เรื่องเด่น ถามเรื่องการทำกสิณ 10

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย WebSnow, 6 สิงหาคม 2005.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. WebSnow

    WebSnow ผู้ก่อตั้งเว็บพลังจิต ทีมงาน Administrator

    วันที่สมัครสมาชิก:
    1 เมษายน 2003
    โพสต์:
    8,695
    กระทู้เรื่องเด่น:
    129
    ค่าพลัง:
    +64,020
    989898.JPG

    lplek.gif


    ถาม : วันก่อนที่ถามเรื่องการทำกสิณ จดไม่ทันค่ะ กลับไปที่บ้านแล้วอ่านก็ไม่ค่อยรู้เรื่อง รบกวนด้วย ?

    ตอบ : กสิณ แปลว่า การเพียรเพ่งอยู่เฉพาะหน้า กสิณมีทั้งหมด ๑๐ กองด้วยกันแบ่งเป็นธาตุกสิณ ๔ คือ ดิน น้ำ ลม ไฟ เป็นวรรณะกสิณ ๔ ก็คือ สีขาว สีแดง สีเหลือง สีเขียว แล้วก็มีอีก ๒ อย่างเป็น อากาศกสิณกับอาโลกกสิณ คือ กสิณของความว่างกับกสิณแสงสว่าง เราจับอันใดอันหนึ่งขึ้นมาก่อน โดยตั้งวัตถุนั้นอยู่ตรงหน้าเรียกว่า ดวงกสิณ

    อย่างเช่นถ้าหากว่าจะทำปฐวีกสิณ ก็ต้องกำหนดต้องทำดวงกสิณขึ้นมาก่อนเพื่อที่เราจะได้มองได้ เพ่งได้ กำหนดใจได้ การทำดวงกสิณในสมัยโบราณท่านใช้ผ้าสะดึง ก็คือว่าขึงผ้าให้ตึง เสร็จแล้วดวงกสิณของท่านก็จะเอาดินซึ่งสมัยก่อนเขาใช้ดินขุยปู ซึ่งเขาเรียกดินสีอรุณ คือค่อนข้างจะออกไปทางสีส้มอ่อน เอามาละเลงเป็นวงกว้างประมาณ ๒ คืบ ๔ นิ้วเบ้อเร่อเลย แต่ว่าของเราเองไม่จำเป็นต้องทำให้ลำบากขนาดนั้น ถ้าเราหากดินสีอรุณได้ เอามาปั้นเป็นก้อนกลมขนาดพอเหมาะพอใจของเราก็ได้ ตั้งดวงกสิณนั้นเอาไว้ในภาชนะหรือว่าสถานที่ ๆ เรานั่งตัวตรงแล้วมองได้สบาย ๆ อยู่ในระยะไม่ใกล้ไม่ไกลจนเกินไป ตั้งใจลืมตามองภาพกสิณนั้นแล้วกลับตาลงนึกถึงภาพ ไม่ใช่ไปนั่งจ้องภาพกสิณนั้นตลอด มองแล้วก็หลับตาลง มันจะจำได้อยู่ครู่หนึ่งพร้อมกับคำภาวนา

    ถ้าหากว่าเป็นปฐวีกสิณ ก็ปฐวีกสิณัง ปฐวีกสิณัง ปฐวีกสิณัง ควบกับลมหายใจเข้าออก ว่าอย่างนี้ไปเรื่อย พอภาพมันเลือนหายไปก็ลืมตามองใหม่ กำหนดจำพร้อมกับคำภาวนา หายไปก็ลืมตามองใหม่ ทำอย่างนี้เป็นหมื่นเป็นแสนครั้ง ภาพนั้นก็เริ่มที่เราจะจำได้ยาวนานขึ้น ลืมตาก็นึกออก หลับตาก็นึกได้

    ถึงขั้นตอนนี้แล้วจะสำคัญมากอยู่ที่ว่าเราเองต้องประคับประคองเอาไว้ เผลอสติเมื่อไหร่ภาพนั้นจะหายไป ถ้าเราสามารถประคับประคองได้ตลอดเวลาไม่ว่าไปทำอะไรแบ่งความรู้สึกส่วนหนึ่งนึกไว้ตลอด ความรู้สึกส่วนนี้อาจจะเป็น ๒๐ หรือว่า ๓๐% ส่วนอีก ๗๐-๘๐% นั้นบังคับร่างกายเราให้ทำหน้าที่เป็นปกติของเราไป

