ปี 2548 ถือเป็นปีไก่ชนดะ

ในห้อง 'ข่าวทั่วไป' ตั้งกระทู้โดย MBNY, 31 ธันวาคม 2005.

  1. MBNY

    MBNY Administrator ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กรกฎาคม 2003
    โพสต์:
    6,864
    กระทู้เรื่องเด่น:
    10
    ค่าพลัง:
    +22,511
    ปี 2548 ถือเป็นปีไก่ชนดะ


    เพราะไล่จิกไล่ฟัดคนไทย ตั้งแต่หัวปียันท้ายปี ชนิดไม่ยอมให้ได้หยุดพัก หายใจกันบ้างเลย
    จึงอย่าแปลกใจที่ปีนี้คนไทย ถึงได้รู้สึกเหน็ดเหนื่อยแสนสาหัส จนอดรำพึงปลอบใจตัวเองไม่ได้ว่า
    “รอดมาได้ก็บุญแล้ว”

    สำหรับการจัดอันดับท็อปเทนโลกเศรษฐกิจไทยประจำปีไก่ชน จึงไม่ใช่เรื่องไม่ง่าย เนื่องจากมีเหตุการณ์ เด่นๆอยู่หลากหลาย
    อย่างไรก็ดี ภายหลังจากที่ “ทีมเศรษฐกิจ” ได้ประชุมเครียดกันมาหลายยก ในที่สุดก็สามารถฟันธงเลือก 10 อันดับที่สุดของที่สุดเศรษฐกิจไทยปี 2548
    นั่นคือ...

    อันดับที่ 10 ถอดใจแห่งปี

    [​IMG]

    จากการที่โทรศัพท์มือถือได้ระเบิดศึกเดือด ถึงขั้นดัมพ์ ราคาแอร์ไทม์เหลือแค่นาทีละ 25 สตางค์ และยังมีการเปิดศึกบล็อกสัญญาณตามมา
    ด้วยการแข่งขันที่เข้มข้น และโดยเฉพาะอย่างยิ่งเมื่อกิจการโทรคมนาคม กำลังก้าวเข้าสู่ปีแห่งการเปิดเสรี ทำให้กลุ่มทุนโทรคมนาคมต้องการเงินอัดฉีดจำนวนมหาศาลเพื่อลงทุนเครือข่ายยุค 3 จี
    ส่งผลให้ ตระกูลเบญจรงคกุล แห่งยูคอม เจ้าของดีแทค ผู้ให้บริการมือถือเบอร์ 2 เกิด “ถอดใจ” ขายหุ้นกว่า 40% มูลค่า 9,200 ล้านบาท ให้แก่ เทเลนอร์ ยักษ์สื่อสารนอร์เวย์ที่เป็นพันธมิตร
    อย่างไรก็ดี ตระกูลเบญจรงคกุลก็ไม่ใช่ครอบครัวไทคูนโทรคมนาคมเพียงครอบครัวเดียวที่ถอดใจ
    เพราะในปี 2549 ที่กำลังจะมาถึงนี้ ตระกูลชินวัตร เจ้าของกิจการมือถือเบอร์ 1 ก็มีแผนที่จะขายหุ้นเช่นกัน!!

    อันดับที่ 9 ทุ่มสุดๆแห่งปี

    [​IMG]

    ต้องยกให้ โครงการเมกะโปรเจกต์ ของ พ.ต.ท. ทักษิณ ชินวัตร นายกรัฐมนตรี ซึ่งตั้งใจอัดฉีดเศรษฐกิจไทยพุ่งทะลัก จึงได้คิดแผนลงทุนสารพัด โครงการด้วยวงเงินถึง 2.35 ล้านล้านบาท
    แม้ว่าจะมีความหวาดวิตกว่า เมกะโปรเจกต์ อาจจะก่อหนี้สาธารณะอย่างมหาศาล
    แต่ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร ก็สั่งเดินเครื่องเต็มที่ เพียงแต่ปรับลดยอดเงินที่จะใช้มาอยู่ที่ 1.8 ล้านล้านบาท และปรับเปลี่ยนรายละเอียดเนื้อหาของบางโครงการ เช่น เส้นทางการเดินรถไฟฟ้าได้เพิ่มเป็น 10 สาย

