ก่อนทอดกฐินวัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาส วันศุกร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖

ในห้อง 'หลวงพ่อเล็ก วัดท่าขนุน' ตั้งกระทู้โดย iamfu, 30 พฤศจิกายน 2024 at 17:01.

สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้
  1. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ก่อนทอดกฐินวัดพุทธมณฑลอรัญญิกาวาส วันศุกร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖



    วันนี้เป็นวันขึ้น ๑๕ ค่ำ เดือน ๑๒ เป็นวันสุดท้ายของกาลกฐิน ถือว่าการทอดกฐินในวันนี้เป็นวันสุดท้ายของปีนี้ ส่วนบุคคลที่จำพรรษาหลังก็สิ้นสุดลงในวันนี้ แล้วไปปวารณากันในวันพรุ่งนี้

    ขาดใครอีกหนึ่งรูป ? คณะปูรกะ ผู้มาให้ครบองค์สงฆ์เพื่อจะได้รับกฐินได้ คือระยะหลังมีผู้รู้มากไปหน่อยบอกว่า "ไม่ครบ ๕ รูป รับกฐินไม่ได้" บ้าง "ไม่ใช่วัด รับกฐินไม่ได้" บ้าง

    พระพุทธเจ้าท่านอนุญาตให้จำพรรษาในป่าช้า ในป่าชัฏ ในถ้ำ โคนไม้ แม้กระทั่งในโอ่งน้ำ ในกองเกวียน คราวนี้กฐินเขาถวายพระที่จำพรรษาถ้วนไตรมาส ในเมื่อจำพรรษาถ้วนไตรมาส ต่อให้ไม่ได้อยู่ในวัด ก็ต้องรับกฐินได้ ไม่ใช่ไปฟันธงกันบอกว่า "ไม่ใช่วัด..รับกฐินไม่ได้"
     
  2. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ก่อนปฏิบัติธรรมช่วงบ่าย วันศุกร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗


    (เสียงตามสายหลวงพ่อวัดท่าซุงจบ) ตื่นได้แล้ว..! เผลอทีไรคนเปิดปล่อยเลยเวลาทุกที..! ความจริงเป็นเครื่องยืนยันว่าสมาธิดีนะ เพราะว่าถ้าสมาธิไม่ดีจะหลับไม่ได้ สัตว์ทั้งหลายทั้งปวงรวมทั้งมนุษย์ด้วย จะมีสิ่งหนึ่งที่เรียกว่าฤทธิ์โดยวิบากกรรม ภาษาบาลีเรียกว่ากัมมวิปากชาฤทธิ์ ทำให้สามารถหลับได้ เนื่องเพราะว่าการหลับนั้น อย่างน้อยต้องเข้าถึงปฐมฌานขั้นหยาบถึงจะหลับได้

    แต่คราวนี้เราต้องเข้าใจว่าปฐมฌานนั้นเป็นคุณสมบัติของพรหม
    ปฐมฌานอย่างหยาบสามารถเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๑ คือ ปริสัชชาพรหม
    ปฐมฌานขั้นกลางสามารถเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๒ คือ ปโรหิตาพรหม
    ปฐมฌานขั้นละเอียดสามารถเกิดเป็นพรหมชั้นที่ ๓ คือ มหาพรหม

    แต่ว่าคนและสัตว์ที่เข้าถึงปฐมฌานอย่างหยาบด้วยกัมมวิปากชาฤทธิ์ ไม่สามารถจะเกิดเป็นพรหมได้ เนื่องเพราะว่าไม่ได้เกิดจากการฝึกฝน อานิสงส์ของฌานสมาบัติที่ได้รับ ไม่ว่าจะเป็นรูปฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็ดี หรืออรูปฌานที่ ๑ ที่ ๒ ที่ ๓ ที่ ๔ ก็ดี จะมีอานิสงส์ด้วยการตั้งใจฝึกหัดจนเกิดขึ้น แบบเดียวกับเราไม่ได้คิดรักษาศีล แต่ไม่ผิดศีลเลยสักข้อเดียว ก็ไม่ได้อานิสงส์อะไร เพราะว่าขาดเจตนาคือความตั้งใจ

    บาลียืนยันว่า เจตะนาหัง ภิกขะเว ปุญญัง วะทามิ เจตะนาหัง ภิกขะเว กัมมัง วะทามิ พระพุทธเจ้าตรัสว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตั้งใจนั่นแหละเป็นบุญ" หรือว่า "ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ความตั้งใจนั่นแหละเป็นกรรม" ก็แปลว่าการทำโดยไม่เจตนา ขาดความตั้งใจ ไม่เป็นบุญหรือไม่เป็นกรรม ก็เลยไม่มีอานิสงส์ ก็คือไม่มีผลได้ที่จะก่อให้เกิดเป็นพรหมได้ ทั้ง ๆ ที่หลับเป็นกันทุกคน..!

