ธรรมะของหลวงปู่ทวด

ในห้อง 'พุทธศาสนา และ ธรรมะ' ตั้งกระทู้โดย Nart Lamp, 9 กรกฎาคม 2011.

  1. Nart Lamp

    Nart Lamp สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2010
    โพสต์:
    55
    ค่าพลัง:
    +15
    [​IMG]

    หลวงปู่ทวด
    วัดช้างให้ จ.ปัตตานี ท่านเป็นพระมหาเถระที่รู้จักกันทั่วประเทศ ในนาม
    " หลวงปู่ทวด เหยียบน้ำทะเลจืด "
    คาถาบูชาท่าน คือ
    นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติภะคะวา
    ชาติกาล 3 มีนาคม พ.ศ. 2125
    ชาติภูมิ บ้านเลียบ ต.ดีหลวง อ.สทิงพระ จ.สงขลา
    บรรพชา เมื่ออายุได้ 15 ปี
    อุปสมบท เมื่ออายุ 20 ปี
    มรณภาพ 6 มีนาคม พ.ศ.2225
    สิริรวมอายุได้ 99 ปี

    คติธรรมคำสอน ของ หลวงปู่ทวด

    ธรรมประจำใจ

    พูดมาก เสียมาก พูดน้อย เสียน้อย ไม่พูด ไม่เสีย นิ่งเสีย โพธิสัตว์

    ละได้ย่อมสงบ
    ทุกสิ่งทุกอย่างในโลกนี้ ล้วนแต่เคลื่อนที่ไปสู่ความเป็นอนิจจัง ทุกขัง อนัตตา
    ทุกอย่างในโลกนี้ เคลื่อนไปสู่การสลายตัวทั้งสิ้น ไม่ยึด ไม่ทุกข์ ไม่สุข ละได้ย่อมสงบ

    สันดาน
    " ภูเขาถูกมนุษย์ทำลายลงมาได้ แต่
    สันดานของคนเราที่นอนนิ่งอยู่ในก้นบึ้ง
    ซึ่งไม่เหมือนกันย่อมขัดเกลาให้ดีเหมือนกันได้ยาก

    ชีวิตทุกข์
    การเกิดมาเป็นมนุษย์ชาติหนึ่ง จะว่าประเสริฐก็ประเสริฐ จะว่าไม่ประเสริฐก็ไม่ประเสริฐ
    จะเห็นได้ว่า
    ตื่นเช้าก็มีความทุกข์เข้าครอบงำจะต้องล้างหน้า ล้างปาก ล้างฟัน ล้างมือ
    เสร็จแล้วจะต้องกินต้องถ่าย นี่คือความทุกข์แห่งกายเนื้อ
    เมื่อเราจะออกจากบ้าน
    ก็จะประสบความทุกข์ในหมู่คณะ ในการงาน ในสัมมาอาชีวะ
    การเลี้ยงตนชอบ
    นี่คือ
    ความทุกข์ในการแสวงหาปัจจัย

    บรรเทาทุกข์

    การที่เราจะไม่ต้องทุกข์มากนั้น เราจะต้องรู้ว่า
    เรานี้จะต้องไม่เอาชีวิตไปฝากสังคม
    เราต้องเป็นตัวของเราเองและเราจะต้องวินิจฉัย ในเหตุการณ์ที่จะเข้ามาเกี่ยวข้อง
    กับตัวเราว่าสิ่งใดเราควรทำ สิ่งใดไม่ควรทำ

    ยากกว่าการเกิด

    ในการที่เราเกิดมา ชีวิตแห่งการเกิดนั้นง่าย แต่ชีวิตแห่งการอยู่นั้นสิยาก
    เราจะทำอย่างไรให้อยู่ได้อย่างสุขสบาย

    ไม่สิ้นสุด

    แม่น้ำทะเล และมหาสมุทร ไม่มีที่สิ้นสุดของน้ำ ฉันใด
    กิเลสตัณหาของมนุษย์ก็ย่อมไม่มีที่สิ้นสุด ฉันนั้น

    ยึดจึงเดือดร้อน

    ทุกวันนี้ เกิดความทุกข์ ความเดือดร้อน
    ก็เพราะมนุษย์ไปยึดโน่น ยึดนี่ ยึดพวกยึดพ้อง
    ยึดหมู่ยึดคณะ ยึดประเทศเป็นสรณะ
    โดยไม่คำนึงถึงธรรม สากลจักรวาลโลกมนุษย?นี้
    ทุกคนมีกรรมจึงเกิดมาเป็นสัตว์โลก สัตว์โลกทุนคนต้องใช้กรรมตามวาระ ตามกรรม
    ถ้าทุกคนยึดถือเป็นอารมณ์ ก็จะเกิดการเข่นฆ่ากัน เกิดการฆ่าฟันกัน
    เพราะอารมณ์แห่งการยึดถืออายตนะ ฉะนั้น ต้องพิจารณาให้ถ่องแท้ว่า
    สิ่งใดทำแล้ว สัตว์โลกมีความสุข สิ่งนั้นควรทำ นี่คือ หลักความจริงของธรรมะ

