พระวังหน้า ที่หลวงปู่บรมครูเทพโลกอุดรเสก ถ้าต้องการที่จะได้.....

ในห้อง 'งานบุญอื่นๆ' ตั้งกระทู้โดย sithiphong, 23 ธันวาคม 2005.

  1. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เคล็ด (ไม่) ลับ เลือก “กองทุนรวม”
    -http://money.sanook.com/409083/-

    -http://www.smethailandclub.com/-
    สนับสนุนเนื้อหา

    ปัจจุบันมีกองทุนรวมออกมานำเสนอให้นักลงทุนเลือกมากมาย คำถามหนึ่งที่มักจะเกิดขึ้น นั่นคือแล้วเราจะเลือกลงทุนอย่างไร กับ บลจ.ไหน หรือกองไหน ไม่ใช่ว่าเห็นผลตอบแทนดีก็วิ่งเข้าใส่เลย ไม่ศึกษาทำการบ้านก่อน หากเป็นเช่นนี้อาจจะเจ็บตัวได้ เหมือนกับหุ้น พอเห็นหุ้นขึ้นก็ไปซื้อตามเขา พวกนี้ในวงการรู้จักและเรียกขานกันว่า “เม่า” ยิ่งปัจจุบันนี้มีเว็บไซต์จัดอันดับกองหลายเว็บ แต่ละแห่งก็ใช้ปัจจัยในการจัดอันดับที่ต่างกัน เช่น บางแห่งใช้ผลประกอบการย้อนหลัง 5 ปี บางแห่งใช้ผลประกอบการย้อนหลัง 1 ปี บางแห่งให้คะแนนเป็นดาวหลายดวง ผลลัพธ์ที่ได้ก็ออกมาแตกต่างกัน ตามแต่ปัจจัยที่ใช้ให้คะแนนเรียงลำดับ

    สำหรับในเรื่องนี้ สมิทธ์ พนมยงค์ กรรมการผู้อำนวยการ บริษัทหลักทรัพย์ (บล.) ไทยพาณิชย์ จำกัด มีเคล็ดไม่ลับมาฝากสำหรับใครที่กำลังคิดอยากจะลงทุนในกองทุนรวม

    ข้อแรก “ต้องรู้จักตนเอง” ก่อนอื่นนักลงทุนต้องเข้าใจตนเองก่อนว่ารับความเสี่ยงได้ขนาดไหน ทุกคนอยากได้ผลตอบแทนสูงๆ แต่ไม่อยากเสี่ยง อย่างนี้ไม่มีหรอก ถ้ามีทุกคนคงแห่ไปลงทุนกันหมดแล้ว อย่างที่สำนักงานคณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์ (ก.ล.ต.) ได้แนะนำไว้ การลงทุนมีความเสี่ยง เสี่ยงน้อยกำไรน้อย เสี่ยงมากโอกาสได้ผลตอบแทนก็สูง อันนี้เป็นธรรมชาติของการลงทุน ดังนั้น นักลงทุนควรทำการประเมินการรับความเสี่ยงของตนเองก่อน เพื่อเป็นแนวทางในการเลือกลงทุน อย่างที่ขงเบ้งท่านว่าไว้ “รู้เขารู้เรา รบร้อยครั้งชนะร้อยครั้ง”

    ถัดมา “เลือกบริษัทที่มีความมั่นคงและมีระบบการบริหารจัดการความเสี่ยงที่ดี” นักลงทุนคงสงสัยว่าแล้วจะไปรู้ได้อย่างไร เรื่องนี้ทางสำนักงาน ก.ล.ต.ก็ช่วยดูแลกำกับอยู่และรายงานสรุปให้พวกเราได้ทราบบนเว็บไซต์ของ ก.ล.ต.เลย นักลงทุนสามารถไปเปิดดูได้ว่าแต่ละบริษัทมีจุดอ่อนด้านใด บาง บลจ.ก็ได้รับคำติชมที่เกี่ยวกับการลงทุน การบริหารความเสี่ยง บาง บลจ.ก็ได้รับคำติชมด้านระบบปฏิบัติการ ระบบทะเบียน การควบคุมค่าใช้จ่ายต่างๆ กันไป

    นอกจากนั้น ยังมีบริษัทจัดอันดับความน่าเชื่อถือที่ได้รับความยอมรับในระดับโลก เช่น ฟิทช์ เรทติ้งส์ คอยทำหน้าที่เป็นคนกลางในการประเมินความสามารถของบริษัทจัดการกองทุน และกองทุนประเภทต่างๆ ว่า มีความสามารถและจุดเด่นในด้านใดบ้าง เช่น บริษัทและบุคลากร การบริหารจัดการและการควบคุมความเสี่ยง การบริหารจัดการกองทุน เป็นต้น โดยนักลงทุนสามารถค้นหาผลลัพธ์การประเมินจากเว็บไซต์ได้ไม่ยาก นักลงทุนอาจให้ความสำคัญกับการจัดการการลงทุนเป็นพิเศษ บลจ.ใหญ่ๆ ก็มีผู้จัดการกองและนักวิเคราะห์มาก สามารถครอบคลุมหลักทรัพย์ได้มากกว่า

    ถึงตรงนี้ สมิทธ์ บอกว่าคิดง่ายๆ ถ้ามีนักวิเคราะห์ 3 คน คนหนึ่งดูหุ้นได้ 10-15 ตัว บลจ.นั้นก็ดูแลหุ้นได้ทั่วถึง ทันข่าวทันเหตุการณ์ อย่างมากก็ไม่น่าเกิน 30-45 ตัว หากมีถึง 8 คน ก็สามารถครอบคลุมได้ถึง 80-120 ตัว จากหุ้นในตลาดทั้งหมดกว่า 500 ตัวในปัจจุบัน ผู้จัดการกองเองก็เช่นกัน ถ้ามีหลายคนก็สามารถดูแลแทนกันได้ เวลาอีกคนออกไปพบลูกค้าหรือไปพบบริษัทที่จะไปลงทุนเพื่อติดตามผลการดำเนินงาน


    คราวนี้ก็มาถึง “การเลือกกองทุน” อย่าลืมให้นึกถึงคำเตือนของ ก.ล.ต.ที่ว่า “ผลประกอบการในอดีตไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดผลการดำเนินงานในอนาคต” หลายครั้งพวกเรามักจะวิ่งตามผลงานในอดีต ยกตัวอย่างเปรียบเทียบ เช่น หุ้นตัวนี้ขึ้นมามาก ก็ตามไปลงทุนกับเขาบ้าง บางครั้งก็ติดดอย กองทุนก็คล้ายๆ กัน บางกองผลงานเคยดีในอดีต แต่ผู้จัดการกองอาจย้ายหรือลาออกไปแล้ว

    หรือพอกองทุนมีขนาดใหญ่ขึ้นก็ไม่สามารถลงทุนซื้อ-ขายได้คล่องตัวอย่างในอดีต เพราะสภาพคล่องหรือปริมาณหุ้นในตลาดที่จำกัดเมื่อเทียบกับขนาดกอง เช่น กองทุนที่มีขนาด 500 ล้านบาท จะปรับพอร์ต 20 เปอร์เซ็นต์ ที่ต้องขายหุ้น 100 ล้านบาท ตลาดพอรับไหว แต่ถ้ากองทุนไหนมีขนาด 20,000 ล้านบาท จะปรับพอร์ตเหมือนกันต้องขาย 4,000 ล้านบาท อันนี้ถ้าไม่บริหารให้ดีหุ้นร่วงติดฟลอร์แน่นอน ดังนั้น นักลงทุนควรดูหลายๆ ปัจจัยประกอบกัน โดยรวมคือ 1.ผู้จัดการกองทุน 2.ผลตอบแทนทั้งระยะสั้นและยาว และ 3.นโยบายการลงทุน

    มาที่ “ผู้จัดการกองทุน” ซึ่งเป็นผู้บริหารเงินลงทุน สมิทธ์แนะว่า นักลงทุนต้องดูประวัติการทำงานและผลงานในอดีตว่าผลงานดีคงเส้นคงวาหรือไม่ หรือหวือหวาขึ้นๆ ลงๆ แล้วเรารับสไตล์การจัดการของเขาได้หรือไม่ ดูตัวอย่างในต่างประเทศ นักลงทุนจะตามผู้จัดการกองมากกว่าบริษัท ผู้จัดการดังๆ อย่าง Buffet, Soros, Bill Gross, Marc Faber คนจำชื่อได้มากกว่าบริษัทหรือกองที่เขาดูเสียอีก

    ที่นี้มาถึงประเด็นสำคัญ คือ “ผลตอบแทนในอดีต” จะดูในช่วงเวลาไหนดี 6 เดือน 1 ปี 3 ปี หรือ 5 ปี อันนี้สมิทธ์ บอกว่า ไม่มีสูตรตายตัว หลายสำนักบอกต้องดูยาวๆ แต่ถ้าเปรียบกับการคัดเลือกหลักทรัพย์หรือหุ้น นักวิเคราะห์จะให้น้ำหนักปัจจุบันมากกว่าอดีตที่นานมาแล้ว เช่น เรามักจะให้น้ำหนักผลประกอบการไตรมาสที่ผ่านมามากกว่าผลการดำเนินงานเมื่อ 3 ปีก่อน ในมุมมองของสมิทธ์ การเลือกหุ้นหรือกองทุน ก็สามารถนำหลักการดังกล่าวมาประยุกต์ใช้ได้ ไม่เชื่อก็ดูเรื่องใกล้ตัวเราเอง วันนี้ท่านอยากถือหุ้นบริษัท Apple, Samsung, Nokia หรือ Motorola เครื่อง Nokia เขาดี และทนมากเลยนะ เท่านี้ทุกคนคงพอเห็นภาพ

    สำหรับ “นโยบายการลงทุน” นั้นนับว่ามีความสำคัญมากที่สุด เพราะเป็นตัวบอกว่ากองนี้จะไปลงอะไร อย่างไร ตัวอย่างเช่น ถ้านโยบายกองบอกจะไปลงในหุ้นยุโรป ถ้าตลาดหุ้นยุโรปดีอย่างน้อยก็จะได้อานิสงส์ดีไปด้วย แต่ถ้าเรามองว่า ตลาดยุโรปจะไม่ดีก็ควรหลีกเลี่ยงกองดังกล่าว ถ้าเราไม่รู้ว่านโยบายกองไปลงอะไร ควรสอบถามให้ละเอียดก่อนตัดสินใจ อย่างที่ Warren Buffet กล่าวไว้ว่า “การลงทุนที่น่ากลัวที่สุด คือ การลงทุนในสิ่งที่เราไม่รู้”
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • kt01.png
      kt01.png
      ขนาดไฟล์:
      374.1 KB
      เปิดดู:
      75
    • kt02.png
      kt02.png
      ขนาดไฟล์:
      358.6 KB
      เปิดดู:
      69
  2. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
  3. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ธรรม นำชีวิต
    -https://www.facebook.com/groups/575474612474975/permalink/1151450491544048/-

    .......ที่ถ้ำเชียงดาวนี้ หลวงปู่แหวนได้พบเปรตตนหนึ่ง ซึ่งท่านได้กล่าวไว้ว่า

    “ ในระหว่างพรรษา วันหนึ่งประมาณ ๕ โมงเย็น ท่านกำลังเดินจงกรมอยู่ ก็มีเสียงดังโครมครามเหมือนกิ่งไม้ใหญ่หักลงมา จึงเหลียวไปดู กลายเป็นสัตว์ร่างใหญ่ร่างหนึ่งเอาไม้เกาะอยู่บนกิ่ง ห้อยหัวลงมา มีผมยาวรุงรัง เสียงร้องโหยหวน ท่านบอกว่าๆไม่นึกกลัว และไม่ได้สนใจ ยังคงเดินจงกรมต่อไป เมื่อร่างนั้นเห็นพระไม่สนใจ ก็หนีหายไป

    สองสามวันต่อมาก็ปรากฏอีก แต่พระก็เดินจงกรมโดยไม่สนใจ หลังจากนั้นจึงมาปรากฏตัวให้เห็นทุกเย็น
    แต่ไม่ได้เข้ามาใกล้พระ คงแสดงอาการเหมือนเดิมทุกครั้ง

    วันหนึ่ง ท่านได้กำหนดจิตถามไปว่า ที่มานั้นเขาต้องการอะไร ทีแรกเขาทำเฉยเหมือนไม่เข้าใจ จึงกำหนดจิตถามอีก เขาจึงบอกว่าต้องการมาขอส่วนบุญกำหนดจิตถามต่อไปว่า เขาเคยทำกรรมอะไรมา จึงต้องทุกข์ทรมานอยู่ในสภาพเช่นนี้

    เปรตเล่าถึงบุพกรรมของเขาว่า เขาเคยเป็นคนที่เชียงดาวนี้ มีอาชีพลักขโมยและปล้นเขากิน ก่อนไปปล้น เขาจะเอาดอกไม้ธูปเทียนไปขอพร และขอความคุ้มครองกับพระพุทธรูปองค์หนึ่งในถ้ำเอาทำอย่างนั้นทุกครั้ง และก็แคล้วคลาดตลอดมา

    อยู่มาวันหนึ่ง เขาไปขอพรพระพุทธรูปแล้วออกไปปล้นเช่นเคยบังเอิญเจ้าของรู้ตัวก่อน จึงเตรียมการต่อสู้ เขาถูกเจ้าของบ้านฟันบาดเจ็บสาหัส จึงหนีตายเอาตัวรอดมาได้ ด้วยความโมโหว่าพระไม่คุ้มครอง เขาจึงกลับไปที่ถ้ำแล้วเอาขวานทุบพระพุทธรูปจนคอหัก

    ขณะเดียวกันก็ยังคุมแค้นอยู่ ตั้งใจว่าบาดเจ็บหายแล้วจะกลับไปแก้แค้นข้าวของบ้านให้ได้ เผอิญบาดแผลที่ถูกฟันนั้นสาหัสมาก เขาจึงต้องตายในเวลาต่อมา วิญญาณเขาจึงต้องมาเป็นเปรตทนทุกข์ทรมานอยู่ที่เชียงดาวนี้ จึงได้พยายามมาขอส่วนบุญเพื่อให้พระท่านช่วยแผ่เมตตาให้จะได้คลายทุกข์ทรมานลงไปได้บ้างท่านเล่าว่า

    บุพกรรมของเปรตตนนั้นหนักมากเหลือเกินท่านได้รวบรวมจิตอุทิศบุญกุศลไปให้ ตั้งแต่นั้นมาร่างนั้นก็ไม่ปรากฏให้เห็นอีกแต่จะได้รับบุญกุศลเพียงใดขึ้นกับตัวเขาเอง ท่านบอกว่า เปรตตนนั้นเป็นเปรตสมัยใหม่เพราะใช้คำแทนตัวเองว่า “ผม” แต่เปรตตนอื่นๆ ที่หลวงปู่เคยพบมาจะใช้คำแทนตัวเองว่า “เรา” หรือ “ข้าพเจ้า” จึงนับว่าเปรตตนนี้เป็นเปรตสมัยใหม่

    บรรดาสัตว์ทั้งหลายนั้น เมื่อมีทุกข์มาถึงตัว มักจะไม่เห็นคุณของพระศาสนา มัวเมาประมาท ปล่อยกายปล่อยใจให้ประพฤติทุจริต ผิดศีลธรรมอยู่เป็นนิสัยเห็นผิดเป็นถูก เห็นกงจักรเป็นดอกบัว ต่อเมื่อได้รับทุกข์เข้า ที่พึ่งไม่มี นั่นแหละจึงได้คิดถึง พระ คิดถึงศาสนา แต่เวลาที่สายไปเสียแล้ว เรื่องความดีนั้นเราต้องทำอยู่เสมอ ให้เป็นที่อยู่ของจิตเป็นอารมณ์ของจิต ให้เป็นมรรคคือทางดำเนินไปของจิตมันจึงจะเห็นผลของความดี

    ไม่ใช่เวลาใกล้ตายจึงนิมนต์พระไปให้ศีล ให้ไปบอก พุทโธ หรือตายไปแล้วญาติจึงเคาะโลงบอกให้รับศีล เช่นนี้เป็นการกระทำที่ผิดหมด
    เหตุเพราะว่า คนเจ็บนั้นจิตมัวติดอยู่กับเวทนาไฉนจะมาสนใจใยดีศีลได้ เว้นแต่ผู้ที่มารักษาศีลมาเป็นปกติเท่านั้นจึงจะสามารถระลึกศีลของตัวได้ เพราะตนเองเคยทำมาจนเป็นอารมณ์ของจิตแล้วเท่านั้น

    แต่ส่วนมาก พอใกล้ตายแล้ว จึงมีผู้เตือนให้รักษาศีลยิ่งคนตายแล้วยิ่งไม่ต้องพูดถึง เพราะคนตายนั้นร่างกายกับจิตใจไม่รับรู้ใดๆแล้ว
    แต่ที่ทำมาก็ยังถือว่าเป็นเรื่องดี
    ตัวอย่างเช่น พระเทวทัตทำกรรมมาจนสุดท้ายถูกแผ่นดินสูบ เมื่อร่างลงไปถึงคาง จึงระลึกถึงความดีของพระพุทธเจ้าได้แล้วขอถวายคางเป็นพุทธบูชาพระเทวทัตยังมีสติระลึกได้ จึงพอมีผลดีอยู่บ้างในอนาคตแม้เปรตตนนั้นก็เหมือนกัน ตายไปแล้วจึงสำนึกได้มาขอส่วนบุญเมื่อตอนยังมีชีวิตอยู่เคยทำลายแม้กระทั่งพระพุทธรูปที่ตนเคารพนับถือ

