มีคำทำนายภัยพิบัติ พระยาธรรมที่ท่านทั้งหลายคิดว่าเชื่อถือได้กันบ้างหรือเปล่า

ในห้อง 'ภัยพิบัติและการเตรียมการ' ตั้งกระทู้โดย zalievan, 24 กันยายน 2018.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    เรื่องบางเรื่องมารมันก็หลอกเราได้เหมือนกันครับ
     
  2. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015

    รู้หน้าไม่รู้ใจ
    ก็ไม่แน่ว่า คนที่ท่านคิดว่า เค้าไม่คู่ควร
    เค้าก็อาจจะเป็น อย่างนั้น จริง
    แต่เพราะว่า มีกรรมต่างกันไป
    หน้าที่ต่างกันไป คนที่ทำหน้าที่ พระยาธรรม
    อาจจะไม่ได้สอนเก่งที่สุด
    แต่ถ้าสามารถ ดึงคนเก่ง มาทำงานให้เค้าได้
    ตัวเองไม่เก่งอภิญญา แต่ใช้คนที่มีอภิญญา
    มาทำงานแทนเค้าได้
    งานของ พระโพธิสัตว์ เป็นงานที่เหลือเชื่อ
    เณรน้อย อาจจะได้เป็น อัญญาสิทธิ์ อัญญาธรรม
    (เณรน้อย หมายถึง ผู้ศึกษาใหม่)
    ตัวท่านเองก็เหมือนกัน
    อาจจะโดนใช้งานแล้ว
    แต่ท่านยังไม่ยอมทำเอง
    ตัวท่านเอง กลับคิดว่าไม่พร้อม
    หากคิดถึงความไม่พร้อม
    ทุกคนที่เกิดมา ไม่พร้อมด้วยกันทั้งนั้น
    จะต้องขาดอย่างใดอย่างหนึ่งไป
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2018
  3. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    มารแปลงร่างเป็นพระพุทธเจ้าปลอมมาหลอกได้

    http://www.tripitaka91.com/91book/book33/051_100.htm
    พระสุตตันตปิฎก เอกนิบาต-ทุกนิบาต เล่ม ๑ ภาค ๒ - หน้าที่ 75

    อรรถกถาสูตรที่ ๘

    ๘. ประวัติสูรอัมพัฏฐอุบาสก
    ในสูตรที่ ๘ พึงทราบวินิจฉัยดังต่อไปนี้.
    ด้วยบทว่า อเวจฺจปฺสนฺนาน ท่านแสดงว่า ปุรพันธเศรษฐี

    อุบาสก [ บาลีว่า สูรอัมพัฏฐะ] เป็นเลิศกว่าพวกอุบาสกอริยสาวกผู้เลื่อมใสไม่หวั่นไหว.