    เมื่อนึกถึงอย่างนี้อยู่ตลอดเวลาภาพนั้นก็จะเปลี่ยนจากสีปกติก็จะค่อย ๆ จางลงเรื่อย ๆ จนกระทั่งกลายเป็นสีเหลืองอ่อน จนกระทั่งกลายเป็สีขาว กลายเป็นสีแก้วกลายเป็นแก้วใส จนกระทั่งกลายเป็นแก้วใสสว่างจ้า ถ้าหากว่าถึงจนเป็นแก้วใสสว่างเจิดจ้าแล้วเราลองอธิษฐานดูว่าให้ภาพนั้นขยายใหญ่ได้มั้ย ? ให้เล็กลงได้มั้ย ? ให้หายไปได้มั้ย ? ให้กลับคืนมาใหม่ได้มั้ย ? ถ้าสามารถทำตรงนี้ได้คล่องตัวก็แปลว่า เราเริ่มอธิษฐานใช้ผลของกสิณได้แล้ว ก็ซ้อมการใช้ผลของกสิณให้ชิน เป็นต้นว่าถ้าใช้ผลของปฐวีกสิณก็ใช้ผลทำให้ของอ่อนให้แข็ง เช่น น้ำให้ตั้งใจอธิษฐานเช่นว่า เอาน้ำมาแก้วหนึ่งให้อธิษฐานว่า น้ำแก้วนี้ให้แข็งเหมือนกับดิน เสร็จแล้วก็ให้ตั้งใจเข้าฌาน ๔ พอคลายออกจากฌาน ๔ ออกมาอธิษฐานอีกครั้งหนึ่งว่า ให้น้ำแก้วนี้แข็งเหมือนกับดิน เข้าฌานแล้วพอคลายออกมาคราวนี้มันจะแข็งไปเลย

    เมื่อทดสอบอย่างนี้แล้วก็ให้ทดสอบกับของที่ใหญ่ขึ้นเพื่อความคล่องตัว พอทำจนกระทั่งคล่องตัวแล้วสามารถที่จะใช้ผลของกสิณเมื่อไหร่ก็ได้ อย่างเ่ช่นเราจะเดินขึ้นบนอากาศเหมือนยังกับมีบันไดก็ได้ อธิษฐานว่าให้อากาศทุกจุดที่เท้าของเราเหยียบนี้จงมีความแน่นหนาเหมือนกับพื้นดินแล้วเราก็ก้าวเดินไป หรือว่าเดินข้ามน้ำก็อธิษฐานว่าขอให้น้ำที่เท้าเราเหยียบมีความแข็งเหมือนดินแล้วก็ก้าวเดินไป พอมันชำนาญแล้วเราค่อยย้ายไปกองอื่น กองแรกจะเป็นสิ่งที่ทำได้ยากที่สุด โดยเฉพาะตอนรักษาอารมณ์ของมันเอาไว้ประคับประคองไม่ให้ภาพมันหาย อยากจะเปรียบว่าเหมือนกับเลี้ยงลูกแก้วไว้บนปลายเข็ม พลาดเมื่อไหร่ตกแตกเมื่อนั้นก็ต้องเริ่มต้นนับ ๑ กันใหม่

    คราวนี้พอได้กองแรกแล้วกองอื่นสบายมาก เพราะว่าอารมณ์ใจคล้าย ๆ กันหมด ใช้กำลังเท่ากันหมด แล้วทุกอย่างก็ต้องกำหนดภาพกสิณขึ้นมาเหมือนกัน สมัยที่ซ้อมทำอยู่ถ้าเป็นกสิณสีจะเอาสีมาพ่นใส่กระดาษ อย่างสีเขียว สีเหลือง สีแดง สีขาว พอพ่นเสร็จก็เอาจานคว่ำ มีดโกนกรีดเข้ากลมป๋องเลย แล้วก็แปะข้างฝา แปะหลังคามุ้ง ข้าง ๆ มุ้ง พูดง่าย ๆ ว่า หันไปข้างไหนก็ต้องเห็น จนกระทั่งพี่ ๆ น้อง ๆ เขาว่าเป็นบ้าไปแล้ว ก็ทำดวงกสิณของเราไว้ จะฝึกอันไหนก็ทำอันนั้น มันยากอันแรกแล้วหลังจากนั้นก็ง่าย ถ้ากสิณ ๑๐ คล่องตัวนี่จะทำอะไรพิลึกพิลั่นพิสดารได้เยอะต่อเยอะด้วยกัน

