ราคาพิเศษ ก่อนหมดสมาชิก Premium

ในห้อง 'พระเครื่อง วัตถุมงคล' ตั้งกระทู้โดย Muang99, 15 พฤศจิกายน 2024 at 13:34.

  1. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    ด้านหน้า999.jpg
    ด้านหลัง999.jpg

    1.เหรียญหลวงปู่เรือง อาภัสสะโร รุ่นเจริญรุ่งเรือง ๙๕ ปกติบูชา 1,600 บาท พิเศษบูชา 900 บาท (รส)

    เหรียญหลวงปู่เรือง อาภัสสะโร รุ่นเจริญรุ่งเรือง ๙๕ หลังเจ้าพ่อพระกาฬ เขาสามยอด จ.ลพบุรี ปี ๒๕๕๐ เนื้อทองแดง ที่ระลึกฉลองอายุครบ ๙๕ ปี ๗๕ พรรษา เนื้อทองแดง สภาพสวย พร้อมใบรับรองการผลิต สภาพเก่าเก็บ ตัวเหรียญยังสวยสมบูรณ์ ความศักดิ์สิทธิ์คงเดิม

    ด้านในของใบรับรองการผลิต จะมีคาถาเพิ่มพลังจิต เทพนิมิตคุ้มครอง หลวงปู่เรือง อาภัสสะโร

    เหรียญหลวงปู่เรือง อาภัสสะโร รุ่นเจริญรุ่งเรือง ๙๕ เหรียญนี้ ผมได้มาในสมัยที่ผมไปกราบและทำบุญกับหลวงปู่เรือง อาภัสสะโร ที่ปฏิบัติธรรมสถาน เขาสามยอด จ.ลพบุรี

    ในวันนั้นผมเดินทางด้วยรถไฟจากกรุงเทพฯ ไปลงที่ลพบุรี และนั่งรถอีกต่อหนึ่งไปลงที่โรงพยาบาลอานันทมหิดล แล้วก็เดินประมาณ 3-4 กิโลเมตร เพื่อไปยังสถานที่หลวงปู่เรืองพักอยู่

    ในวันนั้นนั่งรอหลวงปู่เรืองนานมาก หลังเที่ยงท่านก็ยังไม่ออกมา ได้มีคนมากราบท่านหลังจากผม ก็รอเหมือนกัน เมื่อรอนานแล้วก็นัดกันออกไปหากินข้าวเที่ยงในตัวเมือง ก็อาศัยรถกะบะของคนที่มาทีหลังผม เขาเป็นทหารอากาศ หลังจากนั้นก็กลับมาหาหลวงปู่เรือง และได้มีโอกาสได้กราบท่าน และเป็นครั้งหนึ่งที่ผมได้ถวายโมโลหรือโอวัลตินแบบกล่อง, น้ำดื่ม และถวายปัจจัยกับหลวงปู่เรือง อาภัสสะโร ซึ่งเป็นการทำบุญที่ผมจะจดจำไปจนวันหมดอายุขัย เพราะกว่าจะได้พบและทำบุญกับท่าน ต้องใช้ความพยายามมากๆ ต้องนั่งรถไฟ นั่งรถรับจ้าง และเดินอีกหลายกิโเมตร และรอหลวงปู่เรือง นานหลายชั่วโมง

    คาถา999.jpg
    ด้านหลัง3399.jpg

    ***** พระเครื่องวัตถุมงคล หลวงปู่เรือง อาภัสสะโร ค่อนข้างหายาก ไม่ค่อยมีในท้องตลาด *****

    ***** เหรียญนี้ ผมบูชามาในวันที่ผมไปกราบและทำบุญกับหลวงปู่เรือง อาภัสสะโร ที่ปฏิบัติธรรมสถาน เขาสามยอด จ.ลพบุรี เมื่อนานสิบกว่าปีมาแล้ว *****

    ***** มีเหลืออยู่แค่เหรียญเดียว หมดแล้ว หมดเลย และอธิษฐานขอให้ท่านที่ศรัทธาหลวงปู่เรือง อาภัสสะโร ขอให้เข้ามาบูชาเหรียญนี้ *****

     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 16 พฤศจิกายน 2024 at 13:48
  2. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    พระเครื่องและวัตถุมงคลที่ให้บูชา รับประกันแท้ 100%

    ท่านที่ได้จองเอาไว้ จองได้ 10 วันครับ ถ้าเลยกำหนดแล้วไม่ได้โอนเงิน ก็ขอยกเลิกสิทธิ์การจองครับ

    จัดส่งให้ภายใน 10 วัน นับจากวันที่โอนเงิน

    ราคาบูชารวมค่าจัดส่งแล้ว

    ธนาคารกรุงไทย หมายเลขบัญชี 938-0-56058-3 ชื่อบัญชี เมธา รุ่งพัฒนพันธ์

    หมายเหตุ : อายุสมาชิก Premium ของผม จะหมดในช่วงปลายเดือนมกราคม 2568
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 พฤศจิกายน 2024 at 12:41
  3. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    ประสบการณ์ของท่านที่บูชาพระเครื่องวัตถุมงคล หลวงปู่เรือง อาภัสสะโร (1)

    ผมได้มีโอกาสบูชาพระไพรีพินาศเนื้อผงหินงอกในถ้ำพระอรหันต์(องค์ในรูปที่แนบ) และหลวงปู่ได้เมตตาอธิษฐานจิตให้เมื่อประมาณปี 51 อาราธนาแขวนติดตัวไว้ตลอด ปรากฏว่าปัญหาอุปสรรคที่คิดว่ายากก็กลับกลายคลี่คลายรอดพ้นไปได้ด้วยดี มีเงินใช้ไม่ขาดมือ ถึงคราวอับจนก็มีมาให้ตลอด ตำแหน่งหน้าที่การงานเจริญก้าวหน้ารวดเร็ว ทุกวันนี้ยังอาราธนาติดตัวเสมอ(สลับกับองค์ำพระแก้วฯเนื้อว่านดินไหล) เพราะบารมีหลวงปู่ประกอบกับปฏิบัิติตามคำสอนของพระศาสดาสัมมาสัมพุทธองค์ และคำสั่งสอนที่หลวงปู่เคยกล่าว เชื่อว่าพระเครื่องของหลวงปู่มีอานุภาพมากกว่าประสบการณ์ที่ผมได้รับอีกมากมายครับ .

    ประสบการณ์1.jpg
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 15 พฤศจิกายน 2024 at 13:52
  4. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    ประสบการณ์ของท่านที่บูชาพระเครื่องวัตถุมงคล หลวงปู่เรือง อาภัสสะโร (2)

    ประสพที่ได้กราบครูบาอาจารย์สูงสุดยอด

    กระผมอาจารย์ จเรดวงธรรม ศิษย์หลวงปู่เรืองสมัยตั้งแต่ปี ได้ไปกราบหลวงปู่ได้ไปพักไปนอนกับท่านและท่านยังอาบน้ำมนต์ให้โดยไปตักน้ำในถ้ำพระอรหันต์น้ำในถ้ำพระอรหันต์เย็นมาก ๆ ท่านอาบให้ ๒ ถังครับส่วนวัตถุมงคลก็ได้มาท่านลงด้วยหมึกปากการเมจิสีน้ำเงินทุกองค์ (ที่สำคัญพระเกศาของท่านสมัยพ.ศ.2500) ท่านให้มาพอสมควรและท่านยังสอนอะไรบางอย่างนับว่าผมโชคดีมากและเวลาผมจะทำอะไรพิธีต่าง ๆ ผมบอกกล่าวท่านทุกครั้ง และยังมีอังสะท่านลงอัคขระให้เสื้อผมที่ใส่ขึ้นไปพักกับท่าน2 คืน 3 วันตัวที่ท่านใส่ให้ท่านลงทั้งรอยมือรอยเท้าท่านท่านยังเขียนคำว่า จ่าเร แต่ตอนนั้นผมยังครองยศเป็นสิบเอกอยู่เลยครับ แต่ลงมาไม่นานก็มีผลครับที่ท่านเขียนผมได้ครองยศเป็นจ่าตามที่ท่านเขียนครั้งแรกที่ขึ้นไปท่านก็เขียนเลขใส่มือมาให้ถึง 3 คนท่านบอกว่ามีได้โชคอยู่คนเดียวก็จริงครับที่ไปกับผมไม่มีโชคผมได้โชคคนเดียวหมื่นกว่าบาทก็กลับขึ้นไปหาท่านนำปัจจัยไปถวายซื้อของไปถวายด้วยครับและท่านให้พระพิมพ์พระแก้วมรกรตมา ๑ องค์ ท่านบอกว่ากูทำเองทำจากบล็อคใบมีดโกนครับท่านบอกว่าของกูดีนะเก็บไว้ให้ดีตอนนี้ก็ยังอยู่ส่วนเกศาก็เก็บบูชาไว้ก็มีแจกลูกศิษย์ไปบ้างอภินิหารของท่านไม่ธรรมดาคาถาของท่านสวดสมำ่เสมอครับจะมีผลแต่อย่าท้อแท้ก็แล้วกันครับขอให้คณะศิษย์ท่านจงโชคดีทุกท่านครับ( ขณะนี้ผมครองยศเป็นนายทหารแล้ว ) ท่านมีส่วนตรงนี้ครับ


    ประสบการณ์2.jpg

     
  5. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    คาถาเพิ่มพลังจิต เทพนิมิตคุ้มครอง หลวงปู่เรือง อาภัสสะโร

    คาถาเพิ่มพลังจิตฯ111.jpg
     
  6. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    รูปหลวงปู่เรือง5.jpg
    หลวงปู่เรือง ท่านเป็นพระเรียบร้อย มีสง่าราศี อัธยาศัยใจคอดี พูดคุยสนุกแฝงไปด้วยธรรมมะ ไม่ชอบขัดใจคนไม่ดุ ชอบเล่นกับเด็ก ด้วยเหตุนี้ทำให้ท่านเป็นที่รักและเคารพของญาติโยมที่ได้มากราบไหว้ เมื่อยามว่างจากญาติโยมที่มาเยี่ยม ท่านก็จะนั่งสมาธิภาวนานับลูกประคำตลอดเวลา ประสบการณ์ของพระเครื่องที่ผ่านการปลุกเสกจากหลวงปู่มีมากมายเล่าขานกันไม่หวาดไหว ลูกระเบิดที่ว่าดังๆ ยังต้องดับเพราะท่าน เหตุเกิดจากสมัยที่ท่านจำพรรษาอยู่บนเขาสามยอด ซึ่งอยู่ด้านหลังของโรงพยาบาลอานันทมหิดล บริเวณดังกล่าวเป็นที่ฝึกซ้อมรบของทหารรบพิเศษค่ายเอราวัณ ระหว่างซ้อมรบมีการยิงลูกระเบิดไปที่เขาสามยอด ยิงไปกี่ลูกกี่ลูกก็ไม่ระเบิด ด้วยความสงสัยเหล่าทหารจึงขึ้นไปดูก็พบว่าในถ้ำบนยอดเขามีพระแก่ๆ จำพรรษาอยู่หนึ่งองค์ ปากถ้ำมีลูกระเบิดตกอยู่เต็มไปหมด เท่านั้นแหละครับ ทหารทั้งจังหวัดลพบุรีแห่กันมาเป็นลูกศิษย์ท่านทั้งจังหวัด สอบถามกันเบื้องต้นทราบว่าท่านจำพรรษาอยู่บนยอดเขาแห่งนี้เพียงองค์เดียวมาเกือบสี่สิบปีแล้วและไม่เคยลงไปจากเขาเลย ระหว่างที่ทหารซ้อมรบกันท่านก็นั่งสมาธิภาวนาสวดมนต์อยู่ภายในถ้ำนั่นแหละ หลังจากนั้นเป็นต้นมาทหารในจังหวัดลพบุรีที่จะต้องไปราชการชายแดนจะต้องขึ้น มาขอของดีและให้หลวงปู่พรมน้ำมนต์ทุกครั้งไป และก็ไม่ใช่ว่าท่านจะเด่นในเรื่องคงกระพันอย่างเดียวนะครับ ลูกศิษย์ของท่านพร้อมครอบครัวรวม 5 คน ขับรถไปธุระที่จังหวัดอยุธยา ระหว่างจะเข้าตัวเมืองอยุธยา มีรถขับตัดหน้าหักหลบรถคว่ำไปหลายตลบ ใครมาดูก็ต้องบอกว่าคนในรถต้องเสียชีวิตทั้งหมด แต่ปาฏิหาริย์มีจริงครับทุกคนรอดตายหมด บาดเจ็บแค่เคล็ดขัดยอกไม่ต้องนอนโรงพยาบาล

    สาเหตุที่ทราบเรื่องเพราะ วัดรุ่งขึ้นครอบครัวนี้ได้ขึ้นเขามาให้หลวงปู่พรมน้ำมนต์ ในเรื่องเมตตาท่านก็เด่นครับโดยเฉพาะด้านค้าขาย บรรดาแม่ค้าในโรงอาหารของโรง พยาบาลอานันทมหิดลต่างยืนยันเป็นประจักษ์พยานได้เป็นอย่างดี ซึ่งในเรื่องเมตตานี้อย่าว่าแต่คนเลยกับสัตว์หลวงปู่ก็ยังมีเมตตาให้ ลิงป่าบนเขามีเป็นร้อยๆตัว หลวงปู่ท่านยังจับมาเล่นได้ ธรรมชาติ ของลิงป่าจะมีความดุดังนั้นอย่าหวังว่าจะจับมันได้เลย ขนาดจะเข้าใกล้ลิงพวกนี้มันยังไม่ยอมเลย ที่ผมเล่าประสบการณ์ทั้งหมดมานี้ขอยืนยันว่าเป็นเรื่องจริงทุกประการครับ

    ในช่วงบ่ายระหว่าง ที่บางคนหลับใหลด้วยความอ่อนแรง พวกเราส่วนที่เหลือได้เข้าไปนั่งสนทนากับหลวงปู่ หัวข้อหรือเนื้อหาหนีไม่พ้น หลวงปู่บวชที่ไหน เรียนวิชามาจากใคร สำเร็จวิชาอะไร ปัจจุบันมีใครเป็นลูกศิษย์สืบทอดวิชาของหลวงปู่บ้าง ฯลฯ เชื่อไหมครับว่าคำตอบของหลวงปู่เรือง อาภัสสะโร ท่านว่าอย่างไร ผมว่าถ้าทุกคนปรบมือได้คงจะปรบมือกันแล้ว แต่เสียดายด้วยเงื่อนไขของกาลเทศะ การแสดงออกจึงมีเพียงรอยอมยิ้มที่ปรากฏบนใบหน้าของทุกคนเท่านั้น

    “กูเรียน กูปฏิบัติสายของพระพุทธเจ้า (ยิ้ม) พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ของกู สายอื่นๆที่พวกมึงว่ากูไม่รู้จัก กูไม่มีหรอก กูนี่แหละศิษย์สายตรงของพระพุทธเจ้า”

    เป็นยังไงครับ ซึ่ง....งง ไหมครับ ถ้ายังไม่คิดไม่ทัน ลองฟังอีกช็อทหนึ่งครับ

    “กูมีลูกศิษย์อยู่สองหลักสูตร(หัวเราะ) หลัก สูตรแรกไว้สอนพวกพระว่าบวชแล้วต้องเข้าศึกษาธรรมะให้เข้าใจ ให้ลึกซึ้งและนำไปปฏิบัติได้ด้วยตัวเอง สอนให้ปล่อยวางกิเลส ฝึกทำสมองปัญญาให้แจ้ง จะได้เอาไว้อบรมสั่งสอนโปรดญาติโยม โปรดสัตว์ แล้วก็สอนศีล สมาธิ ปัญญา”(หัวเราะ)

    “หลัก สูตรที่สองก็สอนคนอย่างพวกมึง ให้รู้จักขยันอดทนทำมาหากินอย่างสุจริต ต้องอดออมรักษาศีล เลิกอบายมุข เลิกบุหรี เลิกเหล้า ดูแลพ่อแม่ ดูแลครอบครัวให้ดี ก่อนนอนก็พยายามสวดมนต์ด้วยนะ” (แป่ว!!!!)

    “พอเรียนจบหลักสูตรกูก็แจกประกาศนียบัตร“(ยิ้ม)

    ว่าแล้วหลวงปู่ค่อยๆหยิบใบคาถาของท่าน ซึ่งเป็นรูปท่านอยู่ด้านหน้าและมีคาถาเพิ่มพลังจิตอยู่ด้านหลังแจกให้กับพวกเราทุกคน พร้อมสำทับเพิ่มเติมอีกเล็กน้อยครับ

    “ทุกวันนี้คนเรามักแก่งแย่งชิงดีชิงเด่นกัน หากเราหันหน้ามามองกันและคุยกันอย่างมีสติ ก็จะไม่เกิดเรื่อง เกิดปัญหา พวกมึงต้องใช้ ธรรมาวุธแทนอาวุธ”

    .....เอาไว้ทำอะไรครับหลวงปู่....

