เรื่องเด่น รวมหลวงพ่อตอบปัญหา/จากคำบอกเล่า

ในห้อง 'หลวงพ่อฤๅษีลิงดำ' ตั้งกระทู้โดย Wannachai001, 21 กรกฎาคม 2012.

  1. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    เรื่องที่ 14 เทวดาเมืองนครศรีธรรมราช ยกรถไฟ

    ครั้งหนึ่ง หลวงพ่อได้พาคณะศิษย์จากรุงเทพฯ โดยทางรถไฟ ไปจังหวัดนครศรีธรรมราช ข้าพเจ้ามารับหลวงพ่อที่สถานีรถไฟทุ่งสง พอรถไฟแล่นออกจากทุ่งสงได้ระยะหนึ่ง ถึงเวลาเพล ข้าพเจ้านิมนต์หลวงพ่อ และหลวงอามหาอำพัน บุญหลง วัดเทพศิรินทร์ ไปนั่งที่รถเสบียง หลวงอานั่งตรงข้ามหลวงพ่อ ข้าพเจ้าสั่งอาหารมาแล้วนั่งบนพื้นรถไฟข้างๆ หลวงพ่อและหลวงอา ข้าพเจ้าได้ยินหลวงพ่อรำพึงว่า พระจะฉันข้าว เทวดาจะมาก็มา

    ขณะนั้นรถไฟกำลังแล่นด้วยความเร็วขึ้นสะพานเล็กๆ สะพานหนึ่ง พอรถไฟลงจากสะพาน ปรากฏว่ารถโบกี้เสบียงคันนั้นลอยสูงขึ้นวูบหนึ่ง ข้าพเจ้าตกใจมาก เพราะถ้ารถลอยสูงขึ้นพ้นจากรางเช่นนั้น มักจะตกราง โอกาสที่ล้อรถไฟจะตกลงมาบนรางอย่างเดิมพอดีนั้น ยากมาก ทันใดนั้นโบกี้รถไฟคันตามหลังรถเสบียงก็ชนกระแทกโบกี้รถเสบียงเสียงดังสนั่น และโกบี้ถัดๆ ไปก็ชนกันเข้ามาตามลำดับ เสียงดังโครมๆ

    ขณะนั้นเอง จานข้าวหลวงพ่อและหลวงอาพร้อมด้วยชามแกงต้มยำกุ้ง ก็ลอยสูงขึ้นไปในอากาศแล้วตกลงมาบนโต๊ะ จานและชามแตกเป็นสองเสี่ยง น้ำแกงไหลซู่ลงมาเลอะขาข้าพเจ้า และเปื้อนจีวรหลวงพ่อและหลวงอา ข้าพเจ้าควักผ้าเช็ดหน้าออกมาเช็ดถวายหลวงพ่อ หลวงอาแล้ว

    ได้ยินหลวงพ่อพูดว่า พวกรถเสบียงพูดไม่ดี มีคนในห้องครัวรถเสบียงคันนั้นพูดว่า นี่หรือชื่อหลวงพ่อฤาษี อยากจะดูว่าจะมีฤทธิ์สักแค่ไหน หลวงพ่อเล่าว่า เทวดาที่มาเคยเป็นเพื่อนเก่าของหลวงพ่อ เมื่อพวกห้องครัวรถเสบียงพูดไม่ดี ดังนั้น เทวดาท่านจึงแสดงฤทธิ์แทนหลวงพ่อ หลวงพ่อไม่ได้ทำอะไร

    เทวดาท่านยกรถไฟให้ลอยสูงขึ้นมาพ้นราง แล้วก็ปล่อยวางลงบนรางดังเดิม แต่ว่าจานข้าวและชามแกงรถเสบียงที่แตกเป็นสองเสี่ยงนั้น น่าคิดมาก จานชามกระเบื้องของรถไฟ ปกติหนามาก ไม่ต่ำกว่าครึ่ง ซม. การที่ลอยขึ้นแล้วตกลงมาตรงๆ แตกเป็นสองซีกเช่นนั้น แปลว่าต้องลอยขึ้นสูงไม่ต่ำกว่า 1 ฟุต และการที่จานและชามลอยขึ้นสูงขนาดนั้น รถไฟต้องลอยขึ้นสูงขนาดไหน แต่แล้วทำไมแก้วน้ำซึ่งบางและเปราะกว่าจานชามกระเบื้องมาก อีกทั้งยังวางซ้อนกัน 2 – 3 ชั้น อยู่ตรงอีกด้านหนึ่งของรถเสบียง ทำไมจึงปรากฏว่าไม่มีแก้วใบไหนแตกเลยสักใบ น่าแปลกใจมาก

    สักครู่หนึ่งต่อมา พวกบ๋อยและกุ๊กรถเสบียงคลานกุบกับตามกันเป็นแถว ออกมาจากห้องครัว กราบหลวงพ่ออย่างนอบน้อม แล้วขอให้หลวงพ่อเจิมศีรษะให้ หลวงพ่อก็เมตตาเจิมให้ทุกคนโดยเคาะที่ศีรษะคนละที แล้วกุ๊กก็กราบเรียนว่า หลวงพ่อไม่ต้องจ่ายเงินเพิ่ม ประเดี๋ยวกระผมจะนำมาถวายใหม่อีกชุดหนึ่ง ข้าพเจ้าสงสัยว่าเทวดามีกายเป็นทิพย์ มือเทวดาก็โปร่งใสจนมองไม่เห็น แต่ทำไมจึงยกรถไฟที่เป็นเหล็กหนักหลายสิบตันได้ จึงกราบเรียนถามหลวงพ่อ

    หลวงพ่อหัวเราะแล้วอธิบายว่า หนักยิ่งกว่ารถไฟเขาก็ยกได้

    เป็นอันว่า ข้าพเจ้าได้ประสบด้วยตนเองถึงอานุภาพของเทวดา 3 ครั้ง คือ
    ครั้งที่หนึ่งเจ้าทะเลกระบี่ เนรมิตมังกรทองมารับหลวงพ่อที่ชายทะเลหาดนพรัตนธารา จังหวัดกระบี่
    ครั้งที่สอง พระพรหมที่เฝ้ารักษาพระพุทธมหามงคลบพิตร เคลื่อนย้ายพระพุทธรูปทองคำใต้ดิน ที่ตำบลน้ำน้อย อำเภอหาดใหญ่
    และครั้งที่สาม เทวดาเมืองนครศรีธรรมราชยกตัวโบกี้รถไฟ ซึ่งหนักหลายสิบตันลอยสูงพ้นราง