    เนื่องเพราะว่าถ้าไม่มีฤทธิ์ตัวนี้บังคับให้เราหลับ ร่างกายไม่ได้พักผ่อน ก็จะตายกันเสียตั้งแต่เนิ่น ๆ อยู่ไม่ถึงอายุ ร่างกายไม่ได้พัก แบตฯ หมด..ตาย เขาเรียกว่าอายุกขยมรณะ
     
  3. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    อายุกขยมรณะ ตายเพราะหมดอายุ สมมุติว่ากำหนดเอาไว้ที่ ๑๐๐ ปี ถ้าถึง ๑๐๐ ปีแล้วตาย เรียกว่าตายเพราะหมดอายุ

    กัมมักขยมรณะ ตายเพราะหมดกรรม เหมือนอย่างพระโลสกเถระ วันหนึ่งกินข้าวได้ไม่เกิน ๗ เม็ดข้าวสุก ไม่รู้ว่าอยู่มาได้อย่างไร ๒๐ กว่าปี ก็เพราะว่ากรรมรักษา เมื่อถึงเวลาหมดกรรมกลายเป็นพระอรหันต์ ก็มรณภาพนิพพานวันนั้นเลย บาลีเขาว่า สมสีสี (สะ-มะ-สี-สี) ก็คือหมดกิเลสพร้อมกับหมดอายุ

    ปุญญักขยมรณะ ตายเพราะหมดบุญ กำลังบุญค้ำอยู่ทำให้เป็นเทวดาเป็นนางฟ้าเป็นพรหมได้ หมดบุญต้องจุติคือตาย แต่คำว่าจุติไม่ใช่ตาย จุติคือเคลื่อนไปจากที่นั่น แล้วไปอยู่ที่อื่น ส่วนใหญ่ก็ไปอยู่ต่ำกว่าเดิม..!

    อาหารักขยมรณะ ตายเพราะหมดอาหาร

    อาหารที่ว่ามี กวฬิงการาหาร อาหารก็คือข้าวน้ำกับขนมทั่ว ๆ ไปที่เราเข้าใจนั่นแหละ มนุษย์ปกติไม่ได้กินสัก ๗ วันก็น่าจะม่องเท่งแล้ว..!

    วิญญาณาหาร อาหารก็คือรูป รส กลิ่น เสียง สัมผัส ธรรมารมณ์ที่ใจต้องการ เห็นรูปสวย ๆ ชื่นใจ แก่จะตายอยู่แล้วยังอยู่ได้อีกตั้งพักหนึ่ง เพราะว่าอยากจะดูรูปสวย ๆ..!

    ผัสสาหาร คือลมหายใจเข้าออกหรือว่าปราณ คำว่าปราณตัวนี้หมายถึงชีวิต ก็คือพลังชีวิต เห็นชัดที่สุดก็คือลมหายใจของเรา ถ้ายังมีลมหายใจอยู่ก็แปลว่ายังไม่ตาย

    แต่ว่าเห็นคนไข้หลายคนยังมีลมหายใจอยู่เพราะเครื่องยังช่วยอยู่ แต่จิตไปนานแล้ว สงสัยเลยถามเทวทูตท่าน ท่านบอกว่า "เหมือนกับรถ ที่วิ่งมาเร็ว ๆ แล้วน้ำมันหมด เครื่องดับ รถยังไหลไปได้อีกพักหนึ่งตามแรงเฉื่อยที่วิ่งมา เดี๋ยวหมดแรงเฉื่อยก็หยุด แบบนี้ก็เหมือนกัน" จิตออกจากร่างไปแล้วแต่ร่างกายยังไม่ตาย เพราะว่าลมหายใจยังมีอยู่ แต่ความจริงจิตออกจากร่างนี่ตายแล้วนะ แต่แรงเฉื่อยทำให้ร่างนี้ยังไปต่อได้
     
  4. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    มาพูดถึงเรื่องตายทำไม ? ฟังแล้วเศร้าใจใช่ไหม ? เตือนสติให้รู้ไว้ว่าความตายอยู่แค่ลมหายใจเข้าออก หายใจเข้าไม่หายใจออกก็ตายแล้ว หายใจออกไม่หายใจเข้าก็ตายเหมือนกัน ในเมื่อเป็นเช่นนั้นเรายังจะมัวประมาทอยู่อีกไม่ได้

    พระพุทธเจ้าตรัสว่า เราเหมือนกับอยู่บนบ้านที่ไฟกำลังไหม้ จะนอนสบายหรือเร่งหาทางหนี ? เห็นนอนสบายกันเสียเยอะ..! ส่วนพวกเราตะกายมาหาทางหนีอยู่ตรงนี้ แล้วลองคิดดู..ประชากรไทยตั้ง ๖๘ ล้านคน มาปฏิบัติธรรมวันลอยกระทงกันแค่นี้..! แต่วัดอื่นเขาบอกว่าวัดเราคนมาปฏิบัติธรรมเยอะนะ ก็เลยสงสัยว่าตกลงวัดเขานี่มีกันกี่คน ?

    ในเมื่อเปรียบเทียบกันแล้วว่า เอาแค่ประเทศไทยที่ได้ชื่อว่าเป็นเมืองพุทธ ประชากร ๖๘ ล้านคน เราปฏิบัติธรรมกันอย่างจริง ๆ จัง ๆ หวังความหลุดพ้นกี่คน ? น้อยจนน่าท้อใจ แล้วจะท้อไปทำอะไร ?

