบริเวณนั้นอาจเป็นสนามยานอวกาศจากมนุษย์ต่างดาว ซึ่งมาเยือนโลกเมื่อสมัยก่อนยุคประวัติศาสตร์ ลายเส้นรูปสี่เหลี่ยมคางหมูนี้ถ้าจะสันนิษฐานว่าเกิดจากความคิดของนักเรขาคณิตบ้าๆ คนหนึ่งก็อาจเป็นข้อสันนิษฐานที่น่าฟัง เพราะจากลายเส้นที่ใหญ่โตและที่เล็กๆ ทอดก่ายกัน แม้จะมีระเบียบแต่ก็อ่านจุดประสงค์ไม่ได้ว่า เขาต้องการจะบอกอะไรและดูเหมือนว่าเขาไม่สู้จะคำนึงถึงลักษณะภูมิประเทศด้วยรูปทรงเรขาคณิตแบบสี่เหลี่ยมด้านไม่เท่าอีกบริเวณหนึ่ง ในหุบเขาใหญ่ใกล้ที่ทำการกสิกรรมของนาซคาซึ่งสามารถยืนมองจากหุบเขาอินเกนิโอก็เป็นสิ่งที่น่าประหลาดที่ว่มันถูกขีดขึ้นประกอบด้วย รูปสี่เหลี่ยมและสามเหลี่ยมไม่สับสนจากที่ลาดต่ำไปสู่ที่ลาดสูง และก็เช่นเดียวกันเช่นรูปทรงเรขาคณิตแบบต่างๆ ที่ค้นพบคือไม่ทราบจุดประสงค์นอกจากสันนิษฐานว่าอาจเป็นแบบฟอร์มของระบบการชลประทาน
    <O:p></O:p>
    " ลายเส้นทั้งหมด" มิสไรเช่ให้ข้อสังเกต " เป็นเส้นตรง ยาวเป็นไมล์ๆ ข้ามหุบเขาและภูเขา ไม่มีสักเส้นเดียวที่จะคดเคี้ยว มันเป็นแนวตรงอย่างน่าประหลาดทุกเส้น"<O:p></O:p>
    [​IMG]
    แล้ว ชาวนาซคาจะได้ประโยชน์อะไรจากลายเส้นเหล่านี้ เส้นตรงบางเส้นมีร่องรอยคล้ายเป็นจุดของยามทุกๆ
    1 ไมล์ สงสัยกันว่าจะเป็นจุดสังเกตการณ์สำหรับการส่งข่าวแบบอินเดียนแดง แต่เหตุผลนี้ก็แทบนับไม่ได้ว่าเป็นเหตุผลลายเส้นที่น่าทึ่งอีกภาพหนึ่งคือ ลายเส้นของลิงในท่าคว้าจับอะไรบางอย่าง แขนซ้ายของมันวัดได้ยาวถึง40 ฟุต สังเกตลักษณะรูปร่างของมันคล้ายลิงหลายชนิด ขนดกเป็นปุย อาจเป็นลิงชนิดหนึ่งที่เรียกว่า คาปูชินซึ่งอยู่ในป่าเขตร้อนทางทิศตะวันออกของเทือกเขาแอนดิส ห่างไปจากจุดที่นั่นถึง 200 ไมล์ ศิลปินชาวนาซคาซึ่งคงจะรู้จักลิงชนิดนี้จากการบอกเล่าของพ่อค้าชาวป่า โดยที่ไม่รู้เรื่องทางสรีระของลิงชนิดนี้อย่างละเอียดออกมาเป็นว่าลิงตัวนี้มี 4 นิ้วจากมือข้างหนึ่ง และอีกข้างหนึ่งมี 5 นิ้วและหางซึ่งเกาะเกี่ยวกิ่งไม้ได้กลับม้วนขึ้นไปแทนที่จะห้อยลงตามธรรมชาติวิสัยของลิงชนิด <O:p></O:p>
    [​IMG]
    นอกจากนี้บริเวณทุ่งหญ้า ซึ่งมีนก รูปปลาวาฬว่ายน้ำ และสัตว์เลื้อยคลานอื่นๆโครงสร้างหลายภาพคล้ายคลึง กับเครื่องปั้นดินเผา ของชาวนาซคาโบราณดังกล่าว มากมาย ปลาวาฬเคลือบซึ่งสร้างในปลายสมัยคริสตวรรษที่
