ประสบการณ์พุทธานุสติ

ในห้อง 'ประสบการณ์อภิญญา' ตั้งกระทู้โดย Unregistered, 20 กันยายน 2004.

  1. Unregistered

    Unregistered บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    แบบว่าช่วยโพสนะ.. เก็บไว้นานแล้ว

    ประสบการณ์พุทธานุสติ
    ความเดิม กระทู้นี้เคยเขียนในแล้วในเวปนี้เดิม แต่เมื่อเวปล่มเนื้อหาจึงหายไป เหลือที่เก็บไว้บ้างนิดหน่อย จึงนำมาลงให้โดยตัดในส่วนพระสูตรออกไปเนื่องจากหาอ่านตามเวปนี้และทั่ว ๆ ไป เนื้อหาบางส่วนไม่ได้เก็บไว้ บางส่วนไม่เขียนลงอีก เนื่องจากเป็นธรรมที่บอกได้เฉพาะคนมีวิสัยแบบรู้ยิ่งเท่านั้น ออกตัวก่อนอ่าน การเขียนนี้ผู้เขียนไม่รู้สึกตัวว่ารู้จริง หรือเป็นผู้ทรง_าณ หรือฌาน ใด ๆ ทั้งสิ้น ส่วนประสบการณ์ทางจิต เป็นผลเนื่องจากบุ_บารเดิม ตามที่พระองค์หนึ่งเคยบอกผมไว้ ผมยังฝึกอะไรไม่ได้มีเพียงบารมีเก่าที่ทำให้มีจิตเป็นทิพย์บ้างเท่านั้น และเป็นคนตื้อแหลกในการฝึก คือฝึกไม่ทอดทิ้ง ถ้าช่วงไหนกิเลสมากหน่อย ภาระการงานครองครัวมากหน่อย ก็ฝึกประคองตัว คือฝึกบ่อย ๆ เท่าที่โอกาศอำนวย

    ประสบการณ์ทำพุทธานุสติ

    คำนำ เรื่องที่จะเขียนนี้เกิดจากเวปสโนวเจ้าของเวปอยากให้เขียนอะไรลงเวปเขาบ้างตามที่เคยรับปากไว้ประมาณปีเศษตั้งแต่เวปนี้( พลังจิต ) ยังไม่เกิดขึ้น ที่ผมบอกนี้เหมาะกับคนที่ชอบปฏิบัติด้วยความสะบาย ๆ และคนที่ชอบอ้างว่าไม่มีเวลาปฏิบัติ เมื่อเวปสโนวทวงสั__าที่เคยรับปากไว้ ก็เลยเขียนเรื่องนี้ขึ้นมา อาศัยคูรพักลักจำเป็นส่วนให_่ ประสบการณ์ตัวเองบ้างเล็ก ๆ น้อย ๆ และของคนอื่นที่ขโมยมา ก่อนอื่นใดข้อเขียนนี้เกิดจากกุศลจิต หากการเขียนนี้ เป็นการปรามาสพระพุทธ พระธรรม พระสงฆ์หรือท่านใดโดยไม่ได้ตั้งใจ กระผมขอขมาต่อพระรัตนไตรและท่านทั้งหลายด้วยเทอ_
    ออกตัวก่อนว่า ไม่ยืนยันว่าวิธีปฏิบัติที่ผมเขียนเป็นวิธีที่ถูกต้องทั้งหมด ขอให้ท่านทั้งหลายใช้ปั__าพิจารณาหรือจะลองทำตามก่อนก็ได้หาว่าไม่ชอบหรือเห็นว่าไม่เหมาะกับตัวเองก็เลิกเสีย ผมจะเขียนแบบเต็มสูตรแต่ถ้าท่านเห็นว่ากำหนดมากไม่จะประยุกต์เองในแบบของท่านในการปฏิบัติก็ได้ ขอย้ำอีกครั้งว่าผมรู้สึกว่าผมไม่ใช่ผู้รู้และไม่ใช่ผู้ทรงฌานหรือมี_าณรู้เห็นอะไรทั้งสิ้นทุกอย่างเขียนจากคูรพักลักจำและประสบการของคนอื่นและตัวเองเพียงเล็กน้อยตามที่ได้กล่าวมาข้างต้น
     
  2. Unregistered

    Unregistered บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    พูดถึงการทำพุทธานุสติถ้าจะเอาตามความหมายก็คือ การระลึกถึงพระพุทธเจ้านั่นเอง ไม่ว่าการนึกถึงคุณพระพุทธเจ้า ลักษณะของพระพุทธเจ้า หรืออะไรที่เชื่อมโยงไปถึงพระพุทธเจ้า ไม่ว่าพระธรรม หรือพระสงฆ์ ข้อนี้ท่านอาจแย้งผมว่า ถ้านึกถึงพระสงฆ์แล้วเป็นพุทธานุสติอย่างไร ถ้านึกถึงพระสงฆ์เฉย ๆ แล้วไม่นึกถึงพระพุทธเจ้านะก็ไม่เป็นพุทธานุสติหรอกครับ เว้นแต่ไปนึกถึงพระพุทธเจ้าว่าพระสงฆ์คือสาวกของพระพุทธเจ้า นั่นละคือพุทธานุสติแล้วครับ เพียงแต่ถ้านึกถึงอันไหนมากหน่อยก็รวมความไปว่าเป็นสิ่งนั้นเป็นหลักเช่นถ้านึกถึงพระสงค์มากหน่อย แต่นึกเพียงว่าพระสงฆ์คือสาวกของพระผุ้มีพระภาคเจ้าส่วนที่เหลือนึกถึงพระสงฆ์หมดก็สงเคราะห์ว่าเป็นสังฆานุสติหมด

    การทำพุทธานุสติในพระไตรปิฏก

    ในพระไตรปิฏกกล่าวถึงการระลึกถึงพุทธานุสติไว้ดังนี้
    ที่จริงกล่าวไว้ยาวนะครับเอาที่นิยมสวดกันมีธรรมานุสติสังฆานุสติไว้ได้วย
    การทำพุทธานุสติแบบนี้ก็คือการสวดโดยรู้ความหมายไปด้วยจะดีมากมีอนิสงฆ์มาก มากอย่างไรเวลาท่านปฏิบัติด้วยตัวเองท่านจะรู้เอง เชื่อมโยงไปสูงกรรมฐานอื่นและวิปัสนาไม่ยากอันนี้แล้วแต่สติปั__าท่านเอง ที่เห็นได้เป็นรูปธรรมชัดเจนคือความสงบ ความสุข ความสะบายใจ ผมยกมาให้ท่านดูก็ได้ครับ บางท่านเคยเห็นแล้ว บางท่านสวดได้แล้ว

    บทสวดพุทธานุสติตามพระไตรปิฏกนี้มีอยู่หลายตอนแต่ผมยกมาเป็นบทที่เรียกว่า ถวายพรพระ ที่ผมเห็นว่ารวมพุทธานุสติ ธรรมานุสติ สังฆานุสติไว้ครบ

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ 3 จบ ( วรรคนี้สวดตอนเริ่ม หลังจากนั้นไม่ต้องสวดอีกก็ได้ )

    อิติปิ โส ภะคะวา อะระหัง สัมมาสัมพุทโธ
    วิชาจะระณะสัมปันโน สุคะโต โลกะวิทู อะนุตโร ปริสะทัมมะสาระถิ
    สัตถา เทวะมะนุสสานัง พุทโธ ภะคะวะติ

    สวากขาโต ภะคะวะโต ธัมโม
    สัณทิฏฐิโก อะกาลิโก เอหิปัสิโก โอปะนะยิโก
    ปัตจัตตัง เวทิตัพโพ วิ__ูหีติ

    สุปะฏิบันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อุชุปฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    _า_ะปฏิบันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    สามีจิปะฏิปันโน ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    ยะทิทัง จัตตาริ ปุริสะยุคานิ อัฏฐะ ปุริสปุคคะลา
    เอสะ ภะคะวะโต สาวะกะสังโฆ
    อาหุเนยโย
    ปาหุเนยโย
    ทักขิเณยโย
    อั_ชลีกะระณีโย
    อนุตะรัง ปุ__ักเขตตัง โลกัสสาติ

    คำแปลบรรทัดต่อบรรทัด

    * ขอนอบน้อมต่อพระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้น ผู้ไกลจากกิเลสตรัสรู้ได้ด้วยพระองค์เอง สามจบ
    * มีเสียงยกย่องสรรเสริ_อย่างนี้ว่า พระผู้มีพระภาคเจ้าพระองค์นั้นเป็นผู้ไกลจากกิเลส ผู้ควรแก่การกราบไห้วบูชา เป็นผู้ตรัสรู้ชอบด้วยพระองค์เอง
    * เป็นผู้ถึงพร้อมด้วยความรู้และความประพฤติอันงาม เป็นผู้เสด็จไปที่ดีคือพระนิพพาน เป็นผู้รู้แจ้งโลก เป็นผู้ฝึกบุคคลที่ควรฝึกอย่างยอดเยี่ยมไม่มีผู้อื่นเทียบได้
    * เป็นคูรของเทวดาและมนุษย์ทั้งหลาย เป็นผู้รู้ผู้ตื่นผุ้เบิกบานแล้ว เป็นผู้สามารถจำแนกธรรมสอนหมู่สัตว์ได้อย่างถูกต้องตามอัธยาศัย


    * พระธรรม เป็นธรรมที่พระผู้มีพระภาคเจ้าทรงตรัสไว้ดีแล้ว เป็นธรรมที่บุคคลพึงเห็นได้เอง เป็นธรรมที่ไม่ขึ้นอยู่กับกาลเวลา สามารถปฏิบัติได้ผลทุกเมื่อ
    * เป็นธรรมที่ควรเรียกให้ผู้อื่นมาดูว่า ขอให้ท่านทั้งหลายจงมาดูธรรมนี้เถิด เป็นธรรมที่บุคคลควรน้อมเข้ามาใส่ใจ
    * เป็นธรรมที่ผู้รู้ทั้งหลาย ปฏิบัติแล้วจะเห็นได้รู้ได้เฉพาะตนเท่านั้น

    * พระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติดีแล้ว
    * พระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติตรงแล้ว
    * พระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติถูกต้องแล้ว
    * พระอริยสงฆ์สาวกของพระผู้มีพระภาค เป็นผู้ปฏิบัติชอบแล้ว
    * คู่แห่งบุรุษ ๔ คู่ นับได้แปดบุคคล ท่านทั้งหลายเหล่านี้คือพระอริยสงฆ์ของพระผู้มีพระภาคเจ้า
     
  3. Unregistered

    Unregistered บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    การปฏิบัติพุทธนุสติแบบนี้ผมขอเรียกว่าบทเต็ม ที่จริงตามพระไตรปิฏกมีมากกว่านี้ผมยกมาแบบคร่าว ๆ ให้ง่ายต่อการจดจำและบทนี้เป็นบทย่อที่เข้ากันได้และนิยมสวดอยู่ทั่ว ๆ ไป การทำพุทธานุสติแบบนี้ทำได้อย่างไร ก็สวดในใจหรือออกเสียงก็ได้ แล้วรู้ความหมายไปด้วย ความหมายจะสวดหรือไม่สวดแต่รู้ความหมายไว้ในใจก็ได้ จะสวดอย่างเดียวโดยไม่ต้องกำหนดอะไรไปด้วยก็ได้ เอาเป็นว่าผมแนะนำดังนี้นะครับ คือ จะลดลงหรือประยุกต์แบบใดที่ท่านชอบก็ได้ ขอบอกไว้ก่อนว่ามีอานิสงฆ์มากจริง อนิสงฆ์อย่างไร ไว้ให้ท่านปฏิบัติแล้วท่านจะรู้เองครับ ตัวอย่างที่ผมยกมาเป็นเพียงตัวอย่าง ถ้าท่านพอใจปฏิบัติแบบใดแล้วแต่อัธยาศัยนะครับ

    การทำก็เริ่มโดยสวดบทเต็มโดยนึกถึงภาพพระพุทธเจ้าที่ท่านชอบเช่นภาพวาด หรือภาพพระพุทธเจ้าใต้ต้นโพธิ์ที่มีผู้ถ่ายภาพติดได้โดยบังเอิ_ที่รู้เห็นและนิยมมาบูชา หรือนึกถึงภาพพระพุทธรูปองค์ใดที่นับถือจะเป็นสีขาว สีอะไรก็ได้ สีแก้วใส โดยอนุโลมเป็นกสิณไปด้วยตามสีของพระที่เรานึก พร้อมกับกำหนดลมหายใจไปด้วย ทำไปเรื่อย ๆ นะครับ ตั้งแต่ตื่นเช้าถึงนอนถ้าทำได้ พอทำใหม่ ๆ ต้องค่อย เริ่มทำทีละเล็กละน้อยก่อน บางทีทำไป สติเผลอไปกับนิวรณ์ หรือสติไปจดจ่อกับการงานอย่างอื่นก่อน อันนี้เรื่องธรรมดาครับ ถ้าเหนื่อย ผมจะมีวิธีการพักจิตในการปฏิบัติให้ บางทีท่านอาจมีปั__ามากกว่าผมหาวิธีที่จะปฏิบัติให้ได้ผล หรือรู้อุบายมากกว่าผมก็ได้ ท่านที่รู้อยู่แล้วก็ถือว่าผมเอามะพร้าวห้าวมาขายสวนก็แล้วกันครับ

    การพักจิต ความจริงแล้วการพักจิตในกรรมฐานในคำสอนของพระพุทธเจ้ามีนะครับ เช่นสติปัฏฐานสี่เป็นการเน้นสติหรือการพิจารณาหลายอย่างไปมาได้ ตามหมวด กายานุปัสนา เวทนานุปัสนา
    ธรรมมานุปัสนา จิตตานุสปัสนา อย่างที่พระพุทธเจ้ากล่าวไว้ หรือในหมวดอื่น ๆ ก็มีนะครับ อันนี้ผมไม่ขอกล่าว การพักจิตโดยการเดินจงกรมผมก็ไม่ขอกล่าวละเอียด เพราะเห็นว่าท่านทราบอยู่แล้ว หรือเวลาไหนควรทำธรรมหมวดไหน ตามโพชฌงค์ทั้ง ๗ ผมจะกล่าวเน้นเฉพาะการพักจิตในพุทธานุสติ แต่ไม่ได้หมายถึงว่าไม่ให้ทำวิปัสนานะครับ
     
  4. Unregistered

    Unregistered บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ต่อนะครับพอเหนื่อยกับการทำอย่างอย่างพุทธานุสติเต็มรูปแบบแล้ว ถ้ารู้สึกเหนื่อยหรือไม่อยากทำต่อ ให้ลดการกำหนดลงทีละอย่างหรือหลายอย่างก็ได้ เช่นสวดแบบเต็มก็เหลือสั้น ๆ ว่าพุทโธก็ได้ แต่กำหนดภาพพระหรือกำหนดลมหายใจเข้าออกอยู่ หรือไม่ภาวนาอะไรเลยนึกภาพพระพร้อมลมหายใจเข้าออก หรือไม่นึกภาพพระดูลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว ( แบบนี้พักพุทธานุสติไว้ชั่วคราว ) หรือไม่ภาวนาไม่กำหนดลมหายใจเข้าออกกำหนดภาพพระอย่างเดียว หรือไม่กำหนดภาพพระไม่กำหนดลมหายใจเข้าออกภาวนาแบบสั้นว่าพุทธโธ หรือแบบยาวต่อเนื่องกันไปตลอด หรือไม่ต้องกำหนดอะไรไม่ว่าลมหายใจเข้าออก ภาพพระ ให้นึกว่าทุกอณูรอบตัวเรา ( หรือไม่มีแม้ตัวเรา) มีบารมีพระพุทธเจ้าเต็มไปหมด หรือไม่ต้องกำหนดลมหายใจเข้าออกไม่ต้องภาวนาให้นึกถึงพระพุทธเจ้าเหมือนเรานึกถึงใครสักคน แต่เราเปลี่ยนมานึกถึงพระพุทธเจ้าแทนเหมือนนึกถึงใครสักคน เช่นเรานึกถึงคนรัก แต่นั่นเรานึกถึงแบบกิเลส ถ้านึกถึงพระพุทธเจ้าเรานึกแบบเคารพ แต่ผมยกตัวอย่างให้ดูแค่นั้นเอง วิธีนี้เหมาะแก่การปฏิบัติแบบทำงานไปด้วยมาก เพราะไม่ต้องพวงกำหนดลมหายใจเข้าออก ไม่ต้องภาวนาไม่ต้องกำหนดภาพพระ แล้วไม่เหนื่อยง่ายด้วย เป็นการพักจิตได้ดีวิธีหนึ่ง โดยสามารถนึกแบบให้ค้างไว้ หรือนึกแล้วไปทำงานต่อ แล้วมานึกถึงอยู่เรื่อย ๆ ก็ได้ อย่างลืมว่าการพักจิตโดยธรรมหมวดอื่นทำก็ทำได้ หรือพักจิตโดยกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างเดียว ไม่ภาวนา ไม่กำหนดภาพพระ หรือพักจิตโดยไม่กำหนดอะไรเลย ไม่ดูหนังฟังเพลงได้ตามใจ พอจิตสบายค่อยมาทำต่อใหม่ จำไว้ว่าถ้าทำแล้วเหนื่อย หรือเครียดให้พักจิตตามที่ผมบอก ถ้าไม่ไหวก็ให้หยุดทำ จะไปดูหนัง อ่านหนังสือหรือดูทีวีก็ตามแต่สะดวก พอจิตสบายค่อยมาทำต่อ

    บางท่านอาจสงสัยว่าทำอย่างนี้จะได้_า_ หรือฌาน หรือไม่ ยืนยันว่าได้ครับคนที่ทำได้เขายืนยันมา บอกแล้วลองมาทำดูครับ บางคนอาจบอกว่าการสวดยาว ๆ ไม่สามารถเข้าฌานได้ ยืนยันว่าได้ครับ สวดได้ที่จิตรวมวูปคำภาวนาหายไปเลยครับถ้าทำได้ที่ไม่ต่างจากการภาวนาสั้น ๆ ว่าพุทธโธแต่อย่างใด เกี่ยวกับการเจริ_พุทธนุสติว่าพระพุทธเจ้าท่านกว่าไว้ชัดเจนในพระไตรปิฏก ว่าเป็นผู้ไม่ว่างจาก_าณ พอท่านทำแบบที่ผมว่ามานี้ พอตอนกลางคืนหรือนั่งสมาธิ ท่านจะกำหนดภาวนาว่าพุทโธและกำหนดลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวก็ได้ อาศัยที่จิตท่านเจริ_พุทธานุสติมายาวนานต่อเนื่องก่อนนั่ง จิตท่านจะสงบเร็วขึ้น
     
  5. Unregistered

    Unregistered บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    เตือนกันไว้ก่อน บางทีตอนทำไปท่านอาจไม่เห็นผลว่าได้ผลในระยะแรก ๆ แต่ท่านได้แล้ว อย่างหวังผลแบบทำแล้วได้ผลตามที่ตัวเองเห็นทันที ทำแรก ๆ อาจต้องปรับกายปรับจิตบ้าง ท่านจะเริ่มเห็นผลก็ต่อเมื่อจิตท่านมีอารม_์ชินกับพุทธานุสติแบบท่านยังไม่นึก จิตมันทำหน้าที่ทำพุทธานุสติของมันเสร็จ เมื่อจิตท่านชินมาก จิตท่านจะกำหนดอารมย์ของพุทธานุสติแบบไม่ต้องกำหนดภาพพระหรือภาวนาได้เลย อันนี้ผมอธิบายยากไว้ถ้าท่านทำถึงท่านจะเห็นเหมือนผมหรือไม่ พุทธานุสตินี้ท่านทำแล้ว และจะเชื่อมโยงไปสู่คำสอนหมวดอื่นหรือวิปัสนาได้ไม่ยาก อันนี้กล่าวได้เท่านี้