    ดังได้สดับมา อุบาสกผู้นี้ ครั้งพระพุทธเจ้าพระนามว่า ปทุมุตตระ
    บังเกิดในเรือนสกุล กรุงหังสวดี ฟังธรรมกถาของพระศาสดา
    เห็นพระศาสดาทรงสถาปนาอุบาสกผู้หนึ่งไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่า
    พวกอุบาสกผู้เลื่อมใสไม่หวั่นไหว ทำกุศลให้ยิ่งยวดขึ้นไป ปรารถนาตำแหน่งนั้น.
    เขาเวียนว่ายอยู่ในเทวดาและมนุษย์ถึงแสนกัป ในพุทธุปบาทกาลนี้บังเกิดในสกุลเศรษฐี.
    พวกญาติได้ขนานนามว่า ปุรพันธะ. ต่อมาเขาเจริญวัย ดำรงอยู่ในฆราวาสวิสัย
    เป็นอุปัฏฐากของเหล่าอัญญเดียรถีย์.
    ครั้งนั้น พระศาสดาทรงตรวจดูโลกเวลาใกล้รุ่ง
    ทรงเห็นเหตุแห่งโสดาปัตติมรรคของเขา จึงเสด็จไปถึงประตูนิเวศน์ในเวลาเที่ยวแสวงหาอาหาร.
    เขาเห็นพระทศพล จึงคิดว่า พระสมณโคดมทรงอุบัติในสกุลใหญ่
    และเป็นผู้อันมหาชนรู้จักกันอย่างดีในโลก ด้วยเหตุนั้น
    การไม่ไปสำนักของพระสมณโคดมนั้น ไม่สมควร. เขาจึงไปสู่สำนักพระศาสดา
    กราบที่พระยุคลบาท รับบาตรแล้วอาราธนาให้เสด็จเข้าไปเรือน
    ให้ประทับนั่งบนบัลลังก์มีค่ามากถวายภิกษา เมื่อเสร็จภัตกิจ จึงนั่ง ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่ง.
    พระศาสดาทรงแสดงธรรมตามอำนาจจริยาของเขา.
    จบเทศนาเขาก็ดำรงอยู่ในโสดาปัตติผล. แม้พระศาสดาทรงฝึกเขาแล้ว
    ก็เสด็จไปพระเชตวันวิหาร.
    ลำดับนั้น มารคิดว่า ชื่อว่าปุรพันธะนี้เป็นสมบัติของเรา
    แต่พระศาสดาเสด็จไปเรือนเขาวันนี้ ได้ทรงทำให้มรรคปรากฏ
    เพราะฟังธรรมของพระศาสดาหรือหนอ เพียงที่เราจะรู้ว่า
    เขาพ้นจากวิสัยของเราหรือยังไม่พ้น จึงเนรมิตรูปละม้ายพระทศพล
    ทั้งทรงจีวร ทั้งทรงบาตร เสด็จดำเนินโดยอากัปกิริยาของพระพุทธเจ้าทีเดียว
    ทรงพระลักษณะ ๓๒ ประการ ได้ประทับยืนใกล้ประตูเรือนของปุรพันธอุบาสก.
    แม้ปุรพันธอุบาสก ฟังว่า พระทศพลเสด็จมาอีกแล้ว ก็คิดว่า
    ธรรมดาการเสด็จไปชนิดไม่แน่นอนของพระพุทธะทั้งหลายไม่มีเลย
    เหตุไรหนอจึงเสด็จมา ดังนี้ แล้วจึงรีบเข้าไปสู่สำนักพระพุทธองค์
    ด้วยสำคัญว่าพระทศพล กราบแล้วยืน ณ ที่สมควรส่วนข้างหนึ่งกราบทูลว่า
    ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ พระองค์ทรงทำภัตกิจเสร็จแล้วในเรือนของข้าพระองค์
    ทรงอาศัยเหตุอะไรจึงเสด็จมาอีก.
    มารกล่าวว่า ดูก่อนปุรพันธะ
    เราเมื่อกล่าวธรรมไม่ทันพิจารณาแล้วกล่าวคำไปข้อหนึ่ง มีอยู่
    แท้จริงเรากล่าวไปว่า ปัญจขันธ์ไม่เที่ยง เป็นทุกข์ เป็นอนัตตา หมดทุกอย่าง
    แต่ความจริงไม่ใช่ทั้งหมดเห็นปานนั้น ด้วยว่า ขันธ์บางจำพวก ที่เทียง
    มั่นคง ยั่งยืน มีอยู่. ทีนั้น

