เรื่องเด่น ตำนาน"พระปิณโฑละวัชชะ"ผู้ทรงพระชนม์ชีพอยู่ดูแลพุทธศาสนาด้วยฤทธิ์อภิญญา ต้นเค้าตำนาน"พระโลกอุดร"

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย NoOTa, 21 เมษายน 2017.

  1. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    ตำนาน"พระปิณโฑละวัชชะ"ผู้ทรงพระชนม์ชีพอยู่ดูแลพุทธศาสนาด้วยฤทธิ์อภิญญา ต้นเค้าตำนาน"พระโลกอุดร"

    904_7968.jpg

    สิ่งที่มนุษย์เรายังไม่รู้มีอีกมากมายนัก เรื่องราวของ “หลวงปู่เทพโลกอุดร” เช่นกัน เป็นเรื่องราวที่อยู่ในความใคร่รู้ของใครต่อใครมากมาย บางส่วนก็เชื่อว่ามีจริง บางส่วนก็ไม่เชื่อว่ามีจริง ต่างถกเถียงกันไปมา เรื่องของหลวงปู่โลกอุดรนั้น จัดเป็นเรื่อง “อจินไตย” หากพยายามค้นหากันด้วยวิถีทางวัตถุหรือตามความนึกคิดของปุถุชนแล้วย่อมคว้าน้ำเหลว (เช่นเดียวกันกับเรื่องเหล็กไหล ปรอทสำเร็จและเรื่องลึกลับอื่นๆ ที่ยากต่อการเข้าใจด้วยกระบวนวิธีรับรู้แบบวิทยาศาสตร์สามัญ) แต่หากย้อนเข้ามาดูในใจตนเองแล้วก็สามารถควานหาหนทางให้พบกับหลวงปู่เทพโลก อุดรท่านได้ไม่ยากเย็นนัก สรุปแล้วการค้นคว้าเรื่องหลวงปู่เทพโลกอุดรที่ถูกต้องคือการปฏิบัติกรรมฐาน จนได้ฌานได้สมาธินั่นเอง

    nh(3).jpg

    ก่อนจะเข้าเรื่อง “หลวงปู่เทพโลกอุดร” นั้น ผู้เขียนได้รวบรวมคำถามสำคัญที่ข้องใจเกี่ยวกับหลวงปู่ผู้เป็นอริยะเหนือโลก ไว้ดังนี้ เช่น

    หลวงปู่โลกอุดรมีตัวตนจริงหรือไม่ - สำหรับผู้เขียนขอยืนยันว่าท่านมีจริงแน่นอน

    หลวงปู่โลกอุดรมีอายุยาวนานนับพันปีจริงหรือ- ตอบได้ว่าเรื่องนี้เป็นจริงแน่นอน เป็นไปได้ด้วยอำนาจอิทธิบาทฌานตามพุทธดำรัสของพระพุทธเจ้า

    ที่ว่าหลวงปู่โลกอุดรทำไมท่านจึงยังมีชีวิตไม่นิพพานไปตามสภาวธรรมปกติทั่วไป- ตอบได้ว่า เพราะท่านอธิษฐานจิตดูแลพระศาสนาของพระบรมศาสดาสมณะโคดมให้ครบ ๕ พันปีเสียก่อน และท่านจะอยู่รอพบพระศรีอาริย์ด้วย

    คำถามที่ว่าผู้วิเศษที่เหมือนหลวงปู่โลกอุดรมีหรือไม่ – ตอบว่ามี

    ดังจะได้กล่าวเล่าเรื่อง “ปฐมบทหลวงปู่โลกอุดร” ให้ได้ทราบกันดังนี้ว่า หลวงปู่โลกอุดรนั้นท่านเป็นพระทรงฤทธิ์อภิญญาสูงสุด องค์ท่านเป็นชาวเนปาล เป็นพระสมณฑูตเข้ามาเผยแพร่พระพุทธศาสนาในสุวรรณภูมิ และพระอริยเจ้าในลักษณะเดียวกันนี้มีด้วยกันหลายองค์ โดยองค์ที่สำคัญมีดังนี้คือ