    ระยะแรกการนึกภาพพระท่านึกภาพพระแบบไหนได้ให้นึกแบบนั้น เมื่อภาพพระที่นึกขึ้นได้มีลักษณะอย่างใดให้จำลักษณะนั้นไว้ แม้จะมีภาพพระอื่นมาแทนท่านอย่าทิ้งภาพพระที่นึกได้แต่แรก มาจับภาพพระใหม่ที่จรมา ไม่งั้นสติท่านจะเคลื่อนไป ๆ มา ๆ ภาพพระนี้ถ้าสติท่านมากขึ้นภาพพระอาจแปลเปลี่ยนไปเป็นภาพพระแก้วใสเป็นเนื้ยเยื่อบาง ๆ แทบเป็นเนื้อเดียวกับอากาศ หรือเมื่อท่านออกจากกรรมฐานเวลาเดิมไปกลางคืนกลางวันก็ติดจิตท่านโดยไม่ต้องนึกแต่อย่างใด หรือเวลากลางคืนเดินไปที่มืดจะมีแสงสว่างเรือง ๆ ของพระพุทธรูปปรากฏขึ้นในที่มืดเหมือนหลอดไฟฟูลออเรสเซ้นท์ เวลาปฏิบัติถึงขนาดนี้จิตท่านจะเริ่มมีความสุขในพุทธานุสติที่ปฏิบัติ ( อันนี้ประสบการของผมทำมาเป็นอย่างนั้น ) ท่านจะไม่ท้อทอยในการปฏิบัติเลย หรือเมื่อจิตเริ่มชินจิตท่านจะจับอารมณ์พุทธานุสติได้เลย โดยไม่ต้องตั้งท่ากำหนดภาพพระหรือนึกหรือภาวนาอะไรเลย จิตจับอารมณ์พุทธานุสติได้เลย

    ส่วนความเป็นทิพย์ของจิตผมไม่ขอกล่าวถึงครับ ถ้าท่านทำพุทธานุสติที่ผมว่าไว้ ความเป็นทิพย์ของจิตมีโอกาสเกิดขึ้นได้มาก ถ้าไม่พอรู้ด้วยตัวเองเป็นหลัก พอจิตเริ่มเป็นทิพย์บ้าง อำนาจของพุทธานุสติที่
    ปฏิบัติได้ก็สงเคราะห์ให้รู้ได้ เทวดาสงเคราะห์ให้รู้ได้ ร แต่เป็นปัจจัตตังที่ท่านทั้งหลายต้องพิสูจน์เองแล้วว่า อารมณ์ไหนเท็จ อารมณ์ไหนจริง รู้แล้วละทำอย่างไร รู้ไปแล้วเป็นประโยชน์หรือไม่เป็นโยชน์ การปฏิบัติมีขึ้นมีลงตามความไม่เที่ยง สำคั_อย่าท้อถอย พิจารณาเหตุเสื่อม เหตุไม่เสื่อม

    พุทธานุสติกับเรื่องโลก ๆ

    พอเริ่มทำพุทธานุสติแบบที่ผมว่ามา ตั้งแต่บทยาว ๆ จนถึงทำแบบสั้น ๆ ซึ่งส่วนให_่ผมจะพอใจบทยาว ๆ มากกว่าถ้าทำตอนไม่ได้นั่งสมาธิ อุปสรรคในชีวิตในเรื่องเรียน เรื่องทำงานผ่อนคลายไปเยอะมาก หรือเป็นเรื่องบังเอิ_ก็ไม่อาจทราบได้ เพียงแต่แค่นึกว่าพอเวลานั้นให้เป็นอย่างนั้นให้เป็นอย่างนี้ ก็ได้สมปรารถนาเกือบทุกอย่าง แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นก็แล้วแต่ความเหมาะสมด้วย นึกให้สอบได้ที่หนึ่งแต่ไม่ทำกรรมปัจจุบันคืออ่านหนังสือมันก็คงได้ยาก นึกให้ได้สองขั้นทำงานแบบเช้าชามเย็นชามก็คงได้ยาก หรือให้นึกถูกรางวัลสลากกินแบ่งรัฐบาลถ้าไม่มีบุ_หนักด้านทานมากพอก็คงไม่ถูก สำคั_เหนือสิ่งอื่นใด ปฏิบัติแม้ไม่สมหวังในเรื่องโลก ๆ เพราะอาจมีวิบากกรรมส่งผลอยู่ เรียกว่าจริงใจในการปฏิบัติ ไม่ใช่หวังผลในทางโลกมากเกินไป

    ท้ายที่สุดขอท่านทั้งหลายโชคดีทั้งทางโลกและทางธรรม ทางโลกมีปั_หาจะปฏิบัติธรรมด้วยอุปสรรค จงทำหน้าที่ทางโลกในด้านการเรียน การทำงาน ครอบครัว ให้สมบูรณ์จะเอื้อต่อการปฏิบัติ


    นิมิตในพุทธานุสติ

    การทำพุทธานุสตินี้จะมีนิมิตเกี่ยวกับพุทธานุสติเกิดขึ้นได้มากเหมือนกัน ไม่ว่าตอนนั่งหรือไม่นั่ง นิมิตอย่างไรหรือครับ ยกตัวอย่างเลยครับ เช่นนิมิตพระพุทธรูป ถ้าพบเอาจิตจับต่อไปได้ ถ้านิมิตอื่นเกิดขึ้นไม่ต้องจับ ถ้านิมิตพระสื่อจิตคุยกับเราหรือได้ยินเป็นเสียงคุยกับเรา ที่จริงผมพูดว่าคุยไม่ถูกนะครับ ต้องเรียกสอน อย่างนี้จะเชื่อได้หรือเชื่อไม่ได้ เพราะพระพุทธเจ้านิพพานไปแล้วท่านมาสอนได้อีกหรือ ตอนนั้นท่านไม่ต้องสงสัยหรอกครับ ให้ท่านฟังไว้ก่อนว่าสอนอย่างไรแล้วพิจารณาตาม เมื่อท่านออกมาค่อยมาใคร่ครว_ว่าธรรมที่ท่านสอนเป็นธรรมที่สอนให้ห่างไกลจากกิเลสหรือสอนให้มีกิเลสเพิ่มขึ้น ถ้าสอนให้ไกลกิเลสนั่นคือพุทธนิมิตของแท้ครับ อย่าได้สงสัย นิมิตนี้จำเป็นไหมว่าต้องเป็นเป็นพระพุทธรูปไม่จำเป็นครับ บางทีจิตก็สื่อออกมาเลย หรือได้ยินเป็นเสียงออกมาเลย แล้วจะรู้ได้อย่างไรละครับ ไม่ใช่คิดไปเองหรือ นิมิตพุทธานุสติมีลักษณะพิเศษกว่านิมิตทั่ว ๆ ไป คือ มีความนุ่มนวล จิตมีความสุขขณะรับฟัง เสียงจะนุ่มนวลระหว่างผู้ห_ิงกับเด็กนะครับ บางรายอาจน้ำหูน้ำตาไหล ปิตินะครับ ในบางครั้งนิมิตพุทธานุติอาจเห็นเป็นภาพพระที่นิยมไว้บูชาที่มีคนถ่ายภาพติดใต้ต้นโพธินะครับ บางทีก็เป็นภาพคล้ายเทวดาแต่ใสเป็นแก้วบาง ๆ แทบเป็นเนื้อเดียวกับอากาศบางทีองค์เล็กบางทีอาค์ให_่สูงมากกว่าบ้านสองชั้น จะสูงให_่มากกว่านี้ก็เป็นได้ครับ อีกอย่างบางที่ที่นิมิตพุทธานุสติเกิดขึ้น จะมีอาการหนาวเย็นเหมือนเราอยู่ใต้น้ำแข็ง หรือบางที่ท่านคลุมลงตัวเราผิวกายของเราจะเปลี่ยนสีผิวเป็นสีขาวเหลืองเลยก็มี จิตจะมีความสุขทั้งวัน

    แล้วนิมิตอย่างนี้ถ้าเราไปสนใจจิตไม่เคลื่อนจากกรรมฐานเหรอครับ ปรกติที่ผมพบมาถ้าในขณะนั่งสมาธิ นิมิตพุทธานุสติสอนไม่กี่ประโยคหรอกครับ แล้วก็จะหายไป หรือไม่หายแต่ไม่สอนเราก็จับภาพพุทธานุสติที่เกิดขึ้นนั่นแหละภาวนาไปพร้อมลมหายใจเข้าออก

    เล่าเรื่องประสบการณ์พุทธานุสติที่ผีกลัว

    ตอนผมบวชผมได้ไปจำพรรษาอำเภอเล็ก ๆ ที่จังหวัดหนึ่งทางภาคอีสาณ ผมจะชอบไปปักกลดแถวภูเขาใกล้ ๆ บริเวณวัด ในถ้ำเล็ก ๆ แห่งหนึ่ง ปรกตินิมิตเกี่ยวกับภูติผีนี่ผมมักจะไม่ค่อยพบ แต่ตอนบวชนี้พบมากเป็นพิเศษ ซึ่งส่วนมากผมก็ไม่ค่อยสนใจ รู้ว่ามาก็นั่งสมาธินิ่งเฉยๆ จนหายไป แต่คราวนี้พอตกกลางคืนผมก็สวดมนต์ไหว้พระตามแบบ แล้วนั่งกรรมฐาน ขณะนั่งไปสักพักหนึ่งก็เห็นผีเด็ก ๆ มาหลายคนเข้ามากวนในสมาธิ จิตกระทบจิตคือขนลุก อย่างนี้ไม่ใช่นิมิตอุปาทาน หรือขนลุกเพราะปิติในสมาธิตรงอุปจารสมาธิเพราะมันจะต่างกันอยู่ ปิติอุปจารสมาธิจะมีความซาบซ่าน แบบนี้จะไม่มีความซาบซ่าน อันนี้เท่าที่ผมสังเกตุผิดถูกประการใด ให้ท่านพิจารณาอีกทีอย่างพึ่งเชื่อ ก็พยายามไม่สนใจ นั่งต่อไป แต่ปรากฏว่าพวกไม่ยอมไป ครั้งนี้เล่นหนักแก้ผ้าฉี่ใส่ผมเลย ห่างจากหน้าไม่เกินสามเมตร เอาละหว่างานนี้ เลิกหยุดนั่งชั่วคราว ( ผมเคยโดนเทวดาเตือนว่าห้ามคุยในสมาธิเพราะเสียเวลา ถ้าเขามาขอส่วนบุ_ค่อยอุทิศให้หลังนั่งเสร็จ เลยร้องถามโยมที่ไปนั่งด้วยคนหนึ่ง ว่าเห็นอะไรไหม จะไม่ถามนำ เพื่อการตรวจสอบทางจิตกัน เขาบอกว่าเห็นผีเด็กหลวงพี่มาเต็มเลย ก่อกวนมาก พอรู้ได้อย่างนั้น ก็แสดงว่าเราไม่เห็นคนเดียว จึงไม่รู้จะทำอย่างไรนึกขอบารมีพระพุทธเจ้าให้คลุมกายคลุมจิตด้วย สักพักหนึ่งก็รู้สึกว่ามีกระแสเย็น ๆ คลุมกายเต็มไปหมด เย็นเหมือนอยู่ใต้น้ำแข็ง ทั้งที่ก่อนหน้านั้นอากาศร้อน ผีเด็กหายขึ้นไปบนภูเขาเพราะไม่อาจอยู่ใกล้บารมีพระพุทธเจ้า โยมที่ไปด้วยเขาเห็นอะไรที่พิศดารที่สุดตั้งแต่เขาปฏิบัติธรรมมา ผมจำไม่ได้ว่าเขาบอกว่าเห็นอะไร เห็นแสงสีขาว หรือฉัพพรรณรังสีอะไรนี่แหละผมก็จำไม่ค่อยได้ เหตุการณ์ผ่านมาได้เกือบสิบปีแล้ว ภายหลังพวกผีเด็กเหล่านี้ ผมก็ได้สอนและช่วยเหลือให้ไปอยู่ภพภูมิที่ดีขึ้น


