ทาน-ศีล-ภาวนา หลวงตามหาบัว ญาณสัมปันโน

ในห้อง 'อภิญญา - สมาธิ' ตั้งกระทู้โดย jinny95, 15 พฤศจิกายน 2012.

  1. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    ทาน-ศีล-ภาวนา


    เทศน์งานพระราชทานเพลิงศพ

    ท่านพระครูวิมลญาณวิจิตร ( หลวงปู่บุญ ชินวํโส)

    ณ วัดป่าศรีสว่างแดนดิน อ.สว่างแดนดิน จ. สกลนคร

    เมื่อวันที่ ๑๗ กุมภาพันธ์ พุทธศักราช ๒๕๓๓



    นโม ตสฺส...............(๓ หน)

    ทานํ เทติ สีลํ รกฺขติ ภาวนํ ภาเวตฺวา เอกจฺโจ สคฺคํ คจฺฉติ เอกจฺโจ โมกฺขํ คจฺฉติ นิสฺสํสยนฺติ.

    วันนี้เป็นวันสำคัญสำหรับเราทุกๆ ท่าน ไม่เว้นแม้รายเดียวว่าจะไม่เป็นเช่นดั่งวันนี้ คือวันนี้เป็นวันพระราชทานเพลิงศพของท่านพระครูวิมลญาณวิจิตร หรือท่านอาจารย์บุญ ท่านได้มรณภาพล่วงไปแล้ว วันนี้กำหนดจะพระราชทานเพลิงคือเผาศพท่าน บรรดาพี่น้องทั้งหลายได้มาจากทางใกล้ทางไกลทั้งพระและฆราวาส ได้มาปลงธรรมสังเวชในเหตุที่สุดวิสัย ซึ่งเราทั้งหลายจะต้องเล็ดลอดไปได้ไม่มีแม้แต่รายเดียว วันนี้จึงได้มาปลงธรรมสังเวช เพื่อได้นำธรรมเหล่านี้เข้ามาพิจารณาเป็นคติเครื่องเตือนใจของชาวเราทั้งหลาย ว่าวันหนึ่งๆ เรารายใดรายหนึ่งจะต้องเป็นอย่างนี้แน่นอนไม่สงสัย เพราะฉะนั้น ในขณะที่เรามีชีวิตอยู่นี้ควรจะทำสิ่งใดซึ่งเป็นประโยชน์แก่ตนและโลกทั่วๆ ไป ก็ให้พึงขวนขวายในสิ่งที่เป็นประโยชน์แก่ตนและโลกเท่านั้น อย่าเสาะอย่าแสวงอย่าดิ้นรนกระวนกระวายในสิ่งไม่ดีทั้งหลาย ซึ่งเป็นผลนำมาซึ่งความทุกข์ไม่อาจสงสัย

    เวลามีชีวิตอยู่พระพุทธเจ้าท่านสอนให้พวกเราทั้งหลายสร้างคุณงามความดี ดังภาษิตที่ได้ยกขึ้นไว้ ณ เบื้องต้นนั้นว่า ทานํ เทติ บรรดาชาวพุทธที่รู้จักตนจึงพยายามสร้างคุณงามความดีทั้งหลาย มีการให้ทานเป็นพื้นฐานของมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน การให้ทานเป็นการเสียสละวัตถุสิ่งของเงินทองสติปัญญากำลังวังชาของเรา มีมากมีน้อยเฉลี่ยเผื่อแผ่แก่เพื่อนมนุษย์และสัตว์ทั่วๆ ไป ให้ได้รับความสุขทั่วหน้ากัน นี่เรียกว่าทาน ทานคือการเสียสละนี้เป็นธรรมสำคัญประจำกับมนุษย์ที่เป็นสัตว์สังคม คืออยู่คนเดียวไม่ได้ เป็นผู้ขี้ขลาดที่สุดก็คือมนุษย์ของเรา จะอยู่คนเดียวตัวเดียวเหมือนสัตว์บางประเภทเช่นแมวเป็นต้นก็อยู่ไม่ได้ ต้องวิ่งหาหมู่หาเพื่อนหาญาติหาวงศ์ขวักไขว่ และตั้งบ้านตั้งเรือนตั้งครอบครัวตำบลอำเภอจังหวัดมณฑลประเทศชาติขึ้นมาเป็นกลุ่มๆ นี่คือมวลมนุษย์ต้องอยู่รวมกันเพราะอยู่คนเดียวไม่ได้

    เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงควรเห็นโทษแห่งความขี้ขลาดของตน ที่ต้องอาศัยเพื่อนฝูงอยู่ การอาศัยเพื่อนมนุษย์ ธรรมที่มีประจำเพื่อนมนุษย์ก็คือทานการเสียสละต่อกัน ความไม่เห็นแก่ตัว ความไม่โลภจนน่าเกลียด ความไม่ตระหนี่ถี่เหนียว ความให้อภัยกัน ความเมตตาสงสารซึ่งกันและกัน นี้เป็นธรรมประจำมนุษย์ที่อยู่ร่วมกัน ขอให้เราทั้งหลายซึ่งเป็นลูกตถาคตได้แก่ ชาวพุทธ ได้นำไปปฏิบัติต่อกัน ไม่ว่าวงแคบวงกว้างตลอดทั่วถึงด้วยอำนาจแห่งทานคือการเสียสละนี้ นอกจากจะเป็นประโยชน์แก่ผู้อื่นแล้ว ยังย้อนกลับเข้ามาเป็นสารคุณอันสำคัญประจำตนอีกด้วย ท่านเรียกว่าทานบารมี คนที่จะมีความสุขความเจริญไปที่ไหนไม่อดอยากขาดแคลน ย่อมเป็นไปจากความเป็นผู้มีจิตใจกว้างขวางให้ทานเสียสละนี้แลเป็นสำคัญ นี่เป็นข้อที่ ๑

    ข้อที่ ๒ ศีล คือการรักษาความเรียบร้อย ความสวยงาม ความสงบร่มเย็นต่อกัน ระหว่างมนุษย์อยู่ด้วยกัน ตลอดสัตว์ทั่วไปให้รักษาศีล ศีลแปลว่าอะไร ถ้าแปลตามศัพท์แล้ว ศีลนั้นก็แปลว่าหิน หินเป็นอย่างไร หินมีความแน่นหนามั่นคงมาก แม้แต่ก้อนเล็กๆ เราจะเอาไม้ไปทุบไปตีก็ไม่แตก ต้องเอาสิ่งที่แข็งเหมือนกันไปทุบไปตบไปต่อยไปทำลาย หินที่แข็งๆ นั้นจึงจะแตกกระจายออกไปได้ นี่ก็เหมือนกัน เราเป็นชาวพุทธให้มีจิตใจแน่นหนามั่นคงเช่นเดียวกับหิน คือแน่นหนามั่นคงต่อศีลต่อธรรมต่อคุณงามความดี ต่อพระโอวาทคำสั่งสอนของพระพุทธเจ้า

    เพราะคำว่าศาสนธรรมของพระพุทธเจ้านั้น ทรงสั่งสอนเพื่อความสงบสุข เพื่อความเจริญรุ่งเรืองทั้งภายในจิตใจและทางกายวาจาความประพฤติ ทุกอย่างให้เป็นความดีงามไปตามๆ กัน ท่านจึงเรียกว่าศีล แปลว่าความมั่นคง เชื่อบุญ เชื่อกรรม เชื่อนรกเชื่อสวรรค์ เชื่อพรหมโลกนิพพาน ว่าเป็นของมีอยู่ดั้งเดิมตามหลักศาสนธรรมที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนั้น สิ่งใดที่เป็นภัยแก่ตนซึ่งจะฉุดลากลงไปทางต่ำ เช่นตกนรกหมกไหม้เป็นต้น สิ่งนั้นอย่าได้พากันทำ เราเองก็ทำความเหนียวแน่นภายในจิตใจของเราว่าจะไม่ทำ ถึงชีวิตจิตใจสังขารร่างกายจะแตกสลายลงไปก็ตาม แต่ความมั่นคงในศีลในธรรมนี้ไม่ยอมให้พลัดพรากจากจิตใจของเราไป นี่เรียกว่าศีล แปลว่าความเหนียวแน่นมั่นคง หรือแปลว่าหิน

    ทำตัวของเราให้เป็นเหมือนหินแท่งทึบ เหมือนภูเขาทั้งลูก อย่าได้หวั่นได้ไหวต่อความชั่วช้าลามกที่ยุแหย่ก่อกวนอยู่ภายในจิตใจเรา ชักชวนเราให้ทำความชั่วอยู่ตลอดเวลา ให้เราพึงระมัดระวังเวลาสิ่งเหล่านี้มายุแหย่มากระซิบกระซาบภายในจิตใจ เราทำแต่คุณงามความดี คำว่าศีลจึงเป็นสิ่งที่สวยงามสำหรับมนุษย์เรา บุคคลผู้ใดมีศีลผู้นั้นย่อมสวยงาม การประพฤติตัวก็งาม พูดจาก็ไม่โกหกเหลวไหลไม่หลอกลวง พูดมีความสัตย์ความจริงต่อกัน

    ศีลเฉพาะฆราวาสเราไปที่ไหนท่านก็ประกาศเสมอ สักครู่นี้ก็ประกาศเรื่องศีล อาราธนาศีล ขอศีล คือขอคำแนะนำสั่งสอน วิธีปฏิบัติ ว่าจะปฏิบัติอย่างไรถึงจะเป็นศีลที่ถูกต้องดีงาม จากนั้นพระท่านก็ประกาศศีลออกมา เราทั้งหลายก็พากันรับศีลตามความนิยมว่า ท่านให้ศีล ความจริงท่านประกาศเป็นสักขีพยานให้เราทั้งหลายได้ยึดจากปากจากคำของท่าน แล้วนำไปปฏิบัติตัวตามศีลด้วยความมั่นใจ ศีลนั้นท่านสอนไว้เป็นข้อๆ ว่า ปาณาฯ อทินนาฯ กาเมสุ มิจฉาจาร มุสาฯ สุราฯ ๕ ข้อนี้เป็นธรรมจำเป็นสำหรับฆราวาสผู้ครองเรือนจะประพฤติปฏิบัติต่อตัวเองและส่วนรวม