    3ก็มีรูปคล้ายคลึงกับลายเส้นปลาวาฬซึ่งพบในทะเลทราย ต่างกันตรงที่ลายเส้นปลาวาฬที่พบมีห่วงห้อยไว้ด้วยคงคล้าย เป็นการประกาศความเป็นผู้พิชิต เช่นเดียวกับปลาวาฬเคลือบ ซึ่งสร้างไว้เป็นตัวแทนหรือสัญลักษณ์ความเก่งกล้าของผู้พิชิตปลาวาฬ นอกจากนั้นยังมีรูปคนเขียนไว้บนเนินเขา คล้ายคลึงกันกับเครื่องปั้นดินเผาโบราณของอินเดียนแดงนาซคาที่นี้มาถึงรูปนก ซึ่งสันนิษฐานตอนแรกๆ ว่าอาจเป็นรูปยานอวกาศ อย่างไรก็ดีลักษณะลายเส้นบ่งชัดว่าเป็นรูปนกต่างๆ กันถึง 18 ภาพที่แจ่มชัดเป็นลายเส้นนกฮัมมิ่งเบิร์ด นกเป็นน้ำและนกทะเลซึ่งยาวถึง 450 ฟุต แต่ภาพกลับเขียนไม่เต็มตัว <O:p></O:p>
    อลัน ซอว์เยอร์ นักประวัติศาสตร์ศิลป์ให้ความเห็นว่า " เราแน่ใจว่ามันมีความหมาย แต่ก็ไม่รู้แน่ชัดว่ามันมีความหมายว่ายังไง เส้นต่างๆ โดยเฉพาะลายเส้นของนกประกอบด้วยเส้นลายเพียงเส้นเดียว ซึ้งไม่มีการลากตัดกันเลย บางทีอาจจะเป็นลายเส้นเกี่ยวกับความเชื่อทางศาสนา ซึ่งถ้าเป็นอย่างนั้นอาจสันนิษฐานได้ว่าพวกเขาคงยอมรับนับถืออะไรก็ได้ที่ศิลปินเขียนขึ้น เช่นอย่างอินเดียนแดงเผ่าต่างๆ ยึดถือกัน โดยเขียนภาพขึ้นมาเป็นสัญลักษณ์เท่านั้น "เครื่องหมายเคลือบดินเผาที่มีอยู่หมายถึงที่คล้ายคลึงภาพลายเส้นซึ่งปรากฏในทะเลทราย ส่วนใหญ่จัดได้ว่ายังเป็นงานฝีมือระดับต่ำ แต่ว่างานเหล่านี้บอกถึงความอุดมสมบูรณ์ หลักประกันในเรื่องอาหารและชีวิตดร. ซอว์เยอร์กล่าวว่า <O:p></O:p>
    " ถ้าจะคิดตามแนวทางความคิดของศิลปินจากงานที่ค้นพบมันก็เป็นการแสดงออกถึงความคิดของผู้แร้นแค้น สะท้อนสภาวะความรู้สึกออกมาจากวิญญาณ" <O:p></O:p>
    [​IMG]
    อีกแนวความคิดหนึ่งที่ได้มาจากภาพลายเส้นแมงมุมที่มีความยาวถึง
    150 ฟุต ที่ถ่ายภาพไว้ตั้งแต่ปี ค.ศ.1963 เปรียบเทียบกับภาพถ่ายลายเส้นนี้ในปัจจุบัน คล้ายกับว่าเป็นซากแมงมุมยักษ์ซึ่งนอนตาย <O:p></O:p>
    แต่ปัจจุบันรอยเส้นนี้กำลังสูญหายไป จากพายุทรายบ้าง รถจิ๊บของนักท่องเที่ยว รอยย่ำบ้างนาซคาไลน์ ในไม่ช้าก็เร็วคงจะถูกทำลายไปดังกล่าว มันอาจเป็นสนามยานอวกาศอาจเป็นงานของนักเรขาคณิตผู้บ้าคลั่ง อาจเป็นโครงร่างของระบบชลประทาน อาจเป็นงานศิลป์ของชาวอินเดียนแดง อาจเป็นอะไรก็ได้ด้วยเหตุผลซึ่งสันนิษฐานจากข้อมูลต่างๆ เท่าที่มีอยู่ แต่ความจริงเกี่ยวกับความเป็นมาของมัน คงจะยังเป็นสิ่งประหลาด ที่ท้าทายการพิสูจน์ไปอีกนานเท่านาน<O:p></O:p>