    บทสรุป


    พระสุปฏิปันโน ผู้รู้จริง เห็นจริง ท่านสอนแล้ว เราเข้าใจแจ่มแจ้ง เกิดความรู้สึกว่าจะปฏิบัติตามได้ เปรียบเสมือนพระท่านชูประทีปแก้ว ส่องให้เราเห็นทางเดินอันถูกต้อง หลีกพ้นจากป่าพงดงหนาม ข้ามห้วยหุบเหวนรก จนถึงที่หมายปลายทางได้อย่างปลอดภัย เราจะไม่ต้องกลับมาเกิดใหม่แล้วตาย ตายแล้วกลับมาเกิดอีก เวียนว่ายตายเกิดซ้ำซาก โดยไม่มีที่สิ้นสุดอีกต่อไป



    (จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 3 หน้า 153 - 168)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 24 ธันวาคม 2013
  2. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]


    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    (จากธัมมวิโมกข์ พฤศจิกายน 2539 หน้า 20 - 31)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2014
  3. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]

    หลวงปู่ครูบาชุ่ม วัดวังมุย

    [​IMG]

    หลวงปู่ครูบาบุญทึม วัดจามเทวี


    [​IMG]

    หลวงปู่ครูบาอินทจักรรักษา (พระสุธรรมยานเถร) วัดวนาราม (วัดน้ำบ่อหลวง)




    [​IMG]


    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]

    [​IMG]

    หลวงปู่สิม วัดถ้ำผาปล่อง
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 26 พฤศจิกายน 2014
  4. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    คำอธิษฐานปีใหม่

    ผู้ถาม : ที่หลวงพ่อบอกว่า ให้นั่งหน้าพระพุทธรูปแล้วอธิษฐานว่า ความรวยจงปรากฏ มันเป็นอย่างไรครับ ?

    หลวงพ่อ : ล้อ " เจ้าขวัญ " มันว่า ถ้าอยากรวยก็เอาแบบนี้ซิ 5 ทุ่ม 45 นาทีใกล้ๆจะ 6 ทุ่มใช่ไหมเล่า ก็ไปนั่งหน้าพระพุทธรูป บูชาพระ นึกถึงพระพุทธเจ้า พระปัจเจกพุทธเจ้า พระอริยสงฆ์ เทวดา และพรหมทั้งหมด ครูบาอาจารย์ ผู้มีคุณทั้งหมด บูชาท่านขอลาภ


    ''ขอให้ความซวยทั้งหมด ความยากจน จงไปกับปีเก่า
    แล้วความรวย ความดี ความโชคดี จงมากับปีใหม่ ''


    หลังจากนั้นก็ ภาวนา คาถาเงินล้าน เรื่อยๆไป พอนาฬิกาตีเป๊ง..ขึ้นปีใหม่ " ขอให้ความซวย จงหายไปพร้อมกับปีเก่า ฉันต้องการความรวย จากปีใหม่ "

    ผู้ถาม : อ๋อ....หลวงพ่อพูดกับ ขวัญ เหรอ ?

    หลวงพ่อ : ใช่

    ผู้ถาม : แล้ว ลูกๆหลานๆ ที่ไม่ใช่ขวัญ จะได้ไหมครับ ?

    หลวงพ่อ : ก็มีขวัญนี่ ลองก้มหัวดู คนไหนไม่มีขวัญทำไม่ได้ ความจริงไม่ต้องรอดึกก็ได้ ถึงวัด ถึงบ้าน อาบน้ำ สวดมนต์ไหว้พระ ก็อธิษฐานก่อนนอนเลยก็ได้ ไม่ต้องรอถึงเวลานั้น



    คำอธิษฐานได้ผล


    ผู้ถาม : กราบเท้าหลวงพ่อที่เคารพอย่างสูง เมื่อคืนวันที่ 31 ตุลาคม 2531 นี้ ลูกได้ทำตามคำแนะนำของหลวงพ่อที่อธิษฐานว่า " ความซวยจงหมดไป พร้อมกับปีเก่า และขอความร่ำรวย จงมาพร้อมกับปีใหม่ 2532 นี้ " ปรากฏว่าวันนี้การค้าของลูกคล่องตัว ลูกอยู่ในโอวาท (แหม..นี่แกคงจะดีใจว่า ลูกอยู่ในโอวาทนะ) หากลูกจะอธิษฐานอย่างนี้ทุกคืนๆ ไป จะผิดกฏที่เทวดาเขาสงเคราะห์อยู่ในเวลานี้หรือเปล่าเจ้าคะ ?

    หลวงพ่อ : ดีมาก ถ้าทำตามนั้นนะ จะดีมากเลย จะมีการทรงตัว เงินจะเหลือใช้ เอาทุกวันดีกว่า ไม่ใช่ทำวันเดียว

    ผู้ถาม : อ๋อ..ยิ่งว่าบ่อยๆ ยิ่งดีหรือครับ

    หลวงพ่อ : ใช่ ทำเป็นสมาธิแบบนั้น ก็ไม่ต้องใช้เวลาใกล้ 2 ยาม เวลาไหนก็ได้ที่เราเห็นสมควร ที่ว่าใกล้ 2 ยาม เพราะปีเก่าจะไป ปีใหม่จะมา เวลานี้เป็นเวลาของปีใหม่ ก็ใช้ได้ทุกเวลาตามที่ชอบใจ นั่นดีมากนะ ต่อไปจะรวยใหญ่ เมื่อทุกคนรวยใหญ่ ฉันก็สบายใจ สร้างวัดอีก 10 วัด (หัวเราะ)

    ผู้ถาม : นี่ก็เป็นผลดีแก่แม่บ้านนะ มีผัวอยู่ในโอวาท เอ..ถ้าผู้ชายว่าบ้าง ลูกเมียจะอยู่ในโอวาท หรือเปล่าครับ ?

    หลวงพ่อ : เราอยู่ในโอวาทเขา เขาก็อยู่ในโอวาทเรา " วันทโก ปฏิวันทนัง " ผู้ไหว้ย่อมได้รับการไหว้ตอบ " ปูชา ลภเตปูชัง " ผู้บูชาย่อมได้รับการบูชาตอบ ในเมื่อเราอยู่ในโอวาทเขา เขาก็อยู่ในโอวาทเรา



    (จากหลวงพ่อตอบปัญหา ธัมมวิโมกข์ กุมภาพันธ์ 2532)
     
  5. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    ลองอ่านดูนะครับ เผื่อว่าอาจจะชอบใจเอาไปลองปฏิบัติตามดูบ้าง " ใช้สมาธิเล็กน้อยก็ขอหวยได้ "





    [​IMG]
    [​IMG]


    [​IMG]
    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ สิงหาคม 2535 หน้า 89)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 1 สิงหาคม 2014
  6. เซียนใหญ่

    เซียนใหญ่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +63
    จะลองนำไปปฏิบัติครับ
    ขอบพระคุณ อนุโมทนามิ
     
