หลวงปู่พิศดู วัดเทพธารทอง และพระคณาจารย์สายต่างๆ (ข้อมูลวัตถุมงคล หน้า 1-8)....

พระกริ่งอีกพิมพ์หนึ่งที่ชอบมากๆครับ

<a href="http://image.ohozaa.com/view2/xYwafU5uEgNTYxnp" target="_blank"><img border="0" src="http://image.ohozaa.com/i/2b1/FiGy2K.gif" /></a>​

 

เคยผ่านมือมาองค์นึงครับ หาให้เจ้านาย..

 

มหาบารมีธรรมของ.. พระมหาเถร อุปคุต
ผมได้เคยสงสัยว่า ท่านพระมหาอุปคุตท่านสร้างบารมีอะไรมา เหตุใดจึงได้เป็นพระมหาเถระผู้มีฤทธานุภาพอันยิ่งใหญ่ ขนาดที่ว่า แม้แต่พยามารก็มิอาจต่อกรเทียบท่านได้เลย แม้แต่น้อยนิด อีกทั้งองค์พระมหาอุปคุตยังเป็นผู้เลิศในทางมหาลาภ และยังเป็นพระอนุพุทธะ ที่ทำหน้าที่สานต่องานพระศาสนาแทนพระพุทธองค์อีกด้วย แม้ท่านจะเกิดในยุคที่พระพุทธเจ้าปรินิพพานนานมาแล้วถึง 200 ปีเศษ ก็ยังเป็นผู้ทรงปัญญาญาณ และมีอิทธิฤทธิ์มหาอานุภาพอันยิ่งใหญ่ ยากที่จะมีผู้ใด้เสมอเหมือนได้ ขนาดองค์หลวงปู่พิศดู ยังได้กล่าวไว้ว่า.. " ตั้งแต่พระพุทธเจ้านิพพานมา ก็ยังไม่มีพระเถระองค์ใด จะมีฤทธิ์มากเกินท่านพ่ออุปคุต "

ก็เก็บความสงสัยมา จนกระทั่งบังเอิญอ่านพบประวัติ ของพระมหาอุปคุต ซึ่งมีอยู่ตอนหนึ่ง ได้กล่าวถึง หนึ่งในมหาบารมีธรรมที่ท่านได้สร้างสมไว้กับพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้ง 500 องค์ และมหาดาบสฤาษี อีก 500 องค์ที่ได้บำเพ็ญสมณะธรรมจนได้สำเร็จเป็นพระปัจเจกพุทธเจ้าในกาลต่อมา... ดังประวัติในบางตอนนั้น เป็นเรื่องราวจากพุทธพจน์ในพุทธประวัติ ดังจะขอยกมาแสดงแด่ท่านผู้สนใจดังนี้..

ก่อนที่พระผู้มีพระภาคเจ้าจะเสด็จดับขันธปรินิพพานได้มีพุทธดำรัสกับพระอานนท์ว่า ณ นครมถุราแห่งนี้ อีกสองร้อยปีข้างหน้าหลังที่พระพุทธองค์เสด็จสู่ปรินิพพานแล้ว จะมีคนขายน้ำหอมชื่อว่าคุปตะจะมีลูกชื่ออุปคุต ซึ่งจะได้เป็นอนุพุทธ ที่ปราศจากมหาปุริสลักษณะจะมาสืบสานงานของพระพุทธองค์ต่อไปคำเทศนาของท่านจะช่วยพระภิกษุเป็นอันมากเอาชนะกิเลสมารได้ จนเข้าถึงอรหัตผลทำให้พระอรหันต์เกิดขึ้นมีจำนวนมากมายซึ่งต่อไปพระอุปคุตองค์นี้จะเป็นเอตทัคคะในบรรดาธรรมกถึกทั้งหลายของพระพุทธองค์