    อ้างอิง

    http://my.dek-d.com/Writer/story/viewlongc.php?id=219485&chapter=97
     
  3. herobomzadk

    herobomzadk สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1
  4. herobomzadk

    herobomzadk สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1
    [​IMG]
     
  5. Hikikomori

    Hikikomori เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 เมษายน 2008
    โพสต์:
    508
    ค่าพลัง:
    +326
    ไม่ฝีมือคนก็ UFO แหละ ผมว่าคน 99 % ครับ เพราะตัวตนของ UFO หายากมาก
     
  6. herobomzadk

    herobomzadk สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2008
    โพสต์:
    74
    ค่าพลัง:
    +1
  7. YUT_KOP

    YUT_KOP เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 มกราคม 2008
    โพสต์:
    458
    ค่าพลัง:
    +1,033
    ฝีมือคนทำ ครับ ผมเคยดู ยูบีซี

    มีรายการที่ สหรัฐ เค้าแข่งกันทำด้วย ให้เวลา1คืน ทำเสร็จแน่นอนครับ

    พวกสัญลักษณ์ วงกลม ในไร่ข้าวโพด คนทำ สบายมากครับ
     
  8. O๐.AnGle.๐O

    O๐.AnGle.๐O เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    974
    ค่าพลัง:
    +861
    ผมว่าถ้าเป็น ฝีมือ UFO จริง

    มัน คง ใช้ ประมาณว่า แสงเรเซอร์ ทำสัญลักษณ์ ไม่ก็ เป็น แผนที่ อะไรสักอย่าง

    ซึ่ง มัน ต้อง ได้ ใช้ ประโยชน์ อย่างแน่นอน
     
  9. O๐.AnGle.๐O

    O๐.AnGle.๐O เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 ธันวาคม 2007
    โพสต์:
    974
    ค่าพลัง:
    +861
    [​IMG]


    ผมข้องใจ รูป นี้ มาก เลย ครับ

    ถ้าเป็น ฝีมือ มนุษย์ต่างดาว จริง

    นิ คง เป็น น่าตา ของพวก มัน

    แต่หลายคนคงไม่เอะใจ หรอ ครับว่า...

    ทำไมหน้าตามันเหมือนกับที่เราเคยดูในโทรทัศน์ เลย
     
  10. โอซารัน

    โอซารัน Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 มกราคม 2008
    โพสต์:
    873
    ค่าพลัง:
    +91
    เปนทั้งคนทำ และมนุษย์ต่างดาวทำ
     
  11. The Soul

    The Soul เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    151
    ค่าพลัง:
    +356

    ลักษณะมนุษย์ต่างดาวในโทรทัศน์หรือในหนัง คงจะอ้างอิงมาจากคนที่เคยเห็นมั้งค่ะ พวก gray อะคะ ตัวเทาๆ หัวโตๆ หุหุ
     
  12. นาคธันดร

    นาคธันดร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2010
    โพสต์:
    91
    ค่าพลัง:
    +157
    คล้ายกับนาซคาเลยนะครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...