สติปัฏฐานสี่ตามแนววิชชาธรรมกาย

..ให้ระวัง...ฉากหลัง ของ ความว่าง (ไม่จริง )...!!! ( คำครู ผู้คอยเตือน)

 

คำอวยพรหลวงปู่ (สด จนฺทสโร)
เมื่อโยมมาทำบุญ หลวงปู่มักอวยพรว่า
"ให้มีความสุข ความเจริญ มั่นคงตลอดไป"
(จึงคัดคำอวยพรอันเป็นอมตะนี้มาฝากให้ทุกๆท่านได้รับพรปีใหม่จากหลวงปู่ทั่วหน้ากัน เรียนเชิญท่านสาธุชนพร้อมใจกันกล่าวคำว่า "สาธุ"เพื่อเป็นมงคลกับชีวิตอย่างมั่นคงตลอดไป)

 

<div id="fb-root"></div> <script>(function(d, s, id) { var js, fjs = d.getElementsByTagName(s)[0]; if (d.getElementById(id)) return; js = d.createElement(s); js.id = id; js.src = "//connect.facebook.net/th_TH/all.js#xfbml=1"; fjs.parentNode.insertBefore(js, fjs); }(document, 'script', 'facebook-jssdk'));</script>
<div class="fb-post" data-href="https://www.facebook.com/video.php?v=328571817343997" data-width="466"><div class="fb-xfbml-parse-ignore"><a href="https://www.facebook.com/video.php?v=328571817343997">โพสต์</a> by <a href="https://www.facebook.com/RakangdhamDhammakaya">ระฆังธรรม วัดหลวงพ่อสดธรรมกายาราม</a>.</div></div>

 

แม้ไม่เห็นดวง เห็นกายละเอียดภายใน แต่ผลจากการตั้งสติสัมปชัญญะไว้ในกาย ตรงฐานที่7ศูนย์กลางกาย จะทำให้เกิดอานิสงส์ที่มีคุณต่อการเจริญสมถและวิปัสสนาได้ดี อีกแนวทางหนึ่งครับ

รายละุเอียดศึกษาได้ ่จากโพสในนี้และ ลิ๊งค์โพสต่างๆที่เกี่ยวกับสารธรรมในวัดหลวงพ่อสดฯ และวัดปากน้ำฯ ครับ

 

โหลดไว้อ่าน ไว้สิกขา ได้เลยครับ


่ตามลิ๊งค์ Dhammakaya Book

 

เมื่อจิตสงบดีแล้วอาการเย็นไปทั้งตัวรู้สึกสบาย และลอยเหมือนไม่ได้นั่งอยู่บนพื้น แล้วรู้สึกมีอาการหมุน แต่ไม่ได้เห็นดวงแก้ว รู้สึกกลัวจึงลืมตาขึ้น แล้วลากัมมัฏฐาน ?

ตอบ:

ที่เป็นเช่นนี้เพราะ เมื่อใจค่อยๆ สงบ รวมหยุดนิ่งสนิทระดับหนึ่ง ใจคือความเห็น-จำ-คิด-รู้ จะทำหน้าที่รับอารมณ์ภายนอกน้อยลงๆ “ใจ” ซึ่งเป็นนามธรรม เริ่มเป็นอิสระ ขาดจากรูปธรรม จึงรู้สึกกายเบาเหมือนกับจะลอย และกิเลสนิวรณ์ค่อยๆ ถูกกำจัดให้หมดไปด้วยสมถภาวนานี้ จึงเกิดปีติ รู้สึกมีอาการเย็นไปทั้งตัวและรู้สึกสบาย

แต่ที่ไม่ได้เห็นดวงแก้วนั้น เพราะใจอันประกอบด้วยเห็น-จำ-คิด-รู้ ยังไม่รวมหยุด เป็นจุดเดียวกันนิ่งสนิทถูกส่วนตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ธาตุทั้ง 6 คือธาตุละเอียดของ ธาตุน้ำ-ดิน-ไฟ-ลม-อากาศธาตุ และวิญญาณธาตุ ยังไม่ประชุมกันถูกส่วนตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิม ปฐมมรรคจึงยังไม่เกิด และอายตนะภายในอันเป็นทิพย์ก็ยังไม่เกิดและเจริญขึ้น จึงยังไม่เห็นดวงปฐมมรรคหรือดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายปรากฏขึ้นตามธรรมชาติที่เป็นจริง