    ความมหัศจรรย์พันลึกของโครงการเมกะโปรเจกต์มีขนาดไหน ก็ดูได้จากการเมื่อคราวรัฐบาลเปิดตัวโครงการนี้ให้บรรดาทูตานุทูตจากทั่วโลก และองค์กรระหว่างประเทศเมื่อวันที่ 14 ธ.ค.ที่ผ่านมา
    ปรากฏว่าสร้างความฮือฮาให้แก่ทูตานุทูตทั้งหลาย
    ขนาดทูตสหรัฐอเมริกาประจำประเทศไทยยังต้องตะลึง ตึง ตึง!!

    อันดับที่ 8 ผู้บริโภคเสียงดังสุดแห่งปี

    [​IMG]

    ปีนี้ถือเป็นปีทองของผู้บริโภคชาวไทย เพราะกล้าที่จะมีปากมีเสียงมากขึ้น
    โดยผู้ที่จุดประกายให้ผู้บริโภคชาวไทย เกิดความตื่นตัว ในการรักษาสิทธิของผู้บริโภค ก็คือ น.ส.เดือนเพ็ญ ศิลาเกษ เจ้าของรถฮอนด้า ซีอาร์-วี ซึ่งได้ทุบรถประจานคุณภาพของรถ และการบริการหลังการขาย ที่ไม่มีประสิทธิภาพของฮอนด้า

    แม้ว่าปรากฏการณ์ทุบรถดังกล่าว อาจจะส่งผลลบที่ทำให้เกิด “ลัทธิเอาอย่าง” ตามมาบ้าง แต่สำคัญ ก็ได้ปลุกเร้าให้ผู้บริโภคชาวไทยหันมาให้ความใส่ใจในสิทธิของผู้บริโภคมากขึ้น
    จึงทำให้ปีนี้มีประชาชนแห่กันมาร้องทุกข์ผ่าน สคบ. (สำนักงานคณะกรรมการคุ้มครองผู้บริโภค) มากที่สุดนับแต่ก่อตั้งมา โดยยอดผู้มาร้องทุกข์ในปีนี้มีเพิ่มมากกว่าปีที่แล้วถึง 103%!!

    อันดับที่ 7 ดีลหุ้นดังแห่งปี

    [​IMG]

    สำหรับ “ดีลหุ้นดังแห่งปี” มีอยู่ 2 เรื่อง ซึ่งเทียบวัดความดังก็พอฟัดพอเหวี่ยง
    นั่นคือ กรณี “อากู๋” นายไพบูลย์ ดำรงชัยธรรม บอสใหญ่ บมจ.จีเอ็มเอ็มแกรมมี่ ไล่ซื้อหุ้นกลุ่มมติชน-บางกอกโพสต์ และกรณี ปตท.โดดอาสาเคลียร์ หน้าเสื่อทีพีไอได้สำเร็จ
    สำหรับการเข้าซื้อหุ้นมติชนและบางกอกโพสต์ของอากู๋ ณ แกรมมี่ จัดเป็น “ทุกขลาภแห่งปี” ทั้งของอากู๋และ “อาจารย์ช้าง” นายขรรค์ชัย บุนปาน ผู้ก่อตั้งและประธาน บมจ.มติชน
    โดยภายหลังจากที่อากู๋ได้ดอดเข้าเทกโอเวอร์กิจการ มติชนแบบไม่เป็นมิตรแล้ว ได้เกิดกระแสต่อต้านอย่างรุนแรงไปทั่วสังคมไทย ส่งผลให้ภาพพจน์ของแกรมมี่ติดลบ ขณะที่อาจารย์ช้างก็ต้องกลายเป็นคนที่มีหนี้สินขึ้นมาทันที จากการที่ต้องตั้งโต๊ะและกู้แบงก์เพื่อซื้อหุ้นคืนในราคาสูง
    ในส่วนของการฟื้นฟูกิจการ บมจ.บริษัทอุตสาหกรรมปิโตรเคมีกัลไทย (ทีพีไอ) ซึ่งยืดเยื้อมายาวนานหลายปี สุดท้ายก็ทำท่าจะแฮปปี้เอ็นดิ้ง สร้างความโล่งอกให้แก่รัฐบาล
    ด้วยการให้ บมจ. ปตท.เป็น “ตัวช่วย” ลุยอัดฉีดเงินเพิ่มทุนและเคลียร์หน้าเสื่อกับบรรดาเจ้าหนี้ของทีพีไอ