    ความเป็นทิพย์ของจิต

    ลักษณะความเป็นทิพย์ของจิตที่เกิดจากการเจริ_พุทธานุสติ ( ทิ่จริงแล้วใช้ได้หมดแต่ผมพูดถึงพุทธานุสติเลยว่าอย่างนี้ ) ลักษณะของนิมิตพุทธานุสติ หรือเทวดา ผี สื่อจิตมาหรือรู้ขึ้นทางจิตก็แล้วแต่ อารมณ์เบา ๆ จะรู้สึกเหมือนมีใครพูดผุดขึ้นในจิต ผมสังเกตุดูหลายครั้งจะรู้สึกขึ้นมาจากบริเวณหน้าอก อีกอย่างคือรุ้สึกทางจิตขึ้นมาว่าเป็นอย่างนั้นอย่างนี้ และเป็นเสียงมาเลย มีอารมณ์อีกอันหนึ่งเป็นอารมณ์ละเอียดจะแวปเข้ามาเป็นสายเล็ก ๆ ละเอียด ๆ ผมไม่รู้จะเปรียบเทียบอย่างไร อย่างนี้จะเข้ามาแค่แวปเดียว แต่สามารถรู้หรือแปลงข้อมูลออกมาได้มากอารมณ์นี้ผิดพลาดได้น้อยมาก
    วิธีคือถ้าพบลักษณะตามข้างบนมานี้ให้รับสื่อ หรือคุยทางจิตไปก่อน อย่าพึ่งสงสัย เพราะถ้าสงสัยจะเป็นนิวรณ์ทำให้การสื่อหายไป หลังออกจากสมาธิแล้วค่อยมาใคร่ครว_หรือใช้ธรรมวิจัยอีกทีหนึ่ง ว่าสิ่งที่ได้รู้ได้รับ ตรงตามธรรมอันห่างไกลจากกิเลสหรือไม่ มีประโยชน์หรือไม่ รู้แล้วจิตยึดจนเกินเลยไปหรือไม่ จริงหรือไม่ เพราะบางอย่างจะสามารถพิสูจน์ได้ในปัจจุบัน เช่นรู้ว่ามีคนตายแบบนั้นหรือชื่อนั้นตรงนี้ พอไปสอบถามชาวบ้านก็ต้องไปคำตอบตรงกับที่เรารู้ทางจิต บางอย่างที่ไม่สามารถพิสูจน์ได้ก็ปล่อยเลยไป พยามจำหรือสังเกตุอารมณ์จิตที่พิสูจน์แล้วว่าตรงไว้

    อารมณ์ความเป็นทิพย์นี้บางทีรู้ได้ทีละอย่าง บางทีรู้หลายอย่าง จำไว้ว่ารู้แค่ไหนรู้แค่นั้น อย่าพยายามไปรู้มากกว่านั้นจะทำให้เฝือคือรู้เกินจริงได้ เพราะบางอย่างเป็นเพราะเทวดา หรือพุทธานุสติสงเคราะห์ให้รู้ รู้ได้เท่าที่จิตทำถึงและละถึงตอนนั้น ตอนใหม่ถ้าทำถึงและละกิเลสมากกว่านี้จะรู้มากกว่านี้ ปรกติเราอยู่ในฤราวาศน้อยรายละทำได้ละเอียดแบบรู้ได้ละเอียดแบบชื่อ ที่อยู่ หวยเจ็ดตัวอะไรทำนองนี้ และการรู้ผิดในบางครั้งก็เป็นเรื่องปรกติ
    การทำพุทธานุสติต้องใช้ควบสติปัฏฐานสี่

    ความจริงแล้วการทำพุทธานุสติรู้ลมหายใจไปด้วยเป็นการทำสติปัฏฐานสี่ไปในตัวอยู่แล้ว แต่จะให้เพิ่มการทำเข้ามาอีกโดยพิจารณากายให้ครบและให้ทำสติอีก 3 อย่างให้ครบสี่อย่าง เป็นสิ่งที่ขาดเสียไม่ได้ การฝึกจะเห็นผลยาก เพราะจะจับเพียงลมหายใจเข้าออกอย่างเดียวเป็นการทำสติไม่ครบสี่อย่าง อย่าพึ่งไปอยากได้ในด้านทิพย์จักษุฌาน หรือถอดจิตมากเกินไป เพราะถ้าฐานไม่แน่น ยาก ๆ ที่จะทำได้ หรือจะรู้ไม่ตรงตามความเป็นจริง เอาพอสังเขปตื่นมาต้องดูจิตว่าจิตเป็นฉันใด พอเริ่มจับพุทธานุสติแล้วจิตเป็นอย่างไร จิตฟุ้ง ให้รู้ว่าฟุ้ง จิตมีราคะให้รู้ว่ามีราคะ ก็อาจพิจารณาร่างกายตัวเองหรือของคนอื่นเป็นปฏิกูล จิตมีความสุขหรือทุกข์ให้พิจารณา แล้วโยงไปสู่ขันธ์ห้าว่าเราทุกข์เพราะจิตไปยึดว่าขันธ์ห้าเป็นของเรา พิจารณาว่าขันธ์ห้าไม่ใช่เรา จิตมีความทุกข์ให้พิจารณาว่าเวทนาไม่ใช่เราเป็น แล้วใช้จิตจับเวทนา แล้วแต่ว่าอาการเด่นชัดของเวทนาอยู่ส่วนใด แล้วจับพุทธานุสติพร้อมลมหายใจเข้าออกจนจิตไม่ยึดเวทนา นี่เป็นตัวอย่างคร่าว ๆ เท่านั้นเอง สภาวะใดของสติปัฏฐานสี่ให้พิจารณาสภาวะนั้น เช่นเวทนาเด่นให้พิจารณาเวทนา จิตฟุ้งมากให้ใช้ดูความฟุ้งคือใช้สติดูความฟุ้ง อย่าพยายามเอาความคิดหนึ่งไปข่มความคิดซึ่งฟุ้งอยู่ จะฟุ้งไปฟุ้งมา เรียกว่าเอาจิตไปซ้อนจิต จะกายเป็นฟุ้งไปฟุ้งมา ต้องจับลมหายใจเข้าออก ตามดูความฟุ้งไปเรื่อยจนจิตคลายความฟุ้ง สิ่งใดที่จะพานพบในชีวิตประจำวันสามารถเอาพิจารณาในแบบสติปัฏฐานสี่ได้หมด ไม่ว่าพบใบไม่ร่วง รถชนคนตาย
     
  6. Unregistered

    Unregistered บุคคลทั่วไป

    ค่าพลัง:
    +0
    ความจริงแล้วธรรมทั้งหลายแม้จะแยกเป็นหมวดหมู่ ก็เป็นอันหนึ่งอันเดียวกัน มีเพื่อละกิเลสให้เบาบางจนถึงละขาด ปฏิบัติอะไรถ้ามีปั__าก็โน้มไปวิปัสนาได้ คือเริ่มจากสติปัฏฐานสี่ หรือเริ่มจากกสิณ ( ความจริงก็มีสติปัฏฐานสี่ปนด้วย ) โยงไปสู่สติปัฏฐานสี่ได้ ไม่ว่าภาวะทิพย์จักษุฌาน หรือมโนยิทธิ เพราะอย่างที่บอกตอนแรกธรรมะคือตัวเดียวกัน แยกเป็นหมวดหมู่แล้วแต่จริตเท่านั้น เชื่อมโยงถึงกันหมด เพราะฉะนั้นอยากตีว่าฝ่ายหนึ่งปฏิบัติผิด ตราบใดยังปฏิบัติในศีล ในธรรม ปฏิบัติมรรคองค์แปด จนถึงการละสังโยชน์ในที่สุด

    สังเกตุคำว่า กายในกายพุทธพจน์ ตามความเข้าใจทั่วไปกายในกายหมายถึงกายตัวเอง กายภายนอกหมายถึงกายบุคคลอื่น แต่ในทางปฏิบัติของพวกผม กายมีสามอย่าง คือกายหยายคือร่างกาย กายทิพย์คือกายที่จิตปรุงขึ้นมาตามอำนาจสมาธิหรือบุ_ กายธรรมคือกายทีละสังโยชน์ได้ ไม่ว่าชั่วคราวหรือขาดแล้ว แต่ทั้งนี้ขอให้ยึดพุทธพจน์เป็นหลัก
     
  7. olj

    olj เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    26 พฤศจิกายน 2005
    โพสต์:
    213
    ค่าพลัง:
    +2,443
    โมทนา สาธุ
     