    “เอาไว้ประหารพวกกิเลสในใจพวกมึงไง เอาให้หมด” (หัวเราะ) ....( เฮ้อ....หลวงปู่นะหลวงปู่)

    ผมเขียนบันทึกตอนนี้ขึ้นมาเพื่อระลึกถึงหลวงปู่เรือง อาภัสสะโรและคำสั่งสอนของท่าน ซึ่งหลังจากวันนั้นแล้วผมก็ยังไม่มีโอกาสพบท่านอีกเลย ทราบว่าท่านกลับมาจำพรรษาที่บริเวณเชิงเขาสามยอด หลังโรงพยาบาลอานันทมหิดลแหละครับ คงมีโอกาสเพียงแต่ได้รับฟังเสียงท่านจากโทรศัพท์ของเพื่อนๆ ซึ่งไปกราบนมัสการท่านแล้วส่งให้ท่านได้พูดคุยกับผม ซึ่งทุกครั้งท่านจะกำชับผมเสมอว่า”อย่าลืมที่หลวงปู่สอนนะ สวดคาถาด้วย”

    เครดิต : หลวงปู่เรือง อาภัสสะโร ปูชนียธรรมสถานเขาสามยอด ตอน อาศรมพรตภูผาโพธิสัตว์

     
  7. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    รูปหลวงปู่เรื่อง1.jpg

    ประวัติหลวงปู่เรือง อาภัสสะโร (1)
    ปูนียธรรมสถาน เขาสามยอด
    หลังโรงพยาบาลอานันทมหิดล อ.เมือง จ.ลพบุรี

    หลวงปู่เรือง ชื่อเดิมว่า บุญเรือง นามสกุล สุขสันต์ เกิดเมื่อวันอาทิตย์ที่ 10 ม.ค. 2457 (ตรงกับแรม 10 ค่ำ เดือน 2 ปีขาล) เวลา 08.00 น. ที่บ้านสร้าง ต.บ้านสร้าง อ.บ้านสร้าง จ.ปราจีนบุรี

    ต่อมาได้ย้ายมาอยู่บ้านสระข่อย ต.โคกปีบ อ.ศรีมหาโพธิ์ (ได้แยกเป็น อ.โคกปีบ แล้วต่อมาเปลี่ยน เป็นชื่อ อ.ศรีมหาโพธิ์ ) จ.ปราจีนบุรี โยมบิดาชื่อ นายคำพันธ์ สุขสันต์ โยมมารดาชื่อ นางศรี สุขสันต์ มีพี่น้องร่วมบิดา มารดา8 คน ชาย 5 หญิง 3 หลวงปู่เป็นคนที่ 2 เมื่ออายุเข้าเกณฑ์ศึกษา หลวงปู่ได้เข้ารับการ ศึกษาชั้นประถม ที่โรงเรียนขุนโคกปีบปรีชา โดยมีคุณครูหลั่น ปราณี ผู้เป็นครูสอนและครูใหญ่(ต่อมาลาออกมาเป็นกำนัน ต. โคกปีบ)

    หลวงปู่เรียนจนจบชั้นประถมศึกษาปีที่ 4 ท่านเก่งทั้งภาษาไทยและภาษาขอม เมื่อเรียนจบแล้วทางราชการได้ให้ท่านช่วยสอนหนังสือเพราะเห็นว่า ท่านเรียนเก่งมาก และฉลาด ในสมัยนั้น (ปี พ.ศ. 2468) คนที่จะเรียนหนังสือมีน้อยมาก และที่จะเรียนจนจบชั้นประถมปีที่ 4 ยิ่งหาได้ยากยิ่ง แต่ท่านไม่รับสอน กลับมาช่วยโยมบิดา มารดาทำไร่ทำนาทำสวน จนอายุครบอุปสมบท หลวงปู่เข้ารับการอุปสมบทตามประเพณีชายไทย เมื่ออายุครบบวชจะต้องบวชทดแทนคุณบิดามารดา

    ท่านอุปสมบทเมื่อวันศุกร์ที่ 6 ก.ค. 2477 (ตรงกับวันแรม 10 ค่ำ เดือน 8 ปีจอ) เวลา 14.08 น. ณ วัดสระข่อย ต.โคกปีบ อ.ศรีมหาโพธิ์ จ. ปราจีนบุรี อายุ 21 ปี (ตรงกับสมัยรัชกาลที่ 7) โดยมี พระสมุห์จำปา (ต่อมาเป็นพระครูวิมลโพธิ์เขต) วัดสระข่อย อันเป็นเจ้าคณะหมวด (เจ้าคณะตำบลโคกปีบ) เป็นพระอุปัชฌาย์ พระครูพัด ธัมมะธีโร วัดโคกมอญ(ต่อมาเปลี่ยนชื่อเป็นวัดโคกไทย) ต.โคกปีบ เป็นพระกรรม วาจาจารย์ พระอาจารย์ฉัตร คังคะปัญโญ วัดต้นโพธิ์ ต.โคกปีบ เป็นพระอนุสาวนาจารย์ อันมีพระครูพิบูล วัดท่าประชุม อ.ศรีมหาโพธิ์ เป็นเจ้าคณะแขวง (เจ้าคณะอำเภอศรีมหาโพธิ์) ได้รับฉายาว่า อาภัสสะโร ท่านได้จำพรรษาและศึกษาพระธรรมพระวินัยอยู่กับพระอุปัชฌาย์ที่วัดสระข่อย (อยู่ใกล้สระมรกตประมาณ 2 กม.) เป็นเวลา 10 พรรษา โดยได้อยู่รับใช้ปฏิบัติพระอุปัชฌาย์พร้อมทั้งศึกษาวิชาต่างๆจากพระอุปัชฌาย์ จนเป็นที่รักและไว้วางใจยิ่งจากพระอุปัชฌาย์

    ด้านการศึกษาธรรมะ หลวงปู่ได้เรียน นักธรรมชั้นตรีและสอบได้นักธรรมชั้นตรีในพรรษาแรกนี้เลย (พ.ศ. 2477) จากสำนักเรียนที่วัดของท่าน พรรษาที่ 2 (พ.ศ. 2548) สอบได้นักธรรมโทพรรษาที่ 3 สอบได้นักธรรมเอก จะเห็นได้ว่าหลวงปู่ให้ความสำคัญต่อการศึกษามาก และหาได้ยากยิ่ง ที่พระภิกษุเรียนเก่งขนาดสอบได้ปีละชั้น ทั้งที่พรรษายังน้อย อายุแต่ 23 ปีเท่านั้น

    เมื่อท่านเรียนจบนักธรรมแล้ว พระอาจารย์ฉัตร วัดต้นโพธิ์ อันเป็นพระคู่สวดของท่าน ได้มาขอท่านจากพระอุปัชฌาย์ให้ไปช่วยสอนธรรมะที่วัดต้นโพธิ์ ท่านก็ไปช่วยสอนอยู่ระยะหนึ่ง พร้อมกันนี้ท่านได้ศึกษาวิชาบาลีมูลกัจจายน์และวิชาโหราศาสตร์สมุนไพรใบยา พร้อมวิชาคาถาอาคมต่างๆ ไปด้วย

    จนพรรษาพ้น 10 พรรษาแล้ว ท่านเห็นว่าได้ศึกษาวิชาการพอที่จะปกครองตนเองได้แล้วจึงกราบลาพระอุปัชฌาย์เพื่อออกธุดงค์แสวงวิเวก ประพฤติปฏิบัติธรรมไปในที่ต่างๆ โดยก่อนจากไป หลวงปู่ได้ขอผ้าจีวรจากพระอุปัชฌาย์ไปเพียง 1 ชุด พระอุปัชฌาย์ทั้งรักทั้งห่วงลูกศิษย์องค์นี้มากแต่เพื่ออนาคตของศิษย์ท่านอนุญาตให้ไปได้ โดยได้ยกผ้าครองให้ทั้งชุด หลวงปู่กราบลาพระอุปัชฌาย์อันเป็นที่เคารพยิ่ง พร้อมทั้งกล่าวว่า ผมไปแล้ว ผมจะไม่กลับมาอีก จะแสวงหาวิมุตติธรรมไปเรื่อยๆ

    จนทุกวันนี้เป็นเวลากว่า 50 ปีแล้ว หลวงปู่ก็ยังไม่ได้กลับไปวัดบ้านเดิมอีกเลย หลวงปู่ตัดสินใจเด็ดขาด สะพายย่ามแบกกลดเดินทางออกจากวัดไปเรื่อยๆ ค่ำไหนนอนนั่น เช้าก็ออกบิณฑบาตโปรดสัตว์ หนทางสมัยก่อนยังไม่เจริญ เหมือนสมัยนี้ ต้องใช้เกวียนเป็นส่วนมากเดินทางธุดงค์ไปตามที่ต่างๆ โดยเฉพาะภาคอีสานหลวงปู่ได้เดินธุดงค์ไปจนทั่ว มีอยู่ครั้งหนึ่งหลวงปู่เดินธุดงค์มาที่กรุงเทพฯแล้วแวะจำพรรษาที่วัดทางหลวง จ.นนทบุรี (ปัจจุบันไม่ทราบว่าเปลี่ยนชื่อเป็นวัดอะไร)

    พอดีช่วงนั้นเกิดสงครามโลกครั้งที่ 2 ทหารญี่ปุ่นเข้ามาอยู่ในเมืองไทยมาก ทำให้ฝ่ายพันธมิตรซึ่งนำโดยสหรัฐอเมริกา ได้มาทิ้งระเบิดแถวๆกรุงเทพและเขตปริมณฑลเป็นจำนวนมาก ที่ท่านอยู่ก็ใกล้กองกำลังญี่ปุ่นจึงพลอยฟ้าพลอยฝนโดนระเบิดหล่นใส่ใกล้วัดเป็นประจำ ชาวบ้านในเขตนั้นก็ย้ายอพยพไปอยู่ยังต่างจังหวัดกันเกือบหมด มีญาติโยมมาถามหลวงปู่ด้วยความเป็นห่วงว่า หลวงปู่ไม่ย้ายไปต่างจังหวัดหรือ? ไม่กลัวโดนระเบิดหล่นใส่หรือไง ?

    หลวงปู่บอกว่า คนเราเมื่อถึงที่ตายอยู่ตรงไหนก็ตาย ไม่มีใครหนีพ้นหรอก ตอนที่เครื่องบินจะมาทิ้งระเบิด หวอก็เปิดดังสั่นไปหมด เพื่อให้คนหลบภัยในที่กำบัง หลายคนวิ่งเข้าวัดหลบในอุโบสถบ้าง ทั่วๆไปบ้าง แต่หลวงปู่กลับนั่งภาวนาอยู่บนศาลาเฉยๆ ไม่ไปหลบที่ไหน พระเณรอยู่ในวัดก็หลบกันหมด แต่เป็นที่น่าแปลกคือ ระเบิดที่มาทิ้งเที่ยวแล้วเที่ยวเล่ากลับตกแค่รอบๆ วัดไม่ตกในวัดเลย(ทิ้งตอนกลางคืน)

    ระยะปลายๆ สงครามโลกครั้งที่ 2 หลวงปู่ได้เดินธุดงค์ขึ้นอีสานแล้วกลับมาอยู่ที่ จ.ลพบุรี ที่ถ้ำพิบูลในปี พ.ศ. 2489 (พรรษาที่ 13) (ถ้ำพิบูลอยู่ใกล้วัดพระบาทน้ำพุ ที่ดูแลผู้ป่วยโรคเอดส์ในปัจจุบัน) หลวงปู่เรืองได้มาจำพรรษา ที่ถ้ำพิบูล 5 พรรษา ต่อมาทางทหารได้มานิมนต์ให้ท่านไปอยู่ที่วัดสร้างใหม่เป็นที่เจริญ และใหญ่โตกว่าที่เดิม อีกทั้งไม่กันดารเพราะที่ท่านอยู่นี้เป็นเขตของทหารและทหารซ้อมยิงอาวุธอยู่บ่อยๆ กลัวว่าจะเป็นอันตรายได้ อีกอย่างในหน้าแล้งกันดารน้ำมาก จึงขอให้ไปอยู่ที่วัดสร้างใหม่ แต่หลวงปู่ไม่ไป กลับเก็บกลดสะพายย่ามธุดงค์เข้าป่าลึกไปเลย ท่านก็เดินธุดงค์อยู่ในป่าเดินตามหลังเขาไปเรื่อยๆ ไม่ยอมลงจากเขา จนมาพบ ถ้ำพระอรหันต์ที่เขาสามยอด (เมื่อ พ.ศ. 2493)

    หลวงปู่จึงตัดสินใจอธิษฐานจิตว่า จะไม่ไปไหนอีก จะอยู่จำพรรษาที่นี้ตลอดไปและจะไม่ลงจากเขานี้อีกด้วย ซึ่งเมื่อ 40 ปีกว่าก่อน ที่แถวๆนี้ยังมีเสือ มีช้าง และสัตว์ป่าชุกชุมอยู่รวมถึงไข้ป่ารุนแรงด้วย ในระยะแรกที่หลวงปู่อยู่ท่านไม่ลงไปไหนเลย รวมทั้งไม่ได้บิณฑบาตด้วย แต่ท่านก็อยู่ได้ ผู้เขียนได้สอบถามหลวงปู่ว่า 2 - 3 ปีแรก หลวงปู่ไม่ได้บิณฑบาตเลย อยู่องค์เดียวมาตลอด ไม่มีใครมาพบเห็นเลย หลวงปู่อยู่ได้อย่างไร? และฉันอะไร? จึงอยู่ได้ หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ฉันยอดไม้ใบไม้ โดยเฉพาะยอดโสม ซึ่งขึ้นอยู่บนเขามากมายก็ฉันมาตลอด อิ่มแทนข้าวก็อยู่ได้

    ส่วนหน้าแล้งบนเขาไม่มีน้ำแล้วหลวงปู่เอาน้ำที่ไหนมาดื่มและมาสรง (อาบ) หลวงปู่บอกว่าก็ตัดเอาเถาวัลย์ให้น้ำไหลจากเถาวัลย์ เอากระติกรองแล้วนำมาฉัน วันละนิดเดียวพอแก้กระหาย เพราะอยู่ในถ้ำอากาศเย็นจึงไม่ต้องฉันบ่อยๆ ส่วนน้ำสรง ก็ไม่ต้อง เพราะอะไร เพราะเหงื่อไม่ค่อยออก กลิ่นตัวจึงไม่ค่อยมี ฝนตกทีก็ได้สรงกันที

    หลวงปู่อยู่ที่บนเขามา 48 ปีแล้ว โดยไม่ยอมลงไปไหน ระยะหลังค่อยดีขึ้นมาหน่อยเพราะมีผู้คนมาเจอท่านแล้วพากันบอกต่อๆไป จึงมีคนมากราบเยี่ยมเยียนบ่อยขึ้น พร้อมทั้งถังใส่น้ำ แต่ก็พอใช้ระยะหนึ่งเท่านั้น พอหน้าแล้งน้ำไม่ค่อยพอใช้เช่นเดิม ในปีที่ผ่านมามีพระเณรมาจำพรรษาอยู่กับหลวงปู่อีก 2 รูป อีกทั้งมีสัตว์ป่ามาร่วมใช้ร่วมดื่มด้วย เช่น กระรอก กระแต นก สุนัข ไก่ป่า ฯลฯ ที่สำคัญมีลิง 2 ฝูงใหญ่ เป็นลิงป่าประมาณ 100 กว่าตัว จะมาทุกวัน วันละหลายๆหน จนเชื่องขนาดจัดเล่นได้เพราะฝูงลิงมาอาศัยบารมีหลวงปู่อยู่ตั้งแต่แรกที่ท่านมาอยู่ จึงเป็นภาระให้หลวงปู่พอสมควร ทั้งเรื่องอาหารและน้ำ ปัจจุบันหลวงปู่อายุได้ 94 ปี พรรษา 64 แต่ยังแข็งแรกมาก ฉันอาหารเพียงมื้อเดียวเท่านั้น โดยหุงกับหม้อดินแบบโบราณ ใช้ฟืนเป็นเชื้อเพลิงอาหารส่วนมากเป็นฝักที่ขึ้นอยู่ทั่วๆไป หลวงปู่ไม่ค่อยจะเจ็บป่วยอะไร ถ้าเจ็บป่วยก็จะเก็บสมุนไพรบนเขามาต้มฉันเอง เพราะหลวงปู่มีความรู้เรื่องสมุนไพรมากก่อนการเป็นอยู่ของหลวงปู่ง่ายๆ จะลำบากมาก ก็เรื่องน้ำในหน้าแล้งที่จะใช้เท่านั้น

    ประสบการณ์ต่อไปนี้เป็นเรื่องต่างๆ ที่ผู้เขียนได้ฟังจากปากหลวงปู่เอง รวมทั้งฟังเล่าจากคนอื่นๆ ที่ได้ประสบมาบุคคลที่เล่าให้ฟังนี้ยังมีชีวิตอยู่ ทั้งพยานบุคคลและสิ่งของ ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเอาเอง โดยไม่ได้ลำดับตอนแต่อย่างใด เทวดานิมนต์ รับบาตรบนสวรรค์ หลวงปู่เล่าให้ พระมหาเสรี สารทโรและสามเณร สมพงษ์ ฟังเมื่อเดือน ก.ค.2538 ในขณะมาจำพรรษาอยู่ด้วย หลวงปู่เล่าว่า ตอนมาอยู่ที่ปูชนียธรรมสถานเขาสามยอด (ถ้ำพระอรหันต์) ก่อนเจอถ้ำนั้น ท่านเดินมาตามป่าไผ่ ไม้ไผ่ได้แตกดังลั่นมาตลอดทาง ดังโผละๆ ลั่นไปหมดจนถึงถ้ำ จึงหยุดแตกบนเขามีไม้ไผ่รวกเป็นจำนวนมาก ในสมัยนั้นยังเป็นป่าดงดิบอยู่ มีช้างป่า เสือโครง เสือลาย สัตว์ป่า ชุกชุมมาก

    หลวงปู่เล่าให้ฟังว่าครั้งหนึ่งได้มีรุกขเทวดามานิมนต์ไปบิณฑบาตบนสวรรค์ หลวงปู่ถามเทวดาว่าจะขึ้นไปได้อย่างไร ? รุกขเทวดาบอกให้เดินตาม แล้วเทวดาก็เดินนำหลวงปู่เดินตามไป หลวงปู่เล่าให้ฟังว่ามีความรู้สึกเหมือนตัวเบาเดินขึ้นทางต้นไผ่แป๊บเดียวก็ถึงแล้ว เป็นสถานที่สวยงามมาก ไม่เคยพบเห็นที่ใดมาก่อน พอรับบาตรเสร็จก็เดินกลับ พอหันหลังกลับเท่านั้นมีความรู้สึกว่ายืนอยู่บนยอดไผ่แล้วยอดไผ่ค่อยๆโน้มยอดลงจนถึงดิน ก็เดินกลับถ้ำมาฉัน (ไม่ได้ถามหลวงปู่ว่า รสชาติเป็นอย่างไร) หลวงปู่เล่าให้ฟังว่า ที่เขาสามยอดสมัยก่อนนั้นมีถ้วยชามอยู่ในถ้ำมากมาย เวลาบ้านใครมีงานก็มายืมเอาไปใช้ ใช้เสร็จก็เอามาคืนในถ้ำ

    แต่ต่อๆมาชาวบ้านบางคนยืมแล้วคืนไม่ครบของเหล่านั้นเลยหายไปหมด วันดีคืนดี เช่น วันสำคัญๆทางพระพุทธศาสนา จะมีเสียงสวดมนต์บ้างเสียงฆ้อง เสียงระฆังบ้าง ดังมาจากบนเขา เรื่องนี้ผู้เขียนกับสามเณรก็เคยได้ยิน ผู้คนที่เคยไปอยู่ร่วมปฏิบัติธรรมกับหลวงปู่อีกหลายท่านก็เคยได้ยินทั้งนั้น เช่น เมื่อเดือน ก.ค. 2538 ผู้เขียนและสามเณรได้ยินเสียงคนสนทนากัน เป็นเสียงผู้หญิงและผู้ชายชัดเจนตอนนั้นเป็นเวลาดึกในถ้ำมีผู้เขียนอยู่คนเดียวแต่มีหลายคนได้ยิน เรื่องดังกล่าวเคยเกิดมาแล้ว 2 ครั้ง เสียงสนทนาและเสียงดนตรีไทยดังอยู่สักครู่ก็หายไป นับเป็นเรื่องแปลกมาก