    อันดับ 6 ยานยนต์ล้านคันแห่งปี

    [​IMG]

    ปีนี้ถือเป็น Milestone สำคัญของอุตสาหกรรมยานยนต์ไทย เพราะทำสถิติผลิตรถยนต์ได้ถึง 1 ล้านคันต่อปีเป็นปีแรก เมื่อเวลา 17.19.40 น. ของวันที่ 23 พ.ย.ที่ผ่านมา
    ผลักดันให้ไทยก้าวสู่การเป็น “ดีทรอยต์ ออฟ เอเชีย”
    ทั้งยังทำให้อุตสาหกรรมยานยนต์ไทย ได้เลื่อนอันดับสถานะผู้นำในการผลิตรถยนต์ ของโลกมาเป็นอันดับที่ 14 จากเดิมอยู่ที่ 15

    และยังได้เลื่อนอันดับผู้นำการส่งออกรถยนต์ของโลกมาเป็นอันดับที่ 7 จากเดิมอยู่อันดับที่ 8
    เพราะบริษัทรถยนต์บิ๊กบึ้มแห่กันมาลงทุนจัดตั้งไทยเป็นฐานผลิตรถยนต์ป้อนตลาดทั่วโลก
    เป็นการต่อยอดยานยนต์ไทยก้าวสู่การผลิตรถยนต์ได้ถึงปีละ 2 ล้านคันในอีก 5 ปีข้างหน้า!!

    อันดับ 5 แห้วสุดแห่งปี

    [​IMG]
    การชวดเข้าตลาดหุ้นทั้งของ บริษัท กฟผ. จำกัด (มหาชน) และเบียร์ช้าง ถือเป็นปรากฏการณ์ ที่สร้างความเซอร์ไพรส์

    เพราะรัฐบาลได้ดันทุกรูปแบบให้ทั้ง 2 บริษัทเข้าตลาดหุ้นทันในปีนี้ แต่สุดท้ายก็แป้กทั้งคู่
    โดยกรณีของ “กฟผ.” รัฐอุตส่าห์กรุยทางทุกอย่าง ไม่ว่าจะเป็นการประชาสัมพันธ์ ให้เห็นประโยชน์อนันต์จากการที่ กฟผ.เข้าตลาดหุ้น ขณะเดียวกันก็ได้จัดหาแบงก์ปล่อยกู้ดอกเบี้ยต่ำให้แก่พนักงาน กฟผ.เพื่อซื้อหุ้น
    แต่คนคำนวณหรือจะสู้ฟ้าลิขิต เพราะเมื่อบ่ายวันที่ 15 พ.ย. ศาลปกครองสูงสุดมีคำสั่งชะลอการขายหุ้น กฟผ.ออกไปก่อน ทั้งๆที่จะเปิดจองซื้อหุ้นในวันที่ 16-17 พ.ย.อยู่แล้ว
    สำหรับ “เบียร์ช้าง” ก็มีชะตากรรมที่ไม่แตกต่างไปจาก กฟผ. เพราะได้แต่งตัวพร้อมแล้วในการนำบริษัทเข้าตลาดหลักทรัพย์