    ตำนานพระปิณโฑละวัชชะ ผู้เป็นต้นเค้าตำนานพระโลกอุดร

    Mitsutera_Obinzuru1.jpg

    “พระปิณโฑลวัชชะ” ท่านเป็นพระอรหันต์ที่มีฤทธิ์อภิญญาสูงมาก เป็นสหมิกธรรมกับ “พระโมคคัลลานะ” เคยสร้างเกียรติประวัติดังนี้คือ ครั้งที่ ๑ เมื่อคราวที่เศรษฐีสร้างบาตรจากไม้จันทน์แดงแขวนไว้บนยอดไม้ ป่าวประกาศว่าหากพระอรหันต์มีจริงก็ให้มาเอาบาตรนี้ไป คราวนั้นพวกเดียรฐีจำนวนมากพยายามมาเอาแต่เอาไม่ได้ เศรษฐีประกาศว่าหากครบ ๗ วันไม่มีพระอรหันต์องค์ใดมาเหมาะเอาบาตรจันทน์แดงจากยอดไม้ไปได้ตนก็จะไม่ เชื่อว่ามีพระอรหันต์บนโลกนี้ ขณะนั้นพระปิณโฑละเดินบิณฑบาตรกับพระโมคคัลลาทราบข่าวเข้าก็อาสาไปแสดงฤทธิ์ให้ปรากฏ ท่านทำฤทธิ์เหาะขึ้นไปบนนภากาศเวียนรอบเมืองสามรอบแล้วเอานิ้วเท้าเกี่ยว บาตรไม้จันทน์แดงลงเป็นที่อัศจรรย์แก่เศรษฐีมาก เมื่อพระพุทธองค์ทราบเรื่องจึงตรัสแก้หมู่สงฆ์ว่าเป็นพระภิกษุไม่สมควรแสดง ฤทธิ์เยี่ยงนี้อีก แต่นั้นมาจึงบัญญัติภิกษุใดแสดงฤทธิ์เป็นความผิดเรียกว่า “อาบัติ” นั่นเอง


    ต่อมาในวาระที่ ๒ คณะของพระพุทธเจ้าเสด็จไปสวรรค์ชั้นดาวดึงษ์ “พระปิณโฑละ” กำลังเย็บจีวรตามคณะไม่ทัน ด้วยความรีบจึงเข้าฌานและเหาะไปตามเสด็จ ปรากฏว่าด้วยความที่ไม่ระวังด้ายที่เย็บจีวรยังไม่ทันดึงให้ขาด แล้วด้ายนั้น พันอยู่กับปลายเข็ม ส่วนปลายเข็มนั้นปักลงกับภูเขาหิน ด้วยอำนาจฤทธิ์แห่งพระปิณโฑละทำให้ทั้งด้าย เข็มและเขายกตัวขึ้นลอยกลางอากาศ พอดีมีหญิงครรภ์แก่เดินมาเห็นภูเขาลอยอยู่เกรงว่าจะเป็นอันตรายตกใจจนแท้ง ลูกเสียชีวิต พระพุทธองค์ทราบด้วยพระญาณรีบรับสั่งให้พระโมคคัลลาไปเตือนพระปิณโฑละ ว่ามีอะไรติดมาด้วยพระปิณโฑละเหลียวมองจึงรู้ว่าบัดนี้ภูเขาทั้งลูกลอยตามตนมา จึงใช้นิ้วดีดภูเขาไปตั้งที่เดิม พระพุทธองค์แจ้งเรื่องราวทั้งหมดให้พระปิณโฑละทราบแล้วปรับความผิดครั้งนี้ คือ พระปิณโฑละนั้นอย่าเพิ่งเข้านิพพาน แต่ให้ดำรังสังขารขันธ์อยู่พิทักษ์รักษาศาสนาของพระพุทธองค์ให้ครบ ๕ พันปีเสียก่อน จึงเข้าสู่นิพพานด้วยประการฉะนี้


