เรื่องเด่น ความกตัญญูกตเวที (หลวงพ่อฤาษีลิงดำ)

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย โพธิสัตว์ ชาวพุทธ, 21 พฤศจิกายน 2017.

  1. โพธิสัตว์ ชาวพุทธ

    โพธิสัตว์ ชาวพุทธ เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    24 กรกฎาคม 2017
    โพสต์:
    5,319
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,274
    ค่าพลัง:
    +9,590
    เรื่อง..ความกตัญญูกตเวที
    (วันพุธที่ ๑๖ สิงหาคม ๒๕๓๒)

    ความกตัญญูกตเวที.jpg

    นะโม ตัสสะ ภะคะวะโต อะระหะโต สัมมาสัมพุทธัสสะ (๓ จบ)
    นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตาตีติ

    ณ โอกาสบัดนี้ อาตมภาพจะแสดงพระสัทธรรมเทศนาใน กตัญญูกถา เพื่อเป็นเครื่องโสรจสรงองคศรัทธาบารมี ที่บรรดาท่านนริศราทานบดีทั้งหลาย ได้พร้อมใจกันมาบำเพ็ญกุศลประจำปักษ์ในวันนี้ การที่บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลายพากันมาบำเพ็ญกุศลวันนี้ ทั้งนี้ก็เพราะว่ามีความเคารพในองค์สมเด็จพระชินสีห์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ
    ตามที่องค์สมเด็จพระบรมโลกเชษฐ์ตรัสแนะนำว่า บุญทั้งหลายย่อมเกิดแก่บรรดาท่านพุทธบริษัทก็คือ:-
    (๑) ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน
    (๒) สีลมัย บุญสำเร็จด้วยการรักษาศีล
    (๓) ภาวนามัย บุญสำเร็จด้วยการเจริญภาวนา
    การบำเพ็ญ บุญกิริยา ทั้ง ๓ ประการนี้ เป็นปัจจัยให้บรรดาท่านพุทธบริษัทมีความสุขทั้งชาติปัจจุบันและสัมปรายภพ และในที่สุดก็จะถึงพระนิพพานเป็นที่สุดต่อไป
    แต่ว่าวันนี้บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ทุกคนตั้งใจมาบำเพ็ญกุศลทั้ง ๓ ประการครบถ้วนแล้ว คือ:-
    (๑) ทานมีแล้ว
    (๒) ศีลสมาทานแล้ว
    (๓) เวลานี้กำลังสดับรับรสพุทธพจน์เทศนา อันเป็นคำสั่งสอนขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าเป็นเหตุ
    วันนี้จะเทศน์เรื่อง “กตัญญูกตเวที” คือความกตัญญูกตเวทีนี้ ถ้าจะกล่าวกันไปมีกำลังมาก การที่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสว่า คนที่มีความกตัญญูรู้คุณรู้อุปการคุณที่ท่านทำแล้ว และตอบสนองคุณท่านตามพระบาลีว่า
    “นิมิตตัง สาธุรูปานัง กตัญญูกตเวทิตา” ซึ่งแปลเป็นใจความว่า บุคคลใดรู้อุปการคุณที่ท่านทำแล้ว และตอบสนองคุณท่าน เรากล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นคนดี
    ความจริงตามพระบาลีที่พระพุทธเจ้าตรัสว่า เป็นคนดีนี่หายากจริงๆ แล้วก็รู้คุณนี่มีความสำคัญในความกตัญญูรู้คุณ เพราะการกตัญญูรู้คุณนี่ บรรดาท่านพุทธบริษัท ถ้าบุคคลใดมีความอกตัญญูไม่รู้คุณท่าน ท่านทำให้แล้วแต่ไม่ตอบสนองคุณท่านด้วยความดี เป็นคนอกตัญญู สนองความร้ายต่อท่าน คนประเภทนี้จะไปที่ไหนก็หาความสุขไม่ได้ เพราะว่าทุกคนถ้าทราบจริยาความเป็นมาแล้ว ก็จะคิดว่าคนที่มีคุณต่อเขา เขาสามารถทำลายได้ฉันใด เราเองถ้าจะสงเคราะห์เขาเมื่อไร เขาอาจจะสามารถทำลายได้เมื่อนั้น