    ถาม : ขอถามเรื่องการทำสมาธิของตัวเองค่ะ คือเวลาทำไปแล้วนี่กายของตัวเองอยากจะเข้าไปหา..........พอเปลี่ยนกายตัวเองนี่สภาพกายที่เปลี่ยนนี่มีการขยายขนาด ลักษณะกายขยายขนาดเปลี่ยนจากคนกลายเป็นองค์พระเป็น..........(ไม่ชัด)........แล้วก็มีการแยกออก..........(ไม่ชัด).......ได้ก็เลยสงสัยว่าเป็นอะไรคะ ?



    ตอบ : ถ้าหากว่าลักษณะนั้นก็แสดงว่าเราเคยฝึกกสิณมาเหมือนกัน ลักษณะเดียวกันอาทิสมานกาย คือกายในของเรา มันจะเต็มบุญเต็มบารมี เต็มกำลังใจหรือกำลังความดีที่เราทำได้ตอนช่วงนั้น ส่วนใหญ่ถ้าเราสามารถรู้เห็นอาทิสมานกายตัวเองได้ก็คือเราต้องเป็นผู้ทรงฌาน กายในจะเหมือนกับกายพรหม ถ้าเราทรงความดีมากขึ้นเท่าไหร่กายในก็จะสว่างมากขึ้นเท่านั้น

    ดังนั้นที่ว่าเวลากายในของเราเปลี่ยนเหมือนกับองค์พระแต่งองค์ทรงเครื่องอาจจะเหมือนกับพระแก้วทรงเครื่องก็ได้ ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย แล้วตรงจุดนี้นี่แหละจะเป็นจุดที่วัดได้ง่ายที่สุดเลยว่าตอนนั้นความดีของเราั้นั้นก้าวหน้าขึ้นหรือว่าเลวลง ถ้าก้าวหน้าขึ้นกายในก็จะสว่างสดใสขึ้น เครื่องประดับก็จะแพรวพราวมากขึ้น แต่ถ้าหากว่าถอยหลังบางทีมันก็มืดก็มัวก็ดำหรือไม่ก็เปลี่ยนสภาพไปเลย

    ถาม : อย่างนี้เราก็สามารถดูได้ซิคะ ?

    ตอบ : สามารถดูได้ สภาพของมันจะเป็นไปตามบุญตามบารมีที่เราทำได้ในช่วงนั้นเนื่องจากว่า เรายังเป็นโลกียบุคคลอยู่ มันก็มีขึ้นมีลง

    ถาม : ก็เลยงงว่ามันเกิดอะไรขึ้น ?

    ตอบ : ไม่ได้เกิดอะไรขึ้นหรอกจ้า เป็นไปตามเฉพาะหน้าเหมือนกับเครื่องวัดอุณหภูมิ ขึ้น ๆ ลง ๆ ตามอากาศ

    ถาม : ทำไมบุญบารมีของพระพุทธองค์ เวลาที่จะขึ้นไปสู่ทางสวรรค์รู้สึกว่าติดต่อแล้วไปได้รวดเร็วมาก แต่พอเวลามีคนที่เขามีญาติที่ตกนรกอยู่ภาพภูมิข้างล่างแต่ว่าการที่จะติดต่อกับนรกภูมิข้างล่างนี่ยากมาก อยากรู็ว่าตรงนี้เป็นเพราะอะไร ?