    ตามคติแล้วบัดนี้เรายังถือว่าพระปิณโฑละยังทรงพระชนม์ชีพอยู่ดูแลพระพุทธ ศาสนาด้วยฤทธิ์อภิญญาอย่างลี้ลับ พระปิณโฑละนี้พระพุทธองค์ทรงยกย่องว่า “เป็นเลิศทางบันลือสีหนาทประกาศพระศาสนา”

    นอกจาก “พระปิณโฑละ” ที่ดำรงสังขารมานานนับพันปีตามคตินี้แล้วยังมี “พระอุปคุต” ซึ่ง เป็นพระอรหันต์ปราบมารในตำนานอีกพระองค์หนึ่งที่เป็นต้นตำนานพระโลกอุดรผู้ มีอายุยาวนานนับพันปีอยู่ดูแลพระพุทธศาสนามาจนถึงทุกวันนี้

    241839.jpg





    ------------------------

    ที่มา
    http://www.tnews.co.th/contents/207163
     
  2. NoOTa

    NoOTa Super Moderator ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มิถุนายน 2005
    โพสต์:
    20,125
    กระทู้เรื่องเด่น:
    349
    ค่าพลัง:
    +64,492
    ตำนาน"พระอุปคุต"เถระสมัยพระเจ้าอโศกที่ยังมีชีวิต หากใครถึงฌานสมาธิ สามารถไปกราบท่านใต้เกษียรสมุทร หนึ่งในต้นตำนาน"พระโลกอุดร"

    7_6215.jpg

    เรื่องราวของหลวงปู่เทพโลกอุดร พระผู้มีฤทธิ์อภิญญาสูง แต่ทว่ายังไม่นิพานไป เพราะตั้งมั่นจะอยู่ดูแลพุทธศาสนา คอยเผยแผ่พระพุทธศาสนา นอกเหนือจาก หลวงปู่เทพโลกอุดรแล้ว ยังมี"พระปิณโฑละวัชชะ" ที่ได้กล่าวไปแล้ว และ "พระอุปคุต" ที่จะนำมาเล่าสู่กันฟังวันนี้

    ตำนานพระอุปคุตหนึ่งในต้นตำนานพระโลกอุดรยุคปัจจุบัน

    จากการสันนิษฐานตามตำนาน “พระเถระอุปคุต” น่าจะเป็นชาวเมืองปาตลีบุตร เมื่อบวชแล้วบำเพ็ญเพียร จนสำเร็จเป็นพระอรหันต์ขีณาสพ สำเร็จอภิญญาต่างๆ จนสามารถแสดงอภินิหาร เป็นที่เล่าลือมาจนทุกวันนี้ มีปฏิปทาดำเนินไปในทางสันโดษ มักน้อย นัยว่าท่านเนรมิตปราสาททำด้วยแก้วเก่าประการ สูง ๙ ชั้น ขึ้นในท้องทะเลหลวง (สะดือทะเล) เป็นเวียงวังพญานาคมีพญานาคพิทักษ์รักษาอยู่อย่างมั่นคง พระองค์เข้าฌานสมาบัติอันละเอียดอ่อนที่สุดนานทีปีหนจึงขึ้นมาบิณฑบาตโปรดมนุษย์สักครั้ง หรือ เมื่อมีเหตุเภทภัยเกิดขึ้นในพระศาสนา เมื่อมีพิธีกรรมใหญ่ๆ มีผู้นิมนต์ ท่านก็จะขึ้นมาช่วยเหลือด้วยความเต็มใจเสมอ


    สรุปรวมความได้ว่า ท่านเป็นพระเถระสำคัญองค์หนึ่ง ในสมัยพระเจ้าอโศกมหาราช มีลูกศิษย์เป็นพระอรหันต์ถึง ๖ หมื่นองค์ หลังจากที่ท่านโปรดจนได้พระผู้วิมุตติมากถึงเพียงนี้ท่านจึงชำแรกแผ่นดินไป สันโดษอยู่ใต้ท้องทะเลลึกแต่เพียงพระองค์เดียว พระอุปคุตเป็นผู้นำกองทัพธรรมแผ่กระจายไปทั่วโลก เป็นพระเถระผู้เปี่ยมด้วยพุทธานุภาพ และฤทธิ์เดชเกรียงไกร สามารถปราบพญามารและกำจัดสิ่งชั่วร้าย ที่จะมาทำลายพิธีกรรมใหญ่ๆ มาแต่ครั้งโบราณ