    " การที่พระแผ่เมตตาให้ เขาจะได้รับหรือเปล่าก็ไม่รู้ สู้เราทำเองไม่ได้ เราทำให้ตัวเราเอง จะได้มากน้อยเท่าไรก็มีความปีติเอิบอิ่มมากเท่านั้น "

    (หลวงปู่แหวน สุจิณโณ)
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  4. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เทคนิคพิชิตหนี้บัตรเครดิต ฉบับมนุษย์เงินเดือน
    -http://money.sanook.com/410367/-

    จะดีกว่าไหม หากเรารู้ทันและรู้ทางด้วย “4 เทคนิคพิชิตหนี้บัตรเครดิต”

    เพื่อเอาชนะหนี้ของตัวเองให้ทันเวลา ดังนี้


    1เตรียมหลักฐานทางการเงินให้พร้อม

    หลายคนน่าจะเคยผ่านประสบการณ์การขออนุมัติ สินเชื่อจากธนาคารต่างๆ เพื่อนำเงินทุนที่ได้มา เติมเต็มความฝันของตนเอง แต่บางครั้งอาจมีทั้ง สมหวังและผิดหวัง เพราะธนาคารก็ต้องพิจารณา สถานะทางการเงินของผู้ขอสินเชื่ออย่างเข้มข้น เพื่อป้องกันการผิดนัดชำระหนี้จนเกิดหนี้เสีย ตามมาเช่นกัน

    2วางแผนจัดสรรรายได้-ค่าใช้จ่าย

    เริ่มต้นจากปรับพฤติกรรมการใช้จ่ายของตัวเอง หยุดใช้
    จ่ายในเรื่องที่ไม่จำเป็น จากนั้นจัดสรรเงินรายได้ให้เหมาะสม
    โดยแบ่งเป็นเงินก้อนแรกสำหรับค่าใช้จ่ายคงที่ต่างๆ เช่น
    ค่าผ่อนบ้าน ผ่อนรถประกันชีวิต เงินก้อนที่สองสำหรับ
    ค่าใช้จ่ายในชีวิตประจำวัน เช่น ค่าอาหาร ค่าเดินทาง เงินที่เหลือก้อนสุดท้ายนำไปใช้หนี้บัตรเครดิตโดยพยายามจ่ายให้ได้มากที่สุด และไม่ควรจ่ายเฉพาะยอดขั้นต่ำ เพราะจะทำให้เราไม่สามารถแก้ปัญหาหนี้ ในระยะยาวได้

    3ทยอยใช้หนี้ให้เร็วที่สุด

    โดยเฉพาะหนี้บัตรเครดิตที่มีค่าใช้จ่ายแพงที่สุดก่อน โดยเราต้องทราบว่าดอกเบี้ยบัตรเครดิตมีอัตราสูงสุดถึง 20% ต่อปี และยอดหนี้จะเพิ่มขึ้นได้ตามระยะเวลาที่เป็นหนี้ การที่เราไม่จ่ายชำระหนี้บัตรเครดิตให้เร็ว ก็จะทำให้เกิดภาระหนี้จากดอกเบี้ย ที่งอกเงยจนบางครั้งกลายเป็นดินพอกหางหมู จนเกิดความท้อแท้ไม่รู้ว่าจะชำระหนี้อย่างไรให้หมดได้ซักที

    ตัวอย่าง : การคำนวณดอกเบี้ยบัตรเครดิต เมื่อชำระค่าสินค้าและบริการไม่เต็มจำนวน
    หากเรารูดบัตรเครดิตซื้อสินค้า เมื่อวันที่ 1 เมษายน จำนวน 20,000 บาท โดยสรุปยอดรายการทุกวันที่ 10 ของเดือน และมีกำหนดชำระทุกวันที่ 30 ของเดือน ทำให้วันที่ 10 เมษายน ธนาคารสรุปยอดเป็นจำนวนเงิน 20,000 บาท เราจึงนำเงินไปชำระขั้นต่ำจำนวน 2,000 บาทในวันที่ 30 เมษายนซึ่งเป็นวันครบกำหนดชำระ

    วิธีคำนวณดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียม
    = (ยอดรายการใช้จ่าย x อัตราดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมต่อปี x จำนวนวันในงวด)/จำนวนวันใน 1 ปี

    จะเห็นว่าถึงแม้เราจะจ่ายเงินครบตามใบสรุปยอดรายการไปแล้วเมื่อวันที่ 30 พฤษภาคม แต่ก็จะยังมีดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมค้างจากวันที่ 11 พฤษภาคมถึงวันที่ 29 พฤษภาคม (วันก่อนกำหนดชำระเงิน 30 พ.ค.) ดังนั้น สถาบันการเงินจึงมีการแจ้งยอดรายการอีกครั้ง ในวันที่ 10 มิถุนายนอีกจำนวน 187.40 บาท

    ดังนั้น ทางที่ดีที่สุดก็คือ ควรชำระบัตรเครดิตยอดเต็มจำนวนทุกงวด เพื่อไม่ให้ถูกคิดดอกเบี้ยและค่าธรรมเนียมตั้งแต่วันที่ ใช้บัตรจนถึงก่อนวันที่เราชำระเงิน แต่หากไม่มีความสามารถจริงๆ อย่างน้อยก็ควรชำระยอดขั้นต่ำ เพราะหากผิดนัด ชำระหนี้เกิน 3 เดือน นับจากวันครบกำหนดชำระ ธนาคารจะมิสิทธิยกเลิกการใช้บัตรเครดิตของเราได้ทันที และหากมีการ ทวงถามการชำระอยู่เรื่อยๆ อาจต้องติด Black list หรือถูกฟ้องร้อง จนไม่สามารถทำธุรกรรมการเงินได้อีก


    4เจรจากับธนาคารเจ้าหนี้
    หากมีปัญหาหนี้บัตรเครดิตมากเกินกว่าที่จะชำระหมดได้ ให้ลองติดต่อเข้าไป พูดคุยกับทางธนาคารเพื่อหาทางประนอมหนี้ โดยตกลงกันว่าวิธีการชำระเงิน แบบไหนที่จะทำให้เราสามารถชำระหนี้ได้ อย่าปล่อยให้เนิ่นนานเพราะธนาคาร อาจจะส่งฟ้องศาลจนเกิดผลกระทบในด้านต่างๆ ตามมา

    หากเราพลาดเป็นหนี้บัตรเครดิตไปแล้ว สิ่งแรกที่จะต้องดำเนินการก็คือ การตั้งเป้าหมายว่าจะไม่เป็นหนี้ หยุดใช้บัตรเครดิตมาสร้างหนี้เพิ่ม และวางแผนการเงินให้ดีว่าจะชำระหนี้บัตรเครดิตอย่างไร หากพบปัญหาและอุปสรรคในหนี้บัตรเครดิต ก็ควรพูดคุยกับทางธนาคาร เพื่อหาทางออกร่วมกันอย่างเป็นระบบจนทำให้เราสามารถปลดหนี้ทั้งหมดได้ในที่สุด

    ขอบคุณข้อมูลและภาพจาก -www.set.or.th-
    -http://www.set.or.th/set/financialplanning/lifeevent.do?name=lifeevent_detail_debt-2&innerMenuId=12-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • tns01.png
      tns01.png
      ขนาดไฟล์:
      296.5 KB
      เปิดดู:
      59
    • tns02.png
      tns02.png
      ขนาดไฟล์:
      454.1 KB
      เปิดดู:
      67
  5. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    10 เมนูไข่ ไร้เนื้อสัตว์ ทำง่าย ๆ อิ่มปากอิ่มท้องสไตล์เด็กหอ
    -http://cooking.kapook.com/view122342.html-

    ใกล้สิ้นเดือนเข้ามาทุกทีแล้ว แง้มตู้เย็นก็เจอแต่ไข่ไก่เรียงหน้า อยากจะทำเมนูอาหารง่าย ๆ ก็คิดไม่ออกว่าจะทำอะไรได้บ้างสำหรับชาวหออย่างเรา ถ้าคิดไม่ออกบอกกระปุก ! เราขอแนะนำ 10 เมนูไข่ สุดแนว อาหารจานไข่สุดสร้างสรรค์ ถึงจะไม่ใส่เนื้อสัตว์ แต่อิ่มท้อง และรับรองว่ารสชาติอร่อย เอาไปเลยคะแนนเต็ม 10 ค่ะ

    เมนูไข่ ของโปรดสำหรับใครหลายคน เราสามารถกินเมนูไข่ได้ทั้งในยามเงินสะพัดและยามชักหน้าไม่ถึงหลัง เนื่องด้วยหาซื้อง่าย ราคาไม่แพง และสามารถนำไข่มาทำอาหารได้หลากหลายเมนู ทั้งต้ม ยำ ทอด นึ่ง ฯลฯ วันนี้กระปุกดอทคอมขอนำเสนอ เมนูไข่แนว ๆ ง่าย ๆ สำหรับเด็กหอ หรือ มนุษย์คอนโด กับ 10 เมนูไข่สุดแนว สูตรจาก เฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา ที่ได้รวบรวมสูตรเด็ดเคล็ดลับเมนูไข่ฟิวชั่น ที่หาทานได้ที่นี่ที่เดียว รับรองว่าจะเป็นประโยชน์อย่างมากในช่วงสิ้นเดือน

    10 เมนูไข่สุดแนว อร่อยสู้พิษเศรษฐกิจ part 1 By... เนรัญชลา จาก เฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา

    สวัสดีค่ะทุกท่าน วันนี้เนรัญชลากลับมาอีกครั้งพร้อมกับ 10 สูตรเมนูแบบไข่ ๆ ที่ไม่ใส่เนื้อสัตว์ ซึ่งเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่ไม่ชอบรับประทานเนื้อสัตว์ หรือผู้ที่มีงบประมาณค่าอาหารจำกัดแต่อยากกินแบบอิ่มปากอิ่มท้อง หรือน้อง ๆ เหล่าเด็กหอจะนำไปใช้บ้างก็ยิ่งดีค่ะ เพราะเมนูเหล่านี้จะสามารถช่วยยืดอายุเงินในกระเป๋าของคุณที่มีอยู่ให้สามารถใช้ได้ยาวนานขึ้นอีกนิด อยู่รวมกันหลาย ๆ คนกับเพื่อนก็ยังหารงบกันได้อีก เพียงแค่มีเครื่องปรุงอยู่ในครัวกับไข่ แค่นี้คุณก็สามารถทำเมนูอร่อย ๆ ได้แล้ว

    โดยอยากจะขอย้ำว่าสูตรอาหารทุกสูตรที่ดิฉันแกะขึ้นมานั้นสามารถนำไปทำรับประทานได้จริง ๆ ไม่มีมั่วสูตรอย่างแน่นอนค่ะ และคงต้องขออภัยเป็นอย่างสูง หากภาพอาหารอาจจะไม่ค่อยสวยงามเท่าใดนัก เนื่องจากดิฉันมักจะถ่ายภาพในมุมมองที่ตัวเองชอบ แกะสูตรเอง ทำเอง ถ่ายรูปเองทุกภาพด้วยใจรัก ไม่ได้มีการใช้ช่างภาพหรือฟู้ดสไตลิสต์แต่อย่างใด หากกระทู้นี้เป็นที่ถูกใจก็อย่าลืมกดโหวตหรือคอมเม้นท์ให้กำลังใจกันบ้างนะคะ หรือจะเข้าไปกดไลค์ที่ เฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา เพื่อติดตามเก็บสูตรอาหารที่ดิฉันแกะสูตรนำมาแบ่งปันให้ก็ได้ เนรัญชลาจะได้มีแรงฮึดและมีกำลังใจแกะสูตรเมนูไข่ Part 2 หรือกระทู้เมนูอื่น ๆ ขึ้นมาแบ่งปันให้อีกค่ะ

    10 เมนูไข่ ไร้เนื้อสัตว์ ทำง่าย ๆ อิ่มปากอิ่มท้องสไตล์เด็กหอ

    1. พล่าไข่เจียว

    หลายคนอาจเคยกินพล่ากุ้ง พล่าหมู พล่าเนื้อ พล่าปลาหมึก ลองเปลี่ยนจากเนื้อสัตว์มาเป็นพล่าไข่เจียวดูบ้างสิคะ มีกลิ่นหอมของสมุนไพรอย่างตะไคร้ ใบมะกรูด ใส่น้ำพริกเผาเข้าไปเพิ่มรสเผ็ดหวาน ตบท้ายด้วยความเปรี้ยวของมะนาว เวลากินต้องผสมคลุกเคล้าให้เข้ากัน เสิร์ฟกับผักสด ข้าวเหนียว หรือข้าวสวยก็น่ากินไม่หยอกหรอกค่ะ

    ส่วนผสม (สัดส่วนนี้สามารถรับประทานได้ 2 ท่าน)

    • ไข่ไก่ 2 ฟอง
    • หอมแดงซอย 40 กรัม
    • ตะไคร้ซอยบาง ๆ 1 ต้น
    • ใบมะกรูดซอย 1 ใบ
    • พริกขี้หนูแดงซอย (เผ็ดตามชอบ)
    • ต้นหอมและผักชีซอยรวมกัน 1 ช้อนโต๊ะ
    • ใบสะระแหน่ 5 กรัม
    • น้ำพริกเผาต้มยำ 1 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา + 1/2 ช้อนชา
    • น้ำมะนาว 1 ช้อนโต๊ะ + 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำมันพืช (สำหรับทอดไข่)

    วิธีทำ

    • 1. ตอกไข่ไก่ใส่ชามตีให้เข้ากัน นำน้ำมันพืชใส่กระทะตั้งไฟให้ร้อน นำไข่ลงเจียวให้ผิวทั้งสองด้านเหลืองกรอบ จากนั้นนำขึ้นมาตัดให้เป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำพักรอไว้

    • 2. ผสมน้ำพริกเผาต้มยำกับน้ำปลา น้ำตาลทราย และน้ำมะนาว คนให้เข้ากันดี ต่อมาจึงใส่ไข่เจียว หอมแดง ตะไคร้ ใบมะกรูด พริกขี้หนู ต้นหอม และผักชีซอย ลงไปคลุกเคล้าเบา ๆ แค่พอเข้ากัน ตักใส่จานแล้วโรยด้วยใบสะระแหน่

    +++++++++++++++++++++

    10 เมนูไข่ ไร้เนื้อสัตว์ ทำง่าย ๆ อิ่มปากอิ่มท้องสไตล์เด็กหอ

    2. พะโล้ไข่ใส่หน่อไม้

    เดินไปร้านข้าวแกงแทบทุกร้านต้องมีเมนูไข่พะโล้ ใส่เต้าหู้ หมูสามชั้น หอมเครื่องเทศ เริ่มเบื่อกันแล้วใช่ไหมคะ เด็กหอทั้งหลายหากคิดทำเองลองทำแบบไม่ใส่เนื้อสัตว์ นั่นคือ เมนูไข่พะโล้ใส่หน่อไม้น่าสนใจใช่ย่อยนะคะ ใส่เต้าหู้พวงเพิ่มความหนุบหนับเคี้ยวเพลิน แถมยังมีหน่อไม้ไผ่รวกมาเพิ่มความกรุบกรอบ ต้มหม้อหนึ่งกินได้หลายวันเลยเชียวค่ะ

    ส่วนผสม (สัดส่วนนี้สามารถรับประทานได้ 5 ท่าน)

    • ไข่เป็ดต้ม 5 ฟอง
    • เต้าหู้พวงสำหรับทำพะโล้ 20 ชิ้น
    • หน่อไม้ไผ่รวกหั่นแฉลบ 1 ถ้วย
    • ผักชีหั่นหยาบ 10 กรัม
    • รากผักชี 5 กรัม
    • กระเทียมแกะเปลือกแล้ว 5 กรัม
    • พริกไทยขาว 20 เม็ด
    • อบเชย 5 กรัม
    • โปยกั๊ก 2 ดอก
    • ผงพะโล้ 3/4 ช้อนชา
    • น้ำตาลปี๊บ 60 กรัม
    • ซีอิ๊วดำ 1 ช้อนชา
    • ซีอิ๊วขาวสูตร 1 จำนวน 4 ช้อนชา
    • ซอสปรุงรส 2 ช้อนชา
    • ซอสหอยนางรม 2 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำสต๊อกผักหรือน้ำเปล่า 8 ถ้วย
    • น้ำมันถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ
    • เกลือป่น 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำเปล่าสำหรับต้มและล้างหน่อไม้

    วิธีทำ

    • 1. นำน้ำเปล่าใส่หม้อตั้งไฟ ใส่เกลือป่นลงไป จากนั้นใส่หน่อไม้ลงไปต้ม นับเวลาหลังจากน้ำเดือด 5 นาทีจึงยกลงกรองผ่านกระชอนเอาแต่หน่อไม้ จากนั้นนำหน่อไม้มาล้างน้ำธรรมดาสัก 2 น้ำให้หมดความเค็ม แล้วสะเด็ดน้ำพักรอไว้