  7. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]
    [​IMG]
    [​IMG]
     
  8. เซียนใหญ่

    เซียนใหญ่ Active Member

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 ธันวาคม 2013
    โพสต์:
    0
    ค่าพลัง:
    +63
    ขออำนาจคุณพระรัตนตรัยคุ้มครองให้ศิษย์หลวงพ่อทุกท่านมีความสุขความเจริญในปีใหม่2557 นี้เทอญ
     
  9. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    DSC05764.jpg

    DSC05765.jpg


    DSC05768.jpg


    DSC05769.jpg


    DSC05771.jpg


    DSC05774.jpg


    DSC05775.jpg


    DSC05778.jpg


    DSC05779.jpg


    DSC05782.jpg


    DSC05784.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ พฤศจิกายน 2539 หน้า 9-19)
     
  10. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    DSC06002.jpg

    DSC06005.jpg


    DSC06007.jpg


    DSC06009.jpg


    DSC06011.jpg

    (จากธัมมวิโมกข์ กรกฏาคม 2535 หน้า 10 - 14)
     
  11. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ กรกฏาคม 2535 หน้า 50 - 56)
     
  12. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]

    (จากหนังสือลูกศิษย์บันทึก เล่มพิเศษ หน้า 3)
     
  13. นโมพุทธายะ๕

    นโมพุทธายะ๕ ก่อนตายไปอีกชาติ .. ใช้กายสังขารสร้างกำลังให้คุ้ม ทีมงาน ผู้ดูแลเว็บบอร์ด

    วันที่สมัครสมาชิก:
    31 สิงหาคม 2010
    โพสต์:
    22,649
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1,134
    ค่าพลัง:
    +70,504
    ดวงจิตจริงมีดวงเดียว



    ผู้ถาม:- “ล่อจิตตั้ง ๑๒๗ ดวง ๘๒ ดวง”

    หลวงพ่อ:- “ใช่…ฉันก็เคยเล่นมาก่อนเหมือนกัน”

    ผู้ถาม:- “หลวงพ่อน่ะหรือครับ”

    หลวงพ่อ:- “อ้าว…ถ้าไม่โง่เสียก่อนจะรู้เรื่องได้ยังไง”

    ผู้ถาม:- “นึกว่าแจ่มแจ๋ว…ตั้งแต่เล็กจนโต”

    หลวงพ่อ:- “แจ๋วมาก! ตอนนั้นแจ๋วมากจำได้ทุกดวง… (หัวเราะ) แต่ว่าพอไปเทศน์เข้าจริง ๆ เหลือ ดวงเดียว”

    ผู้ถาม:- “ตอนนี้พระที่เทศน์ด้วยกัน ไม่ค้านหูดับตับไหม้เลยหรือครับ ?”

    หลวงพ่อ:- “ใครจะค้านใคร เขาก็ค้านแค่ ๓ ธรรมาสน์นี่น่ะ ทีแรก ๒ องค์ก็ล่อจิตกี่ดวง ตอบ ๘๐ ดวงบ้าง ๑๒๐ ดวงบ้างน่ะ ล่อกันอีรุงตุงนัง ฉันก็ล่อกินหมาก บุหรี่ไม่สูบ เป่ายานัตถุ์บ้าง อะไรใช่ไหม.. นั่งหลับตาเสียบ้าง เดี๋ยวเขาหันมาว่า ไงธรรมาสน์โน้น ถามอะไร แกเทศน์อะไรกันนี่ ถามทำไม บอกข้ากินหมากบ้าง เป่ายานัตถุ์บ้าง…เพลินไป เขาถามว่า จิตมีกี่ดวง บอก เอ๊ะ! ของข้ามันมีดวงเดียวนี่นะ พ่อให้มาดวงเดียว เขาบอกผิดตำรา ถามตำราของแกมีกี่ดวง เขาบอกอย่างย่อมัน ๘๐ อย่างพิสดารมี ๑๒๐ กว่าใช่ไหม…ถามมันติดตรงไหนบ้างล่ะ ติดตั้งแต่ฝ่าส้นตีนขึ้นไปถึงหัวแกใช่ไหม ยังไม่หมดเลย…” (หัวเราะ) “พระพุทธเจ้าตรัสว่า “เอกะจะรัง จิตตัง…จิตดวงเดียวเที่ยวไป” ไอ้ที่บอกเป็นหลายดวง คืออารมณ์เข้ามาสิงจิตอยู่ใช่ไหม.. อย่างจิตมีความโกรธ จิตมีความโลภ จิตมีความหลง ใช่ไหม.. จิตมีความรัก อารมณ์ของจิตก็ต่างกันไป นั่นมันเป็นอารมณ์ไม่ใช่ดวงจิต ดวงจิตจริงมันดวงเดียว”


    ผู้ถาม:- “ไอ้ที่มาเกิดก็มาดวงเดียว ตายแล้วก็ไปดวงเดียว”

    หลวงพ่อ:- “ใช่…ไอ้พวกนั้นมันหลายดวง มันต้องเกิดหลายอย่าง เกิดเป็นคนบ้าง เกิดเป็นหมาบ้าง เกิดเป็นนกบ้าง อะไรบ้าง ความจริงพระฎีกาจารย์น่ะ ท่านอธิบายไว้เพื่อความเข้าใจง่าย ทีนี้ไอ้คนเบื้องหลังไม่เข้าใจตามท่าน ความจริงจิตน่ะ มันดวงเดียว เหมือนน้ำใส ๆ ใส่แก้วใช่ไหม.. ถ้าสีแดงใส่เข้าไป ไอ้น้ำนั่นน่ะออกเป็นสีแดง ถ้าสีเขียวใส่ไปน้ำก็เป็นสีเขียว ไอ้นั่นน้ำเปลี่ยนสีไปเพราะใส่สีเข้าไป จริง ๆ แล้ว น้ำมันใส แก้วมันใส และที่เราทำเวลานี้ เราทำเพื่อให้จิตใสตามเดิม ถ้าจิตใสตามเดิมก็ไปนิพพานได้ เมื่อก่อนนี้มันใสเหมือนกัน แต่มันใสไม่มีประกายพรึก จึงต้องเวียนว่ายตายเกิดใช่ไหม…กระทั่งใสด้วยเป็นประกายพรึกด้วย อย่างดวงจิตคนนี่นะ อะไร….เจโตปริยญาณ ญาณตัวนี้ดูง่าย คนกี่พันคนก็ตามดู แป๊บเดียวจะรู้ทันที”