    อยู่ให้สบาย

    ในภาวะแห่งการที่จะอยู่อย่างสบายนั้น
    เราต้องอยู่กันอย่างไม่ยึด
    อยู่กันอย่างไม่ยินดี อยู่กันอย่างไม่ยินร้าย

    อยู่กันอย่างพยายามให้จิตวิญญาณของนามธรรมนั้นเหนืออารมณ์
    เหนือคำสรรเสริญ เหนือนินทา เหนือความผิดหวัง เหนือความสำเร็จ เหนือรัก เหนือชัง

    ธรรมารมณ์

    การอยู่อย่างมีธรรมารมณ์คือ การอยู่เหนือความรู้สึกทั้งปวง อยู่อย่างรู้หน้าที่การเป็นคน
    และรู้หน้าที่ในการงาน คือรู้ว่าสิ่งที่เราทำนั้น เป็นสิ่งที่เราต้องทำ

    ไม่ใช่ทำเพื่อหวังผลตอบแทนเพราะถ้าเราทำงานเพื่อหวังผลตอบแทนต่างๆแล้ว
    ถ้าสิ่งต่างๆไม่สัมฤทธิ์ผลตามความหวังนั้น เราย่อมเกิดความโทมนัส เสียใจน้อยใจ เป็นทุกข์

    กรรม

    ถ้าเรามีชีวิตอยู่อย่างที่ว่า
    เกิดเพราะกรรม อยู่เพื่อกรรม ทำเพราะกรรม ตายเพราะกรรมแล้ว
    ชีวิตการเป็นมนุษย์ย่อมมีความภิรมย์ มีความรื่นเริง

    มารยาทของผู้เป็นใหญ่

    " ผู้ใหญ่ไม่ใช่อยู่ที่เกิดก่อน ผู้ดีไม่ใช่อยู่ที่เรียนสูง "
    มารยาทจรรยาของการเป็นผู้ใหญ่
    ก็คือต้องสุขุมรอบคอบ และไม่ยึดติดเสียงเป็นหลัก คือ ต้องไม่หวั่นไหวกับคำนินทาและสรรเสริญ

    โลกิยะหรือโลกุตระ

    คนที่เดินทางโลกุตระ ย่อมไปดีทางโลกิยะไม่ได้
    คนที่เดินทางโลกิยะย่อมสำเร็จทางโลกุตระได้ยาก เพราะอะไร ?
    ถ้าคนหนึ่งสำเร็จได้ทั้งโลกิยะ และโลกุตระง่ายแล้ว
    ทำไม องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธโคดม ต้องสละราชบัลลังก์แห่งจักรพรรดิไปเป็นธรรมราชาเล่า
    ถ้าเป็นไปได้ พระองค์เป็นมหาจักรพรรดิพร้อมทั้งธรรมราชา ไม่ดีหรือ?
    แต่มันเป็นไปไม่ได้
    เพราะโลกของโลกิยะและโลกุตระเดินคู่ขนานกันเราต้องตัดสินใจ
    ต้องมีความเด็ดเดี่ยวและกล้าหาญในการที่จะเลือกทางใดทางหนึ่ง

    ศิษย์แท้

    พิจารณากาย ในกาย พิจารณาธรรม ในธรรม พิจารณาวิญญาณ
    ในวิญญาณ นั่นแหละ คือ สานุศิษย์อันแท้จริงของพระสัมมาสัมพุทธเจ้า

    รู้ซึ้ง

    ทุกอย่างจะต้องมีเหตุ
    เมื่อมีเหตุจึงจะมีผล ผลนั้นเกิดจากเหตุ
    เราได้วินิจฉัยข้อนี้แล้ว เราจึงรู้ซึ้งถึงพุทธศาสนา

    ใจสำคัญ

    การทำบุญนั้น จะต้องทำด้วยจิตใจบริสุทธิ์ จะต้องทำด้วยความศรัทธา
    ผลสะท้อนมันจะเกิดขึ้น เกินความคาดหมาย

    หยุดพิจารณา

    คนเรานี้ ถ้าไม่มีอะไรทำอยู่ในที่วิเวกคนเดียว
    จิตมันจะฟุ้งซ่าน
    และถ้าภาวะนั้นตนไม่ปล่อยให้จิตฟุ้งซ่านไปเรื่อยๆ คือ
    หยุดพิจารณา
    แล้วค้นสัจจะของ
    ศีล สมาธิ ปัญญา ย่อมที่จะค้นหาสัจจะในธรรมะได้
    บริจาค

    ทำบุญสังฆทานเป็นจาคะ จาคะเป็นการบริจาคโภคทรัพย์ภายนอ

    การสวดมนต์เป็นการภาวนา การภาวนาเป็นการบริจาคภายใน
    เพราะฉะนั้น ถ้านับในด้านทิพย์อำนาจ