    ปุรพันธอุบาสกคิดว่า เรื่องนี้เป็นเรื่องหนักอย่างยิ่ง
    ด้วยธรรมดาว่า พระพุทธะทั้งหลาย ตรัสเป็นคำสองไม่มี.
    จึงคิดใคร่ครวญว่า ขึ้นชื่อว่ามารเป็นข้าศึกของพระทศพล ผู้นี้ต้องเป็นมารแน่
    จึงกล่าวว่า ท่านเป็นมารหรือ. ถ้อยคำที่พระอริยสาวกกล่าว
    ได้เป็นหนึ่งเอาขวานฟันมารนั้น. เพราะเหตุนั้น
    มารจะดำรงอยู่โดยภาวะของตนไม่ได้ จึงกล่าวว่า
    ใช่ละ ปุรพันธะ เราเป็นมาร. ปุรพันธอุบาสกจึงชี้นิ้วกล่าวว่า
    มารตั้ง ๑๐๐ ตั้ง ๑,๐๐๐ ก็มาทำศรัทธาของเราให้หวั่นไหวไม่ได้ดอก.
    พระทศพลมหาโคดม เมื่อทรงแสดงธรรมแก่เรา ก็ทรงแสดงธรรมปลุกให้ตื่นว่า
    สังขารทั้งปวงไม่เที่ยง. ท่านอย่ายืนใกล้ประตูเรือนของเรานะ.
    มารฟังคำของปุรพันธอุบาสกนั้นแล้ว ก็ถอยกรูดไม่อาจพูดจา
    อันตรธานไปในที่นั้นนั่งเอง.
    แม้ปุรพันธอุบาสก เวลาเย็นก็เข้าไปเฝ้าพระศาสดา
    กราบทูลกิริยาที่มารทำแล้วทูลว่า ข้าแต่พระองค์ผู้เจริญ
    มารพยายามทำศรัทธาของข้าพระองค์ให้หวั่นไหว.
    พระศาสดาทรงทำเหตุนั้นนั่นแลให้เป็นอัตถุปปัตติเหตุเกิดเรื่อง
    จึงทรงสถาปนาปุรพันธอุบาสกไว้ในตำแหน่งเอตทัคคะเป็นเลิศกว่าพวกอุบาสก
    ผู้เลื่อมใส ไม่หวั่นไหวแล.

    จบอรรถกถาสูตรที่ ๘
    /////////////////////////////////////////////////////////////////

    อดีตพระเกษม อาจิณสีโล(ตาผ้าขาว ป่าสามแยก) ก็โดนมารปลอมเป็นพระพุทธเจ้า และ อัครสาวกมาหลอก และเป็น(อดีต)พระยุคปัจจุบัน รูปแรก ๆ ที่กล้าพิสูจน์พระพุทธเจ้าปลอม

    มารจะหลอกพระรูปอื่น หรือคนอื่นหรือเปล่าไม่แน่ใจ
    แต่เมื่อเห็นว่าเป็นพระพุทธเจ้า คนที่เห็นว่าพระพุทธเจ้ามา ก็ถูกศรัทธา ความกลัวตนจะบาป กลัวเกรงบุญบารมีของพระพุทธเจ้า บังตาหมด ไม่กล้าพิสูจน์


    พระอาจารย์ปราโมทย์ ท่านก็เทศนาอยู่ ว่า วิธีปฏิบัติธรรมที่ทำแล้วนิมิตไปเจอพระพุทธเจ้า นั่งเรียงกัน เห็นเมืองนิพพาน ใช้ไม่ได้

    ผมได้แต่เชื่อตามนั้น


    เจออาจารย์สอนในจิต ไม่ดีเท่าเจออาจารย์ดี ๆ ในภาคมนุษย์หรอกครับ
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2018
  4. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    กายของผู้ที่สิ้นตัณหาแล้วก็ยังตั้งอยู่ชั่วขณะ
    (นิโรธมิใช่ความตาย)