    ดูตัวอย่าง องค์สมเด็จพระภควันต์บรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้ากับ พระเทวทัต ความจริงพระพุทธเจ้าก็ดี พระเทวทัตก็ดี ทั้ง ๒ ท่านนี้เป็นญาติสนิทกัน พระเทวทัตเป็นลูกของลุง พระพุทธเจ้าเป็นลูกของน้องชายของลุง
    และต่อมาพระพุทธเจ้าสมัยเป็น สิทธัตถราชกุมาร ก็แต่งงานกับน้องสาวพระเทวทัต และในเมื่อองค์สมเด็จพระทรงสวัสดิโสภาคย์บรรลุอภิเษกสัมมาสัมโพธิญาณแล้ว พระเทวทัตก็เข้ามาบวชในศาสนาขององค์สมเด็จพระประทีปแก้ว ตอนนี้ถือว่าเป็นสาวกผู้รับฟัง เพราะรับฟังคำสอน และก็ศึกษาพระธรรมวินัย และการปฏิบัติในพระพุทธศาสนาจนได้อภิญญาสมาบัติ แต่ว่าเป็นอภิญญาโลกีย์ นั่นหมายความว่าจะแสดงฤทธิ์แบบไหนก็ได้ เพราะได้อภิญญา ๕
    ต่อมาพระเทวทัตเกิดความกำเริบ ต้องการจะปกครองสงฆ์แทนองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า ความจริงเวลานั้นพระอรหันต์ยังมีจำนวนมาก นับเป็นแสนๆ องค์ แต่ว่าพระเทวทัตเป็นผู้ทรงฌานโลกีย์ มันเทียบกันไม่ได้ แต่ด้วยกำลังใจที่พระเทวทัตจองเวรจองกรรมกับองค์สมเด็จชินวรบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้า ขอเล่าความเป็นมาของพระเทวทัตสักนิดหน่อย เกรงเวลาจะไม่พอ คือว่าพระเทวทัตนี่บรรดาท่านพุทธบริษัท ที่จองเวรพระพุทธเจ้ามาสมัยไหน
    ท่านกล่าวตามพระบาลีมีอยู่ว่า ในสมัยหนึ่งพระเทวทัตกับพระพุทธเจ้าเกิดมาเป็นเพื่อนกัน ต่างคนก็มีต่างเป็นพ่อค้าซื้อของถูกขายของแพงตามราคาเช่นเดียวกัน วันหนึ่งปรากฏว่ามีตระกูลหนึ่งยากจน แต่ว่าตระกูลนั้นในอดีตเป็นมหาเศรษฐี ก็ตระกูลนี้ยังมีของเหลืออยู่ชิ้นเดียวคือถาดทองคำ วันนั้นพ่อค้าเทวทัตไปถึง คุณยายเจ้าของบ้านจึงนำถาดทองคำเพื่อจะมาขายในราคาของทองคำ พ่อค้าเทวทัตเห็นว่าเป็นคนจน เมื่อดูแล้วก็บอกว่าอันนี้ไม่ใช่ทองคำแท้ มันเป็นทองคำปลอม หรือเป็นทองกะไหลให้ราคาถูก คุณยายท่านก็ทราบว่าของท่านเป็นทองคำแท้ ท่านก็ไม่ยอมขาย พระเทวทัตก็มีความรู้สึกว่ายายคนนี้แก่แล้วเป็นคนยากจน ในที่สุดก็ไม่รู้จะขายใครก็ต้องขายให้เราในวันหน้า จึงหลีกไป
    วันรุ่งขึ้นองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดา คือพระพุทธเจ้าของเราเป็นพ่อค้าเหมือนกัน ไปที่บ้านนั้น คุณยายก็นำถาดทองคำมาขาย พระพุทธเจ้าเห็นว่าถาดทองคำเป็นถาดทองคำบริสุทธิ์ ถาดทองคำแท้ จึงให้ราคาทองคำเป็นที่พอใจของเจ้าของ ก็เลยซื้อในราคาถาดทองคำ เจ้าของก็พอใจ