    ผู้ทั้งให้ทานด้วย ทั้งรักษาศีลด้วย ย่อมเป็นผู้สร้างคุณงามความดีความร่มเย็นไว้แก่ตนโดยสม่ำเสมอ คนมีศีลมีธรรมไปที่ไหน ไม่มีใครรังเกียจ มีแต่ผู้รักผู้ชอบใจผู้เทิดทูนผู้เคารพนับถือ ไม่ว่าเด็กไม่ว่าผู้ใหญ่ ไม่ว่าคนจนคนรวยคนโง่คนฉลาดคนมั่งมีศรีสุขขนาดไหนประการใด ขอให้มีศีลอยู่ภายในกายวาจาใจของตนเถิด ผู้นั้นเป็นผู้มีทรัพย์สมบัติภายในอันสำคัญติดตัว ไปที่ไหนสวยงาม มีแต่คนอยากคบค้าสมาคมไม่มีใครรังเกียจ นี่เป็นข้อที่ ๒

    ที่กล่าวไว้เบื้องต้นว่า ทานํ เทติ คนใจบุญย่อมหนักแน่นในทาน ย่อมหนักแน่นในการรักษาศีล ย่อมสนใจใคร่ต่อการภาวนารักษาจิตใจของตนให้สงบร่มเย็น ใจที่มีความสงบ ย่อมเป็นใจที่มีความสุขและผ่องใสอยู่ภายใน ผลแห่งการปฏิบัติธรรมทั้ง ๓ ประการนี้ สำหรับผู้บำเพ็ญท่านว่า เอกจฺโจ สคฺคํ คจฺฉติ บางพวกย่อมไปสวรรค์ เอกจฺโจ โมกฺขํ คจฺฉติ บางพวกย่อมก้าวขึ้นสู่นิพพาน นิสฺสํสยํ โดยไม่ต้องสงสัย

    เพราะธรรมะของพระพุทธเจ้าท่านประกาศเป็นสวากขาตธรรม คือตรัสไว้ชอบแล้วตั้งแต่วันตรัสรู้จนกระทั่งวันปรินิพพาน และประทานพระโอวาทให้แก่บรรดาพุทธบริษัททั้งหลายมีพวกเราเป็นต้น ได้ประพฤติปฏิบัติดำเนินตามท่านมาตั้งแต่บัดนั้นจนกระทั่งบัดนี้ ถ้าผู้ใดมีความสนใจใคร่ต่อการประพฤติปฏิบัติธรรมเรื่อยๆ ไป ผู้นั้นก็ชื่อว่าเป็นผู้สั่งสมคุณงามความดี บุญบารมีมากมูลสมบูรณ์พูนผลขึ้นที่ใจของตนโดยลำดับ บุญเป็นธรรมชาติที่ให้ความสุข เมื่อบุญมีความสมบูรณ์พูนผลขึ้นภายในจิตใจเพียงไร ก็เท่ากับว่าส่งเสริมความสุขความเจริญให้มีขึ้นภายในจิตใจมากเพียงนั้น

    ในธรรม ๓ ข้อที่ได้ยกขึ้นในเบื้องต้นแห่งภาษิตของการแสดงธรรมวันนี้ แสดงให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบถึงคุณค่าแห่งธรรมทั้ง ๓ ประเภทนี้ว่า ทานํ เทติ ให้เป็นผู้หนักแน่นในการทำบุญให้ทาน อย่าลดละ อย่าตระหนี่ถี่เหนียว และเป็นผู้มีความรักใคร่ในศีล พยายามรักษาศีลของตนให้ดี เหล่านี้ล้วนแล้วแต่เป็นคุณงามความดีที่จะสนับสนุนจิตใจเรา และการภาวนายิ่งเป็นธรรมสำคัญมาก

    วันนี้จะได้อธิบายถึงภาคจิตตภาวนาให้บรรดาพี่น้องทั้งหลายฟัง ซึ่งมีพระผู้สนใจทางด้านธรรมปฏิบัติเรียกว่า พระธุดงคกรรมฐาน มาสู่สถานที่นี่จำนวนร่วมพันองค์ ได้ถามดูแล้วเมื่อสักครู่นี้ พระเณรที่มารวมในงานนี้ล้วนแต่ท่านผู้ชอบอยู่ในป่าในเขาเจริญภาวนา ถึงกาลเวลาที่ควรจะมาแสดงความสลดสังเวช ด้วยความเคารพนับถือความจงรักภักดีต่อครูบาอาจารย์ และมาปลงธรรมสังเวชเพื่อเป็นคติในเรื่องความเป็นความตายแก่ตน ท่านก็ออกมาจากสถานที่ต่างๆ ซึ่งอยู่ในป่าในเขาลำเนาไพรโน้น และเป็นโอกาสอันดีที่จะได้ยินได้ฟังธรรมเทศนาในเวลาเดียวกัน

    เพราะฉะนั้นจึงเป็นโอกาสที่เหมาะสมมาก ที่จะได้แสดงธรรมให้บรรดาพระเณรลูกหลานตลอดลูกหลานทุกท่าน ได้ยินได้ฟังอรรถธรรมตามสมควรแก่กาลเวลาในวันนี้ เพราะหลวงตาบัวปกติก็มีความยุ่งยากวุ่นวายอยู่เสมอ ก็ไม่วุ่นวายกับอะไรแหละ จะว่าวุ่นวายอยู่กับสวรรค์หรือมรรคผลนิพพานหรือก็ มรรคผลนิพพานท่านไม่ใช่เป็นของวุ่นวายพอที่จะให้ความทุกข์แก่ผู้ใด แต่เราก็วุ่นวายอยู่กับลูกศิษย์ลูกหานั่นแล ทั้งพระทั้งเณรทั้งใกล้ทั้งไกลเข้าในออกนอก ไปมาอยู่ตลอดเวลา อยู่ในวัดในวาก็ดีออกนอกวัดก็ดี มีแต่ความยุ่งวุ่นวายไปตลอด จึงไม่ค่อยมีเวลาที่จะได้มาพบปะกับพี่น้องทั้งหลาย สำหรับวันนี้เป็นโอกาสอันดีงามพอสมควรจึงได้มาสถานที่นี่ และได้ให้โอวาทแก่พระลูกหลานและญาติโยมทั้งหลายได้ฟังและนำไปพินิจพิจารณาในข้ออรรถข้อธรรมที่แสดงมาแล้วก็ดี ที่กำลังจะแสดงต่อไปนี้ก็ดี เพื่อเป็นสิริมงคลแก่เรา โดยถือเอาเหตุคืองานพระราชทานเพลิงศพของท่านพระครูวิมลญาณวิจิตรซึ่งมีขึ้นในวันนี้เป็นประมาณ

    เราทั้งหลายที่ได้มารวมกันอยู่ในสถานที่นี่ ล้วนแล้วแต่เป็นผู้มีใจบุญใจกุศล คนมีบุญย่อมเยือกเย็น จิตใจชุ่มชื่นเบิกบานด้วยคุณงามความดี แม้มีชีวิตอยู่ก็ชุ่มเย็น ตายไปแล้วก็ไปสถานที่ดี สู่คติที่มีความสุขความเจริญ ไม่หม่นหมอง ไม่ได้รับความทุกข์ความทรมาน จึงขอให้พากันสร้างคุณงามความดีเสียตั้งแต่เวลาที่ยังมีชีวิตอยู่นี้ เวลาตายแล้วไม่ว่าเป็นนักปราชญ์ไม่ว่าเป็นคนพาล ไม่ว่าเป็นคนโง่คนฉลาด คนดีคนชั่ว คนมั่งมีศรีสุขประการใด อันร่างกายนี้ย่อมหมดหวังด้วยกันทั้งนั้น

    เวลานี้กำลังใช้งานได้ก็ขอให้พากันได้นำไปใช้ในทางที่ถูกที่ดี พาสร้างพาขวนขวายการทำมาหาเลี้ยงชีพและสร้างคุณงามความดี ได้แก่การให้ทานรักษาศีล ภาวนา อย่าได้ประมาท เพราะชาติที่เกิดตายๆ นี้มันน่าอิดหนาระอาใจเหลือกำลังที่น่าจะอิดหนาระอาใจแล้ว ถ้าเรามองย้อนหลังแห่งความเป็นมาของเราได้บ้าง จะทำให้เกิดความสลดสังเวชมากมายทีเดียว เพราะเกิดในชาติใดภพใด ย่อมมีทุกข์ติดตามในภพนั้นชาตินั้นตลอดไป นอกจากอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลที่เราขวนขวายในเวลามีชีวิตอยู่นี้เท่านั้น จะคอยฉุดคอยลากคอยดึงคอยบรรเทาความทุกข์ทั้งหลายไม่ให้ทรมานมากไป คอยบรรเทาความเป็นไปของเราให้เป็นไปด้วยความราบรื่นดีงาม เพราะอำนาจแห่งบุญแห่งกุศลนี้ ที่เราทั้งหลายจะพึงขวนขวายให้มากกว่าสิ่งอื่นใดในเวลามีชีวิตอยู่ เมื่อตายไปจะได้เป็นสุข

    ท่านว่า อนิจฺจา วต สงฺขารา คือสังขารร่างกายนี้ไม่ว่าของท่านของเรา เป็นสิ่งที่ไว้ใจไม่ได้ด้วยกันทั้งนั้น เริ่มเกิดมาก็เริ่มตายได้แล้ว แม้แต่อยู่ในท้องก็เริ่มตายได้แล้ว ตกคลอดออกมาก็เริ่มตายได้แล้ว มาเป็นเด็กเป็นผู้ใหญ่เป็นหญิงเป็นชาย ไม่ว่าเฒ่าแก่ชราไม่เฒ่าแก่ชราเริ่มตายได้แล้ว เริ่มตายได้แล้ว เพราะฉะนั้นมันถึงตายได้ทุกเพศทุกวัยไม่เลือกกาลสถานที่เวล่ำเวลาอะไรเลย เมื่อเป็นเช่นนั้นจึงไม่สมควรที่เราจะนอนใจกับสังขารร่างกายนี้