    • 2. โขลกรากผักชี กระเทียม และพริกไทยขาวเข้าด้วยกันให้ละเอียด พักรอไว้

    • 3. นำกระทะขึ้นตั้งไฟอ่อน ใส่อบเชยและโป๊ยกั๊กลงไปคั่วให้พอมีกลิ่นหอม แล้วจึงใส่น้ำมันถั่วเหลืองลงไป ใส่รากผักชี กระเทียม และพริกไทยโขลกลงไปผัดให้หอม ใส่น้ำตาลปี๊บ ซีอิ๊วดำ ซีอิ๊วขาว ซอสปรุงรส และซอสหอยนางรม เคี่ยวจนน้ำตาลปี๊บละลายก็ใช้ได้ แบ่งน้ำสต๊อกใส่ลงไป 1 ถ้วยตวง คนให้เข้ากัน เทใส่ลงในหม้อที่จะใช้ต้มพะโล้

    • 4. เติมน้ำสต๊อกส่วนที่เหลือลงไป ตามด้วยเต้าหู้ทอด ไข่ต้ม นำหม้อพะโล้ขึ้นตั้งไฟกลางให้เดือด หรี่ไฟลงแล้วปิดฝาเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนกระทั่งเต้าหู้นิ่มและไข่มีสีน้ำตาลอ่อนจึงใส่หน่อไม้ ปิดฝาหม้อเคี่ยวต่อไปอีกสักพักกระทั่งน้ำงวดและรสชาติได้ที่จึงปิดไฟ ใส่ผักชี คนให้พอเข้ากันก็พร้อมตักเสิร์ฟ

    +++++++++++++++++++

    10 เมนูไข่ ไร้เนื้อสัตว์ ทำง่าย ๆ อิ่มปากอิ่มท้องสไตล์เด็กหอ

    3. ไข่น้ำแบบดั้งเดิม

    ใครอยากกินต้มจืดต้องลอง เมนูไข่น้ำแบบดั้งเดิมกินแล้วคล่องคอดีชะมัด แปลงกายไข่เจียวหั่นเป็นชิ้นพอคำมาใส่น้ำแกง ปรุงรสด้วยน้ำปลา และพริกไทยเล็กน้อย โอ๊ย… ถ้าได้กินกับข้าวสวยร้อน ๆ ฟินเว่อร์ กินแล้วไม่ติดคออีกต่างหากนะขอบอก

    ส่วนผสม (สัดส่วนนี้สามารถรับประทานได้ 2 ท่าน)

    • ไข่ไก่ 2 ฟอง
    • ต้นหอมหั่นท่อน 10 กรัม
    • น้ำสต๊อกผักหรือน้ำเปล่า 1 ถ้วย + 1/2 ถ้วย
    • น้ำปลา 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำมันถั่วเหลือง 1 ช้อนโต๊ะ
    • พริกไทย 1/4 ช้อนชา

    วิธีทำ

    • 1. ตอกไข่ไก่ใส่ชามตีให้เข้ากัน นำน้ำมันถั่วเหลืองใส่กระทะกลิ้งให้ทั่วกระทะ ตั้งไฟให้ร้อน พอกระทะร้อนให้ใส่ไข่ลงทอดให้เหลืองทั้งสองด้าน จากนั้นใช้ตะหลิวยีไข่ออกเป็นชิ้นพอคำ

    • 2. ใส่น้ำสต๊อกหรือน้ำเปล่าลงไป พอเดือดให้ปรุงรสด้วยน้ำปลา และพริกไทย สุดท้ายใส่ต้นหอมลงไปคนให้เข้ากันแล้วยกลงจากเตา

    +++++++++++++++++++++

    10 เมนูไข่ ไร้เนื้อสัตว์ ทำง่าย ๆ อิ่มปากอิ่มท้องสไตล์เด็กหอ

    4. ไข่คนชีสสไตล์รัสเซีย

    เอาใจคนรักชีสด้วย เมนูไข่คนชีสสไตล์รัสเซีย จับชีสและไข่มาผสมเข้าคู่กันได้อย่างลงตัว ตัดเลี่ยนด้วยหอมใหญ่ มะเขือเทศ และพาร์สลีย์ ปรุงรสด้วยเกลือป่นและพริกไทย ทำง่าย ๆ แถมยังกินง่ายด้วย เพราะไข่ถูกยีเป็นชิ้นเล็ก ๆ แล้ว จะกินเพียว ๆ ก็อร่อย หรือจะทำใส่มาม่าต้มยำกุ้งก็ได้ค่ะ รสแซ่บหน่อยเหมาะกับคนไทย

    ส่วนผสม (สัดส่วนนี้สามารถรับประทานได้ 2 ท่าน)

    • ไข่ไก่ 3 ฟอง
    • นมสด 1/3 ถ้วยตวง
    • มอสซาเรลลาชีสขูด 60 กรัม
    • หอมใหญ่สับหยาบ 50 กรัม
    • มะเขือเทศหั่นเต๋าขนาดเล็ก 40 กรัม
    • พาร์สลีย์สับ 2 ช้อนโต๊ะ
    • เนยจืด 2 ช้อนโต๊ะ
    • พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา
    • เกลือป่น 1/4 ช้อนชา

    วิธีทำ

    • 1. ตอกไข่ใส่ชาม เทนมสดตามลงไป ปรุงรสด้วยเกลือป่นและพริกไทยป่นตีให้เข้ากัน จากนั้นใส่หอมใหญ่ มะเขือเทศ และแบ่งชีสมอสซาเรลลาใส่ลงไป 30 กรัม คนแค่ให้พอเข้ากัน

    • 2. ตั้งกระทะใช้ไฟร้อนปานกลาง ใส่เนยลงไป พอเนยเริ่มร้อนจึงใส่ไข่ ผัดคนให้เข้ากันจนไข่สุกตามต้องการ จากนั้นจึงใส่พาร์สเลย์สับลงไปคลุกเคล้าแล้วยกลง ตักใส่จานแล้วรีบโรยหน้าด้วยมอสซาเรลลาชีสขูดที่เหลือ เสิร์ฟในขณะที่ยังร้อน ๆ

    +++++++++++++++

    10 เมนูไข่ ไร้เนื้อสัตว์ ทำง่าย ๆ อิ่มปากอิ่มท้องสไตล์เด็กหอ

    5. ต้มข่าไข่นึ่ง

    ต้มข่าไก่กินจนเบื่อแทบจะขัน เอก อี เอ้กเอ้ก แข่งกับไก่ได้แล้ว ไม่อยากกินไก่แล้วลองทำเมนูต้มข่าไข่นึ่ง เมนูไข่สุดแนวที่กินได้อร่อยด้วย ถ้าไม่เชื่อดูจากภาพได้เลย กลืนน้ำลายกันอยู่ล่ะสิ แค่มีไข่เป็ด กะทิ เห็ดฟาง และเครื่องต้มยำ เพียงเท่านี้เด็กหอก็อิ่มไปอีกมื้อ

    ส่วนผสมไข่นึ่ง (สัดส่วนนี้สามารถรับประทานได้ 4 ท่าน)

    • ไข่เป็ด 5 ฟอง
    • น้ำปลาอย่างดี 1/2 ช้อนชา

    วิธีทำ

    • ตีส่วนผสมทั้งหมดให้เข้ากัน จากนั้นนำไปนึ่งจนสุก ใช้เวลานึ่งโดยนับจากหลังน้ำเดือดประมาณ 15 นาที พักทิ้งไว้พออุ่น ๆ
    • ใช้ช้อนแซะไข่ออกจากภาชนะ หั่นเป็นชิ้นสี่เหลี่ยมพอดีคำ

    ส่วนผสม ต้มข่า

    • ไข่นึ่งที่เตรียมไว้
    • กะทิกล่องขนาด 250 กรัม 1 กล่อง
    • เห็ดฟางผ่าครึ่ง 150 กรัม
    • ข่า 7 แว่น
    • ตะไคร้ทุบหั่นท่อน 1 ต้น
    • ใบมะกรูดฉีก 3 ใบ
    • หอมแดงแกะเปลือกทุบพอแตก 2 หัว
    • ผักชีฝรั่งหั่น 10 กรัม
    • ผักชีไทยหั่น 5 กรัม
    • น้ำปลาดี 3 ช้อนโต๊ะ (ความเค็มปรับได้แล้วแต่ชอบ)
    • น้ำมะนาว 2 ช้อนโต๊ะ + 1/2 ช้อนโต๊ะ (ความเปรี้ยวปรับได้แล้วแต่ชอบ)
    • น้ำมันน้ำพริกเผา 2 ช้อนชา
    • พริกขี้หนูแห้งทอด 8 เม็ด
    • น้ำสต๊อกผักหรือน้ำเปล่า 2 ถ้วยตวง + 1/2 ถ้วยตวง

    วิธีทำ

    • 1. ใส่น้ำสต๊อกและกะทิลงในหม้อ นำขึ้นตั้งไฟกลาง ใส่ข่า ตะไคร้ และหอมแดงลงไปต้มให้เดือด ใส่ไข่นึ่งลงไปและรอให้เดือดอีกครั้ง หรี่ไฟลงเหลือไฟอ่อน ทิ้งไว้ให้เดือดสัก 5 นาที

    • 2. เร่งไฟกลางแล้วจึงปรุงรสด้วยน้ำปลา ใส่น้ำมันพริกเผาลงไปช่วยให้หอมและมีสีสวย ตามด้วยเห็ดฟางและใบมะกรูด รอให้เดือดอีกครั้งจึงปิดไฟ

    • 3. หลังปิดไฟให้ใส่ผักชีฝรั่ง ผักชีไทย และน้ำมะนาวลงไปคนให้เข้ากัน เวลาเสิร์ฟจึงค่อยโรยพริกแห้งทอด

    ++++++++++++++++++

    10 เมนูไข่ ไร้เนื้อสัตว์ ทำง่าย ๆ อิ่มปากอิ่มท้องสไตล์เด็กหอ

    6. ผัดกะเพราไข่ใส่หน่อไม้

    เบื่อไหม ? เมนูกะเพราหมูสับ กะเพราไก่ กะเพราปลากระป๋อง ทำวนเวียนซ้ำ ๆ ไปมาแบบนี้ทุกวัน แล้วทำไมไม่เอาไข่มาทำกะเพราบ้างล่ะคะ โปรตีนแน่น แถมอิ่มท้องในราคาเบา ๆ ผัดกะเพราไข่ใส่หน่อไม้ก็ไม่เลวนะคะ ส่วนผสมไม่เยอะ ใช้เวลาแป๊บเดียว รสเผ็ดเด็ดโดนคนชอบซี้ด กินกับข้าวสวยร้อน ๆ อร่อยเหาะเลยค่ะ

    ส่วนผสม (สัดส่วนนี้สามารถรับประทานได้ 3 ท่าน)

    • หน่อไม้เส้น 200 กรัม
    • ไข่ไก่ 3 ฟอง
    • พริกขี้หนูแดงเด็ดขั้ว 8 เม็ด (หรืออาจใส่เผ็ดตามชอบ)
    • กระเทียมจีนแกะเปลือก 2 กลีบ
    • ใบกะเพรา 25 กรัม
    • น้ำเปล่า 1/2 ถ้วยตวง
    • ซอสหอยนางรม 1 ช้อนโต๊ะ
    • ซีอิ๊วขาว 1 ช้อนชา
    • ซีอิ๊วดำหวาน 1/4 ช้อนชา
    • ซอสปรุงรส 1/2 ช้อนชา
    • น้ำปลา 2 ช้อนชา
    • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
    • น้ำมันสำหรับผัด 2 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ

    • 1. โขลกพริกขี้หนูกับกระเทียมให้ละเอียดรอไว้

    • 2. นำกระทะใส่น้ำมันตั้งไฟกลางรอให้ร้อน ตอกไข่ลงไปแล้วผัดคนให้สุก ใส่พริกขี้หนูกับกระเทียมโขลกลงไปผัดเข้าด้วยกันให้หอม

    • 3. พอพริกเริ่มมีกลิ่นฉุนจึงใส่หน่อไม้ ที่ล้างสะอาดแล้วลงไป เติมน้ำเปล่าเล็กน้อย และปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว น้ำปลา ซอสปรุงรส ซอสหอยนางรม เติมสีสันไม่ให้จืดชืดด้วยซีอิ๊วดำหวาน ตัดรสชาติให้กลมกล่อมด้วยน้ำตาลทรายเล็กน้อย ผัดคลุกเคล้าให้เข้ากันจนน้ำแห้งจึงใส่ใบกะเพราลงไปผัดให้หอมแล้วปิดไฟ

    เมนูนี้ต้องผัดแบบแห้ง ๆ ไม่ให้มีน้ำนะคะ แต่การที่เราใส่น้ำลงไปในตอนแรกก็เพื่อให้น้ำนำพารสชาติของเครื่องปรุงเข้าถึงเนื้อของหน่อไม้และไข่ที่มีรสจืดได้มากที่สุด


    +++++++++++++++++++

    10 เมนูไข่ ไร้เนื้อสัตว์ ทำง่าย ๆ อิ่มปากอิ่มท้องสไตล์เด็กหอ

    7. ข้าวหน้าไข่ผัดซีอิ๊วญี่ปุ่น

    ไม่น่าเชื่อก็ต้องเชื่อว่า ไข่ไก่ฟองเล็ก ๆ ราคาไม่แรงจะสามารถแปลงโฉมเป็นเมนูอาหารสไตล์ญี่ปุ่นถูกปากคนไทยได้เช่นกันนะคะ กับเมนูข้าวหน้าไข่ผัดซีอิ๊วญี่ปุ่น เพื่อน ๆ อาจไม่เคยได้ยินชื่อ แต่รับรองว่าอร่อยชัวร์ มันคือไข่เจียวปรุงรสด้วยโชยุ นำมาโปะบนข้าวสวย โรยสาหร่ายเส้น กินคู่กับสลัดผักราดมายองเนสลงไป เพียงเท่านี้ก็เรียบร้อย หน้าตาดูดี ทำง่าย ๆ เหมาะเป็นอาหารสำหรับเด็กหอเลยค่ะ

    ส่วนผสม (สัดส่วนนี้สามารถรับประทานได้ 1 ท่าน)

    • ไข่ไก่ 2 ฟอง
    • ต้นหอมซอย 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • สาหร่ายเส้น (สำหรับโรยข้าวตามชอบ)
    • มายองเนส ตามชอบ
    • โชยุ (ทาคูมิ) 1 ช้อนโต๊ะ
    • น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
    • งาขาว 1/2 ช้อนชา
    • เหล้ามิริน 2 ช้อนชา (ไม่ใส่ก็ได้)
    • น้ำมันพืชสำหรับทอด 2 ช้อนชา
    • น้ำสต๊อกผักหรือน้ำเปล่า 1/4 ถ้วย
    • ผักสดสำหรับรับประทานคู่แก้เลี่ยน ได้แก่ ผักกาดหอม หอมใหญ่สไลซ์ แครอทซอยเป็นเส้น และมะเขือเทศ

    วิธีทำ

    • 1. ตอกไข่ไก่ใส่ชามตีให้เข้ากัน จากนั้นนำน้ำมันใส่กระทะตั้งไฟกลาง พอน้ำมันพืชร้อนจึงใส่ไข่ลงไป คนไข่ให้แตกจากกันอย่าให้เป็นแผ่น

    • 2. เติมน้ำสต๊อกลงไปในขณะที่ไข่ยังไม่สุกดี ใส่งาขาว ปรุงรสด้วยเหล้ามิริน โชยุ กับน้ำตาลทรายเล็กน้อย ผัดให้เข้ากันและน้ำงวดลงเหลือขลุกขลิก ปิดไฟและตักราดลงบนข้าวสวยร้อน ๆ โรยหน้าด้วยต้นหอมซอยกับสาหร่ายเส้น รับประทานคู่กับผักสลัดสด ๆ และราดด้วยมายองเนสชนิดเปรี้ยวเข้ากันได้ดีค่ะ

    +++++++++++++++++++

    10 เมนูไข่ ไร้เนื้อสัตว์ ทำง่าย ๆ อิ่มปากอิ่มท้องสไตล์เด็กหอ

    8. ไข่ม้วนลุยสวน

    ซูชิก็ซูชิเถอะ ถ้าได้ลองมากินอาหารกลิ่นอายไทยผสมญี่ปุ่น นั่นคือ ไข่ม้วนลุยสวนสักคำแล้วจะลืมซูชิไปเลย ทำง่าย ๆ แค่เพียงมีเวลาพิถีพิถันในการม้วนไข่ และหั่นเป็นคำ ๆ เท่านั้นเองค่ะ แถมไส้ยังเต็มเปี่ยมไปด้วยวิตามินจากผัก นำไปจิ้มกับน้ำจิ้มลุยสวน 3 รส เพียงเท่านี้ก็ได้เมนูไข่สุขภาพดีแล้วค่ะ

    ส่วนผสมไข่ม้วน (สัดส่วนนี้สามารถรับประทานได้ 2 ท่าน)

    • ไข่ไก่ 5 ฟอง
    • ผักกาดหอม
    • แครอทซอยเป็นเส้น
    • ใบโหระพา
    • ผักชีฝรั่ง
    • กะหล่ำปลีซอยฝอย
    • น้ำมันพืชสำหรับทอด 1 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ

    • 1. ตอกไข่ใส่ชามตีให้เข้ากัน จากนั้นตั้งกระทะใช้ไฟกลางใส่น้ำมันพืชลงไป ใช้ตะหลิวตักน้ำมันทาให้ทั่วกระทะ พอกระทะร้อนแล้วจึงเทไข่ที่ตีไว้ลงไปกลิ้งให้เป็นแผ่นบางใหญ่ ทอดให้สุกเหลืองทั้งสองด้าน จากนั้นจึงนำขึ้นมาพักทิ้งไว้ให้เย็น

    • 2. นำผักทั้งหมดวางเรียงซ้อนกันจากนั้นม้วนให้แน่น ตัดเป็นคำ ๆ จัดลงจาน รับประทานกับน้ำจิ้ม

    ส่วนผสมน้ำจิ้มไข่ม้วนลุยสวน

    • พริกขี้หนูเขียวหรือแดงก็ได้ 10 เม็ด
    • กระเทียมจีนแกะเปลือกซอย 2 กลีบ
    • ใบโหระพา 30 กรัม
    • น้ำต้มสุก 1/4 ถ้วยตวง
    • เกลือป่น 1 ช้อนชา
    • น้ำตาลปี๊บ 50 กรัม
    • น้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ

    วิธีทำ

    • นำส่วนผสมน้ำจิ้มทั้งหมดใส่เครื่องปั่น ปั่นทั้งหมดให้ละเอียดเข้ากัน ชิมรสดู หากขาดเหลืออะไรก็ให้ปรับเอาตามชอบ

    +++++++++++++++++++++

    10 เมนูไข่ ไร้เนื้อสัตว์ ทำง่าย ๆ อิ่มปากอิ่มท้องสไตล์เด็กหอ

    9. ต้มซุปไข่น้ำ

    ต้มซุปไข่น้ำ เมนูไข่น้ำที่เพิ่มความอิ่มขึ้นอีกขั้น โดยใส่มันฝรั่ง หอมใหญ่ มะเขือเทศลงไป นอกจากเพิ่มสีสันแล้ว ยังได้รสหวานจากหอมใหญ่อีกด้วย ยิ่งถ้าต้มผักให้เปื่อยนุ่มเท่าไรเวลากินเข้าไปแทบละลายในปาก จะกินเพียว ๆ หรือกินกับข้าวสวยก็อร่อยเหมือนกันค่ะ

    ส่วนผสม (สัดส่วนนี้สามารถรับประทานได้ 4 ท่าน)

    • ไข่ไก่ 3 ฟอง
    • มันฝรั่งปอกเปลือกหั่นเป็นชิ้นพอคำ 100 กรัม
    • หอมใหญ่หั่นชิ้นสี่เหลี่ยมใหญ่ 50 กรัม
    • มะเขือเทศราชินี 50 กรัม
    • ขึ้นฉ่ายหั่นเป็นท่อน 30 กรัม
    • น้ำสต๊อกผักหรือน้ำเปล่า 1 ลิตร
    • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
    • ซีอิ๊วขาว 3 ช้อนชา
    • พริกไทยขาวบุบพอแตก 10 เม็ด
    • น้ำมันพืช (สำหรับทอด)

    วิธีทำ

    • 1. ตอกไข่ไก่ใส่ชามตีให้เข้ากัน นำน้ำมันพืชใส่กระทะตั้งไฟให้ร้อน นำเอาไข่ลงเจียวให้หอมเหลือง แต่ระวังอย่าให้ไข่กรอบ นำขึ้นสะเด็ดน้ำมัน แล้วหั่นเป็นชิ้นพอคำพักรอไว้

    • 2. นำน้ำสต๊อกผักหรือน้ำเปล่าใส่หม้อตั้งไฟ ใส่มันฝรั่งและเกลือป่นลงไปต้มให้เดือด ต้มจนมันฝรั่งสุกดี แล้วจึงใส่มะเขือเทศ หัวหอมใหญ่ ลงไปต้มให้เปื่อยนุ่ม

    • 3. พอผักทั้งหมดเปื่อยนุ่มดีแล้ว ให้ปรุงรสด้วยซีอิ๊วขาว พริกไทย และขึ้นฉ่าย ต้มต่อไปอีกสักพัก จนรสชาติชิมแล้วได้ที่พอดีจึงใส่ไข่ที่เจียวไว้ลงไป ปิดฝารอให้เดือดอีกครั้งจึงยกลง

    ++++++++++++++++++++

    10 เมนูไข่ ไร้เนื้อสัตว์ ทำง่าย ๆ อิ่มปากอิ่มท้องสไตล์เด็กหอ

    10. แกงกะหรี่ไข่

    ความเข้มข้นและความหอมเครื่องเทศแกงกะหรี่ทำให้หลายคนติดใจใช่ไหมคะ ลองเปลี่ยนจากแกงกะหรี่ไก่หรือหมู มาเป็นแกงกะหรี่ไข่ดูบ้างสิ แกงกะหรี่ไข่เนื้อเนียนใส่แครอท มันฝรั่ง หอมใหญ่ เวลากินคลุกเคล้ากับข้าวสวยจะได้รสชาติมากยิ่งขึ้น แต่มื้อนี้ขอแอบเสริมด้วยไก่ทอดสักน่องเพิ่มความฟิน

    ส่วนผสม (สัดส่วนนี้สามารถรับประทานได้ 1 ท่าน)

    • ไข่ไก่ 1 ฟอง
    • มันฝรั่งหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า (ขนาด 1X1 เซนติเมตร) 70 กรัม
    • แครอทหั่นสี่เหลี่ยมลูกเต๋า (ขนาด 1X1 เซนติเมตร) 30 กรัม
    • หอมใหญ่หั่นชิ้นสี่เหลี่ยม (ขนาด 1 เซนติเมตร) 30 กรัม
    • กระเทียมจีนสับ 1/2 ช้อนโต๊ะ
    • โชยุ 1 ช้อนชา
    • เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
    • น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
    • เนยรสจืด 15 กรัม
    • พริกไทยป่น 1/4 ช้อนชา
    • ผงกะหรี่อย่างดี 1 1/4 ช้อนชา
    • น้ำสต๊อกผักหรือน้ำเปล่า 3 ถ้วยตวง

    วิธีทำ

    • 1. นำเนยใส่กระทะตั้งไฟ พอเนยละลายจึงใส่กระเทียมลงไปผัดให้หอม จากนั้นใส่หัวหอมใหญ่ลงผัดจนใสจึงใส่น้ำสต๊อกลงไป

    • 2. ใส่มันฝรั่งและแครอทลงไปพร้อม ๆ กัน เติมเกลือป่น ผงกะหรี่ พริกไทยป่น ปิดฝาต้มจนมันฝรั่งและแครอทสุกนุ่มจึงปรุงรสด้วยโชยุ และตัดรสให้กลมกล่อมด้วยน้ำตาลเล็กน้อย หรี่ไฟลงเคี่ยวไปเรื่อย ๆ จนน้ำค่อย ๆ งวดลง

    • 3. หมั่นคอยชิมดูจนรสชาติได้ที่ออกจัดสักหน่อย จึงตอกไข่ใส่ชามตีให้เข้ากัน แล้วเทไข่ลงใส่คนเร็ว ๆ ให้แกงกะหรี่มีลักษณะข้นแต่อย่าให้ไข่สุกมาก จากนั้นรีบปิดไฟแล้วเทราดลงบนข้าว

    ใครจะไปเชื่อว่า แค่ไข่ไก่ธรรมดาจะสามารถนำมาประยุกต์ทำ เมนูเด็ด ๆ ได้เยอะแยะขนาดนี้ แถมยังน่ากินสุด ๆ เห็นแล้วหิวเลยเนอะ รีบ ๆ จดสูตรกันเอาไว้ ยามสิ้นเดือนจะได้มีเมนูอร่อย ๆ ไว้ประทังชีวิต

    ขอขอบคุณข้อมูลและภาพประกอบจาก
    เฟซบุ๊ก กินดี อยู่ดี By เนรัญชลา
    -https://www.facebook.com/kindee.yoodee.bynarunchala-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • egg00.png
      egg00.png
      ขนาดไฟล์:
      981.8 KB
      เปิดดู:
      100
    • egg01.png
      egg01.png
      ขนาดไฟล์:
      837.3 KB
      เปิดดู:
      72
    • egg02.png
      egg02.png
      ขนาดไฟล์:
      832.4 KB
      เปิดดู:
      89
    • egg03.png
      egg03.png
      ขนาดไฟล์:
      740.2 KB
      เปิดดู:
      61
    • egg04.png
      egg04.png
      ขนาดไฟล์:
      715.4 KB
      เปิดดู:
      64
    • egg05.png
      egg05.png
      ขนาดไฟล์:
      811.1 KB
      เปิดดู:
      79
    • egg06.png
      egg06.png
      ขนาดไฟล์:
      820 KB
      เปิดดู:
      68
    • egg07.png
      egg07.png
      ขนาดไฟล์:
      795.8 KB
      เปิดดู:
      67
    • egg08.png
      egg08.png
      ขนาดไฟล์:
      862.2 KB
      เปิดดู:
      66
    • egg09.png
      egg09.png
      ขนาดไฟล์:
      679.9 KB
      เปิดดู:
      80
    • egg10.png
      egg10.png
      ขนาดไฟล์:
      776.8 KB
      เปิดดู:
      75
  6. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    .


    พาชมกรุมหาสมบัติทุกห้อง วัดราชบูรณะ อยุธยา
    -https://www.youtube.com/watch?v=eguyP66Sk98-




    คลังสมบัติชาติ - กรุวัดราชบูรณะ
    -https://www.youtube.com/watch?v=ggLD6RA-ICA-




    ประวัติวัดราชบูรณะแห่งกรุงศรีอยุธยา
    -https://www.youtube.com/watch?v=s29hpx-8OOg-




    วัดราชบูรณะ อยุธยา ที่เล่ากันว่าน่ากลัวเป็นอันดับ 8 ของเอเชีย
    -https://www.youtube.com/watch?v=lueczJuiVM4-


    .
     
  7. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    หลวงปู่มั่น บอกเล่าถึงความศักดิ์สิทธิ์ของพระแก้วมรกต
    -https://www.youtube.com/watch?v=UQ2HF-YMszY-

    ++++++++++++++++++++++++++++++


    คำบอกเล่าของหลวงปู่มั่น
    เรื่องประวัติความเป็นมาของพระแก้วมรกต
    -http://www.bp.or.th/webboard/index.php?topic=14448.0;wap2-

    ธรรมะรักโข:

    คำบอกเล่าของหลวงปู่มั่น
    เรื่องประวัติความเป็นมาของพระแก้วมรกต

    เรื่องนี้อัตถุปัตติเหตุเกิดขึ้นเมื่อครั้ง พระอาจารย์มั่น พักอยู่วัดป่าบ้านหนองผือ พระอุปัชฌาย์อุ่น (พระครูบริบาลสังฆกิจ (อุ่น อุตฺตโม) วัดอุดมรัตนาราม อำเภออากาศอำนวย จังหวัดสกลนคร) ได้ไปกราบนมัสการฟังเทศน์ และได้นำรูปพระแก้วมรกตขนาด 20 นิ้ว เป็นภาพพิมพ์ใส่กรอบไปถวายท่านพระอาจารย์ แต่ดูท่านจะลืมทำความสะอาด เพราะมีฝุ่นจับอยู่ ท่านพระอาจารย์ก็น้อมรับด้วยความเคารพ

    หลังจากท่านอุปัชฌาย์อุ่นลาลงกุฏิไปแล้ว ท่านพระอาจารย์ได้ทำความสะอาด โดยนำผ้าสรงน้ำของท่านฯ มาเช็ดถู ผู้เล่า (หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ) เอาผ้าเช็ดพื้นเข้าไปช่วยทำความสะอาดด้วย เพราะเห็นว่าผ้ายังสะอาดอยู่ ท่านหันมาเห็นเข้า พูดว่า

    “อะไรกัน นั่นรูปพระพุทธเจ้าแท้ๆ ยังเอาผ้าเช็ดพื้นมาถูได้”

    ผู้เล่าสะดุ้งไปทั้งตัว เพราะความโง่เขลาปัญญาอ่อน ท่านฯ ก็เลยทำความสะอาดเอง เสร็จแล้วก็มีเพื่อนภิกษุทยอยกันขึ้นไป รวมทั้งท่านอาจารย์วิริยังค์ด้วย ท่านเลยเทศน์ถึงความมหัศจรรย์ของพระแก้วมรกต ท่านว่า

    “พระแก้วมรกตประดิษฐานอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ว่างจากพระอริยบุคคล พระอริยบุคคลมีอยู่ในประเทศใด ประเทศนั้นจะไม่ฉิบหายด้วยภัยแห่งสงคราม”

    ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า พระแก้วมรกตหล่อที่ลังกาทวีป ผู้เป็นประธานหล่อคือ พระจุลนาคเถระ เป็นชาวลังกา หล่อเมื่อศาสนาล่วงมาได้ 300 ปี ส่วนแก้วนั้น ท่านเล่าเชิงปาฏิหาริย์ พอเริ่มจะหล่อไม่ได้ตั้งใจจะเอาแก้วมรกตเพราะเป็นของหายาก บอกบุญตามแต่ศรัทธา จะเป็นแก้วอะไรก็ได้ ร้อนถึงพระอินทร์อยู่บนสวรรค์ มาอาสาเป็นช่างหล่อ และพระองค์มีแก้วอยู่ดวงหนึ่ง ขออนุโมทนาเป็นกุศลด้วย พระอินทร์ไม่ได้เป็นช่าง แต่ช่างคือเทพบุตรชื่อ วิษณุกรรม ส่วนแก้วก็ไม่ใช่ของพระอินทร์ แต่เป็นแก้วอยู่ในถ้ำจิตรกูฏหรืออินทสารนี้ละ ผู้เล่า (หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ) ไม่มั่นใจ

    ท่านพระอาจารย์ท่านเล่าว่า เป็นแก้วหน่อเนื้อพุทธางกูร ประจำภัทรกัปป์ เหลืออยู่ 2 ลูก มียักษ์รักษา พระอินทร์ไปขอแก้วดวงใหญ่ ซึ่งสุกใสกว่าจากยักษ์ตนนั้น แต่ยักษ์ไม่ให้ บอกว่าไม่ใช่ของเจ้า จึงให้แก้วดวงเล็กมา พระอินทร์นำมาหล่อเป็นผลสำเร็จ แต่ยังมีแก้วเหลือค้างอยู่ที่เรียกว่าแก้วก้นเตา เผาอย่างไรก็ไม่ละลาย พระจุลนาคเถระจึงอธิษฐานบรรจุไว้ใต้ฐาน ปรากฏว่าเป็นกระปุกระปะ ไม่เรียบ

    หล่อเสร็จมีการสมโภช ท่านจุลนาคเถระ ได้อธิษฐานอัญเชิญพระบรมสารีริกธาตุมาประดิษฐาน 5 แห่ง คือระหว่างพระขนง 1 แห่ง พระอังสาทั้งสอง 2 แห่ง พระเมาลี 1 แห่ง และพระนาภี 1 แห่ง ท่านฯ ว่าอย่างนี้

    การเสด็จไปสู่สถานที่ต่างๆ ของพระแก้วมรกตนั้นมีปัจจัย 3 อย่าง คือ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา เกิดกลียุคในประเทศนั้น และด้วยความรัก

    ท่านพระอาจารย์เล่าต่อว่า ได้มีการอัญเชิญจากกรุงลังกาสู่นครศรีธรรมราชโดยทางเรือ เพื่อเผยแผ่พระพุทธศาสนา นำโดยเถรเจ้าป่า (คำว่า เถรเจ้าป่า หมายความถึง พระกัมมัฏฐานที่ชอบออกปฏิบัติภาวนาอยู่ตามป่าเขา) อยู่นครศรีธรรมราชก็ไม่ได้กำหนดว่านานเท่าไร ต่อจากนั้นจึงอัญเชิญไปสู่นครวัด นครธม ประเทศเขมร เพื่อเผยแผ่พระศาสนา นำโดยเถรเจ้าป่าอีกนั่นแหละ


    หลวงปู่อุ่น อุตฺตโม

    จากนครวัด นครธม สู่กรุงจันทบุรีศรีสัตตนาคนหุต (ประเทศลาว) ปัจจุบันคือเวียงจันทน์ สาเหตุเกิดกลียุคแย่งราชสมบัติ เถรเจ้าป่าท่านเห็นว่าพระแก้วจะไม่ปลอดภัย จึงได้เอาผ้าห่อแล้วบรรจุลงในบาตร (คงจะเป็นบาตรขนาดใหญ่) เพื่ออำพรางผู้ทุศีลไม่ให้แย่งชิงไป เถรเจ้าป่าองค์นั้นไปอยู่ที่เวียงจันทน์ก็ไม่มีกำหนดปีเหมือนกัน

    จากนครเวียงจันทน์ก็ได้เสด็จสู่นครลำปาง และนครเชียงใหม่ ด้วยสาเหตุแห่งความรัก เนื่องจากเจ้าผู้ครองเวียงจันทน์ได้บุตรเขยเป็นชาวเชียงใหม่ หลังจากนั้นจะนำบุตรีสู่เชียงใหม่ บิดาให้พรบุตรีว่าอยากได้อะไรก็จะให้ บุตรีจึงขอพระแก้วมรกตไปด้วย ด้วยความรักของบิดาก็จำยอมยกให้