    เราท่านต้องไม่ลืมว่าพระพุทธเจ้าทรงเทศน์ บางทีท่านหวังผลแค่คนเดียว มีครั้งหนึ่งประชาชนฟังเทศน์กันอยู่เป็นร้อยเป็นพัน ท่านพูดให้เปสการีธิดาฟังอยู่คนเดียว เปสการีแปลว่าผู้กระทำการทอผ้า ก็คือช่างหูก สมัยก่อนเขาทอผ้าด้วยหูก สมัยนี้เขาเรียกว่ากี่ จะเป็นกี่เอวหรือเป็นกี่กระตุกก็ได้

    เปสการีธิดาก็ไม่ประมาท ตั้งหน้าตั้งตาปฏิบัติธรรม ถึงเวลาพระพุทธเจ้าไปเทศน์ใหม่ เจอหน้าเปสการีธิดา พระองค์ก็ทรงตรัสถาม "ดูก่อนเปสการี ดูกรธิดาช่างหูก เธอมาจากไหน ?" เปสการีธิดาทูลตอบว่า "ไม่ทราบพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้า "แล้วเธอจะไปไหน ?" เปสการีธิดา "ไม่ทราบพระเจ้าข้า"
    พระพุทธเจ้า "เธอไม่ทราบหรือ ?"เปสการีธิดา "ทราบพระเจ้าข้า" พระพุทธเจ้า "เธอทราบหรือ ?" เปสการีธิดา "ไม่ทราบพระเจ้าข้า"
     
  5. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    พระพุทธเจ้าประทาน สาธุ เปสการีธิดากลายเป็นพระโสดาบันเลย ส่วนชาวบ้านด่าเช็ด..! หาว่า "อีเด็กไม่รู้ที่สูงที่ต่ำ บังอาจไปเล่นลิ้นกับองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า..!"

    พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอมาจากไหน ?" เปสการีธิดาไม่รู้ว่าชาติก่อนตัวเองเป็นใคร มาจากไหน ก็เลยตอบว่า "ไม่ทราบเจ้าค่ะ"

    พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอไม่ทราบหรือ ?" เปสการีธิดาตอบว่า "ทราบเจ้าค่ะ" ก็คือรู้ว่า ถึงไม่รู้ว่ามาจากไหน แต่รู้ว่าชาตินี้ตายแน่..!

    พระพุทธเจ้าถามว่า "เธอทราบหรือ ?" ตอบว่า "ไม่ทราบเจ้าค่ะ" ก็คือไม่รู้ว่าตายแล้วไปไหนอีกเหมือนกัน

    เมื่อพระพุทธเจ้าถามว่า "เธอไม่ทราบหรือ ?" เธอตอบว่า "ทราบเจ้าค่ะ" ก็คือรู้ว่าทำความดีจะมีสุคติเป็นที่ไป

    คราวนี้กลายเป็นพระโสดาบัน เสวยสุขอยู่บนสวรรค์ชั้นดาวดึงสเทวโลก คนเป็นพระโสดาบันแล้วเขาไม่อยู่กันนานหรอก เดี๋ยวก็ไปแล้ว มีแต่พวก "โซดา" อย่างพวกเรานี่แหละ ที่ไปไม่รอด เดี๋ยวช่วงบ่ายของเราปฏิบัติธรรมกันต่อ เพียงแต่ว่าพระมีงานก็คือ ต้องลงอุโบสถทบทวนพระปาฏิโมกข์

    พระพุทธเจ้าให้พระทวนศีลทุก ๑๕ วันจะได้ไม่ลืม แต่ความจริงน่าจะทวนกันทุกวันนะ ถ้าหากว่า ๑๕ วันทวนที ปัจจุบันนี่เห็นลืมอยู่เรื่อย เดี๋ยวก็ไปปีนเสา เดี๋ยวก็ไปโหนกระแส เพราะว่าลืมศีลตัวเอง เขาติดต่อจะให้เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนไปออกโหนกระแส บอกเขาไปว่า "ไม่มีเวลาจะเล่น" ถ้าจะเล่นก็ไปเล่นกันเอง..!

    เพราะฉะนั้น..พระเราต้องทวนศีลอย่างน้อย ๑๕ วันครั้งหนึ่ง แต่บาลีไม่ได้ใช้คำว่า ๑๕ วัน ท่านใช้คำว่า อฑฺฒมาสํ แปลเป็นภาษาไทยว่า กึ่งเดือน ก็คือครึ่งเดือนครั้งหนึ่ง กึ่งก็คือครึ่งหนึ่ง ถ้าก้ำกึ่งก็ตรงกลางพอดี..!
     