    แม้สมบัติเงินทองข้าวของจะมีมากน้อยเพียงไร เวลามีชีวิตอยู่ใจของเราก็เป็นอารมณ์ผูกพันกับสมบัติเงินทองข้าวของนั้น นำมาเป็นอารมณ์หล่อเลี้ยงจิตใจพอให้มีความสุขได้บ้าง ว่าเรามีเงินเรามีทองมีสิ่งของมีบ้านมีเรือน มีพ่อมีแม่มีพี่มีน้องมีสามีภรรยา มีญาติมิตรเพื่อนฝูง ก็พอให้อบอุ่นได้บ้างเป็นอารมณ์ของใจชั่วขณะๆ เท่านั้น ครั้นแล้วก็หาความแน่นอนไม่ได้ อารมณ์อันนี้ก็พังไปได้สลายไปได้ และสิ่งทั้งหลายเหล่านั้นก็พังไปได้สลายไปได้ แม้สิ่งเหล่านั้นไม่พังเราก็พังไปได้สลายไปได้

    จึงไม่มีสิ่งใดรอบตัวของเรานี้พอที่จะไว้อกไว้ใจได้ว่าไม่จากกัน เป็นด้วยกันตายด้วยกันถึงไหนถึงกันอย่างนี้ไม่มีในสิ่งทั้งหลายที่กล่าวมาเหล่านี้ มีแต่สิ่งที่ไว้ใจไม่ได้ จะต้องหันหลังให้กันวันหนึ่งโดยไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นท่านจึงสอนสิ่งที่ไว้ใจได้ให้พวกเราทั้งหลายได้ยึดได้ปฏิบัติบำเพ็ญ ได้แก่บุญได้แก่กุศล ทานก็ไว้ใจได้ ผลแห่งทานก็ไว้ใจได้ คือความสุขก็ไว้ใจได้ ศีลก็ไว้ใจได้ การเจริญเมตตาภาวนาก็ไว้ใจได้ พุทฺธํ ธมฺมํ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ก็ไว้ใจได้ เราภาวนาพุทโธๆ จะได้ชั่วระยะมากน้อยเพียงไรก็ไว้ใจได้ ตายใจได้กับคุณธรรมอันมีคุณมหาศาลเหล่านี้

    เพราะฉะนั้นจงทำจิตใจของตนให้ฝักใฝ่ต่ออรรถต่อธรรมที่ไว้ใจได้เหล่านี้ แนบสนิทติดกับใจอย่าได้ปล่อยได้วาง ผู้เป็นฆราวาสถ้าทำไม่ได้มากก็ให้ทำได้อย่างที่ว่านี้ วันหนึ่งๆ ขอให้ระลึกถึงความตายอย่างน้อย ๕ ครั้ง ก็ยังจะเป็นเบรกห้ามล้อความลืมตัวลืมตายได้พอประมาณ ถ้าเป็นรถก็จะไม่วิ่งจนเกินเหตุเกินผลตกหลุมลงคลองไปเสีย จะได้มีการยับยั้งบ้างว่านี้เป็นทางโค้ง นี้เป็นชุมนุมชน นี้เป็นทางแยก ๔ แยก ๓ แยก ก็จะได้รู้จะได้ชะลอรถไม่ให้พุ่งแรงเกินไป ซึ่งจะทำเจ้าของและผู้อื่นให้เป็นอันตรายไปด้วย เราจะได้รู้สึกตัวของเราว่าเราจะต้องตายในวันหนึ่งแน่นอน

    เพียงระลึกถึงความตายในวันหนึ่งๆ ๕ ครั้งเท่านี้ ไม่ได้มากก็ยังเป็นเครื่องสะดุดใจ ทำใจของเราให้ตื่นตัวได้ไม่หลงเพลินไปตามโลกตามสงสาร ซึ่งมีแต่มืดกับแจ้งเท่านี้มาแต่กัปไหนกัลป์ใด แต่ไม่พ้นที่สัตว์โง่จะต้องหลงไปตามมืดไปตามแจ้งนี้ และตั้งความหวังไว้ตลอดไป จนกระทั่งจะตายแล้วก็ยังหวัง หวังอยากได้ความสุขความเจริญ หวังอยากร่ำอยากรวย หวังอยากให้สมมักสมหมาย หวังทุกสิ่งทุกอย่าง หวังสมบัติเงินทองข้าวของ แม้เกิดมาไม่เคยมีเงินมีทอง เป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านเป็นโกฏิๆ ก็ยังหวังอยู่นั่นแล ไม่เคยมีเงินล้านก็หวังเงินล้าน ไม่เคยเป็นเศรษฐีก็หวังเป็นเศรษฐี แล้วตายทั้งๆ ที่ไม่สมหวัง ความหวังไม่ได้สนองเลยแม้แต่น้อย ก็ไม่เข็ดหลาบ คือมนุษย์ผู้โง่เขลาเบาปัญญานี้แล

    เพราะฉะนั้นจึงต้องเอาความตายนี้เข้าไปเกาะ จะได้ระลึกถึงสิ่งเหล่านี้ว่า หาความสมหวังไม่ได้ โลกอันนี้เป็นอย่างนี้ สิ่งที่สมหวังได้อย่างแน่นอนก็คือพุทโธเครื่องระลึกรู้ความตายและยับยั้งตนไม่หลงเพลินจนเกินไป ในโลกนี้มีแต่มืดกับแจ้งเท่านั้นเป็นสำคัญ ถ้าว่าหลวงตาบัวพูดโกหกก็ขอให้พี่น้องทั้งหลายได้ลืมตาขึ้นดู เวลานี้เป็นกลางวันแจ้งไหมสว่างไหม ตกกลางคืนมาค่อยลืมตาดูอีกว่ามืดไหม มืด ถ้าไม่เปิดไฟไม่จุดไฟแล้วต้องมืด แล้ววันพรุ่งนี้แจ้งไหม วันพรุ่งนี้ก็แจ้งอีกและวันต่อไปก็แจ้งอีก มืดอีกแจ้งอีก มืดอีกแจ้งอีก มากี่กัปกี่กัลป์แล้ว พวกเรายังไม่ทราบกันอยู่หรือ

    หากว่าเราจะนับ นับไม่ได้ก็คือมืดกับแจ้งนี้แล แล้วในขณะเดียวกันที่นับไม่ได้ก็คือความลุ่มหลงของเราที่วิ่งตามมืดกับแจ้ง วิ่งตามความหวังอันหาประมาณไม่ได้แต่ไม่สมหวังแม้รายเดียวเลยนี้แล สิ่งที่มากที่สุดก็คือความลุ่มหลงลมๆ แล้งๆ ที่เป็นอยู่ในหัวใจของเรานี่แล พระพุทธเจ้าจึงทรงสอนให้ยับยั้ง สอนให้เหยียบเบรกห้ามล้อ อย่าลืมเนื้อลืมตัว อย่างลืมมืดลืมแจ้ง อย่าหลงมืดหลงแจ้ง มันมีเท่านั้นแหละ อย่าลืมตัวคืออย่าเข้าใจว่าตัวนี้จะไม่ตาย วันหนึ่งจะต้องตาย เศรษฐีก็ต้องตาย คนจนต้องตาย ทุกคนๆ มีความตายได้ สัตว์ตายได้ โลกอนิจจังเป็นอย่างนี้ด้วยกัน มีความเสมอหน้ากันหมด

    เมื่อเราระลึกถึงความตายในวันหนึ่งๆ อย่างน้อย ๕ ครั้ง ความโลภของเราจะลดตัวลงไม่โลภเสียจนดูไม่ได้ เราเคยเห็นมิใช่หรือเขาประกาศทาง น.ส.พ. ป้างๆ อยู่ทุกวันนี้ คือความโลภมากไม่มีเมืองพอนั้นแหละ มันทำให้โลกฉิบหายให้โลกล่มจม ให้ชาติบ้านเมืองฉิบหายป่นปี้เพราะความโลภไม่มีประมาณ ดูเอาเรื่องความจริงมีอยู่อย่างนั้นแล้ว นี้เรานำเรื่องโทษแห่งความโลภมาให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบได้ฟัง ว่าเป็นผลดีอย่างไรแก่ผู้โลภ และเป็นผลดีอะไรแก่ผู้ได้รับความกระเทือนจากความโลภ มีแต่ผลชั่วมีแต่ความเสียหาย มีแต่ความทุกข์ทรมานทั้งนั้น เพราะฉะนั้นความโลภ จงอย่าให้มันมากเกินไป ถ้ามากเท่าไรก็ยิ่งทำลายเจ้าของและผู้อื่นมากขึ้นเพียงนั้น

    คนเราที่ระลึกความตายได้อยู่บ้างแล้วความโกรธก็จะไม่มาก เมื่อคิดพิจารณาแล้วเรื่องความตายเป็นเรื่องใหญ่โตมากยิ่งกว่าสิ่งทั้งหลายเหล่านี้ สามารถที่จะระงับสิ่งเหล่านี้ให้อ่อนตัวลงได้ แม้ไม่ดับก็ระงับตัวลงไป ความลุ่มหลงในสิ่งต่างๆ ก็จะไม่ลุ่มหลงมากเกินไป จนหาขอบเขตเหตุผลไม่ได้ดังที่เป็นมาและเป็นอยู่เวลานี้ เราจะมีวันรู้สึกเนื้อรู้สึกตัวบ้าง นี่ละธรรมสำหรับฆราวาสผู้ที่อยู่ครองบ้านครองเรือน ไปบวชเป็นพระเป็นเณรประพฤติปฏิบัติให้เต็มเม็ดเต็มหน่วยอย่างพระอย่างเณรท่านไม่ได้ ก็ให้ขวนขวายอยู่ในบ้านในเรือนของตน ย่อมจะเป็นสิริมงคลแก่ตนและส่วนรวมไม่มีประมาณ