    ต่อมาวันรุ่งขึ้นพระเทวทัตไปใหม่ ถามคุณยายว่าถาดทองคำอยู่หรือเปล่า คุณยายบอกว่าขายไปแล้วก็ขายในราคาทองคำ ก็ถามว่าขายให้กับใคร ก็บอกชื่อพ่อค้า พระเทวทัตก็ทราบว่าเป็นเพื่อนของตนเองกลับมาตอนเย็นมาพบกันเข้า ก็ถามองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าว่า ท่านได้ซื้อถาดทองคำลูกนั้นหรือ พระพุทธเจ้าบอกว่าซื้อมา พระเทวทัตโกรธ หาว่าตัดหน้าทำลายผลประโยชน์ จึงหยิบเม็ดทรายขึ้นมา ๑ กำมือ ก็บอกว่าอธิษฐานว่า “นับแต่บัดนี้ต่อไป เราขอจองเวรจองกรรมทำร้ายท่านทุกชาติจนกว่าจะเท่าทรายเมล็ดทรายเท่ากำมือ” ก็หมายความว่าทรายเม็ดหนึ่งก็เท่ากับ ๑ ชาติ ตั้งแต่ชาตินั้นเป็นต้นมา ปรากฏว่าพระเทวทัตก็ทำลายพระพุทธเจ้าตลอดมา พระพุทธเจ้าก็ไม่เคยตอบสนอง แต่ว่าในที่สุดบรรดาท่านพุทธบริษัท พระเทวทัตก็ลง อเวจีมหานรก พระพุทธเจ้าเป็นผู้ทรงความดีมีความกตัญญูกตเวทีไปนิพพานต่างกัน
    ทีนี้ต่อมาก็จะขอเล่าเรื่องความเป็นมาของความกตัญญูรู้คุณโดยตรงแก่บรรดาท่านพุทธบริษัท เรื่องความกตัญญูรู้คุณนี่ ในเมือง พาราณสี ปรากฏว่ามีมหาเศรษฐีท่านหนึ่งมีลูกชายคนเดียว ต่อมาลูกชายได้ฟังเทศน์ขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้วก็มีความเลื่อมใส ต้องการจะบวชในพระพุทธศาสนา เมื่อลาพ่อมาลาแม่มาบอกว่าจะบวช พ่อแม่ก็บอกว่าทรัพย์สมบัติทั้งหลายของเรามีมาก จงอย่าบวชเลยอยู่ปกครองทรัพย์เถอะ ลูกชายไม่พอใจใคร่จะบวช เมื่อในที่สุดพ่อแม่ไม่อนุญาตก็ไม่ยอมกินข้าวกินปลา นอนในห้องไม่ออกมา
    ปรากฏว่าต่อมาในวันหน้า พ่อแม่ไปตามเพื่อนของบรรดาลูกชายมาให้ปลอบโยนลูกชายก็ไม่ยอม ไม่ยอมทำตาม จะบวชท่าเดียว ถ้าไม่ให้บวชก็ขอตายในห้อง ไม่ยอมกินข้าว ก็เป็นอันว่าบรรดาเพื่อนทั้งหลายก็มีความเห็นว่าปล่อยให้บวชไปก่อน เพราะการบวชในพระพุทธศาสนาไม่เหมือนอยู่อย่างเป็นฆราวาส การเป็นลูกมหาเศรษฐีจะต้องการอะไรมันก็ได้ทุกอย่าง ต้องการร้อนได้ร้อน ต้องการเย็นได้เย็น นี่เป็นการสมมติ ท่านก็ไปแนะนำกับบิดามารดาของท่านว่าก็ขอให้บวชไปก่อน ในเมื่อการบวชในพระพุทธศาสนานั้นมันมีความปรารถนาไม่สมหวัง เพราะต้องการร้อนก็ได้เย็น ต้องการเย็นก็ได้ร้อน ทุกสิ่งทุกอย่างมาจากชาวบ้านให้ ถ้าชาวบ้านไม่ให้ก็อด ให้มาเป็นที่ไม่พอใจก็ต้องกินก็ต้องใช้ ไม่ช้าไม่นานเท่าไรในฐานะที่เป็นลูกมหาเศรษฐีทนไม่ไหวก็ต้องสึกมาเอง พ่อแม่ก็เห็นชอบอนุญาตให้ลูกชายบวช เมื่อลูกชายเข้าไปบวชในพระพุทธศาสนาแล้วฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตั้งแต่ต้นจนจบอรหันต์ แล้วก็ลาองค์สมเด็จพระภควันต์เข้าป่าลึก เจริญพระกรรมฐานจนเป็นอรหันต์พร้อมกันเพราะความดี
    ต่อมาปรากฏว่าบรรดาพ่อและแม่อยู่ทางบ้านนี้เป็นคนแก่ก็ไม่ทันคนใช้ คนใช้ในบ้านขโมยของไปบ้าง คนที่กู้เงินกู้ทองก็โกงไม่ส่งดอกบ้าง ในที่สุดท่านมหาเศรษฐีทั้งสองก็กลายเป็นขอทาน หมดทรัพย์สิน มันโกงหมด มันขโมยกันหมด ในเมื่อเหลือแต่บ้านเหลือแต่ที่ เมื่อไม่มีจะกินจริงๆ ก็ต้องขายที่ ในที่สุดก็ขายบ้าน เมื่อหมดแล้วก็ต้องนั่งขอทานอยู่ข้างฝาเรือนเขา