    แต่ทุกครั้งที่บอร์ดตลาดหลักทรัพย์และบอร์ด ก.ล.ต. (คณะกรรมการกำกับหลักทรัพย์และตลาดหลักทรัพย์) หยิบยกวาระการพิจารณาเบียร์ช้างเข้าหารือ ก็จะมีม็อบค้านเบียร์ช้าง ทั้งพระสงฆ์และฆราวาสที่นำโดย “มหาจำลอง” มาชุมนุมคัดค้านทุกครั้ง
    ทำให้ทั้ง 2 บอร์ดเกิดอาการแหยง ไม่กล้าฟันธงเสียที!!

    อันดับ 4 ฉาวสุดแห่งปี

    [​IMG]

    งานนี้หนีไม่พ้น “สนามบินสุวรรณภูมิ” เพราะตลอดทั้งปี 2548 มีแต่ข่าวอื้อฉาว ทั้งๆที่การก่อสร้างใกล้จะแล้วเสร็จ พร้อมจะเปิดให้บริการอยู่แล้ว
    ข่าวฉาวสุดของสนามบินสุวรรณภูมิ ก็คือข่าวการทุจริตการจัดซื้อ จัดจ้าง เครื่องตรวจจับวัตถุระเบิด และสารสิ่งเสพติด “ซีทีเอ็กซ์ 9000”
    กระทั่งยังมีข่าวว่ากระทรวงยุติธรรม ของสหรัฐฯร่วมปูดรายการรับสินบนงานนี้

    จากนั้นก็มีข่าวอื้อฉาวเรื่องการรื้อขุมทรัพย์ต้นไม้และการตกแต่งสวน ในบริเวณสนามบินสุวรรณภูมิ โดยเฉพาะ ต้นลีลาวดี หรือ ต้นลั่นทม ที่มีราคาแพง
    ขณะเดียวกัน ก่อนที่สนามบินสุวรรณภูมิจะเปิดเที่ยวบิน “ปฐมฤกษ์” ในวันที่ 29 ก.ย.48 ฝ่ายค้านก็ได้ออกมาปูดเรื่องการทุจริตในการติดตั้ง หลังคาผ้าใบ อาคารที่พักผู้โดยสาร
    ตามมาด้วยการปล่อยข่าวร้อนๆว่ารันเวย์บริเวณรอยแยกของสนามบินสุวรรณภูมิเกิดร้าว แต่หลังจากที่มีการตรวจสอบอย่างละเอียด ก็พบว่าเป็นการถมทรายบริเวณด้านข้างที่ไม่เกี่ยวกับรันเวย์
    รอดตัวไปหนึ่งเปลาะ!!

    อันดับ 3 น้ำแล้ง-น้ำท่วม

    [​IMG]


    ปีนี้ถือเป็นปีที่หนักหน่วงแสนสาหัส สำหรับคนไทยทั้งประเทศ เพราะเจอะเจอภัยธรรมชาติ เล่นเอาสะบักสะบอมกันทุกหัวระแหง ชนิดที่ไม่เคยประสบพบพานมาก่อน
    โดยต้นปีได้เกิดภัยแล้งลุกลาม ไปหลายจังหวัดทั่วประเทศ ถือเป็นภัยแล้งรุนแรงสุด และยาวนานสุด สร้างความเสียหายแก่พืชผล ของเกษตรกรจำนวนมาก
    ขณะที่โรงงานตามนิคมอุตสาหกรรมต่างๆ โดยเฉพาะที่นิคมอุตสาหกรรมแถวภาคตะวันออก ถึงกับต้องชะลอกำลังการผลิตและมีการปันส่วนการใช้น้ำ

    [​IMG]