    ครั้งหนึ่ง หลวงปู่ได้เล่าให้ฟังว่า นอกจากมีคนลับแลมาหาท่านแล้ว ก็ยังมีพระหนุ่มมาหา คือ ขณะที่หลวงปู่นั่งอยู่ในถ้ำ ได้มีพระภิกษุหนุ่มรูปงามองค์หนึ่งมาหาท่าน แล้งนั่งสนทนาธรรมด้วยอยู่นาน จนเวลาพอสมควรจึงลาท่านกลับ แต่ขากลับนี้ได้เดินออกจากถ้ำหายไปเฉย ๆ โจรปล้นไม่ได้อะไร แต่กลับเป็นบ้า หลวงปู่ได้เล่าให้บรรดาลูกศิษย์ที่ขึ้นไปหาฟังกันหลายคน รวมทั้งผู้สื่อข่าว น.ส.พ.ไทยรัฐ ด้วย มีพยานบุคคลอยู่ในปัจจุบันนี้อีกมากมาย คือตอนที่ท่านอยู่บนเขา ระยะหลังมีคนมาพบเห็นท่าน แล้วนำไปบอกเล่าต่อๆ กัน จึงมีคนไปกราบท่านมากขึ้น พวกมิจฉาชีพนึกว่า ท่านมีปัจจัย(เงินทอง)มาก เลยขึ้นมาปล้นท่าน มาขโมยของท่าน ปล้นกันต่อหน้า โดยจับท่านมัดกับต้นไม้ แล้วใช้อาวุธจี้ขู่ แต่พวกโจรก็ไม่ได้อะไรไป เพราะท่านไม่มีสมบัติอะไรให้ จะมีก็แต่สบงจีวรบาตรกลดเท่านั้นที่ท่านมี เพราะหลวงปู่ไม่สนใจจะใช้เงินทอง อีกอย่างท่านไม่จับต้องเงินทองด้วยก็เลยทำให้พวกโจรผิดหวังไป

    ทั้งหมดที่หลวงปู่เล่า โดนปล้น 4 ครั้ง โดนขโมยรื้อค้นอีหลายครั้ง แต่บาปกรรมย่อมไม่ปรานีใคร เพราะพวกที่ไปปล้นท่าน พอลงมาก็ทะเลาะกันเองฆ่ากันตายก็มี วิกลจริตเป็นบ้าเป็นกันทุกคน จนพวกญาติๆ ต้องพากันขึ้นไปขอขมาท่าน ท่านก็ไม่เคยถือสาอะไร อโหสิกรรมให้เสมอ ขึ้นเขาได้เร็ว สงสัยมีวิชาตัวเบา มีหลายๆคนที่โรงพยาบาลอานันทมหิดลและใกล้เคียงเล่าให้ฟังว่า สมัยก่อนเคยใส่บาตรให้หลวงปู่บ่อยๆ พอใส่บาตรแล้ว ได้เดินตามหลวงปู่ขึ้นเขา แต่ก็ตามไม่ทัน คนแก่อายุขนาด 70-80 ปี เดินขึ้นเขาได้อย่างไร คนเป็นหนุ่มเป็นสาวยังต้องพักแล้วพักอีกตั้งหลายหน พอขึ้นไปถึงเขาหลวงปู่ก็ฉันอิ่มนานแล้ว พวกเขาถามหลวงปู่ว่า ขึ้นมาทางไหน ทำไมเร็วนัก หลวงปู่ไม่ตอบ ได้แต่ยิ้มๆหลายคนสงสัยว่าหลวงปู่มีวิชาตัวเบา หรืออาจจะมีความสามารถร่นระยะทางได้เป็นแน่ ผู้เขียนไม่กล้าวิจารณ์ ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเอาเอง ระเบิด ใส่ไม่เป็นอะไร

    มีอยู่ครั้งหนึ่ง ทหารกำลังซ้อมยิงปืนคอ อยู่ที่ตีนเขา ตอนสายๆนายทหารยกธงแดงขึ้น เตรียมพร้อมยิง ขณะนั้นพอดีหลวงปู่กำลังเดินลัดมาทางริมป่าพอดีแต่ทหารไม่เห็นหลวงปู่ จึงยกธงลง สั่งยิง พอยิงเสร็จทหารมองดูตรงบริเวณกระสุนตกและเห็นมีพระเดินอยู่ต่างตกใจตะโกนให้พระหลบแต่ช้าไปเสียแล้วกระสุนตกตรงพระพอดี เสียงระเบิด บึม ดังสนั่นหวั่นไหว ทหารตกใจวิ่งไปดู ฝุ่นตลบไปหมด พอเข้าไปใกล้ๆเห็นพระเดินต่อเฉยเลยไม่เป็นอะไร จึงเข้าไปกราบ แล้วถามว่าท่านมาจากไหนครับหลวงปู่ตอนนั้นยังหนุ่มมาก บอกว่า อยู่บนเขานี้เอง พร้อมกลับชี้มือไปบนเขาสามยอด แล้วก็เดินขึ้นเขาไป ทหารเก็บอาวุธเสร็จก็รีบวิ่งตามขึ้นเขา แต่ตามมาทัน เป็นที่อัศจรรย์ยิ่ง ทุกวันนี้นายทหารท่านนี้ยังอยู่ที่ ร.พัน 31

    ดูดวงได้แม่นยำมาก
    มีอยู่วันหนึ่ง หลวงปู่กำลังเดินจงกรมอยู่หน้าถ้ำได้มีคณะศรัทธาจากกรุงเทพฯ ขึ้นมาหา เห็นท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ แต่ไม่รู้ว่าท่านกำลังทำอะไร จึงถามท่านว่า หลวงปู่กำลังหาอะไรอยู่หรือครับ? หลวงปู่ตอบว่า ***กำลังหาพุทธอยู่ หลวงปู่เป็นผู้มีเมตตามาก แต่ไม่ค่อยชอบวุ่นวายชอบอยู่เงียบๆ พูดน้อย ถามคำก็ตอบคำ ท่านดูดวงให้ทุกคนที่ไปหา หากต้องการ โดยดูให้ฟรี ไม่ต้องเสียอะไรทั้งสิ้น

    จดหมายจากทหารไทย
    ในสมรภูมิเวียดนาม เมื่อปี 2512 ถึง...พระอาจารย์เรือง เขาสามยอด จากค่ายแบล์แคทร์ เวียดนามใต้ 18 ส.ค. 12

    นมัสการ มายังหลวงพ่อ จากกระผม ส.อ.ตาบ ทองสีขาว นับตั้งแต่กระผมได้มาพักและได้มาเยี่ยมหลวงพ่อแล้วกลับไปปฏิบัติหน้าที่ต่อในเวียดนามอีก หลวงพ่อครับ บุญของผมแท้ๆบุญบารมี และอำนาจรัศมีของหลวงพ่อได้คุ้มครองตัวของกระผม คลาดแคล้วอย่างปาฏิหาริย์เลยครับ ผมปฏิบัติทุกอย่างที่หลวงพ่อให้กระผมไป กระผมจะขอเล่าให้หลวงพ่อฟัง ในวันนั้น กระผมกับลูกน้องของกระผมอีก 4 คน รวมกับผมด้วยเป็น 5 คน ทางกองพันออกคำสั่งให้ไปทำการกวาดล้าง ข้างคืนวันแรกก็ยังหลอกครับ พอวันรุ่งขึ้นตอนบ่ายๆ ซิครับ หมวดของกระผมขึ้นปีกซ้ายและหมู่ของกระผมซิครับ ขึ้นด้านซ้ายสุดและกระผมเป็นคนนำลูกน้องเป็นคนเดินหน้าเลยครับ จ๊ะกันตรงหน้าเลยครับ ห่างกันเพียง 4-5 วาเท่านั้น มันอยู่ในที่กำบังเป็นป่ามืดและทึบมาก และมีบังเกอร์อย่างแข็งแรก มันยิงผมด้วยปืนอาก้า 30 นัดก่อนเลย แต่คลาดแคล้วไม่ถูก ผิดหมด ถากไปหมด มีถูกอยู่นัดหนึ่ง แต่ไม่เข้า พอจุ่มๆหนังพอแตกเท่านั้น นอกนั้นก็ถากหมวกเหล็กไปเฉียดลำตัว และขาไปหมดเลยพร้อมทั้งหมู่บ้านด้วยในวันนั้น ในหมวดเดียวกับกระผมนี้ ในวันนั้นบาดเจ็บ 1 คน คือ ส.อ.ทองรัด คำศรีนิล อยู่ที่ผส.31 นี้และครับ อยู่ห่างมากอยู่ข้างหลังหมู่ของกระผมอีกตั้งไกล

    สุดท้ายนี้กระผมไม่มีอะไรเล่าให้ฟังมีแต่คิดถึงหลวงพ่อเท่านั้น ด้วยความเคารพและบูชา
    ส.ต.ตาบ ทองสีขาว
    จากค่ายแบร์แคทร์เวียดนามใต้

    22 ก.ค. 12
    ขอนมัสการมายังหลวงพ่อ นับตั้งแต่กระผมได้มาพักแล้วกลับไปรู้สึกว่าหนักมากครับหลวงพ่อ ปะทะกันอยู่เรื่อยมา จนกระทั่งมาถึงวันที่ 18 ก.ค. 12 เดือนนี้ กองร้อยได้ออกลาดตระเวนกวาดล้าง ตั้งแต่วันที่ 17 ก.ค. 12 เวลา 8 โมงเช้า จนถึง วันที่ 18 ก.ค. 12 เวลา 11 โมงเศษๆ ก็ได้เกิดปะทะกันขึ้น กระผมเป็นหมู่นำ ผมเห็นผิดสังเกตขึ้น ผงจึงสั่งลูกน้องให้รู้ตัว แล้วผมจึงตัดสินใจขึ้นหน้าลูกน้อง เดินต่อไปได้ประมาณ 50 เมตร ก็เกิดยิงกันในระยะนี้เอง ผมตกอยู่ในลงล้อมของข้าศึก มันยิงเอาผมเงยหัวไม่ขึ้นเลยครับ ผมยิงสู้อย่างไม่ลดละเลย มันรุมยิงผมตั้ง 7-8 คนแต่ผมก็ยิงมันบาดเจ็บไปเหมือนกันว่าเห็นเลือดหยดไปเป็นทางเลยครับ

    แต่ผมก็ถูกนิดหน่อย ถูกขาตรงน่องพอปริ่มๆกางเกงขาดเป็นรูเลยครับ และถากหมวกเหล็กผ้าพรางขาดเป็นรูไปเลยครับ ผมคิดว่ารัศมีของหลวงพ่อคุ้มครองผมไว้ แท้ๆ เลยครับ คลาดแคล้วอย่างปาฏิหาริย์เลยครับ ทุกวันคืนผมท่องมนต์คำที่หลวงพ่อให้ไปและจะออกทำงานทุกครั้ง ผลระลึกถึงหลวงพ่ออยู่ทุกครั้งเลยครับ ผมปฏิบัติตามที่หลวงพ่อบอกทุกอย่างและเอาติดตัวอยู่ตลอดเวลาเลยครับ สุดท้ายนี้ผมไม่มีอะไรจะเล่าให้ฟังนอกจากคิดถึงเท่านั้น และเดี๋ยวนี้หวังว่าหลวงพ่อคงสุขสบายเหมือนเดิม

    ด้วยความเคารพและบูชามา ณ ที่นี้ด้วยครับ
    ส.อ. ตาบ ทองสีขาว

    ในสมัยสงครามเวียดนาม มีทหารคนหนึ่งไม่อยากไปรบ จึงมาหาหลวงปู่ ท่านเลยให้พระไป 1 องค์ พร้อมพระคาถา ทหารนายนั้นไปสงครามแนวหน้า หลังจากสงครามสงบก็ได้กลับมาหาหลวงปู่อีก เขาได้เล่าว่า ตอนออกไปรบด้วยกัน 40 กว่าคน ข้าศึกได้ซุ่มโจมตี พวกคนตกอยู่ในวงล้อมหลายวัน จนกระสุนหมด ทหารที่ไปด้วยเสียชีวิตทุกคนเขารอดตายมาได้เพียงคนเดียว กลับมาก็ขึ้นมากราบหลวงปู่เลย ทหารท่านนี้ยังมีชีวิตอยู่ แต่ได้ปลดเกษียณแล้วย้ายไปอยู่ที่ไหนไม่ทราบ แต่จะมาหาหลวงปู่บ่อยๆ

    หลวงปู่ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า มาอยู่บนยอดเขาได้ประมาณ 10 ปี (พ.ศ. 2502) เกิดอาพาธด้วยไข้ป่า อาการหนักมาก นอนซมอยู่แต่ในถ้ำไปไหนไม่ได้เลยเป็นอยู่หลายวันอาการมีแต่ทรงกับทรุดลงเรื่อยๆบางครั้งหนักขนาดลุกไปไหนไม่ได้เลย หลวงปู่คิดไปว่า คราวนี้คงไม่รอดแน่แล้ว เพราะยาสมุนไพรที่ร่ำเรียนมาจากอาจารย์ต่างๆ ตอนเดินธุดงค์ หลวงปู่เก็บมาต้มฉันหลายขนานแต่ก็ไม่หายเห็นว่าไม่ไหวแน่แล้ว จึงนึกถึงครูอาจารย์ของท่านแล้วกำหนดจิตอธิษฐานว่า หากจะมรณภาพที่นี้ด้วยพิษไข้ป่า ก็ขอให้ละสังขารโดยสงบลงไปเดี๋ยวนี้เลยแต่ถ้ายังไม่ถึงเวลาก็ขอให้หายไปโดยไว ด้วยบารมีธรรมของท่าน ที่สั่งสมมาแต่ในทางที่ดี ตั้งแต่บวชมา หลวงปู่อธิษฐานจิตได้ไม่นานก็มีเรื่องแปลกเกิดขึ้น นั้นคือแรงอธิษฐานของท่านได้ร้อนถึงรุกขเทวดา (เทวดาที่อยู่ตามเขาตามถ้ำ ตามต้นไม้) ต้องลงมาช่วยรักษาท่าน

    หลวงปู่เล่าว่า ในเวลาบ่ายของวันนั้นเองได้มีหญิงสาวรูปร่างสวยงามมาก มาร้องเรียกท่านที่หน้าถ้ำท่านจึงลุกขึ้นนั่ง แลเห็นหญิงสาวคนนั้น หลวงปู่เล่าว่าสวยงาม ท่าทางเรียบร้อย นุ่งห่มเหมือนคนในวังพูดจาไพเราะชวนฟังอย่างยิ่ง พอเข้ามากราบหลวงปู่เสร็จ ก็สนทนากับหลวงปู่ว่า หลวงปู่ไม่สบายหรือคะ หลวงปู่ตอบว่า ไม่สบายมานานแล้วทานยาเท่าไรก็ไม่หายเสียที หญิงสาวบอกว่า เห็นหลวงปู่ไม่สบายมาหลายวันแล้ว เลยวันนี้มาเยี่ยมและเอายามาให้ พร้อมกันนั้นก็เอายา ซึ่งเป็นห่อประเคนหลวงปู่ และบอกว่าทานยานี้โดยเอาต้มแล้วทานวันสองวันก็จะหาย พร้อมกันนั้นได้บอกตัวยาด้วย ซึ่งหลวงปู่ได้จดเอาไว้ (และผู้เขียนได้ลอกลงไว้ ณ ที่นี้ด้วยแล้วพร้อมพระคาถาเพิ่มนิมิต)

    หลวงปู่ได้สนทนากับหญิงสาวนั้นว่า รู้ได้อย่างไรว่าอาตมาไม่สบาย หญิงสาวตอบว่า เห็นว่าไม่สบายมาหลายวันแล้ว หลวงปู่ถามว่า เห็นได้อย่างไร? บ้านอยู่ที่ไหน? หญิงสาวตอบว่า ก็เห็นอยู่ในถ้ำนี้ บ้านก็อยู่บนเขานี้แหละ หญิงสาวยังบอกอีกว่า เห็นหลวงปู่ตั้งแต่วันแรกที่มาอยู่ที่นี้แล้ว
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 18 พฤศจิกายน 2024 at 12:55
  8. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    ประวัติหลวงปู่เรือง อาภัสสะโร (2)
    หลวงปู่จะถามต่อ ก็พอดีหญิงสาวคนนั้นบอกขอตัวกลับก่อนกราบลง 3 ครั้ง แล้วเดินออกจากถ้ำไป หลวงปู่ก็ยังงงๆอยู่ หันมามองห่อยาแล้วหันไปที่หญิงสาวอีกทีก็ไม่เห็นแล้ว หลวงปู่จึงรู้ว่าเป็นรุกขเทวดาเอายามาให้ท่านแน่ จึงนำยาไปต้มฉันตามที่รุกขเทวดาแนะนำ ฉันยาได้สองวัน โรคไข้ป่าก็หาย จนทุกวันนี้หลวงปู่ไม่ป่วยหนักอีกเลย เป็นเวลากว่า 30 ปีแล้ว เรื่องของรุกขเทวดามาปรากฏนี้ เป็นเรื่องปัจจัตตังคือพบเองเห็นเอง จะเข้าใจเอง

    ยาเทวดา ยาอายุวัฒนะ
    ท่านให้เอาดอกจัน 1 บาท พระวาน 1 บาท กานพูล 1 บาท สมุลแว้ง 1 บาท มหาหิงคุ์ 1 บาท ชะเอมเทศ 1 บาท ลูกจันทร์ 1 บาท พริกไทยร่อน 1 บาท หัสคุณเทศ 1 บาท ยาทั้ง 9 อย่างนี้ หนักเท่าๆกัน ทำเป็นผงละลายน้ำผึ้ง รับประทานก่อนเข้านอน ขนาดปลายนิ้วก้อย รับประทาน 1 เดือน โรคภัยไข้เจ็บจะหายหมด กลับเป็นหนุ่มเป็นสาว เป็นทานแก่บุคคลที่อ่อนเพลีย ตำรานี้ได้มาจากหลงปู่เรือง ถ้ำพระอรหันต์ เขาสามยอด อ.เมือง จ.ลพบุรี

    ธรรมะเพิ่มพลังจิต
    เกิดเทพนิมิตพุทธอิทธิฤทธิ์คุ้มครอง

    คาถาของ หลวงปู่เรือง ถ้ำพระอรหันต์ เขาสามยอด อ.เมือง จ.ลพบุรี
    ปุพพะ นิมิตตัง ทัฬหังนิมิต
    อะระหัง พุทโธ นะโมพุทธายะ นะมะพะทะ มะอะอุ
    พุทธัง แคล้วคลาด พระเจ้าย่างบาท แคล้วคลาด ด้วยพระพุทธัง
    ธัมมัง แคล้วคลาด พระเจ้าย่างบาท แคล้วคลาด ด้วยพระธัมมัง
    สังฆัง แคล้วคลาด พระเจ้าย่างบาท แคล้วคลาด ด้วยพระสังฆัง

    ผู้เขียนมาอยู่รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่ ก็เคยได้รับรู้สิ่งแปลกๆ บ่อยๆ ในพรรษาปี 2538 ประสบการณ์ด้วยตนเองหลายครั้ง เช่น ในคืนหนึ่งประมาณกลางๆพรรษาเวลาประมาณตีสองเศษๆ ขณะหลับเพลินอยู่นั้นเองต้องตกใจตื่นเพราะมีเสียงคนมาเรียกเป็นเสียงผู้หญิงซึ่งดังชัดเจนมาก เรียกอยู่ประมาณ 5-6 ครั้ง ผู้เขียนขานรับ แล้วฉายไฟออกไปดูก็ไม่พบใคร ต่อมาก็เรียกอีก บางครั้งเป็นเสียงผู้ชาย เป็นอยู่อย่างนี้บ่อยๆ ในพรรษานี้มีพระเณรอยู่กับแค่ 3 รูป เท่านั้น คือ หลวงปู่เรือง ผู้เขียน และสามเณรลูกศิษย์ สามเณรก็เคยโดนเรียกเช่นกัน บางทีได้ยินเสียงสวดมนต์ เสียงระฆัง เสียงดนตรีไทย เสียงเหล่านี้มีหลายคนได้ยินบ่อยๆ จะว่าคนแกล้งก็เป็นไปไม่ได้เลย เพราะที่อยู่บนเขาสูงมากทางไปมาไม่สะดวกเท่าที่ควรห่างไกลจากหมู่บ้านมากหลายกิโลเมตรทีเดียว ผู้เขียนเคยถามหลวงปู่ว่า เสียงที่เกิดมันคืออะไร ?