ที่รู้สึกมีอาการหมุน เพราะใจยังไม่หยุดนิ่งสนิทได้ถูกส่วนเครื่องธาตุเครื่องธรรม ฝ่ายบุญกุศลจึงทำงานไม่เต็มที่ เพราะถูกต่อต้านด้วยเครื่องธาตุเครื่องธรรมฝ่ายบาปอกุศล เรื่องนี้ลึกซึ้ง เข้าใจเท่านี้ก็พอ แล้วท่านลืมตาจากกัมมัฏฐาน... น่าเสียดาย

ถ้าท่านกำหนดใจให้เห็นจุดเล็กใสกลางดวงแก้วกลมใส ตรงกลางกำเนิดธาตุธรรมเดิมต่อไปไว้เรื่อย พอถูกส่วนก็จะเห็นดวงธรรมที่ทำให้เป็นกายใสแจ่มปรากฏขึ้นมาเอง สบายใจยิ่งกว่าเดิมอีก ดังพระพุทธวจนะว่า นตฺถิ สนฺติปรํ สุขํ สุขอื่นยิ่งกว่าความสงบ (ใจหยุดใจนิ่ง) ไม่มี

 

....ทำไม คนจำนวนหนึ่ง ไม่ตระหนัก...







....เมื่อไปสอนเด็กที่ไม่เคยเรียนปริยัติลึกซึ้ง สอนคนพิการ ตาบอด ไม่ต้องกำหนดดวงแก้ว ไม่ต้องกำหนดแสง ไม่ต้องกำหนดองค์พระ


.........แค่ ให้เค้านึกสื่งที่สบายๆ ตามจริต เช่นลม ท้องพองยุบ หน้าพ่อแม่ ทะเล ภาพที่สบาย วิว ฯลฯ ไว้กลางท้องใกล้ฐานที่7 กลับเข้าถึงดวงปฐมมรรค และ กายธรรมเบื้องต้นได้ทุกคน

เมื่อแสงสว่างภายใน เกิด หลังจากสติสัมปชัญญะ ต่อเนื่อง ลงตัว ที่ศุนย์กลางกายได้

ก็จะเห็น ของจริงที่เดิมมีอยุ่แล้ว


............ทำไม.....^-^........



คำตอบ ก็ง่ายๆ

 

.....เพราะฉะนั้นเรื่องธรรมกายจึงเป็นที่เข้าใจว่า ถึง ธรรมกายแล้วมีหยาบ-ละเอียด มีอ่อน มีแก่ ตามธาตุธรรม ถ้าใครทำดับหยาบไปหาละเอียดได้เรื่อยตลอดเวลา จิตจรดที่ก้อนธาตุก้อนธรรมอยู่เรื่อย อย่างหลวงพ่อวัดปากน้ำ หลวงพ่อพระภาวนาโกศลเถรท่านเล่าให้ฟังว่า หลวงพ่อวัดปากน้ำ จิตท่านจรดอยู่ที่สุดละเอียดในอายตนะนิพพานเป็นตลอดเวลา อยู่ที่ธาตุล้วนธรรมล้วนที่สุดละเอียดของนิพพาน แม้ขณะพูดหลวงพ่อฯ ก็ทำวิชชาอยู่ เท่าที่อาตมาทราบหลวงพ่อพระภาวนาฯ ก็เป็นเช่นนั้นมาก จิตท่านในส่วนละเอียดบริสุทธิ์มาก.....


***การอบรมพระกัมมัฏฐานรุ่นที่ 29 6 พ.ค. 2538 โดย หลวงพ่อพระมหาเสริมชัย ชยมงฺคโล(พระเทพญาณมงคล)****

 

ทันทีที่เคลื่อนออกนอกศูนย์กลางกายฐาที่เจ็ด ก็มีกายปลอม ที่ไม่ได้เป็นธาตุธรรมของจริงที่เนื่องจากเราเอง เข้ามาปะปนได้มาก ทำให้การสะสางธาตุและธรรมภายใน ไม่สามารถทำได้เต็มที่ครับ เพราะอาจเป็นแค่นิมิตรที่สร้างจากภายนอกมาลวงให้จิต ไม่ได้เ้ห็นกายในกาย เวทนาในเวทนา จิตในจิต และธรรมในธรรม ที่เกิดจริงตามสภาวะปัจจุบันขณะจิตได้ แต่จิตเราน้อมไปในนิมิตลวงนั้นแทน (เดี๋ยวมาต่อ)

 

( ต่อครับ ...พี่มังกร)