    แต่ครั้นพอถึงหน้าฝน ธรรมชาติกลับเล่นบทตลกร้าย เพราะอยู่ดีๆฝนก็เกิดตกหนัก แถมยังตกแบบยืดเยื้อยาวนาน เป็นประวัติการณ์
    ทำให้เกิดน้ำท่วมลุกลามตั้งแต่ภาคเหนือ ไล่ลงมาถึงภาคกลาง โดยเฉพาะที่ จ.เชียงใหม่ ได้เกิดน้ำท่วมหนักถึง 3 หน จากนั้นฟ้าฝนยังได้มาป่วนภาคใต้ โดยได้ตกหนักจนเกิดภัยน้ำท่วมลุกลามไปทั่วภาคใต้

    ภัยธรรมชาติปีนี้จึงถือว่าอำมหิตสุดๆในรอบหลายสิบปี

    อันดับ 2 แพงสุดแห่งปี
    จากภาวะราคาน้ำมันที่พุ่งแรงกระชากใจ ทำสถิตินิวไฮทั้งเบนซินและดีเซล
    ได้ส่งผลให้ค่าครองชีพของประชาชนไทยพลอยถีบตัวสูงขึ้น เพราะราคาสินค้าพาเหรดขึ้นยกแผง ตัวเลขเงินเฟ้อจึงสูงสุดรอบ 7 ปี ด้วยสถิติที่มากกว่า 6%
    กระทั่งค่ารถเมล์ยังต้องปรับราคาขึ้นแพงสุดถึง 7 บาท เท่ากับปรับตัวเพิ่มขึ้น 100%

    [​IMG]
    ขณะเดียวกัน พร้อมๆกับการที่ค่าครองชีพได้ถีบตัวสูงขึ้นนั้น ราคาทองคำในปีนี้ก็ได้ปรับตัวขึ้นไปอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ต้นปีนี้เป็นต้นมา
    จนราคาทองคำแท่งทะลุบาทละ 10,550 บาท เมื่อวันที่ 12 ธ.ค. ที่ผ่านมา ขณะที่เมื่อเดือน ก.พ.ปีนี้ยังอยู่เพียงบาทละ 7,650 บาท

    โห!!
    อันดับ 1 สุดยอดวิบัติภัยร้ายแรงแห่งปี

    [​IMG]

    ถึงแม้ธรณีพิบัติคลื่นยักษ์ “สึนามิ” ใน 6 จังหวัดอันดามันภาคใต้ ได้เกิดตั้งแต่เมื่อวันที่ 26 ธ.ค.ของปีที่แล้ว
    แต่ปฏิเสธไม่ได้ว่าภัยพิบัตินี้ ซึ่งได้สร้างความเสียหาย อย่างใหญ่หลวง ทั้งชีวิตและทรัพย์สิน ตั้งแต่ระดับรากหญ้า ไปจนถึงนักธุรกิจนั้น ยังคงส่งผลลบอย่างต่อเนื่อง
    เพราะทางการมะงุมมะงาหรา ในการแก้ไขผลกระทบต่างๆ จากคลื่นยักษ์สึนามิ ทั้งยังได้วางมาตรการแก้ไขที่ไม่เหมาะสม

    ทำให้สภาพความเป็นอยู่และจิตใจของประชาชน ที่ประสบภัยยังไม่ได้รับการเยียวยาเท่าที่ควร อุตสาหกรรมท่องเที่ยวของ 6 จังหวัดอันดามันไม่ส่อแววว่าจะฟื้นคืนตัวได้ในเร็ววัน แหล่งท่องเที่ยวสำคัญหลายแห่งยังตกอยู่ในสภาพรกร้าง
    อย่างเช่น เกาะพีพี ยังไม่อาจจะทำอะไรได้ เพราะทางการยังไม่มีข้อสรุปในเรื่องการจัดระเบียบพื้นที่
    แม้ว่าภัยคลื่นยักษ์สึนามิได้ผ่านมาครบ 1 ปีเต็มแล้วก็ตาม!!!
    ทีมข่าวเศรษฐกิจ​
    [​IMG]



    ที่มา : ไทยรัฐ
     

แชร์หน้านี้

Loading...