พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    หน้าที่ผู้จัดการมรดก
    .
    หลายคนไม่ทราบว่าการเป็นหรือมีผู้จัดการมรดกแล้วมีหน้าที่อะไรบ้างซึ่งวันนี้ทางทนายกฤษดา ขออนุญาตแจกแจง แจ้งหน้าที่ของผู้จัดการมรดกตามข้อกฎหมายให้ทุกท่านได้ทราบ ซึ่งรายละเอียดต่างๆเป็นไปตามข้อกฎหมาย ซึ่งผู้จัดการมรดกมีหน้าที่ดังนี้..
    .
    1. หน้าที่ผู้จัดการมรดกที่ศาลเริ่มนับตั้งแต่วันที่ได้ฟังคำสั่งศาลแล้ว (ม.๑๗๑๖)
    .
    2. หน้าที่ผู้จัดการมรดกต้องลงมือจัดทำบัญชีทรัพย์มรดกภายใน ๑๕ วัน นับแต่วันที่เริ่มหน้าที่ผู้จัดการมรดก (วันฟังคำสั่งศาลหรือถือว่าได้ฟังคำสั่งศาลแล้ว ตามข้อ ๑) (ม.๑๗๒๘)
    .
    3. ผู้จัดการมรดกต้องจัดทำบัญชีทรัพย์มรดกให้เสร็จภายใน ๑ เดือน หากไม่เสร็จภายใน ๑ เดือน ผู้จัดการมรดกร้องขอต่อศาลอนุญาตขยายเวลาอีกได้ แต่ต้องขอขยายก่อนสิ้นกำหนดเวลาหนึ่งเดือน (ม.๑๗๒๙)
    .
    4. บัญชีทรัพย์มรดกต้องมีพยาน ๒ คน และต้องเป็นทายาทที่มีส่วนได้เสียในกองมรดก (ม.๑๗๒๙ วรรค ๒)
    .
    (ข้อสังเกต* คำว่าบัญชีทรัพย์มรดกซึ่งจัดทำขึ้นโดยผู้จัดการมรดกหมายถึง บัญชีทรัพย์ซึ่งผู้จัดการมรดกที่ได้รับแต่งตั้งจากศาลเป็นผู้ทำ หา ใช่บัญชีทรัพย์ที่ยื่นพร้อมคำร้องขอเป็นผู้จัดการมรดกไม่เพราะขณะทำบัญชี ทรัพย์ถือว่ายังไม่มีหน้าที่เป็นผู้จัดการมรดก (คำพิพากษาฎีกาที่ ๑๒๙๒-๑๒๙๓/๒๕๑๒)
    .
    – มาตรา ๑๗๒๘, ๑๗๒๙ เป็นบทบังคับให้ทำบัญชีทรัพย์มรดกไม่ใช่บทบังคับให้ทำบัญชีรับและจ่ายทรัพย์มรดก
    .
    – บัญชีทรัพย์มรดกต้องมีรายการแสดงว่าเป็นทรัพย์สิน, สิทธิเรียกร้องอะไรบ้างเงินมูลค่าเท่าใดและแจ้งจำนวนเจ้าหนี้ว่ามีใครบ้าง เป็นเงินรวมเท่าใด
    .
    5. ถ้าผู้จัดการมรดกมิได้จัดทำบัญชีทรัพย์มรดกให้เสร็จภายในกำหนดเวลาและตามแบบที่กำหนดหรือบัญชีไม่เป็นที่พอใจแก่ศาล เพราะความประมาทเลินเล่ออย่างร้ายแรงหรือการทุจริต หรือความไม่สามารถอันเห็นประจักษ์ของผู้จัดการมรดก ศาลจะถอนผู้จัดการมรดกเสียก็ได้ (ม.๑๗๓๑)
    .
    6. ผู้จัดการมรดกต้องจัดการตามหน้าที่ และทำรายงานแสดงบัญชีการจัดการและแบ่งปันมรดกให้เสร็จภายใน ๑ ปี นับแต่วันฟังคำสั่งศาล หรือถือว่าได้ฟังคำสั่งศาลแล้วเว้นแต่ทายาทโดยจำนวนข้างมาก หรือศาลจะกำหนดไว้เป็นอย่างอื่น (ม.๑๗๓๒)
    .
    7. ผู้จัดการมรดกไม่มีสิทธิที่จะได้รับบำเหน็จจากกองมรดกเว้นแต่พินัยกรรมหรือทายาทจำนวนข้างมากจะได้กำหนดไว้ (ม.๑๗๒๑)
    .
    8. ผู้จัดการมรดกจะทำพินัยกรรมใด ๆ ซึ่งตนมีส่วนได้เสียเป็นปฏิปักษ์ต่อกองมรดกไม่ได้ เว้นแต่พินัยกรรมจะได้อนุญาตไว้หรือได้รับอนุญาตจากศาล (ม.๑๗๒๒)
    .
    9. ผู้จัดการมรดกต้องจัดการมรดกด้วยตนเอง (ม.๑๗๒๓)
    .
    10. ถ้าผู้จัดการมรดกเข้าทำนิติกรรมกับบุคคลภายนอก โดยเห็นแก่ทรัพย์สินอย่างใด ๆ หรือประโยชน์อื่นใด อันบุคคลภายนอกได้ให้ หรือได้ให้คำมั่นว่าให้เป็นลาภส่วนตัวย่อมไม่ผูกพันทายาท เว้นแต่ทายาท เว้นแต่ทายาทจะได้ยินยอมด้วย (ม.๑๗๒๔ วรรค ๒)
    .
    11. ผู้จัดการ มรดกต้องสืบหาโดยสมควรซึ่งตัวผู้มีส่วนได้เสียและแจ้งไปให้ทราบถึงข้อกำหนด พินัยกรรมที่เกี่ยวกับผู้มรส่วนได้เสียนั้นภายในเวลาอันสมควร (ม.๑๗๒๕)
    .
    12. ทายาทจะต้องบอกทรัพย์สินมรดกและหนี้สินของผู้ตายตามที่ตนรู้ทั้งหมดแก่ผู้จัดการมรดก (ม.๑๗๓๕)
    .
    13. ผู้จัดการมรดกต้องจัดแบ่งสินมรดกและมอบโดยเร็วโดยชำระหนี้กองมรดก (ถ้ามี) เสียก่อน (ม.๑๗๔๔)
    .
    จะเห็นได้ว่าหน้าที่ของผู้จัดการมรดกไม่ได้มีแต่ไปโอนที่ดินหรือเก็บทรัพย์สินไว้กับตนแต่เพียงผู้เดียวขอบคุณครับ
    .
    .
    .
    มีปัญหาเกี่ยวกับการจัดการมรดกปรึกษาทีมงานทนายกฤษดา
    .
    089-142-7773 ไลน์ไอดี Lawyers.in.th
    .
    https://www.lawyers.in.th/2016/05/1...zcPjvTMggqGC97OXRhnUsvEPx2iLpnaQO-IGJfPle5lnY
     
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949

    รำลึกนึกถึงพระคุณขององค์พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว รัชกาลที่ 9 ที่พระองค์ท่านสร้างคุณประโยชน์กับประเทศไทยอย่างมโหฬารและมหาศาล โครงการในพระราชดำริที่มี 4,810 โครงการ ที่ทำเพื่อประชาชนชาวไทยทั้งประเทศ
    .
    ไม่มีใครอีกแล้วในโลกนี้ ที่สามารถทำได้อย่างพระองค์ท่าน
    .
    กราบ กราบ กราบ กราบ กราบ
    .
    #พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราช บรมนาถบพิตร
    .
    #พระบาทสมเด็จพระมหาภูมิพลอดุลยเดชมหาราชบรมนาถบพิตร

    .
    #พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
    .
    #รัชกาลที่9
    .
    .
    .
    -----------------------------------------------------------------
    .
    .
    .
    KING BHUMIBOL THE GREAT (SONG)

    โพสโดย MooSuraphan
    15 มิ.ย. 2012 (พ.ศ.2555)
    .
    -----------------------------------------------------------------
    .
    โครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ

    จากวิกิพีเดีย สารานุกรมเสรี
    .
    .
    โครงการพระราชดำริเกี่ยวกับป่า
    .
    โครงการพระราชดำริเกี่ยวกับดิน

    .
    โครงการพระราชดำริเกี่ยวกับน้ำ

    .
    โครงการทางด้านวิศวกรรม

    .
    แนวพระราชดำริอื่น ๆ

    อ้างอิง
    1. สรุปภาพรวมโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
    แหล่งข้อมูลอื่น
    .
    -------------------------------------------------------
    .
    .
    .
    5 ธันวาคม วันดินโลก วันสำคัญที่สะท้อนพระปรีชาสามารถของ ร.9 ไปทั่วทั้งปฐพี
    .
    ที่มา kapook.com
    .
    วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันดินโลก ที่องค์การสหประชาชาติมีมติยอมรับให้วันนี้เป็นวันสำคัญสากล ซึ่งเราชาวไทยทุกคนก็ควรได้รู้ถึงประวัติวันดินโลกไว้เป็นความประทับใจที่ชีวิตนี้ได้เกิดในรัชกาลที่ 9
    .
    นอกจากวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี จะเป็นวันพ่อแห่งชาติมาตลอดในรัชกาลที่ 9 แล้ว ทั่วโลกยังให้ความสำคัญต่อวันนี้ในฐานะวันดินโลก ตามมติของ UN อีกด้วย ซึ่งวันนี้กระปุกดอทคอมจะพาทุกคนมาทราบถึงประวัติวันดินโลก และความสำคัญของวันดินโลก พร้อมด้วยโครงการพระราชดำริเกี่ยวกับดิน อันเป็นเหตุผลสำคัญยิ่งที่ทำให้มีวันดินโลก
    .
    ประวัติวันดินโลก
    .
    วันดินโลก (World Soil Day) ถูกกำหนดขึ้นตามมติขององค์การสหประชาชาติ ในระหว่างการประชุมคณะกรรมการด้านเศรษฐกิจและการเงินของที่ประชุมสมัชชาสหประชาชาติ สมัยสามัญที่ 68 ณ สำนักงานใหญ่สหประชาชาติ นครนิวยอร์ก ประเทศสหรัฐอเมริกา เมื่อปี พ.ศ. 2556 ให้วันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี เป็นวันดินโลก (World Soil Day) และกำหนดให้ปี พ.ศ. 2558 เป็นปีดินสากล (International Year of Soils) โดยมีจุดประสงค์เพื่อเป็นการส่งเสริมและสร้างความตระหนักรู้เกี่ยวกับความสำคัญของทรัพยากรดิน ต่อการพัฒนาด้านการเกษตร โภชนาการ และความมั่นคงทางอาหาร ทั้งในระดับประเทศและระหว่างประเทศ
    .
    ทั้งนี้สาเหตุที่กำหนดให้วันดินโลก ตรงกับวันที่ 5 ธันวาคมนั้น สืบเนื่องจากการประชุมสภาโลกแห่งปฐพีวิทยา (World Congress of Soil Science) ครั้งที่ 17 เมื่อปี พ.ศ. 2545 ทางสหภาพวิทยาศาสตร์ทางดินนานาชาติ (International Union of Soil Sciences) ได้ตระหนักถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในการพัฒนาทรัพยากรดิน โดยเฉพาะการพัฒนาด้านการเกษตร จึงได้เลือกวันที่ 5 ธันวาคม ของทุกปี ซึ่งตรงกับวันคล้ายวันพระบรมราชสมภพ เป็นวันดินโลก เพื่อเทิดพระเกียรติพระวิริยอุตสาหะของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ในด้านการปกป้องและพัฒนาทรัพยากรดิน ซึ่งถ้าให้กล่าวถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ด้านการพัฒนาทรัพยากรดิน เราก็ขออนุญาตพาคนไทยทุกคนมาทบทวนโครงการในพระราชดำริเกี่ยวกับดินของในหลวง รัชกาลที่ 9 ดังนี้กันค่ะ
    .
    1. โครงการศึกษาฟื้นฟูที่ดินเสื่อมโทรมเขาชะงุ้ม (อันเนื่องมาจากพระราชดำริ)
    .
    ตั้งอยู่ที่บ้านเขาชะงุ้ม หมู่ที่ 2 ตำบลเขาชะงุ้ม อำเภอโพธาราม จังหวัดราชบุรี เป็นศูนย์ศึกษาวิจัยและสาธิตวิธีการฟื้นฟูปรับปรุงดินเสื่อมโทรมให้สามารถใช้ประโยชน์ได้อย่างมีประสิทธิภาพ เพื่อเป็นรูปแบบและส่งเสริมอาชีพเกษตรกรที่อยู่ในบริเวณใกล้เคียงกับพื้นที่ โครงการ ได้เรียนรู้วิธีการจัดการดิน น้ำ และพืชอย่างถูกต้อง มีความยั่งยืนไม่กระทบต่อสิ่งแวดล้อม ซึ่งจะทำให้เกษตรกรมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น
    .
    2. โครงการทดลองแก้ปัญหาดินเปรี้ยว
    .
    ด้วยพระปรีชาสามารถของในหลวง รัชกาลที่ 9 ที่มีพระราชดำริแก้ปัญหาดินเปรี้ยวในจังหวัดนครนายก ด้วยการใช้วิธีธรรมชาติอย่างการเปลี่ยนถ่ายดินจากแปลงหนึ่งสู่แปลงหนึ่ง เพื่อลดความเปรี้ยวของดิน อีกทั้งพระองค์ยังได้พระราชทานพระราชดำริให้ใช้ปูนมาร์ล และสาหร่ายในการปรับสภาพน้ำให้ดีขึ้น และต่อมาก็ได้พระราชทานพระราชดำริให้มูลนิธิชัยพัฒนาดำเนินการศึกษาผลกระทบ ของการใช้เถ้าลอยลิกไนท์ เพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยวเพิ่มเติมอีกด้วย
    .
    3. โครงการหญ้าแฝก
    .
    พระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ได้ทรงศึกษาเรื่องการใช้หญ้าแฝกในการอนุรักษ์ดินและน้ำจากเอกสารของธนาคารโลก ที่นาย Richard Grimshaw ได้ทูลเกล้าฯ ถวาย และพระองค์ได้พระราชทานพระราชดำริเกี่ยวกับหญ้าแฝก โดยให้ทรงทดลองปลูกหญ้าแฝกเพื่อป้องกันการพังทลายของดิน จนปัจจุบันมีหน่วยงานกว่า 50 หน่วยงาน ดำเนินงานสนองพระราชดำริการพัฒนาและรณรงค์การใช้หญ้าแฝก ส่งผลให้การดำเนินงานก้าวหน้ามากขึ้นตามลำดับ
    .
    4. โครงการแกล้งดิน
    .
    พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงรับทราบความเดือดร้อนของพสกนิกรในภาคใต้ โดยเฉพาะอย่างยิ่งเกษตรกรในจังหวัดนราธิวาส ที่ประสบปัญหาดินเปรี้ยวทำให้เพาะปลูกไม่ได้ผล พระองค์จึงมีพระราชดำริให้ทำการศึกษาวิจัยและพัฒนาดินพรุเพื่อแก้ไขปัญหาดินเปรี้ยว ณ ศูนย์ศึกษาการพัฒนาพิกุลทอง จังหวัดนราธิวาส โดยมีวัตถุประสงค์หลักในการศึกษาและพัฒนาพื้นที่พรุ ซึ่งเป็นดินเปรี้ยวให้เป็นดินที่มีคุณภาพ สามารถทำการเพาะปลูกได้ ซึ่งพระองค์ทรงแนะนำให้ใช้วิธี "การแกล้งดิน" คือ เริ่มจากการแกล้งดินให้เปรี้ยวสุดขีด ด้วยการทำให้ดินแห้งและเปียกสลับกันเพื่อเร่งปฏิกิริยาทางเคมีของดินพรุที่มีสารประกอบของกำมะถันที่จะทำให้ดินมีสภาพเป็นกรดจัดเมื่อดินแห้ง จากนั้นจึงทำการปรับปรุงดินที่เป็นกรดจัดนั้นด้วยวิธีการต่าง ๆ ที่จะลดความเป็นกรดลงมาให้อยู่ในระดับที่จะปลูกพืชเศรษฐกิจ เช่น ข้าว ได้
    .
    5. โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน
    .
    ตั้งอยู่ที่อำเภอพนมสารคาม จังหวัดฉะเชิงเทรา เป็นพื้นที่ที่ราษฎรน้อมเกล้าฯ ถวายที่ดิน จำนวน 216 ไร่ และครั้นพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทอดพระเนตรเห็นสภาพความทุรกันดารของผืนดิน จึงมีพระราชดำริให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้องดำเนินการฟื้นฟูทรัพยากรธรรมชาติ ทั้งดิน น้ำ ป่าไม้ ณ พื้นที่ดังกล่าว รวมทั้งหมู่บ้านรอบ ๆ ศูนย์ โดยการวางแผนปลูกพืชและเลี้ยงสัตว์ ทั้งยังให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อน เป็นแหล่งศึกษา ค้นคว้า และสนามทดลองทางด้านการเกษตร เพื่อให้เกษตรกรและผู้ที่สนใจเข้ามาดูงานและนำแนวพระราชดำริไปปฏิบัติตาม และพัฒนาอาชีพและพื้นที่ของตนเพื่อเพิ่มผลผลิต เพื่อให้ประชาชนมีฐานะความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น พร้อมทั้งพระองค์ยังมีพระราชดำริให้ส่งเสริมศิลปาชีพและหัตถกรรมพื้นบ้าน เป็นอาชีพเสริมเพิ่มรายได้จากอาชีพหลักอีกทางหนึ่งด้วย
    .
    6. โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยทราย
    .
    หนึ่งในโครงการพระราชดำริที่ตั้งอยู่ ณ อำเภอชะอำ จังหวัดเพชรบุรี ซึ่งพื้นที่แห่งนี้เคยอุดมสมบูรณ์ แต่ได้ถูกราษฎรเข้าบุกรุกทำลายป่าเพื่อประกอบอาชีพเกษตรกรรม จนไม่เหลือป่าไม้และสัตว์ป่า ทำให้พื้นที่แห้งแล้ง ฝนไม่ตกตามฤดูกาล และสภาพพื้นดินเสื่อมโทรมอย่างหนัก ทำการเกษตรกรรมไม่ได้ผล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 จึงได้พระราชทานพระราชดำริให้พัฒนาพื้นที่บริเวณห้วยทราย เป็นศูนย์ศึกษาการพัฒนาด้านป่าไม้อเนกประสงค์ โดยยึดแนวพระราชดำริของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช ให้ใช้ประโยชน์จากพื้นที่ให้สมดุลกับทรัพยากรธรรมชาติที่มีอยู่ และสามารถฟื้นฟูให้มีศักยภาพในการทำเกษตรกรรมและความเป็นอยู่ของประชากรได้อย่างต่อเนื่อง
    .
    7. โครงการศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้
    .
    ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ อันเนื่องมาจากพระราชดำริ อำเภอดอยสะเก็ด จังหวัดเชียงใหม่ แห่งนี้ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ได้พระราชทานพระราชดำริให้พัฒนาทรัพยากรธรรมชาติทั้งด้านทรัพยากรต้นน้ำ ด้านเกษตรกรรม ด้านปศุสัตว์และโคนม รวมทั้งด้านอุตสาหกรรม เนื่องมาจากมีพระราชประสงค์ที่จะให้ศูนย์ศึกษาการพัฒนาห้วยฮ่องไคร้ ทำหน้าที่เสมือนพิพิธภัณฑ์ธรรมชาติที่มีชีวิต ที่ประชาชนจะเข้าไปเรียนรู้และนำไปปฏิบัติได้
    .
    โดยในด้านดินและเกษตรกรรมมีพระราชดำริให้ศึกษาพัฒนาสภาพดินในพื้นที่ที่มีความลาดชัน ซึ่งนำไปใช้ประโยชน์ไม่ได้ ให้เกิดประโยชน์ต่อประชาชนอย่างสูงสุด โดยได้ทำการทดลองปลูกพืชที่เหมาะสม ทดสอบประโยชน์ของดินชนิดนี้ในรูปแบบอื่น ๆ รวมทั้งศึกษาความยากง่ายในการชะล้างพังทลายของดินดังกล่าวไว้เพื่อหาวิธีป้องกัน และเพื่อลดผลกระทบต่อสิ่งแวดล้อมในระยะยาว ส่งผลให้ประชากรได้มีพื้นที่ทำกินและอยู่อาศัยได้อย่างไม่ลำบากมากนัก
    .
    หวนนึกไปถึงพระราชกรณียกิจของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช เมื่อใด เมื่อนั้นก็รู้สึกว่าเราช่างโชคดีเหลือเกินที่ได้เกิดมาเป็นประชาชนของพระองค์ท่านนะคะ ซึ่งนอกจากวันดินโลกจะเกิดขึ้นเพื่อเป็นการเทิดพระเกียรติพระวิริยอุตสาหะ ของพ่อหลวง ร.9 แล้ว เราก็เชื่อว่าชาวไทยทุกคนคงทราบกันดีถึงความหมายของพระนามพระองค์ท่าน อันหมายถึง กำลังของแผ่นดิน...
    .
    "อันที่จริงเราชื่อ "ภูมิพล" ที่แปลว่า "กำลังของแผ่นดิน" แม่ก็อยากให้เธออยู่กับดิน เมื่อฟังคำพูดแล้วกลับมาคิด ซึ่งแม่คงจะสอนเราและมีจุดมุ่งหมายว่าอยากให้ติดดินและอยากให้ทำงานให้แก่ประชาชน"...พระราชดำรัสของพระบาทสมเด็จพระปรมินทรมหาภูมิพลอดุลยเดช
    .
    ขอขอบคุณข้อมูลจาก
    .
    ศูนย์ศึกษาการพัฒนาเขาหินซ้อนอันเนื่องมาจากพระราชดำริ
    .
    สำนักงานคณะกรรมการพิเศษเพื่อประสานงานโครงการอันเนื่องมาจากพระราชดำริ (สำนักงาน กปร.)
    .
    มูลนิธิชัยพัฒนา
    .
    เรารักพระเจ้าอยู่หัว
    .
    un.org
    .
    kapook.com
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • r9-01.png
      r9-01.png
      ขนาดไฟล์:
      44.9 KB
      เปิดดู:
      231
    • r9-02.png
      r9-02.png
      ขนาดไฟล์:
      104.6 KB
      เปิดดู:
      263
    • r9-03.png
      r9-03.png
      ขนาดไฟล์:
      360.2 KB
      เปิดดู:
      217
    • r9-04.png
      r9-04.png
      ขนาดไฟล์:
      455.7 KB
      เปิดดู:
      225
    • r9-05.png
      r9-05.png
      ขนาดไฟล์:
      661.9 KB
      เปิดดู:
      256
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    วันนี้ ( 10 ธันวาคม 2562) ในช่วงเช้า

    ไปกราบ #พระพุทธสิหิงค์ แล้วต่อด้วย การชมนิทรรศการ #หุ่นดินเผานักรบจิ๋นซีฮ่องเต้ อายุ 2200 ปี ที่ #วังหน้า (หรือ #พิพิธภัณฑ์สถานแห่งชาติพระนคร หรือ #พระราชวังบวรสถานมงคล)