    ต่อมาในกาลครั้งหนึ่งมีพระที่มาอยู่ตำบลเดียวกัน บวชในพระพุทธศาสนา เมื่อฟังธรรมจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า คือเรียนพระกรรมฐานเสร็จก็เข้าป่าไปพบพระองค์นั้นเข้า พระองค์นั้นก็ถามว่าคุณบ้านเดิมอยู่ที่ไหน เมื่อทราบว่าเป็นคนตำบลเดียวกัน ก็ถามถึงท่านมหาเศรษฐี แต่ก็ไม่บอกว่าเป็นพ่อเป็นแม่ ถามแต่เพียงว่าท่านรู้จักท่านมหาเศรษฐีทั้งสองไหม พระองค์นั้นก็บอกว่า จะถามถึงท่านมหาเศรษฐีเพื่อประโยชน์อะไร เพราะว่าเวลานี้มหาเศรษฐีทั้งสองนั้นไม่ใช่มหาเศรษฐีแล้ว กลายเป็นคนขอทานไปแล้ว
    ทั้งนี้ก็เพราะว่ามีลูกชายคนเดียว ลูกชายบวชในพระพุทธศาสนาไม่กลับไปหาพ่อ ไม่กลับไปหาแม่ คนรับใช้มันก็โกงบ้าง ลักของขโมยของบ้าง คนกู้หนี้ยืมสินไปโกงมั่ง เวลานี้ทรัพย์สินหมดขายที่ขายบ้านกินหมด แล้วก็ต่างคนต่างเป็นคนขอทาน
    เมื่อพระลูกชายทราบ แต่ความเป็นอรหันต์บรรดาท่านพุทธบริษัททั้งหลาย ย่อมเคารพกฎของกรรม คำว่าเสียใจไม่มีในพระอรหันต์แต่ความสลดใจมีอยู่ จึงได้กลับไปจากป่า เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระบรมครู แต่มาถึงทาง ๓ แพร่ง ก็มายืนนึกในระหว่างทาง ๓ แพร่งว่า ระหว่างทางเมืองขวาไปหาพ่อกับแม่ ทางเบื้องซ้ายไปสู่พระมหาวิหาร เราจะไปที่ไหนดีก่อน ก็คิดว่าการเฝ้าองค์สมเด็จพระชินวรเป็นของสำคัญ แต่ทว่าพ่อแม่เราก็สำคัญมาก ทราบว่าท่านเป็นขอทานต้องไปเยี่ยมก่อน จึงตัดสินใจยังไม่เข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระชินวร ไปหาพ่อและแม่ก็ไปเดินหา
    ปรากฏว่าพบพ่อกับแม่ทั้ง ๒ คน นั่งถือกระเบื้องแตกๆ อยู่ข้างฝาบ้านของชาวบ้าน นั่งขอทานอยู่ เวลานั้นสาวกขององค์สมเด็จพระบรมครูก็สลดใจเข้าไปใกล้และถามว่า ถามคนแก่ทั้ง ๒ คนว่า จำท่านได้ไหม ก็พอดีทั้ง ๒ คนแก่จำหน้าลูกไม่ได้เพราะบวชเป็นพระ แต่ว่าจำเสียงได้ก็ถามชื่อ ลูกชายก็บอกว่าใช่ ก็เลยเล่าความเป็นมาให้พระลูกชายทราบ ลูกชายก็บอกว่านั่นเป็นกฎของกรรม ปล่อยไปเถอะ ในเมื่อพ่อแม่มีความลำบากผมก็ต้องการจะเลี้ยง จึงนำบิดามารดาทั้งสองจากคนขอทานเข้าไปชายป่า คือไกลบ้านหน่อย ปลูกกระท่อมน้อยๆ ให้อยู่ และเวลาไปบิณฑบาตกลับมา ได้ข้าวได้ของมาก็ให้พ่อแม่กินก่อน เหลือเท่าไรฉันเท่านั้น
    ถ้ามีญาติโยมเขาถวายผ้าสบงจีวรใหม่ๆ เข้ามาก็ให้พ่อแม่ใช้ เอาผ้าเก่าๆ มาย้อมกลับทำสีนํ้าฝาดแล้วก็ใช้เสียเอง มีการเศร้าหมอง ต่อมาก็อาศัยอาหารที่เหลือบ้าง ไม่เหลือบ้าง เหลือมากบ้าง เหลือน้อยบ้าง ไม่พอจะกินก็ซูบผอมลง
    ครั้นในกาลต่อมา บรรดาพระสงฆ์ทั้งหลายทราบความเป็นมาของพระองค์นั้นแล้ว จึงเข้าไปเฝ้าองค์สมเด็จพระประทีปแก้วกราบทูลว่า
    “ภันเต ภควา ข้าแต่องค์สมเด็จพระผู้มีพระภาคเจ้าผู้เจริญพระพุทธเจ้าข้า พระองค์นั้นประจบคฤหัสถ์ปฏิบัติผิดพระธรรมวินัยที่องค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาทรงสอนไว้”
    องค์สมเด็จพระจอมไตรจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสเรียกให้พระองค์นั้นเข้าไปเฝ้า ในเมื่อพระตามพระองค์นั้นเข้าไปเฝ้าแล้ว องค์สมเด็จพระประทีปแก้วก็ถามว่า
    “เธอประจบคฤหัสถ์หรือ?”
