พระราชินีทรงรับสั่งคนไทยรักบ้านเมือง-ประณามโจรใต้

ในห้อง 'ข่าวในพระราชสำนัก' ตั้งกระทู้โดย vacharaphol, 8 กุมภาพันธ์ 2007.

  1. vacharaphol

    vacharaphol เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    8,849
    ค่าพลัง:
    +27,174
    สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ รับสั่งคนไทยทั้งชาติผนึกกำลังประณามโจรใต้ทำร้าย ปชช. ทรงแนะร่วมกันแสดงออกผ่านสื่อต่างๆ หรือจดหมาย แสดงให้เห็นว่าคนไทยไม่พอใจ อย่ายอมให้ประเทศไทยมีคนชั่วร้าย
    ขณะที่ครู ตชด.ปลื้มน้ำพระทัยพระเทพฯ เสด็จฯ ไปทรงเยี่ยม พร้อมพระราชทานสิ่งของ เผยโจรใต้ปล่อยข่าวขู่ทำร้ายเด็กหากมาเรียนหนังสือ

    เมื่อเวลา 17.53 น. วันที่ 6 กุมภาพันธ์ สมเด็จพระนางเจ้าฯ พระบรมราชินีนาถ เสด็จออก ณ พระที่นั่งบรมราชสถิตยมโหฬาร พระราชทานพระราชวโรกาสให้คณะบุคคลต่างๆ เฝ้าทูลละอองธุลีพระบาท ทูลเกล้าทูลกระหม่อมถวายเงินและสิ่งของต่างๆ โดยเสด็จพระราชกุศลในโครงการต่างๆ
    ในการนี้ ได้มีพระราชดำรัสแก่ผู้มีจิตศรัทธาบริจาคทรัพย์ โดยเสด็จพระราชกุศลในครั้งนี้
    "...ขอบใจท่านทั้งหลายมากที่อนุญาตให้ข้าพเจ้าใช้เงินที่ได้มาถวายในวันนี้ สำหรับไปช่วยเหลือราษฎรต่างๆ ที่ข้าพเจ้าไปทุกภาค ภาคใต้ ภาคอีสาน และก็ภาคเหนือ ข้าพเจ้าปลื้มใจที่ทุกคนเข้าใจว่า การที่ประเทศชาติของเราจะเจริญยั่งยืนได้ ทุกคนๆ ในชาติต้องเข้าใจว่า ทุกๆ คนจะต้องช่วยกัน ใครก็ตามที่อยู่ในตำแหน่งที่จะช่วยประเทศก็น่าจะทำให้เต็มที่ เช่น บรรพบรุษของเราก็ทำมาแล้ว ตั้งแต่เอาชีวิตเป็นเดิมพันทุ่มลงในแผ่นดินนี้ จนมาถึงพวกเราทุกวันนี้ ที่เป็นประชากรของประเทศที่มีเอกราช และมีความร่วมมือ
    ก็ขอให้คนไทยทั้งชาติร่วมใจกัน สามัคคีกัน ทำนุบำรุงชาติบ้านเมือง และก็คิดว่าทุกภาคของประเทศ คือ คนไทยด้วยกัน ซึ่งถ้ามีเหตุการณ์ใดในภาคไหนก็ตาม คนไทยของเราน่าจะใส่ใจที่จะช่วยเหลือ ช่วยเหลือเต็มที่โดยตรงไม่ได้ก็ช่วยในการออกเสียง อย่างที่คนไทยในภาคใต้ถูกฆ่าด้วยการกระทำทารุณโหดร้ายมาก ข้าพเจ้าก็คิดว่า คนไทยทั้งชาติไม่ว่าจะอยู่ภาคไหนก็น่าจะร่วมใจกัน แสดงความคิดเห็นว่า เราเห็นว่าไม่ถูกต้องที่เที่ยวฆ่าประชาชนราษฎร คนแก่ คนเฒ่า ผู้หญิงที่ช่วยตัวเองไม่ได้ เราจะมานั่งนิ่งอยู่เฉยๆ ไม่ได้ ไม่ถูกต้อง เราจะต้องประณาม แสดงให้เห็นว่า เรารู้และก็ไม่พอใจในการกระทำเช่นนั้น