    ไปชม ศิลปกรรม ของจีนในสมัยโบราณ

    น่าชมมาก

    หากท่านใดจะไปชม สามารถไปชมได้ที่ ณ พระที่นั่งศิวโมกขพิมาน พิพิธภัณฑสถานแห่งชาติ พระนคร จนถึงวันที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2562


    #นิทรรศการพิเศษ เรื่อง #จิ๋นซีฮ่องเต้ #จักรพรรดิองค์แรกของแผ่นดินจีนกับกองทัพทหารดินเผา (Qin Shi Huang: The First Emperor of China and Terracotta Warriors)

    #สุสานจิ๋นซีฮ่องเต้

    รูปสงวนลิขสิทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    อยากให้อ่านกันครับ
    จะได้เตรียมตัว หาวิธีการรับมือ และ แก้ไขในเหตุต่างๆที่เราคาดการณ์ไว้ล่วงหน้า

    โพสโดย aomMONEY
    1 มกราคม 2563
    #คำอวยพรปีใหม่ 2563 “ จง อย่า ตก งาน”
    .
    เป็นโอกาสอันดีมากครับที่ คอลัมน์ #มีสลึงพึงบรรจบ ได้พับลิชในวันขึ้นปีใหม่พอดี วันนี้หลายคนคงเริ่มเดินทางหลังจากพักผ่อนยาว ก็ขอให้เดินทางปลอดภัยเมาไม่ขับ ใช้สติในการดูแลชีวิตและทรัพย์สินนะครับ ส่วนตัวผมเองปีใหม่ก็เป็นวาระที่ดีที่เราไปสักการะขอพรสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ขอพรญาติผู้ใหญ่ที่นับถือ ปีนี้ผมก็มีโอกาสไปขอพรแม่ของผมพระอรหันต์ในบ้านเช่นกันครับ
    .
    ด้วยความที่ปีที่ผ่านมาผมตัดสินใจที่จะซื้อบ้าน ซึ่งจะต้องผ่อนไปอีก 25 ปีเป็นหนี้ก้อนใหญ่ที่สุดในชีวิต ก็ทำให้แม่ค่อนข้างเป็นห่วง ปีใหม่ปีนี้แม่เลยอวยพรนอกจากเรื่องสุขภาพแข็งแรงและคิดอะไรขอให้สมหวังแล้ว
    .
    แม่ยังฝากเตือนสติมาด้วยว่า “ปีใหม่นี้ขอให้อย่าตกงาน” พอฟังแล้วก็สะอึกเล็กน้อย ก็เลยถามไปแม่ก็บอกว่าเป็นห่วงเห็นช่วงนี้บริษัทหลายแห่งปิดตัว และผมเองก็มีโอกาสอยู่ในบริษัทที่เลย์ออฟใหญ่ไป 2 ครั้งแม้ผมจะรอดมาได้แต่องค์กรก็สาหัสเหมือนกัน
    .
    พอมานั่งคิดก็จริงของแม่ เพราะถ้าย้อนไปดูเมื่อธันวาคม 2562 ที่เพิ่งผ่านมาสำนักงานสถิติแห่งชาติ เผยผลสำรวจภาวะการทำงานของประชากรในประเทศไทย พบว่าในเดือนพฤศจิกายน 2562 จำนวนผู้มีงานทำอยู่ที่ 37.71 ล้านคน ซึ่งมีจำนวนลดลง 5.5 แสนคน
    .
    เมื่อเทียบกับช่วงเวลาเดียวกันของปี 2561 ที่มีจำนวนผู้มีงานทำ 38.26 ล้านคน โดยเหตุผลในการว่างงานนั้นพบว่าแรงงานจำนวน 4.75 หมื่นคน ระบุว่า ถูกนายจ้างเลิกจ้าง หยุด ปิดกิจการ โดยเมื่อเทียบกับช่วงเดียวกันของปีก่อน ที่มีเพียง 1.89 หมื่นคน หรือเพิ่มขึ้น 251% และมีแรงงานจำนวน 3.85 หมื่นคน ระบุว่า ว่างงานเพราะหมดสัญญาจ้างงาน
    .
    สัญญาณดังกล่าวบอกเราว่า ปี 2563 นี้เหนื่อยแน่ๆ ไม่ใช่เพียงแค่ทำงานรอปรับเงินเดือนไปวันต่อวัน เดือนต่อเดือน เพราะภาวะการจ้างงานไม่แน่นอนถ้าคุณไม่ใช่ข้าราชการโอกาสตกงานมีสูง แล้วถ้ายิ่งมีภาระที่ต้องผ่อนบ้านหรือรถระยะยาวนี่เครียดหนักแน่นอน
    .
    อย่างที่เคยบอกแล้วเราควรมีเงินสำรองเผื่อตกงาน 4-6 เดือน ตอนนี้พวกเรามีเงินเก็บเดือนละเท่าไหร่กันครับ? เอาใหม่ตอนนี้เรามีแผนที่จะใช้เงินซื้อของ ไปเที่ยว ช้อปปิ้งเท่าไหร่กันครับ?
    .
    ตอนนี้คือช่วงเวลาแห่งการลดรายจ่าย รัดเข็มขัด เพิ่มเงินออม ไม่มีใครรู้ว่าปัจจัยบวกทางเศรษฐกิจจะมาเมื่อไหร่ เงินบาทจะอ่อนตัวเมื่อไหร่ เศรษฐกิจจีนที่เราฝากความหวังไว้ก็เริ่มทำท่าจะไม่ดีเริ่มชักหน้าไม่ถึงหลัง
    .
    คำตอบสุดท้ายตอนนี้ก็คือ “จงอย่าตกงาน” ทำงานที่คุณทำให้ดี รักงานที่คุณทำให้มากๆ อดทนอีกนิดเวลาที่มันมีปัญหาการลาออกโดยที่ไม่มีงานรองรับนั้นไม่แน่ใจว่าเราจะเป็นคนว่างงานไปอีกนานเท่าไหร่
    .
    ในโอกาสนี้ผมขอส่งมอบคำอวยพรของคุณแม่ผมให้กับแฟนเพจ aomMONEY ทุกท่าน ขอให้สนุกกับงานทำงานให้สนุกให้ออกมาดีดังใจ และ “จงอย่าตกงาน” สวัสดีปีใหม่ 2563 ครับ
    .
    คอลัมน์ #มีสลึงพึงบรรจบ โดย Mr. #Priceless
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เมื่อวานนี้ (วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม 2563)

    ผม , ชาวชมรมพระวังหน้า และ คณะพระวังหน้า ได้ไปร่วมทำบุญถวายพระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า , พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า , พระธาตุพระอรหันต์ , พระวังหน้า พระวังหลวง และพระที่สร้างใหม่ที่บรรจุในกล่องสแตนเลส ไปถวายแม่ชี
    .
    มีหลายๆท่านที่ได้ร่วมทำบุญกันมา
    .
    ไม่ว่าจะเป็นการจัดทำกล่องสแตนเลส
    .
    การบูชาพระวังหน้าจากผม เพื่อบรรจุลงในกล่องสแตนเลส เพื่อบรรจุในเจดีย์บ้านแสงแห่งธรรม
    .
    การซื้อเจดีย์และผอบในการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุ และพระธาตุ
    .
    เงินทุกบาททุกสตางค์ นำไปจัดทำกล่องสแตนเลส(จำนวน 8 ใบ มีขนาดกว้าง 10 นิ้ว ยาว 10 นิ้ว สูง 10 นิ้ว)
    เงินส่วนที่เหลือจากการทำกล่องสแตนเลส
    ผมนำไปทำบุญในงานกฐิน ที่ #อาศรมศรีชัยรัตนโคตร อ.เมือง จ.สกลนคร เมื่อวันที่ 27 ตุลาคม 2562 และ งานกฐิน ที่ #วัดป่าภัทรปิยาราม อ.เมือง จ.ลพบุรี เมื่อวันที่ 10 พฤศจิกายน 2562
    .
    ในส่วนที่เหลือนำไปถวายแม่ชี เพื่อสร้างพระเจดีย์ที่บ้านแสงแห่งธรรม
    .
    และอีกบางส่วนถวายแม่ชีเวลาที่แม่ชีไปจัดตั้งโรงทานในงานบุญต่างๆ
    .
    การทำบุญกันในครั้งนี้ ทำบุญกัน 2 ครั้ง แต่ได้บุญกันไปหลายบุญมากๆๆๆๆๆๆ
    .
    .
    .
    พระบรมสารีริกธาตุ และ พระธาตุ ที่นำไปถวายแม่ชี
    .
    (บ้านแสงแห่งธรรม ทุ่งนาผางาม ต.บ้านน้อยซุ้มขี้เหล็ก อ.เนินมะปราง จ.พิษณุโลก)
    .
    1.พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม พระกกุสันโธพุทธเจ้า
    .
    2.พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม พระโกนาคมโนพุทธเจ้า
    .
    3.พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม พระกัสสโปพุทธเจ้า
    .
    4.พระบรมสารีริกธาตุ องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระนาม พระศากยมุนีโคดโมพุทธเจ้า
    .
    5.พระบรมสารีริกธาตุ พระปัจเจกพุทธเจ้า ไม่ทราบพระนาม
    .
    6.พระธาตุ พระอัญญาโกณฑัญญะเถระเจ้า (ส่วนกะโหลกศีรษะ)
    .
    7.พระธาตุ พระอานนท์เถระเจ้า (ส่วนหัวไหล่)
    .
    8.พระธาตุ พระสารีบุตรเถระเจ้า (ส่วนศีรษะ)
    .
    9.พระธาตุ พระธาตุพระโมคคัลลานะเถระเจ้า (พระโลหิต องค์สีแดงองค์เล็ก / ไม่ทราบส่วน)
    .
    10.พระธาตุ พระราหุลเถระเจ้า (ส่วนสมอง ใส / ส่วนกระดูกซี่โครง สีส้ม)
    .
    11.พระธาตุ พระมหากัสสปะเถระเจ้า (ส่วนกระดูกสันหลัง เป็นพระธาตุนิมิตร)
    .
    12.พระธาตุ พระสิวลีเถระเจ้า (ส่วนสมอง ใส / ส่วนกระดูกแขน สีเขียวองค์เล็ก / ส่วนกระดูกสันหลัง สีเขียวองค์ใหญ่)
    .
    13.พระธาตุ พระอุบาลีเถระเจ้า (ส่วนกระดูกสันหลัง สีชมพู / ส่วนสมอง สีเขียว)
    .
    14.พระธาตุ พระอุปคุตเถระเจ้า (พระโลหิต สีแดงองค์เล็ก / ไม่ทราบส่วน)
    .
    15.พระธาตุ พระธาตุหลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า , พระธาตุหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า , พระธาตุนิมิตร หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 พระองค์ ( หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า , หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า , หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า , หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า และ หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า)
    .
    16.พระเกสา สมเด็จพระสังฆราชเจ้า กรมหลวงวชิรญาณสังวร (สมเด็จพระญาณสังวร สมเด็จพระสังฆราช สกลมหาสังฆปริณายก)
    .
    ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านที่ได้ร่วมกันทำบุญมาในวาระงานบุญนี้
    .
    มาร่วมโมทนาบุญกัน บุญเสมอกัน ครับ
    .
    .
    .
    .
    .
    #พระบรมสารีริกธาตุ
    #องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    #พระกกุสันโธพุทธเจ้า
    #พระโกนาคมโนพุทธเจ้า
    #พระกัสสโปพุทธเจ้า
    #พระศากยมุนีโคดโมพุทธเจ้า
    #พระปัจเจกพุทธเจ้า
    #พระธาตุ #พระอัญญาโกณฑัญญะเถระเจ้า
    #พระอานนท์เถระเจ้า
    #พระสารีบุตรเถระเจ้า
    #พระธาตุพระโมคคัลลานะเถระเจ้า
    #พระราหุลเถระเจ้า
    #พระมหากัสสปะเถระเจ้า
    #พระสิวลีเถระเจ้า
    #พระอุบาลีเถระเจ้า
    #พระอุปคุตเถระเจ้า
    #หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า
    #หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า
    #หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร
    #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี
    #หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ
    #หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์
    #หลวงปู่เทพโลกอุดร
    #หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร
    #คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ
    #พระเจ้าอโศกมหาราช
    #พระเกสาสมเด็จพระญาณสังวร
    #พระธาตุนิมิตร
    #ถวายพระบรมสารีริกธาตุองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า
    #ถวายพระบรมสารีริกธาตุพระปัจเจกพุทธเจ้า
    #ถวายพระธาตุพระอรหันต์
    #พระเจดีย์บ้านแสงแห่งธรรมทุ่งนาผางาม
    #โรงทาน

    รูปสงวนลิขสิทธิ์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    นำมาให้ชม ชุดเต็มๆ อีกรอบ

    .

    พระชัย(ชนะ)สุโขทัย เนื้อทองคำ

    .

    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ เป็นผู้ที่ให้ดำเนินการจัดสร้างขึ้น

    .

    มีผู้ที่อัญเชิญองค์ผู้อธิษฐานจิต ซึ่งท่านผู้อัญเชิญ ผมบอกได้ว่า สุดยอดจริงๆ

    .

    การอาราธนาองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกๆพระองค์ , พระอรหันต์ทุกๆพระองค์ และ พระมหาโพธิสัตว์ทุกๆพระองค์ มาอธิษฐานจิต พระขัย ชุดนี้

    .

    วาระการสร้าง เพื่อเฉลิมฉลองการขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงออกจากกรุงสุโขทัย

    .

    การขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงออกจากกรุงสุโขทัย องค์กษัตริย์ที่ยกกองทัพเข้าไปตีขอมฯ คือ พ่อขุนผาเมือง เมื่อตีได้แล้ว ได้ยกเมืองสุโขทัยให้กับ พ่อขุนบางกลางหาว (หรืออีกชื่อ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์)

    .

    ผมบอกได้อย่างเดียวว่า ไม่สามารถที่จะหาพระเครื่องในลักษณะนี้ได้อีกแล้วในโลกนี้ ครับ

    .

    ในปัจจุบัน พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ได้กลับชาติมาเกิดเป็นชาติสุดท้ายแล้ว เป็นพระภิกษุสงฆ์ในพระพุทธศาสนา ผมได้มีโอกาสพา พี่ๆ เพื่อนๆ น้องๆ หลายๆท่าน ไปกราบท่านมาแล้ว ครับ

    .

    ก่อนหน้านี้ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ได้เวียนว่ายตายเกิดตามหลักกฎแห่งกรรมของพระพุทธศาสนา

    .

    รูปสงวนลิขสิทธิ์

    .

    #พระชัยชนะสุโขทัย

    #พระชัยสุโขทัย

    #พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

    #พ่อขุนบางกลางหาว

    #พ่อขุนผาเมือง

    #ผู้อธิษฐานจิต

    #องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าทุกพระองค์

    #พระปัจเจกพุทธเจ้าทุกพระองค์

    #พระอรหันต์ทุกพระองค์

    #พระมหาโพธิสัตว์ทุกพระองค์

    #วาระการสร้าง

    #เฉลิมฉลองการขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงออกจากกรุงสุโขทัย

    #ขอมสบาดโขลญลำพง

    #กฎแห่งกรรมของพระพุทธศาสนา

    .

    .--------------------------------------------------

    .

    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ทรงเป็นพระมหากษัตริย์รัชกาลที่ ๑ แห่งราชวงศ์พระร่วงกรุงสุโขทัย เสวยราชสมบัติตั้งแต่ พ.ศ. ๑๗๙๒ ถึงปีใดไม่ปรากฏ พระนามเดิมคือพ่อขุนบางกลางหาว มีมเหสีคือนางเสือง มีพระราชโอรส ๓ พระองค์ พระราชธิดา ๒ พระองค์ พระราชโอรสองค์ใหญ่สิ้นพระชนม์ตั้งแต่ทรงพระเยาว์ ส่วนพระราชโอรสองค์ที่ ๒ และ ๓ คือพ่อขุนบานเมืองและพ่อขุนรามคำแหงทรงครองราชย์ต่อมาตามลำดับ เดิมพ่อขุนบางกลางหาวทรงเป็นเจ้าเมืองอยู่ที่ใดไม่ปรากฏ แต่ข้อความในศิลาจารึกหลักที่ ๒ ทำให้ทราบว่าอยู่ใต้เมืองบางยางลงไป มีผู้เสนอความเห็นว่าพ่อขุนบางกลางหาวน่าจะอยู่แถวกำแพงเพชร

    .

    ก่อนราชวงศ์พระร่วงอาณาจักรสุโขทัยมีราชวงศ์พ่อขุนศรีนาวนำถุมครองอยู่ ในรัชสมัยของพ่อขุนศรีนาวนำถุมซึ่งเริ่มประมาณ พ.ศ. ๑๗๖๒ อาณาจักรสุโขทัยครอบคลุมถึงเมืองฉอด (ใกล้แม่น้ำเมย) ลำพูน น่าน พิษณุโลก ต่อมาอาณาจักรสุโขทัยตกอยู่ใต้อำนาจขอมสบาดโขลญลำพง จนกระทั่งพ่อขุนผาเมืองโอรสของพ่อขุนศรีนาวนำถุมทรงร่วมมือกับพ่อขุนบางกลางหาวขับไล่ขอมสบาดโขลญลำพงไป พ่อขุนบางกลางหาวทรงยึดเมืองศรีสัชนาลัยได้และทรงเวนเมืองให้พ่อขุนผาเมือง พ่อขุนผาเมืองจึงอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวเป็นกษัตริย์สุโขทัย พ่อขุนผาเมืองซึ่งเป็นพระชามาดา (ลูกเขย)ของกษัตริย์ขอมทรงยกพระนามศรีอินบดินทราทิตย์ซึ่งพระองค์ได้รับมาจากกษัตริย์ขอมมอบให้แก่พ่อขุนบางกลางหาว แต่พ่อขุนบางกลางหาวทรงใช้พระนามว่า พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ บางทีอาจจะทรงเห็นว่าพระนามเดิมมาจากคำ อินทรปัต + อินทร + อาทิตย์ แสดงว่าอยู่ใต้อินทรปัตซึ่งเป็นเมืองหลวงของขอม (ดังปรากฏในจารึกหลักที่ ๒) ก็เป็นได้

    .

    การที่พ่อขุนผาเมืองทรงยกสุโขทัยและอภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวเป็นกษัตริย์ อาจจะทรงเห็นว่าสุโขทัยในขณะนั้นเป็นเมืองเล็กกว่าศรีสัชนาลัย หรืออาจจะเป็นเพราะว่านางเสือง พระมเหสีของพ่อขุนบางกลางหาวเป็นพระภคินี (พี่สาว) ของพ่อขุนผาเมือง พ่อขุนบางกลางหาวจึงทรงมีสิทธิที่จะได้ครองเมืองก่อนพ่อขุนผาเมืองก็เป็นได้

    .

    พ่อขุนผาเมืองเป็นเจ้าเมืองราด มีพระอนุชาคือพระยาคำแหงพระรามครองเมืองสระหลวงสองแคว (พิษณุโลก) โอรสของพระยาคำแหงพระราม คือ มหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนี เมื่อเป็นฆราวาสมีฝีมือในการสู้รบ ได้ชนช้าชนะหลายครั้ง รู้ศิลปศาสตร์หลายประการ ขณะอายุ ๓๐ ปีมีบุตรแต่เสียชีวิต มหาเถรศรีศรัทธาราชจุฬามุนีจึงออกบวช ได้ไปปลูกต้นโพธิ์ สร้างพิหาร อาวาส และซ่อมแซมพระศรีรัตนมหาธาตุทั้งในและนอกประเทศ เช่น พม่า อินเดีย และลังกา

    .

    อนึ่ง เมืองราดตั้งอยู่ที่ใดมีผู้สันนิษฐานไว้ต่างๆ กันสมเด็จพระเจ้าบรมวงศ์เธอกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่าเมืองราดน่าจะอยู่ที่เพชรบูรณ์และเมืองลุมคือเมืองหล่มเก่าแต่ผู้เขียน(ประเสริฐ ณ นคร) วางตำแหน่งเมืองราดเมืองสะค้าและเมืองลุมบาจายไว้ที่ลุ่มแม่น้ำน่านด้วยเหตุผลดังต่อไปนี้

    .

    จากจารึกหลักที่ ๒ ทำให้ทราบว่าเมืองราดเมืองสะค้าและเมืองลุมบาจายเป็นกลุ่มเมืองที่อยู่ใกล้กันพ่อขุนผาเมืองอยู่เมืองราดและกษัตริย์น่านมีพระนามผานองผากองและผาสุมแต่กษัตริย์เมืองอื่นไม่ใช้“ผา”นำหน้าพระนามเลยพ่อขุนผาเมืองจึงน่าจะเป็นกษัตริย์น่าน(คือเมืองราดนั่นเอง)นอกจากนี้ยังมีพระราชโอรสของกษัตริย์น่านมีพระนามว่าบาจายอาจจะแสดงว่าน่านมีอำนาจเหนือบาจายแบบพระนามกรมหลวงราชบุรีดิเรกฤทธิ์แสดงว่ากรุงเทพฯมีอำนาจเหนือราชบุรีนั่นเอง

    .

    อีกประการหนึ่ง จารึกหลักที่ ๘ กล่าวถึงไพร่พลของพระเจ้าลิไทยว่ามีทั้งชาวสระหลวงสองแควพระบางฯลฯเริ่มตั้งแต่เมืองทางทิศตะวันออกของสุโขทัยแล้วกวาดไปทางใต้ทางทิศตะวันตกทางทิศเหนือจนกลับมาจบที่ทิตะวันออกตามเดิมจารึกหลักอื่นเช่นหลักที่ ๓๘ และจารึกวัด อโสการาม (หลักที่๙๓) ก็ใช้ระบบเดียวกันโดยถือตามพระพุทธศาสนาว่าตะวันออกเป็นทิศหน้าแล้ววนตามเข็มนาฬิกาเริ่มจากสระหลวงสองแควคือพิษณุโลกไปปากยม(พิจิตร)พระบางไปชากังราวสุพรรณภาวกำแพงเพชรรวม ๓ เมืองที่กำแพงเพชรบางพาน(อำเภอพานกระต่ายกำแพงเพชร)ต่อไปจะถึงราดสะค้า ลุมบาจายซึ่งจะอยู่ระหว่างทิศเหนือกวาดมาทางทิศตะวันออกของสุโขทัยและย่อมจะอยู่เหนือสระหลวงสองแควขึ้นไป จารึกหลักที่ ๑ วางลุมบาจายและสะค้าไว้ระหว่างพิษณุโลกกับเวียงจันทน์

    .

    อีกประการหนึ่ง ตอนพ่อขุนผาเมืองยกมาช่วยพ่อขุนบางกลางหาวรบกับขอมสบาดโขลญลำพงที่สุโขทัยถ้าหากพ่อขุนผาเมืองอยู่แถวเพชรบูรณ์คงจะมาช่วยไม่ทันสินชัยกระบวนแสงจากคณะโบราณคดีมหาวิทยาลัยศิลปากรพบใบลานที่วัดช้างค้ำเมืองน่านกล่าวถึงเหตุการณ์สมัยรัชกาลที่ ๒ ว่า เจ้าผู้ครองน่านขึ้นตามแม่น้ำน่านไปถึงอำเภอท่าปลา (ปัจจุบันคือจังหวัดอุตรดิตถ์) ใกล้ห้วยแม่จริม“เมืองราดเก่าหั้น”แสดงว่าสมัยต้นรัตนโกสินทร์ยังทราบกันดีว่าเมืองราดอยู่บนแม่น้ำน่านใกล้อำเภอท่าปลา

    ที่มา http://historytactic.blogspot.com/2015/08/blog-post_29.html

    .