พระผู้มีพระภาคเจ้ายังได้มีพุทธทำนายกับพระอานนท์อีกว่า อีกร้อยปีนับแต่พระพุทธองค์เสด็จนิพพานแล้ว พระภิกษุรูปหนึ่งชื่อ ศาณกวาสิน ให้สร้างวัดขึ้นที่ภูเขาอุรุมมุณฑะ และจะให้อุปสมบทแก่อุปคุต นอกจากนี้แล้วที่นครมถุราแห่งนี้ จะมีนายช่าง 2 คน เป็นพี่น้องกันชื่อ นาฏะกับ ภฏะจะได้สร้างวัดขึ้นที่ภูเขา

อุรุมมุณฑะ มีชื่อว่า นฏภฏิกะ เป็นวัดอรัญญิกาวาส (วัดป่า) ที่วิเศษสุดทั้งเตียงและตั่งจะเหมาะสำหรับการเจริญวิปัสสนาธุระ

พระอานนท์กราบทูลว่านับว่าวิเศษแท้ที่พระอุปคุตจะได้ทำสิ่งต่าง ๆ ให้เป็นคุณแก่มหาชนซึ่งพระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสตอบว่าเมื่อในอดีตชาติพระอุปคุตก็ได้ทำการที่นี่เพื่อประโยชน์ของมหาชน ในอดีตนั้นมีสัตว์ต่าง ๆ เป็นอันมากดำรงชีพอยู่บนไหล่เขาทั้ง ๓ ของภูเขาอุรุมมุณฑะพระปัจเจกพุทธเจ้า 500 พระองค์อยู่ ณ ไหล่เขาแห่งหนึ่ง ฤาษี 500 ตน อยู่ ณ ไหล่เขาอีกแห่งหนึ่ง วานร 500 ตัว อยู่บนไหล่เขาแห่งที่สาม

วันหนึ่งพญาวานรและบริวารทั้ง 500 ไปยังไหล่เขาที่พระปัจเจกพระพุทธเจ้าอาศัยอยู่เมื่อเห็น พระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น พญาวานรบังเกิดศรัทธาปสาทะได้นำใบไม้ที่ตกหล่น รวมทั้งรากไม้และผลไม้ ไปถวายเมื่อ พระปัจเจกพุทธเจ้า เหล่านั้นเจริญสมาธิภาวนาพญาวานรได้กราบลงยังพระองค์ที่อาวุโสสูงสุดแล้วไปทางท้ายของพระองค์ที่อ่อนอาวุโสสุดแล้วพญาวานรนั่งสมาธิด้วยบ้างเหมือนกัน

หลังจากนั้นไม่นานพระปัจเจกพุทธเจ้า ทั้งสิ้นได้เสด็จสู่มหาปรินิพาน หากพญาวานรยังเอาใบไม้ที่ตกลงมาแล้ว รวมทั้งรากไม้และผลไม้ไปถวายพระคุณท่านอีกแต่เมื่อท่านไม่รับประเคน พญาวานรจึงไปจับชายจีวรแล้วจับเบื้องพระบาทแล้วจึงรู้ว่าพระผู้เป็นเจ้าเหล่านั้นนิพพานเสียแล้ว พญาวานรเศร้าโศกเสียใจร้องไห้จึงไปยังอีกไหล่เขาหนึ่ง ซึ่งฤาษีทั้ง 500 พำนักอยู่แล้วเข้าไปทำลายตบะวิธีของฤาษีที่ทรมานกายด้วยวิธีต่าง ๆเมื่อสำเร็จแล้วได้นั่งสมาธิต่อหน้าฤาษีเหล่านั้น

ฤาษีรายงานการกระทำของลิงให้อาจารย์ได้ทราบ อาจารย์จึงแนะให้ฤาษีทั้ง 500 นั่งสมาธิ จนเข้าใจโพธิปักขยธรรมทั้ง 37 ข้อและได้ตรัสรู้เป็น ปัจเจกพระพุทธเจ้าพระคุณเจ้าเหล่านี้ดำริว่า ตนได้บรรลุธรรมอันวิเศษสุด เพราะวานรตัวนี้จึงได้ปรนนิบัติพญาวานรด้วยรากไม้และผลไม้จนถึงกาลกิริยาก็ปลงศพให้โดยใช้ไม้หอมมาประชุมเพลิง

