เรื่องเด่น รู้ความจริง ทิ้งตัวตน พ้นบ่วงมาร

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 3 กันยายน 2017.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,319
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,274
    ค่าพลัง:
    +9,590
    89734_th.jpg


    รู้ความจริง ทิ้งตัวตน พ้นบ่วงมาร
    วันอาทิตย์ ที่ 03 กันยายน พ.ศ. 2560, 12.48 น.


    อะไรเป็นบ่วงของมาร? ชีวิตของคนเรามักไขว้คว้าหาสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมาสิ่งที่ล้วนทำให้เราเกิดทุกข์ เกิดความเศร้าโศกเสียใจ มีความยึดมั่นถือมั่น สิ่งนั้นเป็นของเรา สิ่งนี้เป็นของเรา พระพุทธเจ้าเคยสอนพระภิกษุไว้ว่า “สังขารที่เที่ยงแท้ แม้เล็กน้อยเพียงทรายที่อยู่ในเล็บ ก็ไม่มีเลย สิ่งที่ถูกปรุงแต่ง มักเปลี่ยนแปลงเสมอ” หากเรารู้เหตุที่ทำให้เกิดบ่วงมารและหาหนทางไปสู่การหลุดพ้น ทิ้งสิ่งที่คิดว่าจริง เราก็จะพ้นบ่วงมาร ธรรมบรรยาย หัวข้อ “รู้ความจริง ทิ้งตัวตน พ้นบ่วงมาร” โดย พระภาวนาเขมคุณ วิ. เจ้าอาวาสวัดมเหยงคณ์ จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ที่ได้ถ่ายทอดธรรมะและคำสอนทางพระพุทธศาสนาดีๆ ผ่านเวทีเรายกวัดมาไว้ที่เซเว่นฯ ณ อาคารซีพี ทาวเวอร์ ให้ประชาชนได้รับฟังธรรมและนำไปเป็นแนวทางในการดำเนินชีวิต

    พระภาวนาเขมคุณ ได้ให้ความรู้ของเหตุที่ทำให้เกิด “บ่วงมาร” สิ่งนั้นก็คือ การเวียนว่ายตายเกิด การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ถือว่าเป็นทุกข์ เป็นสิ่งที่เราทุกคนต้องเจอ หรือแม้แต่การจากลา การประสบกับสิ่งที่ไม่ได้ดั่งใจ ความเศร้า ความขมขื่น ทุกอย่างที่เกิดขึ้นเริ่มต้นจาก การเกิด ในทางพระพุทธศาสนาการแก้ไขการเกิดได้นั้นจะต้องย้อนกลับไปดูที่เหตุว่าสิ่งใดเป็นเหตุ เหตุเกิดการอะไร ซึ่งจริงๆแล้วเหตุก็คือกรรมที่แปลว่าการกระทำนั้นเอง ซึ่งแบ่งได้ 3 กรรม ได้แก่กายกรรม วจีกรรมและมโนกรรม คนที่ทำกรรมดีสิ่งที่จะได้รับก็จะเป็นความสุข ส่วนคนที่ทำกรรมไม่ดีสิ่งที่จะได้รับก็จะเป็นความทุกข์ กรรมไม่สิ่งตอบแทนของการกระทำแต่กรรมเป็นผลจากการกระทำของตัวเราเอง การทำกรรมเกิดจาก กิเลส หรือความโลภ โกรธ หลง เป็นเหตุปัจจัยให้ทำกรรมชั่ว การมีกิเลสจะทำให้คนทำความดีที่ไม่เที่ยงแท้ เช่น ถ้าอยากรวยก็ไปถวายสังฆทานซึ่งเป็นการทำบุญที่อาศัย ตัณหา และการที่เราคิดว่าตัวเราเป็นของเรา เรียกว่า อุปาทาน คือ ความไม่รู้ หรือรู้ในสิ่งที่ไม่จริง เช่น รู้ว่าเป็นหญิงเป็นชาย เป็นสัตว์ เป็นบุคล เป็นของเรา ทั้งสามสิ่งนี้คืออวิชชา

    ทุกสิ่งบนโลกใบนี้ไม่มีสิ่งใดที่เกิดมาแล้วไม่เปลี่ยนแปลง ไม่บุบสลาย ทุกอย่างล้วนตั้งอยู่และดับไป การทำลายอวิชชาจะต้องดับ กิเลส ตัณหา และอุปาทาน เมื่อเหล่านี้ดับก็จะสิ้นกรรม สิ้นการเวียนว่ายตายเกิด อาวุธที่จะทำลายอวิชชา คือ ปัญญา การรอบรู้ การรู้แจ้งเห็นจริง แม้ว่าเราจะมีการศึกษาที่สูงจบปริญญาตรี ปริญญาเอก แต่ก็ไม่ทำให้เราหลุดพ้นจากความทุกข์ได้เพราะนั้นไม่ใช่การศึกษาที่แท้จริง ปัญญาจึงหมายถึง การศึกษาธรรม การมีสติมีสมาธิ เข้าสู่เจริญภาวนา

    ทุกคนล้วนมีสิ่งที่จิตปรุงแต่งขึ้นมา ปรุงให้พอใจ ปรุงให้ไม่พอใจ ปรุงให้กลัว ปรุงให้ห่วง ปรุงให้หวง จนเกิดความกระวนกระวายใจขึ้นมา หรือแม้แต่การที่เราโกรธใคร แค้นใคร ก็เป็นสิ่งที่จิตปรุงแต่ง สิ่งที่ทำให้เกิดทุกข์จริงๆ ก็คือตัวเรา หากจิตมัวแต่คิดเรื่องที่ไม่ดี เรื่องเก่าๆ ที่ทำให้ไม่สบายใจคนที่จะทุกข์ก็คือตัวเรา ดังคำที่พระท่านว่า” เรื่องดีจำไม่ได้ เรื่องร้ายจำไม่ลืม“ หนทางการละทิ้ง คือ การปล่อยวาง อย่าปล่อยให้ความคิดวิ่งไปหาเรื่องราว เมื่อคิดแล้วทุกข์ก็หยุดคิดจิตจะได้สบาย ปล่อยวางแบบกำหนดรู้ ไม่บังคับเพราะยิ่งบังคับไม่ให้คิดก็ยิ่งเพิ่มความเครียด ความกดดันให้ตัวเอง แค่กำหนดรู้ว่าตอนนี้จิตเราคิดเรื่องใดแล้วพาจิตกลับมาไว้ที่ตัวเช่นเดิม



    ขอขอบคุณที่มา
    http://www.banmuang.co.th/news/education/89734
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 3 กันยายน 2017
  2. นรวร มั่นมโนธรรม

    นรวร มั่นมโนธรรม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +113

แชร์หน้านี้

Loading...