    ข้าพเจ้าคิดว่า พวกเราชาวกรุงเทพฯ นั่งเฉยๆ ไม่ถูกต้อง น่าจะมีการร่วมกันอย่างที่มาหาข้าพเจ้า ร่วมกันแสดงออก ทางวิทยุ หรือโทรทัศน์ หรือจะเป็นจดหมายอะไรต่างๆ ก็ดี ต้องมีวิธีที่ออกอากาศ หยุดนะ อย่าทำอย่างนั้น ทำอย่างนั้น ไม่ได้ ก็จะทำให้เห็นว่า บ้านเมืองของเราป่าเถื่อน นึกอยากจะฆ่าใครก็ฆ่าได้ อันนี้ต้องหยุด พอซะที
    อย่างครูกอบกุล อายุก็ 30 เท่านั้นเอง ขี่มอเตอร์ไซค์ไปบ้านเพื่อจะไปป้อนข้าวแม่ เพราะแม่เป็นคนพิการ ตราบจนบัดนี้ก็ไม่ทราบว่าใครฆ่า อันนี้มันไม่ถูกต้อง อย่างเช่น ครูจูหลิง ที่เพิ่งเผาไปเมื่อเร็วๆ นี้ อายุแค่ 27 เท่านั้นเอง เป็นชาวเชียงราย แต่ว่าอาสาสมัครสอบได้ที่ 1 ก็โดนฆ่าอย่างทารุณ โดนทุบหัวเป็นๆ จนกระทั่งสิ้นสติ กะโหลกร้าว ไม่มีทางที่จะกลับฟื้นคืนมาได้ แต่ด้วยความรักบ้านรักเมือง ก็ไม่ได้นั่งอยู่เฉยๆ อย่างเรา เขาพยายามไปในที่ที่คิดว่ามีปัญหา เพื่อจะไปช่วย ขนาดอายุ 27 ครูประสาน มากชู ซึ่งเป็นผู้ชายก็ถูกยิงที่ศีรษะ ขณะกำลังเขียนกระดานดำ
    อันนี้ข้าพเจ้าก็รู้ว่าคนร้ายมันมีอยู่ทั่วไป แต่ว่าหน้าที่ของเราก็คือว่า ไม่ยอมให้ประเทศไทยมีคนที่ชั่วร้ายอย่างนี้ สามารถที่จะฆ่าใครก็ฆ่าได้ บ้านเมืองก็ไม่สามารถจะจับคนร้ายได้ อันนี้ไม่ถูกต้อง ไม่เป็นเกียรติยศกับบ้านกับเมืองด้วย..."
    ครูตชด.ปลื้มน้ำพระทัยพระเทพฯ
    ส่วนสถานการณ์ในพื้นที่ภาคใต้วันเดียวกัน นายอาทิตย์ อินทชัย ครูใหญ่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนนิคมพิทักษ์ราษฎร์ อ.ธารโต จ.ยะลา กล่าวว่า เมื่อวันที่ 6 กุมภาพันธ์ ที่ผ่านมา สมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี เสด็จพระราชดำเนินยังโรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนนิคมพิทักษ์ราษฎร์ พระราชทานสิ่งของแก่ครูตำรวจตระเวนชายแดน (ตชด.) และนักเรียน พร้อมทั้งพระราชทานพระราชวโรกาสให้ ส.ต.อ.ศิริพร สังคหรัตน์ ครู ตชด.ของโรงเรียน ซึ่งถูกลอบทำร้ายจนบาดเจ็บ เข้าเฝ้าฯ และมีพระราชปฏิสันถารด้วยความห่วงใย ซึ่งน้ำพระทัยครั้งนี้ถือเป็นขวัญและกำลังใจอย่างหาที่สุดมิได้ของครู ตชด.ทั้งหมด