    ----------------------------------------------------

    .

    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์

    .

    ประวัติ

    .

    ราชวงศ์สุโขทัยมีประวัติปรากฏในศิลาจารึกหลักที่ 2 (จารึกวัดศรีชุม) ใจความว่า ผู้ตั้งราชวงศ์มี 2 คน ด้วยกัน คือ พ่อขุนผาเมือง และพ่อขุนบางกลางหาว ได้ช่วยกันตั้งราชวงศ์ขึ้นเมื่อพ.ศ. 1800 พ่อขุนผาเมืองเป็นลูกพ่อขุนศรีนาวนำถม ซึ่งเป็นเจ้าเมืองสุโขทัยในครั้งนั้นเมืองสุโขทัยยังเป็นเมืองประเทศราชของขอมอยู่

    .

    พ่อขุนผาเมืองนั้น พระเจ้ากรุงกัมพูชาพระราชทานนามว่า กมรเตงอัญศรีอินทรปตินทราทิตย์ และได้พระราชทานพระราชธิดาองค์หนึ่งทรงพระนามว่า พระนางสิงขรมหาเทวี พ่อขุนผาเมืองเป็นเจ้าเมืองราด ส่วนพ่อขุนบางกลางหาวนั้นเป็นเจ้าเมืองบางยาง (แต่เดิมนั้น เรียกชื่อพ่อขุนบางกลางหาวว่า บางกลางทาว หรือ บางกลางท่าว ต่อมา ดร. ประเสริฐ ณ นคร ตรวจสอบอักษรที่จารึกใหม่พบว่า แท้ที่จริง จารึกเขียนว่า บางกลางหาว เพราะที่อ่านกันแต่เดิมนั้น เข้าใจผิดไปว่าเป็น "ท ทหาร" ที่แท้คือ " ห หีบ" และ"ไม้เอก" ก็ไม่มี) ครั้งนั้นเมืองสุโขทัยมีข้าหลวงเขมรชื่อ โขลญลำพง เป็นผู้รักษาเมืองหรือสำเร็จราชการอยู่ พ่อขุนบางกลางหาวเป็นมิตรสหายของพ่อขุนผาเมือง ทั้งสองได้ตั้งใจตีเมืองสุโขทัย พ่อขุนบางกลางหาวได้เมืองศรีสัชนาลัย ส่วนพ่อขุนผาเมืองเมื่อได้เมืองบางขลังแล้วก็นำพลมาทางเมืองราด เมืองศรีสัชนาลัยถึงเมืองสุโขทัย ข้าหลวงขอมไม่อาจสู้ได้ ต้องยอมแพ้และทิ้งเมืองสุโขทัยไป

    .

    เมื่อได้เมืองสุโขทัยแล้วพ่อขุนผาเมืองได้นำพลออกและได้อภิเษกพ่อขุนบางกลางหาวให้เป็นเจ้าเมืองสุโขทัย ถวายพระนามตามพระนามของตนที่ได้รับพระราชทานจากพระเจ้ากรุงกัมพูชาว่า "กมรเดงอัญศรีอินทรปตินทราทิตย์" (ในตอนต้นศิลาจารึกของพ่อขุนรามคำแหง เรียกโดยย่อว่า ศรีอินทราทิตย์ เป็นพระนามพระราชบิดาของพ่อขุนรามคำแหง) พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ซึ่งเป็นปฐมกษัตริย์ในราชวงศ์สุโขทัยนั้น ในหนังสือชินกาลมาลินี และสิหิงคนิทาน เรียกว่า โรจนราช หรือสุรางคราช คือ พระร่วง (สำหรับพระนามพระร่วงนี้มีหลักฐานไม่แน่ชัดว่า หมายจำเพาะเจาะจงว่าเป็นองค์ใด บ้างก็ว่าหมายถึงพระเจ้าศรีอินทราทิตย์ บ้างก็ว่า หมายถึงพ่อขุนรามคำแหงมหาราช และบ้างก็ว่าหมายถึงกษัตริย์ทุกพระองค์ในราชวงศ์พระร่วง)

    ที่มา http://www.info.ru.ac.th/province/Sukhotai/pkr1.htm

    .

    ---------------------------------------------

    .

    ประวัติพ่อขุนศรีอินทราทิตย์

    .

    ตามพงศาวดาร และคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ ได้กล่าวไว้ว่าพ่อขุนศรี อินทราทิตย์มีพระนามเต็ม คือ กำมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์ พระนามเดิม พ่อขุนบางกลางหาว (ไม่ใช่ “กล่างท่าว”) ทรงเป็นปฐมวงศ์ราชวงศ์พระร่วงแห่งอาณาจักรสุโขทัย ครองราชย์สมบัติ ตั้งแต่ พ.ศ. 1782 - 1822 (30 ปี คำนวณศักราชจากคัมภีร์สุริยยาตรตามข้อเสนอของ ศ.ประเสริฐ ณ นครและ พ.อ.พิเศษ เอื้อนมณเฑียรทอง)

    .

    เมื่อจุลศักราช 536 พระเจ้าสุริยราชา ซึ่งเป็นเชื้อพระวงศ์ของพระเจ้าปทุมสุริยวงศ์ ได้ทรงตบแต่งซ่อมแซมแปลงเมืองพิจิตรปราการ(กำแพงเพชร)ขึ้นใหม่ครองราชย์สมบัติต่อไป มีพระอัครมเหสีทรงพระนามว่า สิริสุธาราชเทวี มีพระราชโอรสองค์หนึ่งด้วยพระอัครมเหสี ทรงพระนามว่าจันทกุมารพระเจ้าสุริยราชา เมื่อแรกได้ราชสมบัติพระชนม์ได้ 20 พรรษา อยู่ในราชสมบัติ 28 ปี เสด็จสวรรคตพระชนม์ได้ 47 พรรษา พระองค์ประสูติวันจันทร์ จุลศักราช 570 พระจันทกุมารราชโอรส ได้ขึ้นครองราชย์สมบัติ ทรงพระนามว่า พระเจ้าจันทรราชาและตามพระราชพงศาวดารโยนก หน้า 80 วรรค 2 กล่าวไว้ว่ายังมีข้อความในหนังสือชินกาลมาลินี กล่าวถึงมูลประวัติของพระเจ้าโรจนราชผู้ได้ พระพุทธสิหิงค์มาจากศรีธรรมนครนั้นว่า บุรุษผู้หนึ่งหลงป่าที่บริเวณ บ้านโคณคาม(เข้าใจว่าบ้านโคนริมเมืองเทพนคร)และได้พบนางเทพธิดาแปลงเป็นมนุษย์(สาวชาวบ้านเมืองคณฑี)มาร่วมสมัครสังวาสเกิดบุตรได้มาเป็นเจ้ากรุงสุโขทัยทรงนามว่า โรจราช

    .

    ประวัติพระองค์ท่านจากคัมภีร์ชินกาลมาลีปกรณ์ หน้า 112-113 ตอนหนึ่งกล่าวถึงการประสูติของพระองค์ ได้ยินว่าที่บ้านโค (บ้านโคน จังหวัดกำแพงเพชร ในปัจจุบัน) ยังมีชายคนหนึ่ง(จันทราชา)รูปงามมีกำลังมาก ท่องเที่ยวอยู่ในป่า มีนางเทพธิดาองค์หนึ่ง(สาวชาวบ้านเมืองคณฑี)เห็นชายคนนั้นแล้ว ใคร่ร่วมสังวาสด้วยจึงแสดงมารยาหญิง ชายคนนั้นก็ร่วมสังวาสกับนางเทพธิดาองค์นั้น เนื่องจากการร่วมสังวาสของทั้งสองคนนั้นจึงเกิดบุตรชายคนหนึ่ง และบุตรชายคนนั้นมีกำลังมาก รูปงาม เพราะฉะนั้น ชาวบ้านทั้งปวงจึงพร้อมใจกันทำราชาภิเษกบุตรชายคนนั้น บุตรชายซึ่งครองราชย์สมบัติในเมืองสุโขทัยนั้น ปรากฏพระนามในครั้งนั้นว่า โรจราช ภายหลังปรากฏพระนามว่าพระเจ้าล่วง

    .

    จากหลักฐานทางประวัติศาสตร์ ทั้งหมดเชื่อได้ว่า เมืองคณฑีโบราณ หรือตำบลคณฑี

    .

    จังหวัดกำแพงเพชร ในปัจจุบันนั้นอยู่ในอาณาจักร สุโขทัย เนื่องจากพระเจ้าสุริยราชา (พระอัยกาของ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ ) ครองราชย์สมบัติที่เมืองพิจิตปราการ (เมืองกำแพงเพชร ปัจจุบัน) หลังจากนั้นก็เสด็จสวรรคตและต่อมาพระจันทกุมารราชโอรส (พระเจ้าจันทรราชา พระราชบิดา ของพ่อขุนศรีอินทราทิตย์) ก็เสด็จขึ้นครองราชย์สมบัติต่อ ระหว่างนี้เกิดปาฏิหาริย์หลายสิ่งมากมายจนกระทั่งได้มเหสีเป็นเชื้อชาตินางนาคกุมารี และมีพระราชโอรสคือ พระร่วง (พ่อขุนศรีอินทราทิตย์) นั่นเอง เพราะอีกเหตุผลหนึ่งที่น่าเชื่อถือคือ พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ หรือพระนามเต็ม กำมรเตงอัญศรีอินทรบดินทราทิตย์ ชินกาลมาลีปกรณ์ ว่า บ้านเดิมของพระองค์อยู่ที่ “บ้านโคน ” ในจังหวัดกำแพงเพชร พระองค์ทรงนำชนชาติไทยต่อสู้กับชนชาติขอมซึ่งเป็นใหญ่อยู่ในสุวรรณภูมิ อันเป็นที่ตั้งของประเทศไทยส่วนใหญ่ในปัจจุบัน ซึ่งรวมถึงกรุงสุโขทัยด้วย ทรงได้ชัยชนะขอมและประกาศอิสรภาพ ตั้งราชอาณาจักรสุโขทัย ทรงเป็นพระเจ้าแผ่นดินองค์แรกและเป็นต้นราชวงศ์พระร่วง เป็นปฐมบรมกษัตริย์แห่งราชอาณาจักรไทย

    .

    ส่วนพระราชกรณียกิจที่สำคัญ

    .

    พ่อขุนศรีอินทราทิตย์เมื่อครั้งยังเป็นพ่อขุนบางกลางหาวได้ร่วมกับพ่อขุนผาเมือง เจ้า เมืองราด แห่งราชวงศ์ศรีนาวนำถมรวมกำลังพลกัน กระทำรัฐประหารขอมสบาดโขลญลำพง โดยพ่อขุนบางกลางหาวตีเมือง ศรีสัชนาลัย และเมืองบางขลงได้ และยกทั้งสองเมืองให้พ่อขุนผาเมือง ส่วนพ่อขุนผาเมืองตีเมืองสุโขทัยได้ ก็ได้มอบเมืองสุโขทัยให้พ่อขุนบางกลางหาว พร้อมพระขรรค์ชัยศรีและยกพระกนิษฐา(นางเสือง)ให้เป็นมเหสีอีกด้วยส่วนพระนาม “ศรีอินทรบดินทราทิตย์” ซึ่งได้นำมาใช้เป็นพระนาม ภายหลังได้กลายเป็น ศรีอินทราทิตย์ โดยคำว่า “บดินทร” หายออกไป เชื่อกันว่าเพื่อเป็นการแสดงว่ามิได้ เป็น บดีแห่งอินทรปัต คืออยู่ภายใต้อิทธิพลของเขมร (เมืองอินทรปัต) อีกต่อไป การเข้ามาครองสุโขทัยของพระองค์ ส่งผลให้ ราชวงศ์พระร่วง เข้ามามีอิทธิพลในเขตนครสุโขทัยเพิ่มมากขึ้น และได้แผ่ขยายดินแดนกว้างขวางมากออกไป แต่เขตแดนเมืองสลวงสองแคว ก็ยังคงเป็นฐานกำลังของราชวงศ์ศรีนาวนำถมอยู่ในกลางรัชสมัย ทรงมีสงครามกับขุนสามชน เจ้าเมืองฉอด ทรงชนช้างกับขุนสามชน แต่ช้างทรงพระองค์ ได้เตลิดหนีดังคำในศิลาจารึกว่า “หนีญญ่ายพ่ายจแจ” ขณะนั้นพระโอรสองค์เล็ก ทรงมีพระปรีชาสามารถ ได้ชนช้างชนะขุนสามชนภายหลังจึงทรงเฉลิมพระนามพระโอรสว่า รามคำแหงในยุคประวัติพ่อขุน

    .

    ศรีอินทราทิตย์มีพระราชโอรสและพระธิดารวม 5 พระองค์ ได้แก่

    .

    1. พระราชโอรสองค์โต (ไม่ปรากฏนาม) เสียชีวิตตั้งแต่ยังทรงพระเยาว์

    .

    2. พ่อขุนบานเมือง

    .

    3. พ่อขุนรามคำแหงมหาราช (พระนามขณะที่ยังทรงพระเยาว์ไม่ปรากฏ)

    .

    4. พระธิดา (ไม่ปรากฏนาม)

    .

    5. พระธิดา (ไม่ปรากฏนาม)

    .

    วิธีการคิดปั้นรูปหล่อ(จินตนาการ)พ่อขุนศรีฯ

    .

    เมื่อเทียบเคียงวิเคราะห์ในแง่มุมต่างๆ ของหลักฐานที่มีอยู่ จัดแบ่งลำดับขั้นตอนความสำคัญที่มีลักษณะเด่นเฉพาะ โดยนำมาประมวลออกแบบสร้างสรรค์ให้เป็นรูปธรรมขององค์พ่อขุนศรีอินทราทิตย์ซึ่งกำหนดลักษณะตามแบบอย่างพระบรมสาทิสลักษณ์ของพระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวภูมิพลอดุลยเดช รัชกาลที่ 9 ทรงเครื่องพระอิสริยยศทรงจอมทัพไทย ประทับยืนทรงถือพระแสงขรรค์ชัยศรีด้วยพระหัตถ์ทั้งสองข้าง พระพักตร์ทอดพระเนตรเบื้องหน้าเสมือนกับทรงดูแลอาณาประชาราษฎร์ของพระองค์ให้อยู่อย่างร่มเย็นเป็นสุขขณะเดียวกันก็ยังคงดูลักษณะการประทับยืนของพระบาทสมเด็จพระจุลจอมเกล้าเจ้าอยู่หัว (รัชกาลที่ 5 ซึ่งเป็นท่าประทับยื่นที่สง่างามกว่าทุกพระองค์) ประกอบไปด้วย

    .

    เมื่อได้ลักษณะของรูปแบบจากความคิดแล้วออกแบบเขียนภาพร่าง โดยคัดเลือกคนผู้เป็นหุ่นยืนเป็นแบบเพื่อดูลักษณะการยืน ดูกล้ามเนื้อ ดูโครงสร้างของร่างกายแต่ละส่วน เพื่อพิจารณาถึงรายละเอียดที่จะต้องแสดงให้ปรากฏออกมา ซึ่งจะต้องมีความเป็นพิเศษต่างจากบุคคลทั่วไป เพื่อให้มีภาพลักษณ์เป็นองค์พระมหากษัตริย์ผู้ยิ่งใหญ่ จากนั้นเป็นเรื่องของแบบเครื่องทรง

    .

    เครื่องทรงของแบบรูปปั้นพ่อขุนศรีอินทราทิตย์พระวรกายตอนบนเป็นลักษณะเครื่องทรงแบบสุโขทัยโบราณ ทรงสวมพระมงกุฎทรงเทริด ยอดพระมงกุฎเป็นลวดลายกลับบัว 3 ชั้น พระศอมีสร้อยพระศอ และพระกรองศอ สร้อยสังวาลพร้อมทับทรวงพระพาหุตอนบน ประดับพาหุรัด ข้อพระหัตถ์เป็นทองกร พระวรกายจากบั้นพระองค์ถึงพระบาททรงฉลองพระภูษายาวกรอบข้อพระบาท พร้อมคาดปั้นเหน่งทับและห้อยพระสุวรรณกันถอบด้านหน้าพระภูษาทรงด้านเปิดชายผ้าชั้นนอกซ้าย-ขวาลักษณะทิ้งชายผ้าให้พลิ้วเคลื่อนไหว ชายผ้าทั้งชั้นนอกและชั้นในเป็นลายกรวยเชิงประดับ และข้อพระบาทประดับทองบาท(กำไลเท้า) พร้อมฉลองพระบาท ทั้งนี้เพื่อต้องการให้พระบรมรูปมีลักษณะของฉลองพระองค์เป็นแบบมหากษัตริย์สมัยสุโขทัยโบราณตามที่ได้ทำการศึกษาค้นคว้า

    .

    ที่มา http://khontee.go.th/index.php?options=travel&mode=detail&id=138

    .

    ..

    001  pra chai.png 002  pra chai.png
     
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    วันนี้ วันเสาร์ที่ 18 มกราคม 2563 (และ ทุกวันที่ 18 มกราคม ของทุกปี) เป็นวันคล้ายวันที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำสงครามยุทธหัตถีชนะสมเด็จพระมหาอุปราชาของพม่า
    .
    รำลึกนึกถึงพระคุณของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช , สมเด็จพระเอกาทศรถ , เหล่าวีรชนทหารกล้าทุกท่าน และ พระสงฆ์ รวมถึงประชาชนในประเทศไทยที่รักชาติรักแผ่นดินที่เป็นเบื้องหลังในการปกป้องประเทศไทยทุกท่าน
    .
    เรื่องของพระเจดีย์ที่สร้างขึ้นหลังสงครามยุทธหัตถึ ส่วนตัวมั่นใจอยู่ที่จ.กาญจนบุรี
    .
    01 n don.png
    .
    02 n don.png
    .
    03 n don.png
    .
    รูปสงวนลิขสิทธิ์
    .
    .
    .**********************************.
    .
    .



    พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช


    arrowred.gif พิกัด
    imaa.jpg N 14.05883
    imaa2.jpg E 99.67847
    .
    arrowred.gif สถานที่ตั้ง
    imaa.jpg บ้านดอนเจดีย์ หมู่ที่ 2 ตำบลดอนเจดีย์ อำเภอพนมทวน
    .
    arrowred.gif ประวัติ-ข้อมูลสถานที่
    .
    imaa.jpg พระบรมราชานุสาวรีย์ สมเด็จพระนเรศวรมหาราชสร้างในวโรกาสมหามงคล พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ทรงมีพระชนมายุครบ 6 รอบ เมื่อวันที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2542 และเพื่อเป็นการถวายราชสดุดีเฉลิมพระเกียรติในวโรกาสครบ 400 ปี แห่งชัยชนะที่สมเด็จพระนเรศวรมหาราชเสด็จกรีฑาทัพผ่านกาญจนบุรีไปทรงยึดกรุงหงสาวดี เมื่อปี พ.ศ. 2142 สถานที่ตั้งพระบรมราชนุสาวรีย์เป็นสถานที่เชื่อกันว่าสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงทำสงครามยุทธหัตถีชนะสมเด็จพระมหาอุปราชาของพม่า หลักฐานที่ค้นพบเต็มไปด้วยวัตถุโบราณที่ใช้ในการทำสงคราม ทั้งเครื่องศาสตราวุธ เครื่องประดับช้างม้า ลูกประคำม้า เครื่องประดับช้าง ตราม้าศึกและกระสุนปืน
    .
    imaa.jpg พระบรมราชานุสาวรีย์เป็นพระบรมรูปประทับช่วงบนพระคชาธาร พระแสงดาบพาดพระเพลา นายควาญช้างและท้ายช้างประกอบขนาดเท่าครึ่งของครึ่งพระองค์จริง น้ำหนักวัสดุทองเหลืองที่ใช้ในการจัดสร้างประมาณ 20 ตัน งบประมาณในการก่อสร้างเป็นเงินประมาณ 50 ล้านบาท สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดา สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินเป็นองค์ประธานพิธีวางศิลาฤกษ์ เมื่อวันศุกร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ 2543 และสมเด็จพระบรมโอรสาธิราช สยามมงกุฎราชกุมารเสด็จพระราชดำเนินทรงประกอบพิธีเปิดพระบรมราชนุสาวรีย์ เมื่อวันอังคารที่ 18 กุมภาพันธ์ 2546
    .
    arrowred.gif ข้อมูลที่เกี่ยวข้อง
    imaa.jpg พระบรมราชานุสาวรีย์สมเด็จพระนเรศวรมหาราช เปิดให้นักท่องเที่ยวและประชาชนสักการะทุกวันระหว่างเวลา 08.30 - 16.30 น.
    .
    ที่มา http://kanchanaburi.go.th/au/tourkan2015/kingnaresuan.php
    .
    .
    .--------------------------------------------.
    .