    เพราะเครื่องมือที่จะทำคุณงามความดีไม่เอาอะไรมาทำ นอกจากกายจากวาจาจากใจของเรา กำลังวังชาของเรานี้เท่านั้น มาทำคุณงามความดีทั้งหลาย เช่นเดียวกับการสร้างบาปเราก็เอากายวาจานี้ไปสร้าง ฆราวาสก็สร้างบาปได้สร้างบุญได้ พระแม้จะบวชเป็นพระหัวโล้นๆ แล้วก็ตาม ผ้าเหลืองครอบตัวอยู่จนมองไม่เห็นตัว มองเห็นแต่ผ้าเหลืองก็ตาม ถ้าใจหยาบช้าลามกเสียอย่างเดียว พระเณรก็สร้างบาปได้ เป็นบาปได้ เป็นทุกข์ได้ ตกนรกได้เช่นเดียวกันหมด เพราะเรื่องบาปเรื่องกรรมนั้นไม่ลำเอียงแล้วแต่ผู้สร้าง ย่อมได้ทั้งบุญทั้งบาปตามอำนาจแห่งการกระทำของตน

    ผู้ที่ไม่มีโอกาสได้บวชเป็นพระเป็นเณรประพฤติปฏิบัติ ก็ให้สร้างตนให้เป็นคนดี อยู่ในบ้านในเรือนอยู่ในสังคมอยู่ที่ไหน ก็ให้ต่างคนต่างสร้างคุณงามความดี แล้วเอาคุณงามความดีเข้ามาคละเคล้ากันเป็นอย่างไร ของท่านก็เป็นคนดี ของเราก็เป็นคนดี เด็กก็เป็นเด็กดี ผู้ใหญ่ก็เป็นคนดี ผู้ชายก็เป็นเด็กดีผู้หญิงก็เป็นเด็กดี เอ้า สามีก็เป็นคนดี ภรรยาก็เป็นคนดี ไม่เหลาะแหละไม่คลอนแคลน มีความจงรักภักดีต่อกัน มีความซื่อสัตย์สุจริตต่อกัน มีขอบมีเขตต่อกัน ต่างคนต่างเป็นคนดีบวกกันเข้าจะเป็นความเย็น ในครอบครัวของเราก็เย็นเพราะสามีพาให้เย็น เพราะภรรยาพาให้เย็น

    ทุกวันนี้เรื่องราคะตัณหากำลังกำเริบเสิบสาน กำลังฉุดลากพวกเราทั้งหลายให้ต่ำลงเป็นสุนัขเดือน ๙ เดือน ๑๒ ให้พากันจำเอานะ สุนัขเดือน ๙ เดือน ๑๒ เป็นยังไง พอราคะตัณหากำเริบเต็มตัวแล้ว มันไม่รู้บ้านรู้เรือนรู้ขอบรู้เขตของตัวเลย มันวิ่งจุ้นจ้านหากัน ตัวเมียก็วิ่งหาตัวผู้ ตัวผู้วิ่งหาตัวเมีย ทั้งกัดทั้งฉีกทั้งเห่าทั้งหอนไม่มีกลางวันกลางคืน มีแต่ความอึกทึกครึกโครมอยู่ทำนองนั้น ความโหดร้ายทารุณก็เกิดขึ้นกับสุนัขตัวกำลังคึกกำลังคะนองในเวลานั้นโดยไม่อาจสงสัย พอราคะตัณหากำเริบเสิบสานเต็มที่แล้วสุนัขจะไม่รู้จักเจ้าของเลย กัดดะไปหมด บ้านเรือนไม่มาสนใจ วิ่งเพ่นพ่านไปได้ทุกซอกทุกมุมไม่เกรงกลัวอะไรทั้งสิ้น นั่นแลเมื่อราคะตัณหามันเกิดขึ้นมากๆ แล้วเป็นอย่างนี้ (นี่หมายถึงสุนัขทางภาคอีสานเราเป็นกันอย่างนี้แล)

    ที่นำเรื่องสัตว์มาเสดงให้ฟังนี้ เพื่อเป็นคติตัวอย่างแก่มนุษย์ที่เป็นชาวพุทธได้พิจารณาเป็นคติธรรมเครื่องเตือนใจจะได้ไม่หลงเพลินเกินไป เพียงสิ่งเหล่านี้เกิดขึ้นในสุนัขเท่านั้นก็ไม่น่าดู เหตุใดจะปล่อยให้มันรุ่มร่ามเข้ามาเกิดในคนเกิดในเรา เกิดในหญิงเกิดในชาย เกิดในระหว่างสามีภรรยา ไม่รู้ขอบเขตไม่รู้เหตุรู้ผลและทำลายศีลธรรมแหลกไปหมด ไม่มีผัวไม่มีเมียที่ศีลธรรมยอมรับ สวมได้สวมใส่ราวกับสัตว์กลางป่ากลางเขายุ่งไปหมด คนเราถ้าปล่อยให้ราคะตัณหาเกิดขึ้นมากๆ ไม่มียาคือศีลธรรมเป็นเครื่องรักษา ต้องเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้กันทั้งบ้านทั้งเมืองโดยไม่มีใครช่วยได้เลย

    ยาคือ กาเมสุ มิจฉาจาร ศีลข้อเด็ดขาด ถ้าไม่นำมาตัดความอยากอันลามกให้ขาดกระเด็น ให้รู้ว่าเป็นของเขาเป็นของเรา ให้รู้ว่านั้นผัวเขานี้เมียเราแล้ว อย่างไรโลกนี้ก็พินาศฉิบหายโดยไม่ต้องสงสัย เพราะฉะนั้นเราจึงต้องอาศัยศีลธรรมเป็นเครื่องกักกันเขตแดนไว้ให้รู้ว่านั้นเป็นเขตบ้านเขานี้เป็นเขตบ้านเรา นั้นเป็นสามีเขานี้เป็นสามีเรา นั้นเป็นภรรยาเขานี้เป็นภรรยาเรา นั้นเป็นลูกเขานี้เป็นลูกเรา ต่างคนต่างมีขอบมีเขตมีเหตุมีผลมีเขามีเรา มีสมบัติของเขาของเราย่อมไม่กระทบกระเทือนกัน ความเป็นผู้มีศีลอยู่ด้วยกันและต่างคนต่างรักษาอยู่เช่นนี้แล้ว บ้านใดเรือนใดเย็นหมด ครอบครัวเหย้าเรือนใดไม่ต้องถือว่าคนนี้มีเงินเป็นหมื่นๆ แสนๆ เป็นล้านๆ ขอให้ศีลธรรมเหล่านี้ครองบ้านครองเรือนครองหัวใจครองผัวครองเมียเถอะ เราทั้งหลายจะร่มเย็นไปตามๆ กันหมด
     
  2. jinny95

    jinny95 เป็นที่รู้จักกันดี

    วันที่สมัครสมาชิก:
    28 ตุลาคม 2007
    โพสต์:
    6,074
    กระทู้เรื่องเด่น:
    1
    ค่าพลัง:
    +9,666
    เราอย่าวิ่งเต้นหาสมบัติเงินทองจนลืมเนื้อลืมตัว ว่าเงินหมื่นเงินแสนเงินล้านจะพาคนมีความสุขความเจริญ จะพาคนมีหน้ามีตา อย่าคิดไปให้เสียเวล่ำเวลาจะลำบากและตายเปล่าๆ เพราะสิ่งเหล่านั้นไม่อาจทำคนให้สมหวัง ไม่อาจทำคนให้มีความร่มเย็นเป็นสุข ไม่อาจทำจิตใจของคนให้ฝากเป็นฝากตายกันได้ นอกจากศีลธรรมและศีลข้อ กาเมสุ มิจฉาจาร นี้เท่านั้น ที่จะปราบกิเลสตัวหาขอบเขตเหตุผลหาเวล่ำเวลาหาประมาณไม่ได้นี้ให้ยุบยอบลงไป กลายเป็นคนมีขอบเขตมีเหตุมีผลมีความสงบสุขเย็นใจได้ นี้แลคือบ่อเกิดแห่งความสุขความเจริญ บ่อเกิดแห่งสมบัติ ได้แก่มหาสมบัติคือความสุขอันยิ่งใหญ่ ที่เกิดในครอบครัวของผู้ปฏิบัติรักษาได้

    ส่วนสมบัติเงินทองเป็นหมื่นเป็นแสนเป็นล้านนั้น ถ้าเจ้าของเป็นผู้มีศีลธรรม สมบัติเหล่านั้นก็มาเป็นเครื่องเสริมให้คนดีนี้มีความสุขความเจริญ เพราะนำสมบัติเงินทองนั้นไปใช้ให้เกิดผลเกิดประโยชน์ ตามความฉลาดตามความมีธรรมของตน ถ้าเป็นผู้ชั่วเสียหายเสียอย่างเดียว เป็นผู้ทำลายศีลธรรมเสียอย่างเดียว เงินทองข้าวของเหล่านั้นก็กลับมาเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ให้แหลกเหลวไปหมด จึงอย่าเข้าใจว่าสมบัติเหล่านั้นจะทำความสุขความสมหวังให้บุคคลโดยถ่ายเดียว สิ่งที่ทำความทุกข์ความฉิบหายให้แก่คนผู้ไม่ฉลาดก็คือสมบัตินั่นแล ฉะนั้นจึงไม่มีอะไรเหนือธรรมคือความถูกต้องดีงามไปได้ ที่จะระงับดับความชั่วร้ายทั้งหลาย ให้เป็นความสงบเย็นในครอบครัวและส่วนรวม