    ครูใหญ่ กล่าวว่า ที่ผ่านมาเหตุการณ์ความรุนแรงที่เกิดจากกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบหลากหลายรูปแบบ ส่งผลให้นักเรียนซึ่งมีทั้งสิ้น 107 คน เกิดความหวาดผวาและหวาดกลัวต่อความไม่ปลอดภัย ทำให้นักเรียนเดินทางมาเล่าเรียนลดลง กระทั่งวันนี้มีเด็กมาเรียนเพียง 80 คนเท่านั้น และกลุ่มผู้ไม่หวังดียังปล่อยข่าวข่มขู่ผู้ปกครองและเด็กนักเรียนด้วยว่า หากปล่อยบุตรหลานมาศึกษาเล่าเรียนที่โรงเรียนตำรวจตระเวนชายแดนจะไม่รับรองความปลอดภัยของนักเรียน ทำให้ทุกคนต่างอยู่ในความรู้สึกไม่มั่นใจ เนื่องจากฝ่ายตรงข้ามพยายามกดดันมวลชนทุกรูปแบบ ซึ่งเรียกความมั่นใจของชาวบ้านในการรับประกันความปลอดภัยให้เด็กนักเรียนอย่างเต็มที่
    นายอาทิตย์ กล่าวว่า ไม่หวั่นต่อสถานการณ์รุนแรง และยังมุ่งมั่นในปณิธานการทำหน้าที่สอนหนังสือในฐานะครูตำรวจตระเวนชายแดน ที่สำคัญน้ำพระทัยจากสมเด็จพระเทพรัตนราชสุดาฯ สยามบรมราชกุมารี ยิ่งทำให้ทุกคนยืนยันจะทำหน้าที่ต่อไปเพื่อยกระดับการศึกษาในพื้นที่นี้ให้เต็มที่และดีที่สุด
    ทหารจี้ชาวบ้านลุกขึ้นสู้โจรใต้
    พ.อ.อัคร ทิพโรจน์ หัวหน้าศูนย์ประชาสัมพันธ์ กองบัญชาการผสมพลเรือน ตำรวจ ทหาร (พตท.) กล่าวว่า จากเหตุการณ์ลอบทำร้าย นายกูเฮง สาอิ ผู้ใหญ่บ้านดีเด่น อ.โคกโพธิ์ จ.ปัตตานี เป็นเรื่องที่ยืนยันได้ชัดเจนว่า การพัฒนาหมู่บ้านให้ประชาชนมีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น ต้องแลกกับความไม่ปลอดภัยในชีวิตและทรัพย์สินของผู้นำหมู่บ้าน เพราะการร่วมมือกับรัฐและลุกขึ้นสู้กับกลุ่มผู้ก่อเหตุความไม่สงบ ทำให้ความเป็นอยู่ในหมู่บ้านเริ่มดีขึ้นอย่างต่อเนื่องจนชาวบ้านเริ่มยอมรับ แต่กลุ่มผู้ก่อความไม่สงบกลับต่อต้าน จึงเป็นการพิสูจน์ที่ชัดเจนแล้วว่า ถึงเวลาที่ประชาชนต้องออกมาร่วมมือกับรัฐเพื่อต่อสู้กับโจร ไม่ใช่หลบอยู่ข้างหลังโจร โดยไม่คิดลุกขึ้นสู้
    "ความร่วมมือของชาวบ้านเป็นเงื่อนไขสำคัญ ทันทีที่ชาวบ้านลุกขึ้นสู้ เท่ากับชนะโจรได้ครึ่งทาง อีกทั้งรัฐพร้อมที่จะสนับสนุนทุกช่องทางไม่ว่าจะเป็นกำลังพลในทางลับและเปิดเผยเพื่อเป็นแนวร่วมช่วยเหลือ รวมถึงเครื่องมือและอาวุธยุทโธปกรณ์ต่างๆ เพื่อก้าวสู่การเป็นชุมชนที่เข็งแข้งอย่างแท้จริง แม้ต้องแลกกับการสูญเสียบ้างก็เป็นเรื่องปกติในการทำสงครามต่อสู้เพื่ออิสรภาพ แต่จะเป็นเพียงช่วงเวลาสั้นๆ เท่านั้น ซึ่งคุ้มค่ากว่าการทนเห็นการสูญเสียตลอดทั้งชีวิตโดยไม่ได้รับความเป็นไท และภาวนาให้กรณีนายกูเฮงเป็นแบบอย่างที่มีส่วนช่วยให้ชาวบ้านที่ยังก้ำกึ่งตัดสินใจจะร่วมมือ หรือนิ่งเฉยต่อเหตุการณ์ ได้ตระหนักและตัดสินใจได้ง่ายยิ่งขึ้น" พ.อ.อัคร กล่าว