  6. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    พวกเรายุคนี้แปลไทยเป็นไทยไม่ค่อยได้กันแล้วนะ ฟังรู้เรื่องแต่แปลไม่ออก บวชเป็นสมณะถือหม้อคอลุ่นบิณฑบาต คอลุ่นนี่เป็นอย่างไร..? ลุ่นแปลว่าเกลี้ยง ๆ เปล่า ๆ อย่างเช่นว่าตัวลุ่น ๆ ไม่มีอะไรเลย อย่างนี้ก็คือแก้ผ้ามา..!

    ภาษาโบราณเขามีเยอะ พวกเราไม่ค่อยจะทัน วันก่อนมีคนอ่านโคลงออกไมค์เป็นพิธีกรด้วย เขาไม่เข้าใจคำว่า "ห่อน" แปลว่าอะไร เขาเลยไปอ่านว่าหอน หอนนั่นเสียงหมา..! คำว่า "ห่อน" ภาษาโบราณแปลว่า "ไม่" "แต่ก่อนบ่ห่อนกลัว วัวจัก หายนา" ก่อนหน้านี้ไม่เห็นจะกลัวว่าวัวจะหาย ไม่ยอมล้อมคอกสักที ห่อนกลัวก็คือไม่กลัว

    ถ้าไปอ่านตำราเก่า ๆ ดูท่าจะเหลือแต่เจ้าอาวาสวัดท่าขนุนที่แปลออก คนอื่นแปลไม่ได้กันแล้วกระมัง ? พวกตำรายา น้ำตาลิง น้ำพิงกะได ทากะได กินกะได ความจริงเขาเขียนว่า น้ำตำลึง น้ำผึ้งก็ได้ ทาก็ได้ กินก็ได้ แต่คนสมัยก่อนเขาเขียนสระกับวรรณยุกต์ไว้บรรทัดบนโน่น คนรุ่นใหม่มองแต่บรรทัดนี้ก็เลยกลายเป็น น้ำตาลิง ไม่ใช่น้ำตำลึง..!

    หรือไม่ก็ที่โบราณใช้ ง.งู สองตัวแทนเสียงอัง อย่างเช่น กาพย์ฉบงง ๑๖ อ่านว่า กาบ-ฉะ-บัง แต่เราจะเห็นเป็น ฉบ-งง เลยทำให้พวกเราขาดความรุ่มรวยในอักขระ แล้วก็เลยไม่สามารถที่จะร้อยเรียงให้ออกมาเป็นร้อยกรองเพราะ ๆ ได้

    พูดไปก็เศร้าใจนะ เรียนมาเสียเยอะเสียแยะ เดี๋ยวเอาไว้ถ้าถึงยุคเมทริกซ์เมื่อไร แล้วจะให้พวกเราเอาแฟล็ชไดรฟ์มา โหลดเอาข้อมูลจากหัวหลวงพ่อไปดีกว่า แต่คงต้องหลายเทราไบต์หน่อยนะ เพราะว่าอ่านหนังสือหมดห้องสมุดไปตั้งแต่ชั้น ป. ๒ พอเข้าเรียน ป. ๕ ย้ายไปอีกโรงเรียนหนึ่ง ก็อ่านหมดไปอีกหนึ่งห้องสมุด..!

    เริ่มเข้าเรียนมัธยมศึกษาปีที่ ๑ สมัยนั้นเขาใช้ตัวย่อว่า ม.ศ. อ่านหมดไปอีกหนึ่งห้องสมุด เสร็จแล้วก็ยังซื้อเองอ่านเอง จนกระทั่งก่อนบวชก็เลยสละหนังสือที่จะท่วมบ้านตายให้เขาไปตั้งห้องสมุดได้อีกหนึ่งห้อง ปัจจุบันนี้ก็ยังมีห้องสมุดวัดท่าขนุนอยู่ เดินเข้าไปดูหน่อยสิว่าเขามีหนังสืออยู่กี่เล่ม ? นั่นน่ะ..หลวงพ่อเล็กอ่านแล้วทั้งนั้นนะ เป็นอย่างไรเก๋..ฟังแล้วเครียดไหม ? เอาหัวที่ไหนมาจำวะ ?
     
  7. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    เพียงแต่อยากจะบอกกับพวกเราว่า ถ้าตั้งใจฝึกหัด สภาพจิตของเรานี้ ต้องบอกว่ามีอานุภาพมหาศาลเกินกว่าที่เราจะคาดถึง เนื่องเพราะว่าพอจิตของเราสงบ จะสามารถย้อนดูบันทึกบุญกรรมของแต่ละคนไปได้มากจนเราคิดไม่ถึง

    แต่ว่าบุคคลที่จะย้อนดูได้ไม่จำกัดเลยมีแค่ไม่กี่คน มีองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้า พระสารีบุตรเถระ พระโมคคัลลานะเถระ พระมหากัสสปะเถระ พระอนุรุทธเถระ พระนางปชาบดีโคตมีเถรี พระนางอุบลวรรณาเถรี พระนางภัททากัจจานาเถรี พระนางภัททกาปิลานีเถรี เป็นต้น