    สงครามครั้งที่ 10 สงครามยุทธหัตถี

    .
    เมื่อพระมหาอุปราชาแตกทัพกลับไปครั้งก่อน ทำให้พระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรงทรงพระวิตกยิ่งนัก เพราะว่าพม่าเสียทั้งรี้พลและอำนาจ เป็นเหตุให้เมืองขึ้นต่าง ๆ ของพม่าเกิดความเคลื่อนไหวที่จะแข็งเมืองทั่วไป การที่จะรักษาอำนาจพม่าไว้ได้ ก็ด้วยการเอาชนะไทยให้ได้ พระเจ้าหงสาวดีจึงให้พระมหาอุปราชา ยกทัพมาตีกรุงศรีอยุธยาอีก ในปี พ.ศ. 2135
    .
    ตามพงศาวดารกล่าวไว้ว่า พระเจ้าหงสาวดีได้ตัดพ้อในที่ประชุมเจ้านายและขุนนาง ถึงการที่ไม่มีใครเจ็บร้อนเรื่องเมืองไทย สมเด็จพระนเรศวรมีรี้พลเพียงหยิบมือเดียว ก็ไม่มีใครกล้าไปรบพุ่ง เมืองหงสาวดีคงสิ้นคนดีเสียแล้ว ขุนนางคนหนึ่งจึงกราบทูลว่า กรุงศรีอยุธยานั้น สำคัญอยู่ที่สมเด็จพระนเรศวรพระองค์เดียว เพราะกำลังหนุ่มรบพุ่งเข้มแข็ง ทั้งบังคับบัญชาผู้คนก็สิทธิ์ขาด มีคนน้อยก็เหมือนมีคนมาก เจ้านายในกรุงหงสาวดีที่ทำสงครามเข้มแข็ง เคยชนะศึกเหมือนอย่างสมเด็จพระนเรศวรก็มีอยู่หลายองค์ ถ้าจัดกองทัพให้เป็นหลายกองทัพ แล้วให้เจ้านายดังกล่าวเป็นแม่ทัพ ยกไปช่วยรบก็เห็นเอาชัยชนะได้ พระเจ้าหงสาวดีก็ได้ตรัสตอบ ตามที่ปรากฎในพระราชพงศาวดารว่า ข้อเสนอนั้นก็ดีอยู่ แต่ตัวของพระองค์เป็นคนอาภัพ ไม่เหมือนพระมหาธรรมราชาซึ่งมีลูก พ่อไม่ต้องพักใช้ให้ไปรบ มีแต่กลับจะต้องห้ามเสียอีก ตัวของพระองค์เองไม่รู้ว่าจะใช้ใคร พระมหาอุปราชาได้ยินดังนั้น ก็เกิดความอัปยศอดสู จึงกราบทูลว่าขอรับอาสามาตีเมืองไทยแก้ตัวใหม่
    .
    สงครามคราวนี้ ทางพม่าเกณฑ์กองทัพ 3 เมือง คือ กองทัพเมืองหงสาวดี ให้เจ้าเมืองจาปะโร เป็นกองหน้า พระมหาอุปราชา เป็นกองหลวง กองทัพเมืองแปร ให้พระเจ้าแปรลูกเธอที่ไปตีเมืองคังได้เมื่อครั้งหลัง เป็นนายทัพ กองทัพเมืองตองอู ให้นัดจินหน่อง ลูกพระเจ้าตองอู ผู้ต้านทานกองทัพไทยไว้ได้เมื่อคราวที่พระเจ้าหงสาวดีล่าทัพจากเมืองไทย เป็นนายทัพ รวมกำลังพลทั้งสิ้น 240,000 คน นอกจากนั้น ยังให้พระเจ้าเชียงใหม่ ยกกองทัพเมืองใหม่ใหม่ ลงมาสมทบด้วยอีกหนึ่งกองทัพ
    .
    กองทัพพระมหาอุปราชายกออกจากเมืองหงสาวดี เมื่อวันพุธ ขึ้น 7 ค่ำ เดือนอ้าย ปีมะโรง พ.ศ. 2135 เดินทัพมาทางด่านเจดีย์สามองค์ เมื่อล่วงเข้าถึงตำบลไทรโยค ก็ให้ตั้งค่ายลง แล้วปรึกษาแผนการที่จะเข้าตีเมืองกาญจนบุรี และเมื่อล่วงมาถึงลำตะเพินในตำบลลาดหญ้า ก็ให้พระยาจิตตองคุมพลสร้างสะพานเรือก เพื่อใช้ข้ามลำน้ำสายนี้ เมื่อเข้าเมืองกาญจนบุรีได้ก็พักอยู่หนึ่งคืน แล้วเคลื่อนทัพมายังตำบลตระพังกรุ แขวงเมืองกาญจนบุรี พระมหาอุปราชาก็ทรงให้ตั้งค่ายแบบดาวล้อมเดือน ตรงชัยภูมินาคนาม ทัพพม่ายกมาครั้งนี้ จนล่วงเข้าเขตกาญจนบุรี ไม่มีทัพไทยไปขัดตาทัพเลย จึงยกเข้ามาได้ตามลำดับ จนเข้าเขตเมืองสุพรรณบุรี แขวงบ้านพนมทวนเวลาบ่ายสามโมง เกิดลมเวรัมภาพัดหมุนเป็นเกลียว ทำให้เศวตฉัตรของพระมหาอุปราชาหักสะบั้นลง พระมหาอุปราชาเห็นเป็นลางร้าย มีความหวาดหวั่นพรั่นพระหฤทัยที่จะมาทำสงครามเพิ่มมากขึ้น กองทัพพม่ายกมาถึงตำบลตระพังกรุ แขวงเมืองสุพรรณบุรี ก็ให้หยุดตั้งทัพอยู่ ณ ที่นั้น แล้วให้สมิงจอดราน สมิงเป่อ สมิงซาม่วน คุมกองทัพม้า ออกลาดตระเวณหาข่าวกองทัพพม่าที่จะยกลงมาทางเหนือ และสืบข่าวกองทัพฝ่ายไทย ว่าได้ยกออกมาและวางกำลังต่อสู้ไว้ที่ใดบ้าง
    .
    กองทัพพม่าที่ยกมาครั้งนี้ ในพระราชพงศาวดารกล่าวว่า ได้รบกันที่แขวงเมืองสุพรรณบุรี และกล่าวถึงกองทัพพระมหาอุปราชาเพียงทัพเดียว ไม่ปรากฎอีกสองกองทัพ คือกองทัพพระเจ้าแปร และกองทัพนัดจินหน่องแต่อย่างใด เรื่องนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพทรงสันนิษฐานว่า กองทัพพม่าที่ยกมาครั้งนี้ น่าจะยกมาสองทาง คือ กองทัพพระมหาอุปราชายกมาทางด่านเจดีย์สามองค์ ส่วนอีกสองกองทัพยกมาทางด่านแม่ละเมา และให้พระเจ้าเชียงใหม่คุมเรือเป็นกองลงมาเช่นคราวก่อน กำหนดให้กองทัพที่ยกมาทั้งสองทางนี้ มารวมกันที่กรุงศรีอยุธยา แต่เมื่อฝ่ายไทย ตีกองทัพพระมหาอุปราชาแตกไปก่อนแล้ว ก็เป็นอันสิ้นสุดสงคราม ทัพพม่าอีกสองกองทัพที่ยกมาทางเหนือ เดินทางมาถึงทีหลัง จึงยังไม่ทันเข้ารบพุ่งเลยต้องถอยกลับไป ข้อสันนิษฐานนี้น่าจะเป็นไปได้มากที่สุด เพราะแม้แต่จะมีหลักฐานบางแห่งกล่าวว่า ทัพเจ้าเมืองแปรเป็นปีกซ้าย ทัพเจ้าเมืองตองอูเป็นปีกขวา เมื่อพิจารณาภูมิประเทศของเส้นทางเดินทัพมาทางด่านเจดีย์สามองค์ ห้องภูมิประเทศจะไม่อำนวยให้จัดทัพเช่นนั้นได้ จะทำได้เมื่อกองทัพเข้าสู่ที่ราบแล้วเท่านั้น และถ้าเป็นเช่นนั้นจริง ควรจะได้ปรากฎการปฏิบัติการของกองทัพทั้งสอง บันทึกไว้แน่นอน
    .
    ฝ่ายสมเด็จพระนเรศวร ตั้งแต่กองทัพพระมหาอุปราชาแตกกลับไปเมื่อครั้งก่อน พระองค์ก็ทรงประมาณสถานการณ์ว่า ไทยคงจะว่างศึกไปสักปีสองปี เพราะข้าศึกบอบช้ำมาก ต้องใช้เวลาฟื้นฟูเป็นเวลานาน ดังนั้นในปีมะโรง พ.ศ. 2135 ทรงวางแผนที่จะไปตีกรุงกัมพูชา เนื่องจากในระหว่างที่ไทยทำศึกติดพันอยู่กับพม่านั้น เขมรจะฉวยโอกาสเข้ามาซ้ำเติมไทยอยู่หลายครั้ง แม้ต่อมาเมื่อเขมรเห็นว่าไทยเข้มแข็งขึ้น รบชนะพม่าทุกครั้งจะรีบเข้ามาขอเป็นไมตรีกับไทยก็ตาม แต่ครั้นเห็นพระเจ้าหงสาวดีนันทบุเรง ยกกองทัพใหญ่เข้ามาล้อมกรุงศรีอยุธยา เขมรคาดว่าไทยจะสู้พม่าไม่ได้ ก็หันกลับไปสู่พฤติกรรมเดิม ฉวยโอกาสยกกำลังเข้ามาโจมตีไทยอีก พระองค์จึงคอยหาโอกาส ที่จะยกกำลังไปปราบปรามเขมรให้สำนึกตน ครั้นถึงเดือนอ้าย ปีมะโรง พ.ศ. 2135 พระองค์ได้ทรงให้มีท้องตรา เกณฑ์ทัพเพื่อไปตีเมืองเขมร กำหนดให้ยกทัพไปในเดือนยี่ พอมีท้องตราไปได้ 6 วัน ถึงวันขึ้น 12 ค่ำ เดือนยี่ ก็ได้รับใบบอกจากเมืองกาญจนบุรีว่า พระเจ้าหงสาวดีทรงให้พระมหาอุปราชา ยกกองทัพเข้ามาทางด่านเจดีย์สามองค์ และได้ข่าวจากหัวเมืองเหนือว่า มีกองทัพข้าศึกยกลงมาอีกทางหนึ่ง
    .
    ด้วยพระอัจฉริยภาพของพระองค์ ทรงพระราชดำริว่าข้าศึกยกลงมาสองทาง ถ้าปล่อยให้มาสมทบกันได้ ก็จะทำให้ข้าศึกมีกำลังมาก เมื่อกองทัพพระมหาอุปราชายกเข้ามาก่อน จึงจะต้องชิงตีให้แตกเสียก่อน เป็นการรวมกำลังเข้ากระทำการต่อข้าศึกเป็นส่วนๆ ไป เช่นที่เคยเอาชนะกองทัพพระยาพสิม ก่อนที่กองทัพพระเจ้าเชียงใหม่จะยกลงมาถึง ในสงครามครั้งแรก ดังนั้น จากการเตรียมประชุมพลที่ทุ่งบางขวด เพื่อเตรียมยกไปตีกรุงกัมพูชา ก็เปลี่ยนมาเป็นประชุมพลที่ทุ่งป่าโมก แขวงเมืองวิเศษไชชาญ อันเป็นเส้นทางร่วมที่จะยกทัพไปเมืองสุพรรณบุรี และไปเมืองเหนือได้ทั้งสองทาง
    .
    ในระหว่างนั้น พระองค์ก็ทรงให้พระอมรินทรฤาไชย ผู้ว่าราชการเมืองราชบุรี คุมพล 500 คน จัดกำลังแบบกองโจร ออกไปปฏิบัติการตีตัดเส้นทางลำเลียง และรื้อสะพานทางเดินทัพของข้าศึกทางด้านหลัง จัดทัพหัวเมือง ตรี จัตวา และหัวเมืองปักษ์ใต้ รวม 23 หัวเมือง รวมกำลังพลได้ 50,000 คน ให้พระยาศรีไสยณรงค์เป็นนายทัพ พระยาราชฤทธานนท์เป็นยกกระบัตร คุมกองทัพหัวเมือง ไปตั้งขัดตาทัพสะกัดข้าศึกอยู่ที่ลำน้ำท่าคอย แขวงเมืองสุพรรณบุรี เมื่อเตรียมทัพหลวงเสร็จ สมเด็จพระนเรศวร กับสมเด็จพระเอกาทศรถ ก็เสด็จโดยกระบวนเรือพระที่นั่งจากพระนคร ไปทำพิธีฟันไม้ข่มนามที่ทุ่งลุมพลี เมื่อวันขึ้น 9 ค่ำ เดือนยี่ แล้วเสด็จไปยังที่ตั้งทัพชัย ที่ตำบลมะม่วงหวาน หยุดปรับกระบวนทัพอยู่สามคืน พอวันขึ้น 12 ค่ำ ก็เสด็จยกกองทัพหลวงมีกำลังพล 100,000 คน ออกจากทุ่งป่าโมกไปเมืองสุพรรณบุรีทางบ้านสามโก้ ข้ามลำน้ำสุพรรณที่ท่าท้าวอู่ทอง ไปถึงค่ายหลวงที่หนองสาหร่ายริมลำน้ำท่าคอย เมื่อวันขึ้น 14 ค่ำ
    .
    มีความในพระราชพงศาวดาร แสดงถึงความอัศจรรย์ตอนหนึ่งว่า ขณะเมื่อสมเด็จพระนเรศวร ประทับอยู่ที่ค่ายหลวง ตำบลมะขามหวาน ก่อนวันที่จะเสด็จยกกองทัพไปเมืองสุพรรณบุรี ในตอนกลางคืน พระองค์ทรงพระสุบินว่า มีน้ำท่วมป่า หลากมาแต่ทางทิศตะวันตก พระองค์เสด็จลุยน้ำไปพบจรเข้ใหญ่ตัวหนึ่ง ได้เข้าต่อสู้กัน ทรงประหารจรเข้นั้นสิ้นชีวิตด้วยฝีพระหัตถ์ สายน้ำนั้นก็เหือดแห้งไป ทรงมีรับสั่งให้โหรทำนายพระสุบินนั้น พระยาโหราธิบดีกราบทูลพยากรณ์ว่า เสด็จไปคราวนี้จะได้รบพุ่งกับข้าศึก เป็นมหายุทธสงคราม ถึงได้ทำยุทธหัตถีและจะมีชัยชนะข้าศึก
    .
    มีเรื่องของศุภนิมิตครั้งที่สองที่ได้กล่าวไว้ในที่บางแห่งว่า เมื่อใกล้ฤกษ์ยกทัพ สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ เสด็จไปยังเกยทรงช้างพระที่นั่งตามพิชัยฤกษ์นั้น พระองค์ได้ทอดพระเนตรเห็นพระบรมสารีริกธาตุ ขนาดเท่าผลส้มเกลี้ยง ส่องแสงเรืองอร่าม ลอยมาในท้องฟ้าทางทิศใต้ แล้วลอยวนรอบกองทัพไทย เป็นทักษิณาวัตรสามรอบ จากนั้นจึงลอยขึ้นไปทางทิศเหนือ สมเด็จพระนเรศวร และพระอนุชาทรงปิติยินดีตื้นตันพระราชหฤทัยยิ่งนัก ทรงนมัสการและอธิษฐานให้ พระบรมสารีริกธาตุนั้น ปกป้องคุ้มครองกองทัพไทย ให้พ้นอันตรายจากผองภัยทั้งมวล
    .
    เมื่อสมเด็จพระนเรศวรเสด็จถึงหนองสาหร่าย ก็ทรงให้กองทัพพระศรีไสยณรงค์ กับ พระราชฤทธานนท์ ซึ่งออกไปขัดตาทัพอยู่ก่อนที่ลำน้ำท่าคอย เลื่อนออกไปขัดตาทัพที่ดอนระฆัง ส่วนกองทัพหลวงก็ทรงให้เตรียมค่ายคู และกระบวนทัพที่จะรบข้าศึก ด้วยคาดว่าคงจะได้ปะทะกันในวันสองวันเป็นแน่ เพราะกองทัพของทั้งสองฝ่ายอยู่ใกล้กันมากแล้ว พระองค์ทรงจัดทัพเป็นขบวน เบญจเสนา 5 ทัพ ดังนี้
    .
    ทัพที่ 1 เป็นกองหน้า ให้พระยาสีหราชเดโชชัยเป็นนายทัพ พระยาพิชัยรณฤทธิ์ เป็นปีกขวา พระยาวิชิตณรงค์ เป็นปีกซ้าย
    .
    ทัพที่ 2 เป็นกองเกียกกาย ให้พระยาเทพอรชุน เป็นนายทัพ พระยาพิชัยสงคราม เป็นปีกขวา พระยารามคำแหง เป็นปีกซ้าย
    .
    ทัพที่ 3 เป็นกองหลวง สมเด็จพระนเรศวร ทรงเป็นจอมทัพ พร้อมด้วยสมเด็จพระเอกาทศรถ เจ้าพระยามหาเสนา เป็นปีกขวา เจ้าพระยาจักรี เป็นปีกซ้าย
    .
    ทัพที่ 4 เป็นกองยกกระบัตร ให้พระยาพระคลัง เป็นนายทัพ พระราชสงคราม เป็นปีกขวา พระรามรณภพ เป็นปีกซ้าย
    .
    ทัพที่ 5 เป็นกองหลัง ให้พระยาท้ายน้ำ เป็นนายทัพ หลวงหฤทัย เป็นปีกขวา หลวงอภัยสุรินทร์เป็นปีกซ้าย
    .
    ค่ายที่หนองสาหร่ายนี้ ทรงให้ตั้งเป็นกระบวนปทุมพยุหะเป็นรูปดอกบัว และเลือกชัยภูมิครุฑนาม เพื่อข่มกองทัพข้าศึกซึ่งตั้งในชัยภูมินาคนาม ตามหลักตำราพิชัยสงคราม
    .
    ครั้นถึงวันแรม 1 ค่ำ เดือนยี่ พระยาศรีไสยณรงค์บอกมากราบทูลว่า ข้าศึกยกกองทัพใหญ่พ้น บ้านจรเข้สามพันมาแล้ว สมเด็จพระนเรศวรจึงมีรับสั่งให้กองทัพทั้งปวง เตรียมตัวรบข้าศึกในวันรุ่งขึ้น แล้วสั่งให้พระยาศรีไสยณรงค์ ยกออกไปหยั่งกำลังข้าศึก แล้วให้ถอยกลับมา
    .
    ในวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ สมเด็จพระนเรศวรกับสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงเครื่องพิชัยยุทธ ให้ผูกช้างพระที่นั่งชื่อ พลายภูเขาทอง ขึ้นระวางเป็นเจ้าพระยาไชยานุภาพ เป็นพระคชาธารของพระองค์ มีเจ้ารามราฆพเป็นกลางช้าง นายมหานุภาพเป็นควาญ อีกช้างหนึ่งชื่อพลายบุญเรือง ขึ้นระวางเป็นเจ้าพระยาปราบไตรจักร เป็นพระคชาธารสมเด็จพระเอกาทศรถ มีหมื่นภักดีศวรเป็นกลางช้าง ขุนศรีคชคงเป็นควาญ พร้อมด้วย นายแวง จตุลังคบาท พวกทหารคู่พระทัยสำหรับรักษาพระองค์
    .
    ขณะนั้นเสียงปืนจากการปะทะกัน ระหว่างทัพหน้าของไทย กับทัพหน้าของพม่าดังขึ้น พระองค์จึงดำรัสให้จมื่นทิพเสนา ปลัดกรมตำรวจ เอาม้าเร็วไปสืบข่าว ได้ความว่า พระยาศรีไสยณรงค์ได้ยกกำลังออกไป และได้ปะทะกับข้าศึกที่ ตำบลดอนเผาข้าวเมื่อเวลาเช้า ฝ่ายข้าศึกมีกำลังมากต้านทานไม่ไหว จึงแตกถอยร่นมา สมเด็จพระนเรศวรจึงปรึกษาแม่ทัพนายกองว่า สถานการณ์เช่นนี้ควรจะทำอย่างไร บรรดาแม่ทัพนายกองทั้งหลายกราบทูลว่า ควรให้มีกองทัพหนุน ออกไปช่วยต้านทานข้าศึกไว้ให้อยู่เสียก่อน แล้วจึงให้ทัพหลวงออกมาตีภายหลัง สมเด็จพระนเรศวรไม่ทรงเห็นชอบด้วย มีพระดำรัสว่า กองทัพแตกลงมาเช่นนี้แล้ว จะให้กองทัพไปหนุน ไหนจะรับไว้อยู่ มาปะทะกันเข้าก็จะพากันแตกลงมาด้วยกัน ควรที่จะล่าถอยลงมาโดยเร็ว เพื่อปล่อยให้ข้าศึกยกติดตามมาอย่างไม่เป็นกระบวน พอได้ทีให้ยกกำลังส่วนใหญ่เข้าโจมตีข้าศึก ก็คงจะได้ชัยชนะโดยง่าย สมเด็จพระนเรศวรจึงมีรับสั่งให้จมื่นทิพเสนา กับ จมื่นราชามาตย์ ขึ้นม้าเร็ว รีบไปประกาศแก่พวกกองทัพหน้าของไทยว่า อย่าได้รั้งรอข้าศึก ให้รีบล่าถอยหนีไปโดยเร็ว กองทัพหน้าของพระยาศรีไสยณรงค์ก็พากันถอยหนีไม่เป็นกระบวน ข้าศึกเห็นดังนั้น ก็พากันรุกไล่ลงมาด้วยเห็นได้ที จนไม่เป็นกระบวนเช่นกัน
    .
    สมเด็จพระนเรศวรสงบทัพหลวงรออยู่จน 11 นาฬิกา เห็นข้าศึกตามลงมาไม่เป็นกระบวน ก็สมคะเน ทรงดำรัสสั่งให้บอกสัญญาณกองทัพทั้งปวง ให้ยกออกตีข้าศึก พระองค์และพระเอกาทศรถ ยกกองทัพหลวงเข้าโอบกองทัพหน้าข้าศึก ทัพท้าวพระยาอื่น ๆ ได้ทราบกระแสรับสั่งได้เร็วบ้างช้าบ้าง เนื่องจากเหตุการณ์กระทันหัน มีเวลาน้อยมาก ทำให้ยกไปไม่ทันเสด็จเป็นส่วนมาก คงมีแต่กองทัพพระยาสีหราชเดโชชัย กับกองทัพเจ้าพระยามหาเสนาซึ่งเป็นปีกขวา ตามกองทัพหลวงเข้าจู่โจมข้าศึก กองทัพหน้าของพม่าไม่คาดว่าว่าจะมีกองทัพไทยไปยอทัพ ก็เสียทีแตกหนีอลหม่าน
    .
    เหตุการณ์ตอนนี้มีเรื่องบันทึกไว้ในบางแห่งว่า ขณะที่สมเด็จพระนเรศวรประทับรอฟังข่าวทัพหน้าอยู่นั้น ได้บังเกิดเมฆเยือกเย็น ตั้งเค้ามืดอยู่ทางทิศตะวันตกเฉียงเหนือ แล้วกลับกลายเป็นเปิดโล่ง เห็นดวงตะวันสาดแสงสว่างกระจ่างตา สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงเคลื่อนทัพตามเกล็ดนาค ซึ่งตามตำราพิชัยสงครามได้กำหนดไว้ว่า ในวันใดหัวนาคและหางนาคอยู่ทางทิศใด ต้องไปตั้งทัพทางหัวนาค แล้วเคลื่อนทัพไปทางหางนาค เป็นการเคลื่อนที่ตามเกล็ดนาค ไม่ให้เคลื่อนที่ย้อนเกล็ดนาค เมื่อช้างพระที่นั่งของทั้งสองพระองค์ได้ยินเสียงฆ้องกลองรบ และเสียงปืนที่ทั้งสองฝ่ายยิงต่อสู้กัน ก็เกิดความคึกคะนองด้วยเหตุที่กำลังตกมัน แล้ววิ่งถลันเข้าไปในหมู่ข้าศึก ควาญไม่สามารถคัดท้ายอยู่ บรรดาแม่ทัพนายกองและไพร่พลทั้งปวงตามเสด็จไม่ทัน ผู้ที่สามารถตามเสด็จไปด้วยได้ คงมีแต่ผู้ที่มีหน้าที่อยู่ประจำช้างพระที่นั่ง คือกลางช้าง ควาญช้าง และจตุลังคบาท ที่มีหน้าที่รักษาเท้าช้าง สมเด็จพระนเรศวรและสมเด็จพระเอกาทศรถ ทอดพระเนตรเห็นข้าศึกมีกำลังมากมาย ไม่เป็นทัพเป็นกอง จึงทรงไสช้างพระที่นั่งเข้าชนช้างข้าศึก เหล่าข้าศึกพากันระดมยิงอาวุธมาดังห่าฝน แต่ไม่ถูกช้างทรง ทันใดนั้นก็บังเกิดตะวันตลบมืด ท้องฟ้ามืดมิดราวกับไม่มีแสงตะวัน จนมองไม่เห็นกัน สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นดังนั้น จึงได้ประกาศแก่เทวดา พระพรหมทุกชั้นฟ้า ถึงปณิธานของพระองค์ที่ได้มาสืบวงศ์กษัตริย์ และมุ่งหวังที่จะทำนุบำรุงพระบวรพุทธศาสนา ทันใดนั้นก็บังเกิดพายุใหญ่พัดปั่นป่วนในท้องฟ้า สนามรบก็สว่างแจ้ง พระองค์แลไปเห็นนายทัพข้าศึก นั่งอยู่บนหลังช้างเผือกตัวหนึ่ง มีฉัตรกั้นอยู่ใต้ร่มต้นข่อย มีพล 4 เหล่า เรียงรายอยู่มากมาย ก็ทรงตระหนักแน่พระทัยว่าเป็นพระมหาอุปราชา
    .
    เหตุการณ์ในตอนนี้มีอยู่หลายสำนวน ตามพระราชพงศาวดารกล่าวไว้ว่า ให้เอาพลายภูเขาทอง ขึ้นระวางสะพัด ชื่อเจ้าพระยาไชยานุภาพ สูง 6 ศอกคืบ 2 นิ้ว ติดน้ำมันหน้าหลัง เป็นคชาธารสมเด็จพระนเรศวร และให้เอาพลายบุญเรืองขึ้นระวางสะพัด ชื่อเจ้าพระยาปราบไตรจักร สูง 6 ศอก 2 คืบ ติดน้ำมันหน้าหลัง เป็นพระคชาธารสมเด็จพระอนุชาธิราชพระเอกาทศรถ ส่วนพระคชาธารของพระมหาอุปราชานั้น ชื่อพลายพัทธกอ สูง 6 ศอกคืบ 6 นิ้ว ติดน้ำมันหน้าหลังเช่นเดียวกัน
    .
    สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ยาตราพระคชาธารเป็นบาทย่างสะเทินมา บ่ายหน้าต่อข้าศึก เจ้าพระยาไชยานุภาพ เจ้าพระยาปราบไตรจักร ได้ยินเสียงพลและเสียงฆ้องกลองอึงคะนึง ก็เรียกมันครั่นครื้น กางหูชูหางกิริยาป่วนเป็นบาทย่างใหญ่ เร็วไปด้วยกำลังน้ำมัน ช้างท้าวพระยามุขมนตรี และโยธาหาญซ้ายขวาหลังนั้นตกลง ไปมิทันเสด็จ พระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ใกล้ทัพหน้าข้าศึก ทอดพระเนตรเห็นพลพม่ารามัญนั้นยกมาเต็มท้องทุ่ง เดินดุจคลื่นในมหาสมุทร พลข้าศึกไล่พลชาวพระนครครั้งนั้น สลับซับซ้อนกันมิได้เป็นกระบวน สมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ ก็ขับพระคชาธารเข้าโจมแทงช้างม้ารี้พลปรปักษ์ ไล่สายเสยถีบฉัดตะลุมบอน พลพม่ารามัญตายเกลื่อนกลาด ช้างข้าศึกได้กลิ่นน้ำมันพระคชาธาร ก็หกหันตลบปะกันไปเป็นอลหม่าน พลพม่ารามัญก็โทรมยิงธนู หน้าไม้ ปืนไฟ ระดมเอาพระคชาธารสมเด็จพระเจ้าอยู่หัวทั้งสองพระองค์ และธุมาการก็ตรลบมืดเป็นหมอกมัวไป มิได้เห็นกันประจักษ์
    .
    สำนวนของวันวลิต ชาวฮอลันดา ซึ่งเข้ามาที่กรุงศรีอยุธยา เมื่อปี พ.ศ. 2176 ได้บรรยายเหตุการณ์ตอนนี้ไว้ว่า พระเจ้ากรุงหงสาวดียกทัพอันมีกำลังใหญ่หลวง มายังกรุงศรีอยุธยา พระนเรศวรยกทัพมาถึงวัดร้างแห่งหนึ่ง เรียกว่า เครง หรือ หนองสาหร่าย เพื่อปะทะทัพมอญ เมื่อกองทัพทั้งสองมาประจัญกันเข้า พระนเรศวรและพระมหาอุปราชา (ซึ่งต่างก็ทรงเครื่องอย่างกษัตริย์ และประทับบนพระคชาธาร) ต่างทอดพระเนตรเห็นกันเข้า ต่างองค์ก็มีพระทัยฮึกเหิม เสด็จออกจากกองทัพ ขับพระคชาธารโดยปราศจากรี้พลเข้าหากัน แต่พระคชาธารที่พระนเรศวรทรงอยู่นั้น เล็กกว่าช้างทรงพระมหาอุปราชามากนัก เมื่อกษัตริย์ทั้งสองพระองค์มุ่งเข้าหากัน ช้างที่เล็กกว่าก็ตกใจกลัวช้างที่ใหญ่กว่า ถึงกับเบนหัวจะถอยกลับ พระนเรศวรทรงเห็นดังนั้น จึงตรัสปลอบพระยาช้างต้นให้มีใจฮึกเหิมกลับมาสู้ช้างข้าศึก และทรงพรมน้ำเทพมนต์ซึ่งพราหมณ์ได้ทำถวายไว้สำหรับโอกาสนี้ ลงบนศีรษะช้าง พระยาช้างต้นผู้ชาญฉลาดเมื่อได้รับน้ำเทพมนต์ และได้ยินเสียงพระราชดำรัสของวีรกษัตริย์ก็มีใจฮึกเหิม ชูงวงขึ้นประณตแล้วเบนหัวสู่ข้าศึก พลันวิ่งพุ่งเข้าสู่กษัตริย์มอญอย่างเมามัน อำนาจของพระยาช้างต้นในการสู้รบครั้งนี้ แลดูน่าสพึงกลัว และน่าอัศจรรย์ยิ่งนัก
    .
    ทั้งหมดที่กล่าวมา เป็นเหตุการณ์ก่อนที่จะเริ่มเข้าสู่การกระทำยุทธหัตถีของสองกษัตริย์ และสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงได้ชัยชนะอย่างงดงาม เป็นที่เลื่องลือไปทั่วทิศานุทิศ ข้าศึกศัตรูไม่หาญกล้ามาเบียดเบียนราชอาณาจักรไทยอีกเลยถึง 160 ปี
    .
    สมเด็จพระนเรศวรจึงทรงขับช้างพระที่นั่งตรงไปยังพระมหาอุปราชา แล้วร้องตรัสไปโดยฐานที่คุ้นเคยกันมาแต่ก่อน มีความว่า