    หลวงปู่บอกว่า เขามาเตือนให้เราปฏิบัติดีๆหน่อย อย่าทำอะไรที่ผิด มากนัก ทำเอาผู้เขียนหวาดไปเลยพักหนึ่ง เดี๋ยวนี้ชักชินแล้ว ปัจจุบันหลวงปู่อายุ 85 ปี แต่ยังแข็งแรกมากเดินคล่องแคล่ว อ่านหนังสือโดยไม่ต้องใช้แว่นตา เขียนหนังสือสวยและเขียนภาษาขอมเก่ง ความจำดีเยี่ยม เรื่องอาหารการขบฉัน สมัยอยู่เพียงลำพังหลวงปู่จะหุงข้าวด้วยหม้อดินกับฟืน ฉันง่ายๆอาหารชั้นยอด คือยอดจริงๆ เช่น ยอดผักบุ้ง ไม่ค่อยได้ฉันเนื้อเพราะไม่มีให้ฉัน และจะฉันแบบปฏิ***ล คือเอาใส่รวมๆกันแล้วฉัน ฉันมื้อเดียว การปฏิบัติธรรมของหลวงปู่เป็นกิจวัตรมาอย่างนี้ตลอด ซึ่งนักปฏิบัติรุ่นหลังควรเอาเป็นแบบอย่าง เป็นอย่างยิ่ง ทุกวันนี้ทางขึ้นเขาสะดวกขึ้นหน่อย จึงมีญาติโยมขึ้นมาหาหลวงปู่มากขึ้น ไม่ค่อยขาด บางครั้งมากันเป็นร้อยๆคน ส่วนมากมาหาโชคลาภ มาดูดวง หลวงปู่จะเมตตาดูให้ทุกคนฟรีและจะแนะนำให้ท่านแต่สิ่งที่ดีๆ คือ ท่านจะดูโดยอิงหลักธรรมเสียเป็นส่วนใหญ่ ภาษาพูดแบบ***ๆ แบบโบราณ ไม่แบ่งชั้นวรรณะ ท่านเมตตาเสมอกันทุกคน

    เดี๋ยวนี้มีคนขึ้นมามาก ท่านจะเทพื้นถ้ำไว้เก็บน้ำหน้าแล้ง เพราะหน้าแล้งน้ำไม่มี ยิ่งมีคนขึ้นมามากยิ่งขาดแคลนมาก ท่านจึงดำริกับผู้เขียนว่า ควรทำที่เก็บน้ำในถ้ำซึ่งต้องใช้ปัจจัยมากพอสมควร จึงได้สร้างวัตถุมงคลซึ่งเป็นรุ่นแรกอย่างแท้จริง แต่รุ่นนี้ท่านตั้งใจทำเป็นพิเศษ เพื่องานนี้โดยตรง การทำพระและวิธีการเตรียมจัดสร้างนั้น ผู้เขียนได้กราบเรียนถามหลวงปู่และพระมหาเสรีท่านได้เล่าให้ฟังว่า ในการเตรียมการนั้น ต้องใช้เวลาพอสมควร ไม่ใช่นึกจะทำก็ทำได้เลย คือการเก็บเกสรดอกไม้ต้องเก็บต้นฤดูฝน เพราะมีดอกไม้บานมาก

    การเก็บหัวว่านต้องเก็บปลายฤดูฝน เพราะว่านหัวแก่ได้ที่ ฯลฯ เหล่านี้เป็นวิธีทำผงหรือพระคาถาที่ใช้ในพิธีพุทธาภิเษกนั้น ไม่ว่ารุ่นแรกหรือรุ่นปัจจุบันที่ทำ ก็ใช้วิธีทำการผสม และปลุกเสกเหมือนๆกันทั้งสิ้น ผู้เขียนจึงเข้าใจเพราะประสบการณ์ที่ผ่านๆมา ลูกศิษย์หลายคนประสบมาจึงเหมือนๆ กัน คือแคล้วคลาด ปลอดภัย เมตตา ค้าขาย โชคลาภดีเหมือนๆกัน ทุกรุ่น ไม่ว่ารุ่นเก่าหรือรุ่นใหญ่ๆใช้ได้ดีเหมือนๆกัน

    วิธีการจัดเก็บจัดทำนั้นหลวงปู่ เล่าว่า การเก็บว่านสมุนไพร เกสรดอกไม้ แร่ธาตุมวลสารต่างๆนั้น หลวงปู่ท่านจะทำเองในช่วงแรกๆเมื่อตอนยังแข็งแรงอยู่ แต่ปัจจุบันท่านเก็บไม่ค่อยไหวแล้ว จึงเป็นหน้าที่ของพระมหาเสรีจัดเก็บและหาแทน โดนส่วนมากจะเก็บเอาบนเขาสามยอดที่ได้พำนักอยู่ ว่านที่หาเก็บส่วนมากจะเป็นสุดยอดของว่านที่สำคัญมากก็จะเก็บมากหน่อย เช่น ว่านกลิ้งกลางดง ว่านพระฉิมพลี ว่านสมพันตึง ว่านสบู่เลือดแดง สบู่เลือดขาว ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น ซึ่งใช้มากกว่าว่านชนิดอื่นๆ แต่ก็ต้องหาให้ครบ 108 ว่าน ซึ่งจะทำพระเครื่องได้ครบสูตร แต่ส่วนมากจะเกิน 108 ว่าน เสียด้วยซ้ำเพราะว่านบางชนิดก็จำชื่อไม่ได้หมด ว่านส่วนมากจะดีทางด้านคงกระพันชาตรี และแคล้วคลาดว่านพวกนี้จะมีดีในตัวอยู่แล้ว ยิ่งได้มาผ่านพิธีปลุกเสกด้วยแล้วย่อมเพิ่มพลังอีกมาก ทางด้านเมตตามหานิยมมีทั้งว่านและดอกไม้ เช่น ดอกรัก ว่านเคลือสาวหลง ดอกคูณ ดอกกาหลง ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น เพราะดีทางเมตตามหานิยมโดยเฉพาะเกสรดอกไม้ใช้เกิน 108 ชนิด เพราะใช้น้ำผึ้งเดือน 5 ผสมด้วย ในการทำพระขึ้นชื่อว่าน้ำผึ้งย่อมเป็นที่มาของเกสรดอกไม้ร้อยแปดพันเก้านานาชนิด ของดอกไม้แน่นอน จึงไม่ต้องสงสัยว่าเกิน 108 ชนิด หรือไม่

    ทางด้านมหาอำนาจก็มี พวกว่านฤาษีผสมดอกดาวล้อมเดือน ว่านมหากาฬ ฯลฯ เป็นต้น ทางด้านปลอดโรคปลอดภัยก็มีทั้งว่านดอกไม้และสมุนไพร โดนเฉพาะสมุนไพรที่ใช้ก็ใช้ยาสูตรตำรับยาเทวดาของของหลวงปู่ที่ใช้อยู่เป็นหลัก และที่ นายตี๋ ลูกศิษย์หลวงปู่ที่มีร้านขายยาแผนโบราณก็ได้บดตัวยาแผนโบราณทุกชนิดที่มีอยู่ในร้านมาให้อย่างละบาท นำมาผสมรวมกับผงมวลสารต่างๆร่วมด้วย ซึ่งมีสมุนไพรกว่า 108 พันเก้าชนิดแน่นอนในการทำพระแต่ละรุ่น ว่านที่หาเก็บมาเองก็มาก ในส่วนของมวลสารที่เป็นแร่ธาตุต่างๆ นั้นก็มี เช่น เกล็ดแก้วในถ้ำ พระธาตุ พระธาตุสิวลี แก้วตามังกร ดินไหล แร่บนเขา และเส้นเกศาของหลวงปู่ ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น อื่น ๆ ยังมีอีกมาก

    ในส่วนวิธีเก็บสิ่งสำคัญ ๆ เหล่านี้ต้องเก็บในวันสำคัญ ๆ ทางศาสนา หรือไม่ ก็วันแข็ง เช่น วันอังคาร หรือวันเสาร์ เป็นต้น ตอนเก็บก็ต้องดูว่าเป็นเวลาไหนด้วย เช่น เวลาเช้าก็ควรเก็บพวกลูกดอก ใบ ยอด เป็นส่วนมาก เพราะโบราณถือว่า ตอนเช้ามงคลต่าง ๆ รวมถึงตัวยาจะแรงในส่วนบนสุดของต้น เหมือนราศีของมนุษย์ที่ตอนเช้า ๆ ราศีจะอยู่ที่หน้า ฉะนั้น คนเราตอนเช้าจึงต้องล้างหน้าเพื่อให้แช่มชื่นสดใส มีราศี เวลากลางวันจะจัดเก็บพวกลำต้น แก่น กระพี้เปลือกเป็นส่วนมาก เพราะมงคลและตัวยาจะแรงกว่าส่วนอื่น เหมือนมนุษย์ที่ราศีจะเลื่อนมาอยู่กลางหน้าอกในตอนกลางวัน คนโบราณจึงชอบที่จะอาบน้ำหรือนำน้ำมาลูกหน้าอก เพื่อความชื่นบานเย็นสบาย

    ส่วนตอนเย็น จะเก็บพวกหัวเหง่ารากเป็นส่วนมาก เพราว่ามงคลและตัวยาจะแรงมากกว่าส่วนอื่นๆของต้น เหมือนมนุษย์ที่พอเย็น ๆ แล้วราศีจะเลื่อนมาอยู่ที่เท้า ฉะนั้น คนโบราณจึงล้างเท้าเพื่อเป็นมงคลราศีก่อนเข้านอนนั่นเอง ตอนจะเก็บ ยังถือว่าเคล็ดอีกว่า ต้องขออนุญาต (พลี) สิ่งที่จะเก็บก่อนทุกครั้ง (คือลักษณะพูดเอง เออเอง นั่นเอง) นอกจากนี้ยังห้ามเงาคนเก็บไปบังทับสิ่งที่จะเก็บอย่างเด็ดขาด ที่สำคัญ ของบางอย่างโดยเฉพาะพวกแร่ธาตุต่าง ๆ จะต้องจุดธูปเทียนชุมนุมเทวดาขอเจ้าที่เจ้าทางเหมือนกัน ก่อนที่จะนำเอามาเป็นการบอกกล่าว เพราะของบางสิ่งบางอย่างมีเจ้าของรักษาดูแลอยู่ เมื่อได้มาพอแล้วก็นำมารวมกันทำพิธีเสกเสียครั้งหนึ่งก่อนก็จะดี คือเสกขณะที่ยังไม่ได้บด ไม่ได้ทำอะไรเลย เสกว่านทั้งที่ยังเป็นหัวเป็นก้อนอย่างนั้น ก่อนแล้วจังนำมาหั่นซอย

    พวกเป็นหัว ต้องหั่นตามขวางเป็นผ่อย ๆ ห้ามตัดครึ่งก่อนเด็ดขาด เพราะโบราณถือ โดยเฉพาะพวกเรียนวิชาหรือของโบราณถือมากห้ามเด็ดขาดของที่ตัดแบ่งครึ่ง โดยเฉพาะพวกหัว ๆ หรือเป็นลูกทั้งหลายต้องผ่าซีก (ผ่าตามยาว) ก่อนทุกครั้ง หรือแล้วแต่อาจารย์แต่ละท่านจะลือกันเอง พอผสมได้ตามสูตรแล้ว ใส่อะไรเท่าไรยังไงเป็นสูตรเฉพาะของใครของมัน ต้องศึกษาเองเมื่อผสมได้ที่แล้วก็เตรียมบล็อกแบบพิมพ์ตามต้องการ ทำพิธีเสกผงและไหว้แม่พิมพ์อีกครั้งจึงลงมือกดพิมพ์ โดยถือเอาวันแข็ง หรือวันสำคัญ ๆ เป็นฤกษ์ และหากมีครูอาจารย์อยู่ด้วยก็ควรให้ครูอาจารย์เป็นท่านแรกกดพิมพ์เป็นปฐมฤกษ์ เพื่อเป็นสิริมงคลในการสร้างพระเครื่อง โดยกดแต่ละองค์ก็ต้องมีพระคาถากำกับลงไปทุกองค์ ซึ่งคาถานั้นแล้วแต่จะให้ดีหนักไปทางนั้น หรือแล้วแต่ที่เรียนมาของแต่ละสำนักอาจารย์ พอกดผงออกมาเป็นองค์พระเสร็จ ก็นำผึ่งลมจนแห้งสนิทดีแล้ว นำมาให้อาจารย์ปลุกเสก การสร้างพระเครื่องหลวงปู่เรืองบนเขาสามยอดในแต่ละรุ่นแต่ละองค์ได้นำมาให้หลวงปู่ปลุกเสกเดี่ยวมาตลอด ครั้งละนานๆ พอถึงวันสำคัญมาก ๆ เช่น วันเสาร์ 5 วัน สุริยุปราคา วันเกิดหลวงปู่ ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น ก็นำออกมาทำพิธีปลุกเสกใหญ่อีกครั้ง แล้วนำมาแจกจ่ายให้เช่าบูชาทำบุญกัน ส่วนที่เหลือเก็บไว้ในห้องพระ ให้หลวงปู่ปลุกเสกต่อเรื่อย ๆ ทุกคืน จนกว่าจะหมด
     
  9. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    ประวัติหลวงปู่เรือง อาภัสสะโร (3)
    ประสบการณ์ของผู้เขียน...เกี่ยวกับหลวงปู่เรือง
    เมื่อปี พ.ศ. 2535 ผู้เขียนอยู่ อ.ชุมพวง จ.นครราชสีมา ได้ฝันไปว่ามีพระภิกษุชราองค์หนึ่งมาหา ผู้เขียนถามว่า หลวงปู่อยู่ที่ไหน? ท่านบอกว่า อยู่ที่เขาสามยอด เมื่อตื่นตอนเช้า ได้สอบถามคนที่รู้จักว่า เขาสามยอด อยู่ที่ไหน? ก็ไม่มีใครรู้จัก จนเหตุการณ์ผ่านไปได้ประมาณ 4 เดือนกว่า ผู้เขียนได้มาเข้าปริวาสกรรมที่ อ.ท่าหลวง และได้รู้จักกับโยมท่านหนึ่ง พร้อมทั้งสอบถามเรื่องเขาสามยอด จึงรู้ว่าเขาสามยอดอยู่ที่ จ.ลพบุรี ผู้เขียนจึงเดินทางมาที่ จ.ลพบุรี เพื่อถามหาเขาสามยอด ได้สอบถามชาวบ้านแถวนั้นจั้น ชาวบ้านได้เล่าเรื่องหลวงปู่ให้ผู้เขียนฟัง จากนั้นผู้เขียนจึงเดินทางขึ้นไปบนเขาสามยอดเพื่อหาหลวงปู่ แต่ก็ไม่พบ หลงทางบนเขาสามยอดเสียจนเกือบมืด จึงเดินทางกลับ

    ต่อมาผู้เขียนได้ไปจำพรรษากับ หลวงพ่อคูณ วัดบ้านไร่ จ.นครราชสีมา ในปี พ.ศ. 2536 หนึ่งพรรษา เพื่อเรียนวิชากับหลวงพ่อคูณ ในระหว่างพรรษาได้ฝันเห็นหลวงปู่องค์เดิมอีก บอกให้ไปหาที่เขาสามยอด แต่ผู้เขียนไม่ได้ไปหา จนใกล้เข้าพรรษา พ.ศ.2537 ผู้เขียนได้ฝันเห็นหลวงปู่องค์เดิม บอกให้ไปหาท่าน ผู้เขียนจึงเดินทางไปหาที่เขาสามยอด โดยขึ้นทางน้ำจั้นเช่นเดิม แต่ก็หลงทางจนเกือบมืดอีก จึงกลับไปที่วัดบ้านไร่ ต่อมาใกล้เข้าพรรษา ผู้เขียนได้ย้ายมาจำพรรษาอยู่ที่วัดเขาบ่อทอง ต.สองสลึง อ.แถลง จ.ระยอง ซึ่งมี พระสมุห์ประจักษ์ อุปติสฺโส เป็นเจ้าอาวาส เป็นวัดที่อยู่บริเวณใกล้ๆกับวัดวังหว้า ที่มี หลวงปู่คร่ำ เป็นเจ้าอาวาส ผู้เขียนได้ไปกราบหลวงปู่คร่ำเพื่อศึกษาวิชากับท่านบ่อยๆ วัดเขาบ่อทอง เป็นวัดที่หลวงพ่อโต สร้างขึ้น และหลวงพ่อโตก็เป็นอาจารย์ของหลวงปู่คร่ำ นั่นเอง ผู้เขียนมาจำพรรษาที่วัดเขาบ่อทอง เพื่อศึกษาภาษาขอมหนึ่งพรรษา พอออกพรรษาได้ไม่นานก็ฝันเห็นหลวงปู่องค์เดิมอีก บอกให้ไปหาที่เขาสามยอด จึงออกเดินทางในตอนเช้า เมื่อไปถึง ได้เข้าไปในค่ายทหารที่โรงพยาบาลอานันทมหิดลถามหาทางขึ้นเขาสามยอด จากเจ้าอาวาสวัดวิสุทธิมรรคหลังโรงพยาบาลฯ ตั้งใจว่าหากไปหาไม่พบคราวนี้ ก็จะไม่กลับมาอีก ได้เดินขึ้นไปบนเขาสามยอด เดดินขึ้นเขาไปเรื่อย ๆ จนถึงยอดเขา จึงได้พบหลวงปู่ตามที่ตั้งใจไว้ เมื่อเห็นครั้งแรกมีความรู้สึกว่าขนลุก คือท่านเหมือนพระภิกษุชราที่เห็นในฝันมาก จึงรู้ว่าท่านเป็นหลวงปู่เรืองแน่ เพราะเมื่อคราวก่อนที่หลงทางชาวบ้านแถวนั้นบอกว่า บนเขาสามยอดนี้ก็มีหลวงปู่เรืององค์เดียวเท่านั้น ท่านได้อยู่บนเขาสามยอดนี้ เป็นเวลา 40 กว่าปีแล้ว โดยไม่ได้ลงไปไหนเลย เมื่อพบท่านครั้งแรกเห็นท่านนั่งอยู่ นุ่งห่มเรียบร้อยเหมือนนั่งคอยผู้เขียน จึงทำให้ผู้เขียนขนลุกไปทั้งตัว เข้าไปกราบท่านเสร็จก็สนทนากับท่าน จนใกล้เย็นจึงลาท่านกลับ เรียนท่านว่า หากเสร็จธุระจากทาง จ.ระยองแล้ว จะกลับมาอยู่รับใช้ในช่วงจำพรรษากับหลวงปู่ เพราะเห็นว่าหลวงปู่อายุมากแล้ว(ตอนนั้นอายุ 81 ปี)