    ตอบ : อันดับแรก จิตของเราอาจจะเคยชินกับการกลัวนรก มันลงบ่อยหวาดเสียว ไม่ค่อยอยากจะไป อีกอย่างหนึ่งก็คือว่า เราผิดมารยาทการไปนรก จุดที่ทำถูกต้องที่สุดก็คือไปกราบพระยายมราชก่อน แล้วกราบเรียนท่านว่าเราต้องการทำอย่างไร แล้วท่านก็จะจัดเจ้าหน้าที่ไปให้มันจะสะดวกคล่องตัวมาก ถ้าเราขืนลงไปเอง โดยเฉพาะตัวเราถ้าลงไปในลักษณะนั้นเราเองเป็นผู้ทรงฌานทรงความดีอยู่ ถ้าลงในขุมเขาปั๊บไฟเขาจะดับหมดเลย แล้วพวกสัุตว์นรกที่โดนทรมานอยู่ก็จะหลุดพ้นจากเครื่องทรมานทั้งปวง เขาจะเห็นเราเป็นผู้มีบุญที่จะโปรดสงเคราะห์เขาได้ ทั้งหมดมันจะฮือเข้ามาพร้อมกัน ถ้าตั้งสติไม่ดีอาจจะถึงเป็นบ้าด้วยความตกใจ เพราะรูปร่างของมันพิกลพิการน่ากลัวมาก

    เพราะฉะนั้นติดต่อท่านพระยายมราชก่อน ไปกราบท่านก่อนแล้วขออนุญาตจะทำเรื่องอะไรบอกท่าน จะให้เทวทูตหรือเจ้าหน้าที่พาไป ถ้าอย่างนั้นจะสะดวกคล่องตัวมาก

    ถาม : ทีนี้มีเพื่อนบางคน รู้สึกว่าเขาเข้าออกนรกได้ง่ายมากแต่เขาขึ้นไปข้างบนไม่ค่อยจะได้ค่ะ ?

    ตอบ : อันนี้อยากจะเชื่อว่าเป็นความคล่องตัวเพราะเคยชิน มันลงบ่อยมันก็เคยชิน พอจะขึ้นไปข้างบนไม่ค่อยได้ขึ้นจำทางไม่ค่อยจะได้ .....อันนี้พูดเล่นจ้ะ

    ถาม : อันนี้เขาเคยเกิดเป็นเจ้าหน้าที่ ๆ นั่นค่ะ

    ตอบ : เพราะฉะนั้นยืนยันได้ตรงกันเลย ต่อไปอย่าไปฟันธงอย่างนี้นะ อันนี้ตอบเฉพาะคน คือว่าบางคนกำลังใจเขายังหยาบอยู่ไปในที่หยาบมันจะง่าย พอขึ้นไปที่ละเอียดมันจะยาก แล้วถ้าขึ้นไปพรหมซึ่งละเอียดกว่าเทวดาจะยาก แล้วถ้านิพพานยิ่งละเอียดกว่าพรหมก็ยิ่งยากขึ้นไปอีก แต่อันนี้ที่กล้าฟันธงลงไปเลยเพราะมั่นใจ

    ถาม : จะถามเรื่องการทำบุญ ที่ไปหล่อพระพุทธรูปหรือการสร้างพระพุทธรูป บูรณะซ่อมแซมพระพุทธรูป บุญกุศลเหล่านี้จะได้บุญยังไงคะ ?

    ตอบ : พุทธบูชา มหาเตชวันโต การบูชาพระพุทธเจ้ามีเดช มีอำนาจมากถ้าหากว่าเกิดเป็นเทวดา พรหมก็จะมีรัศมีกายสว่างมาก ถ้าหากว่าเกิดเป็นคนส่วนใหญ่ต้องเป็นผู้นำหมู่ชนเขา และการซ่อมพระพุทธรูป ถ้าหากว่าเกิดใหม่รูปร่างหน้าตาจะสวยงามเป็นพิเศษ ถ้าเป็นสุภาพสตรีจะได้เบญจกัลยาณี หรือไม่ก็อาจจะถึงขนาดอิตถีลักษณะ ๖๔ ประการ ที่เป็นพุทธมารดา อันนั้นหายากสุด ๕ อย่างก็ยากเต็มทีแล้วอันนั้นอีก ๖๔ หัวข้อ

    ถาม : แล้วถ้าไม่ได้ซ่อมพระพุทธรูปแต่เป็นฐานพระพุทธรูปล่ะคะ ?