    ผู้ถาม:- “แค่เห็นแป๊บเดียวหรือครับ” หลวงพ่อ:- “เป็นหมื่นนะ นึกอยากจะรู้ รู้ใครจิตสีอะไร จิตจริง ๆ เขานับเป็น ๖ สี แต่ย่อแล้วเป็น ๓ สี สีแดงเข้มหรือสีแดงอ่อน ได้ทั้งสองใช่ไหม…สีดำ ดำปี๋หรือดำอ่อน ๆ มัว ๆ…สีขาวจัด หรือขาวมัว ๆ มันไม่เหมือนกัน เอาแค่นี้แค่ ๓ สีพอ ถ้าสีแดงเป็นจิตที่มีอารมณ์แจ่มใส ดีใจเพราะได้ของที่ชอบใจน่ะ ถ้าจิตสีดำมีทุกข์ จิตสีขาวจิตสบาย ถ้าจิตสีใสเป็นจิตของฌาน ๔ ถ้าจิตเป็นประกายพรึกเป็นจิตของพระอรหันต์”


    ผู้ถาม:- “ทีนี้เลยถามต่อไปเลยว่า ถ้าเป็นพระโสดาบัน อทิสสมานกายแต่งตัวยังไง โสดา สกิทา อนาคา อรหันต์ แตกต่างกันไหมครับ”

    หลวงพ่อ:- “แตกต่างกัน…ไม่ต้องพระโสดาหรอก แค่คนที่จะตายเป็นเทวดานี่ ข้างในมันเป็นเทวดาก่อน ไม่ต้องดูเฉพาะจิตนะ ดูเฉพาะตัวข้างในนี่ เรียก “อทิสสมานกาย” นะ มันจะบอกเลย รูปร่างลักษณะเป็นอย่างนั้น อย่างจะเป็นสัตว์นรก ก็เห็นเลยเป็นสัตว์นรก มีสภาพอะไรบ้างรู้เลย…เรื่องเล็ก ๆ”

    ผู้ถาม:- “อ๋อ…นี่ไม่ใช่ใหญ่เลยหรือครับนี่”

    หลวงพ่อ:- “เล็ก…มันเล็กมากหยิบไม่ค่อยถูก หยิบไม่ติดมือ…” (หัวเราะ)


    ผู้ถาม:- “อย่างนี้ถ้าหากว่าได้เจโตปริยญาณนี่ มองคนปุ๊บ! จะรู้ทันทีเลยหรือครับ”

    หลวงพ่อ:- “คือว่าความจริงไม่ต้องมองคนหรอก แค่รู้ชื่อต้องการจะรู้เท่านั้นใช้ได้”


    ผู้ถาม:- “ไม่เคยเห็นหน้าเลยหรือครับ”

    หลวงพ่อ:- “ไม่เคยเห็น ไม่เคยรู้จักกัน ไม่จำเป็น!”



    หลวงพ่อ:- “ความจริงในพระไตรปิฎกท่านก็ยืนยัน เรื่องนรกสวรรค์นี่มีจริง เรื่องนรกยืนยันตั้งแต่เล่ม ๑”



    หลวงพ่อ:- “ไอ้นั่นแปลผ่านมาแล้วทั้งนั้น กลับมาเป็นมิจฉาทิฏฐิร้ายกาจมาก ก็เป็นเรื่องแปลก เรียนผ่านแล้ว แล้วเวลาไปเทศน์โปรดเขา แต่ว่าตัวเองไม่ทำ ไอ้นั่นยังดีกว่าไปคัดค้านพระไตรปิฎก…นี่หนักมาก”

    ผู้ถาม:- “และโดยเฉพาะอย่างยิ่งที่บอกว่าไม่ดี แล้วยังสอนคนไม่ให้เชื่อ ทำลายล้างพระพุทธศาสนา”


    หลวงพ่อ:- “ไอ้ที่พูดแบบนั้นเห็นแก่แบ็งค์อย่างเดียว เห็นแค่ค่าจ้าง”

    ผู้ถาม:- “ต้องมีอะไรอยู่นะครับ”

    หลวงพ่อ:- “ใช่ ๆ ๆ”

    ผู้ถาม:- “ผมนึกว่าพวกมิจฉาทิฏฐินี่ ท่านปู่พระยายมน่าจะส่งลูกน้อง เอากระบอกเล็ก ๆ มาอบรมสั่งสอนสัก…โป๊ก ๆ ๆ จะได้รู้เสียที”



    ผู้ถาม:- “ผมมานึกถึง เอ๊ะ! ทำไมเด็ก ๕-๙ ขวบไปกันคล่อง เที่ยวสนุกสนานเพลิดเพลิน ที่วัดอะไรที่ฝั่งธนบุรี เป็นมหา…ประโยคนี่ ไม่เชื่อและก็ปฏิเสธ พอสุดท้ายก็เจอเด็กดีวัดท่าซุง ลูกศิษย์วัดท่าซุง อายุประมาณ ๙ ขวบ เด็กได้มโนมยิทธิ ก็มีข้อแม้กันนะครับ ถ้าเด็กตอบได้ตอบถูกต้องตามความเป็นจริง พระตั้งแต่นี้เป็นต้นไปต้องเจริญกรรมฐานทุกวัน เขาต่อรองกันยังงั้นเลยนะครับ พระก็ถามว่า ไอ้หนู! ไอ้ที่ว่านรก สวรรค์ พรหม มีจริงไหม มีจริงมีอะไรเป็นข้อพิสูจน์ เด็กก็บอกว่า เอายังงี้ซิครับ…หลวงอา ดื่มน้ำร้อนไม่ต้องเป่า ซดโป้งไปมันร้อนหรือเย็น มหานั่นบอกก็ร้อนซิ เด็กก็บอกว่า นรกนั่นมันร้อนกว่านั่นหลายแสนเท่า ไม่เชื่อหลวงอาไปเปิดพระไตรปิฎก ก็ไปเลย เปิด เออ…จริงว่ะ! เอ็งพูดถูกว่ะ เอาได้ข้อละ พอถามสวรรค์ แหม…พอพูดสวรรค์ เด็กปรื้ดเลย…พูดคล่อง ทีนี้มหาทำท่าจะกราบเด็ก เด็กก็บอกว่า มหากราบพระพุทธรูปแทนก็แล้วกัน เดี๋ยวนี้มันกลับตาลปัตรกันแล้ว ก็ยังโชคดีสำนึกได้แล้วก็กลับตัวใหม่”



    หลวงพ่อ:- “ความจริงก็ต้องว่าเลวมาก เรียนตั้ง ๗ ประโยค แต่เสือกคัดค้านพระไตรปิฎก”










    หลวงพ่อตอบปัญหาธรรม ฉบับพิเศษ เล่ม ๙ พระเดชพระคุณหลวงพ่อพระราชพรหมยาน (หลวงพ่อฤาษี วัดท่าซุง)
     
  14. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]

    (จากธัมมวิโมกข์ มกราคม 2534 หน้า 32)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 2 กุมภาพันธ์ 2014
  15. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    บูชาพ่อ