  8. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    สาธุ
     
  9. gho ปันปัน

    gho ปันปัน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +21
    เรื่องเล่าต่อไปนี้ เป็นเรื่องเล่าที่เกิดจากการฝึกสมาธิมาเป็นสิบกว่าปี กะเขียนให้เป็นวิทยาทานหรืออ่านเพื่อความบันเทิงแล้วแต่คนอ่านจะคิด ความจริงแล้วชื่อสมาชิกเริ่มแรกผมคือ ปันปัน แต่ลืมพาสเวิร์ด จึงต้องสมัครใหม่ เพื่อมาโพสต่อจากข้อเขียนที่เคยเขียนไว้แล้ว โดยไม่ต้องไปโพสเป็นกระทู้ใหม่ เช่นเดียวกันทุกครั้งที่เขียนมาไม่ได้ยื่นยันว่าเป็นเรื่องจริงแท้ทั้งหมด เพราะบางอย่าอาจผิดพลาดได้ เพราะไม่ได้ทรงญาณหรือได้อภิญญา หรืออาจปัญญาน้อยเข้าใจผิด
    นางไม้มาเป็นลูก
    ปี 2542 ผมเดินทางไปเที่ยวจังหวัดภาคใต้ หลังจากแต่งงานได้ใหม่ ๆ พอไปถึงจังหวัดถ้าจำไม่ผิดจังหวัดประจวบคีรีขันธ์ ไปถึงน้ำตกแห่งหนึ่ง ก็มองเห็นนางฟ้าออกมาเดินตามหลังคนหนึ่ง เขาเป็นนางฟ้าดูแลเขตนั้นโดยเฉพาะบริเวณน้ำตก ในความรู้สึกของจิตตอนนั้น รู้สึกรักและผูกพันธ์กับนางฟ้าองค์ดังกล่าวมาก คือรักเหมือนลูก ไปไหนก็เดินตาม เลยบอกว่าถ้าอยากเกิด ให้มาเกิดเป็นลูกแล้วกัน โดยต้องให้พรหมองค์หนึ่งมาเป็นลูกก่อน เพราะเขารอเกิดเป็นลูกอยู่ นางฟ้าองค์นี้พอผมเดินทางกลับกรุงเทพมหานคร ก็เดินทางมาส่งผมถึงที่ และก็แวะมาหาหลายครั้งหลายครา

    จนเมื่อภรรยาผมตั้งท้อง พอคลอดออกมาก็เป็นลูกสาว เลยรู้เลยว่าเขาไม่รอมาเป็นลูกคนที่สองละเป็นลูกคนแรกเลย พอลูกสาวคนนี้คลอดออกมา ความเป็นทิพย์ของจิตของนางฟ้าก็ติดมาบ้าง คือพอโตได้สองขวบ สามขวบ เวลาไปไหนที่มีคนเคยตายมาก่อน ก็จะบอกว่าผี ๆ จนน้องสาวผมแปลกในว่ารู้ได้อย่างไรว่าบริเวณนั้นมีเคยตายผ่านมาไม่นาน
    บางครั้งเวลานอน เมื่อร้องไห้ไม่ทราบสาเหตุ คือไม่ได้หิวนม ท้องเสีย พอผมมองไปก็จะเห็นพวกเจ้ากรรมนายเวรของลูกผมมาก่อนกวน ในบางครั้งก็เห็นเป็นผีผู้ชายนอนอยู่ข้าง ๆ ผม หลายครั้งที่ผมต้องสวดมนต์อาราธนาบารมีพระพุทธเจ้าแผ่ลงน้ำมนต์ แล้วใช้น้ำนั้นพรหมไปทั่วบ้าน พอพวกผีออกพ้นบริเวณบ้าน ลูกสาวจึงหยุดร้องไห้ จนอายุได้ 4 ขวบ จึงพ้นภาวะนี้ไปได้
    มีครั้งหนึ่ง วิ่งหน้าตั้งเข้าไปหาผมในครัวว่า พ่อผีมา ๆ พอผมมองออกไปก็เห็นเป็นยายของเขาที่ถึงแก่ความตายแล้ว ลอยเข้ามาทางด้านหน้าบ้าน ผมได้แต่ยิ้มในใจว่า จิตเด็กนี้ดีจริง ๆ อาการสัมผัสผี เทวดานี้ มีหลายครั้ง พออายุได้สี่ห้าขวบก็หายไป
     
  10. gho ปันปัน

    gho ปันปัน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +21
    ได้นางฟ้าที่รอเป็นลูกเพื่อนมาเป็นลูกตัวเอง

    ผมมีเพื่อนคนหนึ่งแต่งงานมานานแล้ว ไม่มีลูก ทำด้านการแพทย์แล้วก็ยังไม่มี ผมแวะไปหาเขา ผมก็บอกว่ามีนางฟ้าองค์หนึ่งมารอเป็นลูกอยู่ เขาก็บอกว่าให้ช่วยเขาให้มีลูกหน่อย ก็รับปากเขา นางฟ้าองค์ดังกล่าวก็มาบอกผมด้วยว่า ให้ช่วยเขาให้เกิดกับเพื่อนผมหน่อย ผมก็รับปาก ก็พยายามแผ่เมตตาให้เขา อีกแวปหนึ่งของจิตว่า ถ้าผมไปทำอย่างนี้ จะเกิดกระแสจิตให้ผูกพันธ์กัน เขาจะมาเกิดกับผมแทน แต่ก็ทำต่อไป พอสักหน่อยแฟนผมตั้งท้อง ผมเลยรู้เลยว่านางฟ้าองค์นั้นมาเกิดกับแฟนผมแทน เพราะรอเกิดตั้งนานแล้วยังไม่ได้เกิด เพราะเพื่อนผมมีกรรมบางอย่างที่เขายังไม่สามารถมาเกิดได้ ( ความจริงแล้วเป็นกรรมของนางฟ้าองค์นั้นด้วย แต่มาเกิดกับผมแสดงผลไม่ได้ เพราะหนึ่งในสาเหตุหนึ่ง คือผมกับแฟนทำบุญเป็นปรกติ ผมเวลานั่งสมาธิแล้วจะอุทิศให้ลูกที่กำลังตั้งท้องและเข้ากรรมนายเวรของลูกว่า ขอให้กาย ปัญญาและเพศสมบูรณ์ คือกายหญิงจิตก็หญิง กายชายจิตก็ชาย ซึ่งอาการที่จิตเขารับรู้ได้ ก็คือเราจะขนลูกทุกครั้งที่อุทิศให้ )

    หลังจากลูกคนนี้เกิด เวลาผมพาไปหาเพื่อนผม แกจะร้องให้ไม่ยอมให้เพื่อนผมอุ้ม ๆ พออายุได้สี่ปี อาการแบบนี้ค่อยหายไป มีครั้งหนึ่งผมพาลูกสาวผมไปบ้านผมที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับเพื่อน ที่ผมซื้อไว้ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ พอไปถึงบ้านผม ลูกสาวก็ร้องให้ใหญ่ พอเข้าไปบ้านยิ่งร้องใหญ่ ตอนนั้นอายุได้ ๒ ขวบยังพูดไม่ได้เลย เพราะกว่าจะพูดได้ก็สามขวบ ร้องให้เกือบ 30 นาที จนแม่ผมบอกว่า อยู่ไม่ได้เพราะลุกสาวร้องให้แบบผิดปรกติ ไม่ยอมหยุด แถมเอามือชี้ไปบนหลังคาบ้านว่า มันอยู่บนนั้น ทำให้แม่ผมงงมาก เพราะเด็กพูดไม่ได้ ทำไมพูดออกเป็นประโยคได้ ผมมองไปบนหลังคาก็เห็น ผีนั่งอยู่ตามหลังคาบ้านหลายผี จึงพาลูกออกจากบ้านไป พอพ้นบ้านไปได้สัก 100 เมตร ลูกก็หยุดร้อง พอได้แต่บอกผีพวกนั้นว่า เขาคงเคยทำท่านไว้ ตอนนี้เขายังเด็ก ให้อโหสิกรรมให้เขาหน่อย พอเขาโตขึ้นผมจะสอบเขานั่งสมาธิและทำบุญอุทิศให้เอง หลังจากนั้นก็ไม่เคยพบอีก
    เด็กที่พูดยังไม่ได้ แต่พูดเป็นโยคยาว ๆ นี้ ลูกชายคนเล็กผมก็เป็น เพราะอาการร้องให้ไม่ทราบสาเหตุ แบบผิดปรกติ ไม่ปวดท้อง ไม่หิวนม แต่เอามือชี้ไป แล้วบอกผีมันอยู่ตรงนั้น ซึ่งผมก็เห็นว่าอยู่ตรงนั้นจริง อันนี้ว่าด้วยความเป็นทิพย์ของจิตเด็กที่ติดมา พอโตขึ้นมีวิวรณ์มากขึ้น ความเป็นทิพย์นี้ก็จางหายไป
     
  11. gho ปันปัน

    gho ปันปัน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +21
    ได้นางฟ้าที่รอเป็นลูกเพื่อนมาเป็นลูกตัวเอง

    ผมมีเพื่อนคนหนึ่งแต่งงานมานานแล้ว ไม่มีลูก ทำด้านการแพทย์แล้วก็ยังไม่มี ผมแวะไปหาเขา ผมก็บอกว่ามีนางฟ้าองค์หนึ่งมารอเป็นลูกอยู่ เขาก็บอกว่าให้ช่วยเขาให้มีลูกหน่อย ก็รับปากเขา นางฟ้าองค์ดังกล่าวก็มาบอกผมด้วยว่า ให้ช่วยเขาให้เกิดกับเพื่อนผมหน่อย ผมก็รับปาก ก็พยายามแผ่เมตตาให้เขา อีกแวปหนึ่งของจิตว่า ถ้าผมไปทำอย่างนี้ จะเกิดกระแสจิตให้ผูกพันธ์กัน เขาจะมาเกิดกับผมแทน แต่ก็ทำต่อไป พอสักหน่อยแฟนผมตั้งท้อง ผมเลยรู้เลยว่านางฟ้าองค์นั้นมาเกิดกับแฟนผมแทน เพราะรอเกิดตั้งนานแล้วยังไม่ได้เกิด เพราะเพื่อนผมมีกรรมบางอย่างที่เขายังไม่สามารถมาเกิดได้ ( ความจริงแล้วเป็นกรรมของนางฟ้าองค์นั้นด้วย แต่มาเกิดกับผมแสดงผลไม่ได้ เพราะหนึ่งในสาเหตุหนึ่ง คือผมกับแฟนทำบุญเป็นปรกติ ผมเวลานั่งสมาธิแล้วจะอุทิศให้ลูกที่กำลังตั้งท้องและเข้ากรรมนายเวรของลูกว่า ขอให้กาย ปัญญาและเพศสมบูรณ์ คือกายหญิงจิตก็หญิง กายชายจิตก็ชาย ซึ่งอาการที่จิตเขารับรู้ได้ ก็คือเราจะขนลูกทุกครั้งที่อุทิศให้ )