    "เจ้าพี่จะยืนช้างอยู่ในที่ร่มไม้ทำไม เชิญเสด็จมาทำยุทธหัตถีกันให้เป็นเกียรติยศเถิด กษัตริย์ภายหน้า ที่จะทำยุทธหัตถีได้อย่างเรา จะไม่มีแล้ว"
    .
    พระมหาอุปราชา เมื่อทรงได้ยินดังนั้นก็ขับพลายพัทธกอซึ่งเป็นพระคชาธาร ออกมาชนกับเจ้าพระยาไชยานุภาพ พระคชาธารของสมเด็จพระนเรศวร ในชั้นแรก เจ้าพระยาไชยานุภาพเสียที พลายพัทธกอได้ล่างแบกรุน พระยาไชยานุภาพเบนจะขวางตัว พระมหาอุปราชาได้ทีฟันด้วยพระแสงของ้าว สมเด็จพระนเรศวรเบี่ยงพระองค์หลบทัน ถูกแต่พระมาลาหนังขาดลิไป พอพระยาไชยานุภาพสะบัดหลุด แล้วกลับชนได้ล่างแบกถนัดรุนพลายพัทธกอหัวเบนไป สมเด็จพระนเรศวรก็จ้วงฟันด้วยพระแสงของ้าว ถูกพระมหาอุปราชาที่ไหล่ขวาขาด สิ้นพระชนม์อยู่บนคอช้าง
    .
    ส่วนสมเด็จพระเอกาทศรถก็ได้ชนช้างกับเจ้าเมืองจาปะโร และฟันเจ้าเมืองจาปะโรตายเช่นกัน ทหารพม่าก็เข้ามากันพระศพพระมหาอุปราชา และเจ้าเมืองจาปะโรออกไป แล้วเข้าระดมยิงถูกสมเด็จพระนเรศวรที่พระหัตถ์ได้รับบาดเจ็บ และถูกนายมหานุภาพควาญช้างพระที่นั่ง กับหมื่นภักดีศวรกลางช้างสมเด็จพระเอกาทศรถ ตายทั้งสองคน ขณะนั้น กองทัพเจ้าพระยามหาเสนา พระยาสีหราชเดโชชัยตามไปทัน ก็ช่วยกันรบพุ่งแก้กันทั้งสองพระองค์ออกมาได้ สมเด็จพระนเรศวรทรงเห็นว่า กองทัพข้าศึกแตกเฉพาะทัพหน้า กำลังฝ่ายไทยที่ตามเสด็จไปถึงเวลานั้นมีน้อยนัก จึงจำต้องเสด็จกลับมาค่ายหลวง ฝ่ายข้าศึกก็เชิญพระศพพระมหาอุปราชา เลิกทัพกลับไปเมืองหงสาวดี เหตุการณ์ในตอนนี้ วัน วลิต ได้บรรยายไว้ว่า
    .
    ช้างข้าศึกพยายามเอางาเสยพระคชาธารให้ถอยห่างอยู่ตลอดเวลา แต่ในที่สุดพระคชาธารซึ่งเล็กกว่าก็ได้ทีช้างข้าศึก โดยช้างข้าศึกไม่ทันรู้ตัว ขึ้นเสยช้างข้าศึกแล้วเอางวงตีด้วยกำลังแรงยิ่งนัก จนช้างข้าศึกร้องขึ้น กษัตริย์มอญก็ตกพระทัย กษัตริย์ไทยเห็นได้ทีก็เอาพระแสงขอ ตีต้องพระเศียรกษัตริย์มอญ แล้วใช้พระแสงทวนแทงจนกษัตริย์มอญตกช้างสิ้นพระชนม์ แล้วทรงจับช้างทรงของกษัตริย์มอญนั้นไว้ได้ ทหารรักษาพระองค์ซึ่งตามมาโดยไม่ช้า ก็แทงชาวโปรตุเกส ซึ่งนั่งอยู่เบื้องหลังกษัตริย์มอญนั้นตาย เมื่อกองทัพมอญเห็นกษัตริย์ของตนสิ้นพระชนม์ ก็พากันล่าถอยไม่เป็นกระบวน กองทัพไทยก็ไล่ติดตามไปอย่างกล้าหาญ จับเป็นได้เป็นจำนวนมาก ฆ่าตายเสียก็มาก ที่เหลือนั้นก็แตกกระจัดกระจายไปประดุจแกลบต้องลม ทหารมอญหลายพันคนต้องตกค้างอยู่ และเมื่อต้องถอยทัพกลับโดยที่ขาดแคลนเสบียงอาหาร จึงกลับไปถึงเมืองมอญได้น้อยคนนัก
    .
    สมเด็จพระนเรศวรมีชัยในการกระทำยุทธหัตถีครั้งนี้ พระเกียรติยศได้เลื่องลือไปทั่วทุกประเทศในชมพูทวีป ด้วยถือเป็นคติมาแต่โบราณว่า การชนช้างเป็นยอดวีรกรรมของนักรบ เพราะเป็นการต่อสู้ตัวต่อตัว มิได้อาศัยกำลังพล หรือกลยุทธใดๆ เป็นการแพ้ชนะกันด้วยฝีไม้ลายมือและความแกล้วกล้า นอกจากนั้น โอกาสที่จะมีเหตุการณ์ดังกล่าวก็มีน้อย ดังนั้น ถ้ากษัตริย์พระองค์ใดกระทำยุทธหัตถีได้ชัยชนะ ก็จะได้รับความยกย่องว่ามีพระเกียรติยศอย่างสูงสุด ถึงเป็นผู้แพ้ ก็ได้รับการยกย่องสรรเสริญ ว่าเป็นนักรบแท้
    .
    ด้วยเหตุผลดังกล่าว สมเด็จพระนเรศวรจึงโปรดให้สร้างพระเจดีย์ขึ้นองค์หนึ่ง ตรงที่ได้กระทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา ณ ตำบลท่าคอย ซึ่งปัจจุบันเป็นตำบลดอนเจดีย์ อยู่ห่างจากหนองสาหร่ายไปประมาณ 100 เส้น พระเจดีย์ทิ้งร้างมานานหลายร้อยปี เพิ่งมาพบเมื่อปี พ.ศ. 2456 วัดฐานเจดีย์ได้ด้านละ 10 วา ความสูงประมาณ 20 วา ต่อมา ได้มีการบูรณะเป็นรูปแบบที่สมบูรณ์ ตามแบบอย่างเจดีย์ที่วัดใหญ่ชัยมงคล ซึ่งสันนิษฐานว่า สมเด็จพระนเรศวรทรงให้สร้างขึ้นเป็นอนุสรณ์ แห่งชัยชนะครั้งนั้น ตามคำกราบทูลแนะนำของสมเด็จพระพนรัตน์วัดป่าแก้ว เป็นเจดีย์กลมแบบลังกา ดังที่ปรากฎอยู่ปัจจุบันนี้
    .
    สมเด็จพระนเรศวร ทรงปูนบำเหน็จความชอบอันเนื่องมาจากการสงครามครั้งนี้โดยทั่วกัน คือ ช้างพระที่นั่งที่ชนชนะข้าศึก พระราชทานนามว่า เจ้าพระยาปราบหงสาวดี พระแสงของ้าวก็ได้นามว่าเจ้าพระยาแสนพลพ่าย นับถือเป็นพระแสงศักดิ์สิทธิ์ สำหรับพระเจ้าแผ่นดินทรงคชาธารในรัชกาลหลัง ๆ สืบมา พระมาลาที่พระองค์ทรงในวันนั้น ก็ปรากฎนามว่าพระมาลาเบี่ยง ดำรงคงอยู่มาถึงปัจจุบันนี้
    .
    เมื่อเสร็จศึกแล้ว สมเด็จพระนเรศวรทรงโทมนัส ที่ไม่สามารถจะตีข้าศึกให้แตกยับเยินไปได้เหมือนครั้งก่อน เพราะเหตุที่แม่ทัพนายกองไม่สามารถตามเสด็จให้ทันการรบพุ่งพร้อมกัน พระองค์จึงให้ลูกขุน ประชุมปรึกษาโทษแม่ทัพนายกองเหล่านั้นตามพระอัยการศึก ลูกขุนปรึกษากันแล้ววางบทว่า
    .
    พระยาศรีไสยณรงค์ มีความผิดฐานฝ่าฝืนพระบรมราชโองการ ไปรบพุ่งข้าศึกโดยพละการจนเสียทัพแตกมา
    .
    เจ้าพระยาจักรี พระยาพระคลัง พระยาเทพอรชุน พระยาพิชัยสงคราม พระยารามคำแหง มีความผิดฐานละเลย มิได้ตามเสด็จให้ทันท่วงทีการพระราชสงคราม
    .
    ทั้งหมดนี้ โทษถึงประหารชีวิตด้วยกัน พระองค์จึงทรงให้เอาตัวคนทั้งหมดดังกล่าวไปจำตรุไว้ พอพ้นวันพระแล้ว ให้เอาไปประหารชีวิตเสีย ตามคำพิพากษาของลูกขุน
    .
    ครั้นถึงวันแรม 14 ค่ำ เดือนยี่ สมเด็จพระนพรัตน์ วัดป่าแก้ว กับพระราชาคณะรวม 25 รูป เข้าไปเฝ้า ถามข่าวถึงการเสด็จพระราชสงครามตามประเพณี สมเด็จพระนเรศวรจึงตรัสเล่าเหตุการณ์ทั้งปวงให้ฟังทุกประการ สมเด็จพระพนรัตน์ได้ฟังแล้วจึงถวายพระพรถามว่า พระองค์มีชัยแก่ข้าศึก แต่เหตุไฉนข้าราชการทั้งปวงจึงต้องรับราชทัณฑ์
    .
    สมเด็จพระนเรศวรตรัสตอบว่า นายทัพนายกองเหล่านี้กลัวข้าศึกมากกว่ากลัวพระองค์ ละให้แต่พระองค์สองคนพี่น้อง ฝ่าเข้าไปท่ามกลางข้าศึก จนได้ทำยุทธหัตถีกับพระมหาอุปราชา ต่อมีชัยกลับมาจึงได้เห็นหน้าพวกเหล่านี้ นี่หากว่าพระองค์ยังไม่ถึงที่ตาย หาไม่แผ่นดินก็จะเป็นของชาวหงสาวดีเสียแล้ว เหตุนี้พระองค์จึงให้ลงโทษตามอาญาศึก สมเด็จพระพนรัตน์จึงถวายพระพรว่า เมื่อพิเคราะห์ดูข้าราชการเหล่านี้ ที่จะไม่กลัวสมเด็จพระนเรศวรนั้นหามิได้ เหตุทั้งนี้เห็นจะเผอิญเป็น เพื่อจะให้พระเกียรติแก่พระองค์เป็นมหัศจรรย์ เหมือนสมเด็จพระสรรเพชญพุทธเจ้า เมื่อพระองค์เสด็จเหนืออปราชิตบัลลังก์ใต้ควงไม้โพธิ์ครั้งนั้น เทพเจ้าก็มาเฝ้าพร้อมหมื่นจักรวาล พระยาวัสวดีมารยกพลเสนามาผจญ ถ้าพระพุทธเจ้าได้เทพเจ้าเป็นบริวาร มีชัยแก่พระยามารก็หาสู้เป็นอัศจรรย์ไม่ เผอิญให้หมู่เทพเจ้าทั้งปวงปลาศนาการหนีไปสิ้น เหลือแต่พระองค์เดียวสามารถผจญให้เหล่ามารปราชัยไปได้ จึงได้พระนามว่า พระพิชิตมาร โมฬีศรีสรรเพชญดาญาณ เป็นมหาอัศจรรย์บันดาลไปทั่วอนันตโลกธาตุ
    .
    ก็เหมือนทั้งสองพระองค์ครั้งนี้ ถ้าเสด็จพร้อมด้วยโยธาทวยหาญมาก และมีชัยชนะแก่พระมหาอุปราชา ก็จะหาสู้เป็นมหัศจรรย์แผ่พระเกียรติยศ ให้ปรากฎแก่นานาประเทศไม่ อันเหตุที่เป็นทั้งนี้ เพื่อเทพเจ้าทั้งปวงอันรักษาพระองค์ จักสำแดงพระเกียรติยศ เป็นแน่แท้
    .
    สมเด็จพระนเรศวรได้ทรงฟังแล้วก็ทรงพระปิติโสมนัส ตรัสว่า พระผู้เป็นเจ้าว่านี้ควรหนักหนา สมเด็จพระพนรัตน์จึงได้ถวายพระพรว่า ข้าราชการซึ่งเป็นโทษเหล่านี้ก็ผิดหนักหนาอยู่แล้ว แต่ทว่าได้ทำราชการมา แต่ครั้งสมเด็จพระบรมอัยกาธิราช และสมเด็จพระพุทธเจ้าหลวง ตลอดมาจนถึงพระองค์ดุจพุทธบริษัท สมเด็จพระบรมครู จึงขอพระราชทานโทษคนเหล่านี้ไว้สักครั้งหนึ่ง จะได้ทำราชการฉลองพระเดชพระคุณสืบไป สมเด็จพระนเรศวร จึงมีรับสั่งว่าเมื่อสมเด็จพระพนรัตน์ขอแล้ว พระองค์ก็จะถวาย แต่ทว่า จะต้องไปตีเมืองตะนาวศรี เมืองทวายแก้ตัวก่อน สมเด็จพระพนรัตน์
    .
    ถวายพระพรว่า การจะใช้ไปตีบ้านเมืองนั้นสุดแต่พระองค์จะสงเคราะห์ มิใช่กิจของสมณะ แล้วก็ถวายพระพรลาไป สมเด็จพระนเรศวรจึงโปรดให้นายทัพนายกองที่มีความผิดพ้นจากเวรจำ แล้วทรงให้พระยาจักรียกกองทัพมีกำลังพล 50,000 คน ไปตีเมืองตะนาวศรีทัพหนึ่ง ให้พระยาพระคลังคุมกองทัพมีกำลัง 50,000 ไปตีเมืองทวายอีกองทัพหนึ่ง
    .
    บันทึกเรื่องเจดีย์ยุทธหัตถี
    .
    เรื่องเจดีย์ยุทธหัตถีนี้ สมเด็จกรมพระยาดำรงราชานุภาพ ทรงนิพนธ์ไว้ในหนังสือนิทานโบราณคดี มีข้อมูลที่น่ารู้ดังนี้
    .
    ในหนังสือพระราชพงศาวดาร ได้กล่าวถึงเจดีย์ยุทธหัตถีไว้ว่า เมื่อสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ทรงชนะยุทธหัตถี แล้ว "ตรัสให้ก่อพระเจดีย์สถาน สวมศพพระมหาอุปราชาไว้ ณ ตำบลตระพังกรุ"
    .
    สมเด็จกรมพระยาดำรง ฯ ได้ทรงให้พระยากาญจนบุรี (นุช) ไปสืบหา ได้ความว่าบ้านตระพังกรุมีมาแต่โบราณ เป็นที่ดอนต้องอาศัยใช้น้ำบ่อ มีบ่อน้ำกรุอิฐข้างในซึ่งคำโบราณ เรียกว่า ตระพังกรุ อยู่หลายบ่อ แต่ไม่มีเจดีย์ที่สมควรว่าเป็นของพระเจ้าแผ่นดินสร้างอยู่ในบริเวณนั้น
    .
    เมื่อได้ประมวลเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ได้ข้อสรุปว่า สมเด็จพระนเรศวร โปรดให้สร้างพระเจดีย์ยุทธหัตถี ขึ้นตรงที่ชนช้างองค์หนึ่ง แล้วทรงสร้างพระเจดีย์ใหญ่อีกองค์หนึ่ง ขนานนามว่า พระเจดีย์ชัยมงคล ขึ้นที่วัดเจ้าพระยาไทย อันเป็นที่สถิตของพระสังฆราชฝ่ายขวา จึงมักเรียกกันว่า วัดป่าแก้ว ตามนามเดิมของพระสงฆ์คณะนั้น
    .
    ในปีแรกรัชกาลที่ 6 พระยาปริยัติธรรมธาดา (แพ ตาละลักษณ์) เมื่อยังเป็นหลวงประเสริฐอักษรนิติ ได้พบหนังสือเรื่องพงศาวดารเล่มหนึ่ง มีหลักฐานว่าเขียน เมื่อปี พ.ศ. 2223 ซึ่งต่อมาให้เรียกว่า พระราชพงศาวดารฉบับหลวงประเสริฐ ฯ มีความในเรื่องสงครามยุทธหัตถีว่า
    .
    "พระมหาอุปราชามาตั้งประชุมทัพอยู่ที่ตำบลตระพังกรุ แล้วมาชนช้างกับสมเด็จพระนเรศวร ฯ ที่ตำบลหนองสาหร่าย เมื่อวันจันทร์ แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ ปีมะโรง จุลศักราช 955 (พ.ศ. 2135)"
    .
    สมเด็จกรมพระยาดำรง ฯ จึงทรงให้พระยาสุนทรบุรี (อี่ กรรณสูตร) สมุหเทศาภิบาลมณฑลนครไชยศรี ไปสืบหาตำบลหนองสาหร่าย ได้ความว่า ตำบลหนองสาหร่ายนั้นอยู่ใกล้ลำน้ำท่าคอย อยู่ทางทิศตะวันตกของเมืองสุพรรณ เป็นลำน้ำเดียวกันกับลำน้ำจรเข้สามพัน ที่ตั้งเมืองอู่ทอง แต่อยู่เหนือขึ้นไปไกล มีเจดีย์โบราณอยู่ ชาวบ้านเรียกว่า ดอนเจดีย์ เป็นเจดีย์ฐานทักษิณเป็น 4 เหลี่ยม 3 ชั้น ชั้นล่างกว้าง 8 วา องค์พระเจดีย์เหนือฐานทักษิณ ชั้นที่ 3 ขึ้นไป หักพังหมดแล้ว ประมาณขนาดสูงเมื่อยังบริบูรณ์ เห็นจะราวเท่า ๆ กับ พระปรางค์ที่วัดราชบูรณะในกรุงเทพ ฯ
    .
    ระยะทางระหว่างตำบลสำคัญที่ได้จากเส้นทางเสด็จพระราชดำเนินโดยสถลมารค ของพระบาทสมเด็จพระมงกุฎเกล้าเจ้าอยู่หัว เมื่อครั้งเสด็จพระราชดำเนินไปสักการบูชา พระเจดีย์ยุทธหัตถี เมื่อ พ.ศ. 2453 พอประมวลได้ดังนี้
    .
    นครปฐม ถึง กำแพงแสน ระยะทาง 568 เส้น หรือประมาณ 23 กิโลเมตร
    .
    กำแพงแสน ถึง บ้านบ่อสุพรรณ ระยะทาง 706 เส้น หรือประมาณ 28 กิโลเมตร
    .