    ท่านบอกว่าอนุญาต ทั้ง ๆที่หลวงปู่ท่านชอบอยู่องค์เดียวมาตลอดแต่ท่านก็อนุญาตให้มาอยู่อย่างง่าย ๆ จึงนับเป็นบุญของผู้เขียนอย่างยิ่ง จนใกล้พรรษาจึงได้กราบลา หลวงพ่อประจักษ์ อุปติสฺโส เจ้าอาวาสวัดเขาบ่อทอง เดินทางมาจำพรรษาอยู่กับ หลวงปู่เรือง โดยพาสามเณรลูกศิษย์มาด้วย 1 รูป เมื่อวันจันทร์ที่ 10 ก.ค.2538 ก่อนเข้าพรรษาสองวันเท่านั้น ได้อยู่รับใช้หลวงปู่เรืองจนถึงทุกวันนี้

    หลวงปู่เรือง นอกจากจะเป็นพระปฏิบัติดีปฏิบัติชอบแล้ว คำสั่งสอนที่หลวงปู่มีแก่ลูกศิษย์ที่น่าสนใจอย่างยิ่งเพราะคำสั่งสอนของท่านเป็นการสอนแบบง่ายๆ ฟังง่าย เข้าใจง่าย แต่ลึกซึ้ง ครั้งหนึ่งมีลูกศิษย์จาก กทม.กำลังเรียนอยู่คณะนิติศาสตร์มากราบหลวงปู่คุยกับหลวงปู่อยากเกิดอีกไหม? หลวงปู่ตอบว่า ***ไม่เกิดแล้ว ถามว่า ทำไมไม่เกิดละครับ? หลวงปู่ตอบว่า เกิดชาตินี้ชาติเดียว ***ไม่เกิดอีกแล้ว ผู้เขียนนั่งอยู่ด้วย ฟังแล้วก็คิดถึง พระอรหันต์ ทันที แต่ไม่กล้าตัดสินว่าหลวงปู่หมายความตามที่ผู้เขียนคิดหรือเปล่า แต่ฟังดูแล้วหลวงปู่ไม่ต้องการอะไร และปฏิบัติองค์เดียวบนเขามา 40 กว่าปี แค่นี้ก็พอที่จะนำให้คิดได้ว่า หลวงปู่ปฏิบัติธรรมระดับไหน? ฉะนั้น คำว่า ***ไม่เกิดแล้ว นั้น ก็พอคิดได้ว่าท่านคงละได้สิ้นแล้วนั่งเอง ขอให้ท่านผู้อ่านพิจารณาเอาเอง

    ด้านวัตถุมงคล หลวงปู่ได้อนุญาตให้พระมหาเสรี ซึ่งเป็นศิษย์เอกเพียงองค์เดียวที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดจัดสร้าง โดยหลวงปู่ได้มอบผงและมวลสารต่างๆ ที่หลวงปู่มีอยู่ พร้อมทั้งเส้นเกศาของหลวงปู่ หลวงปู่เมตตาเขียน ยันต์นิสิงเหอิทธิเจปถมัง ยันต์เกาะเพชร เพชรหลีก ฯลฯ เพ่งกสิณบรรจุพลังจิตกดพิมพ์เป็นปฐมฤกษ์ให้ พร้อมทั้งพิธีพุทธภิเษกเดี่ยวตลอดพรรษา แล้วจึงแจกจ่ายให้ ลูกศิษย์ลูกหาที่แบกทรายขึ้นมาบนเขา ซึ่งในวันนั้นมีผู้มาร่วมงานประมาณ 500 กว่าคน อีกส่วนหนึ่งเปิดให้บูชา ซึ่งมีผู้เช่าบูชาเป็นจำนวนมากและหมดไปในเวลาอันรวดเร็ว

    ส่วนหนึ่งของผู้มีประสบการณ์จากวัตถุมงคลหลวงปู่ พระรุ่น (บารมีรุ่งเรือง สุริยุปราคา 38) ได้มีประสบการณ์อันลือลั่นที่ลูกศิษย์ลูกหาพบเห็นกันมากมาย ทั้ง ๆ ที่เป็นพระไหมแต่ราคาเล่นหาแพงมาก อีกทั้งหาบูชาได้ยาก เพราะหมดแล้ว คนที่บูชาก็เก็บไว้ไม่ยอมให้ใครบูชาต่อ จึงมีเสียงเรียกหาจากลูกศิษย์ลูกหากันมาก

    ขอเรียนว่า การสร้างพระเครื่องของหลวงปู่เรือง จะไม่มีการสร้างบ่อยครั้งนัก การสร้างก็จะทำกันเองบนเขา ไม่มีระบบนายทุนหรือศูนย์พระเครื่องไปสร้างให้เป็นแบบพุทธพาณิชย์อย่างเด็ดขาด เคยมีคนไปขอสร้างหลายรายแล้วหลวงปู่ได้ตอบปฏิเสธไปหมด ทางด้านเมตตานี้ อย่าว่าแต่คนเลย แม้กับสัตว์ทั้งหลายก็เช่นกัน หลวงปู่จะเมตตาทั่วไปหมด เพราะบนเขามีสัตว์หลายชนิด เช่น ลิงป่า มีเป็นร้อยๆตัว ไม่เชื่อง แต่กับหลวงปู่กลับจับเล่นได้ ซึ่งคนอื่นอย่าว่าแต่จับเลย แม้เข้าใกล้ไม่ได้เลย ที่หลวงปู่สามารถจับได้ เพราะหลวงปู่เสกข้าวให้กินบ่อย ๆ จนเชื่อง ด้วยพลังเมตตาของหลวงปู่ แม้แต่สุนัขป่าซึงอยู่อาศัยบารมีของหลวงปู่เช่นกัน มาออกลูกให้หลวงปู่เลี้ยงจนเชื่องมาก ใครไปใครมาหาหลวงปู่ เจ้าสุนัขเหล่านี้ก็จะคอยวิ่งรับส่งขึ้นเขาลงเขาวันละหลาย ๆ เที่ยว เรียกว่าใครจะมาหาหลวงปู่ไม่ต้องกลัวหลงทาง ทางขึ้นเขานอกจากจะมีลูกศรสีแดงชี้ตลอดทางแล้ว ยังมีไกต์นำทางเป็นหน่วยคุ้มกันเสร็จอีก 4 ตัว เชื่องน่ารักมาก เรียกว่าปลอดภัยไร้กังวลทั้งไปและกลับ ไม่ต้องกลัวอันตราย จนเป็นที่รักของคณะศรัทธาที่ขึ้นมาหาหลวงปู่โดยทั่วกัน ความเมตตาของหลวงปู่ที่มีต่อมนุษย์และสัตว์โดยแท้ นอกจากลิงจำนวนมาก สุนัขแสนรู้ที่คอยรับส่งแล้ว ยังมีกระรอกสีขาวจำนวนมากที่อยู่รอบ ๆ ที่พักของหลวงปู่ นก หนู ฯลฯ มากมายหลายชนิดทีเดียว ที่มาพึ่งบารมีของหลวงปู่ ด้วยพลังเมตตาของหลวงปู่ที่มีต่อสัตว์ทั้งหลายจึงมีสัตว์ป่ามากมายอาศัยอยู่ด้วย เช่น งูเห่าดงที่แสนเชื่อง นกพิราบขาว และนกนา ๆ ชนิด ที่หายาก หมาป่าก็มาอยู่หลายตัว และออกลูกออกหลานให้เลี้ยง ลิงป่าก็มีเป็นร้อย ๆ ตัว ไก่ป่า กระรอก กระแต ฯลฯ ปัจจุบันหลวงปู่อายุได้ 85 ปี พรรษา 64 อยู่บนเขามา 48 ปี อยู่องค์เดียวในถ้ำพระอรหันต์ฉันข้าวหม้อดิน สมถะสันโดษอย่างไม่น่าเชื่อ ที่สำคัญคืออยู่บนเขามา 40 กว่าปีแล้ว ไม่ยอมลงไปไหนเลย ซึ่งคณะศรัทธาทั้งหลายสนใจอยากขอชมวัตรปฏิบัติของหลวงปู่กันมาก ผู้เขียนซึ่งได้มีโอกาสอยู่รับใช้ใกล้ชิด และพอรู้ประวัติ และคำสอนของหลวงปู่มาบ้างนิด ๆ หน่อย ๆ พอจะได้เขียนเล่าสู่กันฟัง

     
  10. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    ประวัติหลวงปู่เรือง อาภัสสะโร (4)
    ในสังคมที่วุ่นวายทุกวันนี้คนก็พยายามหาที่พึ่งทางใจกันมาก ไปที่ไหนก็มีแต่วุ่นวาย แม้แต่สังคมพระสงฆ์เองก็มีแต่เรื่องวุ่นวาย มีข่าวในทางไม่ดีลงหนังสือพิมพ์แทบทุกวัน จนประชาชนแทบหาที่พึ่งทางใจกันไม่ได้ พระสงฆ์ผู้เป็นสุปฏิปันโณปฏิบัติชอบหมดลงตามกาลเวลาทุกวัน นับว่าน่าเป็นห่วงในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ไหนจะภัยจากต่างศาสนาไหนจะภัยจากคนในศาสนาเดียวกันเอง แต่ใช่ว่าพระผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบ จะไม่มีเสียเลยมีอยู่ แต่น้อยลง ฉะนั้น จึงอยากจะเขียนเล่าถึงพระสงฆ์ผู้ปฏิบัติดีปฏิบัติชอบในวัตรปฏิบัติคือหลวงปู่เรือง ต่อเพื่อเป็นที่พึ่งทางใจของลูกศิษย์ลูกหาอย่างเราๆท่านๆต่อไป หลวงปู่ได้เล่าให้ผู้เขียนฟังว่า สมัยที่ท่านมาอยู่บนเขาใหม่ๆสมัยนั้น ท่านเจ้าคุณพระอุบาลี คุณปรามาจารย์ ได้เดินธุดงค์มาจำพรรษาพักอยู่ถ้ำพระอรหันต์ใกล้ๆ กันเป็นเวลานาน หลวงปู่เล่าว่า ตอนออกธุดงค์ท่านได้พบเจอะเจอพระนักปฏิบัติในสายของ หลวงปู่มั่น ภูริทัตโต หลายรูป และสนทนาธรรมกันอยู่บ่อย ๆ เพราะท่านชอบอยู่ตามป่าเขาลำเนาไพรมาตลอดชีวิตของท่าน ไม่ได้กลัวเรื่องความกันดาร ความยากลำบากอะไร

    หลวงปู่บอกว่า พระพุทธเจ้าท่านลำบากมามากว่าเรา จะอยู่อย่างสบาย ๆ ก็ได้ แต่พระองค์ไม่ทำยอมลำบากเพื่อเรา แล้วเราลำบากแค่นี้ จะไปกลัวอะไร? หลวงปู่เดินธุดงค์อยู่นาน พักค้างคืนในป่า ในเขา ในถ้ำจนเคยชิน จิตใจจึงแข็งแกร่ง และทำจิตสงบได้ง่าย พอสัจธรรมได้ง่าย แต่น่าเสียดายมากที่สมัยนี้ ผู้ไม่เข้าใจในศาสนาส่วนนี้ มีอำนาจมีบทบาทในทางบ้านเมืองพยายามออกกฎหมายมาในลักษณะไม่ไห้พระอยู่ป่าพยายามจะให้พระมาอยู่รวมกัน อยู่ในเมือง เป็นเพราะเขาไม่เข้าใจคำสอนของพระพุทธเจ้า หรือแกล้งไม่เข้าใจไม่ทราบ พระพุทธเจ้าสอนว่า บวชแล้วควรหลีกเร้นออกจากหมู่คณะ หาที่สงบสงัด เร่งปฏิบัติธรรม จงสันโดษ มักน้อย สรุปแล้วก็คือไม่ให้คลุกคลืออยู่ด้วยหมู่คณะนั่นเอง แต่กฎหมายปัจจุบันพยายามให้พระมาอยู่ร่วมกัน เพื่อการปกครองง่าย แล้วความสันโดษ สงบ ลด ละ เลิก จะเกิดได้อย่างไร? อย่าลืมว่าพระพุทธเจ้าไม่ได้ตรัสรู้ในพระราชวัง แต่ตรัสรู้ในป่า โคนต้นไม้ แม้แต่ตอนตรัสรู้จริง ๆ ท่านยังออกมาจากหมู่คณะที่ติดตามเลย

    จะเห็นได้ว่าชั่วชีวิตของพระพุทธเจ้าประสูติ (เกิด) ที่โคนต้นไม้ (ต้นสาละ ณ สุมพินีวัน) ตรัสรู้ที่โคนต้นไม้ (ต้นโพธิ์ที่พุทธคยา) นิพพาน (ตาย) ก็โคนต้นไม้ (ต้นรังที่กุสินรา) พูดได้ว่าชั่วชีวิตของพระพุทธองค์มีแต่ป่าอยู่ป่าเกือบตลอดชีวิต พระพุทธองค์ทรงสอนให้หมู่พระภิกษุประพฤติอย่างนี้ด้วย พระองค์ทรงสรรเสริญผู้มีความเพียรพยายามอยู่เสมอ แล้วนี้อะไรกัน พยายามให้พระอยู่รวมกัน ให้พระอยู่เมือง พระพุทธเจ้าพยายามให้พระลดละเลิกเกียรติยศชื่อเสียง แต่ใช้ชีวิตที่เรียบง่ายสมถะละกิเลส แต่น่าเสียดาย ธรรมะส่วนนี้พุทธบริษัท กลับมองไม่ค่อยเห็น มีตำแหน่ง มีเงินเดือน เคารพกันโดยยศโดยตำแหน่ง แทนที่จะเคารพกันโดยอาวุโส พรรษาแล้วอย่างนี้จะไปโทษใคร ศาสนาใดจะทำลายศาสนาเราได้ ก็เราทำลายกันเองทั้งนั้น

    แม้แต่พระพุทธองค์เอง ยังตรัสไว้เลยว่าศาสนาแห่งตถาคตไม่มีใครทำลายได้หรอก นอกจากพุทธบริษัทสี่นี้แหละที่ไม่สามัคคีกัน ทำลายสัจธรรมกันเอง เช่น สิ่งที่ตถาคตไม่ได้ตรัสไว้ก็บอกตถาคตตรัสไว้ สิ่งที่ตถาคตตรัสไว้ก็ว่าตถาคตไม่ได้ตรัสไว้ บัญญัติเพิ่มเติมกันเอาเอง นี่แหละคือทางเสื่อมแห่งศาสนาเรา บัญญัติในสิ่งที่พระพุทธเจ้าไม่ได้บัญญัติ ถอนบัญญัติที่พุทธเจ้าบัญญัติไว้ดีแล้วออก แล้วพระพุทธศาสนาระอยู่ได้อย่างไร การให้พระมีตำแหน่ง อำนาจ เงินเดือน ก็เท่ากับเอากิเลสมาสุมให้พระนั่นเอง โอกาสที่จะเป็นไปเพื่อลดละเลิก สันโดษ แสวงหา วิมุตตธรรมสู่การหลุดพ้นก็น้อยลง ผู้เขียนจึงเห็นว่าการออกกฎต่าง ๆ ออกมาที่นอกเหนือพุทธบัญญัติก็คือการดูถูกภูมิปัญญาของพระพุทธเจ้านั่นเอง ทำอย่างนี้ก็เหมือนกับว่าพระพุทธเจ้าไม่ทรงภูมิปัญญาพอ จนต้องรอลูกศิษย์มาบัญญัติเพิ่ม จะไม่เป็นการลดภูมิปัญญาแห่งการตรัสรู้ของพระพุทธเจ้าลงหรือ?

    ศาสนาพุทธไม่ได้เหมือนศาสนาใดในโลกที่พอศาสดาของศาสนานั้นตายลง ลูกศิษย์ลูกหาต้องเอามาบัญญัติเพิ่มเติม หรือแก้ไขได้ตามใจ แต่ศาสนาพุทธเป็นศาสนาเชื่อในเหตุในผลในกฎแห่งกรรม และพระพุทธองค์ก็ทรงตรัสเหตุและผลไว้ดีแล้วไยจะต้องบัญญัติเพิ่มเติมอีก เราไม่ต้องไปบัญญัติเพิ่มเติมหรือออกกฎอะไรเพิ่มเติมอีก เอาแต่ธรรมวินัยที่พุทธเจ้าตรัสไว้มาบังคับใช้กันจริง ๆ ก็พอแล้ว เพราะพระพุทธศาสนาสอนเรื่องกฎแห่งกรรมใครทำดีได้ดี ทำชั่วได้ชั่ว หากจะเพิ่มบ้างก็เป็นการเพิ่มโทษในพุทธบัญญัติให้เป็นรูปธรรมมากขึ้นก็พอ เช่นภิกษุรูปใดปราชิก นอกจากการขาดการเป็นภิกษุแล้วต้องลงโทษทางบ้านเมืองให้เหมาะสมอีกด้วย เพื่อเป็นการหลาบจำไม่ต้องไปเพิ่มกฎอื่น ๆ ให้มากความอีก แต่น่าเสียดายยิ่ง ที่ก่อนนั้นพระจะเป็นที่พึ่งทางจิตใจและเป็นผู้นำแล้ว กิจกรรมต่าง ๆ พระจะเป็นผู้นำเสมอ ๆ แต่ปัจจุบันพระเริ่มเป็นผู้ตามเสียแล้ววัดเริ่มหมดความจำเป็นเข้าไปทุกที จึงนำเป็นห่วงยิ่งเพราะกระแสความเจริญทางด้านวัตถุรุนแรงขึ้นทุกทีๆ จนด้านจิตใจพัฒนาตามไม่ทัน

    ทั้งที่จริงแล้ว ด้านจิตใจสำคัญกว่า ยิ่งคฤหัตถ์(ผู้ไม่บวช) ไม่รู้หน้าที่บรรพชิต (ผู้บวช) ไม่รู้ธรรม ไม่ศึกษาธรรมะ ประกาศธรรม จริงๆจังๆ แล้วมัวแต่ตามโลกอยู่ ศาสนาย่อมดำรงไว้ได้ยากแน่นอน ทั้งหมดนี้บางตอนเป็นความคิดของผู้เขียนเองไม่ได้มีเจตนากระทบกระทั่งใคร แต่ด้วยศรัทธาในพระพุทธศาสนาจริง ๆ จึงเสนอแนะเท่านั้นด้วยเจตนาดี ขอผู้อ่านทั้งหลายพิจารณาเอาเองว่า ควรจะหาทางแก้ไขอย่างไร? เพราะแท้จริงแล้วพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาของมนุษย์ทุก ๆคน ทุกชนชาติ ทุกเผ่าพันธ์ ทุกภาษาและทุกๆชนชั้นวรรณะ เป็นศาสนาสากลของทุกคนนั่นเอง ทุกคนจึงมีส่วนร่วมทำให้สังคมมีความสุขสงบ ร่มเย็นทุก ๆ คน หลวงปู่บอกว่าถ้ามนุษย์หันหน้าเข้าหากันด้วยเหตุผล สังคมนั้น ๆ ก็จะเกิดสันติและหากทุกคนใช้ธรรมาวุธแทนศัสตราวุธเข้าประหารกิเลสในใจของตนจะดีกว่าสิ่งทั้งปวง แล้วคำว่า มนุษย์ ซึ่งแปลว่า ผู้มีใจสูงกว่าสัตว์ทั้งหลาย ก็จะถูกต้องสมบูรณ์ เพราะมนุษย์แท้จริงแล้วก็คือเม็ดฝุ่นที่มีชีวิตก้อนหนึ่งในจักรวาลเท่านั้นเอง แล้วจะเอาอะไรกันหนักหนา