    พระองค์นั้นก็กราบทูลว่า
    “ไม่ได้ประจบคฤหัสถ์พระพุทธเจ้าข้า”
    ท่านก็ถามความเป็นมาบอกว่ามีคนเขามาฟ้อง แต่ความจริงพระพุทธเจ้ารู้ทุกอย่างนะ อย่าคิดว่าจริยาที่บรรดาพระทั้งหลายทำน่ะ ท่านไม่รู้ ท่านรู้! แต่ว่าท่านเห็นว่าไม่ผิดท่านจึงปล่อย แต่ในเมื่อมีคนไปฟ้องก็ต้องเรียกมาสอบสวนตามระเบียบ ท่านก็บอกว่ามีคนเขามาฟ้องบอกว่า เธอบิณฑบาตมาแล้ว แทนที่จะกินก่อนกลับให้คนแก่ ๒ คนกินก่อน และเมื่อเหลือเท่าไรกลับมากินทีหลัง นี่ประการหนึ่ง
    และประการที่สอง ชาวบ้านถวายผ้าใหม่ๆ มาเธอก็ไม่ใช้ กลับไปย้อมสีเสียใหม่ให้คนแก่ ๒ คนนุ่ง แล้วเธอก็เอาผ้าของคนแก่ทั้ง ๒ คนที่เก่าแล้วมาเย็บปะติดปะต่อกันทำเป็นผ้าไตรจีวร แล้วก็ย้อมนํ้าฝาดแล้วก็เอามาห่มเอง เป็นการเศร้าหมองอย่างนี้จริงไหม พระองค์นั้นอย่าลืมว่าท่านเป็นพระอรหันต์ พระอรหันต์ย่อมไม่ปฏิเสธตามความเป็นจริง ก็ยอมรับว่าเป็นความจริงพระพุทธเจ้าข้า
    เมื่อพระองค์นั้นยอมรับเป็นความจริงแล้ว พระพุทธเจ้าก็ยังไม่ทรงตำหนิ แต่ความจริงถ้าผิดน่ะ ถ้ารับอย่างนี้ทรงตำหนิทันที เป็นอันว่าองค์สมเด็จพระชินสีห์ยังไม่ตำหนิ ยังไม่กล่าวโทษ ท่านถามต่อไปว่าคนแก่ ๒ คนน่ะ สืบเนื่องเป็นอะไรกันมากับเธอ
    พระองค์นั้นก็บอกว่าคนแก่ ๒ คนนั้น เป็นบิดากับมารดา เดิมจริงๆ ท่านเป็นมหาเศรษฐี ความจริงพระพุทธเจ้ารู้แล้ว แต่ว่าท่านก็ต้องรายงานเพราะว่าพระองค์อื่นไม่รู้ ข้าพระพุทธเจ้าเองเป็นลูกชาย และเป็นลูกชายคนเดียว ในเมื่อได้ฟังเทศน์จากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้ากัณฑ์แรกก็เกิดความเลื่อมใส ตั้งใจจะบวชในพระพุทธศาสนา แต่บิดาและมารดาก็ค้าน เพราะไม่มีใครครองสมบัติ ในที่สุดข้าพระพุทธเจ้าก็อดข้าวอดนํ้า พ่อแม่เกรงว่าจะตายก็ให้บวช เมื่อบวชแล้วเรียนกรรมฐานจากองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าแล้ว ก็เข้าไปปฏิบัติในป่า เวลานี้เป็น “พระขีณาสพ” พระพุทธเจ้าข้า
    พอกล่าวเท่านี้ พระพุทธเจ้ายกมือว่า สาธุ! ดีแล้ว! ว่าดีแล้วๆ และต่อมาก็ปรากฏว่าทราบว่าบิดามารดาทั้งสองพ้นสภาพจากความเป็นเศรษฐี คนใช้ในเรือนขโมยของบ้าง คนกู้เงินไปโกงเสียบ้าง ทรัพย์สินถูกโกงบ้าง ถูกขโมยบ้าง ทรัพย์สินก็หมด ขายที่ขายทางกิน ต่อมาเงินขายที่ขายทางก็หมด ต่อมาก็ขายบ้าน กินเงินขายบ้านหมด ต้องเป็นขอทาน
    องค์สมเด็จพระพิชิตมารบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงทราบดังนั้นแล้ว สมเด็จพระประทีปแก้วแทนที่จะตำหนิ ทรงยกมือกล่าวว่า “สาธุ! สาธุ! สาธุ! (นั้นแปลว่าดีแล้ว) ดีแล้ว! ดีแล้ว! เธอทำอย่างนี้ดี คือมีความกตัญญูกตเวที คนที่มีความกตัญญูกตเวที คือรู้อุปการะที่ท่านทำแล้ว ตอบสนองคุณท่านด้วยความดี เรากล่าวว่าบุคคลนั้นเป็นคนดี เธอปฏิบัติตนเป็นคนดีมาก ปฏิบัติตนเช่นเดียวกับตถาคตสมัยเมื่อเป็น “สุวรรณสาม” ไง ตาหง่า! ไม่ต้องเทศน์เรื่อง “สุวรรณสาม” นะ วันนี้ไม่ต้องกลับบ้านกัน
    ขอต่ออีกเรื่อง ไม่ต้องกลับบ้านกันนะ ก็รวมความว่าพระพุทธเจ้าก็ทรงอนุญาตให้พระองค์นั้นปฏิบัติอย่างนั้นต่อไป แล้วองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาก็ตรัสกับพระว่า