    บ้านบ่อสุพรรณ ถึง บ้านตระพังกรุ ระยะทาง 125 เส้น หรือประมาณ 5 กิโลเมตร
    .
    บ้านตระพังกรุ ถึง บ้านดอนมะขาม ระยะทาง 274 เส้น หรือประมาณ 11 กิโลเมตร
    .
    บ้านดอนมะขาม ถึง บ้านจรเข้สามพัน ระยะทาง 411 เส้น หรือประมาณ 16 กิโลเมตร
    .
    บ้านจรเข้สามพัน ถึง อู่ทอง ระยะทาง 140 เส้น หรือประมาณ 6 กิโลเมตร
    .
    อู่ทอง ถึง บ้านโข้ง ระยะทาง 510 เส้น หรือประมาณ 20 กิโลเมตร
    .
    บ้านโข้ง ถึง ดอนเจดีย์ ระยะทาง 495 เส้น หรือประมาณ 20 กิโลเมตร
    .
    ลำดับเหตุการณ์ในประวัติศาสตร์ของห้วงเวลานั้นได้ดังนี้
    .
    กองทัพพระมหาอุปราชา เดินทัพมาจนเข้าเขตเมืองสุพรรณบุรี แขวงบ้านพนมทวน หยุดตั้งกองทัพที่ตำบลตระพังกรุ แขวงเมืองสุพรรณบุรี แล้วให้กองกำลังทหารม้าออกลาดตระเวณหาข่าว
    .
    สมเด็จพระนเรศวร ยกกองทัพมาตั้งค่ายหลวงอยู่ที่หนองสาหร่าย ริมแม่น้ำท่าคอย เมื่อวันขึ้น 14 ค่ำ เดือนยี่ และทรงให้กองทัพพระยาศรีไสยณรงค์ กับพระราชฤทธานนท์ ที่ออกไปขัดตาทัพอยู่ที่ลำน้ำท่าคอย เลื่อนออกไปขัดตาทัพที่ดอนระฆัง
    .
    พระยาศรีไสยณรงค์ แจ้งข่าวข้าศึกว่า กองทัพใหญ่ข้าศึกเคลื่อนที่พ้นบ้านจรเข้สามพันมาแล้ว เมื่อวันแรม 1 ค่ำ เดือนยี่ สมเด็จพระนเรศวรมีรับสั่งให้กองทัพทั้งปวง เตรียมตัวรบข้าศึกในวันรุ่งขึ้น
    .
    วันจันทร์แรม 2 ค่ำ เดือนยี่ สมเด็จพระนเรศวร กับสมเด็จพระเอกาทศรถ ทรงเครื่องพิชัยยุทธ ขณะนั้นได้ยินเสียงปืน จากการปะทะกันของทัพหน้าไทยกับทัพหน้าพม่า ได้ความว่าปะทะกันที่ดอนเผาข้าว เมื่อเวลาเช้าจึงมีรับสั่งให้ กองทัพหน้าล่าถอยลงมาโดยเร็ว ทรงให้สงบทัพหลวงรออยู่จน 11 นาฬิกา เห็นข้าศึกรุกไล่ลงมาไม่เป็นกระบวน จึงทรงให้สัญญาณกองทัพทั้งปวงยกออกตีข้าศึก
    .
    จากเหตุการณ์ดังกล่าว จะพบว่าพระมหาอุปราชาเคลื่อนทัพจากตระพังกรุ มาถึงบ้านจรเข้สามพันเมื่อวันแรม 1 ค่ำ เดือนยี่ เป็นระยะทาง 685 เส้น หรือ 28 กิโลเมตร ซึ่งต้องใช้เวลาไม่น้อยกว่า 1 วัน ณ จุดนี้จะอยู่ห่างจากหนองสาหร่าย ที่ตั้งค่ายหลวงของไทย เป็นระยะทาง 1145 เส้น หรือ 46 กิโลเมตร สมเด็จพระนเรศวรจึงมีรับสั่งให้เตรียมตัวรบข้าศึกในวันรุ่งขึ้น
    .
    ในวันรุ่งขึ้นซึ่งข้าศึกจะเคลื่อนทัพมาได้อีกประมาณ 30 กิโลเมตร ซึ่งจะอยู่ห่างจากค่ายหลวงของไทยประมาณ 20 กิโลเมตร ซึ่งจะใช้ระยะเวลาเดินทางอีกไม่เกิน 1 วัน
    .
    วันต่อมาคือวันแรม 2 ค่ำ เดือนยี่ เวลาเช้าได้ยินเสียงปืนจากการปะทะกัน ได้ความว่าปะทะกันที่ดอนเผาข้าว ซึ่งน่าจะอยู่ห่างจากหนองสาหร่ายไม่เกิน 15 กิโลเมตร เพราะเป็นเวลาเช้าเสียงปืนใหญ่ได้ยินไปได้ไกล และพระองค์ทรงรออยู่จน 11 นาฬิกา ข้าศึกจึงรุกไล่ทัพหน้าของไทยมาถึงทัพหลวง
    .
    เมื่อสมเด็จพระนเรศวร กับพระเอกาทศรถ ยกกำลังทั้งปวงเข้าตีข้าศึก ช้างศึกของทั้งสองพระองค์เร่งรุดไปข้างหน้าอย่างรวดเร็ว จนกองทัพตามไม่ทัน ผงคลีจากกองทัพทั้งสองฝ่ายที่สู้รบติดพันกันมาปลิวคลุ้งจนมืดมิด และเมื่อฝุ่นจางจึงทอดพระเนตรเห็น พระมหาอุปราชายืนอยู่ช้างอยู่ใต้ร่มไม้ ระยะทางที่ช้างทรงของทั้งสองพระองค์ตลุยข้าศึกมานี้เป็นระยะทาง 100 เส้น หรือ 4 กิโลเมตร เนื่องจากพระเจดีย์ยุทธหัตถีอยู่ห่างจากหนองสาหร่ายไปประมาณ 100 เส้น
    .
    เหตุการณ์อันยิ่งใหญ่ในประวัติศาสตร์ชาติไทยครั้งนั้น ก็สมจริงตามได้บันทึกกันไว้สืบต่อมาทุกประการ
    .
    ที่มา http://thaiheritage.net/king/naresuan/naresuan3.htm
    .
    .
    .--------------------------------------------.
    .
    .
    “หลักฐานพม่า” พลิกความเข้าใจเรื่อง “สงครามยุทธหัตถี”!!!
    .
    เผยแพร่ วันศุกร์ที่ 18 มกราคม พ.ศ.2562
    .
    “หลักฐานพม่า” พลิกความเข้าใจเรื่อง “สงครามยุทธหัตถี” ข้อความส่วนนี้คัดบางส่วนจากบทความของ ศ. ดร. สุเนตร ชุตินธรานนท์ เรื่อง “ประวัติศาสตร์ไทยในหลักฐานพม่า” ในนิตยสารศิลปวัฒนธรรม ฉบับพฤษภาคม ๒๕๖๑ ดังนี้
    .
    “…แต่เรื่องที่พลิกความเข้าใจยิ่งไปกว่า คือ เรื่องสงครามยุทธหัตถี ความที่มีระบุในพงศาวดารพม่าฉบับอูกาลาจะเล่าว่า “ทัพของพระมหาอุปราชาเคลื่อนมาถึงชานกรุงศรีอยุธยาในวันขึ้น ๘ ค่ำ เดือน ๓ ตรงกับเดือนกุมภาพันธ์ ค.ศ. ๑๕๙๒” และเล่าต่อว่า สมเด็จพระมหาอุปราชาทรงคชาธารชื่อ “งะเยโซง” ซึ่งเป็นชื่อที่ได้จากพงศาวดารพม่า ส่วนพงศาวดารไทยระบุชื่อช้างว่าชื่อ “พลายพัทธกอ” เบื้องขวาของพระองค์ยืนด้วยพระคชาธาร และกำลังไพร่พลของเจ้าเมืองแปรชื่อ “ตะโดธรรมราชา” ส่วนเบื้องซ้ายยืนด้วยพระคชาธาร และไพร่พลของนัดจินหน่อง โอรสของเจ้าเมืองตองอู และถัดไปทางเบื้องขวาไม่ใกล้ไม่ไกล ยืนด้วยคชาธารของเจ้าเมืองชามะโร ไทยเรียกมังจาปโร เป็นพระพี่เลี้ยง
    .
    หลักฐานพม่าระบุว่าช้างของชามะโรกำลังตกน้ำมันหนักถึงกลับต้องใช้ผ้าคลุมหน้าช้างเอาไว้ไม่ให้ช้างตื่น ในขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชทรงคชาธารชื่อพระลโปง นำไพร่พลทแกล้วทหารจำนวนมากออกมาจากพระนครหมายจะเผด็จศึก พระองค์ทอดพระเนตรเห็นสมเด็จพระมหาอุปราชาแล้วก็ไสช้างตรงไปยังตำแหน่งที่จอมทัพพม่าประทับอยู่โดยแรงเร็ว ฝ่ายเจ้าเมืองชามะโร เมื่อเห็นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชขับพระคชาธารตรงรี่หมายชิงชนกับช้างประทับ ชามะโรซึ่งเป็นราชองครักษ์ก็เปิดผ้าคลุมหน้าช้างพาหนะของตนออก หมายมุ่งที่จะนำช้างของตนออกสกัดช้างของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช แต่ช้างนั้นเป็นช้างตกน้ำมันหนักยากที่จะบังคับ ช้างที่ไสออกไปแทนที่จะเข้าชิงชนกับช้างของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช มันก็หันรีหันขวาง และกลับตัวมาแทงโดนเอาช้างของสมเด็จพระมหาอุปราชาโดยกำลังแรง หลักฐานพม่าอธิบายว่าแรงขนาดช้างของสมเด็จพระมหาอุปราชาจามสนั่นด้วยความเจ็บปวด
    .
    ขณะนั้นทหารองครักษ์ที่ล้อมช้างสมเด็จพระนเรศวรมหาราชก็ระดมยิงปืนสวนใส่เข้ามาและมีกระสุนพลัดถูกเอาสมเด็จพระมหาอุปราชาโดยถนัดถึงสิ้นพระชนม์ซบกับคอช้าง ควาญช้างพอเห็นพระองค์สิ้นพระชนม์เพราะต้องปืน ก็บังคับช้างเข้ามาหลบที่พุ่มไม้แห่งหนึ่ง ขณะนั้นสมเด็จพระนเรศวรมหาราชเองก็ยังไม่ทรงทราบว่าสมเด็จพระมหาอุปราชาสิ้นพระชนม์แล้ว ก็ยังยืนพระคชาธารอยู่ ณ ที่เดิม เป็นจังหวะให้นัดจินหน่องซึ่งทรงพระคชาธารนามว่า “อูดอตะกะ” ไสช้างเข้าชนช้างของสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ช้างทรงก็ถอยร่นลงไปซ้ำ ตะโดธรรมราชาพอเห็นช้างทรงถอยร่นจึงไสช้างตนสำทับเข้าไปอีก ทำให้ทางฝ่ายอยุธยาต้องถอยร่นเข้ามาสู่พระนคร อาศัยกำแพงพระนครเป็นที่มั่นในการต่อสู้ ไม่ออกมาทำสงครามกลางแปลงอีก
    .
    เรื่องตามแสดงมามีปรากฏอยู่ในหลักฐานทางฝ่ายพม่า การที่หลักฐานพม่าให้ข้อมูลที่แตกต่างไปจากเรื่องสงครามยุทธหัตถีที่มีอยู่ในหลักฐานของไทย ทำให้วงวิชาการต่างชาติเกิดการตีความต่างกันไป วิคเตอร์ ลิเบอร์แมน (Victor Lieberman) นักประวัติศาสตร์สำคัญคนหนึ่งระบุว่า ครั้งนั้นสมเด็จพระมหาอุปราชาต้องปืนสวรรคต โดยนำหลักฐานพม่าไปเปรียบเทียบกับหลักฐานเยซูอิตร่วมสมัย อย่างไรก็ดีเรื่องนี้ไม่ใช่วิสัยที่จะมาตัดสินเอากันง่ายๆ และก็ไม่ใช่ว่าหลักฐานของพม่าและหลักฐานของฝรั่งจะเชื่อถือไปได้หมด หลักฐานฝรั่งที่เก่าแก่ไม่แพ้กันกับหลักฐานที่ลิเบอร์แมนกล่าวถึงการทำคชยุทธ์ครั้งนั้นอย่างมโหฬาร แสดงว่าหลักฐานฝรั่งก็มีขัดกันเอง
    .
    ภาพความขัดแย้งที่ปรากฏในหลักฐานต่างๆ เกี่ยวกับสงคราม คือภาพสะท้อนการเผชิญหน้าระหว่างจารีตอันเป็นธรรมเนียมนิยมของการทำสงครามรูปแบบเก่า คือการรบแบบตัวต่อตัวบนหลังช้าง กับการแพร่กระจายของอาวุธสมัยใหม่คือ ปืนไฟ (อ่านเพิ่มเติมประเด็น ปืนไฟ)
    .
    ถึงแม้ท้ายที่สุดปืนไฟจะทำให้ธรรมเนียมนิยมของการยุทธหัตถีหมดไป แต่ยืนยันได้ว่าในช่วงหลังสมัยสมเด็จพระนเรศวรมหาราช ธรรมเนียมนิยมในการทำยุทธหัตถียังไม่ได้หมดไป มีหลักฐานปรากฏในพงศาวดารพม่าเองว่าพระเจ้านันทบุเรงเมื่อยกทัพไปปราบกบฏที่เมืองอังวะก็ได้มีการท้าทายพระเจ้าอังวะให้กระทำยุทธหัตถี และกระทำยุทธหัตถีต่อหน้ารี้พล กระทั่งพระเจ้าอังวะพ่ายแพ้ ถึงกลับต้องหลบหนีไป
    .
    เพราะฉะนั้นเรื่องยุทธหัตถีนี้ไม่ใช่เรื่องที่จะหาข้อยุติกันได้โดยง่าย ยังจะต้องศึกษากันต่อไปในรายละเอียด นอกจากหลักฐานพม่าจะเสนอภาพที่พลิกตามความเข้าใจในเรื่องสงครามยุทธหัตถีแล้ว ยังมีหลักฐานอื่นๆ อีกมากที่พลิกความเข้าใจซึ่งตกทอดกันมา เช่น กรณีสงครามคราวเสียกรุงศรีอยุธยา พ.ศ. ๒๓๑๐…”
    .
    ที่มา https://www.silpa-mag.com/history/article_17774
    .
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 19 มกราคม 2020
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    วาระงานบุญ การอัญเชิญรูปหล่อพระมูนียะเถระเจ้า (หรือหลวงปู่เทพโลกอุดร)
    .
    ในวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563
    .
    รายละเอียดในงาน ผมมาแจ้งอีกครั้ง ถ้าผมได้รับรายละเอียดจากพี่แอ๊วมาแล้ว
    .
    สามารถร่วมทำบุญในวาระงานบุญนี้ได้ที่
    .
    บัญชีเลขที่ 983-2-94326-4
    ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
    บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2
    .
    โมทนาบุญ สาธุ สาธุ สาธุ
    .
    สำหรับท่านใดที่ว่างเว้นจากภาระกิจต่างๆ ขอเชิญไปร่วมในงานบุญนี้กันครับ
    .
    .
    .฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿.
    .
    .
    เบื้องหลังในการสร้างศาลากลางน้ำที่ประดิษฐานรูปหล่อพระมูนียะเถระเจ้า (หรือหลวงปู่เทพโลกอุดร) ที่พี่แอ๊วแจ้งมาให้ผมทราบ
    .
    .
    .
    ครั้งก่อน ตอนตอกเสาเข็มเอกมณฑปหลวงปู่ แล้วมีปัญหาตอกเสาไม่ลง จนเสาเอียง มาทราบทีหลัง หลวงพี่ท่านบอกว่า คนของบริษัทที่รับงาน ดื่มเหล้าก่อนหน้า ศีลไม่ครบ ทำงานไม่เคารพพระและสิ่งศักดิ์สิทธิ์ ท่านไม่ให้ทำต่อ ผู้รับเหมาต้องสั่งถอนตัวออกวันรุ่งขึ้น และหาเจ้าใหม่เข้ามา ซึ่งหลวงพี่ท่านให้รับศีลก่อนทำงาน และให้จุดธูปเทียนบอกกล่าวให้เรียบร้อย หลังจากนั้น ก็ตอกเสาเข็มลงทุกต้น ไม่มีปัญหาเลยค่ะ
    .
    ล่าสุดช่างกำลังเร่งงานปูพื้นภายใน งานหลังคา งานบัวตกแต่งด้านบน เพื่ออัญเชิญหลวงปู่ขึ้นมณฑปก่อน แล้วค่อยเก็บรายละเอียด งานโดยรอบค่ะ
    .
    ช่วงมาฆบูชา พี่จัดผ้าป่าร่วมเป็นเจ้าภาพแท่นและฐานประดิษฐานหลวงปู่นะคะ
    .
    เป็นแท่นหินอ่อน มาแกะลาย และมีองค์ประกอบอื่นๆ ที่สถาปนิกออกแบบตามที่หลวงพี่นิลท่านสั่งการค่ะ
    .
    ครั้งเดียวที่จะได้ร่วมเป็นเจ้าภาพสร้างฐานรองรับหลวงปู่ใหญ่ ไว้ ณ มณฑปของหลวงปู่ท่านเองค่ะ
    .
    รวมทั้งสร้างแผ่นหินอ่อน จารึกพระนามหลวงปู่ และพระคาถาบูชา ด้วยค่ะ