    พระนางภัททกาปิลานีเถรี ที่ก่อนหน้านั้นเป็นคู่หมั้นของพระมหากัสสปะ เป็นชีวิตคู่ที่เซ็งมากเลย พ่อแม่บังคับให้แต่งกัน ต่างคนต่างเป็นลูกเศรษฐี ต่างคนต่างไม่อยากแต่ง ถึงเวลาเขาส่งตัวเข้าหอก็เอาพวงมาลัยคั่นกลางเตียงไว้ นอนคนละฝั่ง ตื่นเช้าก็มาเล็งดูพวงมาลัยก่อนว่าด้านไหนเหี่ยว เพราะว่าถ้าไฟราคะเกิด พวงมาลัยด้านนั้นจะเหี่ยวเร็วกว่า ก็อยู่กันมาอย่างนั้นแหละ ก็คือต่างคนต่างไม่อยากแต่ง แต่ไม่รู้จะทำอย่างไร โดนพ่อแม่บังคับ..!

    ก็รอจนพ่อแม่ตาย ปิปผลิมาณพ (พระมหากัสสปะ) ก็บอกกับนางภัททกาปิลานีว่า "ดูก่อนน้องหญิง เธอจงรับทรัพย์สมบัติทั้งหมดไปเถิด ส่วนเราจะออกบวช" นางภัททกาปิลานีก็เกิดความรู้สึกเดียวกัน จึงบอกว่า "สมบัติที่ท่านไม่ต้องการเหมือนน้ำลายที่ถ่มทิ้งแล้ว เราจะรับไปทำไม ? เราก็จะออกบวชบ้าง" ก็เลยประกาศแจกทรัพย์สมบัติให้กับคนทั้งหมด ตัวเองก็เหลือผ้านุ่งผืน ผ้าห่มผืน ถือไม้เท้าหนึ่งอัน ต่างคนต่างตั้งใจว่า "มีพระอรหันต์อยู่ที่ไหนในโลก เราขอบวชอุทิศเฉพาะพระอรหันต์องค์นั้น" แล้วก็เดินออกจากบ้านไปเรื่อย

    จนกระทั่งไปถึงทางแยก พระมหากัสสปะก็บอกว่า "ดูก่อนน้องหญิง ตอนนี้เราถือเพศเป็นนักบวชแล้ว เดินตามกันแบบนี้คนจะนินทาเอาได้" พระมหากัสสปะจึงบอกให้แยกทางกันไป นางภัททกาปิลานีก็เลี้ยวซ้าย พระมหากัสสปะก็เลี้ยวขวา คราวนี้พวกเราเข้าใจหรือยังที่ว่า "ผู้หญิงต้องซ้าย ผู้ชายต้องขวา" มีที่มาจากตรงนี้เอง

    คนหนึ่งไปซ้าย ในภายหลังได้พบสำนักภิกษุณี บวชก็เป็นพระอรหันต์ ส่วนพระมหากัสสปะนั้น พระพุทธเจ้าเสด็จมารับที่ใต้ต้นไทร เรียกว่าพหุปุตตนิโครธ แสดงว่าตอนนั้นลูกไทรกำลังดกมาก พหุปุตต คือ ลูกมาก นิโครธหรือนิโครธะก็คือต้นไทร พระพุทธเจ้าประทานโอวาท ๓ ข้อ ไม่เห็นบวชใหม่ให้เลย เพราะถือว่ากำลังใจท่าน
    สละ ตัดออกเพื่อบวชแล้ว

    ซึ่งความจริงกำลังใจของทั้งสองท่านอย่างน้อยต้องอยู่ระดับสกทาคามี ไม่อย่างนั้นผู้หญิงกับผู้ชายหนุ่ม ๆ สาว ๆ อยู่ด้วยกันแบบนั้นเป็นไปไม่ได้หรอกที่จะไม่ทำอะไรกันบ้าง นั่นเป็นตัวอย่างที่ชัดเจนที่สุด แต่พระไตรปิฎกไม่ได้กล่าวว่ากำลังใจท่านเป็นอย่างไร ไปบอกเอาตอนบวชแล้วว่าเป็นพระอรหันต์ทั้งคู่..!

    เห็นหรือยังว่าเขาเป็นกันง่าย ๆ ทำไมหลายคนทำมาตั้งนานไม่เป็นอะไรสักทีเลย นี่อาตมาว่าตัวเองด้วยกระมัง..?! เดี๋ยวพวกเราทำการบวชเนกขัมมะฯ อย่างเป็นทางการกันหน่อย แล้วค่อยปฏิบัติธรรรมต่อไป
     
  8. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ก่อนทำวัตรเย็น วันศุกร์ที่ ๑๕ พฤศจิกายน ๒๕๖๗ ​

    หลังจากทำวัตรเสร็จ พวกเราเดินลงไปลอยกระทงกัน ใครเดินไม่เก่งมีสิทธิ์ตะครุบกบได้ ทั้ง ๆ ที่กบไม่ค่อยจะมีหรอก อาตมภาพตั้งใจจะสร้างลานสำหรับลอยกระทงเป็นระยะทางยาว ๓๐๐ เมตร จากหัวสะพานหลวงปู่สายฝั่งนี้ยาวออกไปทางสะพานคอนกรีตใหญ่ ซึ่งก็คือแทบจะตลอดหน้าแนววัดท่าขนุนนั่นแหละ..! แต่ปรากฏว่าทางเทศบาลตำบลทองผาภูมิในช่วงนั้นมาขอร้องว่า "หลวงพ่ออย่าสร้างเลย เพราะถ้าหลวงพ่อสร้างเมื่อไหร่ คนจะไม่ไปลอยกระทงที่ท่าน้ำเทศบาล แต่จะมาลอยกระทงที่วัดท่าขนุนกันหมด..!"