    ภิกษุ ท. ! กายของตถาคตนี้ มีตัณหาอันเป็นเครื่องนำไปสู่ภพถูกตถาคตถอนขึ้น เสียได้แล้ว, ดำรงอยู่. กายนี้ยังดำรงอยู่เพียงใด เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ยังคงได้เห็นตถาคตนั้น อยู่เพียงนั้น. เพราะการทำลายแห่งกาย, หลังจากการควบคุมกันอยู่ได้ของชีวิต เทวดาและมนุษย์ทั้งหลายจักไม่เห็นตถาคตนั้นเลย.
    ภิกษุ ท. ! เปรียบเหมือนเมื่อขั้วพวงมะม่วงขาดแล้ว มะม่วงทั้งหลายเหล่าใด ที่เนื่องขั้วเดียวกัน มะม่วงเหล่านั้นทั้งหมด ย่อมเป็นของตกตามไปด้วยกัน. นี้ฉันใด ; ภิกษุ ท. ! กายของตถาคตก็ฉันนั้น : กายของตถาคต มีตัณหาเครื่องนำไปสู่ภพอันตถาคตถอนขึ้นเสียได้แล้ว, ดำรงอยู่. กายนี้ดำรงอยู่เพียงใด เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย ยังคงเห็นตถาคตอยู่ชั่วเวลาเพียงนั้น. เพราะการทำลายแห่งกาย, หลังจากการควบคุมกันอยู่ได้ของชีวิต เทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย จักไม่เห็นตถาคตเลย.


    http://www.buddhawajana-cri.com/article-detail.php?id=10120
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 ธันวาคม 2018
  5. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015

    เราเคยพูดแล้วว่า
    พยามาร ซ่อนบางอย่างไว้ใน สามปิฏก
    โดยที่ ผู้รจนาปิฏกทั้งสาม ไม่มีโอกาสได้รู้เลย
    เพราะท่านเป็น สายปัญญาธิกะ ไม่มีอภิญญา
    เมื่อไม่อัญเชิญ สมเด็จพระปฐม
    พระพุทธเจ้าทุกพระองค์ พระอรหันต์ทุกพระองค์
    ให้มาช่วยระหว่างที่ท่านกำลังเขียน
    จอมมาร จึงแฝงอยู่ในจิตท่าน
    จน พระเถราจารย์ คิดไปว่า บารมีของเราใหญ่ยิ่งนัก
    ทำให้สามารถ รจนาสามปิฏก นี้ได้
    ความจริงแล้ว คือ บารมีของ
    พระพุทธ พระธรรม พระอริยะสงฆ์ นั่นเอง

    เรื่อง การแบ่งภาคของพระโธิสัตว์
    ก็ยังแปลออกมาอย่างกำกวม
    ความจริงจะต้องแปลว่า
    เมื่อพระโพธิสัตว์ ได้เป็น มหาโพธิสัตว์ แล้ว
    จึงสามารถ ตายแล้วเกิดเป็นมนุษย์คนใหม่ได้ทันที
    เพราะถือ กุศลธรรมบทสิบ จนเป็นนิสสัย
    สามารเลือกที่เกิดใหม่ได้เลย
    จนบารมีเต็มในที่สุด
    เกือบทุกชาติที่เกิด อายุไม่เกิด 20 ปีแค่นั้น
    เพราะป้องกันไม่ให้มีคนมาล่วงเกินท่าน

    หมายถึง เมื่อผู้ที่ฝึกเป็น พระโพธิสัตว์
    เมื่อบารมีใกล้จะเต็มแล้ว
    เหลืออยู่ประมาณ ร้อยชาติเศษๆ
    ก็จะเร่งบารมี ด้วยเกิดตาย เกิดตาย
    จนบารมีเต็ม สามารถ เป็น พระพุทธเจ้าได้
    ซึ่งการ เร่งบารมี เร่งเกิด เร่งตาย อย่างนี้
    พระโพธิสัตว์ทั่วไป ยังทำไม่ได้
    เพราะศีลห้ายังไม่เข้มแข็ง
    ประการสำคัญคือ กุศลธรรมบทสิบ ยังง่อนแง่น
    เรียกว่า บารมีทางธรรมยังน้อย จึงยัง เร่งบารมีไม่ได้


     
  6. เพลงพรายพิญ

    เพลงพรายพิญ The Myth 2077

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2018
    โพสต์:
    1,211
    ค่าพลัง:
    +1,996

    1,000,000 Liked
     
  7. Cheewin...

    Cheewin... อิ่มแล้ว...ไปต่อไม่ไหวแล้ว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2018
    โพสต์:
    1,195
    ค่าพลัง:
    +1,514
    รู้สึกว่าท่านจะเล่นเบาไปนะครับ แค่นี้ไม่สามารถทำให้จิตใจคนนั้น รู้สึกได้หรอก
     
  8. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    opbxfx6sfXFKKIzwi7g-o.jpg
    ???????????????????????????~!!
     