    .

    00-1 อัญเชิญหลวงปู่ 22 กพ 63.png

    00-2 อัญเชิญหลวงปู่ 22 กพ 63.png

    00-3 บัญชี 983  2  94326  4.png
     
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    .
    .
    fake news คือ ข่าวปลอม ที่มีเป็นจำนวนมากในโลกออนไลน์ ผมนำบทความมาให้อ่านกัน อยากให้ระมัดระวังในเรื่องของ fake news
    .
    .
    ------------------------------------------
    .
    .
    ต้องรู้ทันสื่อเพราะ“FAKE NEWS" ไม่มีวันหมด
    .
    เพราะ“FAKE NEWS ไม่มีวันหมดแล้วเราจะรู้ได้อย่างไรว่าข่าวไหนเป็นข่าวปลอม วิธีที่ดีที่สุดคือการรู้เท่าทันสื่อ
    .
    วันนี้ (16ก.ย.) LINE ในฐานะแพลตฟอร์มออนไลน์ระดับโลก ร่วมกับ สำนักข่าวเอพี และสำนักงานกองทุนพัฒนาสื่อปลอดภัยและสร้างสรรค์ จัดเวิร์คช้อป STOP “FAKE NEWS” ข่าวจริงหรือข่าวปลอม คิดก่อนกด ให้ความรู้และความเข้าใจแก่นิสิตนักศึกษา และเยาวชนคนรุ่นใหม่ โดยเฉพาะผู้ที่ศึกษาในด้านการสื่อสารมวลชน ถึงผลกระทบของปัญหาข่าวปลอม ที่ เกสร เออเบิร์น รีสอร์ท ชั้น 19 ตึกเกสรทาวเวอร์ เมื่อวันที่ 16 กันยายน และ ที่ศูนย์ประชุมและแสดงสินค้าขอนแก่น วันที่ 19 กันยายน โดยมีนิสิต นักศึกษา และอาจารย์ในสาขาวิชาด้านสื่อสารมวลชน สนใจเข้าร่วม รวมกว่า 400 คน โดย ทาแมร์ ฟาคาฮานี Deputy Director – Global News Coordination
    .
    สำนักข่าวเอพี กล่าวในงานเปิดเวิร์คช้อป “STOP FAKE NEWS” ข่าวจริงหรือข่าวปลอม คิดก่อนกด ว่าจากการสำรวจ 40 ประเทศทั่วโลก พบว่า กว่า 55% คิดว่าข่าวปลอมเป็นสิ่งที่แยกยาก ขณะที่คนรุ่นใหม่ส่วนใหญ่ยังคงแชร์ถึงแม้จะรู้ว่าไม่ใช่เรื่องจริง โดยกลุ่มตัวอย่างอายุ 18-29 ปี แชร์ข่าวปลอม 31% และอายุ 50 ปีขึ้นไป มีการแชร์ข่าวปลอม 27% การตรวจสอบของข่าวปลอม ของสำนักข่าวเอพี มีทั้งใช้วิธีโทรกลับไปสอบถามแหล่งข่าว รวมถึงใช้เทคโนโลยีในการตรวจสอบภาพ วิดีโอ ดูการตัดต่อ ซึ่งขณะนี้ข่าวปลอมที่กำลังมาแรงคือ เกี่ยวกับการเลือกตั้งประธานาธิบดีสหรัฐฯ เนื่องจากกำลังมีการเลือกตั้งในปี 2563
    .
    **ข่าวปลอม7ประเภท กนกพร ประสิทธิ์ผล ผู้อำนวยการศูนย์พัฒนาสื่อใหม่ ไทยพีบีเอส กล่าวว่า
    .
    ข่าวปลอม แบ่งได้ 7 ประเภท คือ
    .
    1. Satire or Parody เสียดสีหรือตลก
    .
    2. False Connection โยงมั่ว
    .
    3. Misleading ทำให้เข้าใจผิด
    .
    4. False Context ผิดที่ผิดทาง นำภาพไม่เกี่ยวข้องมาสร้างข่าวต่อ
    .
    5. Impostor โกหกที่มาของข้อมูล
    .
    6. Manipulated ตัดต่อภาพ เสียง คลิปวิดีโอ
    .
    และ 7. Fabricated กุข่าวปลอม สวมรอยเป็นสำนักข่าว
    .
    .
    .
    ข่าวปลอมสร้างโดยคน 4 กลุ่ม คือ
    .
    1. กลุ่มเกรียนนักเลงคีย์บอร์ด โพสข้อความเพื่อความสนุกส่วนตัว
    .
    2. กลุ่มหวังเงินค่าโฆษณา โพสต์สร้างกระแสหวังยอด Follow (ติดตาม)
    .
    3. กลุ่มสร้างความเกลียดชัง จะโพสต์ข้อความหรือ Hate Speech ดูหมิ่น ยุยง ปลุกปั่น
    .
    4. กลุ่มหลอกลวง สร้างข้อมมูลเท็จ หลอกขายสินค้า หรือฉ้อโกง
    .
    .
    .
    **6วิธีเชคว่า“ข่าวปลอม-ไม่ปลอม” วิธีเชคข้อมูลเพื่อให้รู้เท่าทันข่าวปลอม มี 6 ข้อสำคัญ ได้แก่
    .
    1. ตรวจสอบแหล่งที่มาของข่าวสารข้อมูล เช่น สำนักข่าว หน่วยงาน หรือชื่อผู้ให้ข้อมูล
    .
    2. มีเว็บไซต์อื่น หรือแหล่งข่าวอื่นเผยแพร่หรือไม่
    .
    3. ภาพเก่า เล่าใหม่ หรือไม่ เช็คภาพประกอบ TINEYE หรือ Google Reverse Image Search
    .
    4. เช็คความน่าเชื่อถือของเว็บไซต์หรือเพจ เช่น Brand Name, URL, Logo/Verified, ADS, Font, Spelling หรือ คำผิด และ Click Bait
    .
    5. ลักษณะเนื้อข่าวที่ต้องสังเกต ข่าวไม่จริงมักเล่นกับ ความเชื่อ เหตุการณ์รุนแรง ข่าวร้าย เลือกข้าง สร้างความเกลียดชัง และคนดังมีชื่อเสียง
    .
    และ 6. ไม่นิ่งนอนใจ รายงานเมื่อเจอข่าวปลอม รีบช่วยเตือน หรือรายงานไปยังผู้เกี่ยวข้อง
    .
    ขณะนี้บริษัทโซเชียลมีเดียรายใหญ่ ต่างพากันตระหนักในการลดปัญหาดังกล่าว โดย “Facebook” พยายามลดการแสดงผลเนื้อหาบน News Feed ด้านสุขภาพ การรักษาโรคที่เกินจริง รวมถึงเพิ่มฟีเจอร์ใหม่ อาทิ ปุ่มแจ้งเตือนข่าวปลอมเพื่อเตือนผู้ใช้เฟซบุ๊กด้วยกันเอง
    .
    และปุ่ม About this article ตรวจสอบแหล่งข่าวก่อนแชร์ เช่น “Youtube” เตรียมปรับลดการแนะนำวิดีโอ ที่เข้าข่ายในกลุ่มของ Borderline หรือเรื่องราวปาฏิหาริย์ต่างๆ
    .
    ส่วนผู้ให้บริการค้นหาข้อมูลอันดับหนึ่งของโลกอย่าง “Google” ได้เพิ่มมาตรการคัดกรองข่าวปลอมและข้อมูลที่บิดเบือนความจริงบนอินเทอร์เน็ต หลังเกิดปัญหาการแพร่ขยายอย่างรวดเร็วของข่าวปลอมในปัจจุบัน
    .
    และ “LINE” ให้ความรู้แก่เยาวชนแล้วตั้งหน่วยงานตรวจสอบข่าวปลอมของไต้หวัน รวมถึงพัฒนาแพลตฟอร์มในการช่วยกรอง ตรวจจับ และเชื่อมต่อกับหน่วยงานของสภาบริหารและตอบข้อกังขาของประชาชนได้
    .
    **วิธีแก้ปัญหา“ข่าวปลอม”ในต่างประเทศ ใน “อังกฤษ” ประกาศจะเสริมหลักสูตร การเรียนการสอนเรื่อง Internet Safety ในชั้นประถมและมัธยม เริ่มในปี 2563 เพื่อเสริมทักษะแก่เด็ก เยาวชน รู้เท่าทันข่าวลวงและข่าวปลอม
    .
    “สิงคโปร์” มีกฎหมายป้องกันการแพร่กระจายของข่าวปลอม เปิดทางให้ทางการสามารถสอดส่องแพลตฟอร์มออนไลน์ แชทส่วนตัวของประชาชนได้
    .
    “เยอรมัน” ควบคุมเนื้อหา Hate Speech ให้ลบข้อมูลที่ผิดกฎหมายภายใน 24 ชั่วโมง ซึ่งหากฝ่าฝืนโทษปรับสูงถึง 50 ล้านยูโร
    .
    และ “ไทย” ตั้งศูนย์ FAKE NEWS CENTER โดย กระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม เน้นสื่อสารข่าวการเตือนภัยพิบัติและข่าวลวงที่กระทบต่อความปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของประชาชน
    .
    “FAKE NEWS ไม่มีวันหมดไป เพราะแพลตฟอร์มและเทคโนโลยีเติบโตอย่างรวดเร็ว คนไทย 70-80% กระโดดเข้ามาสู่โลกอินเทอร์เน็ตทำให้การเติบโตของ FAKE NEWS มีมากขึ้น
    .
    ทางที่ดีที่สุด คือ การสร้างความรู้เท่าทันสื่อ โดยการทำงานร่วมกันของผู้ที่มีส่วนเกี่ยวข้องหมด” กนกพร กล่าว พุทธิพงษ์ ปุณณกันต์ รัฐมนตรีว่าการกระทรวงดิจิทัลเพื่อเศรษฐกิจและสังคม กล่าวว่า ข่าวปลอมเป็นปัญหาที่กระทบทั้งด้านสังคมและความมั่นคง ทุกประเทศต้องการจะหาวิธีการป้องกัน วันนี้ทุกคนสามารถโพสต์หรือแชร์อะไรตามอารมณ์ชั่ววูบ และอาจกระทบต่อสังคมในวงกว้างได้
    .
    การตั้งศูนย์ข่าวปลอม FAKE NEWS CENTER ความจริงแล้วคือปลายเหตุ
    .
    สิ่งที่จะหยุดข่าวปลอมได้ คือ ผู้เสพต้องสามารถ วิเคราะห์ได้และไม่แชร์
    .
    ที่มา bangkokbiznews
    .
    https://www.bangkokbiznews.com/news/detail/847403
    .
     
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    .
    .
    .
    ผมร่วมบุญสร้างอุโบสถ
    ณ วัดป่าภัทรปิยาราม ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี
    .
    .
    .
    ผมโอนเงินร่วมทำบุญ 500 บาท
    มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
    .
    .
    .*****************
    .
    .
    สำหรับท่านใดสนใจร่วมทำบุญ
    สามารถร่วมทำบุญได้ที่ ธนาคารกรุงไทย สาขาลพบุรี
    บัญชีเลขที่ 111-0-65693-9 ชื่อบัญชี วัดป่าภัทรปิยาราม
    .
    .
    .
    .฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿฿
    .
    .
    .
    และ ผมร่วมบุญสร้างอุโบสถ
    ณ วัดไหล่ดุม ต.สังเม็ก อ.กันทรลักษ์ จ.ศรีสะเกษ
    .
    .
    .
    ผมโอนเงินร่วมทำบุญ 500 บาท
    มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
    .
    .
    .*****************[
    .
    .
    สำหรับท่านใดสนใจร่วมทำบุญ
    สามารถร่วมทำบุญได้ที่ ธนาคารกรุงเทพ สาขาเทสโก้ โลตัส กันทรลักษ์
    บัญชี 7580123680 ชื่อบัญชี วัดไหล่ดุม
    .
    .
    .
    หรือติดต่อสอบถามได้ที่ พระมหาอาคม กิตฺติญาโณ 0922918381
    .
    .
    .
    #วัดไหล่ดุม
    #วัดป่าภัทรปิยาราม
    #พระมูนียะเถระเจ้า
    #บรมครูมูนียะโลกอุดร
    #หลวงปู่เทพโลกอุดร
    #พระพุทธยมกปาฎิหาริย์
    #พระพุทธมณีรัตนอัมรินทร์สถิตย์
    #พญานาคราชศีลวิสุทธิโลกาธิบดี
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    วาระงานบุญ การอัญเชิญรูปหล่อพระมูนียะเถระเจ้า (หรือหลวงปู่เทพโลกอุดร)
    .
    ในวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563
    .
    สามารถร่วมทำบุญในวาระงานบุญนี้ได้ที่
    .
    บัญชีเลขที่ 983-2-94326-4

    ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์

    บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาเซ็นทรัลพลาซา พระราม 2
    .
    **********.....เริ่มต้นร่วมทำบุญได้ตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป.....**********

    **********สิ้นสุด วันพฤหัสที่ 20 กุมภาพันธ์ 2563 เวลา 12.00 น......**********

    เนื่องจากผมต้องจัดเตรียมเงินไปร่วมทำบุญในวันงาน ครับ
    .

    กำหนดการ
    พิธีอัญเชิญหลวงปู่เทพโลกอุดร ขึ้นประดิษฐาน ณ มณฑปกลางน้ำ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร

    .
    07.19 น. พิธีบวงสรวงโดยพระมหาเถระ 2 รูป
    .

    ท่านพระครูวิลาศกาญจนธรรม ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี

    ท่านเจ้าคุณพระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ) ประธานสงฆ์วัดใหม่ปลายห้วย จ.พิจิตร

    .

    07.30 น. เริ่มพิธีอัญเชิญรูปหล่อหลวงปู่เทพโลกอุดร จากแท่นประดิษฐานด้านนอก เข้าสู่ฐานองค์พระภายในมณฑปกลางน้ำ

    .

    พระสงฆ์ 9 รูป สวดชัยมงคลคาถา

    .

    ด้านในมณฑป- พระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธัมโม พร้อมคณะช่าง ดำเนินงานติดตั้งระบบเพิ่มเติมของแท่นฐานหินอ่อนกับรูปหล่อองค์หลวงปู่เทพโลกอุดร

    .

    ด้านนอกมณฑป-กราบอาราธนาพระมหาเถระเทศน์โปรดญาติโยมพุทธบริษัท

    .

    08.30 น. กราบอาราธนาพระมหาเถระสองรูป ประกอบพิธีภายในมณฑป (ถวายพานเครื่องสักการะ และทำพิธีเบิกพระเนตรองค์พระ)

    .

    10.15 น. ถวายไทยธรรมแด่พระสงฆ์

    .

    10.30 น. ถวายภัตตาหารเพล

    .

    เสร็จพิธี

    .

    -----------------------------------------------------------

    .

    ขอเรียนเชิญญาติธรรมทั้งหลาย ร่วมเป็นเจ้าภาพผ้าป่ากตัญญุตาสามัคคีธรรม เพื่อสร้างแท่นหินอ่อน รองรับรูปเปรียบรูปเหมือน หลวงปู่เทพโลกอุดร ณ มณฑปกลางน้ำ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร

    .

    ณ มณฑปกลางน้ำแห่งนี้ จะเป็นที่ประดิษฐาน รูปเปรียบรูปเหมือนหลวงปู่เทพโลกอุดร ( สูง 3 เมตร รวมฐาน) ไว้เป็นที่เคารพสักการะ เป็นที่พึ่งที่ระลึก ถึงองค์พระอริยสงฆ์ผู้อยู่เหนือกาลเวลา ผู้ที่แม้จะเข้าพระนิพพานได้นานแล้ว แต่ได้เสียสละในการอธิษฐานเพื่อคงอยู่แห่งกายทิพย์กายธรรม ในการดูแลงานพระพุทธศาสนา จวบจนสิ้นพุทธันดร

    .

    ผ้าป่ากตัญญุตาสามัคคีธรรมครั้งนี้ เปิดให้ร่วมบุญ ในวาระแห่งมาฆบูชาฤกษ์ จนถึง วันที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563 ซึ่งจะมีพิธีสำคัญ คือการอัญเชิญหลวงปู่เทพโลกอุดรขึ้นประทับบนแท่นฐานหินอ่อน ณ มณฑปกลางน้ำ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร

    ปัจจัยทั้งหมดรวบรวมเพื่อการจัดสร้างแท่นหินอ่อน ซึ่งเป็นหินอ่อนพิเศษสีชมพู นำมาแกะสลักลาย และมีองค์ประกอบของลวดลายต่างๆ ตามที่ออกแบบเพื่อใช้เป็นฐานรองรับรูปหล่อหลวงปู่เทพโลกอุดรองค์ใหญ่ รวมทั้งการจัดทำแผ่นหินอ่อนจารึกพระนามหลวงปู่พร้อมพระคาถาบูชา

    .

    การอัญเชิญรูปหล่อองค์หลวงปู่บรมครูมูนียะโลกอุดร จากโรงหล่อฯ มายังอาศรมศรีชัยรัตนโคตร


    วันที่ 15 กพ.2563

    พระอาจารย์นิล กราบอาราธนาหลวงปู่เทพโลกอุดร จากโรงหล่อที่ กทม. ไปยังอาศรมศรีชัยรัตนโคตร

    พันเอกไพบูลย์. พุ่มพิเชฎฐ์

    ผู้บังคับการกรมทหารปืนใหญ่ต่อสู้อากาศยานที่ 2

    ผู้ควบคุมการเดินทาง

    จ.ส.อ.ปิยะพงศ์. สุขสิงห์

    พลขับ 2 นาย

    1.ส.อ.ยุทธการณ์ ภุมภา

    2.ส.ต.นิคม บุตรงาม

    พลทหาร 4 นาย

    1.พลฯนโมทัช โครตรักษา

    2.พลฯ ธนากรณ์ อาจไธสง

    3.พลฯ ภูวดล ศรีพันลม

    4.พลฯ ปิยวัฒน์. พันธ์แน่น


    ได้รับความอนุเคราะห์จากผู้การไพบูลย์ค่ะ ทั้งรถทหารและกำลังพล

    เป็นหน่วยที่หลวงพี่ลงไปแจกผ้ายันต์ที่3จว.ชายแดนใต้ แล้วผู้การพิเชษฐ์ มีศรัทธาในปฏิปทาหลวงพี่นิล ได้ปวารณาจะช่วยงาน เลยเป็นบุญของท่านค่ะ


    วันที่ 16 กพ.63

    @ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร

    รูปหล่อองค์หลวงปู่บรมครูมูนียะโลกอุดร ถึงอาศรมฯเรียบร้อยแล้ว

    หลวงพี่นิลกำลังทดสอบรางเลื่อน ที่จะเคลื่อนองค์หลวงปู่ โดยจะมีเชือกให้ทุกคนได้ช่วยกันดึงฐานหลวงปู่ ให้เลื่อนเข้าไปอย่างช้าๆ ในมณฑป

    ขอขอบคุณพี่แอ๊วที่แจ้งกำหนดการและรายละเอียดของงาน รวมทั้งส่งรูปมาให้ได้ชมงานบุญกันครับ

    .

    โมทนาบุญ สาธุ สาธุ สาธุ

    .

    สำหรับท่านใดที่ว่างเว้นจากภาระกิจต่างๆ ขอเชิญไปร่วมในงานบุญนี้กันครับ

    .

    #หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า

    #หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า

    #หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์

    #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี

    #หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ

    #หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์

    #หลวงปู่เทพโลกอุดร

    #หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร

    #คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ

    #หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ

    #พระเจ้าอโศกมหาราช

    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน

    #เจ้าคุณพระพิศาลญาณวงศ์ ( #หลวงปู่ทองดีอนีโฆ ) #ประธานสงฆ์วัดใหม่ปลายห้วย

    #ชมรมพระวังหน้า

    #พระวังหน้า

    #อาศรมศรีชัยรัตนโคตร

    #พระธวัชชัยชาครธัมโม

    #พระอาจารย์นิล

    #หลวงพี่นิล
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ผมมาร่วมทำบุญ ในวาระงานบุญ การอัญเชิญรูปหล่อพระมูนียะเถระเจ้า ( หรือ หลวงปู่บรมครูมูนียะโลกอุดร หรือหลวงปู่เทพโลกอุดร) ขึ้นประดิษฐาน ณ มณฑปกลางน้ำ ที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จ.สกลนคร ในวันเสาร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ 2563
    .
    โดยผู้ร่วมทำบุญ หลายๆท่าน ( ผม , ผู้บัญชาการที่บ้าน , สมาชิกชมรมพระวังหน้า , สมาชิกคณะพระวังหน้า , พนักงานฝ่ายปฎิบัติการสินเชื่อธุรกิจขนาดกลาง บมจ.ธนาคารกรุงไทย , พนักงานฝายทีมบริหารทีมปฎิบัติการ บมจ.ธนาคารกรุงไทย ได้ร่วมบุญดังนี้
    .
    1.การสร้างวิหาร และ มณฑปกลางน้ำ ที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
    .
    2.การถวายหนังสือประวัติหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร แด่พระอาจารย์นิล (อาศรมศรีชัยรัตนโคตร จ.สกลนคร)
    .
    3.ถวายปัจจัยในการทำบุญภัตตาหารของพระภิกษุที่อยู่ที่อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
    .
    4.การถวายหนังสือประวัติหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร แด่แม่ชีรุ่งนภา (บ้านแสงแห่งธรรม จ.พิษณุโลก)
    .
    5.ถวายปัจจัยการทำบุญโรงทานของแม่ชีรุ่งนภา (มูลนิธิบ้านแสงแห่งธรรม)
    .
    6.ถวายรูปคณะหลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร 5 พระองค์ แด่ พระอาจารย์นิล , พระภิกษุอีก 1 รูป และ แม่ชีรุ่งนภา
    .
    ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่าน
    มาร่วมโมทนาบุญกันครับ
    .
    .
    .-----------------------------------------------.
    .
    .
    กำหนดการ

    พิธีอัญเชิญหลวงปู่เทพโลกอุดร ขึ้นประดิษฐาน ณ มณฑปกลางน้ำ อาศรมศรีชัยรัตนโคตร
    .
    07.19 น. พิธีบวงสรวงโดยพระมหาเถระ 2 รูป
    .
    ท่านพระครูวิลาศกาญจนธรรม ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน จ.กาญจนบุรี
    ท่านเจ้าคุณพระพิศาลญาณวงศ์ (หลวงปู่ทองดี อนีโฆ) ประธานสงฆ์วัดใหม่ปลายห้วย จ.พิจิตร
    .
    07.30 น. เริ่มพิธีอัญเชิญรูปหล่อหลวงปู่เทพโลกอุดร จากแท่นประดิษฐานด้านนอก เข้าสู่ฐานองค์พระภายในมณฑปกลางน้ำ
    .
    พระสงฆ์ 9 รูป สวดชัยมงคลคาถา
    .
    ด้านในมณฑป- พระครูวินัยธรธวัชชัย ชาครธัมโม พร้อมคณะช่าง ดำเนินงานติดตั้งระบบเพิ่มเติมของแท่นฐานหินอ่อนกับรูปหล่อองค์หลวงปู่เทพโลกอุดร
    .
    ด้านนอกมณฑป-กราบอาราธนาพระมหาเถระเทศน์โปรดญาติโยมพุทธบริษัท
    .
    08.30 น. กราบอาราธนาพระมหาเถระสองรูป ประกอบพิธีภายในมณฑป (ถวายพานเครื่องสักการะ และทำพิธีเบิกพระเนตรองค์พระ)
    .
    10.15 น. ถวายไทยธรรมแด่พระสงฆ์
    .
    10.30 น. ถวายภัตตาหารเพล
    .
    เสร็จพิธี
    .
    #หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า

    #หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า

    #หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์

    #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี

    #หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ

    #หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์

    #หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร

    #คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ

    #หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ

    #พระเจ้าอโศกมหาราช

    #พระครูวิลาศกาญจนธรรม #เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน

    #เจ้าคุณพระพิศาลญาณวงศ์ ( #หลวงปู่ทองดีอนีโฆ ) #ประธานสงฆ์วัดใหม่ปลายห้วย

    #ชมรมพระวังหน้า

    #พระวังหน้า

    #อาศรมศรีชัยรัตนโคตร

    #พระธวัชชัยชาครธัมโม

    #พระอาจารย์นิล

    #หลวงพี่นิล

    #มูลนิธิบ้านแสงแห่งธรรม

    #บ้านแสงแห่งธรรม

    #แม่ชีรุ่งนภา

    #โรงทาน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ขอเชิญร่วมทำบุญปิดทองฉัตร (ฉัตรนี้จะนำไปประดิษฐานที่พระเจดีย์ที่บ้านแสงแห่งธรรม ทุ่งนาผางาม จ.พิษณุโลก (แม่ชีรุ่งนภา)
    .
    สามารถร่วมทำบุญได้ที่ บัญชีออมทรัพย์เลขที่ 678 - 8 -89192 - 3
    ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์
    บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาบิ๊กซี บางปะกอก
    .
    เริ่มต้นตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป
    สิ้นสุดการร่วมทำบุญในวันพุธที่ 4 มีนาคม 2563 เวลา 12.00 น.
    .
    ขอโมทนาบุญกับทุกๆท่านด้วยครับ
    .
    .**************************************.
    .
    #พระเจดีย์บ้านแสงแห่งธรรมทุ่งนาผางาม
    #โรงทาน
    #มูลนิธิบ้านแสงแห่งธรรม
    #บ้านแสงแห่งธรรม
    #เรือนอิ่ม
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ขอเชิญร่วมงานบุญ การหล่อองค์หลวงปู่เทพโลกอุดรนั่งบัลลังก์พญานาค
    .
    หล่อองค์หลวงปู่เทพโลกอุดร(หรือหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า)นั่งบัลลังก์พญานาค เนื้อทองเหลือง จำนวน 1 องค์ (จริงๆแล้วหล่อเนื้อทองเหลือง จำนวน 3 องค์ ทางโรงหล่อ ขอไป 1 องค์ ส่วนอีก 1 องค์โรงหล่อถวายพระอาจารย์ณริชฯ ที่วัดป่าภัทรปิยาราม)
    .
    และ หล่อองค์หลวงปู่เทพโลกอุดร(หรือหลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า)นั่งบัลลังก์พญานาค เนื้อไฟเบอร์ อีกจำนวนประมาณ 8 องค์ มีวัดในประเทศ และ ต่างประเทศ มีหนังสือขอกับพระอาจารย์ณริชฯ ไว้แล้ว
    .
    สามารถร่วมทำบุญได้ที่

    บัญชีเลขที่ 008 - 0 - 32995 – 0

    ชื่อบัญชี นายสิทธิพงศ์ สงวนศักดิ์

    บมจ.ธนาคารกรุงไทย สาขาปทุมวัน

    .

    เริ่มต้นร่วมทำบุญตั้งแต่บัดนี้เป็นต้นไป

    สิ้นสุดการร่วมทำบุญวันพฤหัสที่ 12 มีนาคม 2563

    .

    ระวังการโอนร่วมทำบุญผิดบัญชีด้วย
    และรบกวนโอนร่วมทำบุญให้ตรงกับที่ผมแจ้งไว้ด้วยครับ
    .
    ขอโมทนาบุญกับ ทุกๆท่านด้วยครับ
    .
    .*************************************.
    .