    หากทุกคนเห็นแก่ตัว กอบโกย โกงกิน ชิงดีชิงเด่นกันอยู่ โดยไม่เหลียวดูบุคคลรอบข้างแล้วละก็สักวันท่านเองก็อยู่ไม่ได้เช่นกัน หรือคิดว่า จะอยู่คนเดียวในโลกได้ สังคมต้องเกื้อ***ลกัน มีศาสนาเป็นเครื่องควบคุมอบรมจิตใจซึ่งกันและกันแล้วสังคมนั้น ๆ ก็จะอยู่กันได้โดยสันติ หลวงปู่สอนผู้เขียนว่า ว่าง ๆ มองลงไปในเมืองดูบ้างซิ (ที่อยู่ บนเขามองเห็นเมืองลพบุรีด้านล่างได้ชัดเจน) มองลงไปจะแลเห็นมนุษย์ รถยนต์ เล็ก ๆ วิ่งเป็นแถวๆ ไปตามถนน ไม่ต่างกับขบวนมดขนเสบียงเวลาไปหาอาหารเลย มดต่อสู่ชีวิตเพื่ออยู่รอด และเพื่อการสืบทอดเผ่าพันธุ์แห่งฝูงมด ก็ต่อสู่ชีวิตเพื่ออยู่รอด และสืบทอดเผ่าพันธุ์แห่งมนุษย์เช่นเดียวกัน

    แต่ที่มนุษย์และสัตว์ทั้งหลายแตกต่างกันก็คือมนุษย์มีสมอง และปัญญาที่ฉลาดกว่าสัตว์ทั้งหลาย ฉะนั้นการอยู่การกินจึงประณีตกว่าสัตว์ทั้งหลายอีกอย่างหนึ่งที่มนุษย์เหนือกว่าสัตว์ทั้งหลายที่เห็นได้ชัดเจนเลยก็คือ มนุษย์มีธรรมะกว่าสัตว์ทั้งหลาย หากมนุษย์ขาดซึ่งธรรมะแล้วละก็คงไม่ต่างอะไรกับสัตว์ทั้งหลายแน่นอน ธรรมะจึงเป็นเรื่องจำเป็นและสำคัญมากในสังคมมนุษย์ พระพุทธองค์ทรงอุบัติขึ้นมาก็เพื่อสั่งสอนเหล่ามนุษย์ให้เข้าใจตนเอง คือ สอนว่าให้มนุษย์ทั้งหลายและจากความชั่ว (เพื่อป้องกันสังคมมนุษย์ไม่ให้วุ่นวาย) จงทำแต่ความดี (เพื่อสังคมมนุษย์จะได้เป็นสุข)และทำจิตใจให้บริสุทธิ์สะอาด (เพื่อความสุขที่สุดแห่งสังคมมนุษย์โดยส่วนรวม) เมื่อมนุษย์ทุกคนทำได้ดังนี้แล้ว สังคมโดยส่วนรวมทั้งสัตว์ทั้งหลายและสังคมมนุษย์ก็จะพบแต่สันติสุขโดยแท้ทั่วหน้า นี่คือคำสอนตอนหนึ่ง ที่หลวงปู่เรืองอบรมลูกศิษย์เสมอๆ มา หากจะมีคนเถียงว่า เป็นไปไม่ได้ที่ทุกคนจะทำตามได้ทุก ๆ คน จริงอยู่ในสังคม ไม่มีใครจะทำตามกันได้หมดแต่ใช่ว่าตัวเราเองจะทำไม่ได้เสียเลย เพราะทั้งหมดนี้เริ่มต้นที่เราก่อน แล้วแผ่ไปที่คนอื่น ๆ เช่น ครอบครัวหมู่คณะไปเรื่อย ๆ อย่างน้อยสังคมก็ดีขึ้นแน่นอน ฉะนั้นที่สำคัญที่สุดคือ ต้องเริ่มต้นที่เราก่อนนั้นเอง มีหญิงสาวคนหนึ่ง เป็นภรรยานายทหาร ญาติ ๆ พาขึ้นมาหาหลวงปู่พร้อมกันเล่าว่าที่พาขึ้นมาหลวงปู่ เพราะเมื่อสองวันผ่านมานี้เขาได้กินยาฆ่าแมลง หวังฆ่าตัวตาย สาเหตุเพราะสามีมีภรรยาน้อย ที่พามาอยากให้หลวงปู่เทศน์ให้ฟังหน่อย

    หลวงปู่ก็เทศน์ให้ฟังว่า สามีนะมาทีหลัง พ่อแม่มาก่อน อุ้มท้องเรามาแต่น้อย เลี้ยงกว่าจะโตมาป่านนี้ บุญคุณยังไม่ทันตอบแทนเลยแล้วจะมาตายเพราะคนอื่น มันควรแล้วหรือ? ครอบครัวนั้นมันต้องประกอบด้วยธรรมะทั้งสองฝ่าย ที่จริงสามี ภรรยาทิ้งกันไป ก็เป็นคนอื่น แต่พ่อแม่จะอย่างไรก็พ่อ-แม่ สามีก็ต้องมีธรรมะ จึงจะเป็นพ่อพระของลูก ๆ ภรรยาก็ต้องมีธรรมะ จึงจะเป็นแม่พระของลูก ๆ ลูก ๆ ก็ต้องมีธรรมะ จึงจะเป็นครอบครัวแห่งพุทธได้อย่างถูกต้อง ไม่ใช่เป็นชาวพุทธแต่ในสำมะโนครัวทะเบียนบ้าน เพราะถ้าเป็นแต่ในทะเบียนบ้าน ครอบครัวจะหาความสุขไม่ได้เลย ธรรมะจะมีได้ต้องปฏิบัติ จะมีไม่ได้จากการอ้อนวอน บวงสรวง แต่จะมีได้จากการปฏิบัติเองเท่านั้น ดังพุทธองค์ทรงตรัสไว้ว่า อัตถาตาโร ตถาคต ตถาคต เป็นผู้บอก เธอทั้งหลายเป็นผู้กระทำ นี้ก็หมายความว่า พระพุทธเจ้าสอนให้ปฏิบัติเองนั่นเอง แต่พระองค์ไม่สามารถทำให้ใครได้เลย อีกบทหนึ่งที่พระพุทธองค์ทรงสอนเสมอๆก็คือตถาคตสรรเสริญปฏิบัติบูชามากกว่าอามิสบูชา (บูชาด้วยสิ่งของ) แสดงว่า การอ้อนวอนบวงสรวงสรรเสริญพระพุทธองค์ไม่สรรเสริญเท่าใด แต่ทรงสรรเสริญการกระทำเลยมากว่า เพราะพระพุทธศาสนาเป็นศาสนาแห่งเหตุและผล

    ฉะนั้น ครอบครัวจะมีความสุขได้ต้องช่วยกันและมีธรรมะทั้งสองฝ่าย จะอยู่ด้วยกันได้ หากเอาแต่ใจตนเองโดยไม่ดูคนอื่นแล้วละก็ใครจะช่วยได้เพราะเราเป็นผู้กระทำเอง ครอบครัวจะมีความสุขได้อย่างไร สามีเมาแต่เหล้า ภรรยาเล่นแต่การพนัน ลูก ๆเอาแต่เกเร เป็นต้น เรียกได้ว่าเป็น ครอบครัวมาร เรียกได้ว่าเป็น พญามาร ภรรยาเป็นนางพญามาร ลูกก็เป็นลูกมารไป แล้วในที่สุดครอบครัวก็เป็นครอบครัวมารไป จะมีความสุขกันได้อย่างไร? สรุปแล้วก็คือ หลวงปู่แนะนำให้ใช้ธรรมะตัดสินไม่ใช่ใช้อารมณ์ชั่ววูบมาตัดสินใจ เพราะการฆ่าตัวตายไม่ใช่วิธีแก้ปัญหา แต่จะกลายเป็นเพิ่มปัญหาเสียมากกว่า คือญาติพี่น้องครอบครัว เดือนร้อนตามมาเพราะเราเองอีกมากมาย คนที่เสียใจคือญาติพี่น้องพ่อแม่เราเอง ไม่ใช่คนอื่น พอหลวงปู่เทศน์จบ หญิงสาวคนนั้นกรายลงแล้วบอกกับหลวงปู่ว่า เพราะความเสียใจจึงลืมคิดไปต่อนี้ไปจะไม่ทำอีกแล้ว

    หลวงปู่ได้เล่าให้ฟังว่านอกจากท่านเจ้าคุณนรฯ และท่านเจ้าคุณอุบาลีฯ จะเคยมาหาท่านแล้ว หลวงพ่อกบ วัดถ้ำสาริกา บ้านหมี่ ซึ่งมรณภาพแล้วก็มาหาท่านหลายหน การปรากฏของท่านก็เหมือนท่านเจ้าคุณนรฯคือมาปรากฏเป็นรูปกายและสนทนาธรรมกัน ซึ่งมีหลายเรื่อง แต่มีอยู่เรื่องหนึ่งที่หลวงปู่เล่าให้ผู้เขียนฟังว่าหลวงพ่อกับแนะนำให้หลวงปู่ลงไปสอนธรรมโปรดชาวบ้านข้างล่าง หลวงปู่บอกว่า ไม่ลงไปหรอก ลำพังตนเองก็ยังสอนเอาตัวเองยังจะเอาตัวไม่รอดแล้ว ขออยู่บนนี้เอาตัวเองรอดก่อนดีกว่ายิ่งมนุษย์ปัจจุบันนี้ด้วนแล้ว สอนยากสอนเย็นเหลือเกินอยู่ด้วย ขนาดพระพุทธเจ้าเองตอนตรัสรู้ใหม่ๆ พระองค์ยังแทนจะไม่สอนไม่ประกาศธรรมเลยแต่ด้วยน้ำพระทัยอันยิ่งใหญ่ที่เรียกว่าพระมหากรุณาธิคุณ ที่กว้างใหญ่ไพศาลนั้น พระองค์จึงทรงเสก็จออกประกาศสัจธรรม เพราะผู้ที่จะรู้และพอรู้ในพระธรรมของพระองค์ยังพอมีอยู่ แต่หลวงปู่เป็นพระธรรมดารูปหนึ่งเท่านั้น จึงจำเป็นต้องเอาตัวเองรอดก่อน คือรู้จริง ๆ ก่อนแล้วจะสอน คือหลวงปู่บอกว่ากลัวสอนผิดเพราะแทนที่จะดีช่วยศาสนา กลับเป็นการทำลายพระสัจธรรมทำลายศาสนาทางอ้อมไปนั่นเอง หลวงปู่จึงไม่รับคำนิมนต์ของหลวงพ่อกบ แต่ใช่ว่าหลวงปู่จะไม่สอนเสียเลยทีเดียวคือหากมีใครขึ้นมาหา ขอคำแนะนำข้อวัตรปฏิบัติหลวงปู่ก็แนะนำเหมือนกัน แต่ส่วนมากแล้ว คนที่ขึ้นมากราบหลวงปู่นั้น ส่วนมากจะมาขอโชคลาภเสียเป็นส่วนมาก หลวงปู่บอกกับผู้เขียนว่า ให้ธรรมะเขาไปปฏิบัติเขาก็ไม่ค่อยเอา ที่จริงแล้วหลวงปู่จะไม่ให้โชคลาภใครทั้งนั้น แต่คนชอบไปตีความเอาเองเสียเป็นส่วนมาก ว่าหลวงปู่ให้บางคนก็โชคดีก็มีเหมือนกันแต่หลวงปู่จะสอนแต่ให้ทำความดีให้ประพฤติปฏิบัติอยู่แต่ในศีลในธรรมเสียเป็นส่วนใหญ่

    หลวงปู่บอกว่า เรื่องโชคลาภนั้นก็เหมือนธนาคารนั่นแหละ ไม่ได้ฝากเงินที่ธนาคารจะไปเบิกเงินจากธนาคารได้อย่างไรถึงเบิกได้ก็ต้องติดหนี้เขา ต้องมีหลักฐานค้ำประกัน ต้องเสียดอกเบี้ยตลอด เช่นเดียวกับโชคลาภไม่เคยทำบุญสร้างสมบุญไว้แล้วจะไปมีโชคลาภได้อย่างไร ถึงได้มาก็ต้องได้รับความเดือนร้อนให้ต้องได้ใช้เงินที่ได้มานั้นในเวลาอันรวดเร็ว ดังคนโบราณว่าไว้ว่า สิ่งของที่ได้มาด้วยมิชอบเป็นของร้อนย่อมหมดง่าย และใช้ประโยชน์ในเวลาอันรวดเร็ว ซึ่งข้อนี้ผู้เขียนเองก็เชื่อ เพราะเคยเข้าไปสอนนักโทษในคุกมา ได้สอบถามพวกชอบปล้นจี้ดูว่าเงินทองที่เขาได้มาในทางไม่ชอบทีละมากมายไปไหนหมด? เขาบอกว่าเอาไปเล่นการพนัน เที่ยวสนุกสนานหมด เพราะของนั้นมันได้มามิชอบเป็นของร้อนนั่นเอง ฉะนั้น คนที่ไปขโมษเข้ามาปล้นจี้เขามาคดโกงเขามา ได้มาทางมิชอบ ผู้ได้มาย่อมไม่เป็นสุขและหมดไปในเวลาอันรวดเร็ว แน่นอนเพราะกรรมมันมีจริง

    เรื่องดูหมอ หลวงปู่ก็ดูเป็นพิธีเท่านั้น ดูให้ฟรีทุกคน แท้จริงแล้วหลวงปู่ดูให้เพื่ออบรมสอนธรรมะให้ไปใช้นั้นเอง เรื่องดีเรื่องชั่วใครจะไปรู้ดีเท่าตัวของตัวเองเล่าใครทำอย่างไรย่อมได้อย่างนั้นอยู่แล้ว จะเร็วหรือช้าเท่านั้นเอง จะต้องได้รับผลการกระทำที่ตนกระทำนั้นแน่นอนใครอื่นจะไปรู้ดีเท่าตนเองได้เล่าว่าทำอะไรเพราะผลกรรมในอดีตก็จะส่งผลในปัจจุบัน ผลของการกระทำในปัจจุบันจะเป็นตัวชี้อนาคตเอง แต่ขึ้นชื่อว่า คนแล้ว ย่อมเข้าข้างตนเองเสมอ ไม่อยากให้ตัวเองลำบาก อยากให้ตนเองมีความสุข อยากให้คนอื่น ๆ มารัก มาเข้าใจ แต่อย่าลืมว่า คนอื่น ๆ เขาก็ต้องการเหมือนตนเองเหมือนกัน ฉะนั้น ไม่อยากเสียใจก็อย่าไปทำให้ใครเขาเสียใจ อยากให้คนอื่นๆรักเรามากๆเราก็ต้องรักคนอื่นมากๆ เช่นกัน อยากให้คนอื่นยิ้มให้เรา เราก็ต้องยิ้มให้คนอื่นด้วย ฯลฯ อย่างนี้เป็นต้น เพราะเขาก็มีเลือดมีเนื้อ มีหัวใจ มีทุกข์ มีร้อน มีจิต มีวิญญาณเช่นเรานั่นแหละ ประเภทมือถือสากปากถือศีล อย่าได้กระทำเลย หลวงปู่สอนเช่นนี้เสมอ จงเอาใจเขามาใส่ใจเราจะดีกว่า เอาใจเราไปใส่ใจเขา ยิ่งชาวพุทธเดี๋ยวนี้ด้วยแล้ว หลวงปู่บอกว่านับถือพระพุทธศาสนาไม่เป็น คือได้แต่ นับ กับ ถือ ไม่นำไปสู่การปฏิบัติอย่างแท้จริง จึงมีคนต่างศาสนา ต่างลัทธิพยายามพูดลักษณะโฆษณาชวนเชื่อว่า คนที่นับถือศาสนาพุทธมักจะโง่ ยากจน ตามสังคมไม่ทัน สู่นับถือศาสนาของเขาไม่ได้ มีแต่ร่ำรวย ฉลาด เจริญ ฯลฯ ถึงขนาดเขียนป้าย โฆษณาแผ่นเหลือง ๆ ตัวโตๆ ติดตามต้นไม้ข้างทางหลวงทั่วไปหมด ทำให้เสียธรรมชาติ ผู้เกี่ยวข้องน่าจะดูแลด้วย หลวงปู่บอกว่า หากเราดูคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้าให้ดีแล้ว จะมีอยู่ 2 อย่าง คือ สอนบรรพชิต (ผู้บวช) อย่างหนึ่ง สอนคฤหัสถ์ (ผู้ไม่บวช) อีกอย่างหนึ่ง คือสอนไว้ต่างกัน สอบบรรพชิต (นักบวช) ว่าเมื่อบวชเข้ามาแล้ว ให้ศึกษาธรรมะให้เข้าใจและนำไปปฏิบัติเพื่อปล่อยปละละว่างซึ่งกิเลส อวิชชา ทำปัญญาให้แจ้งแล้วช่วยเหลืออบรมสั่งสอน โปรดสัตว์โลกต่อไป นั่นก็คือสอนเรื่อง ศีล สมาธิ ปัญญา นั่นเอง สอนคฤหัสถ์ (ผู้ไม่บวช) ว่าให้รู้จักขยันทำมาหากินโดยสุจริต อดทน อดออม รักษาศีล ลดละเลิกในอบายมุข ช่วยเหลือสังคม เป็นต้น (ดังคำสอนในคิหิปฏิบัติ หรือฆราวาสธรรมา) คือสอนในเรื่อง ทาน ศีล ภาวนา นั่นเอง แต่พุทธบริษัทกลับไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธองค์ กลับประพฤติสามคำสอนโดยสิ้นเชิง บรรพชิตก็ได้แต่สอน สอนผิดสอนถูกจนเห็นชัดเจนคือ บรรพชิตต้องสันโดษ ลดละเลิกกลับกลายเป็นเดี๋ยวนี้พระกลับอยู่ตึก ญาติโยมอยู่กระต๊อบ พระอยู่อย่างสะดวกครบทุกอย่าง ในขณะที่ญาติโยมกลับยากจนติดหนี้มากทุกวัน นี่คืออะไร? คฤหัสถ์ละ บรรพชิตกลับเอาคฤหัสถ์เริ่มปฏิบัติมากขึ้น เข้าป่ามากขึ้น บรรพชิตกลับเข้าเมืองมากขึ้น เข้าป่าน้อยลง เป็นลักษณะทวนกระแสโดยสิ้นเชิง ที่ว่าคฤหัสถ์ยากจนลงอีกข้อก็คือ ชาวพุทธเราชอบที่จะนับถือแต่ไม่ปฏิบัติคือเรียกว่า นับ กับ ถือ