    เรื่อง ราวก็มีอยู่ว่า เมื่อประมาณปลายพุทธศตวรรษที่ ๒ หลังพุทธปรินิพพาน ณ นครปาตลีบุตราชธานี (ปัจจุบันคือเมืองปัตนะ ภาคใต้อินเดีย) พระเจ้าอโศกมหาราช ผู้ครองราชสมบัติในขณะนั้น ทรงเลื่อมใสในพระพุทธศาสนาเป็นอย่างยิ่ง ตามตำนานกล่าวว่า ได้ทรงสร้างพระวิหารและพระสถูป มากมายทั่วทั้งชมพูทวีป (เค้าว่ามากถึงแปดหมื่นสี่พันองค์) เป็นผู้รวบรวมและขุดค้นพระบรมสารีริกธาตุ เพื่อจะนำไปบรรจุในสถูปที่พระองค์ทรงสร้างไว้ทุกแห่ง

    เมื่อการบรรจุพระบรมสารีริกธาตุเสร็จเรียบร้อยแล้ว พระองค์ก็ทรงปรารภ ที่จะจัดให้มีการฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมดนั้น เป็นการมโหฬารยิ่ง ตลอด ๗ ปี ๗ เดือน๗ วัน และเพื่อให้การฉลองสมโภช เป็นไปด้วยความเรียบร้อย ปราศจากอุปสรรค จึงใคร่จะอาราธนาพระสงฆ์ขีณาสพ ที่ทรงอิทธิฤทธิ์ มาเป็นผู้คุ้มครองงาน ให้ปราศจากการรบกวนจากมารร้ายต่างๆ

    แต่พระสงฆ์ในนครปาตลีบุตร ไม่มีรูปใดที่จะสามารถเป็นผู้คุ้มครองงานมหกรรมอันยิ่งใหญ่นี้ให้พ้นจากภัยทั้งหลายทั้งปวงได้ (โดยเฉพาะภัยจากพญาวัสสวดีมาร ผู้มีฤทธิ์ยิ่งกว่าภูตผีปีศาจทั้งหลาย) นอกเสียจากพระอุปคุตเถระผู้เดียวเท่านั้น พระสงฆ์ทั้งปวงจึงตั้งตัวแทน ๒ รูป ลงไปอาราธนาพระอุปคุตเถระผู้เรืองฤทธิ์ มาช่วยรักษาความปลอดภัยในงานสมโภชครั้งนี้ ซึ่งกล่าวกันว่า พระอุปคุตเถระองค์นี้ มีปกติสันโดษอยู่องค์เดียว เข้าฌานสมาบัติเสวยวิมุตติสุข อยู่ในมหาสมุทรอันกว้างใหญ่ ภายในปราสาทแก้วที่เนรมิตขึ้น เหนือรัตนะบัลลังก์ จะออกจากสมาบัติ เหาะขึ้นมาบิณฑบาตในโลกมนุษย์ในวันพุธเพ็ญกลางเดือนเท่านั้น

    และในครั้งนี้เอง พระอุปคุตเถระ ถูกพระภิกษุสองรูป ผู้ได้อภิญญาสมาบัติชำแรกมหาสมุทร ลงมาถึงตัวท่านแจ้งว่า ให้ท่านจงเป็นธุระ ป้องกันพญามารอย่าให้รบกวนงานฉลองพระสถูปเจดีย์ ของพระเจ้าอโศกมหาราชได้