  9. Cheewin...

    Cheewin... อิ่มแล้ว...ไปต่อไม่ไหวแล้ว

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 กันยายน 2018
    โพสต์:
    1,195
    ค่าพลัง:
    +1,514
     
  10. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ไม่ใช่ "การอวตารเป็นการสร้างกายใหม่" โดยกำหนดเป็นร่างโง่ๆ(กายทิพย์) โดยปกติเราจะคุมมันเองเพราะมันคือกายเนรมิตของเราด้วย อัตตาตัวเดียวแต่คุมหลายกาย
    แต่การอวตารคือการ สร้างอัตตาจิตขึ้นมาใหม่ในกายนั้นโดยการเดินจิตของเรา กายนั้นย่อมเกิดเป็นตนใหม่ขึ้นมาซึ่งไม่ใช่ตนของเราแต่เกิดจากความเป็นตนของเรา ซึ่งมันไม่เกี่ยวอะไรกับบารมีเลย แต่คนอื่นๆไม่รู้จะทำไปทำไมนอกจากพระโพธิ์ที่ทำเพื่อสร้างบารมี โดยเมื่ออัตตาตัวนั่นตกสู่ภูมิมนุษย์จะปฏิสนธิเกิดและตายจึงค่อยดึงอัตตาออกและรวมมันกลับเข้ามาเป็นตนเดียวเพื่อรวมบารมีในสิ่งที่ตัวอวตารได้ทำมา
     
  11. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015

    ผู้ใดสมควรสอน เราก็สอน
    ผู้ใดสมควรชม เราก็ชม
    ผู้ใดสมควรด่า เราก็ด่า
    แต่ทั้งหมดทั้งหมด เราเตือนพวกท่าน
    เพื่อให้พวกท่านตื่น จากการหลงทาง(อวิชชา)
    เพื่อไปทำงาน ตามที่ท่านได้อธิษฐานขอมา
    งานของพระยาธรรม ยังมีอยู่
    ยังมีโอกาสได้ทำอยู่
    พวกท่านอย่าได้ทิ้งโอกาสเดียวนี้เลย
    เริ่มต้นทำงาน ก็คือ การสอนธรรม
    สอนศีลห้า กุศลธรรมบทสิบ
    ง่ายๆอย่างนี้ ก็เป็น งานของพระยาธรรม
    และ พระศรีอาริย์ เช่นกัน
     
  12. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    การสร้างอัตตาจิตของพระโพธิสัตว์ มาสร้างบารมีค่อยรวมบารมีทีหลังนี่ผมยังเชื่อได้อยุ่นะ
    แต่ เรื่องภาคจิตของพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานไปแล้ว หรือพระพุทธเจ้าที่ปรินิพพานไปแล้วมาให้เห็นนี่ ทำใจให้เชื่อลำบาก
     
  13. เพลงพรายพิญ

    เพลงพรายพิญ The Myth 2077

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 กันยายน 2018
    โพสต์:
    1,211
    ค่าพลัง:
    +1,996
    ข้าเจ้าเป็นสาวเจียงใหม่
    บ่ฮู้เต้าได๋. ก็ “อวตาร” เสียแล้ว
    คืนวัน ยลยินเสียงแผ่ว
    Avatar มาแซว ว่านิพพานไม่สูญ