    ส่วนเหตุการณ์ในพื้นที่ เมื่อเวลา 07.30 น.วันเดียวกัน พ.ต.อ.มนัส ศิกษมัต ผกก.สภ.อ.ยะหริ่ง จ.ปัตตานี รับแจ้งเกิดเหตุระเบิดใกล้ศาลาที่พักผู้โดยสาร ริมถนนสาย 42 ปัตตานี-นราธิวาส หมู่ 7 ต.ยามู อ.ยะหริ่ง ทำให้ตำรวจได้รับบาดเจ็บเล็กน้อย 2 นาย ทราบชื่อคือ ร.ต.อ.ธงชัย คำแก้ว และ ด.ต.ตุแวฮามิ นิแฮ จากการตรวจสอบที่เกิดเหตุพบว่า คนร้ายนำวัตถุระเบิดแสวงเครื่อง น้ำหนักประมาณ 3 กก. ไปฝังดินบริเวณโคนต้นไม้ด้านหน้าศาลาที่พักผู้โดยสาร เมื่อตำรวจ สภ.ต.ราตาปันยัง ออกตรวจตรามาถึงที่เกิดเหตุ คนร้ายจึงจุดชนวนด้วยโทรศัพท์มือถือ แรงระเบิดส่งผลให้เป็นหลุมลึก 35 ซม. กว้าง 95 ซม. มีเศษชิ้นส่วนโทรศัพท์มือถือและสะเก็ดระเบิดซึ่งเป็นเหล็กตัดขนาด 3 หุน กระจายทั่วบริเวณ
    ผ่าสมองรอบ 2"รองผกก.ตชด."ยังวิกฤติ
    รศ.น.พ.สุเมธ พีรวุฒิ ผอ.โรงพยาบาลสงขลานครินทร์ (มอ.หาดใหญ่) กล่าวถึงอาการ พ.ต.ท.วรรณะ บุญชัย รอง ผกก.ตชด.ที่ 44 จ.ยะลา ที่ถูกคนร้ายยิงได้รับบาดเจ็บว่า อาการทั่วไปยังไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง สัญญาณชีพยังปกติ มีไข้เล็กน้อย สมองที่บวมเริ่มยุบลงเล็กน้อย แต่ยังต้องใช้เครื่องช่วยหายใจ ส่วนอาการทางระบบประสาท เบื้องต้นผู้ป่วยยังไม่รู้สึกตัว แขน-ขาไม่ขยับ ไม่ตอบสนองต่อความเจ็บปวด รูม่านตาข้างซ้ายมีขนาดเล็กลง และตอบสนองต่อแสงได้ดี ส่วนแนวกึ่งกลางของสมองที่เบี่ยงเบนเล็กน้อยเหลือเพียงประมาณ 2 มม. จากเดิม 11 มม. ก่อนการผ่าตัดกะโหลกศีรษะครั้งที่สอง แต่เนื้อสมองยังคงบวมอยู่ อาการโดยรวมยังถือว่าอยู่ในภาวะวิกฤติ และจะมีการสรุปผลโดยภาพรวมอย่างละเอียดประมาณ 1-2 วันนี้อีกครั้ง เพื่อช่วยเหลือในขั้นต่อไป
    ความคืบหน้าคดี มีรายงานจากชุดสืบสวนสอบสวน ภ.จว.ยะลา ระบุว่าแนวทางการสอบสวนหาคนร้ายที่ยิง พ.ต.ท.วรรณะ พุ่งเป้าไปยังกลุ่มของ นายรอมือดี แนแปเราะ อายุ 45 ปี หัวหน้ากลุ่มก่อความไม่สงบที่เคลื่อนไหวอยู่ใน ต.ปะแต อ.ยะหา จ.ยะลา พร้อมกลุ่มอาร์เคเค คือ นายฮูบัยดีละห์ รอมือลี อายุ 30 ปี นายอีบาราเฮง เปาะแต อายุ 38 ปี นายมาหะยารูดิง กาเร็ม 26 ปี นายมะรอลี สาและ อายุ 38 ปี นายมะกะตาร์ หามะ 35 ปี และนายสะลีมิง มะสัน อายุ 50 ปี ซึ่งผู้ต้องสงสัยทั้งหมดเป็นคนใน ต.ปะแต และมีหมายจับคคีความมั่นคงทุกราย