    หลังจากลูกคนนี้เกิด เวลาผมพาไปหาเพื่อนผม แกจะร้องให้ไม่ยอมให้เพื่อนผมอุ้ม ๆ พออายุได้สี่ปี อาการแบบนี้ค่อยหายไป มีครั้งหนึ่งผมพาลูกสาวผมไปบ้านผมที่อยู่หมู่บ้านเดียวกันกับเพื่อน ที่ผมซื้อไว้ยังไม่ได้เข้าไปอยู่ พอไปถึงบ้านผม ลูกสาวก็ร้องให้ใหญ่ พอเข้าไปบ้านยิ่งร้องใหญ่ ตอนนั้นอายุได้ ๒ ขวบยังพูดไม่ได้เลย เพราะกว่าจะพูดได้ก็สามขวบ ร้องให้เกือบ 30 นาที จนแม่ผมบอกว่า อยู่ไม่ได้เพราะลุกสาวร้องให้แบบผิดปรกติ ไม่ยอมหยุด แถมเอามือชี้ไปบนหลังคาบ้านว่า มันอยู่บนนั้น ทำให้แม่ผมงงมาก เพราะเด็กพูดไม่ได้ ทำไมพูดออกเป็นประโยคได้ ผมมองไปบนหลังคาก็เห็น ผีนั่งอยู่ตามหลังคาบ้านหลายผี จึงพาลูกออกจากบ้านไป พอพ้นบ้านไปได้สัก 100 เมตร ลูกก็หยุดร้อง พอได้แต่บอกผีพวกนั้นว่า เขาคงเคยทำท่านไว้ ตอนนี้เขายังเด็ก ให้อโหสิกรรมให้เขาหน่อย พอเขาโตขึ้นผมจะสอบเขานั่งสมาธิและทำบุญอุทิศให้เอง หลังจากนั้นก็ไม่เคยพบอีก
    เด็กที่พูดยังไม่ได้ แต่พูดเป็นโยคยาว ๆ นี้ ลูกชายคนเล็กผมก็เป็น เพราะอาการร้องให้ไม่ทราบสาเหตุ แบบผิดปรกติ ไม่ปวดท้อง ไม่หิวนม แต่เอามือชี้ไป แล้วบอกผีมันอยู่ตรงนั้น ซึ่งผมก็เห็นว่าอยู่ตรงนั้นจริง อันนี้ว่าด้วยความเป็นทิพย์ของจิตเด็กที่ติดมา พอโตขึ้นมีวิวรณ์มากขึ้น ความเป็นทิพย์นี้ก็จางหายไป
     
  12. gho ปันปัน

    gho ปันปัน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +21
    พอดีมาเปิดเครื่องที่บ้าน ปรากฏว่าเครื่องจำชื่อและระหัสผ่านได้ ในชื่อ gho ปัญปัน เลยโพสในชื่อนี้อีกชื่อหนึ่ง สรุปแล้ว ผมสมัครตั้งสามชื่อ ไม่ใช่ว่าสมัครมาโมทนากระทู้ตัวเอง หรือเอาไว้ใช่ทำเจตนาไม่ดีอะไรนะครับ เพราะผมอยากเขียนก็เขียน ใครโมทนา ใครคัดค้านก็ไม่ใส่ใจ การเขียนผมนึกจะเขียนอะไรก็เขียน ไม่เรียงลำดับ ไม่เกลาสำนวนเขียนได้ ตรวจลวก ๆ ก็โพสเลย<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    การเห็นนิมิตครั้งแรก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    หมายความว่าแรกเริ่มที่สนในนั่งสมาธิ ก่อนหน้านั้นในวัยเด็กไม่นับเพราะเป็นเล่นกับลมหายใจมาตั้งแต่เด็กจนหลับไป ในปี พ ศ. 2534 เป็นปีที่ผมเริ่มสนใจการฝึกสมาธิ โดยฝึกเองเอาก่อน อาศัยฟังเพื่อนเล่า อ่านหนังสือบ้าง จนได้สองอาทิตย์จิตเข้าสู่สมาธิครั้งแรก คำภาวนาหายไป สุขในความสงบในระยะสั้น ๆ แต่ก็แปลกในในความสุขเพราะไม่เจือด้วยอามิสหรืออาศัยวัสดุ สิ่งของใด เห็นท่าน่าจะตั้งตัวฝึกสมาธิจริง ๆ จัง เหมือนที่เคยตั้งใจไว้ตอนเด็กว่าจะฝึกสมาธิ เพราะอยากเป็นพระอรหันต์ แต่เนื่องจากโดยคนอื่นพูดให้ได้ยินว่าฝึกสมาธิเดี่ยวบ้า ทั้งเคยเห็นคนฝึกสมาธิจนเพี้ยน คือนั่งบ่นกับตัวเองไปเรื่อย ๆ จนคนนี้ภายหลังไปหาพระให้แก้เลยหาย ก็เลยรีรอมาจนอายุได้ยี่สิบกว่าปี <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    พอฝึกในสมาธิระยะแรก คืนวันหนึ่งฝันไปแบบชัดแจ้งแจ่มใสเหมือนกลางวันว่า มีฤาษีองค์หนึ่งใส่ชุดลายเสือมาบอกว่า โดยชี้มือมาที่ตัวผมแล้วบอกว่า รู้ตัวหรือเปล่าว่าเหาะมาเกือบทุกชาติ ก็ตื่นขึ้นมา จริงหรือเปล่าก็ไม่รู้ ถ้าจริงชาติก่อนเหาะได้ ชาตินี้อาจะเหาะไม่ได้ก็ได้ เพราะหนักกิเลสเหลือเกิน ทั้งรูป รส กลิ่นเสียง สัมผัสในสตรีเพศ ที่จิตยังฝันใฝ่ถึง ทั้งชอบฟังเพลงเป็นชีวิตจิตใจ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นิมิตครั้งแรกในการนั่งสมาธิ เกิดขึ้นเพราะสงสัยว่านิมิตนี้มันเห็นกันอย่างไร ทำไมทำให้คนหลงได้ขนาดนั้น เลยตั้งจิตอยากเห็น พอกลางคืนนั่งสมาธิ พอจิตสงบสักหน่อย ก็ปรากฏเห็น พระองค์หนึ่งรูปร่างท้วม ๆ ถ้าเทียบขนาดก็ยาวประมาณสักฝ่ามือ นั่งสมาธิลอยอยู่ข้างหน้าบริเวณด้านข้าง จำไม่ได้ว่าข้างไหนด้วยซี น่าจะข้างซ้าย เห็นชัดเจนเหมือนตามอง ก็มองด้วยจิตสักครู่หนึ่ง ก็เลยอธิษฐานว่า อ๋อรู้แล้ว สักพักหนึ่งนิมิตก็หายไป หลังจากนั้นการฝึกมานาน ๆ ก็ไม่เกิดนิมิต จนกระทั่งมาฝึกกสิณไฟ และอโลกสัญญานิมิตลักษณะอื่นจึงมาปรากฏอีกที<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    นิมิตที่เห็นด้วนตาเนื้อครั้งแรก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    มีคราวหนึ่ง มีเพื่อนที่ฝึกสมาธิได้ ที่เขาบอกว่า ผมเคยปรารถนาพุทธภูมิไว้ มีคู่บารมีชื่อสุธิชาเป็นนางฟ้าอยู่ชั้นหก โอละพ่อจริง ๆ ว่าเข้าไปนั่น เลยบอกว่าไม่เชื่อ ถ้าจริงมาแสดงด้วยตาเนื้อให้ดูหน่อยซี พอวันรุ่งขึ้น ขณะผมกำลังนอนมองเพดานอยู่นั้น ก็ปรากฏแม่ชีสาวนัยตาสวย แบบครั้งตัวคือตั้งช่วงท้องขึ้นมา มาลอยอยู่บนอากาศมองมาที่ผมแล้วก็ยิ้ม ๆ แบบไม่สงสัยเลย ลอยสักพักหนึ่งก็หายไป เพราะตอนนั้นมัวแต่ตลึงอยู่ ก็เอาอาจจะเข้าเค้าว่าจริง แต่ก็ไม่เชื่อเต็มลอย เราอาจจะอุปาทานก็ได้ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ความจริงแล้วนางฟ้าองค์นี้ ตอนหลังสมัยผมไปบวชเป็นพระ เคยพบเห็นมาเดินตามเวลาไปไหนต่อไหนบ้าง ขนาดเป็นพระกิเลสราคะยังเกิดกับนางฟ้าได้เลย เกิดอาการหลงรักนางฟ้าคนนี้เต็ม ๆ ต้องใช้เวลาสองอาทิตย์ อาการดังกล่าวจึงหายไป เด็กลูกศิษย์หลวงปู่ถามหลวงปู่ว่า เป็นเพราะเคยเป็นสามีภรรยากันมาก่อน อารมณ์ดังกล่าวจึงเกิด ไม่ใช่ความผิดของผม ก็เลยใช้วิปัสสนาตามดูอารมณ์ตัวนี้จนดับไป นี่ถ้ามาแบบแม่ชีแบบเดิมอารมณ์ราคะอาจไม่เกิดก็ได้ <o:p></o:p>
     