    ตั้งใจเอาไว้ว่าจะทำลดชั้นลงไปเป็นสามระดับ ระดับหนึ่งก็น่าจะประมาณ ๒ - ๓ ขั้นบันได เผื่อว่าถ้าน้ำขึ้นมากเราก็ลอยกระทงกันด้านบน ถ้าน้ำลดเราก็ตามลงไปลอยขั้นสุดท้าย โดยที่จะมีรั้วรอบขอบชิด กันไม่ให้เด็กหรือคนแก่ตกน้ำ ได้แต่วางแผนอย่างเดียว ไม่ทันจะทำ ทางนายกเทศมนตรีเขามาขอร้องก็เลยไม่ได้ทำ ปล่อยให้เป็นที่ธรรมชาติเหมือนเดิม ถึงเวลาก็เดินกันโซซัดโซเซหัวทิ่มหัวตำลงไปลอยกระทง ตื่นเต้นดีเหมือนกัน..!

    ลอยกระทงเสร็จใครอยากจะดูผางประทีปก็ต้องขึ้นยอดเขา คนอื่นเป็นอย่างไรไม่รู้ แต่อาตมาเองหลังจากที่อดข้าวมาสามวันตอนเข้ากรรมฐาน ก็ยังสามารถเดินขึ้นยอดเขาไปเพื่อไปร่วมงานตักบาตรเทโวได้ ใช้เวลาประมาณ ๕ นาทีกว่า ๆ ลองดูสิว่าอย่างพวกเราที่ไม่ได้อดข้าวจะเดินกี่นาทีถึงยอดเขา ได้ยินแล้ว "น้ำตาจิไหล" ใช่ไหม ?

    อาจจะเป็นเพราะว่าอดข้าวแล้วน้ำหนักหายไป ๕ กิโลกรัม ก็เลยตัวเบา เดินง่ายขึ้น ลองอดดูบ้างก็ดีนะ ๙๐ ชั่วโมงน้ำหนักหายไป ๕ กิโลกรัม อาจจะเป็นเพราะว่าฉันน้ำน้อยด้วย เนื่องเพราะว่าถ้าเป็นโบราณเข้ากรรมฐาน เขาจะให้กรองน้ำใส่บาตรไปบาตรเดียว น้ำหนึ่งบาตรอย่างเก่งก็ไม่เกิน ๓ ลิตร ตลอดเจ็ดวันฉันน้ำแค่นั้น เพราะว่าถ้าฉันมากก็ต้องเสียเวลาไปห้องน้ำ ฉันน้ำน้อยและไม่ได้ฉันอาหารด้วย น้ำหนักลดฮวบ ๆ ไปเลย ประมาณ ๑๘ ชั่วโมงจะหายไป ๑ กิโลกรัม..!

    พวกเราที่ลดความอ้วนไม่ได้เพราะว่าไม่สามารถห้ามใจตัวเองให้ไม่กิน แค่นั้นเอง ถ้าห้ามใจตัวเองให้ไม่กินได้อย่างอาตมภาพก็สบาย พูดว่าไม่ก็คือไม่ จบกันแค่นั้นเลย บอกกับร่างกายว่า "อีก ๙๐ ชั่วโมงข้างหน้าค่อยมาเรียกร้อง ตอนนี้ไม่มีให้" ร่างกายก็เชื่อฟังดี ถึงเวลาไม่รู้สึกหิวอะไรเลย เข้ากรรมฐานภาวนาไปเรื่อยเปื่อย ไปกราบครูบาอาจารย์บ้าง ถามโน่น นี่ นั่น กับญาติผู้ใหญ่บ้าง

    ถ้าหากว่าใครห้ามปากตัวเองไม่ให้กินของชอบได้ จะรักษาศีลได้ทุกข้อ กี่ร้อยกี่พันข้อก็รักษาได้ เพราะว่ากำลังใจในการห้ามปากตัวเอง กับกำลังใจในการห้ามไม่ให้ละเมิดศีลนั้น ใช้กำลังใจเท่ากัน
     
  9. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    สภาพร่างกายพอถึงเวลา ระบบเมตาบอลิซึมจะเตือนให้รู้ว่าร่างกายต้องการอาหารแล้ว ถ้าเตือนแล้วเรายังไม่ฟัง ก็จะบีบให้เราปวดหัว เป็นเรื่องปกติเลย ปวดขมับสองข้าง คล้าย ๆ กับเป็นไมเกรน แต่ความจริงร่างกายของเราสามารถตั้งระบบได้ ก็คือบอกกับร่างกายว่า "ไม่มีให้กิน..! อีก ๑๐ ชั่วโมงค่อยมาทวง" ก็คือคืนนี้ไม่กินให้เอ็งอีกแล้วนะ พอโดนเข้าไปสัก ๒ - ๓ ครั้ง ร่างกายก็จะจำว่า "ช่วงนี้ไม่มีให้กิน" ก็จะเลิกทวงไปเอง