    ที่ว่านับถือวันนั้นวันนี้เป็นวันพระ แล้วก็พากันไปวัด ไปขอศีล 5 ศีล 8 กัน พอนับได้ 5 ข้อ 8 ข้อ แล้วก็ถือไว้ มีบางพวกเข้าวัดนับถืออีกแบบหนึ่ง คือเข้าไปนับว่าของวัดมีอะไรบ้าง พอจะกลับบ้านก็ถือของนั้นกลับไปด้วย นับถือแบบนี้ยิ่งแน่ไปใหญ่ พระพุทธเจ้าสอนคฤหัสถ์ว่า อบายมุขไม่ดีเที่ยวกลางคืน ดูการเล่น เล่นการพนัน คบคนชั่ว เป็นมิตร เกียจคร้านการทำงาน เสพสิ่งเสพติด มันไม่ดี เป็นอบายมุข เป็นทางเสื่อม เป็นส่วนใหญ่แล้วชาวพุทธเราปฏิบัติตามหรือเปล่า เชื่อฟังหรือเปล่า ก็ทั้งเชื่อและฟังนั่นแหละ แต่ไม่ปฏิบัติตาม เพราะพอปฏิบัติก็สวนกับคำสอนของพระพุทธองค์โดยสิ้นเชิง คือเที่ยวเตร่ งานการไม่ทำเล่นหวย เล่นเบอร์ คบแต่พวกเกเร มั่วสุมสิ่งเสพติด หาได้เอาธรรมะคำสอนของพระพุทธองค์ไปใช้เลยแล้วจะเจริญได้อย่างไร? เพราะสิ่งที่ทำมีแต่ความเสื่อมทั้งนั้น แล้วจะว่าพระพุทธศาสนาไม่ได้ช่วยได้อย่างไร? นับถือศาสนาลักษณะนี้คือนับถือแต่คำพูดแล้วจะไม่ให้เขาว่า นับถือพระพุทธศาสนาแล้วยากจนได้อย่างไรกัน มันก็ทั้งยากและจนอยู่นั้นเอง หากไม่นำไปสู่การประพฤติปฏิบัติอย่างจริงจัง บรรพชิต (นักบวช) ก็เช่นกัน ถ้าตราบใดปากยังพูดพุทธพจน์ แต่ใจยังกบฏต่อธรรมะอยู่ ตราบนั้นศาสนาย่อมจะเจริญไม่ได้แน่นอน ถึงจะมีวัดมากมาย มีบรรพชิตมากมาย ก็ไม่สามารถจะเผยแพร่พระพุทธศาสนาได้กว้างแน่นอน เพราะการเทศนาสักร้อนกัณฑ์ก็ไม่เท่าสู้ปฏิบัติให้ดูเพียงครั้งเดียว หลวงปู่จึงพูดให้ผู้เขียนฟังเสมอว่า คนปัจจุบันนี้ฉลาดแต่ทางโลก แต่โง่ทางธรรมขึ้นทุกวัน หรือลักษณะด๊อกเตอร์ทางโลก อนุบาลทางธรรมนั่นเอง คือทางโลกฉลาดมากเจริญทางด้านวัตถุมากมาย(ทางกาย) แต่ทางธรรม(ทางจิต วิญญาณ นามธรรม) เสื่อมโทรมลงทุกวัน สังคมให้ความสำคัญทางด้านวัตถุมากจนเกินไป จนลือทางด้านจิตใจ ในที่สุดสังคมก็วุ่นวายขึ้นทุกที การใช้แต่ความรู้สมัยใหม่ เลี้ยงลูกเป็นวิธีการที่ใช้เลี้ยงสัตว์ ไม่ใช่เลี้ยงคน เพราะคนเริ่มเลวลงทางด้านจิตใจทั้ง ๆ ที่วัตถุเจริญขึ้น การเลี้ยงแบบสมัยใหม่จึงผิด ที่จริงแล้วทางด้านจิตใจสำคัญมากกว่า ทุกวันนี้คนป่วยด้วยโรคไม่มีสาเหตุกันมาก ที่จริงแล้วก็คือป่วยจิตนั่นเอง ยารักษาก็ควรเป็นธรรมโอสถ จึงจะรักษาได้ผล ยาและเคมีรักษาได้แต่ร่างกาย เท่านั้น หลวงปู่จึงสอนว่า โรคร้ายแรงบางชนิดเกิดจากคนขาดศีล เช่น โรคเอดส์เกิดจากละเมิดศีล ข้อที่ 3 ข้อกาเมในศีล 5 นั่นเอง หากไม่ขาดศีลข้อนี้โรคเอดส์ก็จะไม่เกิดขึ้น ฯลฯ เหล่านี้เป็นต้น ฉะนั้นผู้ประพฤติธรรมเท่านั้นย่อมอยู่เป็นสุข วัตถุเป็นเพียงเครื่องอำนวยความสะดวกทางกายเป็นความสนุกแต่ไม่ใช่ความสุข

    ความสุขเกิดจากความสงบเท่านั้น เพราะความสุขเป็นเรื่องของจิตใจ ความสนุกเป็นเรื่องของกาย นอกจากจะได้ความสุขสงบ จากการประพฤติธรรมแล้ว บุคคลทั่วไปยังรักใคร่เอ็นดูสรรเสริญอีกด้วย ต่อผู้ประพฤติในศีลในธรรมที่เรียกว่า มนุษย์ก็รัก เทวดาก็ชม พรหมก็สรรเสริญ

     
  11. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550
    ประวัติหลวงปู่เรือง อาภัสสะโร (5)
    พระเครื่องหลวงปู่เรือง ปี 2539 รุ่นรุ่งเรืองบารมี แช่น้ำมนต์ วันเกิด 10 มกราคม 2539
    ทางด้าน วัตถุมงคลของหลวงปู่นั้นเป็นที่นิยมกันอย่างแพร่หลายและรวดเร็วมาก จนหมดไปในเวลาอันสั้น พระมหาเสรี ซึ่งเป็นศิษย์คนเดียวของหลวงปู่ที่อยู่รับใช้ใกล้ชิดมาตลอดจนทุกวันนี้ ได้เรียนขออนุญาตหลวงปู่สร้างพระเครื่องอีกรุ่นหนึ่ง คือ รุ่นรุ่งเรืองบาร (ทำบุญวันเกิด 82 ปี หลวงปู่) หลวงปู่อนุญาตให้สร้างได้ และได้ ปลุกเสกพระเครื่องรุ่นนี้ 50 วันเต็ม พระทั้งหมดจัดทำบนเขาสามยอด หลวงปู่กดพิมพ์เป็นปฐมฤกษ์แล้วให้พระมหาเสรี ซึ่งเป็นศิษย์องค์เดียวของท่านทำต่อ โดยไม่อนุญาตให้ใครทำนอกวัดโดยเด็ดขาด

    หลวงปู่เรือง ในตอนนั้นพึ่งเผยตัวจริง ๆ ได้ยังไม่ถึงปีเลย (กลางปี 2538) แต่ออกวัตถุมงคลรุ่นแรกและรุ่นต่อ ๆ มา แต่ละรุ่นก็หมดในเวลาอันรวดเร็ว เป็นที่สนอกสนใจของบรรดาเซียนพระนักเล่นพระนักสะสมพระเครื่อง ตลอดจนลูกศิษย์ลูกหา ได้อย่างกว้างขวาง ในเวลาอันรวดเร็วมาก เพราะวัตถุมงคลของหลวงปู่มีประสบการณ์มากในทุก ๆ ด้าน ที่ผ่านมา มีทั้งแคล้วคลาด เมตตา ค้าขาย กันภัยอันตราย มหานิยม ฯลฯ ล้วนเรียกว่า ไม่เป็นสองรองใครเลยมีเดียว จึงเป็นที่ชื่นชอบของลูกศิษย์ลูกหานักสะสมเป็นอย่างยิ่ง ประสบการณ์ต่าง ๆนั้น มีตั้งแต่ยิงไม่ออกเลยสักนิด เรียกว่าแคล้วคลาดชั้นยอด อุบัติเหตุขนาดรถคว่ำ 3-4 ตลบ รอดมาได้โดยไม่เป็นอะไรเลย หรือเมตตาขึ้นโรงขึ้นศาลชนะคดีความค้าขายคู่แข่งปิดร้านกันเลยก็มี เป็นที่ประจักษ์แก่บรรดาลูกศิษย์ลูกหากันมากมายหลายรายทีเดียว ล้วนบอกกันได้คำเดียวว่า แจ๋วจริงๆ หลวงปู่มีอายุ 85 ปีเศษ บวชมา 64 พรรษา ธุดงค์มาตลอดค่อนชีวิตทั่วประเทศ(ในสมัยก่อน) แล้วมาอยู่บนเขาสามยอดนี้ 40 กว่าปีแล้ว (ตั้งแต่ ปี พ.ศ. 2493)

    จนถึงบัดนี้ไม่ได้ลงจากเขาเลย เป็นเวลาหลายสิบปีมาแล้ว คิดเอาแล้วกันว่า บารมีขนาดไหน? ท่านฉันแต่อาหารพวกผักผลไม้ ฉันมื้อเดียว และฉันปฏิ***ล (รวมกัน) มาตลอด เรื่องกิจวัตรทำวัตรสวดมนต์ เดินจงกรม นั่งสมาธิ เจริญกรรมฐานนั้นเป็นกิจของหลวงปู่ที่ปฏิบัติอยู่เสมอ ๆ อยู่แล้ว ผู้เขียนอยู่รับใช้ใกล้ชิดหลวงปู่ตอนกลางคืนดึก ๆ ตื่นขึ้นมาก็แลเห็นหลวงปู่ท่านนั่งอยู่อย่างนั้นทั้งวันทั้งคืน เป็นอยู่อย่างนี้มาตลอดยังไม่เคยเห็นท่านหลับจริงๆจังๆสักทีเห็นแต่ท่านนั่งนับลูกประคำตลอดเวลา เคยกราบเรียนถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่ทำไมไม่หลับพักผ่อนบ้าง?

    หลวงปู่บอกว่า หลับแล้ว ผู้เขียนถามต่อไปว่า หลับอะไรกัน เห็นแต่นั่งทั้งวันทั้งคืน หลวงปู่บอกว่า ก็นั่นแหละหลับแล้ว ก็หลับใน (จิตสงบในสมาธิ) ยังไงเล่า หลับอย่างฉันหลับนิดเดียวพอ หลับอย่างคุณหลับทั้งคืน ก็ไม่พอหรอก เรื่องนี้เรื่องจริงเพราะพระพุทธเจ้าท่านสอนไว้ว่าคนหลับจะไม่ฝัน คนฝันจะไม่หลับ คือจิตไม่ได้หลับนั่นเอง ฉะนั้น เมื่อจิตหลับจริง ๆ แล้ว จึงไม่ฝัน พระมักปฏิบัติท่านจึงไม่จำเป็นต้องนอนมากอย่างเรา ท่านหลับเพียงชั่งโมงสองชั่วโมงจิตสงบสู่ภวังค์จริงแล้ว การหลับเช่นนี้นิดเดียวก็เพียงพอ

    แต่สำหรับเราปุถุชนนอนหลับทีละ 8-9 ชั่วโมง ตื่นขึ้นมายังไม่หายง่วงนอนเลย คือหลับไม่อิ่มเลยเพราะจิตจริงๆแล้วไม่หลับนั่นเองหลับแต่กายเท่านั้นจึงรู้สึกหลับไม่เพียงพอ และสาเหตุนี้เอง ปุถุชนจึงเครียดเป็นโรคประสาทกันมากขึ้น เพราะไม่เข้าใจในสมาธิตรงนี้นี่เอง แล้วญาณบารมีของหลวงปู่เรือง จะสูงส่งเพียงใด เรา ๆ ท่าน ๆ สุดที่จะวัดได้ แต่ดูจากสัตว์ป่าต่าง ๆ เช่น ลิง หมาป่า กระรอก กระแต ฯลฯ หลวงปู่ท่านแผ่เมตตาจนดูเชื่อง ท่านสามารถจับได้แต่เราอย่าว่าจับเลยขนาดเข้าใกล้ยังไม่ได้มันจะวิ่งหนีทันที มีคนหลายคนพูดว่าขึ้นเขานี่เหนื่อย ๆ พอเห็นหลวงปู่แล้วหายเหนื่อยเลย พอเข้าใกล้ความร้อนก็ค่อยเย็นลง เหมือนพลังแห่งเมตตาบารมี หลวงปู่แผ่เข้าไปหาเขา บางคนบอกว่า ก่อนนั้นใจร้อน มีแต่เรื่อง แต่พอมาพบหลวงปู่หรือแขวนพระของหลวงปู่ไว้ตัวเขาเองรู้สึกใจเย็นขึ้นมาก มีแต่คนอยากคบหาสมาคมด้วยนิสัยใจคอก็ดีขึ้น เรียกว่าเปลี่ยนไปเป็นคนละคนเลยก็ว่าได้ มีหลวงพ่อท่านหนึ่งที่อยู่ทางปักษ์ใต้(มรณภาพแล้ว) ปีหนึ่งท่านจะสรงน้ำ(อาบ) สักครั้งหนึ่ง แต่ท่านเชื่อหรือไม่ว่า หลวงปู่เรืองนานปีมาแล้ว ไม่เคยสรงน้ำเลย แต่ร่างกายของท่านก็สะอาดดี ไม่มีเชื้อโรคเชื้อราอะไร กลิ่นตัวก็ไม่มี บางครั้งออกจะมีกลิ่นหอม ๆ ออกจากร่างกายของท่านเสียอีก ซึ่งเป็นเรื่องแปลกมาก แต่สบงจีวร อาจจะแลดูเก่าไปบ้าง เพราะไม่ค่อยซัก ท่านถือสันโดษ ปฏิบัติในของใช้แบบปัจเวทขณะ คือถือเศร้าหมองปฏิ***ลนั่นเอง ไม่ใช่ท่านขี้เกียจจะซักอะไร ตามธรรมดาแล้วพระที่เป็นสุปฏิปัณโณ (อรหันต์) กับคนที่เป็นพวกวิกลจริต (บ้า) จะมีการกระทำคล้าย ๆ กัน จะต่างกันก็แต่พระอรหันต์ท่านมีสติมีปัญญามีญาณหยั่งรู้ตัวเองอยู่เสมอ แต่พวกคนบ้าจะทำโดยขาดสติ ขาดปัญญาไม่มีญาณอะไรควบคุม เช่น การแต่งกาย การกิน การพูดของพระอรหันต์กับคนบ้าจะคล้ายๆ กัน คือ นุ่งห่มแบบง่าย ๆ กินอยู่แบบง่าย ๆ พูดจาคล้ายเพ้อเจ้อแต่ความหมายต่างกันโดยสิ้นเชิง ตัวอย่างเช่น สมเด็จพระพุฒาจารย์โต (โต พรหมรังสี) ท่านฉันข้าวอยู่แล้วเรียกแมวมากินด้วยกับท่าน ใครเห็นก็ว่าท่านบ้า แต่ท่านกลับบอกว่า เอ็งรู้หรือเปล่า เมื่อชาติก่อนนะ แมวตัวนี้มันเคยเกิดมาเป็นพี่น้องกับฉันฉันอาหารพร้อมกับญาติพี่น้องมันผิดตรงไหน...? อย่างนี้เป็นต้น หรือหลวงพ่อเกษม เขมโก สุสานไตรลักษณ์ จ.ลำปาง ก็เช่นกัน ชอบฉันอาหารที่บูดเสียแล้ว เป็นต้น ถามว่าท่านบ้าหรือเปล่า ? ก็เปล่า แต่ท่านไม่ยึดถือต่างหาก ตัวอย่างเหล่านี้เป็นต้น

    ฉะนั้น พึงเข้าใจหลวงปู่เรืองไว้ด้วยว่า ทำไมท่านไม่เปลี่ยนผ้านุ่งห่มไม่ใช่เพราะท่านขี้เหนียวอะไร แต่เป็นเพราะท่านปล่อยวางแล้วนั่นเอง พระสุปฏิปันโณปฏิบัติดี ปฏิบัติชอบอย่างนี้นาน ๆ จะหาได้สักองค์ ยิ่งในยุคโลกกาภิวัฒน์นี้ด้วยแล้วเขาให้ความสำคัญทางด้านวัตถุกันมาก แม้แต่พระสงฆ์องค์เจ้า ก็ให้ความสำคัญตามโลกไปจะเกือบหมดแล้ว ถือมียศ มีสมณศักดิ์ มีตำแหน่ง มีเงินเดือน จนลืมทางด้านจิตใจแทบหาที่พึ่งทางใจได้ยากยิ่ง แต่ก็น่ายินดีที่พระพุทธศาสนายังมีผู้ที่ยังยึดถือแก่นแท้ และเป็นดังเบรกหยุดยั้งทางด้านจิตใจไว้สักการบูชา ยังพอมีอยู่บ้าง ถึงจะมีน้อยเต็มทีแต่ก็นับว่าโชคดี อย่างน้อยก็ยังมี หลวงปู่เรือง อีกองค์หนึ่ง หลวงปู่เรืองเป็นเสาหลักแห่งศาสนาอีกต้นหนึ่งในยุคที่ศาสนากำลังหลงทาง ที่ยังพอมีไว้เป็นที่พึ่งทางใจได้อย่างมั่นคง ฉะนั้น หากท่านมีโอกาสก็ไม่ควรพลาดที่จะขึ้นมากราบขอศีลขอพรจากหลวงปู่เรืองเสียแต่เดี๋ยวนี้เพราะหลวงปู่อายุมากแล้ว หลวงปู่ไม่ต้องการอะไรจากเราเลยนอกจากคำสอนที่ท่านสอนเสมอ ๆ ให้พวกเราเป็นคนดี มีศีลธรรม เท่านั้นเอง มีคนเคยมาถามบ่อย ๆ ว่าหลวงปู่ปฏิบัติธรรมสายไหน? อาจารย์ไหน? หลวงปู่ตอบว่า ***ปฏิบัติสายพระพุทธเจ้าแล้วก็พระพุทธเจ้าเป็นอาจารย์ของ*** สายอาจารย์อื่น ๆ ***ไม่มีหรอก นอกจากสายตรงคือ สายพระพุทธเจ้าเท่านั้น