  13. gho ปันปัน

    gho ปันปัน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +21
    ความจริงไอ้ราคะกับนิมิต หรือเรียกให้ตรงว่ากับพวกกายทิพย์นี้ ยังมีอีกครั้งหนึ่งสมัยผมไปทำงานในจังหวัดสระบุรี ผมไปพบนางฟ้าองค์หนึ่ง พอพบก็เกิดราคะกำหนดขึ้นทั้งคนทั้งนางฟ้า ใช้เวลาสองสามอาทิตย์ถึงจะหายไป ( จิตตานุปัสนา ) ความจริงแล้วนางฟ้าองค์นี้ เป็นนางฟ้าที่อยู่แถวบ้านผม น้องชายผมเคยพาเพื่อนไปไปแถวทุ่งนา ผ่านโนนดิน ที่นางฟ้าองค์นี้อยู่ เขาพบลูกไฟสีเขียว ( อาจน้ำเงินจำไม่ค่อยได้ ) ลอยออกมาจากโนนดิน เห็นกันด้วยตาเนื้อ เด็กที่ไปด้วยกันวิ่งกับป่าราบ <?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ตอนน้องชายมาเล่าให้ผมฟัง ผมก็ตอบตามความรู้สึกว่าไม่ใช่ผี เทวดา ( ผมจะเรียกรวม ) ตอนหลังเขาฝึกสมาธิได้ เขาก็บอกว่า นางฟ้าองค์นี้ก็คือแม่ของเขา โดยมีเด็กเล็กหลายคนเป็นลูก ก่อนหน้านั้นเขาเคยเป็นสัตว์ หลังตายไปหมดกรรมก็มาเป็นเทวดาเด็กลูกของนางฟ้าองค์นี้ ตอนหลัง กายในของผม ( ไปแบบผมไม่รู้เรื่อง เรียกว่ากายใน หรือกายบุญ หรือกายสังขารส่วนกุศล ) ไปขอเขากับนางฟ้าให้มาเกิดเป็นน้องชายผม <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    มาเมื่อปีนี้หรือปีที่แล้วไม่แน่ใจ วันหนึ่งผมนั่งสมาธิเขามาบอกผมว่า เขามาลาแล้ว เพราะเขามาจากพรหม ลงมาอยู่ชั้นภูมิเพราะเป็นห่วงผม ( ลงมาเป็นภูมิ จิตก็เป็นภูมิ ) มาคอยดูแลผม แต่ดูอยู่ห่าง ตอนนี้ถึงวาระตั้งกลับไปที่เดิม ( ชั้นสาม พรหมชั้นหนึ่งถึงสามจะมีกายต่างกัน ตามที่ระบุไว้ในพระไตรปิฏกคือ มีกายลักษณะที่เป็นลักษณะคล้ายเทวดาหรือนางฟ้าอยู่ แต่ถือว่าเป็นพรหมคือไม่มียุ่งเกี่ยวด้วยกาม พรหมชั้น 1- 3 นี้พระพุทธเจ้าจะเรียกว่าเทวดาผู้นับเนื่องในหมู่พรหม ลองค้นในพระไตรปิฏกดูครับ ส่วนพรหมชั้น 4 ขั้นไป เว้นแต่อรูปพรหมจึงจะมีกายพรหมลักษณะคล้ายผู้ชายอย่างเดียว หลังจากเขามาลาผมแล้ว จากนั้นผมก็ไม่พบนางฟ้าองค์นี้อีก<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ศาลเจ้าพ่องูใหญ่ กับศาลเจ้าพ่อหลักเมืองคนเดียวกัน<o:p></o:p>
    ความจริงแล้วอันนี้ไม่ใช่ความลับอะไรหรอกครับ ผมไปสระบุรี ก็พบเจ้าพ่อหลักเมือง ท่านเมตตามาบอกว่า การปรารถนาพุทธภูมินี้ก็เป็นกิเลสใหญ่เป็นอุปสรรคในการฝึกเหมือนกันนะ ซึ่งผมเห็นด้วยกับท่านทุกอย่าง เพราะการปรารถนาพุทธภูมิแม้เป็นสิ่งดีแต่ถ้าตั้งกำลังใจผิด ก็เป็นอุปสรรคในการฝึกเหมือนกัน ฝึกไปฝึกมาเหมือนพายเรือวนในโอ่ง ท่านบอกผมว่า ท่านเป็นคนเดียวกันกับศาลเจ้าพ่องูใหญ่ เพราะท่านเคยแสดงกายเป็นงูให้คนเห็น เขาเลยตั้งศาลให้ ใกล้ ๆ กับศาลเจ้าพ่อหลักเมือง คนทั้งหมดเชื่อว่า ศาลเจ้าพ่องูใหญ่กับเจ้าพ่อหลักเมืองคนละคนกัน ห่างกันประมาณ 200 เมตร ท่านบอกว่าผมนี้มีศักดิ์เป็นหลาน ท่านเป็นทวด เมื่อท่านไม่ห้ามตรงนี้ ผมก็เลยเอามาเขียนเสียเลย <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  14. gho ปันปัน

    gho ปันปัน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +21
    จิตแบ่งภาคมาเกิดได้หรือไม่<?xml:namespace prefix = o ns = "urn:schemas-microsoft-com:eek:ffice:eek:ffice" /><o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    สมัยเมื่อผมเริ่มฝึกสมาธิใหม่ ๆ คำว่าแบ่งภาคมาเกิด หรือแบ่งจิตมาเกิดนี้ก็เคยได้ยินคำบอกเล่ามาให้ได้ยินอยู่ ได้ฟังแล้วได้แต่ฉงนสนเทห์ว่า ถ้าแบ่งจิตมาเกิดได้จริงมันจะเป็นอย่างไร ถ้าคนสองคนที่เป็นจิตดวงเดียวกันมาพบกันจะเป็นอย่างไร ซึ่งคนที่เชื่อว่าจิตแบ่งมาเกิดได้ ก็จะบอกว่าจิตดวงเดียวกันแต่คนละคนนี้จะไม่ได้พบกัน แถมยังมีเพื่อนบางคนมาบอกผมอีกว่า ตัวผมนี้ก็เป็นจิตแบ่งมาเกิดด้วย อีกคนหนึ่งเป็นพระ เอาละซี ผมก็สงสัยอีกว่า แล้วเขายังเล่าต่อด้วยว่า ขณะที่คนกำลังจะตาย ( เขาบอกทำได้แต่คนมีบารมีสูง ) จะแบ่งจิตไปเกิดก่อนตายด้วย ผมคิดในใจว่ายุ่งพิลึกจริง ๆ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ถ้าเอาตามประสบการณ์ของผมในการทดสอบภูมธรรมของเขา ก็บอกได้ว่าไม่เชื่อ เพราะเขาดูอะไรไม่ตรงเลย แต่ผมมาสงสัยหนักไปอีกก็เมื่อเพื่อนผมซึ่งฝึกสมาธิใช้ได้ มาบอกว่า ตัวเขานั้นรู้สึกในสมาธิว่าเขามาเกิดเป็นอีกคนหนึ่ง <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ต่อมาในคราวหนึ่งผมเห็นคน ๆ หนึ่งออกทีวีผมรู้สึกขึ้นมาเลยว่าตัวผมกับคนที่ออกทีวีเป็นคน ๆ คนเดียวกัน ความรู้สึกนี้มีอยู่หลายเดือน ก็แปลกใจว่าทำไมเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ได้เข้าสมาธิตรวจสอบดู เพราะการรู้สึกขึ้นมาแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะตรงเต็มร้อย ผิดก็มีบ้าง จะคิดในแง่จิตวิทยาว่าผมอยากเป็นคน ๆ นั้นก็ใช่ที่ เพราะผมไม่รู้สึกอะไรเลย คือผมไม่ได้รู้สึกว่าผมด้อยเขาไม่ว่าด้านไหน ๆ อาจจะเป็นมานะแต่ก็เรื่องของความรู้สึกจริง ๆ <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    <o:p> </o:p>
    ใน ปี พ. ศ. 2539 ผมได้มีโอกาสบวช ก็ได้ อธิษฐานถึงพระรัตนไตร ครูบาอาจารย์ทั้งหลายว่าขอให้ผมรู้ตามความเป็นจริงในหลาย ๆ เรื่องที่ผมสงสัยอยู่ ความจริงแล้วผมนั่งสมาธิถามอาจารย์ก็จบแล้ว แต่ไม่ยอมทำ จนมีคราวหนึ่ง หลังผมทำกรรมฐาน อารมณ์สะบาย ๆ อยู่ ก็มีกระแสเข้ามาแบบชัดแจ้งว่า จิตมีดวงเดียวไม่สามารถแบ่งมาเกิดได้ หลังจากได้พบอารมณ์นี้ อารมณ์ที่ผมสงสัยก็ปลดเปลื้องไป<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ในภายหลังผมได้ถามอาจารย์ว่า ทำไมความเชื่อว่าจิตแบ่งภาคได้จึงมีมา อาจารย์ผมอธิบายดังนี้คือ เมื่อเวลาคนเรามาเกิด จิตลงมาเกิด คูรบาอาจารย์หรือเทวดาที่มีความเกี่ยวพันกันจะแบ่ง สังขารที่เกิดจากบุญลงมาอยู่ด้วย เมื่อเวลาฝึกไปถึง สังขารตัวนี้จะออกมา เพราะฉะนั้นกายสังขารที่จะเห็นนอกจากกายสังขารของตัวเองแล้วมีของอาจารย์หรือเทวดาด้วย ซึ่งกายสังขารของอาจารย์หรือของเทวดาสามารถไปอยู่ได้หลายคน<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ที่ผมอธิบายอย่างนี้ไม่ได้บอกว่ามีกายทิพย์ซ้อนอยู่ในตัวนะคับ เพียงแต่มันซุกซ่อนอยู่ในจิต เมื่อฝึกสมาธิถึงหรือถึงเวลาเหมาะสมเช่นมีอันตราย หรือเจอคนที่เกี่ยวพันกัน กายสังขารก็จะปรุงแต่งออกมาจากจิต <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    ทำนองเดียวกับของของผมและของเพื่อนผม มีกายของอาจารย์อยู่ในตัวทั้งสองคนแต่เป็นคนละสังขาร นอกนี้หากเขาไม่ได้แบ่งมาตั้งแต่ตอนเกิด กายสังขารของอาจารย์หรือของเทวดายังสามารถมาคลุมได้จากภายนอก <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    เพราะฉะนั้นกายสังขารพวกนี้รวมทั้งของเรา จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตนเป็นของตน เป็นเพียงกายสังขารที่เกิดจากบุญจากการบำเพ็ญเท่านั้น <o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
    การเห็นกายสังขารของอาจารย์ไปไหนไปด้วย ไม่ใช่ว่าอาจารย์จะมาอยู่มาเฝ้า ตัวจิตของอาจารย์จริง ๆ อยู่ข้างบน ตัวนี้เป็นเพียงกายสังขาร ( หรือภาคบารมีตามแต่จะเรียก หรือจะเรียกกายในตามที่บางกลุ่มชอบเรียกกัน ) อย่าได้ยึดมั่นถือมั่นว่า ฝึกถึงกายนั้น เรามีกายนั้นกายนี้<o:p></o:p>
    <o:p> </o:p>
     