    นรีกร กูรมะโรหิต (น้อย)


    เที่ยงเศษของวันหนึ่งในเดือนมกราคม ๒๕๒๒ ดิฉันก้าวเข้าไปในกองอ.ร.จ. ธนาคารออมสิน สำนักงานใหญ่ เพื่อไปพบเพื่อนสนิทคนหนึ่งที่นั่น ด้วยสีหน้าที่เพื่อนคงจะเห็นถึงความไม่สบายใจนัก จึงมีการสอบถามกันขึ้น ดิฉันตอบตามตรงว่า เมื่อคืนก่อน ทำสมาธิไม่ได้เรื่องเลย เคยเห็นแสงสีสวยงาม มีความสุข ตั้งใจว่าวันรุ่งขึ้นจะทำให้ดีกว่านี้ กลับไม่ได้อะไรเลยสักนิดเดียว

    เพื่อนและน้องๆ ที่นั่นหัวเราะเกรียว บุ้ยใบ้ไปที่คุณแต๋วซึ่งดิฉันเพิ่งรู้จักในวันนั้นว่า “แน่ะ..ไปฝึกกับคนนั้นแน่ะ” คุณแต๋วแนะนำว่า “เอางี้แล้วกัน พี่น้อยไปหัดท่อง นะ มะ พะ ธะ ให้คล่องก่อน แล้วค่อยไปฝึกกับหนูที่บ้านในซอยจันทิมา ลาดพร้าว” ดิฉันฟังแล้วก็สงสัย นึกว่าเอ..คำภาวนานี้แปลกมาก ไม่เคยได้ยินเลย เลยตัดสินใจไม่ตกว่า จะท่องดีหรือไม่ดีเพราะไม่เคยรู้เรื่องมโนมยิทธิเลย

    และในวันนั้นก็ไม่มีใครพูดถึงเรื่องมโนมยิทธิด้วย ได้แต่สั่งให้ไปท่อง นะ มะ พะ ธะ เท่านั้น ลังเลใจอยู่ ๑ เดือนเพราะสงสัยในคำภาวนา สุดท้ายติดสินใจ “ลองดู” นั่ง นอน ยืน เดิน ก็ภาวนา ภาวนาไป ภาวนามา รู้สึกใจสบายและภาวนาคล่องเข้า สังเกตว่าคำ นะ มะ ไปตกที่หายใจเข้า และ พะ ธะ หายใจออก ทั้งๆ ที่ตอนแรกๆ ที่ภาวนาก็ไม่ได้ตั้งกฎเกณฑ์ว่า จะหายใจเข้าหรือหายใจออก มันถูกต้องไปเองโดยอัตโนมัติ จึงไปฝึกกับคุณแต๋วด้วยใจยินดี

    คุณแต๋วฝึกให้แบบเก่าตามที่หลวงพ่อท่านเคยฝึก คือคาดหน้าผากด้วยกระดาษ “นะ มะ พะ ธะ” แล้วกวัดแกว่งข้างหน้าด้วยแสงไฟ ก่อนหน้านั้นเปิดเทปคำสอนของหลวงพ่อ สวดมนต์ และรับศีล คุณแต๋วสอนให้ตัดขันธ์ห้า ชี้ให้เห็นถึงความสกปรกของร่างกายแล้วก็แนะนำไปเรื่อยๆ จนกระทั่งจิตของดิฉันหลุดผลัวะออกจากกาย ดิฉันใช้คำว่า “หลุดผลัวะ”

    เพราะเด้งหลุดออกไปอย่างแรงรู้สึกได้ชัดเจน ทุกหนทุกแห่งที่คุณแต๋วพาไปนั้นสว่างไสว ไม่น่าเชื่อเลยว่า แม้ลวดลายกนกในพระจุฬามณีและพระนิพพานก็เห็นหมด ดิฉันได้กราบองค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าที่นั่น ทรงงดงาม สง่า สุดจะพรรณนาได้กราบหลวงพ่อเป็นครั้งแรกทั้งๆ ที่ในชีวิตไม่เคยเห็นพระองค์จริงของท่านมาก่อนเลย ได้กราบ ได้รู้จัก ท่านปู่ ท่านย่า ท่านพ่อ ท่านแม่ หลวงปู่ปาน ในครั้งนั้นเสียน้ำตามากเหลือเกิน

    ดิฉันรอจะให้ถึงต้นเดือนมีนาคม ๒๕๒๒ ด้วยใจกระวนกระวายอยากจะกราบอยากจะเห็นตัวจริงของหลวงพ่อ เพราะฟังแต่เสียงของท่านในเทปก็รักท่านมากเหลือเกิน ดิฉันรู้ว่า ดิฉันมี “ที่ลง” แล้ว ไม่ต้องไปตระเวนไปไหนต่อไหนอีกแล้ว ในระหว่างรอคอยนั้น ด้วยความเลวของจิตที่ยังไม่ได้รับการขัดเกลาเลย ฟังใครปรามาสหลวงพ่อก็ไม่ได้ ใจมันโมโห เจ็บร้อน อยากเถียงแทน อยากฟ้องหลวงพ่อ

    จนในวันหนึ่ง ยังไม่ทันจะได้เห็นตัวจริงของหลวงพ่อเลย ดิฉันก็จุดธูป ๓ ดอก ปักลงไปที่เนินดินในสนามหน้าบ้าน ดิฉันเรียกท่าน แล้วระบายความขุ่นเคืองด้วยหวังจะให้ท่านรับรู้ และบอกวิธีที่จะทำให้เขาเลิกปรามาสท่านโดยเร็ว พอหลวงพ่อไปสอนที่บ้านสายลม ดิฉันรีบไปหาที่นั่งด้านหน้าแต่วัน ตั้งใจแน่วแน่ที่จะรับฟังคำตอบจากท่าน แต่จนแล้วจนรอด ท่านไม่มีแม้แต่จะมอง (รู้สึกท้อใจ)

    ผ่านไปเป็นชั่วโมงๆ หลวงพ่อท่านก็พูดคุยและสอนเรื่อยไป ในที่สุดความกระวนกระวายรอฟังก็หายไป ดิฉันฟังเพลิน ใจสบาย แต่ฉับพลันทันใดท่านจ้องเป๋งตรงมา แต่ไม่พูด จ้องแล้วก็ปรายตาไปทางอื่น เหมือนพูดกับลม แต่ดิฉันสะดุ้งโหยง เพราะท่านพูดเสียงดังฟังชัดว่า

    “ใครเขาจะด่าจะว่าเรา ว่าเราเลว ก็ถ้าเราไม่เลวจริงแล้วก็ใช่ว่าเราจะเลวไปตามปากเขา”
    “หรือถ้าเราเลว ใครเขาชมว่าเราดี เราจะดีไปตามปากเขาหรือก็เปล่า”