    แต่ส่วนใหญ่ก่อนที่จะผ่านช่วงที่เลิกทวงเรา ก็ไม่ไหวเสียก่อน ความจริงก็ไม่ได้ไม่ไหวอะไรหรอก ก็แค่กลัวตาย ถ้าไม่กินเดี๋ยวจะหิวเป็นลมตาย ใช่หรือเปล่า ? ความกลัวทุกอย่างมีพื้นฐานมาจากความกลัวตายทั้งหมด ตรงจุดนี้อาตมภาพสามารถอธิบายได้ชัดแจ้งมาก เพราะว่าตามดูอยู่เป็นปี ๆ ว่าพวกเรากลัวอะไร ท้ายสุดสรุปได้ว่ากลัวตาย..!

    กลัวจิ้งจก กลัวตุ๊กแก กลัวทำไม ? เดี๋ยวมันโดดเกาะ..ขยะแขยง..ทนไม่ไหว..ตาย..! โห..อะไรจะบอบบางปานนั้น..!
    กลัวเสือกัด กัดแล้วเป็นอย่างไร ? ตาย..!
    กลัวงูกัด กัดแล้วเป็นอย่างไร ? ตาย..!
    กลัวผีหลอก หลอกแล้วเป็นอย่างไร ? ผีบีบคอเราตาย..!

    สรุปแล้วลงที่เดียวหมด อย่าเสียเวลาเถียงกับคนที่นั่งดูนั่งเถียงกับตัวเองมาเป็นปี ๆ อย่างอาตมาเลย จะไปบอกว่าอันนี้ไม่ใช่ ไม่ได้กลัวตาย แค่กลัวเจ็บ มีหลายคนนะ..เถียงตัวเองด้วย "ไม่ได้กลัวตายหรอก กลัวเจ็บ" เจ็บมาก ๆ แล้วมึงเป็นอะไร ? ตาย..! ก็คือสรุปว่ากลัวตายนั่นแหละ

    สมัยนั้นยังอยู่วัดท่าซุง วัดท่าซุงน่ายุคนั้นสงสารมากคืออเนจอนาถ ป่าช้าวัดท่าซุงไม่ใช่ป่าช้าธรรมดา เป็นป่าทึบเลย รกเลย เป็นดงไผ่ ป่าช้าวัดท่าซุงอยู่บริเวณที่เป็นตึกรับแขกใหม่ทุกวันนี้ ที่เรียกว่าตึกรับแขกใหม่ก็เพราะว่าหลวงพ่อฤๅษีฯ ท่านถล่มป่าช้าออก แล้วก็สร้างตึกใหม่ ก่อนหน้านี้ท่านรับแขกอยู่ที่ตึกนวราชบพิตร ข้างหอนาฬิกาหน้าโบสถ์

    อาตมภาพก็ต้องโน่น ฝ่างูเงี้ยวเขี้ยวขอกับหนามไผ่เข้าไป ไปถึงก็กางกลด ปูผ้าพลาสติก เหน็บชายผ้า แล้วก็นั่งกรรมฐานอยู่ในนั้นแหละ ซ้ายก็ระแวง ขวาก็ระแวง ว่าจะมีตัวอะไรมาหรือเปล่าวะ ? ผีจะหลอกหรือเปล่า ?

    ตอนใหม่ ๆ นี่พอย้อนกลับไปดูแล้วตลก พอกลางดึกเสียงงูเลื้อยมา ใบไม้ขยับแกรก ๆ ๆ ๆ กะดูจากเสียงแล้ว เต็มที่ก็ตัวแค่นิ้วชี้เท่านั้นแหละ อีกสักพักหนึ่ง ใจเริ่มปรุง ไม่ได้หยุดแค่นั้น "ตัวแค่นิ้วชี้ ถ้ามีพิษ กัดเราก็ตายนะ..!" เอ้อ ใจปรุงไปโน่น..! ความรู้สึกตอนนี้ "เฮ้ย..น่าจะใหญ่กว่านั้นอีกหน่อยมั้ง ?!" จากที่ตอนแรกมั่นใจว่าไม่เกินนิ้วชี้ ตอนนี้รู้สึกว่าน่าจะตัวใหญ่ขึ้นมาอีกหน่อย เพราะว่าเริ่มกลัวแล้ว ปรุงไปปรุงมาไม่กี่ชั่วโมง งูตัวนั้นรู้สึกว่าจะใหญ่เป็นเสาเรือนแล้ว..!
     