    ฮ่วย....นิพพานก็สูญญ บ่มีเหลือดอกหนา
    ที่เห็น นั้นมัน. ร่างทรง
    หรือ ไม่พ้น ฉกามพาวจร
     
  14. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015

    กายพันกาย ที่ท่านบอกนั้น
    มันก็เป็นคือ เพียง อภิญญาอย่างหนึ่ง
    คือ การเสกกายเป็นพัน เป็นหมื่นกาย
    แต่มีแต่ กายจริงเท่านั้น ที่จะพูดคุยกับเราได้
    เป็น อภิญญาที่ พระจูฬปันถกะ เสกใช้
    เพื่อให้ทำงานต่างๆ ภายในวัด
    แต่มันก็เหมือน กับ พระที่เหาะไปเอาบาตรลงมาได้
    เป็นเพียงแค่ ญาน หรือ ชาน
     
  15. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    กลับไปอ่านอีกรอบนะผมว่า "ผมแยกระหว่างเนรมิตกายปกติกับอวตารไปแล้วนะ"
     
  16. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015
    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี





    พระจูฬปันถก หรือ พระจูฬปันถกเถระ, พระจุลลปันถกะ เป็นชาวเมืองราชคฤห์ แคว้นมคธเป็น 1 ในพระอสีติมหาสาวก ของพระพุทธเจ้า

    พระจูฬปันถก เป็นน้องชายของพระมหาปันถก ท่านบวชตามการสนับสนุนของพี่ชาย เมื่อแรกบวชท่านเป็นคนมีปัญญาทึบมาก ไม่สามารถท่องมนต์หรือเข้าใจอะไรได้เลย จึงทำให้ท่านถูกพระพี่ชายของท่านขับไล่ออกจากสำนัก เมื่อพระพุทธเจ้าทราบความจึงได้ให้ประทานผ้าเช็ดพระบาทสีขาวบริสุทธิ์ให้ท่านไปลูบ จนในที่สุดท่านพิจารณาเห็นว่าผ้าขาวเมื่อถูกลูบมีสีคล้ำลง จึงนำมาเปรียบกับชีวิตของคนเราที่ไม่มีความยั่งยืน ท่านจึงได้เจริญวิปัสสนาและบรรลุเป็นพระอรหันต์เพราะสิ่งที่ท่านพบจากการลูบผ้าขาวนั่นเอง

    เมื่อท่านบรรลุพระอรหันต์ ท่านได้ปฏิสัมภิทาญาณชำนาญในการใช้มโนมยิทธิ ท่านจึงได้รับการยกย่องจากพระพุทธเจ้าให้เป็นผู้เป็นเอตทัคคะในด้านชำนาญในมโนมยิทธิ

    พระจูฬปันถก เป็นตัวอย่างสำคัญที่แสดงให้เห็นว่า ปัญญาในการตรัสรู้ไม่เกี่ยวกับปัญญาในการจำเรียนรู้ทั่วไป (สัญญา) ปัญญาในการตรัสรู้คือภาวนามยปัญญา กล่าวคือความสามารถที่จะใช้ปัญญาแยบคายที่เกิดจากใช้ปัญญาภายในพิจารณารู้เห็นตามความเป็นจริงของโลกได้ด้วยตนเอง การท่องจำหรือเรียนหนังสือไม่เก่งจึงไม่ใช่อุปสรรคในการตรัสรู้ธรรม
     
  17. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015
    ออกบวชเพราะพี่ชาย
    พระจูฬปันถกะ เป็นน้องชายร่วมมารดาบิดาเดียวกันกับพระมหาปันถกเถระผู้สำเร็จเป็นพระอรหันต์ไปก่อนหน้า พระจูฬปันถกได้เห็นพี่ชายมีแต่ผู้คนเคารพกราบไหว้ ดูแล้วอยากเป็นบ้าง จึงถามพี่ชายทำอย่างไรถึงมีผู้คนเคารพกราบไหว้ แล้วน้องจะเป็นได้ไหม พี่ชายจึงให้ออกบวช จากนั้นพี่ชายก็ขออนุญาตจากธนเศรษฐีผู้เป็นคุณตา ซึ่งก็ได้รับอนุญาตด้วยความเต็มใจอย่างยิ่ง เพราะคุณตาก็เป็นผู้มีศรัทธาในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างมากอยู่แล้ว