    ฟังคำพูดบทนี้จากหลวงปู่แล้วก็น่าเป็นห่วงพระนักปฏิบัติรุ่นใหม่ ๆ เป็นอย่างยิ่งที่ปฏิบัติธรรมตามสายอาจารย์ต่าง ๆ จนแทบถืออาจารย์ของตนเองเป็นสรณะแทนพระพุทธเจ้าเลยทีเดียว เชื่อแต่คำสอนของอาจารย์ตนจนลืมคำสอนของพระพุทธเจ้า จนเกิดการโต้เถียงกันว่า สายอาจารย์อื่น ๆ ผิดสายตนเองเท่านั้นที่ถูก จนเกิดเป็นพรรคเป็นพวกเป็นสายนั้นสายนี้ แบ่งพระออกเป็นนิกายใหม่ ๆ ขึ้นมากันหลายสาย นี่เพราะไม่เดินตามสายพระพุทธเจ้า ไม่ปฏิบัติตามคำสอนของพระพุทธเจ้า ไม่ถือเอาพระพุทธเจ้าเป็นสรณะโดยแท้ แต่กลับไปถือเอาคำสอนของอาจารย์ตนเองเป็นใหญ่ เป็นสรณะนั่นเอง หน้าที่ของนักบวชโดยเฉพาะพระภิกษุสามเณรแม่ชี มีหน้าที่อย่างเดียวคือบวชแล้วเรียนตามคำสอนของพระพุทธเจ้าเท่านั้น และนำไปสู่การปฏิบัติอย่างจริงจัง ไม่ใช่เรียนเอายศเอาศักดิ์เอาตำแหน่งอะไรเมื่อรู้แล้วจริง ๆ แล้ว ก็ออกมาสอนญาติโยมจึงจะถูก หน้าที่นอกเหนือจากนี้ไม่ใช่หน้าที่ของนักบวชหน้าที่ของนักบวชจุดหมายเดียวคือ ดับทุกข์ ได้แล้ว สอนให้บุคคลอื่นดับทุกข์ตาม จึงเรียกว่าถูกต้องโดยแท้ ถ้าไม่ใช่จุดหมายเพื่อดับทุกข์แล้วละก็ ถือได้ว่าเดินสายผิด ไม่ใช่สายของพระพุทธเจ้าแน่ ๆ เพราะพระพุทธเจ้าสอนเรื่องทุกข์กับดับทุกข์เท่านั้น

    ฉะนั้น บารมีธรรมในส่วนนี้ หลวงปู่เรืองจึงมีอยู่พร้อม เพราะท่านเดินสายตรง คือสายพระพุทธเจ้าและถือพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์ เป็นสรณะอย่างมั่นคงแน่แท้ จุดหมายเดียวของหลวงปู่คือ ดับทุกข์ จะเห็นได้ว่า มีโยมมาจากกรุงเทพฯ มาหาหลวงปู่ พอดีหลวงปู่กำลังเดินจงกรมอยู่ โยมท่านนั้นถามหลวงปู่ว่า หลวงปู่ครับกำลังเดินหาอะไรอยู่หรือครับ หลวงปู่ตอบว่า ***กำลังเดินหาพุทธเจ้าอยู่ว่ะ ความหายของท่านก็คือกำลังปฏิบัติธรรมทำให้จิตใจสงบ เจริญวิปัสสนาในส่วนจงกรมอยู่ จุดหมายเพื่อบำเพ็ญบารมีดับทุกข์อยู่นั่นเอง เพราะการปฏิบัติธรรมในส่วนของวิปัสสนานั้นไม่ได้หมายถึงการนั่งสมาธิอย่างเดียว แต่สามารถกำหนดให้เท่าทันจิตในทุกอิริยาบท คือ ยืน เดิน นั่ง นอน มีสตินั่นเอง ในการเจริญสติปัฏฐานสี่แล้วพิจารณาให้เห็นเป็นไตรลักษณ์ อนิจจัง ทุกขัง อนัตตา ในทุกอิริยาบถ ฉะนั้นการเดินจงกรม ก็จัดอยู่ในอิริยาบถหนึ่งของการเจริญวิปัสสนากรรมฐานเช่นกัน เพราะประกอบไปด้วย สติ สมาธิ และปัญญาร่วมด้วย นั่นเอง ทุกวันนี้ มีลูกศิษย์ขึ้นมากราบขอศีล ขอพรจากหลวงปู่มากขึ้น จะเห็นได้ว่า บุคคลที่มากราบหลวงปู่จะมาจากทุกสาขาอาชีพ รวมถึงชาวต่างชาติด้วยก็ยังอุตส่าห์ขึ้นมา เพื่อมากราบหลวงปู่ มีทั้งชาวสหรัฐอเมริกา สวีเดน สิงคโปร์ ฮ่องกง ฯลฯ

    ชาวต่างชาติแท้ ๆ ยังยอมรับในอภินิหารแห่งวัตถุมงคลของหลวงปู่เรือง ถึงขนาดขึ้นเขามาเพื่อกราบหลวงปู่ และขอบูชาวัตถุมงคลไปไว้สักการบูชามากมายทีเดียว ทั้งที่สั่งบูชามาทางธนาณัติจากต่างประเทศก็มีมาก หลังจากที่ผู้เขียน ได้นำเรื่องราวของหลวงปู่เรือง ลงพิมพ์ในนิตยสาร ปรกโพธิ์ มาหลายตอนในช่วงปี 2538-39 แล้ว ก็ได้นิตยสารและหนังสือพิมพ์ฉบับอื่น ๆ นำข่าวนี้ไปลงซ้ำอีกหลายฉบับ ทำให้ผู้คนรู้จักหลวงปู่เรืองมากขึ้น ๆ ขยายแวดวงกว้างออกไปมากขึ้น มีผู้คนแห่แหนกันไปขึ้นเขาสามยอดทุกวัน วันละหลายๆ คณะ ในวันเสาร์อาทิตย์ มีมากเป็นพิเศษ จนลาดวันแน่นขนัดไปด้วยผู้คนที่มาจากทั่วทุกสารทิศ ถึงแม้ว่าจะลำบากในการเดินทางขึ้นเขาที่ต้องปีนป่ายขึ้นไปตามโขดหินอันสูงชันตามไหล่เขาและป่าไผ่ที่เรียงรายไปตลอดทางก็ตาม แต่ด้วยความศรัทธาอันเปี่ยมล้นที่มีต่อหลวงปู่เรือง ทุกคนไม่ยอมท้อแท้ ไม่ยอมท้อถอยต่ออุปสรรคต่างๆแต่ประการใด หลาย ๆ ท่านอยู่ในวัยชรากว่า 80-90 ปี ก็ยังสู้อุตส่าห์หอบพงสังขารที่ไม่แข็งแรงดีนัก เดินๆหยุดๆนั่งพักเมื่อเหนื่อยอ่อนไปตลอดทาง โดยไม่ยอมแพ้ต่อแรงศรัทธาที่มีอยู่มากกว่าจนในที่สุดก็ไปจนถึงกุฏิของหลวงปู่ หนุ่มสาวบางคนเห็นคุณปู่คุณย่า คุณตาคุณยายบางคู่ ช่วยกันพยุงประคองพากันขึ้นเขาสามยอดแห่งนี้แล้ว บอกกล่าวกันว่า ช่างเป็นภาพที่น่ารักน่า บางครั้งบางวัน ก็มีแม่ชีผู้เคร่งครัดในศีลธรรมถือวัตรปฏิบัติอย่างแน่วแน่มั่นคงยิ่งกว่าพระสงฆ์องค์เจ้าบางรูปเสียอีก เพราะพระสงฆ์บางรูปประพฤติปฏิบัติตนย่อหย่อนต่างพร้อยในพระวินัยอย่างน่าละอายนั้นนับวันจะมีมากขึ้น แม่ชีผู้เคร่งครัดในศีลก็ได้พากันขึ้นมากราบไหว้หลวงปู่เรืองด้วยจิตศรัทธานับถือ และได้ขจัดปัญหาข้อข้องใจว่า หลวงปู่เรืองปฏิบัติธรรมอยู่บนยอดเขาแห่งนี้เพียงลำพังรูปเดียวมานานกว่า 40 ปี ได้อย่างไร? เมื่อมาถึงแล้วก็ได้หายข้อข้องใจไปโดยสิ้นเชิง

    ยิ่งเมื่อได้มาสัมผัสกับชีวิตอันสันโดษสมถะของสมณเพศอย่างหลวงปู่เรืองด้วยแล้ว นับว่าคุ้มค่าเพราะนับวันจะหาพระเถระที่น่าเคารพเลื่อมใสแบบนี้ได้ยากยิ่งขึ้นทุกวัน นับเป็นพระบริสุทธิ์สงฆ์โดยแท้จริง บนยอดเขามีอากาศดี ทำให้หลวงปู่มีสุขภาพจิตดีเยี่ยม มีสุขภาพพลานามัยที่ยังคงแข็งแรง ผิดกว่าคนแก่อายุปูนเดียวกันมากมายนัก ในทุกวันนี้จะมีคณะศรัทธาขึ้นมากราบขอศีลขอพรจากหลวงปู่มากมาย แต่หลวงปู่ก็ไม่เคยบ่นไม่เคยคิดที่จะรำคาญใจแต่ประการใด ใครจะให้ทำอะไรหลวงปู่จะสนองศรัทธาทำให้หมด ผู้เขียนพบเห็นเป็นประจำ บางคนขึ้นมาถึงก็เช่าหาบูชาพระเครื่องของหลวงปู่ บางรุ่นที่ยังมีเหลืออยู่แล้วเอาไปให้หลวงปู่ปลุกเสกให้อีก ทั้ง ๆ ที่หลวงปู่บอกว่าปลุกเสกให้อย่างดีแล้วก็ตาม แต่เมื่อเป็นความต้องการของผู้มาเยือน หลวงปู่ก็ทำให้อย่างเต็มใจ โดยผู้ร้องขอหารู้ไม่ว่า การปลุกเสกพระเครื่องแต่ละครั้งนั้นหลวงปู่ต้องทำสมาธิจิตให้เกิดพลังงานชนิดหนึ่งแล้วบรรจุพลังงานนั้นลงไปในพระเครื่องนั้น

    ทุกขั้นตอนหลวงปู่ต้องใช้พลังจิต ต้องใช้ลมปราณอย่างมาก ไม่ใช่ว่าจะนั่งหลับตาเฉยๆแล้วเป่าลมปากใส่วัตถุมงคลที่อยู่ตรงหน้าอย่างไม่ได้ใช้วิชาอาคมอะไรเลย เพราะนั่นเป็นการกระทำที่ขาดความรับผิดชอบ แต่สำหรับหลวงปู่เรืองแล้ว ท่านจะทำให้ด้วยความสำนึกในเมตตาธรรมเป็นอย่างยิ่งและรับผิดชอบในความชั่วดี หากมีผู้นำของท่านไปใช้แล้วเกิดความเดือนร้อน ถูกแทงก็เข้าถูกยิงก็ตาย อย่างนี้แล้วหลวงปู่เองก็คงจะไม่สบายใจเหมือนกัน หากทราบข่าวในทำนองนี้ ปฏิปทาที่น่านับถือหลวงปู่อีกอย่างหนึ่งคือหลายคนเมื่อเช่าพระเช่าเหรียญแล้วนอกจากจะเอาให้ปลุกเสกใหม่แล้ว ยังขอให้ท่านช่วยลงจารอีกด้วย ถ้าเป็นเหรียญก็จารด้วยเหล็ก ถ้าเป็นพระผงก็จารด้วยปากกาเมจิก แต่ถ้าละคนให้หลวงปู่จารคนละเหรียญคนละองค์ ก็คงจะไม่เป็นไรนักคือ เฉพาะเหรียญที่ตัวเองเอาไปใช้เอง แต่นี่บางคนไม่เป็นเช่นนั้น เช่ามา 20 เหรียญ พระผง 20 องค์ ก็เอาให้หลวงปู่จารหมด ทั้ง 40 องค์ หลวงปู่ก็ช่างใจดีจริง ๆ นั่งจารจนหลังขดหลังแข็ง ไม่ปรีปากบ่นสักคำ กินเวลานานไม่น้อยคนที่มากราบหลวงปู่ที่หลังนั่งกันรอแล้วรออีก ไม่รู้เมื่อไรจะหมดสักที(ไม่มีความเกรงใจคนรอต่อคิวข้างหลังเลย) ภาพอย่างนี้จะพบเห็นเสมอบนเขาสามยอดแห่งนี้ จึงขอฝากเป็นข้อคิดสะกิดใจญาติโยมที่ขึ้นมากราบหลวงปู่เรืองว่า เรื่องลงจารพระจารเหรียญนี้น่าจะเพลาๆ ลงบ้าง คือคนละเหรียญ สองเหรียญองค์สามองค์ เฉพาะในส่วนที่ตัวเองนำไปใช้ ก็น่าจะเพียงพอแล้ว ในส่วนที่เอาไปฝากคนอื่น ขอทีเถอะ อย่างรบกวนหลวงปู่จนเกินไปเลย เกรงอกเกรงใจหลวงปู่บ้างนอกจากจะแบ่งเบาภาระไม่ให้หลวงปู่ต้องเหน็ดเหนื่อยมากแล้ว ผู้ให้หลวงปู่จารพระก็ยังจะได้ชื่อว่าเป็นผู้มีมารยาทอันดีงามอีกด้วย คือมีความเกรงอกเกรงใจคนอื่น นอกจากเกรงอก เกรงใจผู้ที่มารอคิว ข้างหลังท่านแล้วยังได้ชื่อว่าเกรงในหลวงปู่อีกด้วย และ นับเป็นมหากุศลเลยทีเดียว

    โดยปกติหลวงปู่จะให้การต้อนรับญาติโยมทุกคนอย่างเสมอหน้ากันหมด ผู้มาก่อนจะได้พบก่อนมาทีหลังก็พบทีหลัง ไม่มีพิเศษกับใครทั้งสิ้น นายพลนายพัน นายร้อยนายสิบ คนรวย คนจนทุกคน ชาวบ้านหรือเศรษฐี เจ้าสัวหรือยาจก ทุกคนเหมือนกันหมด และจะไม่มีการกีดกันอย่างเด็ดขาด หลวงปู่บอกว่าทุกคนที่มาหาคือลูกศิษย์หลวงปู่ทั้งนั้น ฉะนั้นจึงต้องเสมอภาคกันหมดแม้นแต่คนพิการขาแขนด้วน หรือคุณตาคุณยาย อายุ 70-80 ปีแล้ว ที่ยังมานะอดทนขึ้นมากราบชมบารมีหลวงปู่มิได้ขาด ก็เหมือนกันหมด วัตรปฏิบัติประจำวันของหลวงปู่เรืองก็เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลงอะไร เคยปฏิบัติมาอย่างไรก็ปฏิบัติอย่างอย่างนั้น คือ ตื่นนอนตอนตีสองทำวัตรสวดมนต์ นั่งสมาธิภาวนาเจริญเมตตาจนถึงเช้า แผ่เมตตาให้อาหารสัตว์ เช่น ฝูงลิงประมาณ 100 ตัว กระรอก กระแต นก และเหล่าสุนัขป่าที่มาอาศัยอยู่ด้วยกัน ฉันมื้อเดียว เวลา 07.00 น. ฉันข้าวจากหม้อดินและปฏิ***ล (คือเอาอาหารใส่รวมๆกันทั้งหวานคาวลงในบาตร) งดฉันของที่เป็นเนื้อสัตว์ยกเว้น กุ้งหอยปูปลา หลวงปู่จะฉันบ้างเล็กๆน้อยๆส่วนมากจะฉันผักผลไม้แบบไทยๆ ตอนกลางวันหลวงปู่จะไม่มีการพักผ่อนนอนหลับเลย จะนั่งรับแขกทั้งวัน หากวันไหนไม่มีแขก หลวงปู่จะอ่านหนังสือธรรมะไปเรื่อยๆ หลวงปู่สายตาดีมากไม่ต้องใส่แว่นตาเวลาอ่านหนังสือ หลวงปู่จะไม่ไปไหนเลย เพราะไม่รับงานนิมนต์อยู่แล้ว ไม่เคยลงจากเขามาเป็นเวลากว่า 40 ปี แล้ว (ตั้งแต่ พ.ศ. 2493)

    เมื่อวันนี้ 10 ม.ค. 2540 หลวงปู่มีอายุ ฉะนั้น ถ้าพูดถึงพลังจิต พลังญาณ พลังเมตตาแล้วละก็ เรียกว่า ในยุคนี้พระเกจิอาจารย์ อย่างหลวงปู่เรือง ไม่เป็นรองใครแน่ ๆ ดังจะเห็นได้ว่า วัตถุมงคลที่หลวงปู่ปลุกเสกออกมาในแต่ละรุ่นล้วนมีประสบการณ์มาก เป็นที่ประจักษ์ชองบรรดาลูกศิษย์ลูกหาไม่ว่าทางแคล้วคลาดมหาอุดมหานิยม ทางเตตาด้วยค้าขาย ล้วนแต่ชั้นเลิศทั้งสิ้น ดังที่เคยได้เขียนประสบการณ์ในเรื่องต่าง ๆ ที่ผู้ประสบมาเล่าให้ฟังแล้ว พระเครื่องของหลวงปู่เรือง ที่ทำออกมาในแต่ละรุ่นนั้น ล้วนผ่านกรรมวิธีที่ยุ่งยากมากมาย และทำเป็นจำนวนน้อย เพราะหาว่านหาผงลำบากจึงเป็นที่เสาะแสวงหาของบรรดาลูกศิษย์ลูกหากันมาก และมีประสบการณ์ทุกรุ่น ขอยกตัวอย่างอีกเรื่องหนึ่ง คือ ร.ต.ชิน อ่อนสิงห์ อดีตทหารผ่านศึกสงครามเวียดนาม ที่ประสบมากับตนเอง โดยได้แขวนพระหลวงปู่เรืองรุ่นแรก (พ.ศ. 2500) เนื้อฝักทอง ซึ่งทุกวันนี้ก็ยังแขวนอยู่ แกเล่าว่าตอนวัยหนุ่มได้อาสาไปสงครามเวียดนาม ฐานที่แกอยู่โดนโจมตีจากทหารเวียดกง และเวียดนามเหนืออยู่บ่อยๆ วันเกิดเหตุ ก็โดนฝ่ายศัตรูถล่มอีกเช่นเคยตอนใกล้สว่าง การต่อสู่ชนิดแทบประชิดตัว ตะลุมบอนไม่รู้ว่าใครเป็นใคร เรียกว่าเจอเป็นยิงอย่างเดียว ร.ต.ชิน อยู่หลุมด้านหน้า พอแกยิงเสร็จก็ก้มลงบรรจุลูกกระสุนและลุกขึ้นจะยิงต่อ เป็นจังหวะที่ฝ่ายตรงข้ามยิงมาพอดี กระสุนโดนหน้าอกแกอย่างจังเซล้มลงนึกว่าเสร็จแน่ ๆ คราวนี้ ใจนึกถึงพ่อแก้วแม่แก้วแล้วรีบเอามือคลำดูรู้สึกเจ็บๆ แต่ไม่มีเลือดออก
     
  12. Muang99

    Muang99 เป็นที่รู้จักกันดี สมาชิก Premium

    วันที่สมัครสมาชิก:
    10 กุมภาพันธ์ 2011
    โพสต์:
    4,417
    กระทู้เรื่องเด่น:
    6
    ค่าพลัง:
    +6,550

แชร์หน้านี้

Loading...