  10. iamfu

    iamfu ผู้ดูแลเว็บบอร์ด ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    25 กันยายน 2008
    โพสต์:
    19,518
    กระทู้เรื่องเด่น:
    2,535
    ค่าพลัง:
    +26,372
    ท้ายที่สุดด้วยความบ้าไม่ค่อยกลัวอะไรง่าย ๆ ก็คือกระผม/อาตมภาพมีนิสัยว่าถ้าขึ้นหน้าแล้วตาย ถอยหลังแล้วตาย จะขึ้นหน้าอย่างเดียว มีคติประจำตัวว่า ขึ้นหน้าไปตายเขายังชมว่าเรากล้า ถ้าถอยหลังมาตายเขาจะว่าเราขี้ขลาด เปิดกลดออกไปส่องไฟดูเลย..! แหม..งูปล้องฉนวนขาวดำตัวยาวแค่สองคืบ ไม่เท่านิ้วชี้ด้วย เล็กเกือบเท่านิ้วก้อย ปล่อยให้กูหลอกตัวเองว่ามึงโตเกือบเท่าต้นเสา..! นั่นคือสภาพจิตของเราที่กลัว แล้วปรุงแต่งไปเรื่อย

    หลวงตาสินทรัพย์ถึงได้ตั้งฉายาตนเองว่า "พระสิ้นคิด" ก็คือถ้าไม่คิดก็ไม่มีปัญหา ที่มีปัญหาก็เพราะเราไปคิด คิดอะไร ? อาตมาเคยเปรียบเทียบว่า สมมติว่าเขาลวกเส้นก๋วยเตี๋ยวแล้วก็ใส่น้ำเปล่า ๆ มาให้ชามหนึ่ง เราจะกินไหม ? ไม่มีใครอยากกิน ถ้าไม่ใช่หิวไส้ขาดจริง ๆ ละก็หมายังเมินเลย..! แล้วเราทำอะไรล่ะ ? ใส่หมูสับ ลูกชิ้น กุ้งแห้ง ตั้งฉ่าย หอมซอย ผักชี พริกป่น น้ำส้มสายชู น้ำตาลอีกนิด ยิ่งปรุงยิ่งอร่อย ปรุงมากเท่าไรก็น่ากินมากเท่านั้น ก็เลยกินไม่เลิก..! ถ้าหยุดคิดได้นี่จะมีความสุขขึ้นอีกเยอะเลย..ไม่ต้องคิดมาก

    ความจริงแล้วไม่ได้คิดมากหรอก คิดแค่คนเดียว คนอื่นเขาไม่ได้มาช่วยเราคิดหรอก เพราะฉะนั้น..ใครบอกว่าเป็นคนคิดมาก ไม่ใช่หรอก "มึงคิดคนเดียว" คิดเสียจนนอนไม่หลับ ลองย้อนไปดูใหม่สิ อาตมาสมัยที่คิดจะสึก "เดี๋ยวเราสึกนะ ไปหางานทำ ได้เงินเดือนแค่นี้ เก็บเงินซื้อบ้านสักหลัง ซื้อรถสักคัน แต่งเมียสักคน มีลูกสักสองคน แล้วเดี๋ยวค่อยกลับมาบวชใหม่" มันรู้ด้วยนะว่าถ้าไม่ให้มาบวชใหม่เดี๋ยวจะไม่สึก ต้องเปิดทางให้กลับมาบวชใหม่ บังเอิญอาตมาเป็นคนมีสติ ไอ้ห่..ก็ตอนนี้มึงบวชอยู่แล้ว จะตะกายไปลำบากทำไมวะ ?! จบ แล้วก็เริ่มต้นใหม่อีก "ถ้าเราสึกนะ..ฯ" อีกแล้ว..!

    ลองไปดูความคิดตัวเอง ทุกคนเป็นแบบนี้หมดมันจะ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ ครบวงจรแล้วจบ จบแล้วก็ ๑ ๒ ๓ ๔ ๕ ๖ ๗ ๘ ๙ ๑๐ อีกเหมือนเดิม คิดอยู่ได้สามวันสามคืนไม่ต้องนอน เก่งจริง ๆ..! หมอเขาบอกว่าเป็นย้ำคิดย้ำทำ..ใช่ไหม ? อันนี้ย้ำคิดยังไม่ได้ย้ำทำ พวกย้ำทำนี่บางทีล้างมือจนถลอกก็มี

    เพราะฉะนั้น..ต้องทำสมาธิให้มากขึ้น เพื่ออะไร ? กำลังสมาธิสูงขึ้นจะได้รั้งตัวเองให้หยุดได้ ไม่อย่างนั้นแล้วเหมือนรถเบรคแตก จะตกเหว ไม่มีกำลังที่จะหักห้ามตัวเอง เอาวะ..ดูเน็ตฟลิกซ์ไป ห้าทุ่มแล้ว หิวฉิบหายเลย แต่เราตั้งใจว่าจะไม่กิน พอห้าทุ่มครึ่ง "ไม่ไหวแล้วโว้ย..! อ้วนเป็นอ้วนละวะ" กินอีกจนได้..! ก็เพราะว่ากำลังไม่พอที่จะห้ามตัวเอง
     
สถานะของกระทู้:
กระทู้ถูกปิด ไม่สามารถโพสต์ตอบกลับได้

แชร์หน้านี้

Loading...