    “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกตัญญูรู้อุปการคุณที่ท่านทำแล้ว และเราตอบสนองคุณท่าน นี่เป็นความดีอันประเสริฐ เพราะการกตัญญูรู้คุณต่อบุคคลผู้มีคุณ ย่อมเป็นความดีที่ทำตนไม่ให้ตกอับ นั่นก็หมายความว่าถ้าเรารู้คุณท่าน และตอบสนองคุณท่าน เราจะไปในสถานที่ใดก็ตามที เมื่อใครเขาทราบข่าวว่าเรามีความกตัญญูรู้คุณ บุคคลทั้งหลายเหล่านั้นเขาจะสงเคราะห์ให้มีความสุข คนที่มีความกตัญญูรู้คุณ เมื่อมีชีวิตอยู่ก็มีความสุข ตายจากชาตินี้แล้วไปเกิดในชาติหน้าก็มีความสุข มีสวรรค์เป็นที่ไปเป็นต้น”
    หลังจากนั้นองค์สมเด็จพระทศพลบรมศาสดาสัมมาสัมพุทธเจ้าก็ชี้ไปที่ พระสารีบุตร ว่า
    “ภิกขเว ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความกตัญญูรู้คุณในบุคคลทั้งหลาย บุคคลผู้มีคุณนั้น ดูตัวอย่างสารีบุตร สารีบุตรเป็นสัตบุรุษ ผู้มีความกตัญญูกตเวทีรู้คุณของพราหมณ์”
    แล้วพระพุทธเจ้าก็ตรัสว่า ในสมัยหนึ่ง ราธพราหมณ์ ราธพราหมณ์นี่เป็นคนแก่ แล้วก็เป็นคนจน มาวันหนึ่ง พระสารีบุตร ได้บิณฑบาตข้างบ้านนั้น เดินเฉียดไปท่านราธพราหมณ์ได้เอาข้าวมาใส่บาตร ๑ ทัพพี ความจริงท่านมีโอกาสใส่เพียงครั้งเดียวในชีวิตของท่านราธพราหมณ์ ทั้งนี้เพราะอะไร เพราะเป็นคนจนมาก ต่อมาอาศัยที่เป็นคนแก่ด้วย แล้วก็เป็นคนจนด้วย ลูกหลานก็เลยไม่อยากจะเลี้ยง เขาก็ปล่อยให้มีความอดๆ อยากๆ ในที่สุดท่านราธพราหมณ์ก็ต้องมาอาศัยพระในวิหารขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าอยู่ที่นั่น อาศัยพระกินอยู่ ๓ ปี ก็ความจริง ๓ ปีนี้ พระพุทธเจ้าจะไม่รู้นั้นไม่มี รู้! แต่ว่ายังไม่ถึงวาระ
    ก็ปรากฏว่าเมื่อถึงปีที่ ๓ ผ่านไป วันหนึ่งองค์สมเด็จพระจอมไตรบรมศาสดาตรวจอุปนิสัยของสัตว์เวลาเช้ามืด ราธพราหมณ์ตกในข่ายพระญาณของพระองค์ ในตอนเย็นจึงได้ทรงเดินไปที่ราธพราหมณ์อยู่ บรรดาพระสงฆ์เห็นองค์สมเด็จพระบรมครูเดินไปอย่างนั้น ต่างคนก็ต่างตามไป พอไปถึงที่ตรงนั้น ก็ปรากฏว่าราธพราหมณ์บริโภคอาหารเย็นเสร็จ นำนํ้าที่ล้างภาชนะออกมาเทข้างนอก ก็พบพระพุทธเจ้าพอดี พระพุทธเจ้าก็ทรงหยุด ไม่เดินต่อไป ก็ถามพราหมณ์ว่าอยู่ที่ไหน พราหมณ์ก็ตอบว่ามาอาศัยพระกินพระพุทธเจ้าข้า
    แต่ในบาลีเขาเรียกว่า “วิฆาสาโท” วิฆาสาโท แปลว่า ผู้กินเดน ต้องมากินเดนพระพุทธเจ้า พระสงฆ์อยู่ พระพุทธเจ้าก็ถามว่าทำไม ท่านก็บอกว่าเป็นคนยากจนเข็ญใจ ลูกหลานไม่เลี้ยง พระพุทธเจ้าก็ถามว่าพราหมณ์ไม่อยากจะบวชรึ ทำไมจึงไม่บวช พราหมณ์ก็บอกว่าข้าพระพุทธเจ้าอยากจะบวช แต่ว่าไม่มีใครบวชให้พระพุทธเจ้าข้า พระพุทธเจ้าจึงได้หันไปถามพระว่า ใครรู้คุณของพราหมณ์นี้บ้าง พราหมณ์คนนี้เคยมีคุณกับใครบ้าง พระสงฆ์ทั้งหลายยืนเงียบ ก็มีพระสารีบุตรองค์เดียวนั่งคุกเข่าพนมมือ ตามบาลีว่านั่งกระหย่งของเราต้องนั่งคุกเข่า นั่งกระหย่งพนมมือกราบทูลว่า
    “ข้าพระพุทธเจ้ารู้คุณของพราหมณ์ พระพุทธเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าก็ถามว่า
    “สารีปุตตะ ดูก่อนสารีบุตร พราหมณ์มีคุณกับเธอเมื่อไร? ทำอะไรให้กับเธอ?”