    ส่วนพฤติกรรมของกลุ่มก่อความไม่สงบกลุ่มนี้เคยก่อเหตุยิงชุดลาดตระเวน สภ.ต.ปะแต ยิงโจมตี สภ.ต.ปะแต ยิง ตชด.ที่ประจำโรงเรียน ตชด.โรงงานยาสูบ 2 เสียชีวิต 2 นาย และร่วมกับกลุ่มของ นายหาสือมิง จาลง เข้าโจมตี สภ.อ.บันนังสตา จ.ยะลา ด้วย
    เผยกำแพงไทย-มาเลย์ยังไม่ได้ข้อสรุป
    ความคืบหน้ากรณีรัฐบาลมาเลเซียจะเจรจากับไทยเกี่ยวกับผลกระทบที่อาจเกิดขึ้นกรณีที่จะมีการสร้างกำแพงเขตแดนระหว่างประเทศไทยกับประเทศมาเลเซีย เพื่อป้องกันการลักลอบข้ามแดนและแก้ปัญหาลักลอบค้าของเถื่อน คาดว่าเรื่องดังกล่าวจะถูกหยิบยกขึ้นมาหารือระหว่างการพบปะกันของ พล.อ.สุรยุทธ์ จุลานนท์ นายกรัฐมนตรี และนายอับดุลเลาะห์ อาหมัด บาดาวี นายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ซึ่งจะเดินทางมาประเทศไทยในวันที่ 11 กุมภาพันธ์นี้
    แหล่งข่าวจากคณะกรรมการชายแดนไทย-มาเลเซีย ยืนยันว่า โครงการดังกล่าวยังไม่ได้ข้อยุติ โดยเฉพาะประเด็นความยาวในรูปแบบกำแพงเดี่ยว โดยทั้งสองฝ่ายจะต้องรับผิดชอบงบประมาณการก่อสร้างคนละครึ่ง
    "กำแพงจุดนี้ทางฝ่ายไทยเป็นผู้เสนอฝ่ายมาเลเซีย เราเสนอไปตอนนี้ยาวประมาณ 5 กิโลเมตร แต่ทางมาเลเซียเสนอกลับมาเพิ่มเป็น 10 กิโลเมตร ฉะนั้น ขั้นตอนในขณะนี้ยังอยู่ระหว่างการทำทีโออาร์ ยังไม่ได้ข้อสรุป ซึ่งเร็วๆ นี้ทางฝ่ายไทยจะมีการประชุมกันอีกครั้ง หลังจากนั้นจะส่งกลับไปให้มาเลเซีย" แหล่งข่าว กล่าวและว่า จุดที่มีการกำหนดเพื่อก่อสร้างกำแพง จะใช้ด่านศุลกากรจังโหลนเป็นเส้นแบ่ง ด้านทิศตะวันตกและตะวันออก รวมระยะทางประมาณ 10 กิโลเมตร บริเวณหมู่ 7 บ้านไทยจังโหลน ต.สำนักขาม อ.สะเดา จ.สงขลา กำแพงจะตั้งอยู่ตรงเส้นเขตแดน
    ส่วนเหตุผลที่ไทยเสนอก่อสร้างกำแพงบริเวณนี้ เนื่องจากเดิมทั้งสองประเทศจะก่อสร้างรั้วโดยห่างจากเส้นเขตแดน ทำให้เกิดเป็นพื้นที่ว่างที่ไม่มีใครมีสิทธิ (โนแมนแลนด์) จนเป็นจุดที่มีกลุ่มลักลอบสินค้าหนีภาษี ลักลอบเข้าเมือง และยาเสพติดเข้าไปในพื้นที่เพื่อกระทำความผิด