    ถูกไล่สึกโดยพี่ชาย

    เมื่อท่านออกบวชพระพี่ชายของท่านได้สอนให้ท่องคาถาบทหนึ่งคือ

    ปทุมํ ยถา โกกนุทํ สุคนฺธํ ปาโต สิยา ผุลฺลมวีตคนฺธํ องฺคีรสํ ปสฺส วิโรจมานํ ตปนุตมาทิจฺจมิวนฺตลฺเข ฯ

    คำแปล: ดอกปทุมชาติที่ชื่อว่าโกกนุท ขยายกลีบแย้มบานตั้งแต่เวลารุ่งอรุณยามเช้า กลิ่นเกษร หอมระเหยไม่รู้จบเธอจงพินิจดูพระสักยมุนีอังคีรส ผู้มีพระรัศมีแผ่ไพโรจน์อยู่ ดุจดวงทิวากร ส่องสว่างอยู่กลางนภากาศ ฉะนั้น

    ปรากฏว่าเวลาผ่านไปถึง 4 เดือน ท่านก็ไม่สามารถท่องคาถาดังกล่าวที่มีเพียง 4 บรรทัดได้ เพราะท่านเป็นคนปัญญาทึบมาก (ท่านกล่าวถึงตนเองเมื่อภายหลังว่า "เมื่อก่อน ญาณคติเกิดแก่เราช้า") จากการผลของกรรมที่ท่านทำไว้ในอดีต ท่านจึงถูกพระพี่ชายของท่านไล่ออกจากสำนัก
     
  18. zalievan

    zalievan เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    15 พฤศจิกายน 2013
    โพสต์:
    3,268
    ค่าพลัง:
    +5,219
    นิพพาน ไม่ใช่สถานที่ แต่เป็นสภาวะ

    ธอร์..... เอ๊ย ผิดเรื่อง
     
  19. Sataniel

    Sataniel "วิชชาและวิมุติ"

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    1,490
    ค่าพลัง:
    +2,364
    ไม่เข้าใจจะ "ยกมาให้เปลืองหน้ากระดาษทำไมในเมื่อที่คุยกันมันไม่ใช่ประเด็นนี้" ประเด็นคือ ผม"ให้กลับไปอ่านอีกรอบจะได้เข้าใจระหว่างเนรมิตกายกับสร้างอัตตามันคนละอย่าง" แต่เอาเถอะเอามาโพสท์คนอื่นจะได้เข้าใจมากขึ้นระหว่างอวตาร กับสร้างกายหรือแยกกาย
     
  20. nilakarn

    nilakarn เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    3 กันยายน 2011
    โพสต์:
    3,613
    ค่าพลัง:
    +3,015
    พระพุทธเจ้าโปรดพระจูฬปันถก-บรรลุอรหันต์