    พระสารีบุตรก็กล่าวว่า
    “เมื่อปีก่อนโน้น.. ข้าพระพุทธเจ้าไปบิณฑบาตใกล้บ้านของพราหมณ์ พราหมณ์ได้ใส่บาตรข้าพเจ้าทัพพีหนึ่ง พระพุทธเจ้าข้า”
    พระพุทธเจ้าจึงได้มีพระพุทธฎีกาตรัสว่า
    “สารีปุตตะ ดูก่อนสารีบุตร สัตบุรุษผู้มีความกตัญญูกตเวที มีความดีเป็นประเสริฐ จงเป็นอุปัชฌาย์บวชให้แก่ราธพราหมณ์”
    ในที่สุด พระสารีบุตร ก็บวชให้แก่ ราธพราหมณ์ เมื่อบวชแล้วเวลาเข้าพรรษาก็ลาองค์สมเด็จพระประทีปแก้วไปจำพรรษาที่อื่นกับพระสารีบุตร ความจริง พระสารีบุตร พระโมคคัลลาน์ นี่ไม่ได้อยู่ประจำกับพระพุทธเจ้า อยู่เป็นเขตกัน เพื่อรับสนองความดีความต้องการของคนผู้มีศรัทธา ในเมื่อตามพระสารีบุตรไป ไม่ช้าไม่นานไม่กี่วันนัก ท่านราธพราหมณ์ก็ได้สำเร็จอรหัตผล
    นี่แหละบรรดาญาติโยมพุทธบริษัททุกท่าน วันนี้เป็นวันสารทจีนใช่ไหม วันสารทจีนนี่ เจ๊กเขามีแสดงความกตัญญูรู้คุณ วันวานนี้ถามเจ๊ก เผอิญเจ๊กมีไม่ใช่เจ๊กมานะ ไม่ใช่เจ๊กหง่านะ ฮ่าๆ เจ๊กหง่านี่เจ๊กกิน ไม่ใช่เจ๊กไหว้ ถามว่าสารทจีนเขาทำอะไรกัน แกบอกว่าไหว้ปู่ย่าตายาย ก็สรุปแล้วว่าไหว้บรรพบุรุษผู้มีคุณ อันนี้มีความกตัญญูรู้คุณของเขานะ ประเพณีของจีนนี่ความจริงเขาดีมาก ไม่ใช่ไม่ดี
    หนึ่งเวลาตรุษก็ดี เวลาสารทก็ดี เขาตั้งเป็นระเบียบไว้เลยว่าต้องไหว้บรรพบุรุษ คือบุคคลที่มีคุณในกาลก่อน อันนี้เป็นความกตัญญูรู้คุณของเขา การเคารพบุคคลผู้มีคุณก็ดูเจ๊ก เจ๊กน่ะจนไม่นานนะ ตาหง่า นะใช่ไหม นานไหม แต่ก่อนนั้นพวกจีนนี่เวลาที่เขามาจากเมืองจีน มาประเทศไทยสมัยก่อนเขาไม่มีอะไรมา ไม่มีทุนมา เขาบอกว่าเสื่อผืนหมอนใบ ในที่สุดก็เป็นมหาเศรษฐี อย่างคนที่เป็นเจ้าของธนาคารใหญ่ ก็มีสภาพอย่างนั้นเช่นเดียวกัน
    ก็รวมความว่าความกตัญญูเขาทำอย่างไร นี่เหลือเวลา ๒ นาที กตัญญูแปลว่ารู้คุณ รู้คุณท่านที่กระทำแล้ว อย่างบรรดาญาติโยมพุทธบริษัทมาบำเพ็ญกุศลในวันนี้ ก็ถือว่าเป็นผู้รู้คุณในความดีขององค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า เป็นการสนองคุณท่าน
    พระพุทธเจ้าบอกว่าใครจะสนองคุณตถาคต ก็ให้ตั้งอยู่ในธรรม ธรรมที่ให้ตั้งอยู่ก็คือ:-
    ๑. ทานมัย บุญสำเร็จด้วยการบริจาคทาน ทานเป็นปัจจัยให้ตัด โลภะ ความโลภ เพื่อพระนิพพาน ถ้ายังไม่ถึงพระนิพพานเพียงใด ทานจะเป็นปัจจัยให้เกิดมาเป็นคนรํ่ารวยในชาติต่อๆ ไป เป็นมหาเศรษฐี
    ประการที่ ๒ สีลมัย ศีลเป็นปัจจัยให้ตัด โทสะ ความโกรธ ถ้ายังไม่ถึงนิพพานเพียงใด ศีลจะเป็นปัจจัยให้มีความสุข ทั้งเกิดเป็นคนก็มีความสุข เกิดเป็นเทวดา หรือเป็นพรหมก็มีความสุข