    เมื่อพระอุปคุตเถระได้รับนิมนต์ ก็เดินทางมานมัสการ และรายงานตัวต่อคณะสงฆ์ในวันรุ่งขึ้น พระเจ้าอโศกมหาราช จึงได้เสด็จเข้ามานมัสการคณะสงฆ์ เพื่อขอทราบเรื่อง ผู้จะที่จะมาทำหน้าที่รักษาการ งานฉลองสมโภชพระสถูปเจดีย์ เมื่อพระองค์ทรงทราบ ว่าผู้ที่จะมาทำหน้าที่นี้ คือพระอุปคุตเถระ ก็ทรงนึกแคลงพระทัย เนื่องจากพระอุปคุตเถระนั้น มีร่างกายผ่ายผอมดูอ่อนแอ ก็ทรงไม่แน่ใจ เกรงจะทำหน้าที่ได้ไม่สมบูรณ์ แต่ไม่ทรงตรัสว่ากระไร



    ครั้นรุ่งเช้าวันใหม่ ขณะที่พระอุปคุตหาเถระ ออกบิณฑบาตในนครปาตลีบุตรนั้น พระเจ้าอโศกมหาราช ใคร่จะทดสอบฤทธิ์พระเถระ จึงทรงปล่อยช้างซับมัน (ช้างตกมัน) ให้เข้าทำร้ายพระเถระ พระมหาอุปคุตเถระเห็นดังนั้น จึงสะกดช้างที่กำลังวิ่งเข้ามา ให้หยุดอยู่กับที่ไม่ไหวติงประดุจช้างที่สลักด้วยศิลา พระเจ้าอโศกมหาราช ทอดพระเนตรเห็นดังนั้น ก็ทรงเลื่อมใส จึงเสด็จไปขอขมาพระเถระ พระมหาอุปคุตเถระก็ให้อภัยทั้งแก่พระเจ้าอโศกมหาราชและพญาคชสาร

    เมื่อเห็นว่าพระอุปคุตเถระ มีฤทธิ์เดชมาก พระเจ้าอโศกมหาราช ก็ทรงวางพระทัย ตรัสสั่งให้เตรียมฉลองสมโภช พระสถูปเจดีย์ทั้งหมด ด้วยการปลูกปะรำร้านโรง ประดับธงทิว และประทีปโคมไฟ ตลอดระยะทางกึ่งโยชน์ ทำให้ตามแนวฝั่งแม่น้ำคงคา สว่างไสวไปทั่วทั้งบริเวณ

    บรรลุฤกษ์งามยามดีตามที่กำหนดไว้ บรรดาพระสงฆ์ขีณาสพ และพระสงฆ์ปุถุชน ตลอดจนพุทธศาสนิกชน ทั้งในนครปาตลีบุตร และต่างแดนจากจตุรทิศ ก็เริ่มหลั่งไหลเข้าสู่บริเวณงาน พร้อมเครื่องสักการบูชา เพื่อร่วมพิธีฉลองสมโภช พระบรมสารีริกธาตุที่บรรจุอยู่ในมหาเจดีย์ และเจดีย์ทั้งแปดหมื่นสี่พันองค์ ด้วยความเลื่อมใส ศรัทธาเป็นอย่างยิ่ง

    และในเวลานี้เองพญามาร (พญา วัสสวดีเทพบุตรมาร) ก็มุ่งหน้าเข้ามาในงานกับเค้าเหมือนกัน ทั้งนี้ก็เพื่อที่จะก่อความวุ่นวายต่างๆ นานา ทั้งบันดาลให้เกิดลมพายุ ทั้งแปลงร่างเป็นสัตว์ป่า และสัตว์หิมพานต์ แต่ทุกครั้งก็โดนพระอุปคุตเถระ กำราบได้หมด และสุดท้ายเพื่อให้พญามารออกไปจากบริเวณพิธี พระอุปคุตเถระจึงเนรมิตร่างหมาเน่าขึ้นมาตัวหนึ่ง แล้วดึงประคตจากเอวของท่าน ออกมาผูกร่างหมาเน่านั้น คล้องคอพญามารไว้ แล้วสำทับว่าไม่ว่าใครก็ตาม (นอกจากท่านเอง) จะเอาหมาเน่านี้ออกจากคอพญามารไม่ได้ แล้วขับพญามารออกไปจากบริเวณงานทันที