    แล้วท่านก็สอนต่อไปอีกหลายประโยค สรุปก็คือ ให้หมั่นสำรวจความเลวของตัวเอง แล้วขจัดมันให้หมดไปจะดีกว่า นี่คือคำสอนครั้งแรกที่ดิฉันได้รับตรงจากหลวงพ่อ ประทับใจและมีค่ามหาศาลยิ่งนัก ดิฉันตระหนักได้ในทันทีว่า ด้วยคำสอนที่หลวงพ่อท่านสอนเรา เพียงแค่นี้ ถ้าเราไม่ประมาท และเราปฏิบัติตามคำสอนของท่าน เราก็สามารถจะตัดกิเลสเป็นสมุจเฉทปหานได้ในชาตินี้

    ความโง่ ความเลวของจิตดิฉันนั้น มีมากมาย พรรณนาเท่าไรก็ไม่หมด ในวันหนึ่งที่วัดท่าซุง ดูเหมือนจะเป็นวันสงกรานต์ ราวๆ ๘ โมงเช้า หลวงพ่อท่านลงเทศน์ที่ศาลาพระพินิจ ตอนนั้นศาลา ๒ ไร่ ๔ ไร่ ๑๒ ไร่ ยังไม่ได้สร้าง ดิฉันนั่งฟังเทศน์อยู่แถวหน้าสุด นั่งตรงกับธรรมาสน์ของหลวงพ่อพอดี ใต้ธรรมาสน์ก็มี “พ่อโคล่า” องครักษ์ผู้ซื่อสัตย์ จงรักภักดีต่อหลวงพ่อซึ่งบัดนี้แกได้ดีเกิดดิฉันไปเสียแล้ว

    เขานอนฟังหลวงพ่อเทศน์อยู่ ฟังไปๆ ประเดี๋ยวก็เกาขยุกขยิกไปมาเสียทีหนึ่ง เขาเป็นสุนัขไร้ขน ผิวหนังตลอดร่างของเขาเป็นสีชมพูเพราะรอยเกา เห็บตัวหนึ่งโตเท่าเม็ดลูกหยีเม็ดโป้ง เกาะแน่นอยู่ที่ลำตัว เกาเท่าไรก็ไม่หลุดสักที ดิฉันฟังเทศน์ไปตาก็เกาะอยู่ที่เม็ดลูกหยีไป ด้วยความรำคาญแทนพ่อโคล่า ใจอยากไปช่วยแกะออกเป็นกำลัง แต่ถึงอย่างไร แม้มีโอกาสแกะ ก็คงจะแกะไม่ได้

    เพราะพ่อโคล่าแกดุ แกจะได้งับเอาปะไร เมื่อหลวงพ่อท่านเทศน์จบ เสร็จภารกิจแล้ว ท่านก็ออกจากศาลาพระพินิจเดินไปหน้าโบสถ์ พวกเราบางส่วนพร้อมพระบางองค์ก็เดินตามท่านไป นัยว่า ท่านจะได้ตรวจสถานที่ที่จะสร้างศาลา ๒ ไร่ ในช่วงจังหวะหนึ่ง ท่านมีเมตตาหันมาทักทายดิฉัน ดิฉันก็ถือโอกาสกราบเรียนหลวงพ่อว่า “หลวงพ่อเจ้าคะ โคล่านี่ เขาเป็นขี้เรื้อน”

    “เออ...” ท่านรับคำ “รักษาไม่หาย”
    ดิฉันก็ต่อว่าท่านในใจ สวนขึ้นมาในใจทันที ไม่รั้งรอว่า “ก็หลวงพ่อไม่พาไปฉีดยานี่ จะหายได้ยังไง”
    “เฮ้ย!” เสียงหลวงพ่อร้องดัง ดิฉันสะดุ้งโหยง “ฉีดยาหลายหนแล้ว ไม่หาย มันกฎของกรรม”

    นึกขึ้นมาทีไร ยังอายตัวเองไม่หาย เราหนอเรา ทำไมมันช่างโง่ยังงี้ช่างไม่รู้เสียเลยว่า “เจโต” ของพระเดชพระคุณท่าน ไวยิ่งกว่าสายฟ้าแลบ ต่อจากนั้นอีกไม่ถึงเดือน ดิฉันติดตามหลวงพ่อท่านไปสงเคราะห์ศิษย์ที่คลองวาฬ ประจวบคีรีขันธ์ พักอยู่ที่บ้าน พ.ต.อ.พิเศษ เล็ก และคุณรศนา ฟอร์ตี้ ซึ่งมีบ้านพักและบริเวณกว้างขวางมาก พวกเราติดตามหลวงพ่อท่านไปหลายสิบคน

    โดยการถวายค่าอาหาร ค่าน้ำประปา เป็นพิเศษ มิให้เป็นภาระแก่สงฆ์และท่านเจ้าของบ้าน ตลอดเวลากลางวัน มีชาวบ้านและศิษย์ในถิ่นใกล้เคียงนั่น มาทำบุญและรับคำสอนจากท่านมากมาย ตอนทุ่มหนึ่งมีการฝึกมโนมยิทธิทุกวัน พวกเรามีเวลาทำกรรมฐานกันได้มาก ดิฉันเคยได้ทราบเรื่องราวของคุณรัชนี เจนรถาว่า ท่านพ่อท้าวเวสสุวรรณท่านเคยลงฤทธิ์ที่มือให้จนแดงจัด

    ก็สงสัยว่าคุณรัชนีเอามือนั้นไว้ทำอะไร ตัวเองก็อยากรู้อยากได้บ้าง ก็ใช้วิชามโนมยิทธิไปกราบท่าน ยังไม่ทันได้พูดอะไร ท่านก็เมตตาลงฤทธิ์ให้ที่มือขวา พร้อมกับสั่งให้ไปรักษาลูกชายซึ่งขณะนั้นดิฉันไม่ทราบเลยว่าเขาถูกไสยศาสตร์ ท่านบอกจึงรู้ วันรุ่งขึ้นต่อมา รู้สึกมือขวาชาเล็กน้อย แล้วก็ค่อยๆ ชาเพิ่มขึ้นจนกระทั่งจากมือขวาไปมือซ้าย ในที่สุดมือทั้งสองก็ไม่มีแรง จะหวีผมก็จับหวีไม่ได้