พระผู้มีพระภาคเจ้าตรัสแก่พระอานนท์ว่าพญาวานรตัวนี้คือ พระอุปคุต ในอดีตชาติ ซึ่งเคยทำคุณแก่มหาชนบนยอดเขาอุรุมมุณฑะและอีกสองร้อยปีเมื่อพระพุทธองค์ปรินิพพานล่วงไปแล้ว พระอุปคุปต์ก็จะมาทำประโยชน์ ณ ที่แห่งเดิมนี้อีก...


ด้วยเหตุฉะนี้เอง ท่านจึงมีมหาบารมีธรรมที่ยิ่งใหญ่อลังการขนาดหนัก ที่เป็นผู้เลิศในทางฤทธิ์ และยังเป็นผู้เลิศในทางลาภอีกด้วย อีกทั้งยังเป็นผู้เลิศในทางแสดงธรรมให้ผู้สดับฟัง สามารถบรรลุธรรมได้โดยฉับพลัน คล้ายๆกับฟังธรรมจากพระพุทธเจ้า..

ซึ่งในปัจจุบัน ยังมีความเชื่อกันว่า พระมหาเถระอุปคุตยังคงทรงสังขารธรรมอยู่ โดยจำพรรษาอยู่ ณ สะดือทะเล กลางมหาสมุทร และได้เนรมิตปราสาทแก้ว 7 ประการ ไว้เป็นกุฏิเพื่อพำนัก โดยการเข้านิโรธสมาบัติ มิได้ขบฉันภัตตาหารใดๆ แต่จะออกจากฌานสมาบัติเพื่อมาทำศาสนกิจตามสมควร และออกบิณฑบาตรโปรดหมู่เวนัยสัตว์ ในวันเพ็ญ 15 ค่ำ ที่ตรงกับวันพุธ หรือที่เรียกกันว่า วันเป็งปุ๊ด หรือ วันเพ็ญพุธ เป็นประจำ และหากผู้ใดได้มีโอกาสตักบาตรกับพระมหาเถระเจ้า อานิสงส์แห่งการถวายทานนั้น จะทำให้เป็นผู้เจริญรุ่งเรือง ร่ำรวย และปราศจากโรคาพยาธิ ตราบจนสามารถเข้าถึงธรรมได้ในชาติปัจจุบันเลยทีเดียว..

 

สาธุ! อนุโมทนาคราบ

 

พระกริ่งไพรีพินาศพิมพ์นี้ ใช่ที่ธนาคารทหารไทยสร้าง เมื่อปี2530 เพื่อเป็นที่ระลึกในวาระครบ 30 ปีของธนาคารหรือไม่ครับ

 

ใช่ครับผม..

 