    เราไม่เป็นนักบวชก็ตาม เราอยู่ในบ้านเราสร้างความดีเราก็เย็น เมียก็ให้รู้จักผัว ผัวให้รู้จักเมีย อย่าข้ามอย่าเกินอย่าลบหลู่ดูหมิ่นกัน ผู้ชายคนอื่นไม่ใช่ผัวของตน มีกี่หมื่นกี่แสนคนก็ตามนั้นไม่ใช่ผัวของเรา ไม่ใช่สมบัติของเราเราไม่สนใจไยดี เช่นเดียวกับเราเดินผ่านไปห้างร้านเขา สมบัติอยู่ในห้างร้านเขามีมากขนาดไหน นั่นเป็นสมบัติของเขา เป็นห้างร้านของเขา ไม่ใช่สมบัติของเราไม่ใช่ห้างร้านของเรา เราไม่แตะต้องเราไม่สนใจ นี้ก็เหมือนกันชายมีมากขนาดไหน หญิงมีมากขนาดไหนในโลกนี่ นั่นไม่ใช่ของเรา นั่นไม่ใช่สามีของเรา นั่นไม่ใช่ภรรยาของเรา เราไม่ยุ่ง ของเรามีคนเดียวและมีอวัยวะทุกส่วนครบสมบูรณ์บริบูรณ์แล้ว ไม่ว่าภรรยาไม่ว่าสามีไม่มีใครบกพร่อง มีสมบูรณ์ด้วยกัน เครื่องฝากเป็นฝากตายมีสมบูรณ์ด้วยกันแล้ว ให้มีความพอดีอยู่กับสิ่งเหล่านี้

    ท่านกล่าวไว้ว่า สนฺตุฏฺฐี ให้มีความพอดีอยู่กับภรรยาของตนนี้ และให้เด็ดขาดลงไปกว่านี้เพื่อความสงบร่มเย็นเป็นที่ตายใจกันได้อย่างแท้จริงก็คือ อปฺปิจฺฉตา เป็นผู้มักน้อยในอารมณ์เครื่องเสริมไฟ คือให้เป็นผู้มักน้อยในสามีภรรยา ให้มีเมียคนเดียวมีผัวคนเดียวนี้เท่านั้น ไม่มีอะไรเคลือบแฝงให้นอกเหนือไปจากนี้ มีผัวเดียวเมียเดียวเท่านั้น เป็นความตายใจและสงบเย็นต่อกันอย่างยิ่ง สิ่งนอกนั้นเป็นส่วนเกิน สิ่งนอกนั้นเป็นกาฝากเป็นผากต้นไม้ กาฝากกับผากนั้นเป็นอันเดียวกัน ภาคอีสานเรียกว่าผากต้นไม้ ภาคกลางเรียกว่ากาฝาก หรือภาษาทั่วไปที่เราใช้ในเมืองไทยนี้เรียกว่ากาฝาก

    นั่นเป็นหญิงกาฝาก นั้นเป็นชายกาฝาก นั้นเป็นผัวกาฝาก นั้นเป็นเมียกาฝาก ที่จะมากัดมากินดูดกลืนเอาเนี้อหนังในครอบครัวของเราให้เหือดแห้งลงไป และทำลายจิตใจของครอบครัวผัวเมีย ตลอดลูกเล็กเด็กแดงให้เป็นฟืนเป็นไฟไปตามๆ กัน จิตใจซึ่งเคยมีความสงบร่มเย็นต่อกันระหว่างสามีภรรยาต้องพังทลายลงไป ด้วยหญิงกาฝาก ด้วยชายกาฝากนั้นโดยไม่อาจสงสัย เพราะฉะนั้นจงพากันระมัดระวังให้มากเรื่องหญิงกาฝากชายกาฝาก ด้วยศีลธรรมอันดีงาม มีศีลข้อ กาเมสุ มิจฉาจาร เป็นธรรมเครื่องปราบโรคพรรค์นี้ได้อย่างเอก พี่น้องทั้งหลายจะมีความร่มเย็นเป็นสุข โรคกินไม่รู้จักอิ่มพอจะไม่กล้ามาแอบแฝงได้

    ศีลธรรมของพระพุทธเจ้าให้ผลสดๆ ร้อนๆ ถ้าเราตั้งใจนำมาประพฤติปฏิบัติอย่างเอาจริงเอาจังแล้วศีลธรรมจะเด่นชัดภายในตัวเรา ความสงบร่มเย็นก็จะเด่นชัดในวงมนุษย์เรา เฉพาะอย่างยิ่งสามีกับภรรยาในครอบครัวของเรานี้แล จะเป็นครอบครัวที่มีความร่มเย็นเป็นสุขมาก ขอให้พากันเชื่อพระพุทธเจ้าและทำตามคำสั่งสอนพระพุทธเจ้านี้เถิด จะเห็นความสงบสุขประจักษ์ใจ อย่าทำตามกิเลสตัณหาที่มันพาเหาะพาทะเยอทะยานด้วยความอยากอันใหญ่หลวง โดยมีหนึ่งแล้วไม่พอ มีสองมาแล้วไม่พอ อยากมี ๓ อยากมี ๔ อยากมีมากๆ ไม่รู้จักอิ่มพอ และนำฟืนนำไฟมาเผาไหม้ครอบครัวแบบย่างกันทั้งเป็นสดๆ ร้อนๆ นั่นแล ผลของมันจะหนีกองฟืนกองไฟไปไหน

    ท่านว่า นตฺถิ ตณฺหาสมา นที แม่น้ำมหาสมุทรทะเลหลวงนั้น จะมากก็ตามแต่ยังมีฝั่งมีฝา เราหยั่งก็ยังทราบได้ว่ามันลึกตื้นขนาดไหน กว้างแคบขนาดไหนยังพอทราบได้ แต่อำนาจของกิเลสตัณหานี้ไม่มีใครจะหยั่งทราบได้เลย เหมือนกับไฟได้เชื้อ ไสเชื้อเข้าไปเท่าไรไฟจะแสดงเปลวขึ้นจรดเมฆๆ ไฟไม่ได้ดับเพราะเชื้อที่ไสเข้าไปป้อนมันนั้นเลย แต่มันจะดับด้วยน้ำคืออรรถคือธรรมความพอดี ความมีขอบเขต ความมีเหตุมีผล ความมีกฎเกณฑ์บังคับมันเท่านั้น

    เราเองทุกๆ คนก็ทราบแล้วเพราะเราไม่ใช่เด็ก ว่านี้คือเมียของเขา นั้นคือผัวของเรา เราทำไมจะไม่ทราบ เราทราบอยู่แล้ว ทำไมจึงไปเห็นหญิงอื่นชายอื่นว่าดีกว่าผัวกว่าเมียของตน นี่คือบุคคลประเภทหน้าด้านสันดานเลวกินไม่เลือก ครั้นกินไปๆ ยาพิษก็กลืนเข้าไปด้วย กลืนเข้าไปด้วย มันก็ตายได้ นี่แหละที่ว่าฟืนว่าไฟเผามนุษย์ผู้กินไม่เลือก อย่างน้อยร้าวรานหาความสงบสุขด้วยกันไม่ได้ ทรัพย์สมบัติเงินทองได้มามากน้อยก็ไหลซึมออกไป ส่วนนี้ให้หญิงกาฝาก ส่วนนั้นให้ชายกาฝาก ไหลออกไปซึมออกไปไม่หยุดหย่อนเมื่อช่องทางรั่วไหลมีอยู่ นี่แลท่านเรียกว่าผู้ก่อไฟเผาบ้าน

    สุดท้ายพ่อกับแม่ก็มองหน้ากันไม่ได้ ลูกเต้าหลานเหลนที่อยู่ในครอบครองของพ่อแม่ เมื่อเห็นพ่อแม่เป็นอย่างนั้นเด็กก็หน้าซีดไปหมด เรียนหนังสือก็ไม่รู้เรื่อง เข้าเพื่อนเข้าฝูงก็ไม่ติด กลัวถูกเขาติฉินนินทา กลัวถูกเขาดูถูกเหยียดหยาม แล้วเขาก็ดูถูกจริงๆ เสียด้วยเพราะพ่อแม่ทำตัวไม่ดี นี่เป็นความเสียหายลุกลามไปถึงไหน นี่ละอำนาจแห่งตัณหาความทะเยอทะยานไม่พาใครให้อยู่เย็นเป็นสุข ให้เข้าถึงความสะดวกสบายได้เลย มีแต่ฟืนแต่ไฟเผากันตลอดเวลา ขอให้พี่น้องทั้งหลายจำไว้อย่างถึงใจ เพราะเป็นโรคฟืนโรคไฟเผามนุษย์ผู้ไม่รู้จักอิ่มพอให้เป็นเถ้าเป็นถ่านได้จริงๆ ไม่มีทางสงสัย

    ศีล ๕ วันนี้รับไปเพื่อใคร ถ้าไม่รับไปเพื่อเราทั้งหลายนี้จะรับไปเพื่อใคร และใครเป็นคนทำลายความสุขความเจริญในครอบครัวเหย้าเรือนและในตัวของเราอยู่เวลานี้ ก็เพราะความไม่รู้จักประมาณคือความอิ่มพอนั่นเอง เพราะฉะนั้นจงพากันนำศีลนำธรรมนี้ไปปฏิบัติรักษา แล้วเราจะมีความร่มเย็นเป็นสุขทั่วหน้ากัน นี่คือสำหรับฆราวาส ผู้ปฏิบัติตนให้เป็นศีลเป็นธรรม ย่อมมีความสุขความเย็นใจได้เช่นเดียวกันกับพระนั้นแล