    พอไปถึงลำปาง ช้างที่นั่งไปไม่ยอมไปเอาดื้อๆ จะขับไสอย่างไรช้างก็ไม่ไป ตกลงกันว่าองค์พระแก้วมีพระประสงค์จะประทับที่ลำปางแน่ พระแก้วก็เลยประดิษฐานที่ลำปางก่อน นานพอสมควรจึงได้อัญเชิญไปประดิษฐานที่วัดเจดีย์หลวง จังหวัดเชียงใหม่ ท่านก็ไม่ได้บอกว่ากี่ปี ต่อมาบุตรเขยก็เสียชีวิตลง บุตรีเจ้าผู้ครองนครก็กลับสู่เวียงจันทน์ และนำพระแก้วมรกตกลับมาด้วย จึงประดิษฐานอยู่ที่เวียงจันทน์อีกเป็นครั้งที่สอง

    ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าว่า ไทยคือลาว ลาวคือไทย เป็นชาติเดียวกัน แต่ครั้งอยู่ราชคฤห์ แต่หนีตายมาคนละสาย มาบรรจบกันที่แม่น้ำใหญ่ๆ 4 สาย คือ แม่น้ำโขง เจ้าพระยา สาละวิน และแม่น้ำตาปี


    พระอาจารย์มั่น ภูริทตฺโต

    ต่อมาเหตุการณ์บ้านเมืองในลาวเปลี่ยนแปลง เกิดกลียุค ราชวงศ์และราชบุตรเป็นศัตรูกัน ราชบุตรมักถูกรังแกใส่ความ ทนไม่ไหวจึงอพยพครอบครัวข้ามโขงมาอยู่อีกฝั่งหนึ่ง (ปัจจุบัน คือ จังหวัดหนองบัวลำภู) ราษฎรก็ทยอยติดตามมา โดยมีพระตา น้องชายราชบุตรเป็นหัวหน้า ราชวงศ์ยังยกกองทัพมารังแกข่มเหงอีก

    ฝ่ายพระตาและพระวอก็ได้ถอยร่นลงมาสู่ดอนมดแดง คืออุบลราชธานีในปัจจุบันอย่างทุลักทุเล บังเอิญกองทัพทางเวียงจันทน์เสบียงขาดแคลนลง จึงต้องยกทัพกลับ หลังจากนั้นก็ได้ยกทัพมาตีอีกครั้งที่สอง ชาวดอนมดแดงได้ต่อสู้ถวายหัวเต็มกำลังความสามารถ

    พระตาสวรรคตในสนามรบอย่างสมพระเกียรติ พระวอเห็นท่าไม่ได้การ ได้ให้ม้าเร็วนำสาส์นขอกองกำลังจากบางกอกไปช่วย สมัยนั้นสมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราชเป็นพระมหากษัตริย์ จึงส่งกองทัพม้าเป็นทัพหน้าเดินทางไปก่อน กองทัพหลวงนำโดยสมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก เป็นแม่ทัพยกตามไป ชาวดอนมดแดงก็มีกำลังใจสู้ถวายหัว พอกองทัพหลวงยกมาถึง กองทัพทางเวียงจันทน์จึงแตกพ่ายกลับไป

    ทั้งทัพม้าศึกและทัพหลวงแห่งบางกอก พร้อมกองอาสาสมัครแห่งดอนมดแดง ก็ติดตามไล่ตีไม่ลดละ จนถึงฝั่งโขง และข้ามโขงเข้ายึดนครเวียงจันทน์ได้ทั้งหมด

    หลังจากชนะศึกแล้ว ชาวลาวได้ยินยอมพร้อมใจมอบพระแก้วมรกตและพระบาง ให้มาประดิษฐานที่กรุงเทพฯ นี่คือสาเหตุที่พระแก้วมรกตมาประดิษฐานในประเทศไทย

    ปีนั้นบางกอกเกิดฝนแล้ง โหรหลวงทำนายว่า เพราะพระแก้วและพระบางมาอยู่รวมกันเป็นเหตุ สมเด็จเจ้าพระยามหากษัตริย์ศึก จึงส่งสาส์นแจ้งไปยังเจ้ามหาชีวิตลาว พระองค์ทรงยินดีรับคืน แต่ให้ส่งไปนครหลวงคือ กรุงศรีสัตตนาคนหุต ไทยได้ทำการสักการะจัดส่งอย่างสมพระเกียรติ ท่านพระอาจารย์มั่นเล่าอย่างนี้ ตั้งแต่วันพระบางไปถึงกรุงศรีสัตตนคนหุต ก็เปลี่ยนชื่อเป็นเมืองหลวงพระบางมาจนบัดนี้

    ท่านฯ ยังเล่าต่อไปว่า เดิมไม่ได้เรียกเมือง “หลวงพระบาง” เรียก “หลวงพระบ้าง” เพราะว่าทองที่หล่อนั้นเป็นทองหลายชนิด ผู้มีศรัทธาไปร่วมพิธีเททองหล่อนั้น มีทั้งสร้อยทองคำ ตุ้มหูทองคำ กำไลทองคำ เงิน ทองแดง นาก ทองสัมฤทธิ์ เอาออกมาใส่ลงในเบ้าหล่อ โดยทุกคนก็กล่าวว่า ฉันบ้าง ข้าบ้าง กูบ้าง ข้าน้อยบ้าง เมื่อเป็นพระออกมาก็คงจะมีชื่ออย่างอื่น ชื่ออะไรท่านมิได้กล่าวๆ แต่คนนั้นก็ว่าพระบ้าง คนนี้ก็พระบ้าง ลักษณะชายจีวรบางแผ่ออกทั้งสองข้าง เป็นแผ่นบางๆ คนภายหลังมาเห็น เลยกลายจากบ้าง มาเป็นบาง จากพระบ้างมาเป็นพระบางไป

    หลังจากสมเด็จเจ้าพระมหากษัตริย์ศึก ได้เสวยราชย์เป็นรัชกาลที่ 1 แล้ว ได้ยกฐานะบ้านดอนมดแดงขึ้นเป็นเมืองให้ชื่อว่า เมืองอุบลราชธานี ตั้งพระวอเป็นพระวรวงศาธิราชครองเมืองอุบลฯ พระวรวงศาธิราชสำนึกในพระมหากรุณาธิคุณที่พ้นภัยพิบัติมาได้ จึงได้ประกาศเป็นทางการว่า แผ่นดินฝั่งขวาแม่น้ำโขงทั้งหมดขอขึ้นตรงต่อบางกอก ไม่ขึ้นตรงต่อเวียงจันทน์ ตั้งวันนั้นมาถึงปัจจุบันปรากฏอยู่ในแผนที่ประเทศไทยโดยสมบูรณ์

    หลังเทศน์จบ พระไปกันหมดแล้วก่อนจะจำวัด ท่านพระอาจารย์ (หลวงปู่มั่น) มักมีคำพูดขำขันบ้าง เป็นปริศนาบ้าง เป็นคำของบุคคลสำคัญพูดบ้าง อย่างที่ผู้เล่า (หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ) กำลังจะเล่าเรื่องภาคกลาง ต่อไปนี้


    สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส)

    สมเด็จพระมหาวีรวงศ์ (อ้วน ติสฺโส) เคยพูดว่า ภาคกลางคือ “จอมไทย” (ผู้ปฏิบัติใกล้ชิด คิดอยากรู้อยากฟัง ไม่ต้องถามท่านพระอาจารย์ดอก ถวายการนวดไปท่านก็เล่าไป พอจบเรื่องท่านก็หลับ โปรดเข้าใจการสนทนาธรรมด้วยอิริยาบถนอน เป็นการไม่เคารพธรรม แต่ท่านพระอาจารย์กล่าวว่า เวลานอนมิเป็นการสนทนาธรรม เป็นการพูดกันธรรมดาๆ แบบกันเอง ท่านจึงไม่เป็นอาบัติ)

    คำว่า “จอม” หมายถึง วัตถุแหลมๆ อยู่บนที่สูง เช่น ยอดพระเจดีย์เป็นต้น “จอมไทย” ก็คือ กรุงเทพมหานครเรานี้เอง ท่านที่เป็นปราชญ์ ก็เรียกว่า จอมปราชญ์ มงกุฎฉลองพระมหากษัตริย์ก็เรียก จอมมงกุฎ พระมหากษัตริย์ก็เรียก จอมกษัตริย์ วัดพระแก้วมรกตอีกแห่งหนึ่ง เรียกว่า จอมวัด ก็ไม่ผิด

    วัดพระแก้วนี้เป็นวัดพระพุทธเจ้าโดยเฉพาะ พระสงฆ์อยู่ไม่ได้ เพราะพระสงฆ์มาจากตระกูลต่างๆ ทั้งหยาบทั้งละเอียด ไม่รู้พุทธอัธยาศัย พุทธธรรมเนียม เพราะพระพุทธเจ้าเป็นทั้งกษัตริย์ และผู้สุขุมาลชาติ เมื่อพระสงฆ์ไม่รู้พุทธธรรมเนียม ถ้าไปอยู่ก็มีแต่บาปกินหัว


    หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ ผู้เขียน

    ท่านฯ ว่า ผู้รู้ทั้งพุทธอัธยาศัยและพุทธธรรมเนียมแล้ว มีพระมหากษัตริย์องค์เดียวเท่านั้น ครั้งพุทธกาลก็มีพระเจ้าพิมพิสารเท่านั้นทรงรู้ แต่จอมไทยคือ พระมหากษัตริย์ทรงรู้มาแล้ว ได้ทรงสร้างวัดถวายจำเพาะพระแก้วเท่านั้น

    พระมหากษัตริย์ไทยทุกพระองค์เป็นหน่อเนื้อพุทธางกูร คือ จะได้ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกาลข้างหน้า ต่างแต่วาสนาบารมีมากน้อยต่างกันเท่านั้น ท่านจึงทรงรู้พุทธอัธยาศัยเป็นตัวแทนพระพุทธเจ้า (พระพุทธศาสนาก็เป็นจอมพุทธศาสนาที่กรุงเทพฯ นี้)

    ไทยนั้นเป็นเจ้าขององค์พระแก้วมรกต ผู้ใดย่างกรายเข้าสู่วัดพระแก้วเป็นบุญทุกขณะที่อยู่ในบริเวณวัด แม้แต่ชาวต่างชาติ จะเป็นฝรั่ง อังกฤษ อเมริกา มีโอกาสเข้าไปในบริเวณวัดพระแก้ว จะด้วยศรัทธาหรือไม่ก็ตาม ก็ได้เข้ามาสู่วงศ์พระพุทธศาสนาโดยปริยาย หรือจะบังเอิญก็แล้วแต่ สามารถเป็นนิสัยให้เข้ามาได้ ต่อไปจะสามารถมาเกิดเป็นคนไทย สืบต่อบุญบารมีสำเร็จมรรคผลได้

    นี้คือบทสนทนาแบบกันเองของครูและศิษย์

    ขอขอบคุณที่มาจาก..ปกิณกะธรรมในหนังสือ “รำลึกวันวาน”
    เขียนโดย หลวงตาทองคำ จารุวัณโณ หน้า 141-145

    ----------------------------------------------
     
  8. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เอาแล้ว!! อีก 2 ปี ข้างหน้า ธนาคารปิด ห้างใหญ่ปิด ลูกจ้างตกงาน รู้ก่อนได้เปรียบ…
    -http://www.zabbzeed.com/4025-


    ประเทศไทยกำลังจะเปลี่ยนไปอย่างที่คุณคิดไม่ถึง อยากให้ผู้ชมทุกคนได้ฟังคลิปนี้ ว่าโลกเรา สังคมเรา

    กำลังจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน คุณต้องปรับตัว คุณต้องเปลี่ยน หากคุณไม่เปลี่ยน ทุกอย่างมันจะเปลี่ยนคุณ

    แรงกระเพื่อมที่จะเกิดขึ้นใหม่ หลังการประมูลจบครบทุกคลื่น
    https://www.youtube.com/watch?v=vbCQN1jGnEI
    -https://www.youtube.com/watch?v=vbCQN1jGnEI-


    เรียบเรียงโดย : แซ่บภัทร
     
  9. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เส้นแบ่งสัดส่วนระหว่างหนี้สินกับรายได้ ควรเป็นเท่าไหร่ดี
    -http://money.sanook.com/411149/-




    หนี้ ก็คือ การที่เรานำเงินของผู้อื่นมาใช้ก่อน แล้วเราค่อยใช้คืนเขาทีหลัง เมื่อพูดถึงหนี้บางคนอาจจะนึกถึงแต่ด้านไม่ดี เช่น รายได้ไม่พอกับค่าใช้จ่ายเลยต้องเป็นหนี้หรืออยากได้โน่นได้นี่แต่เงินไม่พอก็เลยไปสร้างหนี้ เป็นต้น ความหมายของหนี้แบบนี้เป็นความหมายในแง่ลบ หรือเป็นความหมายของการสร้างหนี้แบบไม่ดี แต่การสร้างหนี้ก็มีในมุมบวกเช่นกัน หากการเป็นหนี้นั้นเราตั้งใจและวางแผนไว้ก่อน รวมถึงการเป็นหนี้นั้นมีโอกาสที่จะสร้างความมั่งคั่งให้กับเราได้ ก็จะถือว่าเป็นหนี้คุณภาพหรือเป็นหนี้ที่ดี


    มีนักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จมากมายที่เขาเหล่านั้นอาจจะไม่มีโอกาสแบบวันนี้ได้เลย หากก่อนหน้านี้เขาไม่ได้มีหนี้มาก่อน เพียงแต่การสร้างหนี้ของเขามีการวางแผน เป็นหนี้ที่มีระบบ เป็นหนี้ที่สร้างขึ้นเพื่อทำให้เกิดความมั่งคั่ง หรือเป็นหนี้ที่สามารถสร้างรายได้ให้กับเราได้ เป็นการนำเงินมาต่อเงิน คนที่ไม่มีทุนรอน หากอยากสร้างฐานะหรือความมั่งคงให้กับตนเองหรือครอบครัว บางครั้งก็จำเป็นต้องยืมเงินของคนอื่น เพื่อมาตั้งต้น ตั้งตัวทำอะไรบางอย่างเป็นธุรกิจที่สามารถสร้างรายได้ เมื่อสร้างรายได้เพียงพอนอกจากสามารถนำเงินไปคืนหนี้ได้แล้ว ก็จะมีเงินเหลือมากพอที่จะต่อยอดขยายธุรกิจต่อไปได้อีกเรื่อย ๆ หนี้ก้อนนั้นก็จะถือเป็นเงินก้อนแรกที่ช่วยให้ธุรกิจก่อกำเนิดขึ้นมาได้


    หากจะให้คำจำกัดความที่ชัดเจนของหนี้ที่ดีและหนี้ที่ไม่ดีก็ไม่ยาก

    หนี้ที่ดี ก็คือ หนี้ที่สร้างรายได้ให้กับเราได้ เป็นหนี้ที่เมื่อเป็นแล้วไม่ก่อให้เกิดผลกระทบกับสภาพคล่องของตัวเรา

    ส่วนหนี้ที่ไม่ดี ก็คือ หนี้ที่ทำให้เราจนลงหรือหนี้ที่มีผลกระทบกับสภาพคล่องของเรา

    ยกตัวอย่างให้เห็นภาพแบบง่าย ๆ คือ การกู้เงินเพื่อซื้อรถ หากผ่อนรถยนต์เพื่อนำมาขับเองก็ต้องถือเป็นหนี้ที่ไม่ดี เพราะเมื่อเงินค่างวดที่ผ่อนรถทำให้รายได้ของเราลดลง ถือว่ามีผลกระทบกับสภาพคล่องของเรา ที่สำคัญเมื่อรถยนต์ถูกขับออกจากโชว์รูมแล้ว มูลค่ารถยนต์ก็จะลดลงทันที หากเราขายก็จะได้เงินไม่เท่ากับราคารถที่เราซื้อมา คิดอีกแง่ก็เหมือนเราจนลง

    แต่หากเรากู้เงินเพื่อซื้อรถเพื่อนำมาทำเป็นรถเช่า แบบนี้ถือว่าเป็นหนี้ที่ดี เนื่องจากรถคันนั้นสามารถสร้างรายได้ให้กับเราได้ ถึงแม้เราต้องผ่อนรถแต่เราสามารถนำรายได้จากการให้เช่ารถมาผ่อนรถยนต์คันนั้นได้ ทำให้ไม่มีผลกระทบกับสภาพคล่องของเรา

    หรือหากเป็นการกู้เงินเพื่อซื้อบ้านเป็นที่อยู่อาศัย ก็ถือเป็นหนี้ที่ดีเพราะเรามีความมั่งคั่งจากการเป็นเจ้าของบ้านและที่ดิน แต่เมื่อไหร่ที่เราผ่อนไม่ไหวเมื่อนั้นหนี้บ้านก็จะกลายเป็นหนี้ไม่ดีได้ เพราะมีผลกระทบกับสภาพคล่องของรายได้ของเรา แต่หากเรากู้เงินซื้อคอนโดเพื่อปล่อยเช่ามีรายได้ แบบนี้ถือว่าเป็นหนี้ที่ดี เป็นต้น