    หิวน้ำก็จับแก้วน้ำไม่ได้ นิ้วไม่มีแรงยึด ต้องใช้ส้นมือทั้งสองประคองแก้วน้ำเอาไว้จึงดื่มน้ำได้ย่างเข้าวันที่สาม มือขวายกไม่ขึ้น ห้อยตุกติกเหมือนคนเป็นง่อย รู้สึกใจไม่ดี จึงเข้าไปกราบเรียนหลวงพ่อให้ทราบ เล่าด้วยว่าท่านพ่อท้าวเวสสุวรรณท่านลงฤทธิ์ให้ที่มือขวา หลวงพ่อท่านตอบสวนขึ้นมาทันทีเลยว่า “ก็แกไม่รับปากตามที่เขาสั่งนี่ ไปรับปากกับเขาเสียไป๊ แล้วก็หาย”

    ดิฉันไม่ได้เล่าให้หลวงพ่อท่านฟัง ว่ารับปากหรือไม่รับปากเพราะดิฉันเองก็ไม่รู้ว่าจะต้องรับปาก ไม่ได้นึก หรือนึกไม่ถึงเสียด้วยซ้ำ แล้วหลวงพ่อท่านทราบได้อย่างไร ดิฉันก็เลยไปกราบขอขมาท่านพ่อท้าวเวสสุวรรณ แล้วรับปาก ปรากฏว่าออกจากกรรมฐานไม่กี่ชั่วโมง อาการที่เป็นก็ค่อยๆ หายไป เหมือนไม่เคยเป็นมาก่อนเลย เหลือเชื่อจริงๆ

    ต่อมาอีกครั้ง ตอนนั้นหลวงพ่อท่านเพิ่งจะค่อยยังชั่วจากการอาการหนัก ดิฉันทุกข์ใจ กังวลกับอาการป่วยของท่านตลอดเวลา วันหนึ่งเจริญพระกรรมฐานในตอนหัวค่ำ นั่งอยู่คนเดียวในห้อง ดับไฟด้วย ขึ้นไปกราบองค์สมเด็จ กราบท่านผู้มีพระคุณ กราบหลวงปู่ปาน แล้วก็กราบหลวงพ่อ แปลกจริงๆ เห็นหลวงปู่ปานท่านสว่างไสว แต่ทำไมหลวงพ่อท่านมัวหมอง ทั้งๆ ที่เป็นการเห็นในขณะเดียวกัน ใจก็กังวลว่า หลวงพ่อท่านเป็นอะไรหรือเปล่าหนอ

    เพียงเท่านั้น จิตดิฉันพุ่งกลับทันทีโดยอัตโนมัติ ด้วยรู้สึกว่าเบื้องล่าง มีใครคนหนึ่งยืนอยู่ใกล้ร่างดิฉันที่กำลังเจริญกรรมฐาน ในท่ามกลางความเงียบ ดิฉันได้ยินเสียงเป่ายานัตถุ์ ยาว..ได้ยินถนัดชัดเจนทั้งสองหู สาบานได้ หลวงพ่อ! เสียงเป่ายานัตถุ์อย่างนี้..หลวงพ่อ ลืมตา ลุกทะลึ่งพรวด หันรีหันขวางในความสลัว มองความไปรอบตัว มีแต่ความว่าง ไม่มีใครสักคน ไม่มีก็ไม่มี นั่งลงใหม่ สงบใจ

    แล้วพุ่งจิตขึ้นไปอีกไปกราบหลวงพ่ออีกครั้ง คราวนี้ภาพท่านชัดแจ๋วเลย ท่านยิ้มด้วย ถ้าใครไม่เชื่อ ก็จนใจจะอธิบายจริงๆ วันหนึ่ง หาโอกาสไปเล่าให้ท่านฟัง เลือกเอาช่วงเวลาที่มีคนน้อยหน่อย ท่านเมตตาเล่าให้ฟังว่า เวลาที่พวกลูกๆ เจริญพระกรรมฐาน หากนึกถึงท่าน ท่านจะรู้ทันที ดิฉันก็เลยถามท่านว่า “ถ้าเช่นนั้น หลวงพ่อก็ไปหาลูกจริงๆ”

    ท่านหัวเราะ พูดเล่นๆ ว่า “เออ..ถ้าเสียงไป ตัวก็ไปด้วยซีหว่า”
    อีกคราวหนึ่งที่บ้านสายลม ตอนใกล้ค่ำ ระหว่างรอหลวงพ่อลงสอน พวกเรานั่งเบียดกันจนเข่าแทบจะเกยกัน เนื่องจากต้องรอนาน ก็อดคุยกันไม่ค่อยได้ ส่วนใหญ่ก็หนีไม่พ้นเรื่องของการปฏิบัติ กลุ่มดิฉันเป็นกลุ่มคนแก่ อายุรวมกันก็ได้หลายร้อยปี ก็คุยกับเขาเหมือนกัน ตอนหนึ่ง มีอยู่ ๒ – ๓ ท่านที่ดิฉันเคารพเรียกท่านเป็นพี่ เกิดพร้อมใจสนับสนุนให้ดิฉันคุยเรื่องอาหาเรปฏิกูลสัญญา

    ท่านบอกว่าดีกว่าอยู่เปล่าๆ ดิฉันก็ร้องไม่ไหวละ ประเดี๋ยวหลวงพ่อท่านก็ลงมาสอนเองแหละ พอได้เวลา ๑ ทุ่ม หลวงพ่อท่านก็ลงบันไดมา พอประตูซึ่งเป็นห้องแอร์เปิด พวกเราทั้งหมดก็ก้มลงกราบ กราบไม่ถึงพื้นด้วยซ้ำ เพราะคนแน่นเหลือเกิน ประเดี๋ยวหนึ่งหลวงพ่อท่านก็พูดขึ้นมาลอยๆ ว่า “เอ.. วันนี้จะสอนอะไรดีน้า เอาอะไรดีล่ะ อาหาเรปฏิกูลสัญญาดีมั้ย” พวกเรามองตากัน นึกแล้วเชียว

    อีกหนหนึ่ง ที่เก่าเวลาเดิมนี่แหละ ระหว่ารอเวลาหลวงพ่อท่านลงสอนกรรมฐานตามเคย พี่ๆ ที่เคารพ เกิดจะให้ดิฉันคุยฆ่าเวลาเรื่องอริยสัจสี่ ขึ้นมาอีก ท่านสนับสนุนให้คุย แล้วท่านก็หัวเราะ พูดเองเออเองว่า “ประเดี๋ยวหลวงพ่อท่านก็ลงมาสอนเองแหละ” ประเดี๋ยวหนึ่ง ได้เรื่องเลย เสียงออดดังขึ้น แสดงว่าได้เวลาที่หลวงพ่อท่านจะลงสอนแล้ว พอประตูเปิด ท่านก็เดินเข้าในห้อง พวกเราก้มลงกราบ