    ๓. ภาวนามัย ภาวนาเป็นการให้เกิดปัญญา คนที่มีปัญญานี่มีความสุข
    ในที่สุดนี้ก็ปรากฏว่าถ้าพระสงฆ์ในพระพุทธศาสนา พระทุกองค์โปรดทราบว่า การบวชนี่เป็นลีลาเป็นความดีของท่าน ที่เป็นความกตัญญูรู้คุณต่อพระพุทธเจ้า ถ้าไม่มีพระพุทธเจ้าเราก็ไม่มีผ้าเหลืองจะห่ม ถ้าไม่มีบารมีของพระพุทธเจ้า เราก็ไม่มีข้าวจะกิน ผ้าก็ไม่มีห่ม ข้าวก็ไม่มีกิน วัดก็ไม่มีอยู่ ที่เราบวชได้อย่างนี้เป็นเพราะอาศัยบารมีขององค์สมเด็จพระบรมครู การสนองคุณท่านก็ตั้งใจปฏิบัติความดีอยู่ในพระธรรมวินัยด้วย ปฏิบัติความดีด้วย ช่วยกันปฏิบัติให้เข้าถึงผลแห่งความดี จะเป็นที่สร้างความสุขแก่บรรดาญาติโยมพุทธบริษัท พระที่ปฏิบัติความดีเป็นปัจจัยให้เกิดความสุข
    เพราะอะไร เพราะว่าถ้าตอนเช้าพระทุกองค์เข้าฌานสมาบัติตามกำลังที่จะพึงได้ ถ้าสมาธิมากก็ตาม น้อยก็ตาม พยายามอันดับแรกกำจัดนิวรณ์ ๕ ประการก่อน จะทำวัตรได้แค่ทีสองทีก็ตามใจ ไม่เป็นไร ไม่ต้องมาก ต่อจากนั้นไปก็ตั้งอารมณ์วิปัสสนาญาณ ให้รู้จักการเกิด แก่ เจ็บ ตายว่ามันเป็นทุกข์ เวลานั้นอารมณ์จะปลอดจากกิเลส ก็ตั้งสมาธิภาวนานิดหน่อยก็ใช้ได้อย่างนี้ ทำอย่างนี้ชื่อว่าพระเข้าสมาบัติ ตอนเช้าทุกวันตอนเช้ามืด หลังจากนั้นก็ไปบิณฑบาต ญาติโยมพุทธบริษัทใส่บาตรก็ถือว่าใส่บาตรกับพระออกจากสมาบัติ อย่างนี้มีอานิสงส์สูงกว่าพระปกติธรรมดาหลายแสนเท่า
    เอาละ บรรดาญาติโยมพุทธบริษัททั้งหลาย พูดมาพูดไป มันก็เหนื่อยทนไม่ไหว ต้องเลิกนะ เวลาหมดพอดี ก็ขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้
    ในที่สุดแห่งพระธรรมเทศนานี้ อาตมภาพขอตั้งสัตยาธิษฐานอ้างคุณพระศรีรัตนตรัย มีพระพุทธรัตนะ ธรรมรัตนะ และสังฆรัตนะ ทั้ง ๓ ประการ ขอจงดลบันดาลให้บรรดาท่านพุทธบริษัททุกท่าน มีแต่ความสุขสวัสดิ์พิพัฒนมงคลสมบูรณ์พูนผล ปรารถนาสิ่งใดก็ขอให้ได้สิ่งนั้นสมความปรารถนาจงทุกประการ อาตมภาพรับทานวิสัชนามาในกตัญญูคาถา ก็ขอยุติพระธรรมเทศนาลงคงไว้แต่เพียงเท่านี้
    เอวัง ก็มีด้วยประการฉะนี้ สวัสดี



    ที่มา มูลนิธิหลวงพ่อปาน-พระมหาวีระ ถาวโร
     
    แก้ไขครั้งล่าสุดโดยผู้ดูแล: 21 พฤศจิกายน 2017
  2. Apinya Smabut

    Apinya Smabut นิพพานังสุขัง นิพพานเป็นสุขอย่างยิ่ง

    วันที่สมัครสมาชิก:
    19 มิถุนายน 2014
    โพสต์:
    1,398
    กระทู้เรื่องเด่น:
    57
    ค่าพลัง:
    +2,634
  3. นรวร มั่นมโนธรรม

    นรวร มั่นมโนธรรม สมาชิกใหม่

    วันที่สมัครสมาชิก:
    29 ตุลาคม 2017
    โพสต์:
    188
    ค่าพลัง:
    +113

แชร์หน้านี้

Loading...