    การจะเป็นหนี้นอกจากสิ่งสำคัญที่จะต้องดูถึงความจำเป็นของการก่อหนี้นั้นแล้ว สัดส่วนของหนี้ต่อรายได้ของเราก็เป็นสิ่งสำคัญที่เราควรคำนึงถึงก่อนเราจะสร้างหนี้ด้วย เพราะมันหมายถึงความสามารถของเราในการจัดการกับหนี้สินของเราได้ โดยที่ไม่มีปัญหาหรือไม่เป็นภาระกับเรามากจนเกินไปนั่นเอง การเป็นหนี้แบบปลอดภัยที่มีข้อแนะนำไว้ก็คือ หนี้ทุกประเภทที่เราก่อขึ้นไม่ควรเกิน 50% ของรายได้ เช่น

    หากรายได้ของเราเดือนละ 50,000 บาท หนี้ที่จะต้องผ่อนชำระของเราก็ไม่ควรเกิน 25,000 บาท เป็นต้น เหตุผลก็คือเราต้องมีค่าใช้จ่ายที่จำเป็นต้องใช้ในแต่ละเดือนด้วย หากเราเป็นหนี้ต้องผ่อนต่อเดือนมาก อาจมีผลกับค่าใช้จ่ายที่จำเป็นของเรา อีกทั้งหากยอดหนี้ที่ต้องชำระมากเกินไป ก็ทำให้เสียโอกาสในการนำรายได้ที่เหลือไปลงทุนเพิ่มด้วย เมื่อไรก็ตามที่เราเริ่มมีหนี้ เราอย่าลืมกฎสำคัญข้อนี้ ก็คือ อย่าให้ยอดหนี้ที่ต้องจ่ายเกินกว่า 50% ของรายได้ของเรา อย่าลืม ต้องท่องไว้ในใจตลอดเวลา


    การที่หนี้จะไม่กระทบกับชีวิตของเรานั้น ก่อนเป็นหนี้เราต้องพยายามถามคำถามตัวเองก่อน ถามหลาย ๆ รอบเลย ว่าหนี้นั้นมันจำเป็นสำหรับเราหรือไม่ หากเราไม่ก่อหนี้จะเป็นอะไรหรือไม่ มีทางเลือกอื่นไหมที่ทำให้เราไม่เป็นหนี้ เช่น หารายได้เพิ่ม เมื่อเป็นหนี้แล้วเรามั่นใจว่าจะสามารถชำระหนี้ไปได้ตลอดจนกว่าหนี้จะหมดหรือไม่ เมื่อต้องผ่อนคืนหนี้มีผลกระทบอะไรกับรายได้หรือค่าใช้จ่ายที่จำเป็นสำหรับเราหรือไม่ ยืนยันว่าเราต้องถามคำถามเหล่านี้กับตัวเองก่อน เป็นสิ่งที่ทุกคนต้องทำก่อนคิดจะเป็นหนี้ หากไม่มั่นใจที่หนี้นั้นจะไม่เป็นปัญหาสำหรับเราในอนาคตก็ไม่ควรก่อหนี้ตั้งแต่วันนี้ แต่หากมั่นใจว่าจะสามารถจัดการกับหนี้ต่าง ๆ ได้ก็ไม่มีปัญหาในการก่อหนี้อย่างใด


    หากหนี้จำเป็นที่จะต้องเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งในชีวิตของเราก็ขอให้มีการวางแผนให้ดี เพื่อให้หนี้นั้นเป็นหนี้ที่เราสามารถจัดการได้และเป็นหนี้ที่ไม่สร้างภาระให้กับเรา นอกจากนั้นยังเป็นหนี้ที่จะสร้างความมั่งคั่งให้เราได้อีกเช่นกัน หากเราไม่คิดจะวางแผนเรื่องหนี้ให้ดีตั้งแต่ต้น ก็คิดว่าอย่าเป็นหนี้เลยจะดีกว่า มิเช่นนั้นหนี้นั้นจะกลายเป็นปัญหาในอนาคตสำหรับเราอย่างแน่นอน

    สนับสนุนเนื้อหาโดย MoneyHub
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • dj01.png
      dj01.png
      ขนาดไฟล์:
      175.2 KB
      เปิดดู:
      74
  10. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    แบงก์กสิกร และทรูมูฟโดนท้วง หลังเหยื่อถูกโจรดูดเงินเกือบล้าน!!
    สิงหาคม 19, 2016 |Posted by MoneyGuru | Financial Tips
    Tags: MoneyGuru, thailand, แบงก์กสิกร


    -http://www.moneyguru.co.th/blog/%E0%B9%81%E0%B8%9A%E0%B8%87%E0%B8%81%E0%B9%8C%E0%B8%81%E0%B8%AA%E0%B8%B4%E0%B8%81%E0%B8%A3-%E0%B9%82%E0%B8%94%E0%B8%99%E0%B8%9B%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%97%E0%B9%89%E0%B8%A7%E0%B8%87?utm_source=fb&utm_medium=blog&utm_campaign=20160819_5PM_NA_blog_FraudNews-



    วันนี้ (วันศุกร์ที่ 19 สิงหาคม 2559) มีข่าวที่ได้รับความสนใจจากประชาชนจำนวนมาก นั่นก็คือข่าวที่เจ้าของร้านประดับยนต์ ถูกมิจฉาชีพทำทีเป็นลูกค้าติดต่อซื้ออุปกรณ์ ก่อนขอเลขที่บัตรประชาชนและบัญชี แบงก์กสิกร สวมรอยเปลี่ยนรหัส hack เงินผ่านบัญชี แบงก์กสิกร ออนไลน์ ปล้นเงินร่วม 1 ล้านบาท วันนี้ MoneyGuru.co.th จึงนำรายละเอียดของข่าวและวิธีป้องกันมาฝากกันค่ะ
    เมื่อวันที่ 9 สิงหาคมที่ผ่านมา นายพันธ์สุธี มีลือกิจ อายุ 28 ปี ชาว จ.พระนครศรีอยุธยา เจ้าของร้าน X-Bar Ayutthaya (เอ็กซ์บาร์ อยุธยา) ทำธุรกิจเกี่ยวกับเครื่องประดับยนต์ เดินทางเข้าร้องทุกข์กับตำรวจ กรณีถูกกลุ่มคนร้ายถอนเงินจากบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาอยุธยา ไปจำนวน 986,700 บาท พร้อมนำเอกสารหลักฐาน อาทิ ภาพการสนทนากับคนร้ายและภาพกล้องวงจรปิดเข้าไปให้ตำรวจดดูด้วย
    ทั้งนี้นายพันธ์สุธีกล่าวว่า วันที่ 28 กรกฎาคมที่ผ่านมา มีเฟซบุ๊กชื่อ “วันชัย กบ ยาวิราช” ติดต่อสอบถามสินค้าและสั่งซื้อเอ็กซ์บาร์ใช้ติดตั้งประดับรถยนต์จำนวน 1 ชุด ราคา 48,000 บาท ตนจึงได้ให้เลขที่บัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขาอยุธยาไป แต่เฟซบุ๊กดังกล่าวอ้างว่ากลัวโอนเงินแล้วไม่ได้สินค้า ต้องการให้ยืนยันตัวตน ตนจึงส่งบัตรประชาชนให้โดยปิดเลข 13 ตัวไว้ ต่อมาวันที่ 29 กรกฎาคม เฟซบุ๊กดังกล่าวอ้างว่าไม่สามารถโอนเงินให้ได้อีก และบอกว่าต้องสมัคร K-Cyber Banking ของธนาคารกสิกรไทย เพื่อจะได้สะดวกสำหรับการโอนเงิน ตนจึงตัดสินใจสมัคร จากนั้นเฟซบุ๊กดังกล่าวก็เงียบหายไป
    กระทั่งวันที่ 31 กรกฎาคม โทรศัพท์มือถือของตนโดนตัดสัญญาณ จึงโทรศัพท์สอบถามกับทางบริษัท ทรูมูฟ จึงทราบว่าได้มีบุคคลมาขอซิมใหม่แต่เบอร์เดิมที่ศูนย์บริการทรูมูฟภายในห้างสรรพสินค้า เมกะ บางนา ตนจึงเดินทางไปสอบถามที่ห้างสรรพสินค้าดังกล่าว ทราบว่า คนร้ายอ้างทำกระเป๋าเงินและโทรศัพท์หาย พร้อมใช้เอกสารสำเนาบัตรประชาชนที่ทำการปลอมแปลง โดยเอาใบหน้าของคนร้ายแปะทับซ้อนรูปตน ส่วนเลขบัตรประชาชน 13 หลัก เป็นเลขของตนอย่างถูกต้อง
    จากนั้นเมื่อตรวจเช็กเงินในบัญชี ทราบว่า หายไป 986,700 บาท เมื่อโทรศัพท์ไปสอบทาง call center ของธนาคารกสิกรไทย ทางธนาคารแจ้งว่ามีบุคคลโทรศัพท์มาเพื่อทำการขอเปลี่ยนรหัส K-Cyber จากการตรวจสอบพบว่า มีการกดเงินไปจำนวน 20 กว่าครั้ง ครั้งละ 50,000 – 60,000 บาท โดยครั้งแรกที่ห้างสรรพสินค้าโลตัสบางนา และครั้งสุดท้ายที่จังหวัดเพชรบุรี
    นายพันธ์สุธีกล่าวต่อว่า ตนได้ประสานไปยังธนาคารกสิกรไทยและศูนย์บริการทรูมูฟ แต่ยังไม่ได้รับความคืบหน้า จึงได้รวบรวมพยานหลักฐานมาร้องทุกข์ และคาดว่ากลุ่มคนร้ายทำเป็นกระบวนการมีไม่ต่ำกว่า 5 คน ทั้งนี้ อยากให้พ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ระมัดระวังการแสดงบัตรประชาชนต่อมิจฉาชีพที่แฝงตัวมาให้ลักษณะลูกค้า
    เนื่องจากเหตุการณ์นี้ เป็นเหตุการณ์ที่ใกล้ตัวประชาชนทั่วไปอย่างมาก อาจจะเกิดขึ้นกับใครก็ได้ทั้งนั้น ดังนั้น เราจึงขอเสนอแนะวิธีป้องกัน เพื่อไท่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้กับคุณผู้อ่านทุกท่านค่ะ

    รักษาข้อมูลที่เป็นความลับ ไม่ว่าจะเป็นชื่อในการใช้ลงทะเบียน ยูสเซอร์ไอดี รหัสผ่าน หรือล็อกอิน พาสเวิร์ด ในการเข้าใช้บริการธนาคารทางอินเตอร์เน็ต รวมไปถึงไม่มอบข้อมูลเอกสารสำคัญส่วนตัวให้กับบุคคลที่ไม่รู้จัก เพื่อป้องกันการแอบอ้างโดยกลุ่มผู้ไม่ประสงค์ดี
    อย่าหลงเชื่อการแนะนำชักชวนใด ๆ ของคนแปลกหน้า ที่ให้เราสมัครแอพต่าง ๆ ที่เกี่ยวกับการทำธุรกรรมออนไลน์อย่างเด็ดขาด แม้ว่าคนคนนั้นจะเป็นคนที่เราสนิทสนมก็ตาม
    ควรศึกษาหาข้อมูลให้ดี ๆ ก่อนจะสมัครระบบหรือแอพฯ ที่เกี่ยวกับการทำธุรกรรมทางการเงินต่าง ๆ

    ถึงแม้ว่า วิธีป้องกันที่เราได้บอกคุณผู้อ่านไปนั้น อาจจะไม่สามารถช่วยป้องการการโจรกรรมในลักษณะนี้ได้ 100% แต่อย่างน้อย ก็ทำให้เหล่ามิจฉาชีพได้ข้อมูลของเราไปทำการโจรกรรมยากขึ้นนะคะ
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • hag1.png
      hag1.png
      ขนาดไฟล์:
      136.2 KB
      เปิดดู:
      79
  11. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    หนุ่มเครียด ! ถูกเปลี่ยนรหัส Mobile Banking โอนเงินเกลี้ยงเกือบล้านบาท
    -http://hilight.kapook.com/view/141065-


    หนุ่มเครียดนั่งประท้วงกลางถนนหน้า สตช. หลังโดนคนร้ายหลอกธนาคารเปลี่ยนรหัส Mobile Banking โอนเงินเก็บทั้งชีวิตเกลี้ยงบัญชีเกือบ 1 ล้านบาท ขณะที่ทางแบงก์แถลงพร้อมช่วยเหลือลูกค้าที่ตกเป็นเหยื่อมิจฉาชีพ และเร่งประสานหาทางติดตามตัวคนร้าย

    เมื่อวันที่ 19 สิงหาคม 2559 ที่สำนักงานตำรวจแห่งชาติ เวลา 11.00 น. ผู้สื่อข่าวรายงานว่า นายพันธุ์สุธี มีลือกิจ เจ้าของร้านประดับยนต์ อายุ 28 ปี และครอบครัว ได้นั่งประท้วงกลางถนนพระราม 1 หน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ เพื่อประท้วงกรณีตนเองถูกคนร้ายโอนเงินทั้งหมดในชีวิตที่ฝากเอาไว้ในบัญชีธนาคารกสิกรไทย โดยคนร้ายใช้วิธีติดต่อขอเปลี่ยนซิมที่ทรูช็อปจากนั้นโทรไปเปลี่ยนรหัส แอพพลิเคชั่น K-Mobile Banking และโอนเงินในบัญชีไปจนเกลี้ยง จำนวน 986,700 บาท พร้อมมอบหลักฐานข้อมูลคนร้ายให้ พ.ต.อ.ธวัชศักดิ์ โปตระนันทน์ รอง ผบก.อก.สทส.

    มิจฉาชีพขโมยเงิน

    นายพันธุ์สุธี มีลือกิจ กล่าวว่า ตนอยากเรียกร้องให้ธนาคารกสิกรไทย และบริษัท ทรู คอร์ปอเรชั่น เนื่องมีคนร้ายไปหลอกขอรหัสผ่านแอพพลิเคชั่น K-Mobile Banking โอนเงินจากบัญชีธนาคารกสิกรไทย สาขากรุงศรีอยุธยา ไปจนหมดบัญชี โดยคนร้ายได้ไปแจ้งกับทางทรูว่าซิมหายต้องการขอซิมใหม่ โดยใช้สำเนาบัตรประชาชนปลอมที่ทำขึ้นมา ข้อมูลในบัตรเป็นของตน แต่ภาพเป็นของคนร้าย ซึ่งปกติแล้วการขอซิมใหม่ของทรูจะต้องใช้บัตรจริงเท่านั้น แต่ไม่ทราบว่าทางทรูทำซิมใหม่ให้คนร้ายได้อย่างไร และตั้งแต่วันเกิดเหตุทางทรูไม่เคยติดต่อมาหาหรือแสดงความรับผิดชอบต่อเรื่องที่เกิดขึ้นแต่อย่างใด หลังเกิดเรื่องตนเป็นผู้ดำเนินเรื่องเองทั้งหมด จากนั้นเมื่อได้ซิมใหม่ก็โทรไปขอรหัสผ่าน K-Mobile Banking กับคอลเซ็นเตอร์โดยใช้ข้อมูลในบัตรประชาชนของตน เมื่อได้รหัสมาคนร้ายก็โอนเงินออกจากบัญชีไปจนหมดรวมทั้งสิ้น จำนวน 986,700 บาท เหลือเงินนบัญชีเพียง 58 บาท

    มิจฉาชีพขโมยเงิน

    ส่วนทางธนาคารกสิกรไทยนั้น ตนใช้ธนคารนี้มานานกว่า 5 ปี เพราะเชื่อว่าธนาคารนี้มีความมั่นคงและปลอดภัย แต่กลับต้องมาหมดตัวเพราะกรณีดังกล่าว แต่เมื่อเกิดเรื่องเช่นนี้ ทางธนาคารได้ติดต่อกลับมาหาตนว่าสามารถชดใช้ได้เพียง 33% จากความเสียหายเท่านั้น ส่วนที่เหลือไปให้ตามเอาเองกับทรูและคนร้าย โดยขณะนี้ตนได้ไปแจ้งความเอาไว้แล้วที่ สภ.จังหวัดพระนครศรีอยุธยา ตั้งแต่วันที่ 31 กรกฎาคม 2559 ซึ่งเป็นวัดเกิดเหตุ แต่ตำรวจระบุว่าไม่สามารถดำเนินคดีเพราะถือว่าทางธนาคารเป็นผู้เสียหาย แต่ทางธนาคารกับทรูไม่ได้ให้ความช่วยเหลือแต่อย่างใด ทำให้ตนต้องเป็นคนสืบหาข้อมูลของคนร้ายเองจนขณะนี้ได้ภาพใบหน้าของคนร้าย ภาพเจ้าของบัญชีรับโอนเงินของตน และภาพจากกล้องวงจรปิดที่ทรูช้็อปขณะกำลังติดต่อขอซิมใหม่

    มิจฉาชีพขโมยเงิน

    ทั้งนี้ จากการตรวจสอบพบว่าเคสของตนไม่ใช่เคสแรก เพราะมีผู้โดนคนร้ายกลุ่มนี้ถอนเงินออกจนหมดธนาคารมาแล้วกว่า 6 ราย แต่บางรายกลับได้รับความช่วยเหลือจากธนาคารอย่างเต็มที่ ตนจึงจำเป็นต้องออกมาเรียกร้องขอความเป็นธรรมด้วยวิธีดังกล่าว เพราะหมดสิ้นหนทางในการตามเงินคืนแล้วในตอนนี้