    ตอบ : ก็ถือเป็นส่วนหนึ่งด้วย

    ถาม : แล้วถ้าเป็นผู้ชายล่ะครับ จะได้เบญจกัลยาณีหรือเปล่าครับ ?

    ตอบ : มันหวังสูงนะ (หัวเราะ) ตั้งความปรารถนาไว้แล้วกันดีไม่ดีได้เกินนั้น เขาหวังว่าเขาเป็นผู้ชาย เขากลัวว่าจะได้เบญจกัลยาณีมั้ย ? (หัวเราะ) เมื่อกี้ฟังไม่ชัดต้องบอกใหม่

    ถาม : ทีนี้ในทางตรงกันข้ามล่ะเจ้าคะ ถ้าทำลาย ?

    ตอบ : ไม่ต้องห่วงหรอกจ้ะ ลงนรกมหาอเวจีเป็นอันดับแรก หลังจากนั้นก็เคยทำอะไรไว้ มันช่วยซ้ำครบทุกขุมเลย

    ถาม : มีเพื่อนที่รู้จักเจ้าค่ะ คือเขานำพระพุทธรูปมาองค์หนึ่้ง แล้วเขาไม่ทราบว่า เขาคิดว่าพระพุทธรูปองค์นั้นเป็นปูน เขาก็ด้วยความว่าเขาคิดว่าองค์ท่านควรจะมีน้ำล้อมรอบเขาก็เอาไปแช่น้ำเจ้าค่ะ พอแช่ทิ้งเอาไว้ท่านก็บวมขึ้นเรื่อย ๆ เลยมาทราบทีหลังว่าเป็นขี้เลื่อยอัดกาวค่ะ แล้วอย่างนี้ไม่ทราบว่า ..........?

    ตอบ : จริง ๆ เขาทำโดยเจตนาบริสุทธิ์ ตั้งใจจะถวายเป็นพุทธบูชาด้วยเรื่องเป็นโทษคงจะไม่มี แต่เพียงแต่ว่าพระชำรุด

    ถาม : ชำรุดมากเลยค่ะ หลุดเป็นชิ้น ๆ เลยค่ะ

    ตอบ : หาองค์ใหม่เขาเอาที่แช่ได้มันทน ๆ

    ถาม : เนื่องจากว่าเขารักองค์นี้มากเลยค่ะ เขาก็เลยให้ช่างไปซ่อม ทีนี้ช่างบอกซ่อมไม่ไหวแล้ว ต้องทุบท่านทีนี้ไม่ทราบว่า .....?

    ตอบ : ถ้าลักษณะอย่างนั้นถือว่าทำลายพระพุทธรูป โทษอเวจีเหมือนกัน ลักษณะนั้นควรจะบรรจุไว้ในองค์ที่ใหญ่กว่าแล้วบูชาต่อไป จำไว้เลยนะ พระที่สร้างขึ้นมาแล้วไม่ว่าองค์ใหญ่องค์เล็กก็ตาม จะชำรุดหรือไม่ชำรุดก็ตาม ถ้าเราเอาไปป่นทำลาย โดยเฉพาะสมัยนี้นิยมกันนักสร้างเป็นองค์พระขึ้นมาใหม่ มีส่วนผสมของพระเก่า คุยซะดิบดีเลยอันนั้นโทษทำลายพระพุทธรูป อเวจีมหานรกอยู่ รีบ ๆ กราบขอขมาพระรัตนตรัยเสียดี ๆ

    ถาม : แล้วจะหายมั้ยคะ ?

    ตอบ : มันไม่หายหรอก ขอไปเรื่อย ๆ จนกว่าท่านจะยอม คือจิตของเรามันจะคลายออกจากจุดนั้นเอง ใช้คำว่าท่านจะยอม ท่านยอมตั้งแต่แรกแล้วล่ะ เพราะมันทุบไปเรียบร้อยแล้ว

    พระครูวิลาศกาญจนธรรม , ดร. เจ้าอาวาสวัดท่าขนุน
    ที่มา http://www.grathonbook.net/
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...