    หลังจากท่านถูกพี่ชายไล่สึก ท่านมีความน้อยเนื้อต่ำใจมาก
    เพราะยังมีความอาลัยในผ้าเหลือง จึงไม่ยอมรับแม้กิจนิมนต์
    ที่หมอชีวกโกมารภัจจ์นิมนต์พระ 500 รูป เพื่อรับฉันภัตตาหาร
    ในวันรุ่งขึ้น ท่านได้ไปยืนร้องไห้อยู่ที่ใกล้ซุ้มประตูวัดชีวกัมพวัน
    พอดีกับพระพุทธเจ้าเสด็จผ่านมาเห็น จึงทรงเข้าไปถาม
    เมื่อทรงทราบความจริง จึงได้ตรัสว่า "ท่านบวชพระ เพื่ออุทิศแก่
    พระพี่ชายที่ไหน ท่านบวชเพื่ออุทิศให้เราต่างหาก ท่านมาอยู่กับเรา
    ดีกว่า" จากนั้นทรงลูบศีรษะและจับแขนพากลับเข้าวัดไปที่หน้า
    พระคันธกุฏี จากนั้นพระพุทธเจ้าได้ประทานผ้าเช็ดพระบาท
    สีขาวบริสุทธิ์ให้ท่าน พร้อมกับสั่งให้ท่านลูบผ้านั้นไปเรื่อย ๆ พร้อมกับ
    ภาวนาว่า รโชหรณํ ๆ (แปลว่า ผ้าสำหรับเช็ดฝุ่น) ท่านลูบผ้าได้
    ไม่นาน ผ้าขาวนั้นก็หมองคล้ำลง ท่านจึงสติคิดได้ว่า "ผ้านี้แต่ก่อนก็
    ขาวบริสุทธิ์ แต่พอถูกลูบบ่อย ๆ ก็กลับดำ สรรพสิ่งมันช่างไม่ยั่งยืน"
    แล้วท่านจึงได้เจริญวิปัสสนากรรมฐานยกผ้าผืนนั้นขึ้นเปรียบเทียบ
    กับอัตตภาพร่างกายเป็นอารมณ์ จนได้บรรลุเป็นพระอรหันต์
    ปฏิสัมภิทา ในวันนั้นเอง แต่บางตำนานกล่าวว่าพระพุทธเจ้าเล่าเรื่อง จูฬเศรษฐีชาดกให้พระจูฬปันถกเถระฟัง


    แสดงฤทธิ์-ได้รับยกย่องเป็นเอตทัคคะ
    เช้าวันต่อมาพระภิกษุ 599 รูป พร้อมทั้งพระพุทธองค์เสด็จไป
    รับภัตตาหารที่บ้านหมอชีวกโกมารภัจจ์ พอหมอชีวกนำภัตเข้ามา
    ถวายพระพุทธองค์ พระพุทธองค์ทรงปิดบาตรและตรัสว่า "ยังเหลือ
    อีกรูปหนึ่งในวัด" หมอชีวกจึงใช้ให้คนไปนิมนต์ ปรากฏว่าคนนิมนต์
    เข้าไปวัด เห็นแต่พระสงฆ์นับพัน ที่พระจูฬปันถกเนรมิตด้วยฤทธิ์ มโนมยิทธิขึ้นมา จึงกลับมา พระพุทธองค์จึงให้คนนิมนต์กลับไปบอก พระเหล่านั้นอีกว่า พระพุทธองค์เรียกพระจูฬปันถก เมื่อคนนิมนต์ไป ที่วัดและเรียกเช่นนั้น ปรากฏว่าพระทุกรูปตอบว่าตนคือจูฬปันถกหมด คนนิมนต์จึงกลับมาอีก คราวนี้พระพุทธเจ้าจึงตรัสให้คอยสังเกตว่ารูปไหนพูดก่อน ให้คว้ามือรูปนั้นไว้ ปรากฏว่าคนนิมนต์กลับไปทำเช่นนั้น พอจับมือพระจูฬปันถกตัวจริง พระที่ถูกเนรมิตรก็หายไปหมด จึงเป็นที่รู้กันว่าพระจูฬปันถกได้กลายเป็นพระอรหันต์ผู้ทรงอภิญญาในครั้งนั้นเอง

    ในวันนั้น พระพุทธองค์จึงทรงให้พระจูฬปันถกทำอนุโมทนาแก่หมอชีวก และด้วยเหตุดังกล่าวพระพุทธเจ้าจึงยกย่องให้พระจูฬปันถกเป็นเอตทัคคะในด้าน ผู้ชำนาญในมโนมยิทธิ

    ท่านดำรงสังขารอยู่พอสมควรแก่กาลก็ได้ดับขันธปรินิพพาน
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...