    จากนั้นผู้สื่อข่าวรายงานว่า ทางธนาคารกสิกรไทย ได้ออกคำชี้แจงกรณีดังกล่าวว่า

    1. จากจำนวนเงินที่ลูกค้าถูกคนร้ายถอนไป เนื่องจากคนร้ายได้ข้อมูลจากลูกค้าไปทำทุจริต ธนาคารเสนอความช่วยเหลือเพื่อบรรเทาภาระของลูกค้าครึ่งหนึ่งของจำนวนเงินที่ถูกทุจริต และจะช่วยลูกค้าอย่างเต็มที่ในการติดตามตัวคนร้าย

    2. ลูกค้ามั่นใจได้ว่าระบบของธนาคารมีความปลอดภัย เนื่องจากเรามีการ verify ตัวตนลูกค้าก่อนให้บริการทุกครั้ง ทั้งนี้ทางธนาคารขอแนะนำว่า ลูกค้าควรเก็บข้อมูลส่วนตัวไว้เป็นความลับ เพื่อความปลอดภัยในการใช้บริการ

    รวมถึงธนาคารจะดำเนินการในการติดต่อผู้ให้บริการโทรศัพท์มือถือในด้านการ verify ตัวตนลูกค้าในการออก sim ใหม่ ให้มีความรัดกุมมากยิ่งขึ้น ซึ่งเป็นสาเหตุในการเกิด fraud รับ OTP ในการโอนเงินในครั้งนี้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • kt000.png
      kt000.png
      ขนาดไฟล์:
      149.9 KB
      เปิดดู:
      84
    • kt00.png
      kt00.png
      ขนาดไฟล์:
      2.3 MB
      เปิดดู:
      58
  12. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    กสิกรไทย คืนเงินทั้งหมด หนุ่มโดนตุ๋น Mobile Banking กวาดเงินเกลี้ยงบัญชี
    -http://hilight.kapook.com/view/141123-


    ธนาคารกสิกรไทย ติดต่อขอรับผิดชอบค่าเสียหายให้เหยื่อถูกคนร้ายโอนเงินเก็บทั้งชีวิตเกลี้ยงบัญชีเกือบ 1 ล้านบาท ด้วยการคืนเงินทั้งหมด 100% พร้อมเตือนหากต้องการส่งบัตรประชาชนให้ใคร อย่าลืมปิดบาร์โค้ดด้านซ้ายมือด้วย

    จากกรณี นายพันธุ์สุธี มีลือกิจ เจ้าของร้านประดับยนต์ อายุ 28 ปี และครอบครัว ได้นั่งประท้วงหน้าสำนักงานตำรวจแห่งชาติ หลังถูกคนร้ายโอนเงินจำนวน 986,700 บาท ที่ฝากเอาไว้ในบัญชีธนาคารกสิกรไทย โดยคนร้ายใช้วิธีติดต่อขอเปลี่ยนซิมที่ทรูช็อปก่อนโทรไปเปลี่ยนรหัส แอพพลิเคชั่น K-Mobile Banking และโอนเงินในบัญชีไปจนเกลี้ยง ซึ่งภายหลังธนาคารกสิกรยอมคืนเงินให้ร้อยละ 33 ของเงินที่สูญไปเท่านั้น
    [อ่านข่าว : หนุ่มเครียด ! ถูกเปลี่ยนรหัส Mobile Banking โอนเงินเกลี้ยงเกือบล้านบาท]
    -http://hilight.kapook.com/view/141065-



    ความคืบหน้าล่าสุด (20 สิงหาคม 2559) ทางธนาคารกสิกรไทยได้ติดต่อทางผู้เสียหายเพื่อขอเจรจาคืนเงินให้ทั้งหมด ก่อนจะดำเนินคดีฟ้องร้องกับกลุ่มคนร้ายที่ปลอมแปลงเอกสาร ซึ่งทนายความออกมาแสดงความคิดเห็นว่าทางธนาคารต้องรับผิดชอบฐานปล่อยปละละเลยให้บุคคลอื่นที่ไม่ใช่เจ้าของบัญชีมาทำธุรกรรมการเงิน และในกรณีนี้ผู้เสียหายสามารถแจ้งความได้โดยไม่ต้องรอให้ธนาคารดำเนินคดี

    อย่างไรก็ตาม ภายหลังนายพันธุ์สุธี ได้ออกมาให้สัมภาษณ์ว่า ตนขอขอบคุณทางธนาคารกสิกรไทยที่ออกมารับผิดชอบ และขอบคุณผู้ที่ช่วยเหลือพ่อค้าธรรมดาอย่างตน ซึ่งตอนนี้ทางธนาคารเองได้ขอความร่วมมือกับตำรวจให้ช่วยจับคนร้าย แต่ครั้งนี้ขอให้เป็นบทเรียนกับธนาคารและโทรศัพท์มือถือ ว่าให้ระวังมิจฉาชีพต่าง ๆ ดังนั้น เรื่องบัตรประชาชนสำคัญมาก ตอนนี้คนร้ายได้บัตรประชาชนสามารถไปหลอกค่ายโทรศัพท์มือถือเพื่อไปเปลี่ยนซิมการ์ดได้ จึงอยากให้ค่ายมือถือและธนาคารมีความรอบคอบ และหากต้องการเปลี่ยนรหัสใด ๆ ต้องทำผ่านเคาท์เตอร์เท่านั้น

    สำหรับพ่อค้าแม่ค้าออนไลน์ ที่ต้องการส่งบัตรประชาชนให้ลูกค้านั้น ให้ทำการปิดเลข 13 หลัก วันเดือนปีเกิด และบาร์โค้ดด้านซ้ายสุด ซึ่งบาร์โค้ดนี้จะมีเลข 13 หลักอยู่ หากไม่ปิดบาร์โค้ด คนร้ายสามารภใช้แอพพลิเคชั่นสแกนเลขได้เลย เรื่องนี้ไม่มีใครรู้และขอให้ประชาชนระวัง



    ภาพจาก ชมรมช่วยเหลือเหยื่ออาชญากรรม
    -https://www.facebook.com/Helpcrimevictimclub/videos/1076087975838656/-
    อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมจาก thaich8
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • kng01.png
      kng01.png
      ขนาดไฟล์:
      680.6 KB
      เปิดดู:
      79
  13. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    ประกันซ่อมล่าช้า_สามารถเรียก''ค่าขาดประโยชน์'' รายวันได้เลย!!

    -https://www.youtube.com/watch?v=CkJB0Teogsc-

    เผยแพร่เมื่อ 17 พ.ย. 2015

    หรือยัง?? ประกันซ่อมล่าช้า_สามารถเรียก''ค่าขาดประโยชน์'' รายวันได้เลย!!

    [@Somchet J. Mhin]_ได้โพสต์ไว้ว่า: – 2 เดือนก่อน กำลังจะเลี้ยวรถเข้าบ้าน โดนชนตูด ต้องเสียเวลาซ่อมรถไปสี่สิบกว่าวัน เพราะบริษัทประกันของคู่กรณี มัวแต่จะประหยัดค่าอะไหล่ จึงเสียเวลาไปหาอะไหล่มือสองมาเปลี่ยนให้ แต่เด็กอู่กะเราซี้กัน เด็กอู่เลยตีกลับให้ใช้อะไหล่ใหม่ ส่วนเราก็ไม่ได้ไปเร่งอะไร เพราะมีรถสำรองใช้อยู่แล้ว ยิ่งลากยาวซ่อมนานเท่าไหร่ เดี่ยวจะสั่งสอนให้เข็ด

    พอซ่อมเสร็จเลยเรียกเคลม "ค่าขาดประโยชน์" ไป 45 วัน #เรียกไป วันละพัน บวกกับค่าเสื่อมสถาพรถ เป็นห้าหมื่นกว่าบาท บริษัทประกันเงิบครับ ต่อรองจะขอจ่ายแค่ 2 หมื่น เลยแกล้งยื้อเล่นๆ เขาเลยให้มา 25,000 ขี้เกียจวุ่นวาย ได้มา 25,000 ก็ดีกว่าไม่ได้เลย จะได้เอาไปหล่อทองหลวงปู่

    จากกรณีตัวอย่างนี้ จึงอยากจะบอกเพื่อนๆว่า ถ้าเกิดอุบัติเหตุทางรถยนต์ และเราเป็นฝ่ายถูก นอกจากคู่กรณีจะต้องซ่อมแซมรถเราให้อยู่ในสภาพเดิมแล้ว เรายังสามารถเรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์จากการไม่ได้ใช้รถด้วยนะครับ ส่วนวิธีขอก็ไม่ได้ยุ่งยาก ยินดีให้คำปรึกษาครับ

    และในทางกลับกัน หากเราไปชนเขา คู่กรณีก็มีสิทธิ์เรียกสินไหมค่าขาดประโยชน์ด้วยเช่นกันนะครับ

    ผมเชื่อว่าคนรู้เรื่องนี้กันน้อย บริษัทประกันเลยได้ประโยชน์ไป ที่ไม่ถูกเรียกร้องสินไหมในส่วนนี้ แต่สำหรับเพื่อนๆ ตอนนี้ก็รู้แล้วนะครับ ต่อไปถ้ารถถูกชน ก็อย่าลืมไปเรียกค่าขาดประโยชน์จากบริษัทประกันของคู่กรณีนะครับ

    ขั้นตอนการขอใช้สิทธิ์: -https://goo.gl/ICSJ97-
     
  14. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    Samaneri Pilaya Tammawuttichai ได้แชร์โพสต์ของ วิบูรณ์ บุญอนันต์ปัญญา — กับ สุญญตา สู่อนัตตา และคนอื่นๆ อีก 7 คน

    วิบูรณ์ บุญอนันต์ปัญญา
    -https://www.facebook.com/profile.php?id=100002251197908&hc_ref=NEWSFEED&fref=nf-

    สิงโตตัวหนึ่ง
    เห็นหมาบ้าเดินใกล้เข้ามา
    มันจึงรีบเดินเลี่ยงไปทางอื่น
    ลูกสิงโตเห็นจึงพูดกับพ่อว่า
    “เจอเสือตัวใหญ่ๆ พ่อยังกล้าสู้กับมัน
    แต่เจอหมาบ้าตัวเดียว
    พ่อกลับเดินหลบ
    ช่างขายหน้าเสียจริงๆ”
    พ่อได้ยินดังนั้นจึงบอกกับลูกว่า
    “ลูกพ่อ การเอาชนะหมาตัวหนึ่งนั้น
    เป็นเรื่องมีเกียรตินักหรือ”
    ลูกสิงโตส่ายหัว
    “หากโดนหมาบ้ากัด จะมิยิ่งซวยกว่าหรือ”
    ลูกสิงโตพยักหน้า
    “จำไว้นะลูก มิใช่ว่าใครทั้งหมดล้วนคู่ควรที่เราจะต่อกรด้วย”
    ผู้คนในสังคมทุกวันนี้ล้วนตกอยู่ใน
    สภาวะที่เครียด กลัดกลุ้ม
    ไม่ว่าจะเรื่องปากท้อง ครอบครัว
    ทุกคนต่างมีความโลภโกรธหลง
    เปรียบเหมือนมีขยะอยู่เต็มหัวใจ
    ไม่ว่าพบใครที่ไหนมักจะหาโอกาส
    ที่จะเทขยะเหล่านี้ออกไปให้พ้นจากตัวเอง
    ฉะนั้นอย่าได้ไปใส่ใจเลย
    จงยิ้มให้กับเค้าแล้วเดินจากไป ตั้งหน้าตั้งตาทำงานของเราให้ลุล่วง
    อย่าไปรับเอาขยะเหล่านั้นมาใส่หัว
    มันคู่ควรแล้วหรือสำหรับผู้มีปัญญา
    เราจะไม่ไปทะเลาะเพื่อเอาชนะคนแบบนั้นแน่นอน
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • ld01.png
      ld01.png
      ขนาดไฟล์:
      249.6 KB
      เปิดดู:
      85
  15. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    รู้ไว้ดีกว่า 4 วิธีปิดตาย เซ็นสำเนาบัตรประชาชน ยังไง ?? ป้องกันมิจฉาชีพสวมรอย


    -http://spicy.thaimom.net/%e0%b8%a3%e0%b8%b9%e0%b9%89%e0%b9%84%e0%b8%a7%e0%b9%89%e0%b8%94%e0%b8%b5%e0%b8%81%e0%b8%a7%e0%b9%88%e0%b8%b2-4-%e0%b8%a7%e0%b8%b4%e0%b8%98%e0%b8%b5%e0%b8%9b%e0%b8%b4%e0%b8%94%e0%b8%95%e0%b8%b2/-

    ปัจจุบันทุรกรรมทางการเงิน รวมทั้งข้อมูลต่างๆมากมายล้วนเกี่ยวข้องกับบัตรประชาชนทั้งสิ้น หากเมื่อเราทำสูญหาย หรือมีใครล่วงรู้ก็อาจทำให้เป็นภัยแก่เงินในบัญชี หรือตัวเราเองได้ ดังนั้นดีน้อยหากเรารู้วิธีป้องกัน

    01

    บัตรประชาชนและสำเนาบัตรประชาชนเป็นหลักฐานสำคัญที่ เราใช้ในการทำธุรกรรมต่างๆ ทั้งกับหน่วยงานราชการ เอกชน หรือแม้แต่ระหว่างบุคคลด้วยกัน ซึ่งในการทำธุรกรรมทั้งหลาย เราไม่สามารถจำได้หมดว่าทำอะไรไปบ้าง ก็แค่ขีดๆ เซ็นๆ ให้มันจบไป จุดนี้แหละที่เป็นจุดบอดทำให้วันดีคืนดีจู่ๆ ก็มีเอกสารให้เราไปชำระหนี้ เพราะมิจฉาชีพถือแอบอ้างสำเนาบัตรประชาชนของเราไปสวมสิทธิกับเรื่องเงินทอง โดยที่เราไม่รู้ตัว แล้วจะป้องกันอย่างไรไม่ให้เกิดเหตุการณ์แบบนี้ขึ้นอีก

    1. ขีดเส้นคู่ขนานจากมุมล่างซ้ายลากไปมุมบนขวาเรียกง่ายๆ ว่า “ลากเป็นเส้นทะแยงมุม”(ดังภาพ)

    2. ในระหว่างเส้นคู่ขนาน ให้เขียนข้อความว่าใช้เพื่อทำการอะไร แล้วลงท้ายด้วยคำว่า …เท่านั้น พร้อมทั้งเขียนเครื่องหมาย# ปิดหัวปิดท้ายข้อความ ทั้งนี้เพื่อป้องกันการเพิ่มเติมข้อความ

    3. บนเส้นคู่ขนาน(ดังภาพ)เขียนวัน เดือน ปี เพื่อยืนยันวันที่ใช้งาน

    4. ใต้เส้นคู่ขนาน เขียนคำว่า “สำเนาถูกต้อง” พร้อมทั้งเซ็นรับรอง โดยลายเซ็นของเราให้เซ็นทับรูปบนบัตรประชาชน ทั้งนี้เพื่อป้องกันการลบออกแล้วถ่ายเอกสารใหม่ของมิจฉาชีพ

    1

    เราสามารถใช้งานสำเนาบัตรประชาชนของเราด้วยวิธี การเซ็นง่ายๆ เพียง4 ขั้นตอนเเค่นี้ก็ปลอดภัยไร้กังวลแล้วครับ อ๋อ!! เกือบลืม!! ถ้าบัตรประชาชนหมดอายุให้รีบไปติดต่อขอทำใหม่ภายใน 60 วันหลังจากวันหมดอายุ แต่ถ้าเพิกเฉยโดนปรับ 100 บาทครับ

    ข้อมูลจาก เพจทนายเพื่อนคุณ และ -http://www.saraupdate.com/13786-
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • wt1.png
      wt1.png
      ขนาดไฟล์:
      492.5 KB
      เปิดดู:
      114
    • wt2.png
      wt2.png
      ขนาดไฟล์:
      1.6 MB
      เปิดดู:
      93
  16. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    .

    พระเจ้าตากสินในมุมที่ต่างจากบันทึกทางประวัติศาสตร์
    -https://www.youtube.com/watch?v=ZsuYtC2n8wk-





    ตำนาน สมเด็จพระเจ้าตากสินมหาราช | สองยาม
    -https://www.youtube.com/watch?v=rVZ61p7tUQY-





    พระยาพิชัยดาบหัก และการกอบกู้เอกราช สมัยพระเจ้าตากสิน มหาราช
    -https://www.youtube.com/watch?v=P1KkIqc-760-





    ภาพยนตร์เรื่องเจ้าตาก โดย แอ๊ด คาราบาว [ ฉบับเต็ม 1.30 ชม.] - LIFE
    -https://www.youtube.com/watch?v=a5HewtIxhl4-



    .
     
  17. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เล่นต้องระวัง!! “คนเล่นไลน์ เฟซบุ๊ค” ดูด่วนเลย จนท.สั่งจับเอาผิดคนโพสต์ติดคุกแน่นอน!!