    ด้วยความอับอายพญามารก็ออกมาจากบริเวณงาน และพยายามแก้ร่างสุนัขเน่า ออกด้วยฤทธานุภาพ แต่ทำอย่างไรก็ไม่สามารถแก้ได้ เพราะเมื่อเอามือทั้งสองต้องสายประคตที่คล้องคอทีไร ต้องมีไฟลุกขึ้นไหม้คอและมือทันที สุดจะแก้ไขด้วยตนเองได้ ก็ไปหาที่พึ่งอื่น (ที่คิดว่าน่าจะช่วยได้)

    แต่ถึงแม้จะไปหาท้าวมหาราชทั้งสี่ พระอินทร์ ท้าวยามา ท้าวสันดุสิต ท้าวนิมิตเทวราช ตลอดจนท้าวสหัสบดีพรม ก็ไม่มีใครสามารถช่วยได้ ต่างได้แต่แนะนำว่า ให้พญามารไปขอขมาและขอความเมตตาจากพระเถระผู้นั้นเสียดีกว่า

    พญามารเห็นดังนั้น จึงจำใจต้องกลับไปหาพระเถระ อ้อนวอน ให้ช่วยเอาซากหมาเน่าออกจากคอให้ แล้วจะไม่มารบกวนการจัดงานอีก พระอุปคุตเถระก็อนุโลมตามแต่ยังไม่ไว้ใจพญามารนัก เกรงพญามารจะกลับมาทำลายพิธีในภายหลัง จึงเดินนำพญามารไปยังเขาใหญ่ลูกหนึ่ง แล้วเอาร่างหมาเน่าทิ้งลงเหวและเนรมิตให้สายประคตยาวขึ้นแล้วพันคอพญามารไว้กับเขาลูกนั้น พร้อมทั้งแจ้งว่า เมื่อเสร็จพิธีฉลองสมโภชพระมหาเจดีย์สิ้นสุดลงแล้วจึงจะแก้โซ่ออก ปล่อยให้พญามารเป็นอิสระ

    เวลา ผ่านไปตามที่ตกลงกัน การจัดงานสมโภชน์ ก็สำเร็จลุล่วงไปด้วยดี พระอุปคุตเถระจึงกลับมาหาพญามาร โดยแอบอยู่ห่างๆ เพื่อฟังเสียงพญามารว่าละพยศร้ายหรือยัง พญามารเองเมื่อจากทิพยวิมานอันบรมสุข มารับทุกขเวทนาเช่นนี้ก็ละพยศร้ายในสันดาน หวนนึกถึงพระพุทธโคดม จึงกล่าวสดุดีในความเมตตากรุณา ของพระพุทธเจ้า ในเรื่องที่ทรงมีมหากรุณาธิคุณ อันยิ่งใหญ่ว่า


    “ทรงบำเพ็ญสิ่งอันเป็นที่สุดหามิได้ เป็นที่พึ่งพำนักแก่สัตว์โลกทั้งมวล ในกาลทุกเมื่อ พระองค์นั้น เป็นผู้ประเสริฐหาผู้เสมอเหมือนมิได้ อนึ่ง ในกาลก่อน ข้าพเจ้าได้ทำร้ายพระองค์โดยประการต่างๆ แต่พระองค์ก็ยังทรงมหากรุณาธิคุณ มิได้กระทำการโต้ตอบแก่ข้าพเจ้าเลย มาบัดนี้ สาวกของพระองค์นามว่าอุปคุต ไม่มีเมตตาแก่ข้าพเจ้าเลย กระทำกับข้าพเจ้าให้ได้รับความทุกข์ทรมานแสนสาหัส และได้รับความอับอายเป็นอย่างยิ่ง ถ้าหากว่าข้ายังมีบุญกุศลที่ได้สั่งสมไว้แต่กาลก่อน ข้าพเจ้าขอตั้งจิตอธิษฐานปรารถนาเป็นพระสัพพัญญูในอนาคต ดังเช่นพระองค์ต่อไป”