  15. gho ปันปัน

    gho ปันปัน สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    30 มีนาคม 2007
    โพสต์:
    7
    ค่าพลัง:
    +21
    จิตแบ่งภาคมาเกิดได้หรือไม่ffice:eek:ffice" /><O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    สมัยเมื่อผมเริ่มฝึกสมาธิใหม่ ๆ คำว่าแบ่งภาคมาเกิด หรือแบ่งจิตมาเกิดนี้ก็เคยได้ยินคำบอกเล่ามาให้ได้ยินอยู่ ได้ฟังแล้วได้แต่ฉงนสนเทห์ว่า ถ้าแบ่งจิตมาเกิดได้จริงมันจะเป็นอย่างไร ถ้าคนสองคนที่เป็นจิตดวงเดียวกันมาพบกันจะเป็นอย่างไร ซึ่งคนที่เชื่อว่าจิตแบ่งมาเกิดได้ ก็จะบอกว่าจิตดวงเดียวกันแต่คนละคนนี้จะไม่ได้พบกัน แถมยังมีเพื่อนบางคนมาบอกผมอีกว่า ตัวผมนี้ก็เป็นจิตแบ่งมาเกิดด้วย อีกคนหนึ่งเป็นพระ เอาละซี ผมก็สงสัยอีกว่า แล้วเขายังเล่าต่อด้วยว่า ขณะที่คนกำลังจะตาย ( เขาบอกทำได้แต่คนมีบารมีสูง ) จะแบ่งจิตไปเกิดก่อนตายด้วย ผมคิดในใจว่ายุ่งพิลึกจริง ๆ <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ถ้าเอาตามประสบการณ์ของผมในการทดสอบภูมธรรมของเขา ก็บอกได้ว่าไม่เชื่อ เพราะเขาดูอะไรไม่ตรงเลย แต่ผมมาสงสัยหนักไปอีกก็เมื่อเพื่อนผมซึ่งฝึกสมาธิใช้ได้ มาบอกว่า ตัวเขานั้นรู้สึกในสมาธิว่าเขามาเกิดเป็นอีกคนหนึ่ง <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ต่อมาในคราวหนึ่งผมเห็นคน ๆ หนึ่งออกทีวีผมรู้สึกขึ้นมาเลยว่าตัวผมกับคนที่ออกทีวีเป็นคน ๆ คนเดียวกัน ความรู้สึกนี้มีอยู่หลายเดือน ก็แปลกใจว่าทำไมเป็นอย่างนี้ แต่ไม่ได้เข้าสมาธิตรวจสอบดู เพราะการรู้สึกขึ้นมาแบบนี้ไม่ใช่ว่าจะตรงเต็มร้อย ผิดก็มีบ้างจะคิดในแง่จิตวิทยาว่าผมอยากเป็นคน ๆ นั้นก็ใช่ที่ เพราะผมไม่รู้สึกอะไรเลย คือผมไม่ได้รู้สึกว่าผมด้อยเขาไม่ว่าด้านไหน ๆ อาจจะเป็นมานะแต่ก็เรื่องของความรู้สึกจริง ๆ <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ใน ปี พ. ศ. 2539 ผมได้มีโอกาสบวช ก็ได้ อธิษฐานถึงพระรัตนไตร ครูบาอาจารย์ทั้งหลายว่าขอให้ผมรู้ตามความเป็นจริงในหลาย ๆ เรื่องที่ผมสงสัยอยู่ ความจริงแล้วผมนั่งสมาธิถามอาจารย์ก็จบแล้ว แต่ไม่ยอมทำ จนมีคราวหนึ่ง หลังผมทำกรรมฐาน อารมณ์สะบาย ๆ อยู่ ก็มีกระแสเข้ามาแบบชัดแจ้งว่า จิตมีดวงเดียวไม่สามารถแบ่งมาเกิดได้ หลังจากได้พบอารมณ์นี้ อารมณ์ที่ผมสงสัยก็ปลดเปลื้องไป<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ในภายหลังผมได้ถามอาจารย์ว่า ทำไมความเชื่อว่าจิตแบ่งภาคได้จึงมีมา อาจารย์ผมอธิบายดังนี้คือ เมื่อเวลาคนเรามาเกิด จิตลงมาเกิด คูรบาอาจารย์หรือเทวดาที่มีความเกี่ยวพันกันจะแบ่ง สังขารที่เกิดจากบุญลงมาอยู่ด้วย เมื่อเวลาฝึกไปถึง สังขารตัวนี้จะออกมา เพราะฉะนั้นกายสังขารที่จะเห็นนอกจากกายสังขารของตัวเองแล้วมีของอาจารย์หรือเทวดาด้วย ซึ่งกายสังขารของอาจารย์หรือของเทวดาสามารถไปอยู่ได้หลายคน<O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ที่ผมอธิบายอย่างนี้ไม่ได้บอกว่ามีกายทิพย์ซ้อนอยู่ในตัวนะคับ เพียงแต่มันซุกซ่อนอยู่ในจิต เมื่อฝึกสมาธิถึงหรือถึงเวลาเหมาะสมเช่นมีอันตราย หรือเจอคนที่เกี่ยวพันกัน กายสังขารก็จะปรุงแต่งออกมาจากจิต <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    ทำนองเดียวกับของของผมและของเพื่อนผม มีกายของอาจารย์อยู่ในตัวทั้งสองคนแต่เป็นคนละสังขาร นอกนี้หากเขาไม่ได้แบ่งมาตั้งแต่ตอนเกิด กายสังขารของอาจารย์หรือของเทวดายังสามารถมาคลุมได้จากภายนอก <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    เพราะฉะนั้นกายสังขารพวกนี้รวมทั้งของเรา จึงไม่ควรยึดมั่นถือมั่นว่าเป็นตนเป็นของตน เป็นเพียงกายสังขารที่เกิดจากบุญจากการบำเพ็ญเท่านั้น <O:p></O:p>
    <O:p></O:p>
    การเห็นกายสังขารของอาจารย์ไปไหนไปด้วย ไม่ใช่ว่าอาจารย์จะมาอยู่มาเฝ้า ตัวจิตของอาจารย์จริง ๆ อยู่ข้างบน ตัวนี้เป็นเพียงกายสังขาร ( หรือภาคบารมีตามแต่จะเรียก หรือจะเรียกกายในตามที่บางกลุ่มชอบเรียกกัน ) อย่าได้ยึดมั่นถือมั่นว่า ฝึกถึงกายนั้น เรามีกายนั้นกายนี้<O:p></O:p>
    <O:p> </O:p>
     
  16. นิพพิทา2008

    นิพพิทา2008 Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 กุมภาพันธ์ 2008
    โพสต์:
    346
    ค่าพลัง:
    +55
    ผมขออนุโมทนากับคุณUnregisteredเป็นอย่างยิ่งมีประโยชน์กับญาติธรรมมากๆครับ _/|\_
     
  17. ไห่เฉากุหลาบไฟ

    ไห่เฉากุหลาบไฟ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    20 ตุลาคม 2004
    โพสต์:
    895
    ค่าพลัง:
    +2,177
    ขอถามว่าคุณพระพุทธเจ้ามีมากเปรียบเหมือนกับอากาศไม่มีที่สิ้นสุดใช่หรือไม่
     
  18. barking dog

    barking dog เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    8 มกราคม 2012
    โพสต์:
    765
    ค่าพลัง:
    +152
    [​IMG]

    ขออนุโมทนาในธรรมทานด้วยคนจ้า
    sun dog เพิ่งฝึก พุทธานุสติ ได้ไม่นาน
    ตนเองใช้ภาพพระพุทธที่ปรากฎในใจ
    และบทสวดมนต์อิติิปิโส+ทำวัตรผสมผสานกัน
    ตามแต่โอกาส

    ตื่นนอนก่อนลืมตาก็ระลึกถึงพระพุทธ
    เห็นเป็นรูปแบบหนึ่ง สักพักก็เปลี่ยนเป็นอีกแบบหนึ่ง
    จากนั้นสวดมนต์บูชาพระพุทธในใจ 1 จบ แล้วค่อยลืมตา

    ก้าวเท้าลงจากเตียง พอเท้าแตะพื้นแล้วระลึกได้ก็สวดพุทโธในใจไปด้วย
    แต่เมื่อล้างหน้าไม่ได้สวด ไม่ได้ระลึก เห็นแต่หน้า กับน้ำ กับสบู่
    ระลึกถึงท่าน เท่าที่ระลึกได้
    ตอนเดินไปรินน้ำ มีบทบูชาพุทธคุณ สวดขึ้นมาเอง
    เราจึงระลึกได้ ว่าตนเองตั้งสติไว้ ว่าจะระลึกถึงพระพุทธ
    ตนจึงก็สวดตามเสียงในใจไปด้วย
    พบปีติเกิดขึ้นเอง บางๆ เกิดครบ 5 อย่างขณะกินข้าวเที่ยง
    แต่ยังแจกแจงไม่ได้ละเอียดถึงพุทธคุณ ทั้ง 56 อย่าง
    ตอนตนนั่งพิมพ์อยู่นี้ แล้วระลึกถึงธรรมที่ตนสัมผัส ก็มีปีติ
    น่าจะเป็นปีติจาก ธรรมานุสติ

    ได้อ่านข้อความ ที่ท่านเจ้าของกระทู้เขียนแล้ว รู้สึกเห็นด้วย
    หลายท่าน ที่ได้ฟังธรรมจากพระพุทธ หรือติดต่อกับพระพุทธ ในปัจจุบัน
    น่าจะเป็นตัวอย่างหนึ่ง ของความสามารถในการใช้ "พุทธานุสติ" ให้เกิดผลได้
    หากใช้พุทธานุสติ เราย่อมสังเกตได้
    ว่าพระพุทธที่ตนติดต่อด้วยนั้น เป็นพระพุทธที่ตนรู้จักจริง หรือ เป็นอย่างอื่น

    ส่วนพระพุทธ ที่ตนรู้จักนั้น จะ "ตรง" แค่ไหน
    คงขึ้นกับ "พระธรรม" ที่ตนตระหนักได้ด้วยตนเอง
    จ้า
     

แชร์หน้านี้

Loading...