ถ้าเป็นกายในกายจากธาตุและธรรมภายในจริง จะเห็นความเปลี่ยนแปลงตามสภาวะจิตและเจตสิกของเรา เช่น จิตมีกิเลส กายภายในจะเปลี่ยน , จิตมีกิเลสน้อยลง ก็เปลียน, จิตมีธรรมอันเป็นกุศล อกุศล เข้าปรุง ก็จะเห็นว่าธรรมอะไรปรุงอยู่ แบบนี้เป็นต้น แล้วพอเห็นปุ๊บ จิตที่เดินตามศูนย์ฯจะปฏิวัติเดินตามมรรคจิตในแนววิชชาธรรมกาย สลัดออกจากเครื่องปรุงนั้น คงเหลือแต่สภาวะจิตที่ผ่องใสขึ้น ไปจนถึงธาตุล้วน ธรรมล้วน ( อธิบายยาก ต้องมาทำให้เป็นเอง ) เป็นไปแนวทางโอวาทปาฏิโมกข์คือ ละชั่ว ทำดี ทำจิตให้บริสุทธิ์ ( อธิบายง่ายๆ )

***************************

( แถมให้พี่มังกรฯ) การตั้งจิตให้เดินตามศุนย์กลางกายฐานที่7 ไม่ออกนอก เข้ากลางของกลางไปเรื่อยๆ จะรู้ เห็น เป็น พระธรรมกายได้ง่าย แต่ท่านที่ไม่ได้เดินตามศูนย์นี้ ก็มีธรรมกายเหมือนกันครับ แต่ต้องตัดกิเลส สังโยชน์ เครื่องร้อยรัดให้น้อยลงเรื่อยๆ จนก้าวเข้าสู่วิปัสสนาญาณระดับโคตรภูญาณ เมื่อนั้น คุณธรรมแห่งพระธรรมกายก็รวมตัว เริื่มข้ามโคตรปุถุชน เรื่มรู้ถึงสิ่งที่นอกเหนือภพสาม ขันธ์ห้า แล้วเดินทางตัดสังโยชน์สามข้อต้นให้ขาด ก็จะพบคุณธรรมแห่งธรรมกายเบื้องต้น ( แต่อาจไม่เห็น ไม่รู้ละเอียดแจ่มชัด จนกว่าจะตัั้งที่ศุนย์ฯที่เจ็ด)

 

มีกี่คน ที่รู้วิธีใช้ตาที่สามขจัดกิเลส
ย้อนมาดูธรรมภายใน

ตั้งแต่หยาบๆ จนถึง กิเลส อาสวะ อนุสัย จนสะสางธาตุธรรมในตน พ้นจากการปรุงของสังขารได้


แต่ใช้เหมือน ไฟฉายที่ส่องออกไปรู้นอกจิต นอกใจ นอกกาย ไปเสียส่วนมาก

ไม่ได้เห็นฉากหลัง ของสิ่งที่เห็นและสื่งที่ถูกเห็น

 

การพิสดารกาย หรือ การแตกกายออกนับประมาณไม่ได้ ไม่ว่ากายไหน ตั้งแต่กายมนุษย์ละเอียจด ไปจนถึงกายอื่นๆ ครบ18 กายหลัก ..ถ้าเป็นกายที่เป็นของจริง จะสามารถบังคับได้ และ ทำให้มาตั้งตรงศูนย์กลางกายฯให้เห็นสภาวะธรรมตามเป็นจริง( ไตรลักษณ์ , เกิด-ดับ, อริยสัจจ์,ปฏิจจสมุปบาท ฯลฯ) ใช้ประโยชน์เพื่อก้าวสู่ธรรมที่ละเอียดขึ้นได้ ไมว่าในขั้นสมถะและวิปัสสนา ไม่ใช่จะมาจะไป ไร้เหตุไร้ผล สาวหาเหตุและผล ตามหลักปฏิจจสมุปบาทไม่เจอ ขอรับ

 

ขณะที่ผมโพส โพสอันที่ 501 นี้ ท่านพี่มังกรฯ รู้สึกเช่นไร ตรง ตาที่สาม ลิ้นปี่ และ ศูนย์กลางกายฐานที่7 กลางท้องกลวง ขอรับ ( บอกทางข้อความส่วนตัวได้ครับ )

 

เย็นอยู่แล้ว หรือ จู่ๆ ก็เย็นเพิ่มมาครับท่านพี่

 

...และขณะนนี้ กลางท้องเกิดปฏิกิริยาใหม่บ้างไหมครับ...