ว่าด้วยเรื่องของจีวรผ้าแพรของหลวงปู่ครับ..
บางท่านอาจสงสัยว่า ทำไมภาพนี้หลวงปู่พิศดูท่านจึงครองจีวรผ้าแพร จริงๆแล้วท่านเป็นพระนิกายธรรมยุติ..??
ขออธิบายดังนี้ครับ.. คือจริงๆแล้วหลวงปู่พิศดูท่านครองจีวรสีกรักมาตลอด แต่ว่าจะมีอยู่ช่วงเวลาหนึ่งครับ ที่หลวงปู่ท่านครองจีวรผ้าแพร ก็เนื่องจากว่า มีลูกศิษย์ของท่านคนหนึ่งนำจีวรนี้มาถวายให้ท่าน และขอให้ท่านช่วยเมตตาฉลอง(ใช้)ให้ หลวงปู่ท่านก็เมตตา สงสารลูกศิษย์คนดังกล่าวครับ อยากให้บุญเขา ก็เลยเปลี่ยนมาครองจีวรผ้าแพรอยู่ประมาณพรรษาหนึ่ง..
ซึ่งเป็นการแสดงให้เห็นในปฏิปทาอีกอย่างหนึ่งขององค์หลวงปู่ท่านครับว่า.. จิตของหลวงปู่ท่านไม่ได้ยึดติดในธรรมเนียม พิธีรีตองอะไร ทุกอย่างเป็นเพียงรูปแบบเปลือกนอกเท่านั้นเอง..
ซึ่งพอองค์หลวงปู่ได้ฉลองชุดจีวรผ้าแพรให้ลูกศิษย์ท่านนั้นทั้งพรรษาแล้ว ท่านก็หันมาครองจีวรสีกรักตามเดิมครับ.. ส่วนชุดจีวรผ้าแพรชุดนั้น ท่านก็ให้ลูกศิษย์คนอื่นเอาไปเก็บไว้บูชาต่อ
หลวงปู่เคยบอกว่า จีวรแพรที่ท่านห่มนี้ กันฟ้าผ่าดีนักนะ ต่อให้ฟ้าผ่าลงมาตรงๆก็ไม่ถูกครับ ไม่รู้ว่าต่อมาท่านมอบให้ใครไป.. แต่ผมก็คิดว่า จีวรทุกผืนที่หลวงปู่ท่านเคยใช้ก็คงป้องกันฟ้าผ่า และอันตรายได้ดีเหมือนกันหมดครับ ขนาดเพียงแค่เศษจีวรชิ้นเล็กยังมีประสบการณ์กันมากมายเลยครับ..
ขนาดเทพเทวดาองค์ใหญ่(แปะกง)ที่ระยอง ยังลงมากราบหลวงปู่พิศดูที่วัดทุกวัน และเทวดาท่านยังไปประทับทรง บอกให้คนที่ระยองคนหนึ่ง(เจ้าของรีสอร์ทแห่งหนึ่ง ที่บ้านเพ) ไปขอจีวรกับองค์หลวงปู่ เทวดาท่านบอกว่า..
" จีวรของหลวงปู่พิศดูท่านสุดยอดเลย..ลื้อรู้มั๊ย ???... "

" อาจารย์ลื้อนี่ ท่านสุดยอดแล้วนะ ท่านสูงมากๆ.. อั๊วยังต้องไปกราบท่านที่วัดทุกวันเล้ย.. "

" อาจารย์ของลื้อ เห็นท่านนอนอยู่ที่วัดเฉยๆน่ะ จริงๆแล้วท่านไม่ได้หลับหรอกนะ (ญาณ)ท่านคอยตามดู ตามคุ้มครองพวกลื้ออยู่ตลอดเลย .. มีโอกาสรีบหาเวลาไปทำบุญกับท่านบ่อยๆ ทำบุญกับท่านแล้วได้บุญมากนักนะ.."

 

สาธุๆน้อมกราบหลวงปู่พิศดูเหนือเศียรเกล้าครับ

 

สาธุหลวงปู่อุปคุตเถระ

 

พระมหาอุปคุต ที่ได้เคยมีการจัดสร้างในสายหลวงปู่พิศดูครับ..

พระบูชา พระมหาอุปคุต หน้าตัก 14 นิ้ว


พระผงเกศา พิมพ์พระมหาอุปคุต


พระมหาอุปคุตลอยองค์ เนื้อหินหยกแม่น้ำโขง


เหรียญพระมหาอุปคุต รุ่นแรก ออกวัดเทพธารทอง


เหรียญพระมหาอุปคุต รุ่นแรก ออกสำนักสงฆ์เขาน้ำซับ


เหรียญพระมหาอุปคุต ออกวัดปาต๊ะ สิบสองปันนา


เหรียญพระมหาอุปคุต จิ๋ว รุ่นพระชนะมาร ออกวัดเทพธารทอง


พระมหาอุปคุต ลอยองค์ เนื้อผง


รูปหล่อพระมหาอุปคุต ปางปราบมาร ออกสำนักสงฆ์เขาน้ำซับ


พระมหาอุปคุตปางปราบมาร หลังพระแม่ธรณี เนื้อมหาว่าน (สร้างแจกทหาร 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้)