    ทีนี้จะพูดถึงฝ่ายพระบ้างพอเป็นคติเครื่องเตือนใจที่ได้มีโอกาสมาในงานนี้ พระที่บวชเข้ามาแล้วพระพุทธเจ้าท่านสอนว่าอย่างไรบ้าง วันนี้จะแจงเรื่องของพระพุทธเจ้าที่สอนพระให้พี่น้องทั้งหลายฟัง ทั้งพระลูกพระหลาน ทั้งประชาชนญาติโยมที่เป็นพ่อแม่ของพระของเณรทั้งหลายเหล่านี้พอเข้าใจทั่วถึงกัน พระพุทธเจ้าเป็นศาสดาองค์เอก ท่านเป็นเอกมาจากอะไร เบื้องต้นก็เป็นมาจากทานบารมี ศีลบารมี จนกระทั่งภาวนา ก้าวเข้าสู่การภาวนาอย่างแท้จริงไม่มีคำว่าเหลาะแหละเหลวไหล

    ในเวลาเสด็จออกทรงผนวชบวชแล้ว ทรงบำเพ็ญพระองค์ด้วยจิตตภาวนาล้วนๆ ใต้ร่มโพธิ์ในคืนวันเดือน ๖ เพ็ญไม่หยุดไม่ถอย สละเป็นสละตายกับที่ประทับคือที่นั่งนั้นโดยถ่ายเดียว โดยทรงตั้งพระทัยอธิษฐานว่า ถ้าเราไม่ได้ตรัสรู้ในสถานที่นี่แล้ว เราจะไม่ลุกขึ้นจากที่นี่เลย มีการตรัสรู้ธรรมแล้วเท่านั้นเราถึงจะลุกจากสถานที่นี่ได้ นั่นเป็นความสัตย์ความจริงของสิทธัตถราชกุมาร ที่เสด็จออกบวชและประทับนั่งอยู่ใต้ร่มโพธิ์ในคืนวันเดือน ๖ เพ็ญนั้น ทรงตั้งสัจอธิษฐานไว้ ๒ ข้อ ๑) ต้องให้ได้ตรัสรู้เท่านั้น ๒) ถ้าไม่ได้ตรัสรู้ที่นั่งนี้กับที่ตายต้องเป็นที่เดียวกันจะเป็นอย่างอื่นไปไม่ได้ คือท่านจะไม่เคลื่อนลุกจากที่ประทับนั้น นี่แลศาสดาของพวกเราท่านภาวนาอย่างเอาจริงเอาจัง จนกระทั่งในคืนวันเดือน ๖ เพ็ญนั้น ได้ตรัสรู้ขึ้นมาเป็นพระพุทธเจ้าองค์เอกแล้วจึงประกาศธรรมสอนโลกเรื่อยมา การสอนโลกก็คือสอนพระนั้นแหละเป็นอันดับแรก คือสอนเบญจวัคคีย์ทั้ง ๕ เรื่อยมาจนกระทั่งทุกวันนี้

    พระโอวาทที่ทรงสั่งสอนพระนั้นสอนว่ายังไงจะนำมาให้พี่น้องทั้งหลายได้ฟัง ว่าพระโอวาทที่สำคัญนั้นพระพุทธเจ้าสอนว่ายังไง ลูกศิษย์ตถาคตจึงเป็นสรณะของโลกได้ ได้แก่ สงฺฆํ สรณํ คจฺฉามิ ท่านได้มาด้วยเหตุผลกลไกอะไร เบื้องต้นท่านก็สอนโดยมอบงานให้งานของพระคืออะไร ไม่ใช่งานก่อนั้นสร้างนี้ยุ่งนั้นยุ่งนี้ วัดไหนไม่มีโบสถ์ไม่มีวิหารวัดนั้นด้อยหน้าด้อยตา วัดนั้นไม่มีสง่าราศี วัดนั้นไม่น่าเคารพยำเกรง ท่านไม่ได้ว่าอย่างนั้น

    ท่านสอนว่า เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจ ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง นี่ย่อๆ ๕ ประการ เกสาคือผม โลมาคือขน นขาคือเล็บ ทันตาคือฟัน ตโจคือหนัง นั่นท่านบอก นี่ละงาน มอบงานให้เธอทั้งหลายนำไปปฏิบัตินำไปดำเนิน นำไปคิดนำไปพิจารณาให้แตก งานนี้เป็นงานสำคัญ งานอันนี้อยู่กับใครเวลานี้ งานอันนี้ติดแนบอยู่กับตัวของเราทุกคนทั้งหญิงทั้งชาย เกสาอยู่บนศีรษะของเรา มีทั้งหญิงทั้งชายทั้งนักบวชและฆราวาส ผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก เยื่อในกระดูก ม้าม หัวใจ ตับ พังผืด ไต ปอด ไส้ใหญ่ ไส้น้อย อาหารใหม่ อาหารเก่า เต็มอยู่ในร่างกายของเรานี้ ท่านยังไม่ได้บอกไปถึงอาการ ๓๒ ในขั้นเริ่มแรกเพราะเวลามีน้อย มอบงาน ๕ อย่างนี้ให้พระไปปฏิบัติ

    โลกทั้งหลายหลงอันนี้ ราคะตัณหาเกิดขึ้นเพราะหลงผม ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูกนี้แล ความโกรธ ความขวนขวาย ความทะเยอทะยาน ความมืดไม่มีวันมีคืน มืดด้วยกิเลสตัณหา ก็มืดเพราะภูเขาภูเราของเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนี้แล ภูเขาภูเราลูกนี้มีขนาดเท่าคน แต่เวลามันปิดบัง-ปิดบังได้ทั่วแดนโลกธาตุ ไม่มีใครมาเปิดทำลายมันได้เลย ภูเขาทั้งลูกเขาพังทลายลงไปทำถนนหนทางสิ่งก่อสร้างต่างๆ ได้อย่างสะดวกสบาย แต่ภูเขาภูเราของหญิงของชายที่เต็มไปด้วยเกสา โลมา นขา ทันตา ตโจนี้ ไม่สามารถที่จะทำลายมันได้ ทั้งไม่สนใจทำลาย มีแต่สนใจส่งเสริมตกแต่งให้สวยให้งามเป็นส่วนมาก

    มันจะสวยจะงามอะไร ผมก็เป็นผมรู้กันอยู่แล้วไม่ใช่บ้า ผมก็ผม ขนก็ขน เล็บ ฟัน หนัง เนื้อ เอ็น กระดูก อะไรมันสวยมันงาม ตกแต่งให้มันเป็นอะไรมันก็เป็นอย่างนี้อยู่นั่นเอง นี่ละเรียกว่าภูเขาภูเราที่มองไม่ทะลุทำลายไม่แตก มันถึงเป็นที่สั่งสมขึ้นมาซึ่ง ราคคฺคินา โทสคฺคินา โมหคฺคินา ไฟราคะก็เกิดขึ้นเพราะหลงสิ่งเหล่านี้ ไฟโทสะก็เกิดขึ้นเพราะหลงสิ่งเหล่านี้ ไฟโมหะก็เกิดขึ้นเพราะหลงสิ่งเหล่านี้ จงเอาอันนี้ไปทำลายนะ

    พิจารณาให้ชัดเจน เกสา โลมา นขา ทันตา ตโจเป็นยังไง แยกธาตุแยกส่วนออกไป ให้แตกกระจัดกระจายลงไปเป็นอสุภะอสุภัง มันเป็นของสวยของงามที่ตรงไหน จากนั้นก็พิจารณาเป็น อนิจฺจํ ทุกฺขํ อนตฺตา อะไรมันจะอยู่ค้ำฟ้า พิจารณาให้แตกกระจัดกระจาย ท่านสอนอย่างนี้ และสถานที่จะให้ทำงานกับสิ่งเหล่านี้ได้โดยสะดวก ไม่ต้องมีสิ่งมายุ่งเหยิงวุ่นวายนั้นให้ไปทำที่ตรงไหน ท่านก็บอกไว้อีกว่า รุกฺขมูลเสนาสนํ นิสฺสาย ปพฺพชฺชา ตตฺถ เต ยาวชีวํ อุสฺสาโห กรณีโย บรรพชาอุปสมบทแล้ว ให้ท่านทั้งหลายไปเที่ยวอยู่ตามรุกขมูลร่มไม้ นั้นเป็นอันดับหนึ่ง และพึงทำความอุตส่าห์พยายามอยู่ตลอดชีวิตเถิด

    พระพุทธเจ้าตรัสรู้อยู่ที่รุกขมูลร่มไม้ ท่านก็สอนพระทั้งหลายให้ไปอยู่รุกขมูลร่มไม้เป็นที่ ๑ รุกฺขมูลเสนาสนํ จากนั้นก็ให้ไปอยู่ในป่าในเขาในถ้ำเงื้อมผาป่าช้า ป่ารกชัฏ ซึ่งเป็นสถานที่เหมาะสมกับการเจริญภาวนา เพื่อทำลายภูเขาภูเราที่ติดแนบอยู่กับตัวของเรา ให้แตกกระจายออกไปจากความเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นหญิงเป็นชาย เป็นของสวยของงาม ให้กลายลงไปเป็นธาตุเดิมของมัน คือธาตุ ๔ ดิน น้ำ ลม ไฟ ธาตุไฟเป็นไฟ ธาตุน้ำเป็นน้ำ เป็นต้น นั้นเป็นสัตว์เป็นบุคคลเป็นหญิงเป็นชายที่ตรงไหน นี่ท่านสอน แล้วพระในครั้งพุทธกาลท่านก็ดำเนินอย่างนั้น องค์ไหนที่บวชแล้ว แม้แต่เป็นเศรษฐีกุฎุมพี เป็นพ่อค้าประชาชน ตลอดถึงเป็นพระมหากษัตริย์ ออกบวชแล้วเข้าอยู่ในป่าในเขาบำเพ็ญสมณธรรม ได้ตรัสรู้หรือบรรลุธรรมแดนนิจจังขึ้นมาที่ใจ จนกลายเป็น สรณํ คจฺฉามิ ของพวกเราท่านดำเนินอย่างนั้น