    แหล่งข่าวยังแสดงความเห็นว่า กรณีรัฐบาลไทยจะขอขยายพื้นที่ก่อสร้างกำแพงก็มีสิทธิที่จะเสนอได้ เนื่องจากที่ผ่านมามาเลเซียเองก็ขอขยายจากที่ไทยเสนอไปครั้งแรก 5 กิโลเมตร เป็น 10 กิโลเมตร แต่สิ่งที่จะต้องประกอบการขอขยาย คือ มีอยู่ด้วยกัน 3 เหตุผล คือ ความจำเป็นในการขยายเพิ่ม ความเป็นไปได้ในการก่อสร้าง เนื่องจากต้องดูภูมิประเทศ และงบประมาณที่ใช้ในการก่อสร้าง ซึ่งทั้งสองประเทศจะต้องมีงบประมาณทั้งสองฝ่าย เพราะการก่อสร้างจะรับผิดชอบคนละครึ่ง ฉะนั้น หากไทยมีงบ แต่มาเลเซียไม่มีงบก็สร้างไม่ได้
    แหล่งข่าว กล่าวว่า จุดแรกของการก่อสร้างกำแพงไทย-มาเลเซียแบบกำแพงเดียว สร้างเสร็จในปี 2545 ที่ผ่านมา คือ บริเวณศาลเจ้าแม่กวนอิม เขตเทศบาลเมืองปาดังเบซาร์ ระยะทางรวม 5.3 กิโลเมตร โดยฝ่ายไทยรับผิดชอบก่อสร้าง 2.5 กิโลเมตร ขณะที่มาเลเซียรับผิดชอบ 2.8 กิโลเมตร ครอบคลุมพื้นที่ด่านปาดังเบซาร์
    นายกฯไทย-มาเลย์หารือร่วม11ก.พ.นี้
    พล.อ.พงศ์เทพ เทศประทีป เลขาธิการนายกรัฐมนตรี เปิดเผยภายหลังเป็นประธานการประชุมเตรียมการต้อนรับนายกรัฐมนตรีแห่งมาเลเซีย ซึ่งจะเดินทางมาประเทศไทย ระหว่างวันที่ 11-13 กุมภาพันธ์นี้ว่า ในวันที่ 11 กุมภาพันธ์ นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศจะไปพบกันที่ จ.ภูเก็ต และร่วมออกรอบตีกอล์ฟที่สนามกอล์ฟมิชชั่นฮิลล์ ในวันที่ 12 กุมภาพันธ์ นายกรัฐมนตรีจะนำนายกรัฐมนตรีมาเลเซียเข้าเฝ้าฯ พระบาทสมเด็จพระเจ้าอยู่หัว ที่พระตำหนักจิตรลดารโหฐาน พระราชวังดุสิต ในส่วนของการหารือซึ่งคงมีการหยิบยกปัญหาเรื่องภาคใต้มาพูดคุย จะมีขึ้นที่ทำเนียบรัฐบาล ในเวลา 17.30 น. วันที่ 11 กุมภาพันธ์ และเวลา 19.00 น. นายกรัฐมนตรีทั้งสองประเทศจะร่วมแถลงข่าวอย่างเป็นทางการ เลขาธิการนายกรัฐมนตรี กล่าวว่า ในส่วนของปัญหา 130 คนไทยที่อพยพไปอยู่มาเลเซียนั้น ทางไทยพร้อมที่จะให้คนไทยทั้ง 130 คนกลับประเทศ โดยรับปากที่จะดูแลเรื่องความปลอดภัยให้แก่ทั้งหมด ส่วนกรณี นายมหาธีร์ โมฮัมหมัด อดีตนายกรัฐมนตรีมาเลเซีย ระบุว่าจะช่วยเหลือโดยการเปิดโต๊ะเจรจากับกลุ่มผู้ก่อความไม่สงบนั้น ความร่วมมือดังกล่าวรัฐบาลไทยจะยึดหลักรัฐบาลกับรัฐบาลเท่านั้น จะไม่ทำอะไรนอกระบบ
    [​IMG]
     
  2. นพสร

    นพสร เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    9 กันยายน 2006
    โพสต์:
    548
    ค่าพลัง:
    +1,175
    พวกเรารัก ราชินีไทย คะ
     

แชร์หน้านี้

Loading...