​

​

​

 

น่าจะดำหริสร้างพระบูชาขนาด 9 นิ้ว รูปลักษณ์และประติมาการขึ้นองค์พระ ดูแปลกไม่เหมือนที่อื่นๆ เป็นพุทธศิลป์ที่สวยงาม สำหรับท่านหลวงปู่อุปคุตทางสายนี้ ถูกจริต

 

มีเก็บไว้นิดหน่อยให้ลูกหลานไว้บูชาติดตัวครับ

 

ก็มีผู้เรียกร้อยมาหลายคนเหมือนกันครับ สำหรับพระบูชาพระอุปคุตขนาด 7 นิ้ว หรือ 9 นิ้วแบบนี้ แต่ทางวัดบอกว่า ขอพักสักระยะหนึ่งก่อนครับ ถ้าเมื่อไหร่มีโอกาสเหมาะๆ ไม่แน่.. อาจจะมีการสร้างอีกครั้งหนึ่งก็ได้.. ถ้าคิดจะทำจริงๆก็จะคงรูปแบบฐานคล้ายๆพระบูชา 14 นิ้ว แต่ว่าอาจทำเป็นปางปราบพญามารแทนครับ เอาแบบว่าให้เป็นพระที่ช่วยปราบมาร คุ้มกันภัยอันตรายและปัญหาต่างๆ ให้กับบ้าน สถานที่ ให้ผู้บูชาอยู่เย็นเป็นสุขครับ.. แต่ว่าไม่ต้องรอกันนะครับ ขอเวลาพระอาจารย์สักระยะหนึ่งก่อน ไม่รู้เมื่อไหร่เหมือนกัน ช่วงนี้งานท่านมากครับ..

 

โหหห เหรียญตอกโค๊ด นะ ด้านหน้าซะด้วยครับ.. สุดๆเลย

 

หลักธรรมที่องค์หลวงปู่พิศดูแสดง ส่วนใหญ่ท่านจะผูกเป็นกาพย์ กลอน เพื่อสอนลูกศิษย์ คล้ายเป็นสิ่งจูงใจให้อยากฟัง อยากศึกษา จดจำง่าย และนำไปใช้ได้ผลจริง.. ซึ่งก็มีอยู่ด้วยกันหลายบทครับ..

​

 

ครับคุณทุเรียนทอด เหมือนจะเข้าใจกันจริง ดังคิดไว้ ชอบฐาน 14 นิ้ว

 