    นี่แสดงให้พระลูกหลานทั้งหลายได้ยินได้ฟัง การประพฤติปฏิบัติตามธุดงควัตรที่ท่านพาดำเนินมา เพื่อกำจัดกิเลสซึ่งเป็นเครื่องผูกพันจิตใจและเป็นฟืนเป็นไฟเผาไหม้ใจของเรา เพราะภูเขาภูเราเป็นเชื้ออันสำคัญ จำต้องกำจัดมันด้วยการประพฤติปฏิบัติตามที่พระพุทธเจ้าทรงสอนไว้ เวลาเข้าไปอยู่ในป่าในรุกขมูลร่มไม้ ผู้ที่ไม่เคยก้าวเข้าไปในป่า พูดเรื่องป่าก็ไม่ค่อยรู้เรื่องไม่เข้าใจ ต้องขึ้นเวทีคือเข้าไปอยู่ในป่าจริงๆ จึงจะรู้เรื่องของการอยู่ป่า รุกขมูลคืออยู่ร่มไม้ปราศจากเครื่องมุงบัง และไปอยู่ในป่าซึ่งเป็นที่น่าหวาดเสียวน่ากลัวพวกสัตว์พวกเสือต่างๆ ที่อาศัยอยู่ในป่านั้น ทั้งจะได้รู้กำลังใจ กำลังสติปัญญา ศรัทธา ความเพียรของตน

    อยู่ในร่มไม้เฉยๆ เป็นยังไง และไปอยู่ในป่าเปลี่ยวที่น่ากลัวเป็นยังไง ใจมีความรู้สึกอย่างไร เราจะได้เห็นความสะดุดดิ้นในหัวใจของเรา มันกลัวมากน้อยเพียงไร แล้วเอาธรรมเข้ามาเป็นที่เกาะที่ยึด พุทโธ หรือธัมโม หรือสังโฆ ให้ติดแนบอยู่กับใจ ใจของเราจะติดอยู่กับคำว่า พุทโธ ธัมโม หรือสังโฆ บทใดบทหนึ่งที่บริกรรมในเวลานั้น แล้วใจจะมีความแน่นหนามั่นคงขึ้นๆ อาการของจิตที่เคยคิดไปในเรื่องกลัวเรื่องหวาดเสียวต่างๆ จนกระทั่งจะเป็นบ้าเป็นบอไปนั้น มันจะย้อนเข้ามาสู่หลักใหญ่คือพุทโธๆ อย่างเดียว กลายเป็นความกล้าหาญชาญชัยขึ้นมาในสถานที่ที่เคยกลัวมากๆ นั้นแล จนกลายเป็นสถานที่อาจหาญชาญชัยขึ้นมาเป็นประหนึ่งว่าตัวสั่นไปหมดทั้งร่าง เพราะความกล้ามากในสถานที่ที่เคยกลัวนั้นแล

    เมื่อก้าวขึ้นสู่เวทีคือป่าคือเขาแล้ว ทำไมจะไม่รู้เรื่องของกิเลสและของธรรมเล่า เพราะพระพุทธเจ้าท่านทรงก้าวขึ้นสู่เวทีและได้ผลอันเลิศจากเวทีนั้นๆ แล้ว จึงได้มาสั่งสอนสัตว์โลกมีภิกษุบริษัทเป็นต้น ด้วยบทธรรมว่า สฺวากฺขาโต ภควตา ธมฺโม พระธรรมอันพระผู้มีพระภาคตรัสไว้ชอบแล้วดีแล้วทั้งนั้น ไม่มีข้อคัดค้านไม่มีข้อแย้งใดๆ เลย สอนพระก็สอนด้วยสวากขาตธรรมนั้น ประหนึ่งว่าเอาเถอะภิกษุทั้งหลาย จงปฏิบัติดำเนินตามตถาคตที่สั่งสอนไว้นี้ สมาธิเป็นยังไง แม้ใจจะวอกแวกคลอนแคลนยิ่งกว่าลิงร้อยตัว ก็จะเหนือธรรมไปไม่ได้ เอาธรรมบีบบังคับเข้าไป จิตของเราจะมีความสงบร่มเย็นโดยไม่อาจสงสัย

    สมาธิที่เคยเห็นแต่ชื่อในตำรับตำรา ว่าสมาธิเป็นอย่างนั้นสมาธิเป็นอย่างนี้ สมาธิคือความแน่นหนามั่นคง สมาธิคือความตั้งมั่นซึ่งเราจำได้ในหนังสือ แต่ใจของเรามันไม่ตั้งมั่น มันวอกแวกคลอนแคลนเหมือนลิงก็ตาม แต่เวลาเรามาภาวนาเป็นภาคปฏิบัติคือขึ้นสู่เวทีแล้ว จิตก็เป็นสมาธิขึ้นมาที่ใจของเรา รู้สมาธิขึ้นที่ใจของเรา อ๋อ นี่สมาธิเป็นอย่างนี้ ท่านว่าสมาธิในตำรานั่นเป็นชื่อของสมาธิ ปัญญาในตำราเป็นชื่อของปัญญา วิมุตติหลุดพ้นในคัมภีร์ในตำราเป็นชื่อของวิมุตติหลุดพ้น ไม่ใช่องค์ของสมาธิ ปัญญา วิมุตติแท้ ไม่ใช่ความหลุดพ้นที่แท้จริงเหมือนที่รู้เห็นขึ้นกับใจของผู้ปฏิบัติแต่อย่างใด

    ส่วนสมาธิจริงๆ อยู่ที่ใจของผู้ปฏิบัติ สมาธิขั้นใดก็ตาม ปัญญาขั้นใดก็ตาม อยู่ที่ใจของผู้ปฏิบัติ เกิดที่ใจของผู้ปฏิบัติ ผู้ปฏิบัติเท่านั้นจะเป็นผู้รู้ผู้เห็นสมาธิทุกขั้นปัญญาทุกภูมิ จนกระทั่งปัญญาอันละเอียด ได้แก่ มหาสติ มหาปัญญาต่อกรกันกับกิเลสสมุทัยอันละเอียดสุด ถ้าจะสมมุติอย่างทุกวันนี้ก็เรียกว่าเวทีแชมเปี้ยน ระหว่างกิเลสที่ละเอียดแหลมคมที่สุด ได้แก่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา สงฺขารปจฺจยา วิญฺญาณํ ต่อกรกันบนเวทีคือใจ กับยอดของมรรคคือมหาสติ มหาปัญญา

    เมื่อเราได้ก้าวขึ้นสู่เวที อบรมศิลปวิชาในการรบด้วยสติปัญญาอันเกรียงไกรจนมีความชำนิชำนาญแล้ว ทำไมมหาสติมหาปัญญาที่เคยได้ยินแต่ตำรับตำราว่า เป็นอย่างนั้นอย่างนี้จะไม่เกิดขึ้นที่ใจ เมื่อปัญญาประเภทนี้ได้เกิดขึ้นที่ใจแล้วจะรวดเร็วทันกิเลสและเหนือกิเลสๆ ๆ ขึ้นเรื่อยๆ และทำลายกิเลสให้ขาดสะบั้นลงไปจากจิตใจไม่มีเหลือซากอยู่เลย นี้เรียกว่ายอดของมรรคได้แก่มหาสติมหาปัญญา ยอดของสมุทัย ได้แก่ อวิชฺชาปจฺจยา สงฺขารา นี่ท่านเรียกว่า อริยสัจ เมื่อขึ้นเวทีแล้วก็รู้ ต่อกรกับกิเลสซึ่งเป็นอริยสัจประเภทหนึ่งทำลายกันลงได้ในหัวใจของผู้ปฏิบัตินั้นแล ทำไมจะไม่รู้ไม่อาจไม่หาญ สนฺทิฏฺฐิโก พระพุทธเจ้าไม่ทรงผูกขาด ประกาศไว้อย่างโจ่งแจ้งสำหรับผู้ปฏิบัติทั้งหลาย จะต้องรู้ต้องเห็นประจักษ์โดยลำพังตนเอง ไม่ต้องไปทูลถามพระพุทธเจ้าให้เสียเวล่ำเวลาและลำบากเปล่า

    นี่ธรรมเหล่านี้พระพุทธเจ้าก็ประกาศสอนไว้แล้ว เราทั้งหลายตั้งใจประพฤติปฏิบัติตามธรรมเหล่านี้แล้ว มรรคผลนิพพานจะไปที่ไหน ก็เวลานี้กิเลสมันอยู่ที่ไหน กิเลสมันอยู่หัวใจเรา พระพุทธเจ้ายังทรงพระชนม์อยู่กิเลสก็อยู่หัวใจเรา พระพุทธเจ้าปรินิพพานไปแล้วกิเลสก็อยู่หัวใจเรา ราคะอันเก่า โทสะตัวเก่า โมหะตัวเก่า อยู่ที่สัตว์ของเก่า ดวงจิตดวงเก่ามานานสักเท่าไร เมื่อเวลาอริยสัจในฝ่ายมรรคคือศีลสมาธิปัญญานี้ ได้ฝึกซ้อมตัวเองโดยขึ้นเวทีดังที่กล่าวนี้ เข้าสถานที่เก่าคือใจและรู้ตามความเป็นจริงแล้ว แล้วมรรคจะไปอยู่ที่ไหน สมาธิก็อยู่ที่ใจของเรา สติอยู่ที่ใจ ปัญญาอยู่ที่ใจ สมาธิก็เกิดขึ้นที่ใจ ปัญญาทุกขั้นเกิดขึ้นที่ใจ วิมุตติหลุดพ้นจะไปที่ไหนถ้าไม่เกิดขึ้นที่ใจ หลุดพ้นที่ใจดวงเก่านี้