    การบริจาคภายในย่อมได้กุศล มากว่า การบริจาคภายนอก นี่คือเรื่องของนามธรรม

    ทำด้วยใจสงบ

    เราจะทำบุญก็ดี เราจะทำอะไรก็ดี จงทำด้วยความสงบ อย่าทำด้วยอารมณ์แห่งความร้อน
    เพราะการทำด้วยอารมณ์ร้อนนั้น มันจะพาเราไปสู่หายนะ เมื่อเกิดอารมณ์ร้อน
    เราจะทำสิ่งใดสิ่งหนึ่ง จงอย่าทำ นั่งให้จิตใจมันสบายเสียก่อน เมื่อจิตใจสบายแล้ว
    ปัญญาก็เกิด เมื่อเกิดปัญญาแล้ว จะทำสิ่งใดก็เป็นไปโดยความสะดวก

    มีสติพร้อม

    จะทำสิ่งใดก็ตาม เราต้องมีสติพร้อม คือ อย่าให้มีโทสะ อย่าให้อารมณ์เข้ามาควบคุมสติ
    อย่าให้เรื่องส่วนตัวและขาดเหตุผลมาอยู่เหนือความจริง

    เตือนมนุษย์

    มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่งานส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีงานทำในไม่ช้า
    มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่ทรัพย์ส่วนตัว มนุษย์ผู้นั้น จะไม่มีทรัพย์ครองในไม่ช้า
    มนุษย์ผู้ใด เห็นแก่นอนมาก มนุษย์ผู้นั้น จะไม่ได้นอนในไม่ช้า

    พิจารณาตัวเอง

    คืนหนึ่งก็ดี วันหนึ่งก็ดี ควรให้มีเวลาว่างสัก 5 นาที หรือ 10 นาที ไม่ติดต่อกับใคร
    ให้นั่งเฉยๆ คิดถึงเหตุการณ์ที่เราทำไปแต่ละวันๆ
    ว่าที่เราทำไปนั้นเป็นอย่างไร
    คือให้ปลีกตัว
    มีเวลาเป็นของตัวเองบ้างคิดเอาแต่เรื่องของตัว อย่าไปคิดเรื่องของคนอื่น

    เพราะมนุษย์เราส่วนมากทุกวันนี้ มักเอาแต่เรื่องของคนอื่นมาคิด ไม่ค่อยคิดเรื่องของตัวเอง
    คัดลอกจากหนังสือ เรียนธรรมะบูชาพระสุปฏิปันโน
    เล่มของหลวงปู่ทวดขอให้ทุกท่านเจริญในธรรม อนุโมทนาสาธุครับ
     
  2. supatorn

    supatorn ผู้สนับสนุนเว็บพลังจิต ผู้สนับสนุนพิเศษ

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 กรกฎาคม 2010
    โพสต์:
    47,558
    กระทู้เรื่องเด่น:
    169
    ค่าพลัง:
    +33,047
    อนุโมทนาสาธุๆค่ะ ขอบพระคุณค่ะ


    “ภาราหเว ปญฺจกฺขนฺธา ขันธ์ห้าเป็นภาระหนัก”
    ไฟกิเลสไหม้อยู่ตลอดเวลา ไฟคือ ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา
    ราคัคคิ ไฟ คือ ราคะ โทคัสคิ ไฟ คือ โทสะ โมหัคคิ ไฟ คือ โมหะ
     
  3. mkmk_kmkm1

    mkmk_kmkm1 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    13 กันยายน 2010
    โพสต์:
    93
    ค่าพลัง:
    +220
    ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแด่เจ้าประคุณสมเด็จหลวงปู่ทวดด้วยความความนอบน้อม ขออนุญาตคัดลอกบางส่วนไว้สอนใจตน ขออนุโมทนา สาธุครับ
     
  4. Kama-Manas

    Kama-Manas เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    2 พฤษภาคม 2010
    โพสต์:
    5,351
    ค่าพลัง:
    +6,491
    ดิฉันเคยรอดชีวิตจากบารมีหลวงปู่มาแล้วหลายครั้ง กราบหลวงปู่ด้วยหัวใจค่ะ สาธุ
     
  5. thontho

    thontho เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 มีนาคม 2010
    โพสต์:
    398
    ค่าพลัง:
    +612
    ธรรมที่นำมาลงนี้ หลวงปู่ทวดเทศน์ไว้ที่สำนักปู่สวรรค์ บางแค ไม่ใช่จากวัดช้างให้ เป็นอมตะธรรมที่พิมพ์ในหนังสือของสำนักปู่สวรรค์หลายเล่ม ยากที่มนุษย์จะเทศน์ได้ ไปหาอ่านดู

    ป.ล. คาถาหลวงปู่ทวด ที่ท่านแต่งเอง บอกไว้ที่สำนักปู่สวรรค์คือ อิติ อิติ โพธิสัตว์ (3จบ)
    ส่วน นะโม โพธิสัตโต อาคันติมายะ อิติ ภะคะวา ยาวไปและจำยากกว่า(บางทีท่องแล้วหลงไปเป็นคาถาอื่น) ท่านบอกว่า ท่านได้ไปเข้าฝัน พระอาจารย์ทิม อดีตเจ้าอาวาสวัดช้างให้ แต่งขึ้นตอนที่เพิ่งบูรณะวัดเสร็จใหม่ๆ แต่ถ้าชอบอันนี้ ท่านก็ไม่ได้ว่าอะไร
     

แชร์หน้านี้

Loading...