    ท่านพูดหัวเราะๆ ขึ้นมาทันทีเลยว่า “วันนี้จะสอนอะไรดีล่ะ อริยสัจสี่เอามั้ย เมื่อกี้ลงบันไดมา บันไดบอก” ก็ขนาดพวกเรานั่งติดๆ กันเต็มห้อง ต่างคนต่างคุย แม้จะคุยกันเบาๆ แต่คนเป็นร้อยเป็นพัน เสียงรวมกันแล้ว ก็เซ่งแซ่ ไม่รู้เรื่องอะไรเป็นอะไร ฟังรู้เรื่องเฉพาะ ๒ – ๓ คนที่นั่งติดกันเท่านั้น พอลงนั่งแล้ว เรื่องลุกไปไหนไม่ต้องพูดถึง เรื่องเข้าห้องน้ำก็ไม่ต้องพูดถึง ลงนั่งแล้ว เป็นหมดสิทธิ์ลุก

    แล้วหลวงพ่อท่านพักผ่อนอยู่ชั้นบน ท่านรู้ได้อย่างไร? กลุ่มคนแก่ มองตาแล้วยิ้ม เดี๋ยวนี้หายโง่ไปเยอะ รู้แล้วอะไรเป็นอะไร คืนนั้นได้ฟังเทศน์เรื่องอริยสัจสี่สมใจ หลวงพ่อท่านเทศน์ให้เราฟังแบบง่ายๆ ให้เรารู้ทุกข์ รู้เหตุแห่งทุกข์ และรู้ทางลัดเพื่อตัดตรงไปพระนิพพานจุดเดียว หลายปีมาแล้ว เมื่อคราวที่หลวงพ่อท่านอาเจียน และถ่ายท้องอย่างหนักจนฟุบกับโถส้วม และได้มรณภาพไปในห้องน้ำ

    เป็นที่ทราบกันดีในหมู่ศิษย์เก่าๆ ครั้งนั้นเมื่อพวกเราได้ทราบก็ร้องไห้กันระงม ด้วยคิดว่าร่มโพธิ์แก้วของพวกเราได้ล้มโค่นลงแล้ว ครั้นเมื่อท่าน “ต้องฟื้น” “ต้องกลับ” ลงมาใหม่ ดิฉันก็ตั้งจิตอธิษฐานว่า หากแม้นหลวงพ่อท่านจะเป็นดังนั้นอีก ลูกขอรับเอาไว้เองทั้งหมด เพื่อทดแทนพระคุณท่าน แม้ทดแทนด้วยชีวิตก็ยอม

    หลังจากนั้นไม่นาน ดิฉันปวดท้องอย่างหนักในตอนดึก ปวดอย่างแสนสาหัสในชีวิต ดิฉันรีบเข้าห้องน้ำ ทั้งท้องเสียและอาเจียนอย่างรุนแรง ในที่สุดดิฉันก็หมดสติ ฟุบอยู่กับโถส้วม บังเอิญในคืนนั้น พี่สาวดิฉันซึ่งอดีตเป็นพยาบาล เธอไปค้างด้วย แต่นอนคนละห้อง เธอเข้าห้องน้ำไปพบเข้า เธอก็ปฐมพยาบาล รอดชีวิตมาได้ครั้งนั้น ดูเหมือนจะไปป่วยอยู่ในโรงพยาบาลหลายวัน

    จึงรู้แน่ชัดด้วยตนเองว่าที่หลวงพ่อท่านป่วยมาก มีทุกขเวทนามากในการป่วยแต่ละครั้งซึ่งมีบ่อยนั้น ท่านมีทุกขเวทนาสาหัสขนาดไหน ถ้าเราเป็นท่านเราคงตายไม่ฟื้นมานานแล้ว ไม่พบด้วยตัวเองก็ไม่รู้ แม้กระนั้น ท่านก็ไม่เคยหยุดพักผ่อนเลยในชีวิต ยิ่งป่วยมากท่านก็ยิ่งสอนและทำงานเพื่อลูกๆ มากขึ้น ท่านทำทุกอย่างเพื่อช่วยลูกๆ คือพวกเราให้พ้นทุกข์ สอนในทุกวิถีทางเพื่อลูกๆ ได้หายโง่

    เราเห็นท่านยิ้มแย้มแจ่มใส เราก็คิดว่าท่านแข็งแรงสบายดี เราไม่รู้หรอกว่า เบื้องหลังความยิ้มแย้มแจ่มใสในขณะที่ท่านลงสอนเรานั้น ท่านได้อดทนรับเวทนาในร่างกายสาหัสสากรรจ์แค่ไหน พระคุณของพ่อ สุดแล้วที่ลูกจะพรรณนาได้ ลูกไม่มีอะไรจะตอบแทนพ่อได้เลย นอกจากปฏิบัติบูชาให้พ่อได้ชื่นใจ ให้พ่อได้ภูมิใจว่าลูกได้เจริญรอยตามคำสอนของพ่อแล้ว จะไม่ทำให้พ่อต้องหนักใจในตัวลูก

    ลูกจะมอบกาย ถวายชีวิตแด่องค์สมเด็จพระสัมมาสัมพุทธเจ้าตามที่พ่อพร่ำสอน ลูกจะทำทุกอย่างเพื่อพระนิพพานเป็นที่ไปในชาตินี้ ลูกขอสัญญา ขอข้อเขียนนี้ จงเป็นเสมือนดอกไม้ ธูปเทียน ที่ลูกบูชาพ่อ ขอเอาจิตกราบลงที่เท้าพ่อ ขออาราธนาบารมีคุณพระศรีรัตนตรัยและท่านผู้มีคุณทั้งหมดเป็นที่พึ่ง ได้โปรดพิทักษ์ปกปักรักษาพ่อของลูกให้มีร่างกายแข็งแรงโดยเร็วไว ให้พ่อของลูกได้อยู่เป็นร่มโพธิ์แก้วของลูกทุกคน นานๆ ด้วยเถิด..พระพุทธเจ้าข้า ควรมิควรแล้วแต่จะทรงพระเมตตา


    (จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่ม 2 หน้า 200-205)
     
  16. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    (จากหนังสือ " รวมคำสอนธรรมปฏิบัติ เล่ม 9 หน้า 516-525)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 4 ตุลาคม 2014
  17. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]
     
  18. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    DSC06549.jpg

    (จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่มพิเศษ หน้า 4)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 17 ตุลาคม 2020
  19. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    [​IMG]


    (จากธัมมวิโมกข์ เดือน เมษายน 2534 หน้า 5-15)
     
  20. Wannachai001

    Wannachai001 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    16 ตุลาคม 2011
    โพสต์:
    8,844
    กระทู้เรื่องเด่น:
    118
    ค่าพลัง:
    +225,735
    [​IMG]

    (จากหนังสือลูกศิษย์บันทึกเล่มพิเศษ หน้า 2)
     
    แก้ไขครั้งล่าสุด: 5 ตุลาคม 2014

แชร์หน้านี้

Loading...