    เมื่อกิเลสได้หลุดลอยไปหมดแล้ว ไม่ต้องถามหาสมาธิ ไม่ต้องถามหาพระนิพพาน สนฺทิฏฺฐิโก ประกาศกังวานขึ้นที่หัวใจ และกระเทือนทั่วแดนโลกธาตุในผู้ปฏิบัติ บนเวทีที่เฉียบขาดดังที่กล่าวมาแล้วนี้แลไม่เป็นที่อื่น เพราะฉะนั้นธรรมท่านจึงเรียกว่า อกาลิโก ไม่มีกาล ไม่มีสถานที่ ไม่มีเวล่ำเวลา ธรรมเป็นธรรมอยู่ตลอดเวลา ไม่มีสิ่งใดเข้าไปรบกวนได้เลย เช่นเดียวกับกิเลส กิเลสก็มีอยู่ตลอดเวลา ถ้าเราไม่แก้ไม่ถอดไม่ถอนกันแล้ว มันจะเป็นกิเลสอยู่ตลอดเวลา ทำให้คนได้รับความโลภ ความโกรธ ความหลง ได้รับความทรมานอย่างนี้ตลอดไปไม่มีสิ้นสุดยุติลงได้

    กาลเวลาจะมาทำลายกิเลสไม่ได้ สถานที่จะมาทำลายกิเลสก็ไม่ได้ ต้องธรรมเท่านั้นทำลายกิเลสได้ เราเมื่อปฏิบัติตามนี้แล้วไม่สงสัย ศาสนาพุทธเป็นศาสนาที่ทรงมรรคทรงผล ตั้งแต่สมาธิปัญญาจนกระทั่งถึงมรรคผลนิพพาน ประหนึ่งว่าตลาดร้านค้าแห่งมรรคผลนิพพานอันใหญ่โตที่สุด ไม่มีอะไรเกินศาสนาพุทธเรา เอ้า ก้าวเข้าไปห้างร้านใหญ่ๆ เป็นยังไง หรือตลาดใหญ่ๆ เป็นยังไง สินค้าต่างๆ มีเต็มอยู่นั้น สมบัติเงินทองมีเท่าไรซื้อมาๆ ได้ทั้งนั้นไม่อัดไม่อั้น เพราะมีเต็มอยู่แล้วด้วยสินค้าประเภทต่างๆ

    นี่ก็เหมือนกัน ธรรมะของพระพุทธเจ้ามีตั้งแต่สมาธิสมบัติ ปัญญาสมบัติ จนกระทั่งวิมุตติสมบัติหรือนิพพานสมบัติ แล้วก็สวรรค์ชั้นพรหม ไปจากไหนถ้าไม่ใปจากอำนาจแห่งคุณงามความดีที่พระพุทธเจ้าทรงสั่งสอนไว้แล้วนี้ เรียกว่าตลาดแห่งมรรคผลนิพพานมีสดๆ ร้อนๆ หากตั้งใจประพฤติปฏิบัติแล้วต้องรู้ต้องเห็น เพราะธรรมะเป็นอกาลิโก ขอให้บรรดาลูกหลานทั้งหลายได้นำไปประพฤติปฏิบัติกันเถิด จะเกิดมหามงคลแก่เราทั้งหลายทั่วหน้ากัน

    ต่อไปนี้ศาสนาจะเสื่อมไปๆ เราอย่าไปคำนึงนะว่าศาสนาเสื่อมอยู่ในคัมภีร์ใบลาน คัมภีร์เป็นคัมภีร์ใบลานเป็นใบลานใส่ตู้เต็มตู้อยู่นั้นละ ในที่สุดเอามาแบกไว้บนหลังบนบ่าของเรา จนหลังโก่งหลังหักมันก็เป็นคัมภีร์อยู่งั้น แต่ไม่ได้ทำกิเลสของผู้ใดผู้หนึ่งให้ถลอกปอกเปิกไปได้ ถ้าไม่นำมาปฏิบัตินะ ศีลเป็นศีล สมาธิเป็นสมาธิ ปัญญาเป็นปัญญาในคัมภีร์ใบลาน แต่ไม่ฆ่ากิเลสได้ถ้าเราไม่นำมาฆ่า กิเลสก็เป็นกิเลสตามเดิม จำธรรมได้เท่าไรก็เป็นกิเลสตามเดิม ถ้าเราไม่แก้ไม่ถอดถอนมัน

    ที่ว่าศาสนาเสื่อมมันเสื่อมที่หัวใจของเราเอง ไม่ได้เสื่อมที่ตำรับตำรา ที่จดจารึกไว้ตามตู้ตามหีบตามคัมภีร์ใบลาน จดจารึกไว้มากน้อยเพียงไรก็มีอยู่อย่างนั้นแหละไม่ได้หายไปไหน ที่ว่าศาสนาเสื่อมมันเสื่อมที่ใจของเรา เคยมีความเชื่อความเลื่อมใสในบาปในบุญในคุณในโทษก็เสื่อมลงไปๆ เคยขยันขันแข็งทำบุญให้ทานก็เสื่อมลงไปๆ เคยขยันขันแข็งในการเดินจงกรมนั่งสมาธิภาวนารักษาจิตใจของตนก็เสื่อมลงไปๆ นี่มันเสื่อมอยู่ที่หัวใจของเรา สุดท้ายก็เป็นซุงทั้งท่อนหรือไม้ท่อนหนึ่งเท่านั้นไม่เห็นเกิดประโยชน์อะไรเลย

    ผ้าเหลืองพาดเข้าไปคลุมเข้าไปเหลืองหมดทั้งตัวเป็นผ้าสีกรรมฐานเสียด้วย แต่ตัวของพระกรรมฐานนั่นเหมือนกับซุงทั้งท่อนมันเกิดประโยชน์อะไร นั่นละศาสนาเสื่อม เหมือนกับว่าเอาผ้าไปปกคลุมพระเณรที่ไม่สนใจในอรรถในธรรมนั่นแล นี่ผ้าปกคลุมพระเณรเราที่ปราศจากหิริโอตตัปปะ ไม่มีความละอายต่อบาปต่อกรรมทั้งหลายแล้ว ยังกล้าหาญชาญชัยต่อกิเลสตัณหาอาสวะประเภทต่างๆ มีราคะตัณหาเป็นสำคัญมากขึ้นทุกที ใจมีแต่ความฟุ้งเฟ้อเห่อเหิมลืมเนื้อลืมตัว หัวโล้นๆ ก็ลืมไปหมดไม่สนใจ นี่ละศาสนาเสื่อมมันเสื่อมอยู่ที่หัวใจของผู้ปฏิบัติของนักบวชของพุทธบริษัทเรานี่แล มิได้เสื่อมที่คัมภีร์ใบลานอะไรเลย

    ฉะนั้นจึงขอให้ชาวพุทธเราพากันระมัดระวังภัยภายในใจของตนๆ อย่าให้ศาสนาเสื่อมนะ ถ้าศาสนาเสื่อมฆราวาสก็ร้อน ชาววัดก็ร้อนชาวบ้านก็ร้อน ที่กล่าวมาเมื่อสักครู่นี้ว่าศาสนาเสื่อมเป็นยังไง ผัวไม่รู้จักผัว เมียไม่รู้จักเมีย เป็นบ้าไปกับผู้หญิงผู้ชายกาฝากไปหมด นั่นละศาสนาเสื่อมศาสนาฉิบหาย ให้พากันจำเอา พวกพระเณรเราก็เหมือนกันอย่างนั้น ที่ท่านเรียกว่าศาสนาเสื่อม

    ถ้าเจริญแล้ว ต่างคนต่างนำธรรมะนี้ไปประพฤติปฏิบัติปกครองเหย้าเรือนของตน มีความร่มเย็นเป็นสุขไปหมด พระเณรก็เป็นผู้ตั้งหน้าตั้งตาประพฤติปฏิบัติกำจัดกิเลสซึ่งเป็นตัวภัยอยู่ภายในจิตใจนี้ให้หมดออกไปๆ ใจที่ไม่เคยเป็นสมาธิก็แน่นปึ๋งยิ่งกว่าภูเขาทั้งลูกนั่นเห็นไหม ปัญญามีความฉลาดแหลมคม ปัญญาของทางธรรมไม่ได้เหมือนปัญญาทางโลก ปัญญาของทางธรรมเกิดขึ้นมากเท่าไร ยิ่งมีความสว่างกระจ่างแจ้ง สังหารกิเลสพังไปโดยลำดับลำดา เมื่อปัญญานี้ถึงขั้นเต็มภูมิแล้ว กิเลสมีเท่าไรพังหมดไม่มีอะไรเหลือ นั้นแหละท่านเรียกว่าครองตลาดแห่งมรรคผลนิพพาน คือใจครองความบริสุทธิ์ขึ้นที่หัวใจของผู้ปฏิบัตินั้นแล

    วันนี้ได้มาแสดงธรรมให้พี่น้องทั้งหลายได้ทราบ ทั้งฝ่ายฆราวาสและฝ่ายพระเณรลูกหลานของเรา โดยถือเป็นกันเอง กรุณาอย่าถือสีถือสากับหลวงตาบัว เวลาเทศน์ให้หลวงตาบัวเองยิ่งเผ็ดยิ่งร้อนยิ่งกว่านี้ไปอีก อันนี้มาเทศน์ให้พี่น้องทั้งหลายเพียงขี้ประติ๋วเท่านั้น ขอให้รับขี้ประติ๋วไปปฏิบัติก็แล้วกัน วันนี้เวลาหลังจากนี้แล้ว เราจะได้พระราชทานเพลิงศพของท่านพระครูวิมลญาณวิจิตรตามเวล่ำเวลา การแสดงธรรมนี่ก็เห็นว่าสมควรแก่เวลา ขอความสุขสวัสดีจงมีแก่พี่น้องทั้งหลายโดยทั่วกันเทอญ


    คัดลอกจาก Luangta.Com -
     
  3. ยศวดี

    ยศวดี ยายแก่แล้ว*_*

    วันที่สมัครสมาชิก:
    12 เมษายน 2010
    โพสต์:
    4,255
    กระทู้เรื่องเด่น:
    11
    ค่าพลัง:
    +5,796
    โมทนาสาธุทุกบุญกุศลคะ
    สาธุกับคนที่ชวนไปวัด ด้วยเน้อ สาธุ
     

แชร์หน้านี้

Loading...