    จากเหตุการณ์ครั้งนั้น พระเจ้าอโศกได้ทำ “ธาตุนิธาน” คือทั้งรวมรวบพระบรมสารีริกธาตุทั้งปวง และสร้างพระเจดีย์ธาตุทั้งฉลองพระบรมธาตุทั้งปวงสำเร็จ เป็นเหตุการณ์สำคัญที่ยิ่งใหญ่ในพระพุทธศาสนา ส่วนพระอุปคุตได้รับการยกย่องจากมหาชนทั้งปวงว่าเป็นพระอรหันต์ปราบมาร เป็นประเพณีสืบต่อกันมาจนถึงทุกวันนี้ ว่าหากจะทำบุญใหญ่ ทำบุญสำคัญอันใด ให้แห่พระอุปคุตหรือนิมนต์พระอุปคุตเป็นพิธีเสียก่อนเพื่อให้บารมีพระอุปคุตนั้นขจัดเสียซึ่งอุปสรรคทั้งปวงอันจะมีมาได้ ป้องกันมารไม่ให้มาทำลายพิธีดังนี้

    ยังมีตำนานข้างพม่าอีกว่าครั้งหนึ่งเมื่อพันกว่าปีที่แล้วพม่ามีกษัตริย์ที่ทรงอิทธิฤทธิ์สามารถไปไหนมาไหนโดยพรมวิเศษ นั่งแล้วพรมก็ลอยขึ้นไปกลางอากาศพาเสด็จไปยังสถานที่ต่างได้ตามพระราชหฤทัย ครั้งหนึ่งพระราชากำลังเสด็จโดยทางอากาศแลเห็นพระอุปคุตมีรูปร่างผิวดำ ผอมกระหร่อง เดินอยู่ริมชายหาด เนื้อตัวมอมแมมไปด้วยโคลน ขณะนั้นพระอุปคุตกำลังช่วยเหลือปูปลาที่มาเกยติดชายฝั่งอยู่ พระราชาเห็นแล้วก็นึกในใจว่า “สมณะสกปรก” คิดเพียงแค่นั้นพรมวิเศษที่ลอยอยู่กลางอากาศก็เสื่อมฤทธิ์ตกลงมายังพื้นดิน พระราชาคิดในใจว่าคงเป็นเพราะเราไปดูถูกพระรูปนั้นเข้า ชะรอยท่านคงเป็นพระอริยเจ้าเป็นแน่ จึงเข้าไปขอขมาท่านพรมวิเศษจึงมีฤทธิ์ดังเก่า

    [​IMG]

    อีกเรื่องหนึ่งเล่าว่าพระอุปคุตจำพรรษาในเกษียรสมุทรนานๆ จึงออกจากนิโรธสมาบัติมารับอาหารฉันสักคราว ครั้งหนึ่งพระอุปคุตออกจากฌานขึ้นมาบิณฑบาตในเมืองพม่าตอนเที่ยงคืน กระยาจกผู้หนึ่งได้ใส่บาตรท่าน พอหันหลังกลับบ้าน ปรากฏว่ามีทองคำเพชรนิลจินดาเต็มไปหมด เหตุนี้ใครๆ ก็เลยอยากทำบุญกับพระอุปคุตเพราะเชื่อกันว่าท่านเป็นพระแห่งโชคลาภ

    คนพม่าเชื่อว่าพระอุปคุตนั้นท่านแบ่งภาคไปอยู่ในมหาสมุทรทิศต่างๆทั้ง ๘ ทิศ และอยู่กึ่งกลางมหาสมุทรอันเป็นทะเลน้ำนมด้วย การบูชาพระอุปคุตของพม่าจึงมักบูชา ๔ องค์ ๘ องค์ เป็นต้น

    พระ อุปคุตท่านนี้เป็นพระอรหันต์ผู้ทรงฤทธิ์สูงสุดและมีพฤติกรรมใกล้เคียงกับ “หลวงปู่โลกอุดร” ครูบาอาจารย์หลายท่านยืนยันว่าท่านก็คือหลวงปู่โลกอุดรพระองค์หนึ่งด้วยที่ชอบมาในรูปของ “หลวงตาดำ” ใส่จีวรแบบขอไปที ดูตลกๆ พระอุปคุตท่านนี้ได้อธิษฐานจิตไว้ว่าจะดำรงสังขารอยู่ดูแลพระพุทธศาสนาของพระสมณะโคดมจนครบ ๕ พันปี ดังนั้น ในทุกวันนี้พระอุปคุตท่านก็ยังดำรงคงสังขารไว้ ผู้ได้ฌานสมาธิก็สามารถถอดจิตไปกราบท่านใต้เกษียรสมุทรได้