    #หลวงปู่พระอุตระเถระเจ้า

    #หลวงปู่พระโสณะเถระเจ้า

    #หลวงปู่พระมูนียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เทพโลกอุดร หรืออีกชื่อ #บรมครูมูนียะโลกอุดร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่อิเกสาโร หรืออีกชื่อ #หลวงปู่เดินหน หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ดำ หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ในดง หรืออีกชื่อ #หลวงปู่โพรงโพธิ์

    #หลวงปู่พระฌาณียะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่ขรัวขี้เถ้า หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อกบวัดเขาสาริกา #วัดเขาสาริกา ลพบุรี

    #หลวงปู่พระภูริยะเถระเจ้า หรืออีกชื่อ #หลวงปู่หน้าปาน หรืออีกชื่อ #หลวงพ่อโอภาสี #วัดโอภาสี กรุงเทพ

    #หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร5พระองค์

    #หลวงปู่เทพโลกอุดร

    #หลวงปู่บรมครูพระเทพโลกอุดร

    #คณะพระธรรมทูตคณะโสณะอุตระ

    #หลวงปู่กรมพระราชวังบวรวิชัยชาญ

    #พระเจ้าอโศกมหาราช

    #พระอาจารย์ณริชธันร์ศรีอิทธิมนต์

    #วัดป่าภัทรปิยาราม ต.โคกตูม อ.เมือง จ.ลพบุรี

    #อรุโณโลกุตตระ

    #ชมรมพระวังหน้า

    #พระวังหน้า

    พระอาจารย์ณริชธันร์ ศรีอิทธิมนต์
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ปัญหาในตอนนี้ กระหน่ำรุมเร้า กับประชาชนภายในประเทศอย่างมากมาย ไม่ว่าจะเป็นเรื่อง Covid-19 และ PM2.5

    ทุกๆภาคส่วน ไม่ว่าจะเป็นรัฐบาล , หน่วยงานราชการ , หน่วยงานรัฐวิสาหกิจ และ ภาคเอกชน

    ต้องร่วมกันแก้ไขปัญหาที่กระหน่ำเข้ามาในตอนนี้อย่างเข้มข้น และต้องปฎิบัติในเชิงรุก

    แต่เท่าที่เห็น ในส่วนของรัฐบาล หน่วยงานราชการ มีแต่การแก้ไขปัญหาที่ต้องให้ผู้น้อยปฎิบัติตามนโยบายของผู้ใหญ่ และให้รายงานในเรื่องต่างๆไปยังผู้ใหญ่อยู่ตลอดเวลา

    ยังไม่เห็นการแก้ไขในเชิงรุกเลย

    แถมดีแต่ขู่ฟ้องคนโน้น คนนี้ ไม่รู้ว่า การขู่นั้น เป็นการสร้างกระแสในเรื่องหนึ่ง ที่จะไปกลบกระแสอีกเรื่องหนึ่ง หรือเปล่า

    บางหน่วยงาน ที่มีพนักงานที่ใช้อาคารเป็นจำนวนมาก รวมทั้งมีผู้ที่มาติดต่อกับหลายๆหน่วยงานในอาคารนั้น บริเวณที่พนักงานรักษาความปลอดภัยนั่งอยู่ ที่ต้องรับแลกบัตร เพื่อขึ้นไปในอาคาร แม้แต่เจลหรือแอลกอฮอร์ล้างมือยังไม่มีเลย ก็เลยไม่รู้ว่า คนที่มีหน้าที่ในการดำเนินการฯ รู้เรื่องบ้างหรือเปล่า หรือว่า ไม่เคยออกไปจากกะลาที่ตัวเองอยู่ หรือ สมองที่มีอยู่ ไว้เก็บขยะ

    เราๆ ท่านๆ ที่ไม่ได้มีอำนาจอะไร ต้องจำไว้ว่า ใครทำอะไร ในครั้งหน้าที่มีการเลือกตั้ง เสียงของท่าน ต้องดังไปถึงคนที่มีอำนาจในยุคปัจจุบัน ว่า ไม่ใช่ว่า รับปากอะไรไว้ พอมีอำนาจ จะไม่ทำก็ได้

    เรื่องที่สำคัญอีกเรื่องที่ต้องบอกกัน องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ามีพระเมตตานำธรรมะสั่งสอนเวไนยสัตว์โลกทั้งหลาย ผมนำธรรมะของพระพุทธองค์มาบอกกันในภาวะที่เราๆท่านๆ โดน Covid-19 และ PM2.5 กระหน่ำอยู่ในเวลานี้

    "อัตตาหิ อัตโนนาโถ"
    "ตนนั้นแลเป็นที่พึ่งแห่งตน"

    ตนเป็นที่พึ่งแห่งตน.png
     
  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ลองอ่านกันดูครับ
    เรื่องร้อนๆตอนนี้
    .
    .
    .-------------------------------------------------------------------
    .
    .


    "เจาะกลโกง" บริษัทประกันฯ หมกเม็ด-หลอกล่อ ทำประกันโรคไวรัสโควิด -19 เหยื่อหลงเชื่อเพียบ

    โพสโดย ธราวุฒิ ขุดประเด็น

    "... ภายหลังการแพร่ระบาดของไวรัสโคโรน่าสายพันธุ์ใหม่ หรือ “โควิด-19” ที่เริ่มขยายวงกว้างขึ้น ทำให้ค่ายประกันต่างๆ ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด หนำซ้ำยังเริ่มออกแบบกรมธรรม์ให้ความคุ้มครอง เพื่อสร้างความอุ่นใจแรงจูงใจให้แก่ผู้เอาประกัน

    และแบบกรมธรรม์ที่ออกมานั้น ก็ได้รับความสนใจจากประชาชนอย่างถล่มทลาย จนทำให้ในช่วงหนึ่งสัปดาห์ที่ผ่านมา คิดเป็นเบี้ยประกันมากกว่า 10 กว่าล้านบาท และยังมีแนวโน้มเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่อง

    อย่างไรก็ตามประชาชนที่จะซื้อประกันควรศึกษารายละเอียดของกรมธรรม์คุ้มครองอย่างถี่ถ้วนเสียก่อน ก่อนที่จะตัดสินใจซื้อ เพราะจากข้อมูลเชิงลึกกลับพบว่า มีบางบริษัทใช้ความแยบยล หมกเม็ดข้อสัญญา และมีผู้ตกเป็นเหยื่อจำนวนมาก

    สำหรับเรื่องดังกล่าวนี้ นายเกิดผล แก้วเกิด ทนายความ ได้อธิบายในเชิงข้อกฎหมายและตั้งข้อสังเกตถึงเรื่องนี้ ในเฟซบุ๊กส่วนตัวไว้อย่างน่าสนใจ สำหรับการทำประกันโรคไวรัส โควิด -19 ซึ่งเป็นเรื่องที่เกิดขึ้นโดยตรงกับนายเกิดผล จึงอยากจะมาฝากเตือนประชาชนอย่าตกเป็นเหยื่อ โดยระบุว่า

    จากที่แจ้งไว้เมื่อวานว่า มีประเด็นการหมกเม็ด ข้อสัญญา ของบริษัทประกันฯ ในการทำประกันโรคไวรัส โควิด -19 มีข้อสังเกตุ และข้อกฎหมายดังนี้ครับ

    1.ประกันชนิดนี้ เป็นประกันที่คุ้มครองผู้เอาประกัน ในกรณีตรวจพบว่า "ติดเชื้อไวรัสโควิด -19

    2.ผู้ติดเชื้อไม่ได้ติดเชื้อมาก่อนทำประกัน หรือ ไม่ได้เดินทางมาจากประเทศกลุ่มเสี่ยง

    3. เมื่อตรวจพบว่าติดเชื้อไวรัส โควิด 19 บริษัทประกันจะให้เงินตามกรมธรรม์เป็นเงินก้อน 100,000 บาท

    4.ในการนำเสนอผ่านสื่อ บริษัท / ตัวแทน มิได้แจ้งว่า ผู้ที่ติดเชื้อไวรัส โควิด -19 ที่จะได้รับเงิน 100,000 บาท ต้องเจ็บป่วยจากอุบัติเหตุร่วมด้วย

    5.ภายหลังมีการชำระเงินเบี้ยประกัน จำนวน 450 บาท/ ปี ไปแล้ว บริษัท ได้ออกใบเสร็จรับเงิน ,ใบรับประกันอุบัติเหตุและการติดเชื้ออันเนื่องมาจากไวรัส Covid-19 .(ภาพที่ 1) และ เอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุและการติดเชื้ออันเนื่องมาจากไวรัส Covid -19 (ภาพที่ 2)

    6. การออกเอกสารของบริษัทประกันฯ ตามภาพ 1 และ ภาพ 2 มีข้อความซึ่งเป็นสาระสำคัญ ที่มีผลตามกฎหมายคือ

    (1.)ใบรับประกันอุบัติเหตุและการติดเชื้ออันเนื่องมาจากไวรัส Covid-19 .(ภาพที่ 1) และ

    (2. )เอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ประกันภัยอุบัติเหตุและการติดเชื้ออันเนื่องมาจากไวรัส Covid -19 (ภาพที่ 2)

    7.เอกสารทั้ง 2 ฉบับ มีผลตามกฎหมาย โดยเฉพาะข้อความว่า #และ (ตามวงกลมสีชมพูในรูปที่ 1 และ วงกลมสีแดง ในรูปที่ 2)

    #ซึ่งเป็นคำตามภาษากฎหมาย ที่เชื่อมข้อความ อันเป็นสาระสำคัญในเหตุการณ์ที่ต้องเกิดขึ้นทั้ง 2 อย่าง คือ #ต้องเกิดอุบัติเหตุและติดเชื้อไวรัสCovid -19 พร้อมกัน

    8.จากเงื่อนไขดังกล่าว ที่ต้องเกิดเหตุการณ์พร้อมกันทั้ง 2 อย่าง คือ ต้องเกิดอุบัติเหตุและติดเชื้อไว้ พร้อมกัน จึงจะเข้าเงื่อนไขตามกรมธรรม์นี้

    9.หากบริษัทประกัน ประสงค์คุ้มครองทั้ง 2 กรณี คือทั้งอุบัติเหตุ และ ติดเชื้อโควิด อย่างใด อย่างหนึ่ง ซึ่งมีสิทธิ์รับเงินตามเงื่อนไขได้

    ในกรมธรรม์ และเอกสารแนบท้ายกรมธรรม์ จักต้อง ระบุให้ชัดแจ้ง โดยใช้ถ้อยคำตามกฎหมายว่า #หรือ ไม่ใช้คำว่า #และ

    10. การใช้คำว่า และ กับ คำว่า หรือ ในทางกฎหมาย มีผลแตกต่างกัน

    คำว่า #และ เป็นเงื่อนไขบังคับว่า ต้องเกิดขึ้นทั้งสองอย่าง ผลทางกฎหมายจึงจะสมบูรณ์ เรียกว่า "เงื่อนไขบังคับก่อน"

    ส่วนคำว่า #หรือ ไม่เป็นเงื่อนไขบังคับ เหมือนคำว่าและ จะเกิดเหตุการณ์อย่างใด อย่างหนึ่งก่อนหลัง หรือเกิดขึ้นเพียงอย่างเดียวก็ได้

    11.แต่กรมธรรม์นี้ มีเงื่อนไขบังคับ คือ ต้องเกิดอุบัติเหตุและติดเชื้อไวรัสCovid -19 พร้อมกัน จึงจะได้เงินตามเงื่อนไขนี้

    ถ้าเกิดติดเขื้อไวรัส Covid -19 เพียงอย่างเดียว หรือ อุบัติเหตุเพียงอย่างเดียว ไม่มีสิทธิรับเงิน เพราะไม่เข้าเงื่อนไข ตามกฎหมาย

    12.ในทางกฎหมาย การใช้ “และ” กับคำว่า “หรือ” มีผลต่างกันอย่างสิ้นเชิง

    การออกกรมธรรม์เช่นนี้ เป็นการจงใจตั้งเงื่อนไข โดยอาศัยกฎหมายเป็นข้อหมกเม็ดเอาเปรียบผู้เอาประกัน

    บริษัทนี้ เป็นบริษัทมหาชน นะครับ สำนักงานคณะกรรมการกำกับและส่งเสริมการประกอบธุรกิจประกันภัย น่าจะลองตรวจสอบบริษัทประกันภัย ที่หมกเม็ดเงื่อนไขเช่นนี้บ้างนะครับ ..."

    #สาวทุกเรื่องให้สุด
    #ขุดทุกประเด็นให้กระจ่าง

    "ธราวุฒิ ขุดประเด็น"

     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ลูกจ้างเฮ!ครม.ไฟเขียวเยียวยา'โควิด' แจกเงิน'เดือนละ5พันบาท'3เดือน
    .
    ครม.ไฟเขียวเยียวยาช่วย ลูกจ้าง-อาชีพอิสระไม่อยู่ในระบบ 3 ล้านคน ที่ได้รับผลกระทบโควิด แจกเงินเดือนละ 5,000 บาท นาน 3 เดือนเริ่มเม.ย. – มิ.ย.นี้ พร้อมปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำเสริมสภาพคล่อง
    .
    โพสโดย เดลินิวส์
    วันอังคารที่ 24 มีนาคม 2563 เวลา 15.50 น.
    .
    ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายสมคิด จาตุศรีพิทักษ์ รองนายกรัฐมนตรี พร้อมด้วยนายประสงค์ พูนธเนศ ปลัดกระทรวงการคลัง นายลวรณ แสงสนิท ผู้อํานวยการสํานักงานเศรษฐกิจการคลัง และนายเอกนิติ นิติทัณฑ์ประภาศ อธิบดีกรมสรรพากร ร่วมกันเปิดเผยถึงมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากไวรัสโคโรนา (COVID-19) ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะการระบาดของเชื้อไวรัสขยายวงกว้างขึ้น
    .
    โดยเฉพาะการเพิ่มขึ้นอย่างต่อเนื่องของจํานวนผู้ติดเชื้อในประเทศไทย รวมทั้งมาตรการการควบคุมการแพร่ระบาดของโควิด-19 การสั่งปิด สถานที่เป็นการชั่วคราว เช่น ห้างสรรพสินค้า การระงับการให้บริการของสถานบริการต่าง ๆ ทั้งในกรุงเทพฯ ปริมณฑล และในอีกหลายพื้นที่ การงดกิจกรรม อาทิ การแข่งขันกีฬา งานบันเทิง งานอบรมสัมมนา การแสดงสินค้า เป็นต้น ซึ่งส่งผลกับการดําเนินชีวิตของประชาชน
    .
    คณะรัฐมนตรีจึงได้มีมติเมื่อวันที่ 17 มี.ค.63 เห็นชอบให้หน่วยงานที่เกี่ยวข้อง รวมถึงกระทรวงการคลังจัดทํามาตรการให้ความช่วยเหลือเยียวยาที่เกี่ยวข้องเพื่อบรรเทา ผลกระทบทางเศรษฐกิจจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 และให้เศรษฐกิจไทยขับเคลื่อนต่อไปได้
    .
    กระทรวงการคลัง รับผิดชอบดูแลเศรษฐกิจไทยในภาพรวม ตระหนัก รับทราบ และเข้าใจถึงความยากลําบากของประชาชนชาวไทยทุกภาคส่วนและไม่นิ่งดูดาย จึงออกมาตรการดูแลและเยียวยา ผู้ได้รับผลกระทบทั้งประชาชนและผู้ประกอบการอย่างเร่งด่วน โดยยึดหลักการเดิม “ทันการณ์ ตรงเป้าหมาย และชั่วคราวตามจําเป็น” เพื่อแบ่งเบาภาระค่าใช้จ่ายให้ประชาชน รวมถึงบรรเทาผลกระทบและเสริมสภาพคล่องให้ ผู้ประกอบการ สามารถผ่านพ้นวิกฤตความยากลําบากไปได้
    .
    และเมื่อวันที่ 24 มี.ค.62 คณะรัฐมนตรีมีมติ เห็นชอบเรื่องมาตรการดูแลและเยียวยาผลกระทบจากโควิด-19 ต่อเศรษฐกิจไทยทั้งทางตรงและทางอ้อม ระยะที่ 2 ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยมีรายละเอียดดังนี้
    .
    1.มาตรการดูแลและเยียวยา “แรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบ ประกันสังคม” ซึ่งได้รับผลกระทบจากการแพร่ระบาดของโควิด-19 ประกอบด้วย 8 มาตรการ ดังนี้...
    .
    1.1มาตรการชดเชยรายได้แก่แรงงานลูกจ้าง ลูกจ้างชั่วคราว อาชีพอิสระที่ไม่อยู่ในระบบ ประกันสังคมหรือผู้ได้รับผลกระทบอื่นๆ ของการแพร่ระบาดของโควิด-19 เพื่อช่วยเหลือเยียวยา ให้กับกลุ่มเป้าหมายดังกล่าวที่ได้รับผลกระทบจากการหยุดประกอบกิจการของสถานประกอบการที่เสี่ยงต่อการแพร่ระบาดของโควิด-19 ซึ่งเป็นสถานที่ที่มีคนแออัด เบียดเสียด ง่ายต่อการแพร่เชื้อ เช่น สนามมวย สนาม กีฬา ผับ สถานบันเทิง โรงมหรสพ นวดแผนโบราณ สปา ฟิตเนส สถานบริการอื่น ๆ เป็นต้น หรือผู้ได้รับผลกระทบอื่นๆ
    .
    ทั้งนี้ ไม่รวมผู้ประกันตนตามมาตรา 33 ที่มีคุณสมบัติครบตามเงื่อนไขการได้รับประโยชน์ทดแทนกรณีว่างงานจาก สํานักงานประกันสังคม ไม่รวมข้าราชการและข้าราชการบํานาญ และไม่รวมเกษตรกร (กลุ่มเกษตรกรได้รับความ ช่วยเหลืออื่น ๆ จากรัฐบาลอยู่แล้ว)
    .
    ธนาคารกรุงไทย จํากัด (มหาชน) จะเป็นผู้รับลงทะเบียนเข้าร่วมมาตรการ เป้าหมายรวมทั้งสิ้น 3 ล้านคน โดยการสนับสนุนเงินช่วยเหลือรายละ 5,000 บาทต่อเดือน เป็นระยะเวลา 3 เดือน (เม.ย. – มิ.ย.) ผ่านการลงทะเบียนแสดงความจํานงตรวจสอบคุณสมบัติและการโอนเงินผ่านระบบ อิเล็กทรอนิกส์ เช่น พร้อมเพย์ตามเลขบัตรประจําตัวประชาชน โอนเข้าบัญชีธนาคาร กระเป๋าเงินอิเล็กทรอนิกส์ เป็นต้น ส่วนวิธีการขอรับความช่วยเหลือจะเป็นไปตามแนวทางที่กระทรวงการคลังกําหนด
    .
    1.2โครงการสินเชื่อฉุกเฉิน เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดํารงชีวิตแก่ประชาชนที่ได้รับ ผลกระทบจากโควิด-19 โดยไม่จําเป็นต้องมีหลักประกัน โดยธนาคารออมสินและธนาคารเพื่อการเกษตรและ สหกรณ์การเกษตร (ธ.ก.ส.) สนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 40,000 ล้านบาท (ธนาคารออมสิน 20,000 ล้านบาท และ ธ.ก.ส. 20,000 ล้านบาท) วงเงินต่อรายไม่เกิน 10,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 0.10 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ ไม่เกิน 2 ปี 6 เดือน ปลอดชําระเงินต้นและดอกเบี้ย 6 เดือนรับคําขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธ.ค.63
    .
    1.3โครงการสินเชื่อพิเศษเพิ่มเติม เพื่อเพิ่มสภาพคล่องชั่วคราวในการดํารงชีวิตแก่ประชาชน ที่มีรายได้ประจํา โดยมีหลักประกัน โดยธนาคารออมสินสนับสนุนสินเชื่อวงเงินรวม 20,000 ล้านบาท วงเงินต่อรายไม่เกิน 50,000 บาท คิดอัตราดอกเบี้ยคงที่ไม่เกินร้อยละ 0.35 ต่อเดือน ระยะเวลากู้ไม่เกิน 3 ปี รับคําขอสินเชื่อถึงวันที่ 30 ธ.ค.63
    .
    1.4 โครงการสินเชื่อดอกเบี้ยต่ำสําหรับสํานักงานธนานุเคราะห์เพื่อช่วยเหลือประชาชน ฐานรากที่ได้รับผลกระทบทั้งทางตรงและทางอ้อมจากการระบาดของโควิด-19 เพื่อช่วยเหลือประชาชน ฐานรากที่ได้รับผลกระทบจากการระบาดของโควิด-19
    โดยธนาคารออมสินสนับสนุนเงินทุนดอกเบี้ยต่ำวงเงินรวม 2,000 ล้านบาท ให้แก่กระทรวงการพัฒนาสังคมและความมั่นคงของมนุษย์ในนามของสํานักงานธนานุเคราะห์ (สธค.) โดยคิด ดอกเบี้ยในอัตรา 0.10% ต่อปี และ สธค. คิดดอกเบี้ยจากประชาชนในอัตราไม่เกิน 0.125 % ต่อเดือน ระยะเวลา 2 ปี
    .
    1.5 มาตรการเสริมความรู้ พิจารณาดําเนินการจัดฝึกอบรมเพื่อเพิ่มทักษะ เสริมอาชีพ เพื่อเสริมสร้างความรู้ให้กับผู้ที่ได้รับผลกระทบของการแพร่ระบาดของโควิด-19 หรือผู้ที่สนใจ พร้อมทั้งจัดทํา กิจกรรมเพื่อสังคม (Corporate Social Responsibility: CSR)
    .
    1.6 มาตรการเลื่อนเวลาการชําระภาษีเงินได้บุคคลธรรมดา โดยเลื่อนเวลาการชําระภาษี เงินได้บุคคลธรรมดา จากเดิมสิ้นสุดวันที่ 30 มิ.ย.63 เป็นสิ้นสุดวันที่ 31 ส.ค.63 เพื่อบรรเทาภาระให้แก่ผู้มีหน้าที่เสียภาษีเงินได้บุคคลธรรมดามีสภาพคล่องเพิ่มขึ้น
    .
    1.7 มาตรการเพิ่มวงเงินหักลดหย่อนค่าเบี้ยประกันสุขภาพ โดยเพิ่มวงเงินหักลดหย่อน ค่าเบี้ยประกันสุขภาพจากเดิมตามจ่ายจริงไม่เกิน 15,000 บาท เป็นไม่เกิน 25,000 บาท และเมื่อรวมกับการหัก ลดหย่อนค่าเบี้ยประกันชีวิตและเงินฝากประเภทสงเคราะห์ชีวิตแล้วต้องไม่เกิน 100,000 บาท
    .
    ทั้งนี้ตั้งแต่ปีภาษี 63 เป็นต้นไป เพื่อให้ประชาชนมีหลักประกันสุขภาพเพิ่มขึ้นและมีภาระค่าใช้จ่ายในการดูแลสุขภาพลดลง และรัฐสามารถ นํารายจ่ายด้านสาธารณสุขที่ลดลงจากการทําประกันสุขภาพของประชาชนไปช่วยเหลือประชาชนกลุ่มผู้มีรายได้น้อย ทั้งในด้านสาธารณสุขและด้านอื่น ๆ ได้มากขึ้น...
    .
    ที่มา : https://www.dailynews.co.th/economi...yBXSEM8Wo5Nmr08OLTo8VSPXPv1XpikklnjLHotoY9ZaI
    .
     

แชร์หน้านี้

Loading...