​

ล็อกเก็ตรุ่น 3 หลวงปู่พิศดู
- ล็อกเก็ตรุ่นนี้สร้างปี พ.ศ.2549 โดยลูกศิษย์ชุดอุปัฏฐากดูแลองค์หลวงปู่ เพื่อแจกเป็นที่ระลึก ด้วยความเมตตาขององค์หลวงปู่ ท่านยินดีและเห็นด้วยที่ลูกศิษย์จะจัดสร้างพระชุดนี้ ท่านจึงสั่งให้เอาหมากมาถวาย ท่านจะเคี้ยวหมากให้ เพื่อเอาชาญหมากและน้ำหมากไปเป็นมวลสารอุดด้านหลังล็อกเก็ตชุดนี้ จริงๆแล้วหลวงปู่ท่านไม่ได้ติดหมาก แต่ท่านเมตตาเคี้ยวให้โดยเฉพาะ เคี้ยวไปเสกไปตลอดเวลา (จึงเป็นช่วงหนึ่งที่คนนิยมนำหมากมาถวายให้หลวงปู่ฉัน เพื่อหวังว่าจะได้ชาญหมากกัน แต่ส่วนใหญ่จะไม่ค่อยได้ เพราะท่านเคี้ยวนานมาก ไม่ยอมคายเลย บางคนก็รอไม่ไหวกลับไปก่อน แต่ในระยะนั้นผู้ที่โชคดีจะได้รับการพ่นน้ำหมากจากหลวงปู่ โดยท่านจะพ่นใส่ศรีษะเลย พ่นไปเสกไปครับ) . พอท่านเคี้ยวหมากเสร็จก็จะมีคนคอยเก็บชาญหมาก และน้ำหมากไว้ รวมไปถึงข้าวก้นบาตร ผงไม้หอมเทพทาโร ดอกไม้บูชาพระของท่าน ผงธูปต่างๆในวัดเทพฯและวัดอื่นๆ มวลสารจากพระเครื่องรุ่นเก่าๆและมวลสารจากล็อกเก็ตรุ่นแรกเป็นต้นมา ไม้เท้าศักดิ์สิทธิ์ของหลวงปู่ ท่านสั่งให้คนช่วยกันเอา บุ้ง ตะไบมาถู เพื่อให้ได้ผงจากไม้เท้านี้ไปทำมวลสารโดยถูไปก็สวดมนต์กันไป และมวลสารต่างๆจากหลายที่ ที่ลูกศิษย์หามาด้วยความวิริยะอย่างมาก เอามาผสมกัน มวลสารพระชุดนี้เนื่องจากแก่ชาญหมากและน้ำหมากสีจึงออกแดงน้ำตาลเข้ม คล้ายสีเนื้อช็อกโกแล็ต และได้มีการเอาพระนาคปรก รุ่น2 รวมทั้งเกษา จีวร ตะกรุดเมตตา แผ่นโค๊ต มามาติดใส่ไว้เพื่อให้เป็นรุ่นที่ครบสูตรเป็นมาตรฐานอย่างดีครับ
จำนวนสร้างทั้งหมด..
- ล็อกเก็ตสี่เหลี่ยมนั่งเต็มองค์ สีซีเปีย สร้าง 8 องค์
- ล็อกเก็ตสี่เหลี่ยมนั่งเต็มองต์ ภาพสีฉากเขียว สร้าง 20 องค์
- ล็อกเก็ตรูปไข่ครึ่งองค์ ภาพสีฉากทอง สร้าง 20 องค์
- ล็อกเก็ตรูปไข่ครึ่งองค์ ภาพขาวดำ สร้าง 200 องค์
- ล็อกเก็ตจิ๋ว ครึ่งองค์ ฉากทอง สร้าง 100 องค์
- ล็อกเก็ตจิ๋ว ครึ่งองค์ ฉากเขียว สร้าง 200 องค์
- ล็อกเก็ตจิ๋ว ครึ่งองค์ ฉากชมพู สร้าง 200 องค์
- ล็อกเก็ตจิ๋ว ครึ่งองค์ ภาพซีเปีย สร้าง 200 องค์

ส่วนมวลสารที่เหลือจากการอุดหลังล็อกเก็ตนั้น ได้นำไปปั้นเป็นสร้อยประคำ 108 เม็ดได้ 1 เส้น ชื่อว่าประคำไตรรัตนาธิคุณครับ โดยเม็ดประคำทุกเม็ดจะสอดตะกรุดที่ลงจารด้วยหัวใจ 108 เอาไว้เป็นแกนกลางสำหรับร้อยเชือกครับ..

​

 

รอดูมา3ปีได้เห็นแล้วครับ

 

สาธุๆครับ ขอบคุณท่านทุเรียนทอดที่นำมาให้ชม เป็นบุญตายิ่งครับ

 

สวัสดีทุกท่านครับ เป็นอย่างไรกันบ้างครับ
ตอนนี้เดินทางอยู่ต่างจังหวัดครับผม กลับไปเดี๋ยวมีประสบการณ์ดีๆมาเล่าให้ฟังครับ.. สาธุ