    ผู้แต่ง : ทิพยจักร

    จากหนังสือ บารมีเหนือโลก หลวงปู่เทพโลกอุดร



    --------------
    ที่มา
    http://www.tnews.co.th/contents/207186
     
  3. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    บ้างเรื่องก็พึ่งเคยได้ยินครับ
    เรื่องแรกมีในภาพยนต์
    พระพุทธเจ้ามหาศาสดาโลกครับ
    ส่วนท่านที่สองบริเวณที่ท่านอยู่
    จะมีแท่งๆ ที่ดูเหมือนส่วนประกอบวัชระครับ
    ปล นิทานครับ
     
  4. กบ0007

    กบ0007 สมาชิก

    วันที่สมัครสมาชิก:
    21 กุมภาพันธ์ 2017
    โพสต์:
    101
    ค่าพลัง:
    +98
    คุณนบเคยลงไปไหว้พระอุปคุตไหมคะ ช่วยเล่าให้ฟังเป็นนิทานก็ได้คะ รอฟังนะคะ
     
  5. CharnK

    CharnK เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    7 ตุลาคม 2005
    โพสต์:
    444
    ค่าพลัง:
    +1,453
    นามแห่งพระเถระที่ถูกต้อง คือ "
    พระปิณโฑลภารทวาชเถระ"
     
  6. บุรุษไร้เงา

    บุรุษไร้เงา เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    14 มกราคม 2007
    โพสต์:
    8,426
    ค่าพลัง:
    +35,044
    นิทานมีอยู่ว่าไม่ว่าท่านใดก็ตามนะครับ
    เพียงแต่ใจเรานั้นให้ความเคารพนับถือ
    ทุกๆท่าน แต่เราไม่ควรยึดถือท่านใดๆ
    ในเวลาปกติใจเรามันก็จะคลายจาก
    การที่ยึดถือตรงนี้ได้ เป็นเหตุให้เมื่อไรก็ตาม

    เมื่อคุณเอง ระลึกถึงท่านใดๆก็ตาม
    ตัวใจของคุณก็จะเข้าถึงท่านนั้นๆได้ทุกท่าน
    ด้วยตัวจิตคุณเองครับ.

    ซึ่งจิตมันจะตัด
    ตัวพยายามที่เข้าถึงได้เอง
    ไม่ว่าจากการใช้วิธีการใดๆ(เข้าใจเนาะ)
    ที่ยังมีตัวกระทำให้เข้าถึงอยู่
    ซึ่งเราอาจจะไม่ทันตัวที่
    ชอบมาแทรกในระหว่าง
    ที่พยายามเข้าถึงได้
    อย่างที่เราไม่รู้ตัวครับ

    ถ้าเปลี่ยนจากยึดถือเป็นเคารพนับถือได้
    เท่าเทียมกันทุกๆท่านแล้ว
    ใจเราก็จะเป็นกลาง
    ทำให้ใจรู้จัก
    ปล่อยวางได้ของมันเองแล้ว
    คุณเองก็จะได้นิทาน
    เหมือนที่ผมนำมาเล่าเป็นนิทาน
    ให้คุณฟังได้เหมือนๆกัน
    โดยที่ไม่จำเป็นต้องถามผมอีก
    เลยก็ได้ครับ

    ไม่ว่าท่านนั้นๆ
    จะเป็นท่านใดๆก็ตามครับ
    ต่างกันที่มุมที่เห็น และความชัดเจน
    ในการเข้าถึง
    ที่จะมาเป็นเนื้อหา
    สำหรับนิทานที่บรรยาย
    แม้แตกต่างกัน
    แต่มาจากแหล่ง
    เดียวกันทั้งนั้นนั่น
    เองหละครับ คุณ กบ

    ปล นิทานตอนนี้จบแล้วครับ
     

แชร์หน้านี้

Loading...