    -http://newsza.thaimom.net/%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B8%95%E0%B9%89%E0%B8%AD%E0%B8%87%E0%B8%A3%E0%B8%B0%E0%B8%A7%E0%B8%B1%E0%B8%87-%E0%B8%84%E0%B8%99%E0%B9%80%E0%B8%A5%E0%B9%88%E0%B8%99%E0%B9%84/-



    เพื่อเร่งสร้างความรู้แก่ ประชาชน กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีจึงได้ดำเนินการจัดกิจกรรม โพสต์ต้องคิด…คลิกเสี่ยงคุก! รองผู้บังคับการกองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทาง เทคโนโลยี ในฐานะผู้รับผิดชอบและดูแลการกระทำความผิดเกี่ยวเทคโนโลยีและคอมพิวเตอร์ ลุยเข้มขจัดการกระทำผิดกฎหมายบนโลกออนไลน์ หลังจำนวนผู้กระทำผิดเพิ่มขึ้น ย้ำชัดหมดเวลาอ้างว่า รู้เท่าไม่ถึงการณ์ จากนี้หากทำผิด จับแน่ ปรับแน่ คุกแน่ๆ

    โซเชียลภายใต้ โครงการออนไลน์ใสสะอาด เรารักในหลวง เพื่อรณรงค์ให้ความรู้ใน 2 ประเด็นคือ

    1. ให้ประชาชนเข้าใจกฎหมายในการใช้สื่อออนไลน์อย่างปลอดภัยและ

    2. เพื่อให้ประชาชนรู้ทันกลอุบายต่างๆเพื่อสามารถป้องกันตนเองและไม่ตกเป็นเหยื่อของอาชญากรรมทางเทคโนโลยีต่อไป

    โดย หลังจากนี้เป็นต้นไป จะดำเนินการจับกุมผู้กระทำความผิดในข้อหาดังกล่าวอย่างจริงจัง หมดเวลาจะอ้างว่าไม่รู้กฎหมาย ดังนั้นประชาชนต้องรู้กฎหมาย โดยเฉพาะกฎหมายหมิ่นประมาทซึ่งมีประชาชนเข้ามาแจ้งความเพื่อดำเนินคดีเป็น จำนวนมากในแต่ละวันประชาชนต้องหันมาสนใจกฎหมาย และ พรบ.คอมพิวเตอร์อย่างจริงจัง เนื่องจากการกระทำผิดด้วยการ กดไลค์ คอมเม้นท์ แชร์ โพสต์ เพียงครั้งเดียว ก็สามารถทำให้ท่านติดคุกได้ ต่างจากในอดีตซึ่งประชาชนต้องทำความผิดอาญาร้ายแรงถึงจะติดคุก

    สำหรับ ข้อมูล 10 พฤติกรรมเสี่ยงคุก ที่กองบังคับการปราบปรามการกระทำความผิดเกี่ยวกับอาชญากรรมทางเทคโนโลยีได้ รวบรวมไว้ให้ประชาชนมีดังนี้

    1.Upload รูปลามกอนาจารทั้งหลายทั้งปวงในสากลโลก ไม่ว่าจะรูปตัวเองหรือรูปคนอื่น/ คุกเน้นๆได้ถึงห้าปี หรือปรับได้ถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    2.ตั้ง ตัวเป็นเจ้ากรมข่าวลือ ที่ชอบปล่อยข่าวให้บ้านเมืองเกิดความชุลมุนวุ่นวาย/ มีโอกาสได้ไปนอนคิดทบทวนพฤติกรรมตัวเองอย่างเงียบๆในคุกได้ถึงห้าปี หรือปรับถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    3.พวกที่ชอบใช้วิทยายุทธ เฉพาะตัว ตัดต่อภาพคนโน้นคนนี้ ไม่ว่าจะเป็นภาพนิ่งภาพวีดีโอ แล้วนำมาเผยแพร่ทางอินเตอร์เน็ต ทำให้เจ้าของภาพเสียหาย อับอาย / ถูกฟ้องขึ้นมาอาจต้องไปสงบสติอารมณ์ในคุกได้ถึงสามปี หรือเจอปรับไม่เกินหกหมื่นบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    4.แอบ Save ขโมยข้อมูลของคนอื่น แล้วเอาไปใช้เพื่อเป็นประโยชน์กับตัวเอง เพื่อการหากำไร เพื่อนำไปใช้กลั่นแกล้ง/ ถ้าถูกจับได้มีหวังถูกดำเนินคดีข้อหาลักทรัพย์ รวมทั้งตามกฎหมายลิขสิทธิ์ และพรบ. คอมพิวเตอร์แน่นอน

    5.พวก ชอบใส่ร้ายป้ายสีคนอื่น กุเรื่องต่างๆนานา ให้คนอื่นเสียหาย อับอาย ขายหน้า / อาจต้องไปนั่งสลดในคุกได้ถึงห้าปี หรือปรับได้ถึงหนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับ

    6.มีความอยากรู้อยากเห็นสูง เรื่องชาวบ้านคืองานของเรา ชอบแอบเอา ID หรือ Password ผู้อื่นไปแอบดูข้อมูลต่างๆนานาของบุคคลอื่น / เจอฟ้องเรียกร้องค่าเสียหาย มีสิทธิ์เจอทั้งคุกทั้งปรับแลกกับความอยากรู้อยากเห็นกันไปเลย

    7.เห็น File งานของคนอื่นไม่ได้ มักมือบอนไปลบ เพิ่มเติม หรือแก้ไขเนื้อหาใน File นั้น จะด้วยเหตุผลอะไรก็ตามแต่ แต่สุดท้ายเกิดความเสียหายแก่เจ้าของไฟล์นั้น / แบบนี้เจอคุกได้ถึงห้าปี หรือปรับไม่เกิน หนึ่งแสนบาท หรือทั้งจำทั้งปรับแน่นอน

    8.ชอบส่งอีเม ลลูกโซ่โดยไม่บอกที่มา ประเภทว่าถ้าไม่ทำตาม ไม่ส่งต่อ ชีวิตท่านจะต้องตกทุกข์ได้ยากไปชั่วกัลปาวสาน การส่งอีเมลโฆษณาขายของต่างๆนานาที่ผู้รับไม่ต้องการ สร้างความน่าเบื่อหน่าย สุดแสนรำคาญแก่ผู้ได้รับ / นอกจากจะถูกสาปแช่งจากผู้รับแล้ว ถ้าถูกจับได้ จัดไปถึงหนึ่งแสนบาท

    9.ชอบ ตั้งสำนักข่าวเป็นของตัวเอง เจออะไรทั้งใน Line, Facebook , Twitter เป็นขอกดแชร์ไว้ก่อน เรื่องจริงไม่จริงไม่เคยคิดเช็ค ซึ่งถ้าเกิดดันไปส่งต่อข้อความที่ไม่ชอบด้วยกฎหมาย ก็ไม่มีอะไรมาก / เจอคุกพอๆกับคนเริ่มข้อความเหล่านั้น รับโทษไปด้วยกันทั้งคนทำคนส่งต่อพร้อมๆกันไปเลย

    10.การโพสต์ข้อความ ใดๆที่เป็นการหมิ่นเบื้องสูง หรือทำเว็บไซต์หมิ่นสถาบันเบื้องสูงซึ่งเป็นที่เคารพของประชาชนชาวไทยให้ได้ รับความเสื่อมเสียแห่งเกียรติยศอันมีผลกระทบต่อความมั่นคงภายในราชอาณาจักร /ถือเป็นความผิดร้ายแรงทั้งกฎหมายอาญา และ พรบ.คอมพิวเตอร์ มีโทษจำคุกสูงสุดได้ถึง สิบห้าปี

    .
     
  18. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    สะเทือนไปสามโลก! เมื่อ พระอรหันต์ "หลวงปู่เจี๊ยะ" ออกลีลาปราบผี!! ชนิดที่ทำเอาผีสะดุ้ง แหกกระเจิง!!

    -http://www.pageqq.com/en/content/view/page/1/0-48440.html-

    ในวงศ์พระกรรมฐานสายท่านพระอาจารย์มั่น ภูริทัตโต หลวงปู่เจี๊ยะ จุนโท จะเป็นที่รู้จักกันเป็นอย่างดี เป็นที่ยอมรับเรื่องธรรมภายใน กิริยาภายนอกที่สบายๆ ของท่านนั้นทำให้เป็นเหมือนม่านบังปัญญา บังตาเนื้อของชาวโลกที่นิยมชื่นชมด้านวัตถุ ชอบมองแต่สิ่งสวยงามภายนอก แต่ไม่เคยหันกลับมาย้อนดูภายในใจตน จึงมองท่านไม่ออก บอกไม่ถูก รู้ไม่เท่าถึงในสิ่งที่มี ที่เป็น ที่ปรากฏภายในจิต เพราะธรรมชาติของจิตที่บริสุทธิ์ไม่มีอาการลวงเหมือนอาการทางกายวาจา

    หลวงปู่เจี๊ยะเป็นผู้มีนิสัยประเภทตรงไปตรงมา พูดจาเสียงดัง โผงผาง ขวานผ่าซาก ถึงลูกถึงคน จิตใจเด็ดเดี่ยวกล้าหาญเหมือนนักเลง การสั่งสอนของท่านก็มีลักษณะเผ็ดร้อน ไม่เอาใจใคร แต่สามารถทะลุทะลวงเข้าสู่ความจริงได้ ด้วยบุคลิกและอุปนิสัยเช่นนี้เองจึงทำให้ชีวิตทางธรรมของท่านเป็นไปอย่างออก รสชาติ โลดโผนโจนทะยาน และเต็มไปด้วยความสนุกสนาน




    ดังเช่นในคราวหนึ่งที่หลวงปู่เจี๊ยะได้รับนิมนต์ให้ไปเผยแผ่ศาสนาที่ประเทศสิงคโปร์ ขณะที่กำลังพำนักอยู่ที่บ้านพักของญาติโยมนั้นก็มีโยมชาวอินโดนีเซียมานิมนต์ท่านไปที่เกาะบาตั้ม ประเทศอินโดนีเซีย เพราะที่นั่นเขาร่ำลือกันว่าผีดุมาก เฮี้ยนมาก คนงานที่โรงงานล้มป่วยกันมากโดยไม่ทราบสาเหตุของโรคที่เป็น เจ้าของโรงงานไม่รู้ว่าจะทำอย่างไรดี เพราะไม่มีใครกล้ามาทำงาน คนงานกลัว หนีหมดเลย หาหมอผีมาจากที่ต่างๆ ก็เอาไม่อยู่ เฮี้ยนมากๆ เขาจึงนิมนต์หลวงปู่ไป นั่งเรือไฮโดรสปีดจากสิงคโปร์ไปเกาะบาตั้มประมาณ ๔๐ นาที

    เมื่อไปถึงที่โรงงานแห่งนั้น หลวงปู่เจี๊ยะอุทานว่า "โอ้โฮ! ผีเยอะฉิบหายเลย" ท่านจึงให้เขาเอาผ้าขาว ผ้าแดง มาเขียนยันต์ แล้วนำมาห่อก้อนหิน แล้วจึงนั่งสมาธิปลุกเสก ในขณะที่ทำพิธีอยู่นั้น หลวงปู่กระซิบบอกพระผู้ติดตามว่า "เฮ้ย! อย่าไปบอกใครนะ เดี๋ยวถึงหูอาจารย์มหาบัวเข้า ด่าผมแน่เลย"

    เมื่อปลุกเสกเสร็จ หลวงปู่เจี๊ยะก็ขึ้นนั่งรถเข็นให้พระผู้ติดตามเข็นไปตามทิศทางที่ท่านสั่ง ท่านกำหนดสมาธิแล้วบอกทิศทางให้พระเขวี้ยงก้อนหินไล่ผีตามที่ท่านสั่ง เดี๋ยวก็ทางซ้าย เดี๋ยวก็ทางขวา เสียงเขวี้ยงดังปังๆๆ บางทีพระเขวี้ยงไม่ถูกตามจุดที่ท่านสั่ง ท่านก็บอกว่า

    "นั่น...มันหนีไปทางนั้นแล้ว เข็นๆ ตามมันไป"

    พระรูปนั้นเล่าว่า เหมือนในหนังโปเยโปโลเยยังไงยังงั้นเลย!!

    เมื่อพระผู้ติดตามทำไม่ทันใจท่าน ท่านก็พยายามลุกขึ้นมาทำเอง แต่เท้าของท่านบวมอยู่ ใส่รองเท้าไม่ได้ ท่านจึงเอาเชือกมัดรองเท้าให้ติดกับเท้า แล้วพันหลายๆ รอบ เดินเป๋หน้าเป๋หลัง จวนเจียนจะล้ม

    "มาจับกูหน่อยซิ...ไอ้ห่า กูจะล้มอยู่แล้ว" ท่านตวาดเสียงดัง

    "ไอ้ผีพวกนี้มันหนีไว ชักช้าไม่ได้ เราต้องเร็ว"

    เมื่อเสร็จพิธี หลวงปู่เจี๊ยะก็พักอยู่ที่นั่นสองวัน แล้วจึงเดินทางกลับสิงคโปร์ มาพักที่วัดป่าเลไลยก์ คืนที่พักวัดป่าเลไลยก์นั้น ท่านเล่าว่า

    "โอ้โห! ผีใหญ่เบ้อเริ่มเทิ่ม ดำปึ้ดเลย จะมาทับผม เกิดมาในชีวิตผมเจอผีดุสองครั้ง ครั้งแรกที่วัดเขาแก้ว ครั้งนี้ผีดุ แม่งมันใหญ่ฉิบหายเลย จะมาทับ โอ้โห! อย่างใหญ่ ... เมื่อคืนปราบไปเรียบร้อย ส่งไปเกิดแล้ว ... สบาย"

    ท่านพูดจบแล้วก็หัวเราะยิ้มๆ ...



    ปัญญาญาณ สำนักข่าวนิวส์

    ที่มา : หนังสือ "หลวงปู่เจี๊ยะ จุนฺโท พระผู้เป็นดั่งผ้าขี้ริ้วห่อทอง" (ฉบับสมบูรณ์)


    ---------------------------------------------------------


    ความเชื่อ

    เรื่องความเชื่อ

    เป็นเรื่องของหากไม่เห็นโลง ไม่หลั่งน้ำตา

    .
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

  19. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    เมื่อเจ้ามา มีอะไร มาด้วยเจ้า
    เจ้าจะเอา แต่สุข สนุกไฉน
    เมื่อเจ้ามา มือเปล่า จะเอาอะไร
    เจ้าก็ไป มือเปล่า เหมือนเจ้ามา
    ยศและลาภ หาบไป ไม่ได้แน่
    เว้นเสียแต่ ต้นทุน บุญกุศล
    ทิ้งสมบัติ ทั้งหลาย ให้ปวงชน
    ร่างของตน เขายังเอา ไปเผาไฟ
    อันความตาย ชายนารี หนีไม่พ้น
    จะมีจน ก็ต้องตาย วายเป็นผี
    ถึงแสนรัก ก็ต้องร้าง ห่างทันที
    ไม่วันนี้ ก็วัหน้า จริงหนาเราฯ

    คัดมาจากหนังสือคู่มือดับทุกข์
     
  20. sithiphong

    sithiphong เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    4 ธันวาคม 2005
    โพสต์:
    45,445
    ค่าพลัง:
    +141,949
    หลวงพ่อสอนไว้
    -https://www.facebook.com/%E0%B8%AB%E0%B8%A5%E0%B8%A7%E0%B8%87%E0%B8%9E%E0%B9%88%E0%B8%AD%E0%B8%AA%E0%B8%AD%E0%B8%99%E0%B9%84%E0%B8%A7%E0%B9%89-249459721851901/-

    ภาพปริศนาธรรม

    หนึ่งพยัคฆ์ คำราม ตามตะปบ
    หนึ่งคนหลบ เกาะไม้เลื้อย ริมผาหิน
    ที่ด้านล่าง พญางู รอกลืนกิน
    ลมหายใจ ก็โรยริน ไร้เรี่ยวแรง
    เถาไม้เลื้อย ที่รับร่าง กลางภัยร้าย
    หนูกระหาย ร่าง ขาว-ดำ ช่างกำแหง
    ลงฟันแทะ เถาไม้เลื้อย กันเต็มแรง
    คนก็แกว่ง อยู่กลางภัย พยัคฆ์-งู
    ด้วยไม่รู้ ทางใดใด จะให้รอด
    ได้แต่กอด เถาวัลย์ไว้ ให้อดสู
    พลันได้เห็น รวงผึ้งอ่อน เอื้อมชิมดู
    จึงได้รู้ รสแสนหวาน อันโอชา...

    ปริศนาธรรม ของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    พยัคฆ์คือ อดีตกรรม ตามไล่ล่า
    เถาวัลย์คือ กายา สังขารขันธ์
    พญางู คือสุดทาง แห่งชีวัน
    หนู ขาว-ดำ สองตัวนั้น คือ วัน-คืน
    จิตของคน คือชายหนุ่ม ผู้นั้นเล่า
    ชีพคนเรา ภัยล้อมรอบ ไร้ใครฝืน
    เปรียบน้ำผึ้ง คือพระธรรม ที่ยั่งยืน
    ใครได้ลิ้ม ชิมกลืน จักชื่นบาน

    -Thanisnun Sila-
    -Somsak Upara-

    #หลวงพ่อสอนไว้
     

    ไฟล์ที่แนบมา:

    • pst1.png
      pst1.png
      ขนาดไฟล์:
      642.6 KB
      เปิดดู:
      69
    • pst2.jpg
      pst2.jpg
      ขนาดไฟล์:
      67.4 KB
      เปิดดู:
      106

แชร์หน้านี้

Loading...